รายงานการวิจยั
เรือ่ ง
การพฒั นาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชดุ ฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนกุ
ของเดก็ ปฐมวยั ชน้ั อนบุ าล 2/4 โรงเรยี นสพุ รรณภูมิ
ผวู้ จิ ัย
นายกฤษฎา ศกึ คละจิต
รายงานการวิจัยในช้นั เรียนฉบบั นเ้ี ปน็ ส่วนหนงึ่ ของการศึกษา
รายวชิ า 1005809 การปฏบิ ัติการสอนในสถานศึกษา 2 (Internship-Externship 2)
หลักสตู รศึกษาศาสตรบณั ฑิต สาขาวชิ าการศึกษาปฐมวัย
คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสพุ รรณบุรี
ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2563
รายงานการวิจยั
เรือ่ ง
การพฒั นาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชดุ ฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนกุ
ของเด็กปฐมวยั ชน้ั อนบุ าล 2/4 โรงเรยี นสพุ รรณภูมิ
ผวู้ จิ ัย
นายกฤษฎา ศกึ คละจิต
รายงานการวิจัยในช้นั เรียนฉบบั นเ้ี ปน็ ส่วนหนงึ่ ของการศึกษา
รายวชิ า 1005809 การปฏบิ ัติการสอนในสถานศึกษา 2 (Internship-Externship 2)
หลักสตู รศึกษาศาสตรบณั ฑิต สาขาวชิ าการศึกษาปฐมวัย
คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสพุ รรณบุรี
ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2563
ก
หัวข้อวิจัย การพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใชช้ ุดฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์แสนสนกุ
ของเด็กปฐมวัยชนั้ อนบุ าล 2/4 โรงเรียนสพุ รรณภมู ิ
ผูด้ ำเนนิ การวิจัย นายกฤษฎา ศึกคละจติ
ท่ีปรึกษา อาจารย์ชนมธ์ ิดา ยาแกว้
ปรญิ ญา หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ วิทยาเขตสุพรรณบรุ ี
มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
ปี พ.ศ. 2564
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดฝึกทักษะ
คณิตศาสตร์แสนสนุก และเพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 ของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาล 2/4
ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุก กลุ่มเป้าหมายที่ศึกษา ได้แก่ นักเรียน
ชน้ั อนุบาล 2/4 ที่มีอายุ 4-5 ปี ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563 โรงเรยี นสุพรรณภูมิ ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอ
เมืองฯ จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสังเกตทักษะการเขียนตัวเลขของเด็ก
ปฐมวยั สถติ ทิ ีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบดว้ ย สถิติพ้ืนฐาน ไดแ้ ก่ ความถี่ รอ้ ยละ ค่าเฉล่ีย ค่าเบี่ยงเบน
มาตรฐาน ผลการวิจยั มีดังน้ี
นักเรียนมีทักษะการเขียนตัวเลขที่ดี เฉลี่ยร้อยละ 100 ผลการวิเคราะห์การพัฒนาทักษะการเขียน
ตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุก พบว่า การจัดกิจกรรมชุดฝึกทักษะตัวเลขสร้างสรรค์
มีค่าเฉลี่ยรวมทั้งหมดตามประเด็นที่สังเกต ก่อนได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 1.33 และค่าเบี่ยงเบน
มาตรฐาน .000 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 2.71
และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .356 ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้ การจัดกิจกรรมชุดฝึกทักษะประสาทสัมผัส
มีค่าเฉลี่ยรวมทั้งหมดตามประเด็นที่สังเกต ก่อนได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 1.80 และค่าเบี่ยงเบน
มาตรฐาน .325 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 2.71
และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .356 ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้ และการจัดกิจกรรมชุดฝึกทักษะกระดานตัวเลข มี
ค่าเฉลี่ยรวมทั้งหมดตามประเด็นที่สังเกต ก่อนได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 2.42 และค่าเบี่ยงเบน
มาตรฐาน .251 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 3.00
และค่าเบยี่ งเบนมาตรฐาน .000 ซ่ึงผา่ นเกณฑ์ตามท่ตี ้ังไว้
ข
กิตตกิ รรมประกาศ
รายงานการวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ด้วยความช่วยเหลือของอาจารย์ชนม์ธิดา ยาแก้ว
อาจารยป์ ระจำคณะครศุ าสตร์ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวยั คุณครจู ำเรียง วนั ทอง และคณุ ครนู ้ำทพิ ย์ เขียนงาม
คุณครูประจำชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนสุพรรณภูมิ ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็น
ที่ปรึกษาช่วยตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหา แก้ไขข้อผิดพลาด ตรวจสอบความสอดคล้องของ
แบบประเมินกับวัตถุประสงค์ที่ผู้วิจัยตั้งไว้ ซึ่งท่านได้ให้คำแนะนำและข้อคิดเห็นต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์
อยา่ งยง่ิ ในการทำวิจัย อกี ทงั้ ยงั ช่วยแกป้ ัญหาต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ข้ึนระหวา่ งการดำเนนิ งานอกี ด้วย
ขอขอบคุณผู้อำนวยการโรงเรียนสุพรรณภูมิ นายสุรพล รุ่งวิริยะวงศ์ และคุณครูจำเรียง วันทอง
คุณครูประจำชั้นอนุบาล 2/4 โรงเรียนสุพรรณภูมิ ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุพรรณบุรี ที่ให้
ความอนเุ คราะห์ และความรว่ มมอื ในการจดั ทำการวิจัยในครัง้ น้เี ป็นอยา่ งดี
กฤษฎา ศึกคละจติ
2564
สารบัญ ค
บทคดั ย่อ หนา้
กิตตกิ รรมประกาศ ก
สารบญั ข
สารบญั ตาราง ค
สารบญั ภาพ จ
ฉ
บทท่ี 1 บทนำ
ความเป็นมาและความสำคญั 1
วตั ถุประสงค์ของการวิจัย 1
สมมตฐิ านการวิจยั 2
ขอบเขตการวจิ ัย 2
นยิ ามคำศพั ทเ์ ฉพาะ 2
ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะได้รับ 2
3
บทที่ 2 แนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจยั ที่เกยี่ วข้อง
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ปพี ทุ ธศกั ราช 2560 4
แนวคดิ และทฤษฎีเกย่ี วกบั ทักษะกล้ามเน้ือเลก็ ของเด็กปฐมวยั 4
แนวคดิ และทฤษฎีเกี่ยวกับทกั ษะการเขยี นของเด็กปฐมวัย 7
แนวคิดและทฤษฎีเก่ยี วกับทักษะคณิตศาสตร์พ้นื ฐานของเด็กปฐมวยั 8
งานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วข้องกับการพัฒนาทักษะการเขียนและทักษะคณิตศาสตร์พนื้ ฐาน 13
สำหรับเดก็ ปฐมวยั 19
กรอบแนวคิดการวิจยั
21
บทท่ี 3 วิธดี ำเนินการวจิ ัย
กลุ่มเป้าหมาย 22
เครื่องมือท่ีใชใ้ นการวิจัยและการหาคณุ ภาพ 22
การเก็บรวบรวมข้อมลู 22
การวิเคราะหข์ ้อมลู 27
28
บทที่ 4 ผลการวิจยั
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูลเบ้อื งต้น 30
ผลการวิเคราะห์การพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 30
โดยใช้ชดุ ฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์แสนสนกุ 30
บทท่ี 5 สรปุ ผลการวิจัย อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ ง
