ค
เรอ่ื งศลิ ปะสอ่ื ผสมจากวัสดุธรรมชาติ เพ่อื สง่ เสรมิ ทักษะ
ความคดิ สร้างสรรค์ในการสรา้ งผลงานศลิ ปะสาหรับ
นักเรียนในระดับช้นั มัธยมศกึ ษาชนั้ ปที ี่ ๓
โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา
นางสาวพิสฐิ ณี ธนาวิทรรศน์
ตาแหนง่ ครูผูช้ ว่ ย
โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา
สังกัดสานกั งานการศกึ ษาพิเศษ กระทรวงศกึ ษาธิการ
สารบัญ หนา้
ก
กิตติกรรมประกาศ ข
บทคัดยอ่ ค
สารบญั
บทท่ี 1 บทนา 1
2
ความเป็นมา และความสาคญั ของปญั หา 2
วตั ถุประสงค์ 2
ขอบเขตของการวิจัย 3
นิยามศพั ท์ 3
ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะไดร้ ับ 3
สถานที่ดาเนินการวจิ ยั ๔
ระยะเวลาในการดาเนนิ การวจิ ัย
บทท่ี 2 ทฤษฎี เอกสาร และงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้อง 5
ทฤษฏีพระราชบญั ญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542
ทฤษฏตี ัวชีว้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ตามหลกั สูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน 6
พุทธศกั ราช 2551 กระทรวงศึกษาธกิ าร 7
ทฤษฎีทฤษฎศี ิลปะสอ่ื ผสม 11
ทฤษฎกี ารจดั การเรียนร้แู บบใช้การวจิ ยั เป็นฐาน (RBL) 12
ทฤษฎกี ารสอนแบบปฏิบตั ิ 14
ทฤษฏีกจิ กรรมการเรยี นการสอนแบบสาธติ 18
ทฤษฎพี ัฒนาการและพฤติกรรมของเดก็ ในระดบั มธั ยมศกึ ษา
งานวิจัยท่ีเกยี่ วข้อง 22
บทที่ 3 วธิ ดี าเนินการวจิ ยั 22
ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง 23
การสุ่มตัวอยา่ ง 23
วธิ ีการดาเนินการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
การวิเคราะห์ขอ้ มลู สถติ ทิ ใี่ ช้ และการอภิปรายผล 24
บทที่ 4 ผลการดาเนนิ การวิจัย
การสรา้ งชุดฝึกทักษะ/แบบฝึกทักษะ เรื่อง เรอื่ ง พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้
โดยใชก้ ระบวนการRBLเร่ืองศิลปะการปะติดเปลือกไข่ เพ่ือส่งเสริมทกั ษะ
ความคิดสรา้ งสรรค์ในการสร้างผลงานศิลปะสาหรบั นกั เรยี นใน
ระดับช้นั มธั ยมศึกษาช้นั ปที ่ี2 โรงเรียนบา้ นเปียงซอ้ จงั หวัดน่าน
สารบญั (ต่อ) 33
ผลการใช้ชุดฝึกทักษะ/แบบฝึกทักษะ 36
บทที่ 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ 37
38
สรปุ ผลการศึกษา 39
อภปิ รายผล 42
ขอ้ เสนอแนะ
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
กติ ตกิ รรมประกาศ
ศิลปะสอื่ ผสมจากวัสดธุ รรมชาติ เพอ่ื ส่งเสริมทกั ษะ ความคดิ สร้างสรรค์ในการ สร้างผลงาน
ศิลปะสาหรับนักเรียนในระดับช้ันมัธยมศึกษาชั้นปีที่ ๓ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ อาเภอจุน
จังหวดั พะเยา สาเร็จลุลว่ งตามวัตถปุ ระสงคด์ ้วยความร่วมมอื จากหลายฝ่าย ขอขอบพระคุณสาหรับครู
พี่เลี้ยงในการให้คาปรึกษา ชี้แนะแนวทางในการสอนและการทาวิจัย รวมไปถึงนักเรียนทุกคนที่ให้
ความร่วมมือในการทากิจกรรม และคณะครูโรงเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา
รวมไปถงึ เจา้ หนา้ ท่ีหน่วยงานอืน่ ๆ ทเี่ กี่ยวข้องที่มิได้กล่าวนามท่ีให้ความเอ้ือเฟ้ือในด้านต่าง ๆ มาโดย
ตลอด
ขอขอบพระคุณท่านผู้อานวยการโรงเรียน นางวิลาวัลย์ ปาลี ที่ให้คาแนะนามาโดยตลอด
ระยะเวลาท่ดี าเนนิ การวิจัย เป็นระยะเวลา ๓ เดือน ทาให้ผลงานวิจัยได้รับการสนับสนุนและสามารถ
ดาเนนิ งานวิจยั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี
ข้าพหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวิจัยเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับนักเรียนและผู้ท่ีสนใจ สามารถนาไป
ประยุกต์ใชไ้ ดใ้ นชวี ติ ประจาวัน และสามรถพัฒนาตอ่ ยอดในอนาคตได้
พิสิฐณี ธนาวทิ รรศน์
นกั วจิ ัย
หวั ข้อวจิ ัย ศิลปะส่ือผสมจากวัสดุธรรมชาติ เพ่ือสง่ เสรมิ ทกั ษะ ความคิดสร้างสรรค์ในการ
สร้างผลงานศิลปะสาหรับนักเรยี นในระดับชั้นมัธยมศึกษาช้ันปที ่ี๓
โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ อาเภอจนุ จังหวัดพะเยา
ชอื่ ผู้วจิ ยั นางสาวพสิ ิฐณี ธนาวทิ รรศน์
ระยะเวลาการทาวิจยั ธันวาคม 256๓–กมุ ภาพนั ธ์ 256๔
บทคดั ย่อ
การวิจัยครั้งน้ี มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1) เพ่ือส่งเสริมทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ใน
การสร้างผลงานศิลปะสาหรับกับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีท่ี3 โรงเรียนราชประชานุ
เคราะห์ ๒๔ จงั หวัดพะเยาโดยศึกษาจากกลุ่มตัวอยา่ ง คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนราช
ประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา จานวน 1๕ คน โดยใช้ชุดฝึกทักษะ เรื่อง ศิลปะส่ือผสมจากวัสดุ
ธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานศิลปะ และแบบทดสอบก่อนเรียน
และหลังเรียน จานวน 20 ข้อ จากน้ันเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การจดบันทึก ถ่ายภาพ และอภิปราย
ผลเป็นตารางร้อยละและหาคา่ เฉลี่ย พร้อมอธิบายใต้ตาราง ผลการวิจัย พบว่า ศิลปะส่ือผสมจากวัสดุ
ธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมทกั ษะความคิดสรา้ งสรรค์ในการสรา้ งผลงานศิลปะ ส่งผลให้ผู้เรียนมีความรู้และ
ทักษะการปฏิบัติงานศิลปะเพ่ิมมากขึ้น โดยมีคะแนนทดสอบหลังเรียนเฉลี่ยร้อยละ 88.5 ซึ่งสูงกว่า
เกณฑท์ ีก่ าหนดไว้ และเมื่อเปรียบกับผลการทดสอบก่อนเรียน โดยผลการทดสอบก่อนเรียนมีคะแนน
เฉล่ียร้อยละ 61.33 จะเห็นได้ว่ามีผลการทดสอบหลังเรียนท่ีสูงกว่า ทาให้ทราบได้ว่า ประสิทธิภาพ
ของสอื่ ทผ่ี วู้ จิ ัยได้สร้างขึน้ สามารถส่งผลใหผ้ ู้เรียนมผี ลการเรยี นทด่ี ีขึน้ อย่างเห็นได้ชัด
บทที่1
บทนา
ความเปน็ มา และความสาคัญของปญั หา
ศิลปะส่ือผสม (Mixed Media Art) ถือได้ว่าเป็นผลงานศิลปะที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นโดยใช้
เทคนคิ และวธิ ีการของศลิ ปะทางด้านทัศนศิลป์หลาย ๆ แขวงมาผสมผสานทาให้เกิดผลงานที่อยู่ในชิ้น
เดียวกัน เน้นหลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ และความคิดสร้างสรรค์เพื่อแสดงออกถึงอารมณ์สะเทือน
ใจของผสู้ รา้ ง ซงึ่ วสั ดทุ ี่ใช้ในการสร้างผลงานสื่อผสมสามารถหาได้จากวัสดุธรรมชาติ เช่น วัสดุจากพืช
สัตว์ และแร่ วัสดุสังเคราะห์ เช่น กระดาษ โลหะ เป็นต้น โดยเป็นการนาส่ิงท่ีมีอยู่มาประยุกต์
ผสมผสานกันเพ่ือให้เกิดเป็นผลงานทางด้านศิลปะที่มีรูปแบบออกมาเป็นรูปเป็นร่างเพ่ือให้คนดูได้
สามารถรับรู้ถึงความหมายของผลงานศิลปะที่เราสร้างสรรค์ข้ึนมาถ่ายทอดเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ
ให้มีจุดเด่นและดึงดูดคนดูให้มีความสนใจในผลงาน ปัจจุบันผลงานศิลปะสื่อผสมเริ่มมีบทบาทที่
แพร่หลายในวงการศลิ ปะเป็นอยา่ งมาก
จากการสอนในรายวชิ าทศั นศิลป์ สาหรบั นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนราชประชานุ
เคราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา ผู้วิจัยสังเกตพบว่านักเรียนเกือบท้ังหมดของห้องเรียนยังขาดทักษะในการ
สร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่หลากหลาย อันเน่ืองมาจากค่าใช้จ่ายในการจัดซ้ือวัสดุในการสร้างสรรค์
ผลงานศิลปะน้ันมีราคาค่อนข้างสูง ทาให้นักเรียนมีปัญหาเรื่องทุนทรัพย์ท่ีจะนามาจัดซ้ือวัสดุอุปกรณ์
ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ทาให้ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเป็นอย่าง
มาก จึงทาให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้การสร้างสรรค์ผลงานในรายวิชาศิลปะเป็นไปอย่างไม่ราบร่ืน
สง่ ผลกระทบต่อคะแนนเก็บของนักเรยี นทาให้ผลการเรียนของนักเรยี นต่า
ด้วยปัจจัยปัญหาต่างๆเหล่านี้ จึงเป็นเหตุให้ผู้วิจัยสนใจที่จะพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้
กระบวนการRBL เรื่องศิลปะส่ือผสมจากวัสดุธรรมชาติ เพ่ือส่งเสริมทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ในการ
สรา้ งผลงานศลิ ปะสาหรับนกั เรียนในระดับช้ันมัธยมศึกษาช้ันปีที่ 3 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔
จังหวัดพะเยา เป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นกิจกรรมให้นักเรียนใช้กระบวนการวิจัยเป็นฐานในการ
สร้างสรรค์ผลงานศิลปะสื่อผสม เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ด้านทักษะและเทคนิควิธีการสร้างสรรค์ผลงาน
ศิลปะทน่ี ักเรียนสามารถนาเอาวัสดุตามธรรมชาติท่ีมีอยู่รอบตัวมาสร้างสรรค์ผลงานให้เกิดคุณค่าและ
ความงามทางศลิ ปะ และเพ่อื พัฒนาส่งเสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละจิตนาการในการสร้างสรรค์ผลงาน
ของนักเรยี นใหม้ ปี ระสิทธิภาพ
วตั ถุประสงค์
เพ่ือส่งเสริมทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานศิลปะสาหรับกับนักเรียนใน
ระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาช้ันปที ี่ 3 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา
ขอบเขตของการวิจยั
ขอบเขตด้านพื้นท่ี การศึกษาคร้ังน้ีเป็นการศึกษา พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้
กระบวนการRBL เรื่องศิลปะสื่อผสมจากวัสดุธรรมชาติ เพ่ือส่งเสริมทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ในการ
สร้างผลงานศิลปะสาหรับกับนักเรียนในระดับช้ันมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์
๒๔ จงั หวัดพะเยา
ขอบเขตชิ้นงาน การศึกษาครั้งนี้เป็นการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการRBL
สอนในเร่อื งศลิ ปะสอ่ื ผสมจากวัสดธุ รรมชาติ เพ่ือสง่ เสริมทกั ษะ ความคดิ สร้างสรรค์ในการสร้างผลงาน
ศิลปะสื่อผสมสาหรับกับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีท่ี 3 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔
จงั หวัดพะเยา ประกอบดว้ ยชน้ิ งาน ดังนี้
1. ส่อื การเรียนการสอน เร่ืองศิลปะส่ือผสมจากวสั ดุธรรมชาติ
2. แบบทดสอนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะส่ือผสม
สาหรับนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 3 แบ่งออกเปน็ 2 ตอน ดงั นี้
2.1 ตอนที่ 1 แบบวดั ความเข้าใจในเน้อื หาบทเรียน จานวน 10 ขอ้
2.2 แบบฝึกทกั ษะ เร่อื งศลิ ปะส่อื ผสม จานวน 1 ขอ้
นยิ ามศพั ท์
ในการวิจัยเร่ือง พัฒนากจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการRBL เรื่องศลิ ปะสื่อผสมจากวัสดุ
ธรรมชาติ เพ่ือส่งเสริมทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานศิลปะสาหรับกับนักเรียนใน
ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาช้ันปีท่ี 3 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา ได้กาหนดนิยามศัพท์
เฉพาะของการวจิ ัย ดงั น้ี
1. ศิลปะสื่อผสม (Mixed Media Art) หมายถึง ผลงานศิลปะท่ีมนุษย์สร้างสรรค์ข้ึน
โดยใชเ้ ทคนิคและวิธีการของศิลปะทางด้านทัศนศิลป์หลาย ๆ แขวงมาผสมผสานทาให้เกิดผลงานท่ีอยู่
ในช้ินเดียวกันเน้นหลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ และความคิดสร้างสรรค์เพ่ือแสดงออกถึงอารมณ์
สะเทือนใจของผ้สู รา้ ง
2. การปะติด หมายถึง การสร้างสรรค์งานศิลปะท่ีต้องอาศัยพื้นฐานของการวาด
ภาพเขียนภาพน่ันเอง แทนที่จะวาดภาพแล้วระบายสี กลับใช้วัสดุท่ีมีรูปร่าง รูปทรง ซึ่งมีสีสันต่างๆ
ปะตดิ ลงไปจะไดภ้ าพตามต้องการ
3. วัสดุธรรมชาติ หมายถึง วัสดุที่จะนาเอาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ที่หาได้ตาม
ธรรมชาติรอบๆตวั เรา อาทิ เศษไม้ ใบไม้ เปลอื กไม้ เมลด็ พชื ต่างๆรวมไปถงึ เปลือกไข่ เป็นต้น
4. หลักการจัดวางองค์ประกอบศิลป์ หมายถึง การนาส่วนประกอบต่าง ๆ ของ
ทศั นธาตตุ า่ งๆ เชน่ จุด เสน้ รปู รา่ ง รูปทรง ขนาด สัดส่วน แสงเงา สี ช่องว่าง และลักษณะ
ผิว มาสร้างสรรค์เป็นผลงาน การเรียนรู้องค์ประกอบศิลป์จึงเป็นพื้นฐานสาคัญในการสร้างสรรค์
ผลงานศิลปะทกุ แขนงเพอื่ ใหเ้ กิดความงามหรอื สื่อความหมายทางศิลปะได้
ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะได้รบั
1. พัฒนาทักษะและเทคนคิ ในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปะส่ือผสม
2. เสริมสร้างความเชอื่ มั่นในสร้างสรรคผ์ ลงานศิลปะใหก้ บั นกั เรียน
3. ทาให้นักเรียนเข้าใจถึงความหมายของศิลปะส่ือผสม ซ่ึงจะช่วยให้นักเรียน
สรา้ งสรรค์ผลงานศลิ ปะเพือ่ ส่อื ความหมายไดม้ ากยงิ่ ข้นึ
4. เสรมิ สรา้ งแรงบนั ดารใจในการสร้างสรรค์ผลงานให้นกั เรยี น
5. สร้างความนา่ สนใจ มีส่วนสรา้ งบรรยากาศในการเรียนการสอน
6. เสรมิ สรา้ งจติ นาการและความคิดสรา้ งสรรคใ์ นการสรา้ งสรรค์ผลงาน
7. ทาใหน้ กั เรียนร้จู ักนาเอาวัสดุธรรมชาติท่มี ีอยรู่ อบตวั มาสรา้ งสรรค์ผลงานศลิ ปะได้
สถานท่ีดาเนินการวจิ ัย
โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา
ระยะเวลาในการดาเนนิ การวจิ ัย
ระยะท้ังหมดในการดาเนนิ การวิจยั เปน็ ระยะเวลา 2 เดอื น เริ่มต้ังแต่เดือน ธันวาคม 256๓–
กุมภาพนั ธ์ 256๔
\
บทที่ 2
ทฤษฎี เอกสาร และงานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วข้อง
การดาเนินการวจิ ยั เรอื่ งพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการRBLเรื่องศิลปะส่ือผสม
จากวัสดธุ รรมชาติ เพอื่ สง่ เสริมทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานศิลปะสาหรับกับนักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา ได้ทาการศึกษาทฤษฎี
เอกสาร และงานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วข้อง ดังนี้
1. ทฤษฏีพระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
2. ทฤษฏีตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2551 กระทรวงศกึ ษาธิการ
3. ทฤษฎีศิลปะสื่อผสม
4. ทฤษฎกี ารจดั การเรียนร้แู บบใช้การวจิ ัยเปน็ ฐาน (RBL)
5. ทฤษฎกี ารสอนแบบปฏิบตั ิ
6. ทฤษฏีกิจกรรมการเรียนการสอนแบบสาธติ
7. ทฤษฎีพฒั นาการและพฤติกรรมของเด็กในระดับมธั ยมศึกษา
8.งานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง
ทฤษฏพี ระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542
ทฤษฏี เรื่องพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (สานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาแหง่ ชาติ(2545 : 5-38) ได้กาหนดจดุ หมายและหลกั การในการจัดการเรียนรู้ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. หมวด 1 มาตรา 6 การจัดการศึกษาตอ้ งเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์
ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิตสามารถ
อยรู่ ว่ มกบั ผอู้ ่นื ไดอ้ ย่างมคี วามสุข
2. หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคน
มีความสามาร ถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ได้และถือว่า ผู้เรียนมีควา มสาคัญท่ีสุดก ระบวนการจั ด
การศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพและในมาตรา24
การจัดกระบวนการเรียนร้ใู ห้สถานศึกษาและหน่วยงานทเ่ี ก่ยี วข้อง ดาเนินการดงั ต่อไปนี้
2.1 จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของ
ผูเ้ รยี นโดยคานงึ ถงึ ความแตกตา่ งระหว่างบุคคล
2.2 ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์
ความรู้มาใชเ้ พอ่ี ป้องกันและแก้ไขปัญหา
2.3 จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทาให้คิด
เปน็ ทาเป็นรกั การอ่านและเกดิ การใฝร่ ู้อยา่ งต่อเน่ือง
2.4 จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วน
สมดุลกันรวมทัง้ ปลกู ฝังคณุ ธรรมคา่ นยิ มท่ดี งี ามและคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ไว้ในทุกวชิ า
2.5 ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม ส่ือการเรียน
และอานวยความสะดวกเพ่อื ให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรู้และมคี วามรอบรู้
3. หมวด 9 เทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา มาตรา 65 ให้มีการพัฒนาบุคลกรท้ังด้าน11ผู้ผลิต
และผู้ใช้เทคโนโลยีเพ่ือการศึกษาเพื่อให้มีความรู้ ความสามารถและทักษะในการผลิต รวมทั้งการใช้
เทคโนโลยที เ่ี หมาะสม มีคณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพ
4. มาตรา 66 ผู้เรียนมีสิทธิได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพ่ือ
การศกึ ษาในการแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
สรุปได้ว่าพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่ผู้วิจัยได้ทาการศึกษามาน้ันมี
ความสาคัญมากต่อการวิจัยในครั้งน้ีเพื่อเป็นเพิ่มความรู้และเสริมสร้างความเข้าใจให้กับผู้วิจัยที่จะทา
พัฒนาผลงานการวิจัยให้สอดคล้องพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่ให้ความสาคัญ
ของการจัดการศึกษาโดยยึดหลักท่ีว่า ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่า
ผู้เรียนสาคัญท่ีสุดและจะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ และ
สนับสนุนให้มีการใช้สื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาที่มีคุณภาพเพ่ือพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้เกิด
คณุ ภาพสูงสดุ
ทฤษฏีตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช
2551 กระทรวงศึกษาธกิ าร
ทฤษฏีตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช
2551 กระทรวงศกึ ษาธิการ (2551 : 6) เร่อื ง คณุ ภาพผูเ้ รยี น เมอื่ จบชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖
1. รู้และเข้าใจเกี่ยวกับทัศนธาตุและหลักการออกแบบในการสื่อความหมาย
สามารถใชศ้ ัพท์ทางทัศนศิลป์ อธิบายจุดประสงค์และเน้ือหาของงานทัศนศิลป์ มีทักษะและเทคนิคใน
การใช้วัสดุอุปกรณ์และกระบวนการท่ีสูงขึ้นในการสร้างงานทัศนศิลป์ วิเคราะห์เน้ือหาและแนวคิด
เทคนิควิธีการการแสดงออกของศิลปินท้ังไทยและสากล ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในการ
ออกแบบสร้างสรรค์งานที่เหมาะสมกับโอกาส สถานท่ี รวมท้ังแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับสภาพสังคม
ด้วยภาพล้อเลยี นหรอื การต์ ูน ตลอดจนประเมินและวิจารณ์คณุ ค่างานทศั นศิลปด์ ้วยหลักทฤษฎีวิจารณ์
ศิลปะ
2. วิเคราะห์เปรียบเทียบงานทัศนศิลป์ในรูปแบบตะวันออกและรูปแบบตะวันตก
เข้าใจอิทธิพลของมรดกทางวัฒนธรรมภูมิปัญญาระหว่างประเทศท่ีมีผลต่อการสร้างสรรค์งาน
ทัศนศลิ ปใ์ นสงั คม
สรุปได้ว่า ทฤษฏีตวั ช้ีวดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง ตามหลกั สตู รการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน
พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 6) เรอ่ื ง คุณภาพผู้เรียนเมื่อจบชนั้ มธั ยมศกึ ษา
ตอนปลาย ทผ่ี ้วู ิจัยได้ทาการศึกษามาน้นั มปี ระโยชนแ์ ละมคี วามสาคัญต่อการจดั ทาแผนการสอน การ
จัดกิจกรรมการเรียนรูใ้ หส้ อดคลอ้ งกับหลักสตู รแกนกลาง และเปน็ แนวทางในการศึกษาหาควมร้ทู ี่จะ
นามาจดั การเรยี นการสอนให้กับเด็กนักเรียนได้อยา่ งเหมาะสมตามวยั ของผเู้ รียน คุณภาพผ้เู รียน จบ
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖
ทฤษฎศี ิลปะสื่อผสม
ทฤษฎี เร่ืองทฤษฎีศิลปะส่ือผสมมีนักวิชาการ นักศึกษา ผู้เชียวชาญ ได้อธิบาย และให้
ความหมาย ดังท่ี
โอเคเนชั่น (2008) ได้รวบรวมและกล่าวว่า สื่อผสม (Mixed media art) เป็น งานวิจิตร
ศลิ ปท์ ี่ผสมผสานส่ือหลาย ๆ ประเภทเข้าด้วยกัน ได้แก่ งานจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ หรือ
งานวาดเส้น ศิลปะส่ือผสมอาจมี ๒ ลักษณะ เป็น ๒ มิติ หรือ ๓ มิติ ก็ได้ ปัจจุบันการถ่ายทอด
สร้างสรรค์ ผลงานทัศนศลิ ป์ไมจ่ ากัดอยู่ กบั การแสดงออกในลักษณะใด ลักษณะหนึ่งอาจเป็นการผสม
กันทงั้ การวาดเขยี น การระบายสี การพิมพ์ ประติมากรรม รวมทั้งการผสมผสาน ทางเทคโนโลยี ใหม่
ๆ เชน่ วดิ โี อคอมพิวเตอร์ เป็นตน้ และวสั ดุที่ ทรี่ องรับ ผลงานอาจไมใ่ ชบ่ นพ้ืนกระดาษ ผา้ ใบ หรือเป็น
รูปทรง 3 มิติ ธรรมดาอาจจะปรากฏอยู่บนสถาปัตยกรรม หรือภูมิประเทศ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา
หรือบนสือ่ ใหม่ ๆ ท่ีมกี ารพัฒนาตลอดเวลา
กระบวนการถา่ ยทอดทศั นศิลป์
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2533) ได้รวบรวมและกล่าวว่าว่า การใช้สื่อประสมจะช่วยให้ผู้เรียนมี
ประสบการณ์จากประสาทสัมผัสที่ผสมผสานกัน ได้พบวิธีการท่ีจะเรียนในส่ิงท่ีต้องการได้ด้วยตนเอง
มากยิ่งข้ึน หรือ มีอีกความหมายหน่ึงว่า ส่ือประสม หมายถึง การนาวัสดุอุปกรณ์ชนิดต่าง ๆ เช่น
ภาพยนตร์ โทรทัศน์ สไลด์ ฟิล์มสตริป รูปภาพ หุ่นจาลอง หนังสือ เป็นต้น ซึ่งมีเน้ือหาสาระสัมพันธ์
กับกิจกรรมการเรียนการสอน แล้วเลือกมาประกอบกนั เพอื่ ใช้ในการเรียนการสอนในแต่ละคร้ัง
สมสิทธิ จิตรสถาพร (2547) ได้รวบรวมและกล่าวว่า สื่อประสม (multimedia) หมายถึง
การใช้สื่อหลายอย่างประกอบกันอย่างเป็นระบบ การ นาส่ือหลายๆประเภทมาใช้ร่วมกันทั้งวัสดุ
อปุ กรณ์ และ วธิ ีการ เพ่อื ให้เกดิ ประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนการสอนโดยการใช้สื่อ
แตล่ ะอยา่ ง ตามลาดับข้ันตอนของเน้ือหา และในปัจจุบันมีการนาคอมพิวเตอร์มาใช้ร่วมด้วย เพื่อการ
ผลิต หรือการควบคุมการทางานของอุปกรณ์ต่างๆ ในการนาเสนอข้อมูลทั้ง ตัวอักษร ภาพกราฟิก
ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว แบบวีดีทัศน์และเสียง และเป็นงานวิจิตรศิลป์ที่ผสมผสานสื่อหลาย ๆ
ประเภทเข้าด้วยกัน ได้แก่ งานจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ หรืองานวาดเส้น ศิลปะส่ือผสม
อาจมี ๒ ลักษณะ เป็น ๒ มติ ิ หรือ ๓ มิติ ก็ได้
สรุป ได้ว่าทฤษฎีศิลปะส่ือผสมน้ันมีความหมายมาจากคาว่า ส่ือประสม (multimedia)
หมายถึง การนาสือ่ หลายๆประเภทมาใชร้ ่วมกนั ทง้ั วัสดุ อุปกรณ์ และ วิธีการ เพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพ
และประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนการสอนโดยการใช้สื่อ แต่ละอย่าง ตามลาดับข้ันตอนของเน้ือหา
และในปัจจุบันมีการนาคอมพิวเตอร์มาใช้ร่วมด้วย เพื่อการผลิต หรือการควบคุมการทางานของ
อุปกรณ์ต่างๆ ในการนาเสนอข้อมูลทั้ง ตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพถ่าย ภาพเคล่ือนไหว แบบวีดีทัศน์
และเสยี ง การใช้ส่ือประสมจะช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์จากประสาทสัมผัสที่ผสมผสานกัน ได้พบ
วิธีการท่ีจะเรียนในส่ิงท่ีต้องการได้ด้วยตนเองมากยิ่งข้ึน โดยทางศิลปะน้ันหมายถึง ศิลปะสื่อผสม
(Mixed media art) เป็นงานวิจิตรศิลป์ท่ีผสมผสานสื่อหลาย ๆ ประเภทเข้าด้วยกัน ได้แก่ งาน
จติ รกรรม ประตมิ ากรรม ภาพพิมพ์ หรอื งานวาดเสน้ ศลิ ปะสือ่ ผสมอาจมี ๒ ลักษณะ เป็น ๒ มิติ หรือ
๓ มิติ กไ็ ด้
ทฤษฎีการจดั การเรียนรู้แบบใชก้ ารวิจยั เป็นฐาน (RBL)
ทฤษฎี เร่ืองทฤษฎกี ารจัดการเรียนรู้แบบใชก้ ารวิจัยเป็นฐาน (RBL) มีนักวิชาการ นักศึกษา ผู้
เชียวชาญ ได้อธบิ าย และใหค้ วามหมาย ดังที่
ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2538 : 47) ให้ความหมายของการวิจัยว่า เป็น
กระบวนการสืบหาความจริงเก่ียวกับปรากฏการณ์ตามธรรมชาติอย่างมีระบบ มีการควบคุม การ
สังเกตการบันทึก การจัดระเบียบข้อมูล การวิเคราะห์และตีความหมายเพื่อให้ได้เป็นข้อเท็จจริงท่ี
สามารถนามาสรา้ งเปน็ ข้อสรุปเชอื่ มโยงความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์น้ัน ๆ และนาผลท่ีได้มาพัฒนา
หรอื สรา้ งกฎ ทฤษฎี ท่ที าใหค้ วบคุม หรอื ทานายเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ได้
เสาวนีย์ กานต์เดชารกั ษ์ (2539 : 27-29) ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบ
ใชก้ ารวจิ ัยเป็นฐานไว้ว่าเป็นการนาแนวคิดการวิจัยมาเป็นพ้ืนฐานในการเรียนการสอนและผสมผสาน
วิธีการสอนแบบต่าง ๆ เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้ศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง จากตาราเอกสารสื่อ
ต่าง ๆ คาบอกเล่าของอาจารย์ รวมทง้ั จากผลการวจิ ัย และงานวิจัยตา่ ง ๆ ตลอดจนทารายงานหรือทา
วิจัยได้
อมรวิชช์ นาครทรรพ (2546 : 12) ได้ให้ความหมายเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้แบบใช้การ
วิจัยเป็นฐาน ไว้ว่าเป็นกระบวนการเรียนการสอนท่ีเน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการศึกษาค้นคว้าและ
ค้นพบข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในเร่ืองท่ีศึกษาด้วยตนเอง โดยอาศัยกระบวนการวิจัยอย่างเป็นระบบเป็น
เครือ่ งมือสาคญั
สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ และทัศนีย์ บุญเติม (2547 : 37) ได้ให้ความหมายเก่ียวกับ การ
จดั การเรยี นรูแ้ บบใชก้ ารวิจัยเป็นฐาน ไวว้ ่า เปน็ การสอนเนื้อหาวิชา เรื่องราวกระบวนการทักษะ และ
อน่ื ๆ โดยใช้รูปแบบการสอนชนิดท่ที าให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้เน้ือหาหรือสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการสอนนั้น
โดยอาศัยพื้นฐานกระบวนการวจิ ัย
ทิศนา แขมมณี (2548 : 3) ได้ให้ความหมายเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้แบบใช้การวิจัยเป็น
ฐานหรือใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ก็คือ การจัดให้ผู้เรียนและใช้กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์หรือกระบวนการสืบสอบในศาสตร์ที่เก่ียวข้องกับเร่ืองท่ีศึกษาวิจัย ในการดาเนินการ
แสวงหาความรใู้ หมห่ รือคาตอบทเ่ี ชือ่ ถือได้
จรัส สุวรรณเวลา (2546 : 16) ได้ให้ความหมายของการวิจัยว่า เป็นการได้มาซ่ึงความรู้ท่ี
ทาใหเ้ กิดองค์ความร้ใู หม่ในแต่ละสาขาและกระบวนการวิจัยยังทาให้ผู้วิจัยได้มีการวางแผนเตรียมการ
และดาเนินการอย่างเปน็ ระบบจนคน้ พบความจริง สร้างความร้ใู หม่ที่ถูกต้องและเปน็ ประโยชน์
นอกจากน้ี การวิจยั ได้พัฒนาคุณลักษณะให้ผู้วิจัยต้องมีการคิดวิเคราะห์มีความคิดสร้างสรรค์
มีความซื่อสัตย์ มีความอดทน นับได้ว่าการวิจัยมีบทบาทและความสาคัญท้ังในการพัฒนาสู่ความเป็น
เลศิ ทางวชิ าการ การพฒั นาคนและพัฒนางานและส่งผลไปสู่การพฒั นาประเทศ
1. บทบาทครูและผู้เรียนในการเรียนการสอนแบบครใู ชผ้ ลการวจิ ยั
1.1 แนวทางการใช้การวิจัยในการเรียนการสอน แนวทางที่ 1 ครูใช้ผลการวิจัยใน
การเรียนการสอนครูใช้ผลการวิจัยประกอบการเรียนการสอนเน้ือหาสาระต่าง ๆ ช่วยให้ผู้เรียนขยาย
ขอบเขตของความรู้ ไดค้ วามรู้ทที่ นั สมยั และค้นุ เคยกบั แนวคิดการวจิ ยั
1.2 บทบาทครู
- ครสู บื คน้ แหลง่ ขอ้ มูลทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั สาระที่สอน
- ครศู กึ ษางานวจิ ัย/ขอ้ มูลขา่ วสาร/องค์ความรทู้ ่เี ก่ยี วข้องกับเน้ือหาสาระ
- ครูนาผลการวิจยั มาใช้ประกอบเน้ือหาสาระที่สอนเสริมให้ผู้เรยี นได้ความรู้เพิ่มข้ึนเช่น ครูนา
ผลงานวจิ ัยเกยี่ วกับเรื่องพืช หรอื สขุ ภาพ มาเสริมการเรียนรู้สาระดังกลา่ ว- ประยกุ ต์ใช้ในการเรียนการ
สอน เช่น ครอู ่านผลการวจิ ัยเก่ยี วกบั ทฤษฎคี วามคาดหวังและนามาใช้กับนกั เรียน เป็นต้น
- ครูและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับผลการวิจัย/กระบวนการวิจัย/ความสาคัญ
ของการวจิ ัย
- ครูวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรเู้ ก่ียวกบั ผลการวจิ ัย/กระบวนการวจิ ัยควบคู่กับการ
เรียนรูส้ าระตามปกติ
1.3 บทบาทผู้เรยี น
- เรียนรู้เนื้อหาสาระโดยมีผลการวิจัยประกอบ ทาให้ผู้เรียนคุ้นเคยกับเร่ืองของการ
วจิ ยั การแสวงหาความรกู้ ารใชเ้ หตุผล ฯลฯ
- อภิปรายประเด็นต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับผลการวิจัย/กระบวนการวิจัย/ความสาคัญ
ของการวิจยั
2. บทบาทครแู ละผูเ้ รยี นในการเรยี นการสอนแบบผูเ้ รียนใชผ้ ลการวจิ ยั
2.1 แนวทางการใชก้ ารวจิ ัยในการเรียนการสอน แนวทางที่ 2 ผู้เรียนใช้ผลการวิจัย
ในการเรียนการสอนการใหผ้ ้เู รียนสืบคน้ และศึกษางานวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วข้องกบั สาระทเี่ รยี นดว้ ยตนเอง
2.2 บทบาทครู
- ครูสืบค้นแหล่งข้อมูลและศึกษางานวิจัยที่เก่ียวข้องกับสาระท่ีสอน- ครูกระตุ้นให้
ผู้เรียนเกิดความสนใจใฝ่รู้ เกิดข้อสงสัย อยากรู้อยากแสวงหาคาตอบของข้อสงสัย- ครูให้คาแนะนา
เกี่ยวกับแหล่งข้อมูลและงานวิจัยท่ีผู้เรียนจะต้องสืบค้นเพ่ือการศึกษาหาความรู้ รวมทั้งคัดเลือก
งานวิจยั ทีเ่ หมาะสมกับวยั ของผ้เู รยี น- ครอู าจจาเป็นต้องสรุปงานวจิ ัยใหเ้ หมาะสมกบั ระดบั ของผู้เรียน
- ครูแนะนาวิธีการอ่าน/ศึกษาวิเคราะห์รายงานวิจัยตามความเหมาะสมกับระดับ
ผเู้ รียน ได้แก่ องค์ประกอบต่าง ๆ ของงานวิจัย วัตถุประสงค์ วิธีดาเนินการวิจัยขอบเขต ข้อจากัดของ
ผลการวจิ ยั อภปิ รายผล การวจิ ัยการอา้ งอิง ฯลฯ
- ครเู ชอ่ื มโยงสาระของงานวจิ ยั กบั สาระของการเรยี นการสอน
- ครูและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายเก่ียวกับผลการวิจัย/กระบวนการวิจัย/ความสาคัญ
ของการวจิ ยั
- ครูวัดและประเมินผลทักษะการอ่านรายงานวิจัยและการเรียนรู้เกี่ยวกับ
ผลการวจิ ัย/กระบวนการวิจยั ควบคู่ไปกบั การเรียนรู้สาระตามปกติ
2.3 บทบาทผู้เรยี น
- แสวงหา สืบค้นข้อมูลเก่ียวกับการวิจัยที่เก่ียวข้องกับสาระท่ีเรียนรู้ตามความสนใจ
ของตน