สรปุ ผลการวิจัย
อภิปรายผล 38
ขอ้ เสนอแนะในการนำผลวจิ ยั ไปใช้ 38
ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครัง้ ตอ่ ไป 39
40
บรรณานกุ รม 40
ภาคผนวก 41
ภาคผนวก ก แผนการจัดประสบการณ์
ภาคผนวก ข เครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการวิจัย 42
ภาคผนวก ค แบบประเมินดชั นีวัดความสอดคล้อง (IOC) 43
ภาคผนวก ง หนังสือขอความอนุเคราะห์การตรวจประเมนิ เคร่อื งมือวิจัย 50
ภาคผนวก จ ตัวอย่างภาพการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 58
63
ประวตั ิผ้วู จิ ยั 67
71
จ
สารบัญตาราง หน้า
23
ตารางที่
25
3.1 ผลการวเิ คราะห์แบบดชั นีความสอดคลอ้ งของขอ้ คำถามกบั จดุ ประสงค์
(IOC: Index of Item-Objective Congruence) ของแผนการจัดประสบการณ์ 26
ชุดฝึกทักษะคณติ ศาสตร์แสนสนุก 27
30
3.2 ผลการวิเคราะหแ์ บบดัชนคี วามสอดคล้องของขอ้ คำถามกบั จดุ ประสงค์ 31
(IOC: Index of Item-Objective Congruence) ของแบบสงั เกตทักษะ
การเขียนตวั เลขของเด็กปฐมวัย 33
3.3 เกณฑก์ ารให้คะแนนแบบสังเกตทกั ษะการเขยี นตัวเลขของเด็กปฐมวยั 35
3.4 ตารางกำหนดการจัดกิจกรรม
4.1 ความถี่ รอ้ ยละ ของนักเรยี นท่ไี ด้รบั การพัฒนาการใช้กล้ามเน้อื เลก็ จำแนกตามเพศและอายุ
4.2 ค่าสถติ ิพ้ืนฐาน ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลีย่ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ทง้ั กอ่ นและหลงั การปฏบิ ตั ิกิจกรรมชุดฝกึ ทกั ษะตวั เลขสรา้ งสรรค์
4.3 คา่ สถติ ิพ้นื ฐาน ความถี่ รอ้ ยละ ค่าเฉล่ีย คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน
ทงั้ กอ่ นและหลังการปฏบิ ัติกิจกรรมชุดฝกึ ทักษะประสาทสัมผัส
4.4 คา่ สถติ พิ น้ื ฐาน ความถ่ี รอ้ ยละ คา่ เฉลี่ย ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน
ท้งั กอ่ นและหลงั การปฏบิ ตั ิกิจกรรมชดุ ฝึกทกั ษะกระดานตวั เลข
สารบัญภาพ ฉ
ภาพที่ หนา้
21
2.1 กรอบแนวคิดการวจิ ยั 32
4.1 กราฟเสน้ แสดงผลการวเิ คราะห์คะแนนการพฒั นาทักษะการเขียนตวั เลข 1-10 34
กอ่ นและหลงั การจดั กิจกรรมชดุ ฝึกทกั ษะตวั เลขสรา้ งสรรค์ และคะแนนเกณฑ์
36
4.2 กราฟเสน้ แสดงผลการวเิ คราะหค์ ะแนนการพัฒนาทกั ษะการเขียนตัวเลข 1-10
ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมชดุ ฝกึ ทักษะประสาทสัมผัส และคะแนนเกณฑ์ 36
4.3 กราฟเสน้ แสดงผลการวิเคราะห์คะแนนการพัฒนาทักษะการเขียนตวั เลข 1-10 37
กอ่ นและหลงั การจัดกิจกรรมชดุ ฝึกทกั ษะกระดานตัวเลข และคะแนนเกณฑ์
56
4.4 กราฟเสน้ แสดงผลการวิเคราะหค์ ะแนนการพัฒนาทกั ษะการเขยี นตวั เลข 1-10 56
ก่อนการจัดกจิ กรรมชุดฝึกทกั ษะคณิตศาสตรแ์ สนสนุกทง้ั 3 กิจกรรม และคะแนนเกณฑ์ 57
68
4.5 กราฟเสน้ แสดงผลการวิเคราะห์คะแนนการพัฒนาทกั ษะการเขยี นตวั เลข 1-10 68
หลังการจดั กิจกรรมชดุ ฝกึ ทักษะคณิตศาสตร์แสนสนกุ ทั้ง 3 กจิ กรรม และคะแนนเกณฑ์ 69
69
ข-1 ชดุ ฝกึ ทกั ษะตวั เลขสร้างสรรค์ 70
ข-2 ชดุ ฝึกทักษะประสาทสมั ผัส 70
ข-3 ชุดฝึกทกั ษะกระดานตัวเลข
จ-1 ตวั อย่างภาพการเก็บรวบรวมข้อมูล
จ-2 ตวั อย่างภาพการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
จ-3 ตัวอยา่ งภาพการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
จ-4 ตวั อยา่ งภาพการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
จ-5 ตวั อย่างภาพการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
จ-6 ตัวอย่างภาพการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
บทที่ 1
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหา
กล้ามเนื้อเล็กมีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของเด็กปฐมวัย ซึ่งในปัจจุบันพบ
ประเดน็ ปัญหาเกย่ี วกบั กลา้ มเนื้อมือที่ไม่แขง็ แรง เปน็ ผลมาจากการจดั กจิ กรรมที่ไม่เหมาะสมและไม่ส่งเสริมให้
เด็กมีการใช้กล้ามเนื้อมือประสานสัมพันธ์กับตา ส่งผลให้พัฒนาการด้านร่างกายล่าช้า และมีผลเสียต่อ
พัฒนาการทางด้านสติปัญญา เนื่องจากกล้ามเนื้อมือมีส่วนทำให้เด็กใช้สำรวจ สังเกตจากการสัมผัสจับต้องใน
ทุก ๆ กิจกรรม (อธิษฐาน พูลสินศักดิ์กุล. 2556) โดยกล้ามเนื้อมือเป็นปัจจัยที่มีผลต่อทักษะการเขียน
เนื่องจากการเขียนของเด็กปฐมวัย คือ การที่เด็กขีดเขียนถ่ายทอดความคิด ออกมาอย่างมีความหมายเด็ก
สามารถบอกได้ว่าเขาเขียนอะไร การเขียนของเด็กอาจจะไม่สวยงาม หรือถูกต้องตามหลักการเขียน แต่การ
เขียนของเด็กจะเป็นไปตามพัฒนาการและความสามารถเฉพาะของแต่ละคน (วารุณี เพิ่มศรี. 2559) จากการ
สงั เกตทักษะ การเขยี นของเด็กปฐมวยั ระดบั ชั้นอนุบาล 2/4 โรงเรียนสุพรรณภูมิ ตำบลท่าพเี่ ลี้ยง อำเภอเมือง
จังหวัดสุพรรณบรุ ี พบว่า มีทักษะการเขียนตัวเลขไม่ได้ มีการเขียนกลับด้านของตัวเลข จำนวน 7 คน คิดเป็น
รอ้ ยละ 23
หลักสูตรการศึกษาปฐมวยั ปพี ุทธศักราช 2560 ได้กล่าวถึงพัฒนาการทางดา้ นร่างกายของเด็กปฐมวัย
ไว้ว่า การสนับสนุนให้เด็กได้มีโอกาสพัฒนาการใช้กล้ามเนื้อเล็ก โดยผ่านการเล่นเครื่องเล่นสัมผัส การสร้าง
จากแท่งไม้บล็อก การเขียนภาพ การเล่นสี การปั้น การประดิษฐ์ การหยิบจับ การใช้กรรไกร การฉีก การตัด
การปะ และการร้อยวัสดุ จะทำใหก้ ลา้ มเน้ือเลก็ ของเด็กปฐมวัยแข็งแรงขึ้น และพัฒนาการด้านสติปัญญาไว้ว่า
การสนับสนุนให้เดก็ ได้รบั รแู้ ละเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตวั ผ่านการมีปฏสิ ัมพันธ์กับสงิ่ แวดล้อม บุคคล และส่ือต่าง
ๆ ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากลหาย เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กพัฒนาการใช้ภาษา จินตนาการความคิด
สร้างสรรค์ การแก้ปญั หา การคิดเชิงเหตุผล การคดิ รวบยอดเก่ียวกับส่งิ ต่าง ๆ รอบตวั และมคี วามคิดรวบยอด
ทางคณติ ศาสตร์ทเี่ ป็นพ้นื ฐานของการเรียนรู้
สภาพปัญหาของพัฒนาการทางด้านร่างกายและสติปัญญาของเดก็ ปฐมวัย คือ การใช้กล้ามเนื้อเล็กท่ี
ไม่แข็งแรง และการเขียนตัวเลขไม่ได้ สง่ ผลใหเ้ ดก็ ปฐมวัยมีพัฒนาการทางด้านร่างกายล่าชา้ และเป็นผลเสียต่อ
พัฒนาการทางด้านสติปัญญา ซึ่งจะเห็นได้ว่า ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
พุทธศักราช 2560 นั้นมีความต้องการให้เด็กปฐมวัยได้มีพัฒนาการการใช้กล้ามเนื้อเล็ก การประสานสัมพันธ์
ระหว่างกล้ามเนื้อเล็กกับตา เกิดการเรียนรู้จากการสัมผัส จับต้องในทุก ๆ กิจกรรม และมีความคิดรวบยอด
ทางคณติ ศาสตรท์ ี่เปน็ พื้นฐานตอ่ การเรียนรู้
แนวทางการแก้ไขพัฒนาการทางด้านร่างกายและด้านสติปัญญาที่จะช่วยส่งเสริมทักษะการเขียน
ตัวเลข โดยมีวิธีการส่งเสริมทักษะการเขียนตัวเลขได้ 5 วิธี คือ 1. ชุดของเล่นจากวัสดุธรรมชาติในท้องถ่ิน
2. การส่งเสริมทักษะการเขียนตัวเลขโดยใช้กิจกรรมศิลปะผ่านสื่อการเล่านิทาน 3. การจัดประสบการณ์
คณิตศาสตร์ 4. การเล่นกับนิ้วมือ 5. การพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์
แสนสนุก เพอ่ื เปน็ แนวทางในการพัฒนาทกั ษะการเขยี นของเดก็ ปฐมวัยให้มีการเขยี นตวั เลขที่ดยี ิง่ ขึ้น
2
ในการวิจัยการศึกษาพัฒนาการทางด้านร่างกายและด้านสติปัญญาของเด็กปฐมวัยที่ส่งเสริมทักษะ
การเขยี นตวั เลข โดยการเลอื กใช้วธิ ีการแกไ้ ขสภาพปัญหา การพฒั นาทักษะการเขยี นตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดฝึก
ทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุก และการศึกษาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสน
สนุก เพื่อศึกษาและแก้ไขพัฒนาการทางด้านร่างกาย และสติปัญญาของเด็กปฐมวัย เพื่อเป็นแนวทางใน
การส่งเสริมการใชก้ ลา้ มเนือ้ เลก็ ในการเขยี นตัวเลข และการประสานสมั พนั ธ์ระหว่างมือกับตา
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย
1. เพื่อพฒั นาทักษะการเขยี นตวั เลข 1-10 โดยใช้ชดุ ฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตรแ์ สนสนกุ
2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 ของเด็กปฐมวัยช้นั อนบุ าล 2/4 กอ่ นและหลังการจัด
กจิ กรรมชดุ ฝกึ ทักษะคณติ ศาสตรแ์ สนสนุก
สมมติฐานการวิจยั
เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุก มีทักษะการเขียนตัวเลขที่ดีขึ้น
และไม่เขียนตัวเลขกลับด้าน
ขอบเขตของการวจิ ัย
1. ขอบเขตเนื้อหา
เนือ้ หาท่ีใช้ศึกษาคน้ ควา้ คร้งั น้ี เป็นเด็กผชู้ ายและเดก็ ผหู้ ญิง ท่ีมีอายุ 4-5 ปี ชนั้ อนุบาล 2/4 ภาคเรียน
ท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 โรงเรียนสพุ รรณภูมิ ตำบลทา่ พเ่ี ลย้ี ง อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดสุพรรณบรุ ี จำนวน 29 คน
2. ขอบเขตกลมุ่ เป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ เป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง ที่มีอายุ 4-5 ปี ชั้นอนุบาล 2/4
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนสุพรรณภูมิ ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุพรรณบุรี
จำนวน 7 คน ซ่ึงไดม้ าจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ทม่ี ีปญั หาการเขียนตัวเลขไมไ่ ด้
3. ขอบเขตตวั แปรท่ีศกึ ษา
ตวั แปรที่ศกึ ษา ประกอบด้วย
นวตั กรรม/กิจกรรม ได้แก่ การใช้ชดุ ฝึกทกั ษะคณติ ศาสตร์แสนสนกุ
ทักษะท่ีพัฒนา ได้แก่ ทักษะการเขียนตัวเลข 1-10
คำจำกดั ความที่ใช้ในการวจิ ัย/นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ
เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง ที่มีอายุ 4-5 ปี ชั้นอนุบาล 2/4 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2563 โรงเรยี นสุพรรณภมู ิ ตำบลท่าพเ่ี ลี้ยง อำเภอเมืองฯ จังหวดั สพุ รรณบุรี จำนวน 7 คน
ทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 หมายถึง การแสดงออกทางการขีดเขียนตัวเลข ลงบนอุปกรณ์ต่าง ๆ
จากการสังเกต การใช้กลา้ มเนื้อมอื ประสานสัมพันธก์ ับตาในการขีดเขียนตวั เลขตามแบบทีก่ ำหนด โดยการขีด
เขียนตัวเลขที่ไม่กลับด้าน และคำนึกถึงความถูกต้อง แม่นยำ เครื่องมือที่ใช้คือแบบสังเกตทักษะการเขียน
ตวั เลขของเดก็ ปฐมวยั
ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุก หมายถึง กิจกรรมที่จัดให้เด็กได้การสังเกต และการใช้กล้ามเนื้อ
มือประสานสัมพนั ธ์กับตา การจับต้องวตั ถุตา่ ง ๆ ในการทำกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการใช้กลา้ มเน้ือมอื ในการขดี
เขยี นตวั เลขลงกระดานตัวเลข การขีดเขียนตวั เลขลงบนทรายสี โดยมกี ิจกรรม ดงั นี้
3
1. กิจกรรม ชุดฝึกทักษะตัวเลขสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่จดั ให้เด็กได้ใช้กลา้ มเนื้อมือ หยิบจับฝาขวด
นำ้ วางตามแบบตวั เลขทกี่ ำหนดโดยเริ่มวางจากจดุ เร่ิมต้นจนถึงจุดสิน้ สุด
2. กิจกรรม ชุดฝึกทักษะประสาทสัมผสั เป็นกจิ กรรมทจี่ ดั ให้เด็กไดใ้ ชก้ ล้ามเนื้อมือประสานสัมพันธ์กับ
ตา นบั จำนวนวัตถตุ ามค่าของตวั เลขนั้น และขดี เขียนตัวเลขตามแบบที่กำหนดลงบนทรายสี โดยเร่ิมเขียนจาก
จุดเริม่ ตน้ จนถึงจุดสิน้ สุด
3. กิจกรรม ชุดฝึกทักษะกระดานตัวเลข เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้ใช้กล้ามเนื้อมือ ขีดเขียนตัวเลข
ตามรอยปะโดยจะมีการแบ่งความง่ายไปหายากอยู่ทั้งหมด 3 ระดับ โดยเริ่มเขียนตามรอยปะจากจุดเริ่มต้น
จนถงึ จุดสิน้ สดุ
ระดบั ที่ 1 เขียนตัวเลขตามรอยปะตวั ใหญ่สุด จากจดุ เร่มิ ตน้ จนถึงจดุ สิ้นสดุ
ระดับที่ 2 เขียนตัวเลขตามรอยปะตัวเล็กลงมา จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุด เพื่อให้เด็กสังเกตและ
เขียนตวั เลขได้ตามความคดิ ของตนเอง
ระดับที่ 3 เขียนตัวเลขจากกระดานเปล่า จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุด โดยไม่มีรอยปะ เพื่อให้เด็ก
สงั เกตและเขียนตัวเลขไดต้ ามความคิดของตนเอง
ประโยชน์ที่คาดว่าจะไดร้ บั
1. เด็กปฐมวยั ชน้ั อนบุ าล 2/4 จำนวน 7 คน โรงเรียนสพุ รรณภูมิ ทีม่ ที กั ษะการเขยี นตัวเลขไม่ได้และ
เขยี นตวั เลขกลับด้าน ไดร้ ับการพัฒนาทกั ษะการเขียนตวั เลขทดี่ ขี น้ึ
2. เด็กปฐมวัยเกิดความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และความเพลิดเพลินในการปฏิบัติกิจกรรม
ชดุ ฝกึ ทกั ษะคณติ ศาสตรแ์ สนสนุก
3. ครูและผ้ปู กครองได้รบั แนวทางในการแก้ปญั ทักษะการเขยี นตวั เลขของเด็กปฐมวัย
บทท่ี 2
แนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวขอ้ ง
ในการดำเนินงานวิจัยครั้งนี้ เป็นการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดฝึกทักษะ
คณติ ศาสตร์แสนสนุก ผูว้ ิจยั ได้ศกึ ษาคน้ ควา้ เอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยท่เี กย่ี วขอ้ งดงั นี้
2.1 หลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวยั ปีพทุ ธศักราช 2560
2.2 แนวคิดและทฤษฎีเกย่ี วกับทักษะกล้ามเนอ้ื เล็กของเด็กปฐมวัย
2.3 แนวคิดและทฤษฎีเกีย่ วกบั ทักษะการเขียนของเดก็ ปฐมวยั
2.4 แนวคิดและทฤษฎีเก่ยี วกับทักษะคณิตศาสตร์พื้นฐานของเด็กปฐมวยั
2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะการเขียนและทักษะคณิตศาสตร์พื้นฐานสำหรับ
เด็กปฐมวยั
2.6 กรอบแนวคดิ การวิจัย
2.1 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ปีพุทธศักราช 2560
หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั 2560 สำหรบั เด็กอายุ 3-6 ปี
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี เป็นการจัดการศึกษาในลักษณะของการอบรม
เลี้ยงดูและใหก้ ารศกึ ษาเดก็ จะได้รบั การพัฒนาท้ังด้านร่างกาย อารมณ-์ จติ ใจ สงั คม และสติปัญญา ตามวัยและ
ความสามารถของแต่ละบุคคล