- ศึกษารายงานวิจัยต่าง ๆโดยฝึกทักษะการเรียนรู้ท่ีจาเป็นเช่น ทักษะการอ่าน
งานวิจัยการสรปุ ผลการวจิ ัยการนาเสนอผลการวิจัยการอภปิ รายผลการวจิ ยั
- นาเสนอสาระของงานวิจยั อยา่ งเชอ่ื มโยงกับสาระทีก่ าลงั เรยี นรู้
- อภิปรายประเด็นต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับผลการวิจัย/ความ- ประเมินตนเองเกี่ยวกับ
ทกั ษะการอา่ นรายงาน และการเรียนรู้เกยี่ วกบั ผลการวจิ ยั /กระบวนการวจิ ยั
3. บทบาทครูและผ้เู รียนในการเรยี นการสอนแบบครูใชก้ ระบวนการวิจัย
3.1 แนวทางการใช้การวิจัยในการเรียนการสอน แนวทางท่ี 3 ครูใช้
กระบวนการวิจัยในการเรียนการสอนครูใช้กระบวนการวิจัยซึ่งอาจจะเป็นบางขั้นตอนหรือครบทุก
ข้ันตอนในการจัดการเรียนการสอน โดยพิจารณาตามความเหมาะสมกับสาระการเรียนการสอนและ
วยั ของผเู้ รียน
3.2 บทบาทครู
- ครูพิจารณาวัตถุประสงค์และสาระที่จะให้แก่ผู้เรียนและวิเคราะห์ว่าสามารถใช้
ขั้นตอนการวิจัยข้ันตอนใดได้บ้างในการสอน ซึ่งอาจจะใช้กระบวนการวิจัยบางข้ันตอนหรือครบทุก
ขั้นตอน
- ครอู อกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยใช้กระบวนการวิจัย/ขั้นตอนการวิจัยที่กาหนด
เพ่ือการเรียนร้สู าระทีต่ ้องการตามแผน
- ครูดาเนนิ กจิ กรรม โดยใชก้ ระบวนการวิจัย/ขน้ั ตอนการวิจยั ทก่ี าหนดในการสอน
- ครูฝึกทักษะที่จาเป็นต่อการดาเนินการวิจัยให้แก่ผู้เรียน(ทักษะการระบุปัญหา ให้
คานิยาม ต้ังสมมติฐาน คัดเลือกตัวแปรการสุ่มตัวอย่างประชากร การสร้างเครื่องมือ การพิสูจน์
ทดสอบการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์สังเคราะห์ และสรุปผลการวิจัยการอภิปรายผล และการให้
ข้อเสนอแนะ)
- ครูสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการวิจัยของผู้เรียน และพิจารณาว่า
ควรจะเสรมิ ทกั ษะดา้ นใดใหก้ บั ผ้เู รยี น
- ครแู ละผเู้ รียนร่วมกนั อภปิ รายเกี่ยวกับกระบวนการวจิ ยั และผลการวจิ ัยทเี่ กดิ ข้ึน
- ครวู ดั และประเมินทกั ษะกระบวนการวจิ ัยควบคไู่ ปกับผลการเรียนรู้สาระตามปกติ
3.3 บทบาทผเู้ รยี น
- เรยี นรตู้ ามขนั้ ตอนของกระบวนการวจิ ัยท่ีครูกาหนด
- ฝกึ ทกั ษะกระบวนวจิ ัยท่จี าเป็นตอ่ การดาเนนิ การตามขัน้ ตอนการวจิ ัยทค่ี รูกาหนด
- อภปิ รายประเด็นเกย่ี วกับกระบวนการวิจัยทต่ี นเองมีประสบการณ์ และผลการวิจัย
ทีเ่ กิดขนึ้
- ประเมนิ ตนเองในดา้ นทกั ษะกระบวนการวิจัย และผลการวจิ ัยท่ีได้รบั
4. บทบาทครูและผเู้ รียนในการเรียนการสอนแบบผู้เรียนใชก้ ระบวนการวิจยั
4.1 แนวทางการใช้การวิจัย ในการเรียนการสอน แนวที่ 4 ผู้เรียนใช้
กระบวนการวจิ ัยในการเรยี นการสอนครใู ห้ผเู้ รียนทาวิจยั โดยใช้กระบวนการวิจัย (ครบทุกขั้นตอน) ใน
การทาวิจยั เพ่อื แสวงหาคาตอบ หรอื ความร้ใู หมต่ ามความสนใจของตน
4.2 บทบาทครู
- ครูพิจารณาและวิเคราะห์วัตถุประสงค์และสาระการเรียนรู้ว่ามีส่วนใดท่ีเอื้อให้
ผู้เรยี นสามารถทาวจิ ยั ได้
- ครอู อกแบบกิจกรรมการเรียนร้ทู ีเ่ ปดิ โอกาสให้ผ้เู รียนทาวจิ ัยได้
- ครูกระตนุ้ ให้ผู้เรียนเกดิ ความสนในใฝร่ ู้
- ครูฝึกทักษะกระบวนการวิจัยให้แก่ผู้เรียน (การระบุปัญหาวิจัย วัตถุประสงค์
ต้งั สมมตฐิ านการออกแบบการวิจยั สร้างเคร่ืองมอื
- ครแู ละผเู้ รียนร่วมกันอภปิ รายเกีย่ วกบั กระบวนการวิจยั และผลการวจิ ัยทีเ่ กดิ ขน้ึ
- ครวู ดั และประเมนิ ทักษะกระบวนการวจิ ยั ควบคไู่ ปกับผลการเรยี นร้สู าระตามปกติ
4.3 บทบาทผ้เู รยี น
- คดิ ประเดน็ วิจัยท่ตี นสนใจ
- ฝึกทักษะกระบวนการวิจัยท่ีจาเป็นต่อการดาเนินการ เช่นการระบุปัญหาวิจัยและ
วัตถปุ ระสงค์ การตั้งสมมติฐานการออกแบบการวจิ ยั การสรา้ งเครือ่ งมอื ฯลฯ
- ปฏิบตั ิการวจิ ยั ตามกระบวนการวจิ ยั ทเี่ หมาะสม
- บันทึกความคิด และประสบการณ์ รวมท้ังข้อสังเกตต่าง ๆที่ตนประสบจากการ
ดาเนินงาน
- อภปิ รายประเดน็ เกย่ี วกบั กระบวนการวิจัย และผลการวจิ ยั ทเี่ กดิ ขนึ้
- ประเมินตนเอง ด้านทักษะกระบวนการวจิ ัย
5. บทบาทครูในการจดั การเรยี นรู้โดยเน้นกระบวนการวจิ ยั
ทิศนา แขมมณี (2547) กล่าวถึงกระบวนการวิจัยว่ามีด้วยกัน 6 ข้ัน ได้แก่ข้ันท่ี 1 การระบุปัญหา
ขั้นท่ี 2 การตัง้ สมมติฐาน ข้ันที่ 3 พิสูจน์ทดสอบสมมติฐาน ข้ันท่ี 4 รวบรวมข้อมูล ขั้นที่ 5 วิเคราะห์
ข้อมูล และขั้นท่ี 6 สรุปผล ซึ่งในการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการวิจัยหรือใช้การวิจัย
เปน็ สว่ นหน่ึงของการเรียนรู้โดยท่ัว ๆ ไป ครูมักจัดให้ผู้เรียนดาเนินการตามขั้นตอนของการวิจัยท้ัง 6
ขั้น แต่จุดอ่อนท่ีพบก็คือ ครูมักไม่สอนหรือฝึกทักษะกระบวนการท่ีจาเป็นต่อการดาเนินการให้แก่
ผเู้ รยี น ตัวอย่างเชน่ ครมู กั มอบหมายใหผ้ ้เู รยี นไปสืบค้นข้อมลู ความรู้ หรือไปเก็บข้อมลู หรือสรุปข้อมูล
โดยไม่ได้สอนหรือฝึกทักษะหรือสิ่งที่จาเป็นต่อการทาส่ิงน้ัน จึงได้กล่าวได้ว่าเป็นการสั่งมากกว่าการ
สอน การส่ังเป็นเพียงการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีโอกาสใช้กระบวนการเหล่าน้ัน ซ่ึงผู้เรียนจะทาได้มาก
น้อยหรือดีเพียงใดนั้น ข้ึนอยู่กันศักยภาพของผู้เรียนเป็นสาคัญ ครูไม่ได้สอนเพราะการสอนหมายถึง
การช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพิ่มพูนขึ้นจากระดับที่เป็นอยู่ ดังนั้นหากครูจะสอนกระบวนการวิจัย
ครูจะต้องช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เก่ียวกับกระบวนการดังกล่าว ครูจาเป็นต้องช่วยเสริมทักษะที่
จาเป็นต่อการดาเนินงานในแต่ละขั้นตอน ซ่ึงทักษะเหล่าน้ีส่วนใหญ่จะเป็นทักษะที่เรียกว่า ทักษะ
กระบวนการ ซึ่งอาจเป็นทักษะกระบวนการทางสติปัญญา เช่น ทักษะกระบวนการคิด หรือทักษะ
กระบวนการทางสังคมเช่น ทักษะการปฏิสัมพันธ์ ทักษะการทางานร่วมกัน นอกจากนี้ยังกล่าวถึง
บทบาทครูในการจัดการเรยี นรโู้ ดยกระบวนการวิจัยในแต่ละข้ันตอนของกระบวนการวิจัย นาเสนอได้
ดังนี้
5.1 ระบปุ ญั หาการวจิ ยั ครูจะทาอย่างไร ผู้เรียนจงึ จะสามารถระบุปัญหาการวิจัยได้
ชดั เจน โดยครูควรสอนและฝกึ ทกั ษะการสังเกตปัญหา ตงั้ คาถาม รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ปัญหา และ
ระบุปัญหาทแี่ ท้จริง
5.2 ตั้งสมมติฐาน ครูจะทาอย่างไร ผู้เรียนจึงจะสามารถต้ังสมมติฐานได้ โดยที่ครู
ควรสอนและฝึกให้ผู้เรียนรู้จักวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล หาสาเหตุคาดเดาคาตอบของปัญหาอย่างมี
หลักการและมหี ลักฐานรองรบั และต้ังสมมตฐิ านทีเ่ หมาะสม
5.3 พิสูจน์ ทดสอบ สมมติฐาน ครูทาอย่างไร ผู้เรียนจึงจะสามารถพิสูจน์ ทดสอบ
สมมติฐานได้ โดยครูควรสอนและฝึกให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการและวิธีการในการออกแบบ การ
พสิ จู น์หรอื ทดสอบสมมตฐิ านท่ีเหมาะสมกับศาสตร์ของเร่ืองทีว่ ิจยั
5.4 รวบรวมข้อมูล ครูจะทาอย่างไร ผู้เรียนจึงจะสามารถรวบรวมข้อมูลได้ โดยครู
ควรสอนและฝึกให้ผู้เรียนรู้จักวิธีการแสวงหาแหล่งข้อมูล วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิธีการสร้าง
เคร่อื งมอื ท่ีเหมาะสมกับศาสตรข์ องเรื่องทว่ี ิจัย
5.5 วิเคราะห์ข้อมูลครูจะทาอย่างไร ผู้เรียนจึงจะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ โดยครู
ควรสอนและฝกึ ใหผ้ ้เู รยี นรจู้ ักวธิ ีการทีเ่ หมาะสมกับศาสตร์ของเร่ืองท่วี ิจยั ในการวเิ คราะห์ข้อมูล การใช้
สถติ ติ า่ ง ๆ การกาหนดเกณฑป์ ระเมนิ และการนาเสนอข้อมลู
5.6 สรุปผล ครูจะทาอยา่ งไร ผเู้ รียนจงึ จะสามารถสรปุ ผลได้ โดยครูควรสอนและฝึก
ให้ผูเ้ รียนรูจ้ กั วธิ กี ารสรุปขอ้ มูล และการตอบสมมตฐิ าน
สรุปได้ว่า ทฤษฏีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน (RBL) มีแนวทางการจัดการ
เรียนรู้ 4 แนวทาง คือ 1)ครูใช้ผลการวิจัยในการเรียนการสอน 2)ผู้เรียนใช้ผลการวิจัยในการเรียน
การสอน 3)ครูใชก้ ระบวนการวิจยั ในการเรียนการสอน 4)ผู้เรียนใช้กระบวนการวิจัยในการเรียนการ
สอน แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรแู้ นวทางท่ี 4 ได้แก่ ผูเ้ รียนใช้กระบวนการวิจัยในการเรียนการ
สอน ซ่ึงใช้กระบวนการวิจัย 6 ข้ัน ในการจัดการเรียนรู้มีกระบวนการวิจัย ดังนี้ คือ ข้ันที่ 1 ข้ันระบุ
ปญั หาการวิจัย ขั้นท่ี 2 ขั้นตงั้ สมมตฐิ าน ขั้นที่ 3 การพิสูจน์ทดสอบสมมติฐาน ขั้นท่ี 4 ขั้นรวบรวม
ข้อมูล ขัน้ ที่ 5 ข้นั วเิ คราะหข์ อ้ มูล และข้ันท่ี 6 ขัน้ สรุปผล
ทฤษฎกี ารสอนแบบปฏิบัติ
ทฤษฎี เรื่องทฤษฎีการสอนแบบปฏิบัติ มีนักวิชาการ นักการศึกษา ผู้เชียวชาญได้อธิบาย
และให้ความหมาย ดังที่ ศิริพร ขีปนวัฒนา,ศศิธร อินตุ่น และอรทัย อินตา(2557:58-59) กล่าวว่า
วิธีการสอนแบบปฏิบัติ เป็นการถ่ายทอดความรู้และทักษะโดยใช้กระบวนการปฏิบัติ การปฏิบัติ
ดังกล่าวเป็นการปฏิบัติที่ผู้เรียนไม่เคยกระทาหรือมีทักษะมาก่อน จึงเป็นไปในลักษณะของการสาธิต
แล้วให้ผู้เรียนปฏิบัติตาม มักใช้วิธีการหรือแนวทางที่เป็นท่ียอมรับแล้วเป็นหลัก โดยแนวการปฏิบัติ
เหล่านี้จะนาไปสู่การประยุกต์ดักแปลงในภายหลังเม่ือเกิดทักษะความชานาญแล้ว การสอนปฏิบัติจะ
มุ่งเน้นพัฒนาทักษะการและการทางานของผู้เรียนเป็นหลัก โดยการสอนแบบปฏิบัติ แบ่งออกได้ 4
ขนั้ ตอน ดังนี้
1. ข้ันสังเกตและรับรู้ ในข้ันน้ีผู้เรียนต้องสังเกตตัวอย่างการปฏิบัติจากการสาธิตหรือการ
แสดงใหด้ จู ากต้นแบบ
2. ขั้นทาตาม เปน็ ขนั้ ทผี่ ูเ้ รยี นต้องลองทาตามแบบตามลาดับข้นั ตอนของผ้สู าธิตหรอื ผูแ้ สดง
3. ขั้นทาตามโดยไม่มีแบบ เป็นข้ันตอนท่ีผู้เรียนต้องทาการปฏิบัติโดยไม่มีแบบ แต่ทา
ตามลาดับขนั้ ตอนเหมอื นขนั้ ตอนท่ี 2 ทกุ อย่าง
4. ขั้นฝึกให้ชานาญ เม่ือผู้เรียนสามรถทาตามลาดับข้ันตอนในข้ันต้นได้แล้ว ผู้เรียนจะต้อง
ทาการฝึกฝนตนโดยการทาซ้าๆให้เกิดความชานาญ มีความมั่นใจ และเป็นอัตโนมัติการสอนแบบฝึก
ปฏิบัติเป็นการเน้นพัฒนาทักษะพิสัยเป็นสาคัญดังนั้นการสอนแบบน้ีจึงเหมาะสาหรับการสอนเน้ือหา
ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์ และพละศึกษาท่ีต้องใช้ทักษะการปฏิบัติเป็นต้น ความสามารถพิเศษของ
คนผู้สอนในการสอนแบบน้ีต้องสามารถสาธิตได้ดี ชัดเจน เป็นขั้นเป็นตอน ให้ผู้เรียนสังเกตได้ชัดเจน
และสามารถทาตามได้โดยง่าย
สรุปได้ว่า ทฤษฎีการสอนแบบปฏิบัติ ท่ีผู้วิจัยได้ไปศึกษามาน้ัน มีความสาคัญต่อการวิจัยใน
ครั้งน้ีมาก เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในเร่ืองของข้ันตอนการสอนแบบปฏิบัติ
ให้กับผู้วิจัยแล้วยังมีประโยชน์อย่างมากในจัดเตรียมความพร้อมในการวางแผนการสอนในข้ันนา
ผลงานวิจัยไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับประชากรกลุ่มตัวอย่างของงานวิจัย ให้เกิด
ขอ้ ผดิ พลาดและสามารถดาเนินการสอนได้ถูกต้องตามขน้ั ตอนของการสอน
ทฤษฏกี จิ กรรมการเรียนการสอนแบบสาธติ
ทฤษฏี เรอื่ งกจิ กรรมการเรยี นการสอนแบบสาธิต มีนักวิชาการ นักการศึกษาและผู้เชียวชาญ
ได้อธิบายและให้ความหมาย ดังท่ี ศิริพร ขีปนวัฒนา,ศศิธร อินตุ่น และอรทัย อินตา(2557:113-
114) กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบสาธิตเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบหนึ่งที่สามรถ
นาไปสอดแทรก ประยุกต์ใช้กับการสอนวิธีต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาท่ีเกี่ยวกับการปฏิบัติหรือ
พฒั นาผเู้ รียนทางทักษะพิสัย การสาธิตเป็นการที่ครูผู้สอนทาการแสดงหรือปฏิบัติให้นักเรียนได้ดูและ
สังเกตซ่ึงจะช่วยให้ได้ความรู้ข้อเท็จจริง ตลอดจนขั้นตอนในการปฏิบัติงานอย่างถูกต้องชัดเจนและ
ช่วยให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติได้ในท่ีสุด อีกทั้งการสาธิตยังมีความสาคัญอย่างยิ่งสาหรับเนื้อหาที่จะ
ก่อให้เกดิ อันตรายแกผ่ เู้ รยี นได้ เช่นการเตรียมสารเคมีเพ่ือทาการทดลองทางวิทยาศาสตร์ การสาธิตมี
รายละเอียดดังตอ่ ไปน้ี
1. ข้ันตอนการสาธติ
1.1 ข้ันเตรียมการ เปน็ ขั้นตอนกอ่ นทาการสาธิต ซงึ่ ผู้สอนควรเตรียมตวั ดงั นี้
1.1.1 ศกึ ษาเนือ้ หาบทเรียนใหเ้ ขา้ ใจชดั เจน
1.1.2 เตรยี ม อุปกรณ์ ส่ือ ที่จะสาธติ ให้พรอ้ ม
1.1.3 ทดลองสาธติ ดูก่อน
1.1.4 จัดห้องเรยี นให้เหมาะสมกบั การสาธิตบทเรียน
1.1.5 เขยี นแผนภูมิแสดงขน้ั ตอนของการสาธิตไว้
1.2 ขนั้ สาธิต เมื่อผูส้ อนเขา้ ชน้ั เรยี นแล้วจงึ ดาเนนิ การสอนตามลาดับ ดังนี้
1.2.1 เรา้ ความสนใจผู้เรยี น
1.2.2 ทาการสาธติ ใหน้ ักเรยี นดู โดยยดื หลักในการสาธิต ดังนี้
1.2.2.1 สาธติ ตามลาดับขัน้
1.2.2.2 สาธิตช้าๆ พรอ้ มกับบรรยาย เพ่อื ให้ผู้เรียนติดตามดูทนั
1.2.2.3 สาธิตเฉพาะเรือ่ งในบทเรยี นนั้นๆ
1.2.2.4 ให้ผู้เรยี นเห็นท่ัวถึง หรอื ใหผ้ ้เู รยี นออกมาสังเกตการสาธิต
ทลี ะกลุ่มย่อยๆได้
1.2.2.5 สังเกตความสนใจและความตั้งใจของผเู้ รยี น
1.2.2.6 ใหผ้ ้เู รียนรว่ มทาการสาธติ ไปกบั ครู
1.2.2.7 เน้นข้ันตอนสาคญั ๆการสาธติ และเขียนสรปุ บนกระดาน
1.2.2.8 สาธิตให้ดูซ้าอีกรอบเป็นกลุ่มย่อยๆหรือเป็นรายบุคคลก็
ได้
1.3 ขนั้ สรุปและวัดผล เมอ่ื เสรจ็ ส้นิ การสาธิต ผู้สอนให้นักเรียนช่วยกันสรุปบทเรียน
แลว้ ครผู สู้ อนค่อยเขยี นสรปุ ลงบนกระดาน วธิ สี รุปทาไดห้ ลายวธิ ี คอื
1.3.1 ให้ผู้เรียนช่วยกนั เล่าเร่อื งสรปุ เป็นตอนๆ
1.3.2 ให้ผูเ้ รยี นทุกคนเขียนขอ้ สรปุ สง่ ครผู สู้ อนเพ่อื ใหค้ ะแนน
1.3.3 ให้ผู้เรียนทาการสาธิต เพ่ือสังเกตว่าผู้เรียนสามรถทาได้และเข้าใจ
หรือไม่
1.3.4 ทดสอบ
2. ข้อดีของการสาธิต
2.1 ผู้เรียนมองเห็นตัวอย่าง แบบอย่าง ข้ันตอนของการปฏิบัติทาให้เข้าใจดี ลึกซึ้ง
มเี หตุผล
2.2ประหยัดเวลาของผู้สอน และผู้เรยี น เพราะได้เห็นตวั อย่างชดั เจน เข้าใจง่ายและ
รวดเรว็
2.3 ประหยดั วัสดุ กรณีทีสาธิตการปฏิบัติงานที่ต้องใช้วัสดุต่างๆเห็นตัวอย่างแล้วจึง
ลงมอื ปฏิบตั ิ โอกาสผดิ พลาดน้อย เป็นการประหยดั หรือรกั ษาวสั ดุ อุปกรณ์ และเครอื่ งมอื ไดด้ ี
2.4 การสาธติ ใหด้ ูแลว้ ปฏิบัตยิ อ่ มปลอดภยั
2.5 ข้นั ตอนใดเขา้ ใจยาก จายาก อาจหยุดจะแล้วทาการแสดงซา้ หรอื สาธิตช้าๆได้
2.6 กระตุ้นและเร้าความสนใจของผู้เรียนได้มากโดยเฉพาะอย่างย่ิงผู้สาธิตหรือ
วิทยากรทเี่ ก่งๆ
3 ขอ้ จากัดของการสาธติ
3.1 การควบคมุ ชั้นเรียนอาจขาดความสงบเรยี บร้อยบ้าง
3.2 หากเตรียมตัวไม่ดีพออาจเกิดอุบัติเหตุหรือผิดพลาดอาจทาให้ผู้เรียนขาดความ
ศรัทธาก็ได้
3.3 หากการดาเนนิ การสาธติ ไม่เป็นไปตามขัน้ ตอนอาจทาให้เสียเวลามาก
สรุปได้ว่า ทฤษฏีการสอนแบบสาธิต ท่ีผู้วิจัยได้ศึกษาในคร้ังนี้ อาทิ ความมายของการสาธิต
ขั้นตอนการสาธิต ข้อดีของการสาธิตตลอดจนข้อจากัดของการสาธิต ล้วนแล้วแต่มีความสาคัญอย่าง
มากตอ่ งานการวิจยั ในคร้งั น้เี พื่อเป็นประโยชน์ในการทาส่ือวิดีโอช่วยสอนการสาธิตเพ่ือให้สามารถเพิ่ม