ปรชั ญาการศึกษาปฐมวยั 2560
การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์ อย่างเป็นองค์รวมบนพื้นฐาน
การอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการตามวัยของเด็กแต่ละ
คนให้เต็มตามศักยภาพ ภายใต้บริบทสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ ด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และ
ความเข้าใจของทุกคน เพื่อสร้างรากฐาน คุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่า
ต่อตนเอง ครอบครวั สงั คม และประเทศชาติ
หลกั การ
เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมพัฒนาการตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ ก
ตลอดจนได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเหมาะสม ดว้ ยปฏิสัมพนั ธท์ ี่ดรี ะหว่างเดก็ กับพ่อแม่ เด็กกับ
ผสู้ อน เด็กกับผู้เลี้ยงดู หรือผูท้ เ่ี กีย่ วข้องกบั การอบรมเล้ยี งดู การพัฒนา และใหก้ ารศกึ ษาแก่เดก็ ปฐมวยั เพอื่ ให้
เด็กมีโอกาสพัฒนาตนเองตามลำดับขั้นของพัฒนาการทุกด้าน อย่างเป็นองค์รวม มีคุณภาพ และเต็มตาม
ศกั ยภาพ โดยกำหนดหลกั การ ดงั น้ี
1. สง่ เสรมิ กระบวนการเรยี นรู้และพฒั นาการทีค่ รอบคลุมเด็กปฐมวยั ทุกคน
2. ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่าง
บุคคล และวิถีชีวติ ของเด็กตามบรบิ ทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย
3. ยึดพัฒนาการและการพัฒนาเด็กโดยองค์รวม ผ่านการเล่นอย่างมีความหมาย และมีกิจกรรม
ทหี่ ลากหลาย ไดล้ งมือกระทำในสภาพแวดล้อมทเ่ี อ้อื ต่อการเรยี นรู้ เหมาะสมกับวัย และมกี ารพักผ่อนเพยี งพอ
4. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กมีทักษะชีวิต และสามารถปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มีวินยั และมีความสุข
5
5. สร้างความรู้ ความเขา้ ใจ และประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็กระหว่างสถานศึกษากับพ่อแม่
ครอบครัว ชุมชน และทุกฝา่ ยทเ่ี กย่ี วข้องกับการพฒั นาเด็กปฐมวัย
จุดหมาย
หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั มุ่งเดก็ มีพฒั นาการตามวัยเตม็ ตามศกั ยภาพ และมีความพร้อมในการเรียนรู้
ตอ่ ไป จึงกำหนดจดุ หมายเพือ่ ให้เกิดกบั เดก็ เมื่อจบการศึกษาระดบั ปฐมวัย ดังนี้
1. รา่ งกายเจรญิ เตบิ โตตามวัย แขง็ แรง และมีสขุ นิสยั ที่ดี
2. สขุ ภาพจิตดี มสี นุ ทรยี ภาพ มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และจิตใจทดี่ งี าม
3. มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีวินัย และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้
อย่างมีความสขุ
4. มีทักษะการคดิ การใช้ภาษาส่อื สาร และการแสวงหาความรไู้ ด้เหมาะสมกับวัย
มาตรฐานคุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์จำนวน 12 มาตรฐาน
ประกอบดว้ ย
1. พัฒนาการด้านร่างกาย ประกอบด้วย 2 มาตรฐานคอื
มาตรฐานท่ี 1 รา่ งกายเจริญเตบิ โตตามวยั และมีสุขนิสยั ที่ดี
มาตรฐานท่ี 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสาน
สัมพนั ธก์ ัน
2. พัฒนาการด้านอารมณ์ จติ ใจ ประกอบดว้ ย 3 มาตรฐานคอื
มาตรฐานที่ 3 มสี ุขภาพจิตดีและมคี วามสขุ
มาตรฐานที่ 4 ชน่ื ชมและแสดงออกทางศลิ ปะ ดนตรี และการเคล่ือนไหว
มาตรฐานที่ 5 มคี ณุ ธรรม จริยธรรม และมจี ติ ใจทดี่ ีงาม
3. พฒั นาการด้านสงั คม ประกอบด้วย 3 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 6 มีทกั ษะชีวิตและปฏบิ ัติตนตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
มาตรฐานที่ 7 รกั ธรรมชาติ สิง่ แวดล้อม วัฒนธรรม และความเป็นไทย
มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมใน
ระบอบประชาธปิ ไตย อนั มีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ
4. พัฒนาการดา้ นสติปญั ญา ประกอบดว้ ย 4 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกบั วยั
มาตรฐานที่ 10 มคี วามสามารถในการคดิ ทเ่ี ปน็ พืน้ ฐานในการเรยี นรู้
มาตรฐานท่ี 11 มจี ินตนาการและความคดิ สรา้ งสรรค์
มาตรฐานท่ี 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้
เหมาะสมกับวยั
สาระการเรียนรู้
สาระการเรียนรู้ เป็นสื่อกลางในการจัดประสบการณ์การเรียนรูใ้ ห้กับเด็ก เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็ก
ทุกด้าน ให้เป็นไปตามจุดหมายของหลักสูตรที่กำหนด ประกอบด้วย ประสบการณ์สำคัญ และสาระที่ควร
เรียนรู้ ดงั นี้
1. ประสบการณ์สำคัญ ประสบการณ์สำคัญเป็นแนวทางสำหรับผู้สอนนำไปใช้ในการออกแบบ
การจดั ประสบการณ์ให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้ ลงมือปฏบิ ัติ และได้รับการสง่ เสริมพัฒนาการครอบคลุมทุกด้าน ดงั น้ี
6
1.1 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้มีโอกาส
พัฒนาการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก และการประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อและระบบประสาท
ในการทำกิจวัตรประจำวันหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ และสนับสนุนให้เด็กมีโอกาสดูแลสุขภาพและสุขอนามัย
สขุ นสิ ยั และการรักษาความปลอดภยั
1.2 ประสบการณ์สำคัญท่ีส่งเสรมิ พฒั นาการด้านอารมณ์ จิตใจ เป็นการสนบั สนุนให้เด็กได้แสดงออก
ทางอารมณ์และความรู้สึกของตนเองที่เหมาะสมกับวัย ตระหนักถึงลักษณะพิเศษเฉพาะ ที่เป็นอัตลักษณ์
ความเป็นตัวของตัวเอง มีความสุข ร่าเริงแจ่มใส การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ได้พัฒนาคุณธรรม จริยธรรม
สุนทรียภาพ ความร้สู ึกทดี่ ตี ่อตนเอง และความเชือ่ มั่นในตนเองขณะปฏบิ ัติกิจกรรมตา่ ง ๆ
1.3 ประสบการณส์ ำคัญที่ส่งเสริมพฒั นาการดา้ นสังคม เปน็ การสนับสนนุ ให้เดก็ ไดม้ โี อกาสปฏิสัมพันธ์
กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวจากการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการเรียนรู้ทางสงั คม เช่น การเลน่
การทำงานกบั ผ้อู ืน่ การปฏบิ ตั กิ จิ วัตรประจำวัน การแก้ปัญหาข้อขดั แย้งตา่ ง ๆ
1.4 ประสบการณส์ ำคัญทสี่ ่งเสริมพัฒนาการด้านสตปิ ัญญา เป็นการสนบั สนนุ ใหเ้ ดก็ ได้รบั รู้และเรียนรู้
สิ่งต่าง ๆ รอบตัวผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม บุคคล และสื่อต่าง ๆ ด้วยกระบวนการเรียนรู้ท่ี
หลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กพัฒนาการใช้ภาษา จินตนาการความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การคิด
เชิงเหตุผล การคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และมีความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ที่เป็นพื้นฐาน
ของการเรียนรู้ตอ่ ไป
2. สาระที่ควรเรียนรู้
สาระที่ควรเรียนรู้ เป็นเรื่องราวรอบตัวเด็กที่นำมาเป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรมให้เด็กเกิดแนวคิด
หลังจากนำสาระที่ควรรู้นั้น ๆ มาจัดประสบการณ์ให้เด็ก เพื่อให้บรรลุจุดหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ไม่เน้น
การทอ่ งจำเน้ือหา ผู้สอนสามารถกำหนดรายละเอียดขึ้นเองใหส้ อดคล้องกบั วัย ความตอ้ งการ และความสนใจ
ของเด็ก โดยให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์สำคัญ ทั้งน้ี อาจยืดหยุ่นเนื้อหาได้ โดยคำนึงถึงประสบการณ์
และสิง่ แวดลอ้ มในชีวติ จริงของเด็ก ดังน้ี
2.1 เรื่องราวที่เก่ียวกับตวั เด็ก เดก็ ควรเรยี นรชู้ อ่ื นามสกลุ รูปร่างหนา้ ตา อวยั วะต่าง ๆ วิธีระวังรักษา
ร่างกายให้สะอาดและมีสุขภาพอนามัยที่ดี การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ การระมัดระวัง
ความปลอดภัยของตนเองจากผู้อื่นและภัยใกล้ตัว รวมทั้งการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างปลอดภัย การรู้จักประวัติ
ความเปน็ มาของตนเองและครอบครวั การปฏบิ ัตติ นเปน็ สมาชิกทีด่ ขี องครอบครัวและโรงเรียน การเคารพสิทธิ
ของตนเองและผู้อื่น การรู้จักแสดงความคิดเห็นของตนเองและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น การกำกับตนเอง
การเล่นและทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองตามลำพังหรือกับผู้อื่น การตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเอง ความภาคภูมิใจใน
ตนเอง การสะทอ้ นการรับรอู้ ารมณ์และความรสู้ กึ ของตนเองและผู้อื่น การแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึก
อย่างเหมาะสม การแสดงมารยาททด่ี ี การมคี ณุ ธรรมจริยธรรม
2.2 เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับครอบครัวสถานศึกษา
ชุมชน และบุคคลต่าง ๆ ที่เด็กต้องเกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน สถานที่สำคัญ
วันสำคัญ อาชีพของคนในชุมชน ศาสนา แหล่งวัฒนธรรมในชุมชน สัญลักษณ์สำคัญของชาติไทย
และการปฏบิ ัตติ ามวฒั นธรรมทอ้ งถ่ินและความเปน็ ไทย หรอื แหลง่ เรียนรูจ้ ากภมู ิปญั ญาทอ้ งถน่ิ อื่น ๆ
2.3 ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับชื่อ ลักษณะ ส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลงและ
ความสัมพันธ์ของมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนการรู้จักเกี่ยวกับดิน น้ำ ท้องฟ้า สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ
แรงและพลงั งานในชวี ติ ประจำวนั ท่แี วดลอ้ มเดก็ รวมทงั้ การอนุรกั ษ์ส่ิงแวดลอ้ มและการรักษาสาธารณสมบตั ิ
7
2.4 สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมายในชีวิตประจำวัน
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้หนังสือและตัวหนังสือ รู้จักชื่อ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส ขนาด รูปร่าง รูปทรง
ปริมาตร น้ำหนัก จำนวน ส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เวลา เงิน
ประโยชน์ การใช้งาน และการเลือกใช้สิ่งของเครื่องใช้ ยานพาหนะ การคมนาคม เทคโนโลยีและการสื่อสาร
ตา่ ง ๆ ท่ีใชอ้ ย่ใู นชวี ติ ประจำวนั อย่างประหยัด ปลอดภยั และรักษาสิ่งแวดลอ้ ม
2.2 แนวคดิ และทฤษฎีเกี่ยวกบั ทักษะกลา้ มเน้อื เลก็ ของเด็กปฐมวัย
1. ความหมายของทกั ษะการใชก้ ลา้ มเนือ้ เลก็
ความหมายของความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก หมายถึง ความสามารถในการบังคับ
ใช้กล้ามเนื้อมือ นิ้วมือ และประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว
มั่นคง
นภเนตร ธรรมบวร (2554) กล่าวว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กเป็นความสามารถใน
การบังคับกล้ามเนื้อเล็กส่วนต่าง ๆ ให้ทำงานประสานกัน เช่น ตากับมือ นิ้วมือ ได้แก่ การวาดภาพ
การลากเส้น การตัดกระดาษ การร้อยลูกปัด และการลากเส้นตามรอยปะ เปน็ ต้น
อธิษฐาน พูลศิลปศ์ กั ดก์ิ ุล (2556) กลา่ ววา่ กลา้ มเนือ้ มดั เลก็ เป็นกล้ามเนอ้ื ทใ่ี ช้ในการทำงานละเอียดที่
ไม่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของร่างกาย ส่วนใหญ่เป็นการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กที่นิ้วมือ โดยต้องทำงานสัมพันธ์
กับสายตาด้วย
พรรณี ช.เจนจิต (2558) กล่าวว่า ความสามารถในการบังคับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ แขน มือ
และนิ้วมือ ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยสัมพันธ์กับการใช้สายตา (Foman and Fleet, 1908) เน้นว่าเป็น
ความสามารถในการปรับตัวที่เด็กมีทักษะการใช้มือในการปฏิบัติงานในชีวิตประจำวันได้ เช่น การช่วยตัวเอง
การแต่งตวั การทำงานต่าง ๆ ตลอดจนการเล่น
จากการศึกษาความหมายของทักษะการใช้กล้ามเนื้อเล็ก สรุปได้ว่า ทักษะการใช้กล้ามเนื้อเล็ก
หมายถึง ความสามารถในการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ กล้ามเน้ือมือ ให้ประสานสัมพันธ์กับสายตาและประสาท
สัมผัสให้ทำงานประสานกันอย่างเป็นอย่างดีในการเคลื่อนไหวต่าง ๆ เช่น การทำกิจกรรม และการช่วยเหลือ
ตนเองในการทำกิจวัตรประจำวนั ได้อยา่ งคล่องแคล่ว
2. ความสำคญั ของของทักษะการใช้กลา้ มเนื้อเล็ก
อธิษฐาน พูลศิลป์ ศักดิ์กุล (2556) กล่าวว่า กล้ามเนื้อเล็ก เป็นอวัยวะที่สำคัญหนึ่งในการประกอบ
กจิ วตั รประจำวันด้วยตนเอง การใสถ่ อดกระดมุ รูดซปิ การแปรงฟนั ผกู เชอื กรองเท้า งานศิลปะ รวมท้ังการขีด
เขียนให้เด็กใช้กล้ามเนื้อเล็กได้คล่องแคล่ว จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ เช่น ด้านสติปัญญาให้ดีขึ้น
เพราะกล้ามเนื้อเล็กมี่สวนทำให้เด็กใช้มือสำรวจ สังเกตจากการสัมผัสจับต้องในทุก ๆ กิจกรรมซึ่งการใช้มือ
เพื่อที่จะจับของเล่นและเรียนรู้ทักษะในการช่วยเหลือตนเอง เช่น การกินอาหารและแต่งตัวเป็นการฝึก
ความพร้อมด้านกล้ามเน้ือมือ นิ้วมือให้แข็งแรง ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว และการฝึกความสัมพันธ์ระหว่างตากับ
มือจะช่วยให้เด็กออกกำลังและพร้อมที่จะใช้ในการเขียน เด็กสามารถเขียนสิ่งใดก็ต่อเมื่อมีความสามารถใน
การใช้กล้ามเนื้อมือลายตาประสานสัมพันธ์กันได้ดี ซึ่งจะทำให้การควบคุมและการประสานงานกันของ
กล้ามเนือ้ เลก็ กับสายตามคี วามสัมพันธก์ ับพัฒนาการของการรับรู้ และสตปิ ญั ญาของเด็กปฐมวัย
รวิพร ผาด่าน (2557) กล่าวว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือมัดเล็กมคี วามสำคัญต่อเด็ก กล่าวคือ
กล้ามเน้ือมัดเลก็ เปน็ อวยั วะทสี่ ำคญั การเคลอ่ื นไหวกลา้ มเน้อื ตา มือ น้ิวมอื และแขนทีม่ ีความสัมพนั ธ์กันจะทำ
8
ให้เด็กสามารถทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ได้คล่องแคล่วว่องไว ซึ่งการบริหารกล้ามเนื้อเล็กให้แข็งแรงจะช่วย
ในการพัฒนาการรับรู้และส่งผลให้เกิดการพัฒนาด้านสติปัญญาที่ดีตลอดจนเป็นพื้นฐานด้านความสามารถใน