ขอ้ ดีของการสาธิตให้ดยี ่งิ ขน้ึ กวา่ เดมิ และลดข้อจากัดของการสาธิตให้น้อยที่สุดเพื่อส่ือที่ได้จะมีคุณภาพ
สูงสุดสามรถใช้ในการสาธิตการเรียนการสอนเรื่องการวาดภาพระบายสีน้าได้จริงและ ทาให้เข้าใจถึง
กระบวนการสอนแบบสาธิตเพ่ือเป็นประโยชน์สูงสุดในขั้นตอนของการนาผลงานการวิจัยไปใช้ในช้ัน
เรยี นทาใหส้ ามารถดาเนนิ การสอนได้ถกู ตอ้ ง
ทฤษฎพี ฒั นาการและพฤติกรรมของเด็กในระดบั มัธยมศึกษา
ทฤษฎี เร่ืองพัฒนาการและพฤติกรรมของเด็กในระดับมัธยมศึกษา มีนักวิชาการ นักศึกษา
ผู้เชี่ยวชาญ ได้อธิบายและให้ความหมาย ดังที่ ลักขณา สริวัฒน์ (2557 : 66-74) กล่าวว่า เด็ก
มัธยมศกึ ษานีอ้ ยู่ในช่วงของวัยเริ่มเข้าส่วู ยั รุ่นและวนั รุ่น ทีต่ อ่ มาจากวยั เดก็ ซงึ่ ได้ความรู้และทักษะต่างๆ
ท้ัง8กลุ่มสาระการเรียนรทู้ ีเ่ ป็นเนือ้ หาด้านวิชาสามัญและวิชาชีพในเบ้ืองต้นมาแล้ว และต้องได้รับการ
จัดการเรียนรู้ต่อเนื่อง จากชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 จึงจะจบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดย
ธรรมชาติแล้วเด็กในวัยน้ีจะมีพัฒนาการทางจิตสังคมอยู่ในข้ันความมีเอกลักษณ์ -ความสับสนใน
บทบาท นั่นคือ เขาจะพยายามค้นหาตัวเองเพ่ือที่จะเห็นภาพของตัวเอง และกาหนดแนวทางชีวิตของ
ตนเอง อาจมีความสับสนในบทบาททางเพศ การเลือกอาชีพ สถานภาพ ความแตกต่างทางด้าน
เอกลักษณแ์ ห่งตนจะปรากฏขน้ึ อยา่ งชดั เจนในวยั น้ี เดก็ จะมพี ฒั นาการทางความรู้ความเข้าใจอยู่ในรูป
นามธรรมและมีการทดสอบสมมติฐานได้ ครูจึงต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเด็กในระดับนี้มีการ
เปล่ียนแปลงมากท่ีสุดในชีวิต จึงก่อให้เกิดความรู้สึกสับสนในบทบาทของตนเองในบางสถานการณ์
และเกิดความคับข้องใจผสมกับความขัดแย้งในใจ เพื่อนมีอิทธิพลมากกว่าพ่อแม่ เพราะมีเวลาใกล้ชิด
กัน เข้าใจกัน เห็นอกเห็นใจกัน ปรึกษาหารือกัน มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน การได้รับการ
ยอมรบั จากเพื่อนจึงสาคัญมาก เด็กทม่ี ีปญั หาจะมีความรูส้ ึกขมขื่นใจและไม่ชอบโรงเรียน ดังนั้นจึงเป็น
เรื่องทคี่ รตู อ้ งให้ความเอาใจใส่กับเด็กวัยน้ีแต่ไม่เข้าไปยุ่งเสียทุกเร่ืองโดยเฉพาะเรื่องส่วนตัว เพียงคอย
สังเกตอยู่ห่างๆ และเสนอตัวช่วยเหลือทันทีหากเด็กต้องการความช่วยเหลือ ครูต้องเข้าใจว่า
ความสาเร็จค้านวุฒิภาวะทางเพศมีผลต่อการแสดงพฤติกรรมหลายลักษณะ เช่น การให้ความสาคัญ
กับกลุ่มเพ่ือนมากขึ้น การให้ความสนใจเรื่องอนาคตโดยมีป้าหมายภายหลังเรียนจบ ส่วนเด็กท่ีคิดจะ
ไม่เรียนต่อจะคานึงถึงความสามารถของตน นึกถึงคะแนนและการเรียนเพื่อประกอบอาชีพใดอาชีพ
หน่ึงโดยเฉพาะ ในลาดับต่อไปเป็นเนื้อหาสาระเกี่ยวกับพัฒนาการและพฤติกรรมด้านร่างกาย
พัฒนาการและพฤติกรรมด้านสติปัญญา พัฒนาการและพฤติกรรมด้านอารมณ์ พัฒนากาและ
พฤติกรรมด้านสังคม และพัฒนาการและพฤติกรรมดา้ นจรยิ ธรรม ดังรายละเอียดต่อไปน้ี
1.1 พฒั นาการและพฤติกรรมด้านรา่ งกาย
เดก็ ช่วงเข้าส่วู ยั ร่นุ มลี ักษณะทีส่ าคญั ของพัฒนาการและพฤติกรรมดา้ นรา่ งกายทสี่ ังเกตไดด้ งั นี้
1.1.1 เด็กหญิงเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าชาย เด็กชายบางคนเข้าสู่วัยรุ่นช้ากว่าเด็กชาย
ดว้ ยกัน เด็กในวยั น้ีมักมีปัญหาทางการปรับตัว บางครั้งด้วยเหตุท่ีไม่สามรถร่วมกิจกรรมอ่ืนๆกับเพื่อน
ได้ ครูจึงควรสนับสนุนให้ทากิจกรรมอื่นๆที่เขาทาได้เพ่ือให้เกิดความภาคภูมิใจ เช่น เป็นกรรมการ
หอ้ งเรยี น เป็นหัวหน้าชุมนุมที่ตนเองถนัด หรือช่วยงานครู งานชุมชน เป็นต้น ภายหลังจากนี้อีก 3 ปี
เด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงจะสูงเต็มท่ีแต่เด็กชายยังสูงต่อไปได้อีกหลังจากระยะน้ี
เดก็ วยั นจี้ ะมนี ้าหนกั และส่วนสูงมากท่ีสุด
1.1.2 ลักษณะทางเพศปรากฏชัดในระยะน้ี ครูควรสอนเรื่องเพศศึกษา การปฏิบัติ
ตัวกับเพอื่ นต่างเพศในทางทีถ่ กู ต้องเหมาะสม เช่น การช้ีแจงเรื่องรอบเดือน การฝันเปียก เพื่อจะได้นา
ความรู้ความเข้าใจไปใช้ในการปฏิบัติตนท่ีเหมาะสมให้ได้ในระดับดี ภายหลังจากน้ันอีก 3-4 ปี
พัฒนาการไปเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวที่จึงสนใจในร่างกายตนเอง และจะหมกมุ่นอยู่กับการแต่งตัว มักเกิด
ความรู้สึกว่าตนเองถูกจ้องมอง และผู้อื่นกาลังหัวเราะเยาะ ครูจึงต้องให้คาแนะนาที่ดีและให้กาลังใจ
สนับสนุนให้ทางานสังคมให้มากขึ้น ได้กาหนดงานเบาๆให้ทาหลังจากให้งานที่มีกิจกรรมหนักไปแล้ว
เพ่อื มีเวลาได้พักบ้างในการทางาน และเดก็ ในวัยนี้จะเกดิ ความเบื่อหน่ายไดง้ ่าย จึงควรให้ทากิจกรรมท่ี
ไม่จาเจซ้าซาก หรือให้เขาได้เตรียมตนเอง หรือเลือกกิจกรรมเอง เช่น กิจกรรมการแข่งขันจับคู่
ระหว่างคาและความหมายของภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษบนกระดานระหว่างกลุ่มต่างๆผลัดเปลี่ยน
ระหว่างทักษะการฟัง พดู อา่ น และเขียน เปน็ ต้น
1.1.3 เด็กมีลกั ษณะเก้งกา้ งเน่ืองจากการเปลย่ี นแปลงทางร่างกาย มีความวิตกกังวล
ในการเปลี่ยนแปลงของตัวเองจึงดูขัดหูขัดตาไปหมด แต่จะพิถีพิถันในการแต่งกาย ครูจึงต้องชี้แจงให้
เด็กทราบถึงกายแต่งกายให้ถูกต้องตามสถานการณ์และกาลเวลา และไม่ทุ่มเทกับการแต่งกายมาก
เกินไปจนเสียเงนิ โดยใช่เหตุและทาใหเ้ สียการเรียนไปดว้ ย
1.1.4 เด็กในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเริ่มมีพัฒนาการทางเพศ ต่อมต่างๆ
เจริญเติบโตเต็มท่ี ร่างกายมีการเปล่ียนแปลงเต็มท่ี เด็กมักจะมีปัญหาเรื่องขาดสารอาหารเพราะ
พยายามรกั ษาทรวดทรงโดยเฉพาะเด็กหญิง ครูจึงต้องให้ความรู้ให้คาแนะนาเรื่องโภชนาการอาหารที่
ถูกต้อง และพยายามให้เดก็ ไว้ใจเพ่ือยอมเขา้ มารับคาปรึกษาอย่างใกล้ชดิ
1.1.5 เด็กท่ีมีสุขภาพดีแข็งแรงจะสมบูรณ์เต็มที่ เนื่องจากได้รับสารอาหารและการ
พกั ผ่อนทเี่ พยี งพอ ซึ่งมักจะมีการสร้างนักกีฬาในเด็กท่ีอยู่ในช่วงวัยนี้ซึ่งเป็นช่วงที่แข็งแรงและให้กาลัง
ดีท่สี ดุ
1.1.6 ครูควรให้เด็กทางานท่ีใช้พลังงานในช่วงเวลาว่างให้เหมาะสมและเกิด
ประโยชน์ในโรงเรียนและชุมชน และสังคม ดังน้ันพ่อแม่ ครู และชุมชน จึงต้องร่วมมือกันให้การดูแล
เอาใจใส่อบรมส่ังสอนให้มากข้ึนไม่ควรปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับผิดชอบเพียงฝ่ายเดี่ยว เพราะยุค
สมัยนี้เป็นยุคแห่งการสื่อสารที่มีการติดต่อได้รวดเร็ว ดังนั้นพฤติกรรมของเด็กนักเรียนควรอยู่ใน
สายตาผทู้ ่ีเกย่ี วข้องทกุ ฝ่ายเพ่ือป้องกนั ไมใ่ ห้เกิดความเสื่อมเสียไปมากกวา่ นี้
1.2 พัฒนาการและพฤตกิ รรมดา้ นสติปญั ญา
เดก็ ระดบั มะยมศึกษาเป็นวัยท่ีพัฒนาการทางสติปัญญาข้ันการคิดแบบมีเหตุผลเชิงนามธรรม
เดก็ จะมคี วามสามรถคิดแกไ้ ขปญั หาหรือสรุปเหตุผลอย่างมีระบบ สามรถสรุปเหตุผลได้ถึงแม้ว่าข้อมูล
ที่มีอยู่ไม่ครบ สามารถคิดความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ต่างๆ หรือสามารถตั้งสมมุติฐานและสรุป
กฎเกณฑ์จากการตรวจสอบสมมตฐิ านท่กี าหนดขน้ึ
1.2.1 ลกั ษณะสาคญั ของเด็กขัน้ การคดิ แบบเหตผุ ลเชงิ จรยิ ธรรม 3 ประการ ดังนี้
1.2.1.1 สามรถคิดหาเหตุผลแบบอนมุ านเชงิ สมมติ เปน็ การคิดสรุปเหตุผล
จากกฎหลักการท่ัวไปสู่เหตุการณ์เฉพาะโดยใช้ข้อมูลท่ีสมมติข้ึนแต่จะจากัดอยู่เฉพาะเหตุการณ์หรือ
ข้อมูลท่ีคุ้นเคยที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น แต่เด็กที่ผ่านการคิดแบบขั้นต้นได้แล้วจะสามรถคิดจากข้อมูลที่
เปน็ นามธรรมได้
1.2.2.2 สามรถคิดหาเหตุผลจากประพจน์ เด็กในข้ันนี้จะสามารถสรุป
เหตุผลจากประพจน์ซ่ึงอธิบายเหตุการณ์หรือสิ่งที่เป็นรูปธรรมถึงแม้ว่าข้อความน้ันจะขัดแย้งกับ
ข้อเทจ็ จริงก็ตามสามารถคดิ หาคาตอบอยา่ งมเี หตผุ ลจนไดข้ ้อสรุป
1.2.3.3 สามรถคดิ หาเหตุผลแบบอุปมานเชิงวิทยาศาสตร์ เป็นวิธีการสรุป
กฎเกณฑ์จากข้อเท็จจริงเฉพาะไปสู่กฎทั่วไป โดยพิจารณาผลของตัวแปลของตัวแปลตัวหน่ึงโดย
ควบคมุ ตวั แปลอ่นื ๆใหค้ งทก่ี ่อนท่จี ะสรปุ ดว้ ยวธิ ีการอุปมาน
1.2.2แนวทางการสง่ เสริมพฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของเด็กระดับมธั ยมศึกษา มีดังน้ี
1.2.2.1. เด็กระดับน้ีเข้าใจเน้ือหาที่เป็นนามธรรมได้จึงเข้าใจหลักศีลธรรม
จรรยามากขึ้น แต่มีบางอย่างท่ียากเกินไปที่จะเข้าใจได้เช่นกัน ดังนั้นครูจึงไม่ควรแสดงอาการเบื่อ
หน่ายหรอื เพิกเฉยแตต่ ้องให้ควานสนใจเดก็ และคอยให้คาปรึกษาช่วยเหลือตลอดเวลาถ้าเด็กต้องการ
1.2.2.2. ช่วงความสนใจของเด็กวัยน้ีแต่ก็อดฝันกลางวันไม่ได้เพื่อทดแทน
สิ่งที่ขาดหายไปและในโอกาสการคิดเพ้อฝันมีน้อยลงครูควรให้การบ้านที่กระตุ้นจินตนาการท้ายทาย
ใหใ้ ชค้ วามคดิ สร้างสรรค์ให้กิจกรรมการเรยี นการสอนสนกุ สนาน
1.2.2.3. ครูต้องสอนและอธิบายเกี่ยวกับส่ิงต่างๆที่ท่ีเก่ียวข้องกับการ
ดาเนินชีวิตของคนในด้านจรรยาบรรณ ศาสนา และการเมือง เพราะเด็กยังไม่ค่อยเข้าใจในเร่ือง
ดงั กล่าว
1.2.2.4. ครูควรจัดหาวิทยากรมาให้ความรู้เก่ียวกับการเลือกอาชีพและ
การเตรยี มตวั ไปสอู่ าชัพ เรอื่ งหน้าท่ีพลเมืองที่ดี ค่านิยม และคุณธรรม รวมทั้งเร่ืองอื่นๆท่ีเกี่ยวข้องกับ
พวกเขาในอนาคต
1.3 พฤตกิ รรมและพัฒนาการด้านอารมณ์
เด็กในระดับนม้ี พี ฒั นาการและพฤตกิ รรมดา้ นอารมณล์ ักษณะตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปนี้
1.3.1 เด็กแสดงออกทางอารมณท์ ี่แข็งกร้าว ครูจึงต้องทาความเข้าใจพฤติกรรมทาง
อารมณ์ของเด็กและส่งเสริมให้ได้พิสูจน์ความเป็นผู้ใหญ่ด้วยการทากิจกรรมท่ีใช้ความสามารถและ
ทกั ษะความร้ขู องเดก็ มนวยั นีใ้ หเ้ ต็มที่
1.3.2 เด็กมักจะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ค่อยได้อารมณ์แปรปรวนบ่อยสับสนใน
บทบาทของตนเองวา่ ตนเปน็ เด็กหรอื ผใู้ หญก่ ันแน่ ครูควรปฏิบัติต่อเด็กเช่นเดียวกับกับผู้ใหญ่ แสดงให้
เหน็ ถึงการมคี วามรับผิดชอบ ยอมรับและให้เกยี จอยา่ งเสมอตน้ เสมอปราย เทา่ เทยี มกัน
1.3.3 เด็กชอบส่งเสียงอึกทึก เพื่อปกปิดการขาดความเช่ือมั่นในตนเอง ครูควรช่วย
สร้างกิจกรรมให้เด็กได้ทางานท่ีแข่งขันกับตนเอง จากง่ายไปหายาก เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับ
เดก็ และเสรมิ กาลงั ใหเ้ ดก็ มีกาลังใจ มีแรงจงู ใจที่ดใี หเ้ ด็กใชค้ วามสารถของตนเองอยา่ งเต็มที่
1.3.4 เด็กในวัยน้ีมักจะชอบอีสระมาก มักจะเกิดความขัดแย้งกับพ่อแม่เสมอจึง
ก่อให้เกิดปัญหาช่องว่างระหว่างวัย ฉะน้ันครูจึงต้องเข้าใจและแสดงความเห็นอกเห็นใจ ใกล้ชิดกับ
นักเรยี นเพอื่ ให้เกิดความผกู พันเช่อื ใจ เดก็ จะไดย้ อมขอคาปรึกษาหรือรบั คาปรึกษาได้เสมอ
1.3.5 เด็กชอบเพ้อฝัน โดยเฉพาะเร่ืองอนาคต ซ่ึงเป็นเรื่องท่ีเด็กไม่สามารถรับรู้ได้
แน่นอน ฉะนั้นครูควรให้คาแนะนา ส่งเสริมให้เด็กยอมรับความจริงในบางเร่ืองที่เป็นไปไม่ได้ เพื่อ
ปอ้ งกนั ความผิดหวงั
1.3.6 การแสดงอารมณโ์ กรธ เปน็ เร่อื งธรรมดาของเด็กในวยั นเี้ น่ืองจากความเครียด
ทางจิตไม่สมดุลกันของกาย ใจ และสังคม ก่อให้เกิดความเบ่ือหน่าย เพลีย ครูควรเรียนรู้วิธีการลด
อารมณ์โกรธของเด็ก หรือหากิจกรรมท่ีแปลกใหม่สนุกสนาน แต่หากเด็กมีอาการเร้ือรังควรขอ
คาปรกึ ษาจากครแู นะแนวหรอื นักจิตวทิ ยา
1.3.7 เดก็ มกั ใจแคบยดึ ตนเองเป็นหลัก ฉะน้ันครูควรเน้นให้เด็กยอมรับความสาคัญ
ของความคิดเห็นของคนอื่น ไมใ่ ช่ยดื แตค่ วามคดิ เห็นของตนเองเป็นหลัก
1.3.8 เด็กเริ่มมองครูและผู้ใหญ่ตามความเป็นจริง เน่ืองจากรู้ว่าผู้ใหญ่ก็ทาผิดได้จึง
มักจะมีการต่อต้าน เป็นปรปักษ์ เมื่อเห็นจุดอ่อนหรือผู้ผิดพลาดของครู ฉะน้ันครูควรลดช่องว่าง
ระหวา่ งวัย และฝกึ ให้เด็กร้จู กั ควบคมุ อารมณ์ตนเองเมอ่ื อยู่รว่ มกบั ผู้อ่นื
1.4 พฒั นาการและพฤตกิ รรมดา้ นสงั คม
เด็กในระดับมัธยมนีจ้ ะมลี ักษณะทางจิตสังคมในข้ันความมีเอกลักษณ์-ความสับสนในบทบาท
ตามแนวคิดทฤษฏีพัฒนาการทางบุคลิกภาพของ อิริคสัน คือจะพัฒนาภาวะเอกลักษณ์แห่งตนในด้าน
อาชีพ บทบาททางเพศ การเมือง ศาสนา หรือสับสนในบทบาทและภาวะความเป็นคนโดยเพ่ือนมี
บทบาทต่อพฒั นาการทางสงั คม เป็นแนวทางในการสนับสนุนเพ่ือพัฒนาการทางสังคม ดังรายระเอียด
ต่อไปน้ี
1.4.1 เด็กมกั จะทาตามขอ้ ตกลงในกลุม่ เพ่ือนมากว่าปฏิบัติตามพ่อแม่ ฉะนั้นครูควร
ให้เดก็ ชว่ ยกันวางกฎระเบียบของชน้ั เรียนเป็นแนวปฏบิ ัติ เพอื่ ไม่ให้รู้สกึ วา่ ถูกบงั คบั
1.4.2 เด็กขาดความม่ันใจจึงมักจะทาอะไรคล้ายๆกันกับกลุ่มเพ่ือนเพื่อต้องการ
ความยอมรับจากกลุ่ม ฉะน้ันครูควรสนับสนุนให้เด็กเป็นตัวของตนเองให้ยึดหลักความถูกต้อง
เหมาะสมตามขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ชี้ให้เด็กเห็นถึงประโยชน์และโทษ
ของพฤตกิ รรมท่เี ดก็ กระทาว่าควรหรือไม่ และให้กาลงั ใจเด็กปิดโอกาสให้เด็กแสดงความคิดเห็นได้โดย
ไมม่ ีการตีกรอบ
1.4.3 เด็กจะสนใจเพศตรงกันข้าม เร่ิมมีคนรัก มีการนับพบ โดยคบเพื่อนจานวน
มาก ใครมีเพ่อื นมากยอมเปน็ ท่รี ักของสังคม
1.4.4 เด็กผู้หญิงมีการพัฒนามิติด้านสังคมเร็วกว่าผู้ชายในวัยเด่ียวกัน เด็กผู้หญิง
เรม่ิ มีการนดั กับเดก็ ทโี่ ตกวา่ และมีเพอ่ื นไมก่ ่ีคน แตเ่ ดก็ ชายมกั จะมเี พ่ือนจานวนมาก
1.5 พัฒนาการและพฤติกรรมด้านจรยิ ธรรม
เด็กในวัยนี้จะมีพัฒนาการและพฤติกรรมด้านจริยธรรมในระดับตามกฎเกณฑ์สังคม สาหรับ
เด็กมัธยมตอนต้นจะมีพัฒนาการทางจริยธรรมในข้ันความคาดหวังทางสังคม ความสัมพันธ์ และการ
คล้อยตาม โดยเด็กจะดาเนินชีวิตตามความคาดหวังของผู้ใกล้ชิดตนเองหรือผู้คนท่ัวๆไปที่คาดหวังใน
บทบาทปัจเจกบุคล คนดีในความเข้าใจของเด็กคือการเป็นคนที่มีความหวังดี ห่วงใย รักษา
ความสัมพนั ธท์ ี่ดซี ึง่ กนั และกนั จงึ ก่อใหเ้ กิดพฤตกรรมน้ันๆเพ่ือต้องการท่ีจะเป็นคนดีในทรรศนะคติของ
ตนเองและผอู้ ืน่ ส่วนเด็กมัธยมตอนปรายมพี ฒั นาการทางจริยธรรมในขั้นระบบสังคมและมโนธรรมคือ
ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับหรือตกลงกับผู้อ่ืนโดยคิดว่ากฎเกณฑ์เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติยกเว้นว่าการปฏิบัติ
น้ันขัดแย้งกับหน้าท่ีทางสังคมอ่ืนๆที่กาหนดไว้ตายตัวแล้ว และยังคิดว่าส่ิงที่ถูกต้องนั้นจะต้องทา
ประโยชน์แก่สังคม กลุ่มคนหรือสถาบันเพื่อปฏิบัติตามพันธะที่ตนเองเป็นผู้กาหนดด้วยจิตมโนธรรม
แนวทางการส่งเสรมิ พัฒนาการและพฤติกรรมด้านจรยิ ธรรมของเด็กมธั ยมศึกษา มีดังน้ี
1.5.1 ครูใช้กิจกรรมกลุ่มในการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมที่ไม่พึ่งประสงค์ เช่นการเข้า
เรียนช้าต้องช่วยเพื่อนทางานกลุ่มโดยให้เพื่อนในกลุ่มช่วยปรับพฤติกรรมกันเอง ครูไม่ควรใช้วิธีข่มขู่
ก้าวร้าว เพื่อให้เด็กฟัง แต่กลับตรงกันข้างนอกจากเด็กจะไม่ฟังครูแล้ว ยังทาให้เด็กมีเจตคติที่ไม่ดีต่อ
ครูด้วย
1.5.2 ให้เด็กรับผิดชอบงานร่วมกัน เช่น โครงงาน เป็นการฝึกให้เด็กใช้ความคิด
สรา้ งสรรค์ ความคิดวิเคราะห์ และความพยายามในการสร้างสรรค์ผลงานให้สาเรจ็ ถือได้ว่าเป็นการ
เป็นการเปดิ โอกาสใหเ้ ด็กไดแ้ สดงความสามารถและความรขู้ องตนเองและเปน็ ท่ียอมรับ
1.5.3 เด็กวยั น้ีไม่ชอบการถูกบังคับและถูกตาหนิต่อหน้าเพื่อนๆหรือผู้อ่ืน เพราะจะ
ทาให้รู้สึกอาย ครูควรเรียกมาพุดคุยเป็นการส่วนตัวด้วยเหตุและผลและชี้ให้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษ
ควรให้เด็กฝึกปฏิบัติกิจกรรมในทางที่ดีงาม อย่างสม่าเสมอ เพ่ือที่จะสามารถโน้มน้าวจิตใจเด็กให้
ออ่ นโยน มเี มตตา และรักสงบ
1.5.4 โรงเรยี นควรจดั กิจกรรมนอกหลกั สตู รสาหรบั เดด็ วัยรนุ่ เหล่าน้ี เพ่ือให้เด็กเกิด
ความใกล้ชดิ กบั ครูและเพ่อื นๆในโรงเรียน จะทาให้เดก็ เกดิ ความรักสามัคคี เห็นใจกัน มีความเข้าใจกัน
มีความผูกพันกัน และห่วงใยกัน เป็นการหลีกเล่ียงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ และทาให้เด็ก
นักเรียนมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ศิลปะ
วฒั นธรรมทอ้ งถนิ่
สรุปได้ว่า ทฤษฎีพัฒนาการและพฤติกรรมของเด็กในระดับมัธยมศึกษา ที่ผู้วิจัยได้ศึกษามา
นนั้ ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการและพฤติกรรมด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และจริยธรรม โดยที่
แต่ละหัวข้อยังมี ลักษณะพัฒนาการ ความต้องการเบื้องต้น และแนวคิดในการแก้ไขปัญหาของเด็กใน
ระดับมัธยมศึกษา ล้วนแต่มีความสาคัญ มีความจาเป็น และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการวิจัยใน
ครั้งน้ี เพ่ือเป็นการแนวทางในการพัฒนาสื่อ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนของงานวิจัยให้สอดคล้อง
กบั ความตอ้ งการของวัยอายุของกลุ่มประชากรและกล่มุ ตัวอย่างของการวิจัยและเพื่อจะเป็นประโยชน์
สูงสดุ ในข้ันตอนของในการนาการวิจยั ไปใช้ในการจัดการเรียนกับกลุ่มประชากรตัวอยา่ ง
งานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วข้อง
นิตยา แก้วชื่นชัย (2549) ได้ทาการศึกษา เร่ือง การพัฒนาแผนการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม
โครงการ เร่ืองการวาดภาพระบายสีด้วยเทคนิคท่ีหลากหลาย กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้น
ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 เพ่อื การพัฒนาแผนการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมโครงการ เร่ืองการวาดภาพระบายสี
ด้วยเทคนิคที่หลากหลาย กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ให้มีประสิทธิภาพตาม
เกณฑ์ 80/80 เพ่ือศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมโครงการ เร่ืองการวาดภาพระบายสี
ด้วยเทคนิคที่หลากหลาย กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะสาหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และเพื่อศึกษา
ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนรู้โดยแบบโครงการกลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้น
ประถมศึกษาช้ันปีที่ 2/1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา2549โรงเรยี นทา้ วสนุ ารี อาเภอ เสิงสาง จังหวัด
นครราชสีมา จานวน 24 คน เครื่องมือท่ีใช้ ได้แก่ แผนการเรียนรู้โยใช้กิจกรรมโครงการ โครงการ
เรือ่ งการวาดภาพระบายสีด้วยเทคนคิ ท่ีหลากหลาย กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2
แบบสอบถามผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 20 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน จานวน
15 ข้อ ผลการวิจยั พบว่า การพัฒนาแผนการเรียนรโู้ ดยใช้กิจกรรมโครงการ เรื่องการวาดภาพระบาย
สีด้วยเทคนิคท่ีหลากหลาย กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ช่วยให้นักเรียนมี
ความสามารถในการสรา้ งสรรค์ผลงานการวาดภาพระบายสที ่ีมคี วามแปลกใหม่เพ่ิมมากขน้ึ
เบญจมาศ สุภาทอน (2555) ไดท้ าการศกึ ษา เร่ือง การพัฒนาชุดกจิ กรรมศลิ ปะตามทฤษฎี
ความคดิ สรา้ งสรรค์ของทอแรนซส์ าหรบั นกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 เพ่ือพัฒนาชดุ กิจกรรมชุด
กิจกรรมศิลปะตามทฤษฎคี วามคิดสรา้ งสรรคข์ องทอแรนซ์สาหรับนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ใหม้ ี
ประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ เพื่อเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวชิ าศืลปะกอ่ นและหลงั ดว้ ยชุด
กจิ กรรมศลิ ปะตามทฤษฎคี วามคดิ สรา้ งสรรคข์ องทอแรนซ์ และศึกษาความพงึ่ พอใจของนกั เรยี นท่มี ี
ตอ่ ชดุ กิจกรรมศลิ ปะตามทฤษฎีความคดิ สรา้ งสรรค์ของทอแรนซ์สาหรับนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี
4 ประชากร คือ นักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรยี นบา้ นลาดแค ในภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา
2555 จานวน 18 คน เครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการศกึ ษา ประกอบดว้ ย 1) ชดุ กิจกรรมศิลปะตามทฤษฎี
ความคดิ สรา้ งสรรค์ของทอแรนซส์ าหรับนกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 2) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียน 3) แบบทดสอบวดั ความคดิ สรา้ งสรรค์ดว้ ยรูปแบบ A ของทอแรนซ์ และ 4) แบบวัด
ความพ่งึ พอใจของผู้เรยี น วเิ คราะหค์ วามพง่ึ พอใจโดยหาค่าพารามิเตอร์ ค่าส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน
เปรียบเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของนักเรยี นโดยใช้ t–test for dependent samples
ผลการวจิ ัยพบว่า การหาประสทิ ธิภาพของชุดกจิ กรรมศิลปะตามทฤษฎคี วามคดิ สร้างสรรคข์ องทอ
แรนซส์ าหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 ได้ค่าประสิทธิภาพ 86.62/89.17 ซ่ึงเป็นไปตามเกณฑ์
มาตรฐาน 80/80 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน พบวา่ นักเรยี นมีคะแนนหลังเรยี นสูงกว่า
กอ่ นเรียนอย่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ 0.05 และการวิเคราะห์ความพึ่งพอใจชุดกจิ กรรมชุด
กิจกรรมศลิ ปะตามทฤษฎีความคดิ สร้างสรรคข์ องทอแรนซส์ าหรบั นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4
โดยรวมอย่ใู นระดบั มากท่ีสดุ
พรเพ็ญ บัวทอง (2555) ได้ทาการศึกษา เร่ือง ผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วย
วสั ดุธรรมชาตทิ ้องถ่ินท่มี ีต่อพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัย เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมทางสังคม
ของเดก็ ปฐมวัยก่อนและหลังการทากิจกรรมกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยวัสดุธรรมชาติท้องถ่ิน และ
ศกึ ษาการเปลยี่ นแปลงของพฤติกรรมทางสงั คมของเด็กปฐมวัยในแต่ละสัปดาห์ท่ีได้รับการจัดกิจกรรม
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นเด็กนักเรียนปฐมวัย อายุระหว่าง 5 – 6 ปี ชั้นอนุบาลปีท่ี2/2 ภาคเรียนที่ 1 ปี
การศึกษา 2554 โรงเรียนบรรหารวิทยา อาเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีน นักเรียนท้ังหมด 19 คน
ชาย 11 คน หญิง 8 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษา
ค้นควา้ คือแผนการจดั กจิ กรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยวัสดุธรรมชาติท้องถิ่น และแบบสังเกตพฤติกรรม
ทางสังคมที่มีต่อค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างพฤติกรรมกับจุดประสงค์ IOC=0.67 - 1.00 และมี
ค่าความเช่ือม่ันของผู้สังเกตเท่ากับ 0.910 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ความ
เบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t–test for dependent samples ผลการวิจัยพบว่า 1. เด็กนักเรียน
ปฐมวัยท่ีได้รับการจัดทากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยวัสดุธรรมชาติท้องถิ่นมีพฤติกรรมทางสังคม
โดยรวม และรายด้าน ประกอบด้วย การช่วยเหลือ การแบ่งปัน และความร่วมมือสูงกว่าก่อนการจัด
กิจกรรมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 2. จาการวัดพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัยท่ี
ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยวัสดุธรรมชาติท้องถิ่นทุกๆสัปดาห์ รวม 8 สัปดาห์ พบว่า
เด็กปฐมวัยมพี ฤตกิ รรมโดยรวมและรายด้านสงู ข้ึนตามลาดบั
สมสวาท โพธิ์กฎ (2552) ได้ทาการศึกษา เรื่อง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่ม
ร่วมมือแบบ STADกลุม่ สาระการเรยี นรศู้ ิลปะ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 เพ่ือหาประสิทธิภาพของแผนการ
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STAD กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ตามเกณฑ์ 75/75 เพ่ือศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือเปรียบเทียบ
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน เพ่ือศึกษาเจตคติ ท่ีมีต่อการเรียนรู้นาฏศิลป์
และเพื่อศกึ ษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบSTADกลุ่มตัวอย่าง
เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนกุดชุมวิทยาคม จานวน 36 คน ได้มาจากการสุ่มแบบ
กลุม่ เครือ่ งมือ ที่ใช้ศึกษาค้นคว้าคร้ังน้ีมี 5 ชนิดได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือ
แบบ STAD กลุม่ สาระการเรียนรู้ศิลปะชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 จานวน 7 แผน ใช้เวลาจัดกิจกรรมแผน
ละ 2 ช่ัวโมง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ แบบปรนัย 4
ตัวเลือกจานวน 20 ข้อมีค่าอานาจจาแนกตั้งแต่ 0.21 ถึง 0.75 มีค่าความเช่ือมั่นท้ังฉบับเท่ากับ
0.88 แบบเติมคาตอบจานวน 9 ข้อ มีค่าอานาจจาแนกตั้งแต่ 0.22 ถึง 0.55 มีค่าความเชื่อม่ันทั้ง
ฉบับเท่ากับ0.77แบบวัดทักษะการปฏิบัติ จานวน 7 ข้อ 1 ฉบับ แบบวัดเจตคติของนักเรียนช้ัน
มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2ที่มีแต่การเรยี นรู้นาฏศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ 1 ฉบับ จานวน 10 ข้อ ซึ่งมี
ค่าอานาจจาแนกตั้งแต่0.38 ถงึ 0.56 มคี ่าความเชื่อม่ันทงั้ ฉบับเทา่ กับ 0.81 แบบประเมิน สอบถาม
ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ท่ีมีต่อกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มร่วมมือแบบ STAD
กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ 1ฉบับจานวน 15 ข้อ ซ่ึงมีค่าอานาจจาแนกตั้งแต่ 0.29 ถึง 0.54 มีค่า
ความเชือ่ ม่นั ทง้ั ฉบบั เท่ากับ 0.90สถติ ทิ ี่ใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน และt-testผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STAD
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ศิลปะ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 มีประสิทธิภาพเหมาะสม ทาให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน มีทักษะการเรียนรู้กลุ่มร่วมมือและให้ความร่วมมือในการเรียนดีข้ึน สามารถใช้เป็น
แนวทางในการพฒั นาคุณภาพการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ทีเ่ น้นผเู้ รียนเปน็ สาคญั ได้
สายัณต์ พลเชียงสา (2555) ได้ทาการศึกษา เรื่อง การเสริมแรงผู้เรียนให้มีความรู้อย่าง
แม่นยาในเรื่องทัศนศิลป์ และความสามารถในการสร้างสรรค์งานศิลปะ สาระการเรียนรู้ศิลปะ วิชา
ศิลปะพื้นฐาน สาระทัศนศิลป์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จากการเรียน โดยใช้กระบวนการ
ปฏิบตั ิ และการเสรมิ แรงผู้เรียน ภายในโรงเรยี นอัสสัมชญั ธนบุรี ปีการศกึ ษา 2555 มีจุดมุ่งหมายเพ่ือ
พัฒนาการเรียน และความสามารถในการสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะ ของนักเรียน ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่
2 ปกี ารศกึ ษา 2555 โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการสอน ความรู้
เบอื้ งต้นเกี่ยวกับงานทัศนศิลป์ แบบทดสอบ ใช้ทดสอบก่อน และหลังการปฏิบัติกิจกรรมทัศนศิลป์ใน
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 นักเรียนส่วนมากมีความสามารถในด้านศิลปะอยู่ในเกณฑ์ดี มีนักเรียนกลุ่ม
ตัวอย่างที่จะใช้เป็นกลุ่มในการวิจัยในคร้ังน้ี เพ่ือการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนให้ดียิ่งข้ึน ในชมรม
ศิลปินน้อยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีนักเรียนจานวน 7 คน จากผลงานของนักเรียนที่เป็นสมาชิกใน
ชมรม ผู้วิจัยยังมีความคิดว่า น่าจะ ได้รับบการส่งเสริมศักยภาพด้านทักษะ และฝีมือของนักเรียนใน
กลุ่มทม่ี คี วามสนใจในงานศิลปะ ใหม้ ีความรู้ และ ความสามารถที่ดีย่ิงขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ จึงได้จัดทา
งานวิจยั ข้นึ เพ่ือเป็นการเพ่ิมทักษะในการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึน เครื่องมือที่ใช้ในการ
วิจยั ได้แก่ การเสรมิ แรงโดยใชค้ าพูดทีส่ ภุ าพ กระตุ้น ให้กาลังใจ และเป็นกันเอง และ แบบทดสอบวัด
ความสามารถ ความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับงานทัศนศิลป์ เป็นแบบทดสอบ 4 ตัวเลือก ชุดละ 10 ข้อ
จานวน 6 ชุด ใช้ทดสอบก่อน และหลังการใช้ชุดฝึกปฏิบัติ พร้อมชุดฝึกปฏิบัติกิจกรรมทัศนศิลป์
จานวน 4 ชุด ผลการวิจัยยพบว่า 1.การใช้คาพูดที่สุภาพ เป็นกันเองกับผู้เรียน ทาให้ผู้เรียนรู้สึกเป็น
มิตร กล้าพูด กล้าทา ผูกพันกับผู้สอน มีความต้องการที่จะเรียนรู้ศิลปะบ่อยๆ 2. การพัฒนาการ
เรียนรู้ที่เริ่มจากง่ายไปหายาก ทาให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจ และมีกาลังใจ ในการพัฒนาการสร้างสรรคผ์ล
งานศิลปะได้สวยงาม ลงตัว 3. การทาแบบทดสอบ และแบบฝึกปฏิบัติกิจกรรมซ้าช่วยให้ผู้เรียนเกิด
ความแม่นยาในการเรียนรู้ มีความคล่องแคล่วในการปฏิบัติกิจกรรม 4. การเสนอผลการทา
แบบทดสอบ และแบบฝึกปฏิบัติกิจกรรมทัศนศิลป์ในแต่ละครั้ง ทาให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง มี
การปรับปรุงข้อบกพร่อง ทาใหผ้ ู้เรียนเกิดความภมู ิใจ ในผลงานของตนเอง
อนุภาพ ศรีวงค์แก้ว (2550) ได้ทาการศึกษา เรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ เร่ือง
ศิลปะไทย สาระทัศนศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 เพื่อหาดัชนีประสิทธิผล
ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ เป็น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี2 โรงเรียนหัวโทนวิทยา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษา ร้อยเอ็ด เขต 2 ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2549 จานวน 30คน จากการซุ่ม 3 ห้อง
เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ บทเรียนคอมพิวเตอร์ เร่ืองศิลปะไทย สาระทัศนศิลป์กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิการเรียนแบบอิงเกณฑ์ 30 ข้อ และความเชื่อม่ันทั้ง
ฉบับเท่ากับ 0.81 และแบบวัดความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ จานวน 15ข้อ
ผลการวจิ ัยพบว่า บทเรียนคอมพวิ เตอร์ เร่อื งศิลปะไทย สาระทัศนศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียนอยู่ใน
ระดบั มากท่ีสุด
บทที่ 3
วธิ ีดาเนินการวิจยั
การดาเนินการวิจัย เรือ่ ง พฒั นากิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการRBLเร่ืองศิลปะส่ือผสม
จากวสั ดุธรรมชาติ เพื่อสง่ เสรมิ ทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานศิลปะสาหรับกับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาช้ันปีท่ี 3 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา มีแนวทาง และวิธีการ
ดาเนนิ การวจิ ัย อธบิ ายได้ดังนี้
ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากร ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาชนั้ ปีท่ี 3 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียน จานวน 10-15 คนจากนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3
โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จงั หวัดพะเยา
การสุ่มตัวอย่าง เปน็ การสมุ่ ตัวอยา่ งแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling)
เคร่ืองมือในการวิจัย แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบสังเกตพฤติกรรม แบบฝึกหัด แบบ
ฝึกทักษะ แบบวดั ความพงึ่ พอใจ
เคร่อื งมอื ที่ใช้เก็บรบรวมข้อมูล ได้แก่ สื่อการสอนกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการRBL
เร่ืองศิลปะส่อื ผสมจากวสั ดุธรรมชาติ เพ่ือส่งเสริมทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานศิลปะ
สาหรบั กบั นกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาช้นั ปที ี่ 3
โดยมขี น้ ตอนการสร้างเครื่องมอื มดี ังน้ี
1. ศึกษาหลักสูตร เน้ือหาและวัตถุประสงค์ของสาระการเรียนรู้ศิลปะเร่ืองศิลปะ
ส่ือผสมจากวัสดุธรรมชาติ ช้ันมัธยมศึกษาชั้นปีที่ ๓ ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช
2552
2. เขยี นแผนการสอน 4 แผน โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรใู้ นแตล่ ะแผนน้นั จะ
สรา้ งสรรค์ผลงานศลิ ปส่ือผสมออกมาได้ 1 ชนิ้ งาน
3. ทาการร่างภาพ ออกแบบสอื่ การสอน
4. นาเอารูปแบบสื่อการสอนทอ่ี อกแบบไวใ้ ห้ผคู้ วบคมุ วทิ ยานิพนธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้าน
เนอื้ หาและผทู้ รงคุณวุฒดิ ้านเทคนคิ การผลติ สอื่ ตรวจสอบเพอ่ื ปรบั ปรุงแก้ไข
5. วางแผนการดาเนนิ การเตรยี มอปุ กรณ์ และเครอื่ งมอื
6. ลงมือผลิตสื่อการสอน เร่ือง ศิลปะส่ือผสมจากวัสดุธรรมชาติ ให้ดูเข้าใจง่าย
แสดงข้ันตอนการสรา้ งสรรค์ผลงานในแต่ละข้ันตอนได้เป็นอยา่ งดี เสร็จสมบูรณ์
7. นาสื่อการสอน เสนอต่ออาจารย์ผู้การควบคุมงานวิจัย จากน้ันนาไปให้
ผ้เู ช่ยี วชาญ ตรวจสอบความถูกตอ้ งความเหมาะสม และปรับปรุงแกไ้ ขตามคาแนะนา
9. นาส่ือการสอน ที่ผ่านการประเมินคุณภาพแล้วจากผู้เชี่ยวชาญไปทดลองกับ
นักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างจานวน 3 คน เพื่อปรับปรุงแก้ไขในเรื่องภาษาและระยะเวลาท่ีใช้ในการ
สาธติ ใหเ้ หมาะสม
10. นาไปทดลองใช้กับกล่มุ ตัวอยา่ ง
วธิ กี ารดาเนนิ การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
1. ปฐมนเิ ทศเพื่อทาความเข้าใจกบั นักเรยี นถงึ วิธกี ารเรียนรู้ บทบาทของผเู้ รียนช้ีแจง
จดุ ประสงค์การเรยี นและวิธีประเมินผลการเรยี น ในการวจิ ัยคร้งั นี้
2.ทาการทดสอบก่อนเรียนโดยใช้ แบบทดสอบภาคความรู้ และแบบทดสอบทักษะ
เร่อื งศิลปะส่อื ผสม
3.ดาเนินทดลองสอน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 256๔ ใช้เวลาในการจัดการ
เรียนการสอน 5 ช่ัวโมงให้ครบ 5 แผน โดยผู้วิจัยเป็นผู้จัดการเรียนรู้กลุ่มตัวอย่าง ด้วยตนเองตาม
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ผู้วจิ ยั สรา้ งขนึ้
4.ทาการทดสอบหลังเรียน โดยใช้แบบทดสอบภาคความรู้ เร่ืองศิลปะส่ือผสม ฉบับ
เดียวกบั ทดสอบกอ่ นเรยี น
5.ตรวจให้คะแนนแบบทดสอบ แลว้ นาผลทไี่ ด้ไปวิเคราะห์โดยวธิ กี ารทางสถติ ิ
การวิเคราะห์ข้อมูล สถิตทิ ใ่ี ช้ และการอภิปรายผล
นาคะแนนในด้านความรู้และคะแนนในด้านทักษะการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะสื่อผสม เร่ือง
พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการRBLเรื่องศิลปะสื่อผสมจากวัสดุธรรมชาติ เพื่อส่งเสริม
ทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานศิลปะสาหรับกับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาชั้นปีท่ี 3
โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยามารวมกันแล้วหาค่าร้อยละ และเปรียบเทียบกับ
เกณฑ์ให้ผ่านร้อยละ 65.00 และนาเสนอข้อมูลในรูปแบบตารางประกอบการบรรยายใต้ตาราง
จากนน้ั จึงนาเอาผลคะแนนทั้งกอ่ น และหลังเรยี นมาเปรียบเทยี บ
บทท่ี 4
ผลการดาเนินการวิจัย
การดาเนินการวิจัย เรื่อง พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการRBLเรื่องศิลปะ
ส่ือผสมจากวัสดุธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานศิลปะสาหรับกับ
นกั เรยี นในระดับชั้นมัธยมศึกษาชน้ั ปีท่ี 3 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จงั หวัดพะเยาโดยผู้วิจัยได้
สรา้ งชุดฝกึ ทกั ษะ และนาไปทดลองใช้จากนนั้ จึงทาการวเิ คราะห์ข้อมลู ตามขั้นตอน อธบิ ายได้ดงั น้ี
1. สรา้ งแผนการจัดการเรียนรู้
โดยวเิ คราะหถ์ งึ หลกั การเกีย่ วกับการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยคานึงถึงเนื้อหา
และสาระสาคัญจากชุดฝึกทักษะ เรื่องพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการRBLเรื่องศิลปะ
ส่ือผสมจากวัสดุธรรมชาติ เพ่ือส่งเสริมทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานศิลปะส่ือผสม
สาหรับกบั นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาช้ันปีที่ 3 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา
แล้วจดั ทาแผนการเรียนรู้จานวน 4 แผน โดยมีการกาหนดขอบเขตขององค์ประกอบดังนี้ จุดประสงค์
การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ (เนื้อหา) กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล
(การวัดผลประเมินผลแบ่งเป็นการวัดผลด้านพุทธิพิสัย และการวัดผลด้านทักษะพิสัย) อธิบายได้ดัง
ตาราง
ตารางท่ี 4.1 รายละเอยี ดเกยี่ วกบั แผนการจดั การเรยี นรู้
แผนที่ สาระการเรียนรู้ จุดประสงค์ กิจกรรม การประเมนิ ผล
(เน้ือหา) การเรียนรู้
1. แบบทดสอบ
1 ศิลปะสือ่ ผสม 1. นักเรียนสามารถ 1. ทาแบบทดสอบกอ่ น กอ่ นเรียน
(20 คะแนน)
อธบิ ายความหมาย เรียน
2. วัดผลด้านทกั ษะ
ของศลิ ปะสอ่ื ผสม 2. ทาแบบฝกึ ทักษะ การ พิสยั (4 คะแนน)
ได้ คิดวางแผนการแก้ไข
ปญั หาในการสร้างสรรค์
ผลงานศลิ ปะสอื่ ผสม
ตารางที่ 4.1 รายละเอยี ดเกย่ี วกบั แผนการจดั การเรยี นรู้ (ตอ่ )
แผนที่ สาระการเรียนรู้ จุดประสงค์ กจิ กรรม การประเมนิ ผล
(เน้ือหา) การเรยี นรู้
2 นกั เรียนสามารถ ด้ ว ย ก ร ะ บ ว น ก า ร ก า ร
นาเอาความรเู้ รื่อง จดั การเรียนรู้ RBL
ศลิ ปะส่ือผสมมา
วางแผนพัฒนา
สรา้ งสรรคผ์ ลงาน
ศลิ ปะได้
3. นักเรียนเหน็
คุณคา่ ของ
การศกึ ษาค้นคว้า
หาแนวทางในการ
แก้ไขปญั หาการ
สร้างสรรค์ผลงาน
ศลิ ปะ
2 ออกแบบสเก็ตซ์ภาพ 1. นกั เรียนสามารถ 1. ทาแบบฝกึ ทักษะ การ 1. วัดผลด้านทักษะ
ผลงาน อธิบายความหมาย ออกแบบสเก็ตซ์ภาพ พิสัย (4 คะแนน)
ลักษณะสาคัญของ ผลงาน
การออกแบบ
สเก็ตช์ภาพผลงาน
ได้
2 นกั เรียน
ออกแบบสเก็ตซ์
ภาพผลงานได้
3 นักเรียนมีความ
สนใจ สนุกสนาน
กับการทากิจกรรม
การเรียนการสอน
ตารางที่ 4.1 รายละเอยี ดเกย่ี วกับแผนการจดั การเรยี นรู้ (ต่อ)
แผนท่ี สาระการเรียนรู้ จดุ ประสงค์ กิจกรรม การประเมนิ ผล
(เน้ือหา) การเรียนรู้
3 ศลิ ปะการสร้างพื้นผิว 1. นักเรียนสามารถ 1. ทาแบบฝึกทักษะ การ 1. วัดผลด้านทักษะ
ดว้ ยใบไม้ อธิบายความหมาย สร้างพนื้ ผิวด้วยใบไม้ พิสัย (4 คะแนน)
และคว ามสาคัญ
ของการสร้างพื้นผิว
ด้วยใบไม้
2. นักเรยี นสามารถ
นาเอาเทคนิคการ
สรา้ งพืน้ ผวิ ด้วย
ใบไม้มาสร้างสรรค์
ผลงานศิลปะ
สื่อผสมได้
3 นักเรียนมีความ
สนใจ สนุกสนาน
กับการทากิจกรรม
การเรยี นการสอน
4 ศิ ล ป ะ ก า ร ป ะ ติ ด 1. นักเรยี นสามารถ 1. ทาแบบฝึกทักษะ การ 1. วัดผลดา้ นทักษะ
เปลือกไข่ อธิบายความหมาย ปะติดเมลด็ ขา้ ว พิสัย (4 คะแนน)
และเทคนิคการปะ
ตดิ เปลือกไข่ได้
.2 นักเรยี นสามารถ
นาเอาเทคนิคปะตดิ
เปลือกไขม่ า
สรา้ งสรรคผ์ ลงาน
ศลิ ปะสอื่ ผสมได้
ตารางท่ี 4.1 รายละเอยี ดเกย่ี วกบั แผนการจดั การเรยี นรู้ (ต่อ)
แผนท่ี สาระการเรยี นรู้ จดุ ประสงค์ กจิ กรรม การประเมนิ ผล
(เนอ้ื หา) การเรยี นรู้
3 นักเรียนมีความ
สนใจ สนุกสนาน
กับการทากิจกรรม
การเรยี นการสอน
5 การทากรอบรูปดว้ ย 1. นกั เรียนสามารถ 1. ทาแบบฝึกทักษะ การ 1. วัดผลด้านทักษะ
ไมไ้ ผ่ อธิบายความหมาย ทากรอบรปู ดว้ ยไม้ไผ่ พสิ ัย (4 คะแนน)
และเทคนิคการ 2. แบบทดสอบหลงั เรียน 2. แบบทดสอบ
สร้างสรรคก์ รอบรูป หลงั เรยี น
ด้วยไม้ไผ่ได้ (20 คะแนน)
.2 นกั เรียนสามารถ
นาเอาเทคนิค
เทคนคิ การ
สรา้ งสรรคก์ รอบรปู
ดว้ ยไม้ไผ่ได้มา
สร้างสรรคก์ รอบรปู
ใหก้ ับผลงานศิลปะ
ส่ือผสมได้
3 นักเรียนมีความ
สนใจ สนุกสนาน
กับการทากจิ กรรม
การเรยี นการสอน
2. ขน้ั ตอนการสรา้ งชดุ ฝกึ ทกั ษะ
การสร้างชุดฝึกทักษะ เรื่อง พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการRBLเรื่อง
ศิลปะสื่อผสมจากวัสดุธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานศิลปะ
สาหรับกับนกั เรยี นในระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาช้นั ปที ่ี 3 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยามี
ขน้ั ตอนดังน้ี
2.1 ข้ันตอนท่ี 1 ศึกษาเนื้อหา สาระเก่ียวกับขั้นตอน เทคนิค วิธีการสร้างสรรค์
ผลงานศลิ ปะสื่อผสมจากวัสดธุ รรมชาติ ใหล้ ะเอยี ด
2.2 ข้ันตอนท่ี 2 วางแผนจัดทาชุดแบบฝึกให้ความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ไม่
ยากหรอื งา่ ยเกนิ ไป และมคี วามนา่ สนใจ
2.3 ข้นั ตอนที่ 3 จัดทาชดุ แบบฝกึ ท้งั หมด 5 แบบฝกึ ด้วยกนั คือ
2.3.1 แบบฝึกทักษะ การคิดวางแผนการแก้ไขปัญหาในการสร้างสรรค์
ผลงานศิลปะดว้ ยกระบวนการจัดการเรยี นรู้ RBL
2.3.2 แบบฝึกทักษะ การออกแบบสเกต็ ซ์ภาพผลงาน
2.3.3 แบบฝึกทกั ษะ การสร้างพ้ืนผวิ ด้วยใบไม้
2.3.4 แบบฝึกทกั ษะ การปะตดิ วัสดจุ ากธรรมชาติ
2.3.5 แบบฝกึ ทกั ษะ การทากรอบรปู ดว้ ยไม้ไผ่
2.4 ขน้ั ตอนท่ี 4 ทาการทาลองใช้กับกลุ่มเพื่อน เพื่อพิจารณาถึงความยากง่าย ให้
เหมาะสมกับพัฒนาการและวัยของผู้เรียน และให้ครูท่ีปรึกษาในรายวิชาการวิจัยในช้ันเรียน ช่วยดู
เพ่ือให้คาเสนอแนะแนวทางไปการปรบั ปรุงแก้ไข
2.5 ขั้นตอนท่ี 5 นาไปใช้กับนักเรียนจริง ในการไปทดลองสอนท่ีโรงเรียนราช
ประชานเุ คราะห์ ๒๔ จงั หวัดพะเยาในวันท่ี 1-2๘ กมุ ภาพันธ์ 256๔
3. สร้างแบบทดสอบก่อน-หลังเรยี น
การสร้างแบบทดสอบ ก่อน-หลังเรียน เรื่อง ศลิ ปะสื่อผสมจากวัสดุธรรมชาติ สาหรับ
นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา แบ่งเป็น 2 ส่วน โดย
ผู้วิจัยกาหนดให้นักเรียนมีเกณฑ์ผ่านร้อยละ 65.00 แบบทดสอบอธิบายได้ดังน้ี (แบบทดสอบทั้ง 2
สว่ น สามารถดูได้ในภาคผนวก)
3.1 การสร้างแบบทดสอบเพ่ือวัดผลด้านความรู้ของผู้เรียน (พุทธิพิสัย) จานวน
20 ข้อ 20 คะแนน เปน็ แบบเลอื กตอบ
3.2 การสร้างแบบทดสอบเพอื่ วัดผลดา้ นทกั ษะของผเู้ รียน (ทักษะพิสัย) จานวน 4
ขอ้ 20 คะแนน เพอ่ื วดั ทักษะดา้ นความสวยงาม (2) การจดั องคป์ ระกอบ (1) ความคิดสรา้ งสรรค์ (2)
4. นาชดุ ฝกึ ทกั ษะไปทดลองใช้
ผู้วิจัยได้นาชุดฝึกทักษะ เร่ือง ศิลปะส่ือผสมจากวัสดุธรรมชาติ ไปทดลองใช้ในกลุ่ม
ตัวอย่าง คือ นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา
จานวน 15 คน เพื่อหาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนทัง้ ก่อนและหลังการใชส้ ือ่ การสอน
ผลการใชช้ ุดฝึกทักษะ/แบบฝึกทักษะ
ภาพท่ี 4.7 ให้นักเรียนจัดหาจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ในการสร้างสรรค์ผลงานให้
พร้อมสาหรบั การปฎิบตั ใิ นกจิ กรรมศลิ ปะการปะตดิ เปลอื กไข่
ตารางท่ี 4.2 คะแนนและค่าร้อยละของทักษะการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะส่ือผสม ของ
นักเรยี นโดยใชช้ ุดฝึกทกั ษะ เร่อื ง ศิลปะสอื่ ผสมจากวัสดุธรรมชาติ จากการวัดผลงานหลงั เรยี น
นกั เรียน งานชิ้น ่ีท 1 (4.0) รวม รอ้ ยละ เกณฑ์การผ่าน
คนท่ี งานชิ้นที่ 2 (4.0) (20) (%) (รอ้ ยละ 65.00)
งาน ้ิชน ่ีท 3 (4.0)
งาน ิ้ชนที่ 4 (4.0)
งานชิ้นที่ 5 (4.0)
1 4 4.0 4.0 2.5 4.0 18.50 92.50 ผา่ น
2 3.0 4.0 3.5 2.0 3.0 15.50 77.50 ผา่ น
3 2.5 4.0 4.0 3.0 4.0 17.50 87.50 ผ่าน
4 4.0 4.0 3.5 3.0 3.0 17.50 87.50 ผา่ น
5 3.0 4.0 4.0 2.5 4.0 17.50 87.50 ผ่าน
6 3.0 3.0 2.0 3.0 2.0 13.00 65.00 ผ่าน
7 2.5 3.5 4.0 3.5 4.0 17.50 87.50 ผ่าน
8 2.5 3.0 3.5 2.0 3.5 14.50 72.50 ผา่ น
9 4.0 4.0 3.5 3.0 3.5 18.00 90.00 ผ่าน
10 4.0 3.5 4.0 2.0 3.5 17.00 85.00 ผ่าน
11 4.0 4.0 4.0 4.0 4.0 20.00 100.00 ผ่าน
12 4.0 4.0 4.0 3.5 4.0 19.50 97.50 ผา่ น
13 4.0 4.0 4.0 4.0 3.5 19.50 97.50 ผ่าน
14 4.0 4.0 3.5 4.0 3.5 19.00 95.00 ผ่าน
15 4.0 3.5 3.5 3.5 4.0 18.50 92.50 ผ่าน
87.66 ผ่าน
เฉลย่ี
จากตารางที่ 4.2 พบว่า นักเรียนมีคะแนนทักษะ เฉลี่ยร้อยละ 87.66 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ี
กาหนดไว้ ร้อยละ 65.00 โดยมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ จานวน 15 คน และไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 0
คน
ตารางท่ี 4.3 คะแนนและค่าร้อยละของความรู้และทักษะการ การสร้างสรรค์ผลงาน
ศิลปะสื่อผสมจากวัสดุธรรมชาติของนักเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะ เรื่อง ศิลปสื่อผสมจากวัสดุธรรมชาติ
จากการวดั ผลกอ่ นเรยี น โดยเทียบกบั เกณฑ์ผ่านรอ้ ยละ 65.00