การเขียนของเดก็ ต่อไป
เกียรติวรรณ อมาตยกุล (2559) กล่าวว่า ความสำคัญของความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กไว้
ดังนี้ มือของคนเราคือ ฐานของสมองผู้ท่ไี ด้รบั การบริหารมือมาต้งั แต่เด็ก ๆ จะเป็นผู้ที่มสี มองดมี ีความคิดฉับไว
การฝกึ ฝนความคล่องแคลว่ ว่องไวของการใช้กล้ามเนื้อน้วิ มือมคี วามสัมพนั ธ์อย่างมากกับความคิดอันฉับไวของ
เดก็ ในทางตรงกนั ข้ามเดก็ ทไี่ มม่ ีความสามารถเคลื่อนไหวน้ิวมอื ได้คลอ่ งแคล่วมักจะคิดอะไรชาไปดว้ ย
จากการศึกษาความสำคัญของทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก สรุปได้ว่า การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กมี
ความสำคัญอย่างยิ่งต่อเด็กเล็กเป็นอย่างมากและเป็นอวัยวะที่สำคัญ ในการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมือ นิ้วมือ
แขนทำงานร่วมกันกับกล้ามเนื้อตาให้ประสานงานกันตา และทำให้เด็กสามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตา่ ง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการจบั ตอ้ งสัมผัส การวาดภาพ การขีดเขียนไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคล่ว
2.3 แนวคิดและทฤษฎีเกย่ี วกับทกั ษะการเขียนของเดก็ ปฐมวยั
1. ความหมายของทักษะการเขยี น
ทิศนา แขมมณี และคนอ่นื ๆ (2555) กล่าวว่า การเขยี น เป็นการฝึกลลี า การใช้มอื ให้เดก็ มคี วามพร้อม
ในการเขยี นสามารถบังคับกล้ามเนอ้ื มือได้ตามต้องการ
ราศี ทองสวัสดิ์ (2556) กล่าวว่า การเขียนของเดก็ ปฐมวยั หมายถงึ การเขียนเส้นยุ่ง ๆ หรือวาดภาพ
ต่าง ๆ ตามวยั หากเด็กสามารถพัฒนาการเขียนเหล่าน้ีได้ก็จะช่วยใหเ้ ด็กเขยี นภาพทมี่ ีความหมายได้
นติ ยา ประพฤติกิจ (2558) กล่าวว่า การเขียน (Writing) การเขยี นของเด็กทีม่ ีอายนุ ้อยกว่า 6 ปี
เป็นการเขียนในลักษณะการจับปากกา หรอื ดนิ สอ แล้วลากไป ลากมาในกระดาษและเดก็ สามารถบอกได้ว่า
สงิ่ นน้ั คืออะไร และสามารถเชื่อมโยงเป็นเร่อื งราวได้
วารณุ ี เพมิ่ ศรี (2559) กล่าววา่ การเขยี นของเด็กปฐมวัย คอื การทีเ่ ด็กขดี เขียนถ่ายทอดความคิด
ออกมาอย่างมีความหมาย เดก็ สามารถบอกได้ว่าเขาเขยี นอะไรการเขียนของเด็กอาจจะไม่สวยงามหรือถูกต้อง
ตามหลกั การเขียน แต่การเขียนของเด็กจะเป็นไปตามพฒั นาการและความสามารถเฉพาะของแต่ละคน
จากการศึกษาความหมายของทกั ษะการเขยี น สรปุ ได้ว่าเป็นการขดี เขียนโดยการจับปากกาหรอื ดินสอ
ลากไป ลากมา ถ่ายทอดเร่ืองราวตามความคิดของเดก็ และเด็กสามารถบอกเรื่องราวหรือรายละเอียดเกย่ี วกบั
สิ่งทตี่ นเองขดี เขียนลงกระดาษได้อย่างมีความหมาย
2. ความสำคัญของทักษะการเขียน
กรรณิการ พวงเกษม (2554) กล่าวว่า การเขียนเป็นวิธกี ารหน่ึงที่เด็กได้แสดงออกเป็นพฒั นาการทาง
ภาษาอีกด้านหนึง่ ที่มีความสำคัญ เช่นเดียวกับการพดู การเขียนเป็นเครื่องมือทีจ่ ะพัฒนาความมีเหตุผลในเด็ก
เป็นการแสดงออกซึ่งสุนทรียะและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก เป็นทางที่จะระบายอารมณ์ เป็นการเพิ่ม
ความเชื่อมั่น ให้มีขึ้นในตนเอง ครูควรแนะนําให้เด็กรู้จักเขียนโดยใช้ความคิด ใช้ประสบการณ์ ความพอใจ
ตลอดจนทักษะทางภาษาในระดบั ของเด็กเอง
นฤมล เฉียบแหลม (2556) กล่าวว่า การเขียนมีความสำคัญ คือ เป็นวิธีการสือ่ สารอย่างหนึ่งที่ผู้เขยี น
ส่งถึงผู้รบั โดยทก่ี ารเขียนน้นั สามารถแสดงให้เห็นถงึ ความรู้สึก อารมณ์สุนทรียะ ความต้องการ ภมู ิปัญญาและ
ประสบการณข์ องผู้เขยี นการเขียนสามารถเกบ็ ไว้ไดน้ านและถือเป็น เคร่อื งมอื ถา่ ยทอดวฒั นธรรมอยา่ งหนึง่
9
สนิท ตั้งทวี (2557) ได้สรุปความสำคัญของการเขยี นไว้ ดังนี้
1. เป็นเครอ่ื งแสดงออกทางความรู้ความคิดและความรู้สึกของมนุษย์
2. เป็นเครื่องมือสำคญั ในการจดั ความเจรญิ ของมนุษย์
3. เป็นเครือ่ งมือสอ่ื สารในอดตี ปัจจบุ ันและอนาคต
4. เป็นเครอื่ งมือสำคญั ทางวัฒนธรรมท่ถี ่ายทอดมรดกทางดา้ นสติปัญญาของมนุษย์
5. เป็นสือ่ ทีช่ ่วยแพร่กระจายความรู้ความคดิ ให้กว้างไกล
6. เป็นส่ือกลางท่ีให้ความรู้ความคดิ และความเพลิดเพลนิ แก่คนทกุ เพศทุกวัย
7. เป็นบนั ทกึ ทางสังคมทใ่ี ห้ประโยชน์แก่คนรุ่นปจั จุบันและอนาคต
8. เป็นงานอาชีพท่ีสำคัญอยางหน่งึ ในปัจจบุ ัน
จากการศึกษาความสำคัญของทักษะการเขียน สรุปได้ว่า การเขียน มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
เปน็ วิธกี ารสอ่ื สารที่ผเู้ ขียนสง่ ถงึ ผู้รับ โดยการเขียนสามารถแสดงออกถึงความรสู้ ึก ความต้องการ และความคิด
สรา้ งสรรค์
3. จดุ ม่งุ หมายของการเขียน
ผกาศรี เย็นบุตร (2553) กล่าวว่า การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนนั้น ผู้เขียนยอมต้องมี
จุดมุ่งหมายไว้ในใจว่าจะเขียนอะไรเขียนอย่างไร เขียนเพื่อใคร เขียนทําไม จึงจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเป็นอย่างดี
ซึ่งได้กำหนดจุดมงุ่ หมายในการเขยี นแตล่ ะคร้ังไว้ดังนี้
1. เพื่ออธิบาย เป็นการบอกเล่าให้ทราบต้องการให้ผู้อ่านรับความรู้ความคิดประสบการณ์ เช่น
บทความ ตาํ ราวิชาการ ฯลฯ
2. เพื่อพรรณนา เป็นการบอกความรู้สึกให้ทราบ ต้องการให้ผู้อ่านทราบ ความรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
หรอื บุคคลใดบุคคลหนึง่ เช่น รู้สกึ รกั โกรธ ฯลฯ เช่น เรียงความ นวนยิ าย เรอ่ื งสนั้ ฯลฯ
3. เพื่อเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนใจ เปลี่ยนความรู้สึกของผู้อ่านตามที่ผู้เขียนต้องการ เช่น ชักชวน
ให้เหน็ จริงหรอื ปฏบิ ัตติ าม
อุไรวรรณ มาตมุงคุณ (2554) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของการเขียนผู้เขียนกำหนดขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านรับรู้
และเข้าใจในงานเขียนที่ผู้เขียนต้องการสื่อสารได้ดีและถูกต้อง การเขียนในเด็กปฐมวัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็น
การแสดงความต้องการ หรอื บอกความประทบั ใจและแสดงให้เหน็ ถงึ ความคับข้องใจในเรอื่ งทไี่ มเ่ ข้าใจ
หรรษา นลิ วเิ ชียร (2554) กล่าวถึง การกำหนดจดุ มุ่งหมายการเขยี นในเด็กปฐมวยั ไว้ว่า เด็กจะพัฒนา
ความสามารถในการเขียนจากขั้นง่าย ๆ ไปสู่ขั้นที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อแสดงออกถึงความประทับใจของตน
เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึก เพื่อแสดงความต้องการ หรือเพื่อเสนอสิ่งบันเทิงเด็กต้องการประสบการณ์ การทำ
เครื่องหมายและการทดลองเขียนคํา เขียนประโยค เพื่อที่จะได้เกิดการค้นพบว่า เครื่องหมาย เหล่านั้นมี
ความหมาย
วารุณี เพม่ิ ศรี (2559) กล่าวว่า จุดมงุ่ หมายของการเขียน เป็นการถา่ ยทอดความรู้สกึ นึกคิดของผู้เขียน
ต้องการสื่อสารให้ผู้อ่าน เข้าใจ ส่วนเด็กปฐมวัยมีจุดมุงหมายเพื่อแสดงออกถึงความประทับใจหรือเพื่อ