นักเรยี น คะแนนความรู้ รอ้ ยละ เกณฑก์ ารผา่ น
คนท่ี (20) (%) (ร้อยละ
65.00)
1 12
2 13 60 ไม่ผา่ น
3 15
4 11 65 ผ่าน
5 17
6 15 75 ผ่าน
7 11
8 13 55 ไม่ผ่าน
9 13
10 10 85 ผา่ น
11 10
12 14 75 ผา่ น
13 10
14 9 55 ไม่ผ่าน
15 11
เฉล่ีย 65 ผา่ น
65 ผ่าน
50 ไม่ผ่าน
50 ไมผ่ า่ น
70 ผา่ น
50 ไมผ่ ่าน
45 ไมผ่ ่าน
55 ไม่ผ่าน
61.33 ไมผ่ า่ น
จากตารางที่ 4.3 พบว่า นักเรียนมีคะแนนความรู้และทักษะการทางาน เฉลี่ยร้อยละ
61.33 ซง่ึ ตา่ กวา่ เกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ รอ้ ยละ 65.00 โดยมีนกั เรยี นท่ีผา่ นเกณฑ์ จานวน 7 คน และไม่
ผา่ นเกณฑ์ จานวน 8 คน
ตารางที่ 4.4 คะแนนและค่าร้อยละของความรู้และทักษะการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
ส่ือผสมจากวัสดุธรรมชาติ ของนกั เรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะ เรื่อง ศิลปะสื่อผสมจากวัสดุธรรมชาติ จาก
การวดั ผลหลังเรยี น โดยเทยี บกบั เกณฑ์ผา่ นร้อยละ 65.00
นกั เรยี น คะแนนความรู้ คะแนนทกั ษะ รวม ร้อยละ เกณฑก์ ารผ่าน
คนท่ี (20) (20) (40) (%) (ร้อยละ
65.00)
1 19 18.50 37.50 93.75 ผ่าน
2 17 15.50 32.50 81.25 ผ่าน
3 19 17.50 36.50 91.25 ผ่าน
4 18 17.50 35.50 88.75 ผ่าน
5 18 17.50 35.50 88.75 ผ่าน
6 15 13.00 28.00 70.00 ผา่ น
7 18 17.50 35.50 88.75 ผา่ น
8 18 14.50 32.50 81.25 ผา่ น
9 20 18.00 38.00 95.00 ผา่ น
10 15 17.00 32.00 80.00 ผา่ น
11 15 20.00 35.00 87.50 ผา่ น
12 20 19.50 39.50 98.75 ผา่ น
13 19 19.50 38.50 96.25 ผา่ น
14 17 19.00 36.00 90.00 ผา่ น
15 20 18.50 38.50 96.25 ผา่ น
เฉลย่ี 88.50 ผ่าน
จากตารางที่ 4.4 พบว่า นักเรียนมีคะแนนความรู้และทักษะ เฉลี่ยร้อยละ 88.5 ซึ่งสูงกว่า
เกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ร้อยละ 65.00 โดยมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ จานวน 15 คน และไม่ผ่านเกณฑ์
จานวน 0 คน
บทที่ 5
สรปุ ผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ
การศึกษาคร้ังนี้เป็นการใช้ชุดฝึกทักษะ เร่ือง ศิลปะสื่อผสมจากวัสดุธรรมชาติ และนาไป
ทดลองใช้ในกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔
จังหวัดพะเยาจานวน 15 คน โดยมีเคร่ืองมือวิจัย คือ ชุดฝึกทักษะ และแบบทดสอบก่อนเรียนและ
หลังเรียน จานวน 20 ข้อ จากน้ันจึงทาการวิเคราะห์ข้อมูลโดยนาคะแนนความรู้และคะแนนทักษะ
ปฏิบัตมิ ารวมกันแลว้ หาค่ารอ้ ยละ และนาไปเทยี บเกณฑ์รอ้ ยละ 65.00 จากนั้นจึงนาเสนอข้อมูลเป็น
ตารางพร้อมอธิบายใตต้ ารางประกอบ ผลการวิจัยคร้ังน้สี ามารถสรุปผลได้ดังน้ี
สรปุ ผลการศึกษา
จากการสร้างชุดฝึกทักษะ เรื่อง ศิลปะส่ือผสมจากวัสดุธรรมชาติ เป็นการนาเสนอเน้ือหา
การเรียนการสอน เร่ือง ศิลปะสื่อผสมจากวัสดุธรรมชาติสาหรับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 เพ่ือพัฒนา
ทกั ษะดา้ น ทักษะพสิ ยั การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะส่ือผสมจากวัสดุธรรมชาติของผู้เรียน โดยผู้วิจัยได้
พัฒนาชุดฝึกทักษะที่ประกอบไปด้วยสื่อการเรียนการสอน ได้แก่ การนาเสนอเนื้อหาความรู้ และ
แนวทางการปฏบิ ัติ ขน้ั ตอนการปฏบิ ัติงาน หรอื ภาพถ่ายควบคู่ไปกับเน้ือหาเพ่ือให้ผู้เรียนได้เข้าใจมาก
ยิ่งขึ้น และ มีการสร้างแบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน เพ่ือวัดผลการเรียนรู้ของผู้เรียนหลังจากการ
ใช้ส่ือท่ีผู้สอนสร้างขึ้น โดยแบบทดสอบจะวัดผลด้านความรู้ของผู้เรียน (พุทธิพิสัย) จานวน 20 ข้อ
20 คะแนน เป็นแบบเลือกตอบ และการสร้างแบบทดสอบเพ่ือวัดผลด้านทักษะของผู้เรียน (ทักษะ
พสิ ยั ) จานวน 5 ขอ้ 20 คะแนน จากนน้ั นาไปทดลองใช้ในกลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3
โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา จานวน 15 คน จากนั้นจึงนาไปวิเคราะห์และ
นาเสนอเป็นค่าร้อยละและเปรียบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 65.00 ผลการวิจัยพบว่า ผลจากการใช้
ชุดฝึกทักษะ เร่ือง ศิลปะส่ือผสมจากวัสดุธรรมชาติ ส่งผลให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะการปฏิบัติงาน
ศลิ ปะเพม่ิ มากขนึ้ โดยมีคะแนนทดสอบหลังเรยี นเฉลย่ี รอ้ ยละ 88.5 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กาหนดไว้ และ
เมอ่ื เปรยี บกับผลการทดสอบก่อนเรยี น โดยผลการทดสอบก่อนเรยี นมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 61.33 จะ
เหน็ ได้วา่ มีผลการทดสอบหลังเรียนที่สูงกว่า ทาให้ทราบได้ว่า ประสิทธิภาพของส่ือท่ีผู้วิจัยได้สร้างข้ึน
สามารถส่งผลให้ผเู้ รียนมีผลการเรยี นทด่ี ีข้นึ อย่างเหน็ ได้ชัด
อภปิ รายผล
จากการศึกษาคร้ังนี้เป็นการสร้างชุดฝึกทักษะ และนาไปทดลองใช้ จากน้ันจึงวัดผลเพ่ือหา
ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นทง้ั กอ่ นและหลังเรยี น จากผลการศกึ ษาสามารถอภปิ รายผลได้ดังน้ี
การใช้ชุดฝึกทักษะ เร่ือง ศิลปะสื่อผสมจากวัสดุธรรมชาติ พบว่า นักเรียนมีความรู้และ
ทกั ษะเฉลี่ยร้อยละ 88.5 ซึง่ สงู กวา่ เกณฑ์ทกี่ าหนดไวค้ อื ร้อยละ 65.00 เนื่องจากผู้วิจัยได้ใช้หลักการ
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551
กระทรวงศึกษาธกิ าร (2551 : 6) ทก่ี ลา่ ววา่ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ศลิ ปะเปน็ กลุ่มสาระท่ีช่วยพัฒนาให้
ผู้เรียนมีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์มีจินตนาการทางศิลปะ ช่ืนชมความงาม มีสุนทรียภาพ ความมี
คุณค่า ซ่ึงมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ กิจกรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียนท้ังด้านร่างกาย จิตใจ
สตปิ ัญญา อารมณ์ สังคม ตลอดจนการนาไปสู่การพัฒนาส่ิงแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเช่ือม่ัน
ในตนเอง อันเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนการสอน
ตามมาตรฐานการเรียนรู้ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จบช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 จะต้องรู้และเข้าใจ
เกี่ยวกับทัศนธาตุและหลักการออกแบบในการส่ือความหมาย สามารถใช้ศัพท์ทางทัศนศิลป์ อธิบาย
จดุ ประสงคแ์ ละเนอื้ หาของงานทัศนศิลป์ มีทักษะและเทคนิคในการใช้วัสดุอุปกรณ์และกระบวนการท่ี
สูงข้ึนในการสร้างงานทัศนศิลป์ วิเคราะห์เน้ือหาและแนวคิด เทคนิควิธีการการแสดงออกของศิลปิน
ท้ังไทยและสากล ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในการออกแบบสร้างสรรค์งานท่ีเหมาะสมกับ
โอกาส สถานท่ี รวมทั้งแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพสังคมด้วยภาพล้อเลียนหรือการ์ตูน ตลอดจน
ประเมินและวิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ด้วยหลักทฤษฎีวิจารณ์ศิลปะ และสามารถวิเคราะห์
เปรียบเทียบงานทัศนศิลป์ในรูปแบบตะวันออกและรูปแบบตะวันตกเข้าใจอิทธิพลของมรดกทาง
วัฒนธรรมภูมิปัญญาระหว่างประเทศท่ีมีผลต่อการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ในสังคมจากนั้น ผู้วิจัยจึง
ได้นาแนวทางเหล่าน้ีมาใช้ในการสร้างสื่อการเรียนการสอน โดยแบ่งเน้ือหาการเรียนการสอน ได้แก่
ศิลปะส่ือผสม ออกแบบสเก็ตซ์ภาพผลงาน ศิลปะการสร้างพ้ืนผิวด้วยใบไม้ ศิลปะการปะติดวัสดุจาก
ธรรมชาติ และการทากรอบรูปด้วยไม้ไผ่ นอกจากจะจัดการเรียนการสอนท่ีคานึงถึงความพร้อมและ
ความต้องการของผู้เรียนแล้ว ชุดฝึกทักษะได้เรียงเน้ือหาจากการเรียนรู้ทางทฤษฏีเพื่อนาไปใช้ฝึก
ปฏิบัติ การทากิจกรรมในระหว่างการเรียนการสอน และการทดสอบปฏิบัติหลังจากการเรียน โดย
ผู้สอนเน้นกิจกรรมในการปฏิบัติมากกว่าการเรียนรู้ทฤษฏี ส่งผลให้นักเรียนสามารถฝึกฝนและ
ปฏิบัติงานศิลปะได้ด้วยตนเองทั้งในเวลาเรียนและนอกเวลาเรียน นักเรียนสามารถปฏิบัติงานได้
บ่อยครั้ง และซ้า ๆ จนเกิดความคล่องแคล่ว และเกิดทักษะในการปฏิบัติงานเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน
ศิลปะเพิ่มมากข้ึน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะของคณะวิทยากร
ชมรมกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (2544, 45-46) ที่กล่าวว่า การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้
ดว้ ยตนเอง (Constructivism) เป็นยุทธศาสตร์การเรียนรศู้ ิลปะด้วยการเรียนรู้โดยการปฏิบัติ เป็นวิธี
แสวงหาความรู้ด้วยการปฏิบัติ ทดลอง หาเหตุผลด้วยตนเอง สัมผัสจริงด้วยตนเอง และสรุปผลด้วย
ตนเอง และเปน็ ประสบการณต์ รง
การวัดผลการศึกษาจากการใช้ชุดฝึกทักษะ เร่ืองศิลปะสื่อผสมจากวัสดุธรรมชาติ ท่ีมีการ
วดั ผลทงั้ ภาคความรู้ (พทุ ธพิ สิ ยั ) และวดั ผลภาคปฏิบตั ิ (ทกั ษะพิสัย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเน้นการฝึก
ทักษะของผู้เรียนในการสร้างสรรค์งานศิลปะ ตลอดจนการใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น การอภิปราย
ผล การตอบคาถาม การตรวจผลงาน และประเมินทักษะปฏิบัติด้านการสร้างสรรค์ผลงานของผู้เรียน
ตามโครงสรา้ งของกลุ่มสาระการเรยี นรศู้ ิลป์ ซงึ่ มผี ลการวจิ ยั สอดคล้องกับ นิตยา แก้วช่ืนชัย (2549)
กล่าวว่า การพัฒนาแผนการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมโครงการ เร่ืองการวาดภาพระบายสีด้วยเทคนิคท่ี
หลากหลาย ช่วยให้นักเรียนมีความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานการวาดภาพระบายสีท่ีมีความ
แปลกใหม่เพ่ิมมากข้ึนสอดคล้องกับ พรเพ็ญ บัวทอง (2555)) กล่าวว่า การจัดกิจกรรม ศิลปะ
สร้างสรรค์ด้วยวัสดุธรรมชาติท้องถ่ินทุกๆสัปดาห์ รวม 8 สัปดาห์ พบว่าเด็กปฐมวัยมีพฤติกรรม
โดยรวมและรายด้านสูงขึ้นตามลาดับ
ขอ้ เสนอแนะ
จากการศึกษาคร้ังนี้ทาให้ทราบข้อบกพร่องและแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนทาง
ศลิ ปศกึ ษา รวมถงึ แนวทางการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ตามแนวทาง ดงั นี้
ขอ้ เสนอแนะเพอ่ื นาไปใช้
1. ควรมอบหมายให้นักเรียนจัดเตรียม วัสดุอุปกรณ์ล่วงหน้าที่จะนามาสร้างสรรค์
ผลงานให้พร้อมทุกคร้ัง เพื่อให้เกิดความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนและการฝึกปฎิบัติในช้ัน
เรยี น
2. ควรศึกษาแผนการสอนใช้เข้าใจชัดเจนและมีการเตรียมความพร้อมในการสอน เพ่ือ
จะได้ดาเนนิ ข้นั ตอนการสอนไดต้ รงตามมุ่งหมาย และทันเวลา
ขอ้ เสนอแนะเพอ่ื การศกึ ษาครัง้ ตอ่ ไป
1. ควรที่จะพัฒนางานวิจัยที่ช่วยส่งเสริมกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานศิลปอย่าง
สร้างสรรค์ด้วยวัสดุท่ีเหลือใช้ เพื่อจะเป็นประโยชน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในชั้น
มัธยมศกึ ษาช้ันปีที่ 5
2. ควรจะมกี ารอธบิ ายใต้ภาพให้กบั กลุ่มนกั เรียนท่มี คี วามบกพรอ่ งทางการได้ยิน เพื่อให้
ผู้เรียนสามารถที่จะอา่ นบทความทาความเข้าใจตามวิดีโอสาธติ การสอนทจี่ ดั ทาข้ึน
บรรณานกุ รม
สานกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2551). ตวั ช้วี ัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้
ศิลปะตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : สานกั
วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน
กระทรวงศกึ ษาธิการ
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, สานักงาน. (2545). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติและ
แก้ไขเพมิ่ เติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ : พรกิ หวานกราฟฟคิ .
จรัส สวุ รรณเวลา (2546). วธิ สี อน. กรุงเทพ : โอเดียนสโตร์.
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2533). แนวคิดเทคโนโลยีการศึกษา. กรงุ เทพ : โอเดียนสโตร.์
ทศิ นา แขมมณี (2548). ทักษะและเทคนิคการสอน. กรงุ เทพ : โอเดียนสโตร์.
นิตยา แก้วช่ืนชัย. (2549). การพัฒนาแผนการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมโครงการ เรื่องการวาดภาพ
ระบายสีด้วยเทคนิคที่หลากหลาย กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2.
ปริญา กศ.ม. สาขาวิชา หลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.เบญจมาศ สุภา
ทอน (2555). การพัฒนาชุดกิจกรรมศิลปะตามทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอแรนซ์
สาหรับนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4
พรเพ็ญ บัวทอง (2555). ผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยวัสดุธรรมชาติท้องถิ่นท่ีมีต่อ
พฤตกิ รรมทางสังคมของเด็กปฐมวัย. ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการ
สอน มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ (2538). ทฤษฎีการจัดการเรยี นร.ู้ กรุงเทพ : โอเดยี นสโตร์.
ลักขณา สรวิ ัฒน์ (2557). ทฤษฎีพัฒนาการและพฤติกรรมของเดก็ . กรุงเทพ : โอเดยี นสโตร์.
สมสวาท โพธ์ิกฎ (2552). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STADกลุ่มสาระการ
เรยี นรศู้ ิลปะ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2. ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขา หลักสูตรและการ
สอน มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม.
สมสทิ ธิ จติ รสถาพร (2547). สื่อการสอนใ กรุงเทพ : โอเดียนสโตร.์
สมหวงั พิธิยานุวัฒน์ และทศั นยี ์ บุญเติม (2547). หลักสูตรและเทคนิคการสอน. กรุงเทพ : โอเดียนส
โตร์.
สายัณต์ พลเชียงสา (2555). การเสริมแรงผู้เรียนให้มีความรู้อย่างแม่นยาในเรื่องทัศนศิลป์ และ
ความสามารถในการสร้างสรรค์งานศิลปะ สาระการเรียนรู้ศิลปะ วิชาศิลปะพื้นฐาน สาระ
ทัศนศิลป์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ปริญญา ครุศาสตร์ มหาบัณฑิต
สาขาหลกั สตู รและการสอน มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ภูเก็ต.
เสาวนยี ์ กานตเ์ ดชารกั ษ์ (2539). กจิ กรรมการเรียนร้.ู กรงุ เทพ : โอเดียนสโตร.์
ศริ ิพร ขปี นวัฒนา,ศศิธร อนิ ตนุ่ และอรทัย อนิ ตา(2557). ความเป็นคร.ู กรุงเทพ : โอเดียนสโตร.์
อนภุ าพ ศรวี งค์แก้ว (2550). การพฒั นาบทเรียนคอมพิวเตอร์ เรื่องศิลปะไทย สาระทศั นศิลป์ กล่มุ
สาระศลิ ปะ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่2ี . ปรญิ ญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชา เทคโนโลยี
การศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม.
อมรวชิ ช์ นาครทรรพ (2546). หลกั สตู รการสอน. กรงุ เทพ : โอเดียนสโตร์.
ส่ือผสม (Mixed media art). 2555 [ ระบบออนไลน์ ].แหล่งทม่ี า
http://www.oknation.net/blog/khetpakorn/2008/01/22/entry-15.