แลกเปล่ียนความรู้และความคิดเห็น เพือ่ แสดงความต้องการหรอื เพ่ือเสนอสงิ่ บันเทงิ
จากที่กล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการเขียน เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกของผู้เขียนที่
ต้องการสื่อสารให้ผู้อ่านหรือผู้รับ เข้าใจถึงสิ่งที่จะสื่อสาร ส่วนจุดมุ่งหมายการเขียนของเด็กปฐมวัย
เปน็ การสอ่ื สารความตอ้ งการ แสดงออกถึงความประทับใจของตนอง เพอื่ แลกเปลยี่ นความรู้สกึ กับผอู้ ่ืน
10
4. องคป์ ระกอบของการเขยี น
นฤมล เฉียบแหลม (2557) กล่าวว่า องค์ประกอบของการเขียนมี 4 ประการ ที่ครูต้องยึดหลักและ
คำนึงถึงเสมอ ก่อนที่จะวางแนวทางในการสอนเขียนและนอกเหนือ จากนี้ยังมีปัจจัยที่เกี่ยวของกับการสอน
เพื่อพัฒนาการเขียนให้กับเด็กอีกก็คือ ปัจจัยที่เกี่ยวกับด้านร่างกายของเด็ก เช่น อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับ
การเขียน ได้แก่กล้ามเนื้อมือประสาทตาความสัมพันธ์ระหว่างตา กับความสนใจความสามารถในการเช่ือมโยง
ความคิด และสัญลักษณ์ให้สัมพันธ์กับปัจจัยที่เกี่ยวของกับสิ่งแวดลอมรอบตัวเด็ก เช่น สภาพครอบครัว
โรงเรียน ซง่ึ ประกอบไปดว้ ย ครทู เ่ี ปน็ ตนแบบในการเขียนหรือเทคนิควิธีการสอนเขียน เป็นต้น
วรรณี โสมประยูร (2558) กล่าวว่า การเขียนมอี งคป์ ระกอบสำคญั 4 ประการ คอื
1. ผู้เขียนหรอื ผู้ส่งสาร ผู้เขียนเป็นจุดกำเนิดท่ีทำให้เกิดงานเขียนขึ้น ลักษณะต่าง ๆ ของผู้เขียนท่ีช่วย
ให้เกิดงานเขียน ไดแ้ ก่ ความรู้การแสดงความคดิ เหน็ ความสามารถในการใช้ภาษา ลำดับความสำคัญ ลักษณะ
ทางการเขยี นที่ส่งผลไปถงึ ลายมือของผู้เขยี นและความมีมารยาทในการเขยี น
2. ภาษา ภาษาที่ใช้ในการเขียนมี 3 ระดับ คือ ภาษาพูด ภาษากึ่งแบบแผน และภาษาที่มีแบบแผน
สามารถสอนผู้เขียนภาษาได้ทั้ง 3 ระดับ แต่ความสำคัญอยู่ที่การเลือกใช้ภาษาอย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ
บคุ คล จุดมงุ่ หมายสถานท่ี เวลาและสถานการณ์สิง่ แวดล้อม
3. เครื่องมือ เครื่องมือที่ทำให้เกิดสาร คือ เครื่องเขียน เช่น ดินสอ ปากกา กระดาษหรืออื่น ๆ ที่ใช้
แทนกันได้และตัวอักษรที่อาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลายมือ ถ้าลายมือสะอาดเรียบร้อย ถูกต้องและชัดเจน
ถอื ว่าเป็นเครอ่ื งมอื ที่มปี ระสิทธภิ าพ
4. ผู้อ่าน ผู้อ่านเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ผู้เขียนต้องคำนึงถึง เพราะเป้าหมายสำคัญของการเขียน
คือ มุ่งให้ผู้อ่านเกิดการรับรู้และเข้าใจในสิ่งที่สื่อสารออกไป ดังนั้นผู้เขียนจึง จำเป็นตนเลือกเนื้อหา ภาษาวิธี
เขยี น รูปแบบการเขียนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับผู้อา่ นจึงจะทำให้การสื่อสารเกดิ ประสิทธภิ าพ
วารุณี เพิ่มศรี (2559) กล่าวว่า องค์ประกอบของการเขียน มี 4 ประการ คือ ผู้เขียนหรือผู้ส่งสาร
ภาษา เครื่องมือ ผู้อ่าน ซึ่งในการสอนเพื่อพัฒนาการเขียนครูต้องยึดหลักและคำนึงถึงเสมอก่อนที่จะวาง
แนวทางในการสอนเขียน ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวของกับการสอน เพื่อพัฒนาการเขียนให้เด็ก คือ ด้านร่างกาย
สตปิ ัญญา สิ่งแวดล้อมรอบตวั เดก็ และครูทเ่ี ป็นตนแบบในการเขียนให้กบั เด็ก
จากทีก่ ลา่ วข้างตน้ สรุปได้วา่ องค์ประกอบของการเขียน มี 4 ประการ คอื ผเู้ ขียนหรือผู้ส่งสาร ภาษา
เครื่องมือ และผู้อ่านหรือผู้รับสาร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเขียน โดยการเขียนจะต้องมีองค์ประกอบท่ี
ชัดเจนและมีเนื้อหาที่แสดงออกให้ผู้อ่านหรือผู้รับสารได้เข้าใจ เข้าถึงสิ่งที่กำลังจะสื่อสาร และองค์ประกอบที่
สำคญั สำหรับการเขียนของเด็ก คอื การใช้กล้ามเนื้อมือประสานสัมพนั ธ์กับตา เพ่ือใหแ้ สดงออกทางขีดเขียนลง
บนผลงานและเขา้ ใจถงึ พฒั นาการด้านการเขียนของเด็ก
5. ปจั จัยทเ่ี กยี่ วข้องกับการเขียน
วรรณี โสมประยรู (2553) กล่าวว่า ปัจจัยทีเ่ ก่ียวข้องกับการเขียนมีหลายประการ ดงั น้ี
1. อวัยวะทีเ่ กีย่ วของกบั การเขียน
1.1 มือ การพัฒนากล้ามเนื้อมือมีส่วนสำคัญในการเขียน เด็กบางคนไม่สามารถบังคับ
กล้ามเนื้อมือให้เขียนได้ บางคนมือพิการก็ทำให้เขียนไม่ถนัด หรือไม่สามารถเขียนได้เลย การเขียน
ต้องใช้มอื เป็นประการสำคญั ดงั น้ันจึงต้องมกี ารฝึกกล้ามเน้อื มอื ด้วย
1.2 ตา การเขียนจำเป็นต้องใช้สายตาในการดู ขณะเขียนสำหรับเด็กที่มีพัฒนาการทาง
อวยั วะตาไมเ่ จรญิ ไปตามปกติจะมองภาพกลับกันกบั สภาพจรงิ คอื มองตัวอกั ษรกลับหัว
11
1.3 ความสัมพันธ์ระหว่างตากับกล้ามเนื้อ การเขียนต้องอาศัยการมองเพื่อรับสารและใช้มือ
เขียนสิง่ ที่มองเหน็ น้นั นอกจากน้ีตายงั มองสงิ่ ท่เี ขียนว่าเหมือนทคี่ ดิ ไว้หรอื ไม่
2. สมองหรือสติปัญญา การเขียนเป็นการถ่ายทอดความคิดความเข้าใจ และเป็นเครื่องมือสำหรับ
พัฒนาความคิดและสติปัญญา ดังนั้นสมองก็จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จำเป็นต่อการเขียนอย่างยิ่ง เพราะถ้าสมอง
ไมค่ ดิ สง่ิ ใดแลวก็ไมม่ คี วามต้องการทีจ่ ะเขียนแสดงสิ่งนน้ั ออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจ นอกจากนี้ สมองยงั เกย่ี วของกับ
การเขียนในเรอ่ื งตา่ ง ๆ อีกเช่นกัน
2.1 ความสามารถในการรับรู้และคำสั่ง ต่อไปนี้ เช่น การสังเกตสิ่งที่เขียนว่า มีลักษณะ
อย่างไรการเหน็ ความสัมพันธ์ของเร่ืองท่เี ขียน การลำดบั ความคิดเพ่ือบรรยายเรื่องและการจำลักษณะ
ตวั อักษร คาํ ประโยคและข้อความ
2.2 ความสามารถในการแสดงออกที่ต่างกัน เนื่องจากความสามารถในการรับและ
การถ่ายทอดของแต่ละบคุ คลแตกต่างกัน คือบางคนเขยี นได้เรว็ แต่บางคนบังคับกล้ามเน้ือให้เขียนได้
ไมด่ ี
2.3 ช่วงความสนใจและความตั้งใจต่างกัน เด็กที่มีช่วงความสนใจสั้นมักเขียนได้น้อย ทำให้
ทักษะการเขียนไม่เท่าทคี่ วรและมีความตั้งใจเรยี นน้อยลง
2.4 การเขียนมีความจำเป็นต้องโยงความคิดให้สัมพันธ์และต่อเนื่องกัน เพราะ ความคิดที่
สัมพันธ์และตอ่ เนอ่ื งกัน จะเปน็ สื่อให้เดก็ เขยี นเรื่องราวต่าง ๆ ให้ตดิ ต่อสมั พนั ธ์กนั ได้มากขน้ึ
3. สิ่งแวดล้อม การเขียนต้องอาศัยประสบการณ์พื้นฐานอื่น ๆ ทั้งจากบ้าน โรงเรียน และสังคมซ่ึง
เป็นปจั จัยทเ่ี ก่ียวขอ้ งกันและมอี ทิ ธิพลต่อการพัฒนาทักษะการเขยี นของเด็ก ดงั นี้
3.1 สิ่งแวดล้อมทางบ้าน ได้แก่ ฐานะเศรษฐกิจและสังคม ความสัมพันธ์ในครอบครัวภาษา
พูดจำนวนพี่น้องในครอบครัวและการอบรมเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อมที่กล่าวมานี้นับเป็น สิ่งแวดล้อมที่มี
อทิ ธิพลต่อการพฒั นาทางภาษาของเด็กมาก ทั้งนเี้ พราะบ้านเป็นสิ่งแวดลอมท่เี ด็กประสบก่อนและอยู่
ใกล้ตัวที่สุด นอกจากนี้กระบวนการเรียนรู้ภาษาอย่างหนึ่งที่เด็กใช้เป็นอันดับแรก คือ การเอาอย่าง
และเลียนแบบ เม่ือบ้านมีอิทธิพลต่อการฟัง การพูด และการอ่าน ดังนั้นบ้านจึงเป็นอันดับแรกที่มี