(22 สงิ หาคม 2560)
ภาคผนวก ก
แบบทดสอบกอ่ น-หลงั เรยี น สาหรบั ชดุ ฝกึ ทกั ษะ
เรื่อง พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการRBL เร่ืองศิลปะส่ือผสมจากวัสดุ
ธรรมชาติ เพ่ือส่งเสริมทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานศิลปะสาหรับนักเรียนใน
ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาชั้นปีท่ี 3 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
เร่อื งศิลปะส่ือผสม
คาชี้แจง : ใหน้ กั เรียนวงกลม ในขอ้ ทีถ่ ูกที่สุดเพยี งคาตอบเด่ียว
1. ขอ้ ใดต่อไปนี้ไม่ใช่ความหมายของศลิ ปะส่ือผสม
ก. การใชว้ สั ดุ-อปุ กรณ์ที่มากกว่าสองชนดิ ขึน้ ไปมาสรา้ งสรรค์ผลงาน
ข. เปน็ ผลงานทน่ี าเอาศิลปะหลากหลายแขนงมารว่ มกนั เป็นผลงาน 1ช้ิน
ค. เป็นการนาเอาทกั ษะและเทคนิควธิ กี ารที่หลากหลายมาสร้างสรรคผ์ ลงานศลิ ปะมี
ง. เปน็ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานท่ีมคี วามนา่ สนใจ มีเอกลักษณจ์ ากการใชส้ ีชนดิ ใดชนดิ หน่ึงเท่าน้ัน
2. ข้อใดไมใ่ ช่วัสดุธรรมชาติ
ก. ขนนก เกลด็ ปลา เมล็ดข้าว
ข. เปลือกไม้ ก่ิงไม้แห้ง กอ้ นหิน
ค. เมล็ดขา้ วโพด เศษเหล็ก กระดาษสา
ง. ใบไม้ ข้าวเปลอื ก เศษไม้
3. จงเรยี งลาดับขั้นตอนการสร้างสรรคผ์ ลงานศลิ ปะส่ือผสมใหถ้ กู ต้อง
A. ออกแบบผลงาน B. ติดวสั ดธุ รรมชาติทจ่ี ัดเตรียมไว้ลงบนภาพรา่ งทจ่ี ดั ทาไว้
C. วางแผนจดั เตรยี มวสั ดธุ รรมชาติทไ่ี ด้ออกแบบไวใ้ หค้ รบ D. ติดใบไมล้ งบนแผน่ กระดานไม้อัด
E. ตดั ไมไ้ ผ่ใหท้ ามุมเขา้ ตงั้ ฉากกนั เปน็ กรอบรปู F. รา่ งภาพลงบนพนื้ ผวิ ทีจ่ ัดทาไว้
G. พ่นสเปรยเ์ คลอื บผลงาน
ก. CEDAFBG
ข. ACDFBEG
ค. DFEACGB
ง. BGCAEFD
4. ศิลปะสื่อผสมแบ่งตามวสั ดุได้กี่แบบ ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ก. 2 แบบ คอื วสั ดุธรรมชาติ และวัสดสุ ังเคราะห์
ข. 3 แบบ คอื วสั ดทุ สี่ ามมารถกนิ ได้ วัสดทุ ่ีกินไมไ้ ด้ และแบบผสม
ค. 4. แบบ คือ วสั ดุท่ีปลอดภัย วสั ดอุ นั ตราย วสั ดุเหลอื ใช้ วสั ดุท่นี ามาใชใ้ หม่
ง. 5. แบบ คอื วัสดธุ รรมชาติ วัสดอุ นั ตราย วสั ดทุ ่ีนามาใชใ้ หม่ วสั ดุเหลือใช้ วสั ดสุ งั เคราะห์
5. ข้อใดเป็นเทคนิคการสร้างพนื้ ผิว
ก. การใชไ้ ม้ไผ่ทากรอบรูป
ข. การพ่นสเปรยเ์ คลือบผลงาน
ค. การรา่ งภาพในการดาษสเกต็
ง. การติดใบไม้ลงบนกระดานไม้อัด
6. ขนั้ ตอนใดท่ีอาศัยสมาธิ และระยะเวลาในการสร้างสรรค์มากท่ีสุด
ก. การปะติเปลอกไข่
ข. การออกแบบร่างภาพ
ค. การพน่ สเปรยเ์ คลือบผลงาน
ง. การนาเอากระดาษไปอดั แน่น
7. การประตดิ ใบไม้ ขน้ั ตอนใดสาคญั ท่สี ดุ
ก. การตดิ ใบไม้
ข. แผ่นกระดานทใ่ี ช้
ค. วธิ กี ารกดทับหรือกดอัดใบไม้
ง. วิธีการเกบ็ ใบไม้มาทาความสะอาด
8. การทากรอบรูปด้วยไม้ไผจ่ ะต้องตัดมุมของไมไ้ ผ่แตล่ ะดา้ นในมุมก่ีองศา ถงึ จะเขา้ มมุ ได้พอดี
ก. มมุ 25 องศา
ข. มุม 30 องศา
ค. มมุ 45 องศา
ง. มุม 90 องศา
9. ขอ้ ใดไม่ใชค่ ุณสมบัติของวัสดธุ รรมชาตทิ ่สี ามารถนามาสรา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปะสื่อผสมจากวสั ดุ
ธรรมชาตไิ ด้
ก. วสั ดุมีความสดใหม่
ข. วสั ดุมสี สี ันท่ีตรงตามความต้องการ
ค. วัสดมุ คี วามคงทน ไม่เปลย่ี นแปลงรปู ร่างได้ง่าย
ง. วัสดจุ ะต้องไม่ใชว้ ัสดทุ เี่ กิดจากการสงั เคราะห์หรือผลิตจากกระบวนการทางสารเคมี
10. การนาเอาใบไมม้ าติดลงบนกระดานไม้อดั ควรทาอย่างไรจึงจะถกู ต้อง
ก. นาใบไม้มาทากาวแล้วติดลงบนกระดานไม้อดั ด้านเรยี บ
ข. นาใบไมม้ าทากาวแลว้ ตดิ ลงบนกระดานไม้อัดด้านที่หยาบ
ค. ทากาวลงบนไมอ้ ดั แลว้ คอ่ ยนาใบไม้ไปตดิ ทบั ซอ้ นกนั ไมใ่ หเ้ หน็ พืน้ ทวี่ า่ ง
ง. นาใบไม้ท่ีทากาวจนแห้งแลว้ ขย่าๆใหย้ ับแลว้ นาไปตดิ ลงบนกระดานไม้อดั
11. เมือ่ ใบไมท้ ่ีจะนามาตดิ เป็นใบไม้ทีแ่ หง้ กรอบ ควรทาอย่างไรในการสรา้ งสรรค์ผลงาน
ก. นาเอาใบไม้ท่ีแหง้ ไปแช่น้าให้นม่ิ กอ่ นนามาติด
ข. นาใบไม้ท่ีแหง้ ไปต้มใหน้ ่ิมก่อนแลว้ รอใหเ้ สด็จนาแลว้ ค่อยนามาตดิ
ค. นาเอาใบไมท้ ี่แห้งแลว้ ไปตากแดดแล้วบดใหร้ ะเอียดแลว้ นามาตดิ บนกระดานไม้อดั
ง. นาเอาใบไมท้ ่ีแห้งสนทิ แลว้ ไปแช่น้าเกลือ จากน้นั กล็ า้ งให้สะอาดกอ่ นท่ีจะนามาติดบนกระดาน
ไม้อัด
12. ข้อใดใชข่ อ้ ดีของการออกแบบสเก็ตภาพผลงานกอ่ นลงมือปฎิบัติ
ก. ทาให้ทางานไดร้ วดเร็ว ไม่มีอุปสัย
ข. ทาใหง้ า่ ยต่อการวางแผนการสร้างสรรคผ์ ลงาน
ค. ทาใหส้ ามารถควบคุมทิศทางและขอบเขตในการสร้างสรรคผ์ ลงานได้
ง. ทาใหส้ ามารถเลือกหาวัสดุธรรมชาตทิ ่ีต้องการมาสร้างสรรค์ผลงานได้เหมาะสม
13. ขอ้ ใด หมายถึง ความสร้างสรรรค์
ก. ความแปลกใหม่ น่าสนใจ
ข. ความสวยงาม นา่ ประทบั ใจ
ค. ความทนั สมัย สดุ ยอดเหมือนจรงิ
ง. ความอลังการงานสรา้ ง หรูหรา เกนิ จากความเป็นจริง
14. ข้อใด เป็นข้อดีของการพ่นสเปรยเ์ คลือบผลงาน
ก. กนั แมลง
ข. กนั แสงแดด
ค. ทาให้ผลงานมันวาว สีสดขนึ้
ง. ปอ้ งกันการถกู ทาลายของรังสีUV
15. กาวท่ีเหมาะสาหรับนามาสรา้ งสรรค์ผลงานศิลปะส่อื ผสมจากวัสดุธรรมชาติ คอื ข้อใด
ก. กาวนา้
ข. กาวร้อน
ค. กาวTOA
ง. กาวแทง่ ใส
16. หากเปน็ ใบไม้ท่ีสดสเี ขียว เวลานามาตดิ บนกระดานแล้วเอาไปกดอัดจนแน่น ใบไม้จะลกั ษณะตรง
ตามข้อใด
ก. ใบไม้จะหยิกงอ
ข. ใบไม้จะมีสีดา
ค. ใบไมจ้ ะเหลวละลาย
ง. .ใบไมจ้ ะไม่แห้ง ไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้
17. การนาใบไม้ที่ตดิ กับไม้กระดานไปกดทับหรือบบี อัดดว้ ยวตั ถุท่หี นัก เพ่ือจุดประสงค์ใด
ก. เพ่อื ให้ใบไม้มีความสดสวยงาม
ข. เพ่ือให้ใบไม้แบนราบติดแน่นไปกับแผ่นไม้อดั
ค. เพอื่ ให้ใบไม้มคี วามคงทน และกันแมลงกดั กนิ
ง. เพื่อให้สามารถนาเอาวัสดอุ ่ืนๆมาปะติดได้อีกอย่างง่ายดาย
18. การทากรอบรปู ด้วยไมไ้ ผ่มีส่วนชว่ ยทาให้ผลงานมขี ้อดีอย่างไร
ก. ทาใหจ้ ับถือได้ง่าย
ข. ทาใหผ้ ลงานมีมูลคา่ แพงมากยิ่งขึ้น
ค. ทาให้ผลงานมคี วามคงทนมากย่งึ ขึน้ กว่าเดมิ
ง. ทาใหผ้ ลงานมีความสมบรู ณ์ นา่ มองมากยิ่งขึ้น
19. ข้อใดไมใ่ ชป่ ระโยชน์ทไี่ ดร้ ับจากการสรา้ งสรรค์ผลงานศิลปะสอ่ื ผสมจากวสั ดุธรรมชาติ
ก. ทาให้รู้จกั รกั ตนเอง รักธรรมชาติ และรกั โลก
ข. ทาใหร้ จู้ ักกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานศลิ ปะสื่อผสม
ค. ทาใหน้ ักเรยี นมีความคิดสร้างสรรคใ์ นการสรา้ งสรรค์ผลงานศลิ ปะ
ง. ทาให้ร้จู กั ประยุกตใ์ ช้วัสดธุ รรมชาตทิ อ่ี ยู่รอบตวั มาสรา้ งสรรค์ผลงานศิลปะ
20. หากตอ้ งการจะรักษาผลงานศลิ ปะส่อื ผสมจากวัสดุธรรมชาติ ให้สามารถอยูไ่ ด้นานๆ ควรทา
อย่างไร
ก. นาไปแช่ตเู้ ย็น
ข. นาไปเคลอื บด้วยรังสี
ค. นาไปใสก่ รอบตดิ กระจกให้มดิ ชดิ
ง. พ่นยาฆ่าแมลงเครือบผลงานใหเ้ รยี บร้อย
แบบทดสอบหลังเรียน
เรอื่ งศลิ ปะส่ือผสม
คาชแี้ จง : ให้นกั เรียนวงกลม ในข้อท่ถี ูกทสี่ ุดเพยี งคาตอบเด่ียว
1. ข้อใดไมใ่ ช่วัสดธุ รรมชาติ
ก. ขนนก เกลด็ ปลา เมล็ดข้าว
ข. เปลอื กไม้ กง่ิ ไมแ้ ห้ง ก้อนหิน
ค. เมล็ดขา้ วโพด เศษเหล็ก กระดาษสา
ง. ใบไม้ ข้าวเปลือก เศษไม้
2. ศลิ ปะสอื่ ผสมแบ่งตามวัสดุไดก้ ่ีแบบ ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง
ก. 2 แบบ คือ วสั ดธุ รรมชาติ และวัสดสุ งั เคราะห์
ข. 3 แบบ คอื วสั ดทุ ่ีสามมารถกินได้ วสั ดุที่กนิ ไม้ได้ และแบบผสม
ค. 4. แบบ คอื วัสดุทป่ี ลอดภัย วัสดุอนั ตราย วสั ดเุ หลอื ใช้ วัสดทุ ี่นามาใช้ใหม่
ง. 5. แบบ คือ วสั ดธุ รรมชาติ วสั ดุอนั ตราย วัสดทุ ่นี ามาใชใ้ หม่ วสั ดุเหลอื ใช้ วัสดุสงั เคราะห์
3. ขัน้ ตอนใดที่อาศยั สมาธิ และระยะเวลาในการสร้างสรรคม์ ากท่ีสดุ
ก. การปะตเิ ปลือกไข่
ข. การออกแบบร่างภาพ
ค. การพน่ สเปรย์เคลือบผลงาน
ง. การนาเอากระดาษไปอัดแนน่
4. การทากรอบรปู ดว้ ยไม้ไผ่จะตอ้ งตัดมมุ ของไม้ไผแ่ ตล่ ะด้านในมมุ ก่ีองศา ถึงจะเขา้ มุมได้พอดี
ก. มุม 25 องศา
ข. มุม 30 องศา
ค. มมุ 45 องศา
ง. มุม 90 องศา
5. การนาเอาใบไม้มาติดลงบนกระดานไม้อัด ควรทาอย่างไรจงึ จะถูกต้อง
ก. นาใบไม้มาทากาวแล้วติดลงบนกระดานไม้อัดดา้ นเรียบ
ข. นาใบไมม้ าทากาวแล้วติดลงบนกระดานไม้อัดด้านทหี่ ยาบ
ค. ทากาวลงบนไม้อัดแลว้ ค่อยนาใบไม้ไปตดิ ทบั ซอ้ นกนั ไมใ่ หเ้ ห็นพื้นที่ว่าง
ง. นาใบไมท้ ี่ทากาวจนแหง้ แลว้ ขยา่ ๆใหย้ ับแล้วนาไปตดิ ลงบนกระดานไม้อดั
6. ขอ้ ใดใช่ข้อดีของการออกแบบสเกต็ ภาพผลงานก่อนลงมือปฎิบตั ิ
ก. ทาใหท้ างานได้รวดเร็ว ไม่มอี ุปสยั
ข. ทาใหง้ ่ายต่อการวางแผนการสรา้ งสรรคผ์ ลงาน
ค. ทาให้สามารถควบคมุ ทิศทางและขอบเขตในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานได้
ง. ทาให้สามารถเลือกหาวัสดุธรรมชาติทตี่ อ้ งการมาสร้างสรรค์ผลงานได้เหมาะสม
7. ขอ้ ใด เป็นข้อดีของการพ่นสเปรยเ์ คลือบผลงาน
ก. กนั แมลง
ข. กันแสงแดด
ค. ทาใหผ้ ลงานมันวาว สีสดขึ้น
ง. ป้องกนั การถกู ทาลายของรังสีUV
8. หากเป็นใบไมท้ ่สี ดสเี ขียว เวลานามาติดบนกระดานแล้วเอาไปกดอดั จนแนน่ ใบไมจ้ ะลักษณะตรง
ตามข้อใด
ก. ใบไมจ้ ะหยกิ งอ
ข. ใบไมจ้ ะมสี ีดา
ค. ใบไมจ้ ะเหลวละลาย
ง. .ใบไม้จะไมแ่ ห้ง ไม่สามารถสรา้ งสรรคผ์ ลงานได้
9. การทากรอบรูปด้วยไม้ไผม่ ีสว่ นชว่ ยทาใหผ้ ลงานมขี อ้ ดีอย่างไร
ก. ทาให้จบั ถือได้ง่าย
ข. ทาให้ผลงานมีมลู ค่าแพงมากย่ิงขน้ึ
ค. ทาใหผ้ ลงานมคี วามคงทนมากยงึ่ ขึ้นกว่าเดมิ
ง. ทาให้ผลงานมีความสมบรู ณ์ น่ามองมากยิ่งขึน้
10. หากตอ้ งการจะรกั ษาผลงานศิลปะส่อื ผสมจากวสั ดุธรรมชาติ ใหส้ ามารถอยไู่ ด้นานๆ ควรทา
อย่างไร
ก. นาไปแชต่ ูเ้ ย็น
ข. นาไปเคลอื บด้วยรงั สี
ค. นาไปใสก่ รอบตดิ กระจกให้มิดชดิ
ง. พน่ ยาฆ่าแมลงเครือบผลงานใหเ้ รยี บร้อย
11. ขอ้ ใดไม่ใชป่ ระโยชน์ท่ีได้รับจากการสร้างสรรคผ์ ลงานศิลปะสื่อผสมจากวสั ดุธรรมชาติ
ก. ทาให้ร้จู กั รักตนเอง รักธรรมชาติ และรักโลก
ข. ทาให้รูจ้ ักกระบวนการสร้างสรรคผ์ ลงานศิลปะส่ือผสม
ค. ทาใหน้ กั เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างสรรค์ผลงานศลิ ปะ
ง. ทาให้รจู้ ักประยุกต์ใช้วัสดธุ รรมชาติท่ีอยรู่ อบตวั มาสรา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปะ
12. การนาใบไมท้ ี่ตดิ กบั ไม้กระดานไปกดทับหรือบบี อัดดว้ ยวตั ถุทห่ี นัก เพื่อจดุ ประสงค์ใด
ก. เพ่อื ให้ใบไม้มคี วามสดสวยงาม
ข. เพอ่ื ให้ใบไม้แบนราบติดแน่นไปกับแผ่นไม้อดั
ค. เพื่อให้ใบไม้มคี วามคงทน และกนั แมลงกัดกนิ
ง. เพอ่ื ใหส้ ามารถนาเอาวัสดุอื่นๆมาปะติดได้อีกอยา่ งง่ายดาย
13. กาวท่ีเหมาะสาหรบั นามาสร้างสรรคผ์ ลงานศิลปะสอ่ื ผสมจากวสั ดธุ รรมชาติ คอื ข้อใด
ก. กาวน้า
ข. กาวร้อน
ค. กาวTOA
ง. กาวแทง่ ใส
14. ขอ้ ใด หมายถงึ ความสร้างสรรรค์
ก. ความแปลกใหม่ นา่ สนใจ
ข. ความสวยงาม นา่ ประทับใจ
ค. ความทันสมยั สุดยอดเหมือนจริง
ง. ความอลงั การงานสรา้ ง หรูหรา เกินจากความเปน็ จรงิ
15. เมอื่ ใบไม้ทีจ่ ะนามาตดิ เป็นใบไม้ทแี่ ห้งกรอบ ควรทาอย่างไรในการสร้างสรรค์ผลงาน
ก. นาเอาใบไม้ท่ีแห้งไปแช่น้าให้นมิ่ กอ่ นนามาติด
ข. นาใบไม้ท่ีแห้งไปต้มใหน้ ่ิมก่อนแลว้ รอให้เสด็จนาแลว้ ค่อยนามาตดิ
ค. นาเอาใบไม้ที่แหง้ แล้วไปตากแดดแลว้ บดให้ระเอยี ดแลว้ นามาตดิ บนกระดานไม้อดั
ง. นาเอาใบไม้ทแ่ี ห้งสนิทแลว้ ไปแช่นา้ เกลือ จากน้นั กล็ ้างให้สะอาดก่อนทจ่ี ะนามาติดบนกระดาน
ไม้อัด
16. ข้อใดไม่ใช่คณุ สมบัติของวสั ดธุ รรมชาติที่สามารถนามาสรา้ งสรรค์ผลงานศิลปะสื่อผสมจากวสั ดุ
ธรรมชาตไิ ด้
ก. วัสดุมคี วามสดใหม่
ข. วัสดมุ ีสีสนั ทต่ี รงตามความตอ้ งการ
ค. วสั ดมุ ีความคงทน ไมเ่ ปล่ียนแปลงรูปร่างได้งา่ ย
ง. วสั ดจุ ะตอ้ งไม่ใช้วัสดุทเ่ี กดิ จากการสังเคราะห์หรือผลิตจากกระบวนการทางสารเคมี
17. การประติดใบไม้ ข้ันตอนใดสาคญั ทส่ี ุด
ก. การตดิ ใบไม้
ข. แผน่ กระดานทใ่ี ช้
ค. วิธกี ารกดทับหรอื กดอัดใบไม้
ง. วธิ กี ารเกบ็ ใบไม้มาทาความสะอาด
18. ข้อใดเปน็ เทคนิคการสร้างพื้นผิว
ก. การใช้ไม้ไผท่ ากรอบรูป
ข. การพน่ สเปรยเ์ คลือบผลงาน
ค. การรา่ งภาพในการดาษสเก็ต
ง. การตดิ ใบไม้ลงบนกระดานไมอ้ ัด
19. จงเรยี งลาดบั ข้นั ตอนการสร้างสรรค์ผลงานศลิ ปะสอ่ื ผสมให้ถูกตอ้ ง
A. ออกแบบผลงาน B. ตดิ วัสดธุ รรมชาติที่จัดเตรยี มไว้ลงบนภาพร่างท่ีจัดทาไว้
C. วางแผนจดั เตรียมวัสดุธรรมชาตทิ ีไ่ ด้ออกแบบไวใ้ หค้ รบ D. ติดใบไม้ลงบนแผน่ กระดานไม้อัด
E. ตดั ไม้ไผ่ใหท้ ามุมเข้าต้งั ฉากกันเปน็ กรอบรูป F. ร่างภาพลงบนพืน้ ผวิ ท่จี ัดทาไว้
G. พน่ สเปรย์เคลือบผลงาน
ก. CEDAFBG
ข. ACDFBEG
ค. DFEACGB
ง. BGCAEFD
20. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใชค่ วามหมายของศิลปะสือ่ ผสม
ก. การใชว้ ัสดุ-อุปกรณ์ท่มี ากกวา่ สองชนิดขึ้นไปมาสร้างสรรคผ์ ลงาน
ข. เปน็ ผลงานทีน่ าเอาศิลปะหลากหลายแขนงมารว่ มกนั เป็นผลงาน 1ชนิ้
ค. เปน็ การนาเอาทักษะและเทคนคิ วิธีการที่หลากหลายมาสร้างสรรคผ์ ลงานศลิ ปะมี
ง. เป็นการสร้างสรรค์ผลงานท่มี คี วามน่าสนใจ มเี อกลกั ษณ์จากการใช้สชี นดิ ใดชนดิ หนงึ่ เท่าน้ัน
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 1
กลุ่มสาระการเรยี นรศู้ ลิ ปะ วิชาทัศนศิลป์ ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2563
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 1 ศลิ ปะส่ือผสมจากวัสดธุ รรมชาติ เรือ่ ง ศิลปะส่ือผสม
ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 เวลา 1 คาบ/ช่วั โมง ครผู ้สู อน นางสาวพสิ ิฐณี ธนาวทิ รรศน์
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ศ.1.1 สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจิตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์
วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดเห็นต่องานศิลปะอย่างอิสระ ชื่นชม และ
ประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวัน
ตวั ชีว้ ดั ม3/4 มีทักษะในการสรา้ งงานทัศนศิลป์อย่างน้อย ๓ ประเภท
2. สาระสาคญั
ศิลปะส่ือผสมเป็นศิลปะแขนงหน่ึงท่ีผู้เรียนควรรู้ลัทาความเข้าใจ เพื่อเป็นประโยชน์ใน
การศึกษาและพฒั นาการสรา้ งสรรค์ผลงานศิลปะตอ่ ไป
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของศิลปะส่อื ผสม
3.2 นกั เรยี นสามารถเขยี น จาแนกศลิ ปะสอ่ื ผสมได้
3.3 นกั เรยี นมีความสนใจ สนุกสนานกับการทากจิ กรรมการเรียนการสอน
4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความหมายของศลิ ปะสือ่ ผสม
4.2 ประเภทของศิลปะสือ่ ผสม
5. กระบวนการเรยี นการสอน
ขน้ั นา
ครูให้นักเรียนเล่มเกมปรมมือตามคาสั่ง หากนักเรียนคนใด ปรมมือผิดก็ให้ออกมาหน้าช้ัน
เรียน จากนั้นครูจะตั้งคาถามเก่ียวกับเรื่องท่ีจะเรียนให้นักเรียนตอบคาถามน้ัน หากตอบไม่ได้ก็ให้ขอ
ความช่วยเหลือจากเพ่อื นท่ตี นเองไว้ใจมาชว่ ยตอบ เปน็ การเตรยี มความพร้อมเขา้ ส่บู ทเรยี น
ขั้นสอน
ครูให้นักเรียนจับกลุ่ม นั่งรวมกันกลุ่มละ 5 คน จากน้ันครูก็อธิบายความหมายของศิลปะ
ทศั นศลิ ป์ และประเภทของงานทัศนศิลป์แบง่ ออกได้ก่ปี ระเภท
ครูเร่ิมอธิบายความหมายของศิลปะส่ือผสมให้นักเรียนฟัง พร้อมทั้งอธิบายเกณฑ์การแบ่ง
ประเภทของศลิ ปะส่ือผสมใหน้ กั เรียนฟงั
ครเู ปิดโอกาสให้นกั เรียนสอบถามขอ้ สงสยั หรือคาถามเก่ียวเนื้อหาสาระท่ียังไม่เข้าใจ จากน้ัน
ครกู ต็ อบคาถามอธิบายให้นกั เรียนฟังและทาความเข้าใจ
ขัน้ ปฏิบตั ิ