อิทธิพลต่อการเขียนเพราะ เดก็ ยอมเขียนตามทต่ี นพูดหรือเขยี นตามทีไ่ ด้ฟงั และอ่านมา
3.2 สิ่งแวดล้อมทางโรงเรียน โรงเรียนทำหน้าที่สร้างเสริม ปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมต่าง ๆ
ดังนั้นทักษะทางภาษาของเด็ก ซึ่งรวมทักษะการเขียนด้วยย่อมพัฒนาไปตามสภาพแวดล้อม ซึ่งได้แก่
ตัวครูและเพื่อน ๆ ในด้านตัวครู เป็นสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อภาษาของเด็กมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเขียนของเด็กมักเริ่มตนจากครู เช่น วิธีเขียนของครู วิธีการเขียนของครูที่เป็นต้นแบบของ
การเขียนของเด็ก เจตคติของครู และบรรยากาศการเรียนเขียน ครูได้จัดบรรยากาศให้เด็กมีอิสระใน
การคิด ย่อมช่วยให้เด็กสามารถเขียนอย่างสร้างสรรค์ได้สมบูรณ์อย่างเต็มที่ ส่วนเพื่อนนั้น ถือเป็น
สิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ตัวเด็กมาก เพราะในการเขียนเด็กจะซักถามเพื่อนหรือลอกการเขียนจากเพื่อน
เป็นต้น
3.3 สิ่งแวดล้อมทางสังคมและชุมชน เด็ก ๆ ต้องเกี่ยวข้องกับสังคมและชุมชน ตลอดเวลา
ดังนั้นสภาพแวดล้อมทางชุมชนและสังคมย่อมมีบทบาทที่สำคัญต่อการพัฒนาเด็กในด้านพฤติกรรม
บุคลิกภาพ เจตคติ ทักษะทางภาษาและอื่น ๆ สำหรับทางด้านภาษาไทยเฉพาะการเขียนเด็กมักฟัง
และอ่านจากสื่อมวลชนด้วย เด็กจึงเขียนตามประสบการณ์ที่พบจากโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์และ
เอกสารต่าง ๆ
12
วารุณี เพิ่มศรี (2559) กล่าวว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเขียน ประกอบด้วย อวัยวะ ที่เกี่ยวข้องกับ
การเขียน เช่น มือ ตา ซึ่งต้องมีความสัมพันธ์กัน สมองหรือสติปัญญา สมองเป็นตัวคิดว่าจะเขียนอะไร
ส่วนสิง่ แวดล้อม ได้แก่ บา้ น โรงเรยี น สงั คมและชุมชนที่เด็กเกย่ี วข้อง เด็กมกั จะฟังและอ่านจากสื่อ ดังน้ันเด็ก
จึงเขยี นตามประสบการณท์ ีพ่ บเห็น
จากที่กล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเขียน ประกอบด้วย อวัยวะ เป็นส่วนสำคัญที่
จะต้องใช้มือประสานสัมพันธ์กับตาในการเขียน สมองหรือสติปัญญา เป็นส่วนที่คิดและแสดงออกทางการขีด
เขียนลงบนกระดาษหรือผลงาน และสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนสำคัญที่ให้เด็กเกิดการเรียนรู้ จากการฟังและ
ถา่ ยทอดออกมาเป็นการขีดเขยี นตามประสบการณ์ที่พบเหน็
6. ทฤษฎีและพฒั นาการการเขียน
ไวกอตสกี (Vygotsky, 1978 อ้างถึงใน อุไรวรรณ มาตมุงคุณ, 2554) กล่าวว่า เด็กพัฒนา
ภาษาเพ่ือจะเขา้ ร่วมกจิ กรรมในสงั คม ดังนั้น เดก็ ตอ้ งเรยี นรูท้ ี่จะเข้าใจและสร้างสัญลักษณ์ขน้ึ คือ การสื่อภาษา
โดยใช้สญั ลักษณ์ ซ่งึ เป็นสิง่ ทมี่ คี วามสำคัญมาก กระบวนการพัฒนาสญั ลักษณ์ เด็กตอ้ งเรยี นรู้ที่จะ ฟงั พดู อ่าน
และเขียนนี้ ก็คือการพัฒนาทักษะทางภาษา ทั้ง 4 ด้าน เด็กเริ่มเรียนรู้ต้ังแต่ทารก เรียนรู้ที่จะใช้ท่าทาง
การใช้สญั ลกั ษณห์ รอื การวาดรปู จากน้ันจึงพฒั นาการไปสู่การเขยี นและการอ่าน
อิลลิส (Ellis. 2014) กระบวนการเขยี นของเดก็ ประกอบด้วย 4 ขน้ั ตอนด้วยกัน คือ
1. ขั้นก่อนเริ่มการเขียน (Prewriting) ขั้นนี้เป็นการเตรียมความพร้อมในการเขียน
คิดเก่ียวกบั หัวข้อที่จะเขียน ครูสังเกตได้จากส่ิงที่เดก็ มักชอบพดู ถึง
2. ขน้ั ราง (Drafting) ขั้นน้ีมคี วามสำคญั มากคือ การเปิดโอกาสให้เด็กพูดเกยี่ วกับ สิ่งที่เขาคิด
ออกแบบท่ีจะเขียนและร่างงานเขียน
3. ขั้นแก้ไข (Revising) เป็นขัน้ ให้เวลาเดก็ ตดั สนิ ใจแก้ไขงานของตน ครอู าจให้คำแนะนําโดย
กระตุ้นใหเด็กไดค้ ดิ หลายแงมมุ
4. ขั้นปรบั ปรงุ (Editing) เป็นขัน้ สดุ ท้ายเด็กต้องอ่านทบทวนตรวจตัวสะกดรปู แบบการเขียน
เคร่ืองหมายตา่ ง ๆ และอ่นื ๆ ท้ังนเ้ี พื่อให้ผู้อา่ นเขา้ ใจงานเขยี นยิง่ ขนึ้
กีเซล (Gesell,1940 อ้างถึงใน บัณฑวรรณ ถุงน้ำอ่าง, 2555) ซึ่งเป็นนักจติ วิทยาพัฒนาการ กล่าววา่
ความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือเล็กของเด็ก สามารถแบ่งออกเป็นระยะและมีขั้นตอน พัฒนาการกล้ามเนื้อ
เลก็ น้ันมีความสำคัญแก่ชีวิตเพราะเป็นรากฐานของบคุ คลเม่ือเจริญเตบิ โตเป็นผใู้ หญ่พฤติกรรมของบุคคลจะมี
อิทธิพลมาจากสภาพความพร้อมทางร่างกาย ได้แก่ กลา้ มเนอื้ ตอ่ มกระดูกและประสาทต่าง ๆ ส่งิ แวดล้อมเป็น
เพยี งสว่ นประกอบของการเปล่ยี นแปลงโดยทีก่ ีเซลได้แบง่ พัฒนาการของเด็กออกเป็น 4 ดา้ น ดังนี้
1. พฤติกรรมด้านการเคลื่อนไหว (Motor behavior) เป็นความสามารถของร่างกายที่ครอบคลุม
อวัยวะต่าง ๆ ของรา่ งกายและความสมั พนั ธ์ทางด้านการเคล่ือนไหวท้ังหมด
2. พฤติกรรมด้านการปรับตัว (Adaptive behavior) เป็นความสามารถในการประสานงานระหว่าง
ระบบการเคลื่อนไหวกับระบบความรู้สึก (Motor sensory coordination) เช่น การประสานงานระหว่างตา
กับมือ (Eye–hand coordination) ซึ่งดูได้จากความสามารถในการใช้มือของเด็ก เช่น ในการตอบสนองต่อ
สง่ิ ท่ีเป็นลูกบาศก์การส่ันกระดง่ิ การแกว่งกำไล ฯลฯ ฉะน้ัน พฤตกิ รรมดา้ นการปรบั ตวั จงึ สัมพนั ธก์ ับพฤติกรรม
ทางการเคลอื่ นไหว
13
3. พฤติกรรมทางด้านภาษา (Language behavior) ประกอบด้วยวิธีการสื่อสารทุกชนิด เช่น
การแสดงออกทางหน้าตา ท่าทางการเคลื่อนไหวท่าทางของร่างกายความสามารถในการเปล่งเสียงและภาษา
พูด การเข้าใจในการสอื่ สารกบั ผู้อื่น
4. พฤติกรรมทางด้านนิสัยส่วนตัวและสังคม (Personal-social behavior) เป็นความสามารถใน
การปรับตัวของเด็กระหว่างบุคคลและบุคคลกับกลุ่มภายใต้ภาวะแวดล้อมและสภาพความเป็นจริง นับเป็น
การปรบั ตัวทีต่ ้องอาศัยความเจริญของสมองและระบบการเคลื่อนไหวประกอบในส่วนที่เกีย่ วกบั ความสามารถ
ในการใช้กล้ามเนื้อเล็ก กีเซล พบว่าก่อนที่คนเราจะทำอะไรง่าย ๆ เช่น หยิบอาหารใส่ปากได้น้ัน มีการเรียนรู้
หลายขั้นแรกทารกใช้มือตะปบ ข้ันต่อมาจับของด้วยมือ 4 นิ้ว ติดกันกับฝ่ามือโดยเริ่มใชฝ่ามือตอนใกล้ ๆ
สันมือต่อมาจะเลื่อนไปใช้ใจกลางมือแล้วใช้หัวแม่มือค่อย ๆ เลื่อนมาจับ ข้ันสุดท้ายคือการหยิบของด้วย
นิ้วหัวแม่มือกับปลายนิ้วย่ิงไปกว่าน้ัน กีเซลได้ต้ังข้อสังเกตว่าการควบคุมปฏิบัติการแห่งกล้ามเนื้อของคนเรา
มีพัฒนาการเริ่มจากศีรษะจรดเท้าเรียกว่า Cephalo-Caudal Sequence คือ หันศีรษะได้ก่อนชันคอแล้วจึง
คว่ำ คืบ นั่ง คลาน ยืน เดิน และวิ่งตามลำดับ ส่วนพัฒนาการการควบคุมปฏิบัติการกล้ามเนื้อ เริ่มจากใกล้
ลำตัวก่อนเรียกว่า Roximodisyal Sequence เช่น ที่แขนขาทารกบังคับการเคลื่อนไหวแกว่งแขนขาได้
ก่อนมือและเทา้ เดก็ ใช้แขนคล่องก่อนมือและใช้มือคล่องก่อนน้ิว ดังน้ัน เดก็ เล็ก ๆ เมอ่ื ตอ้ งการจับอะไรจะผวา
ไปท้ังตัว ต่อมาจะยื่นออกไปเฉพาะแขนแล้วจึงใช้มือและนิ้ว ดังกล่าวถ้าจะให้เด็กเล็ก ๆ เขียนหนังสือมักจะได้
ตัวโตเพราะกล้ามเน้ือนิ้วมือยังใช้ได้ไม่คล่องแต่วาดเขียนไปกว้าง ๆ ต่อมาเมื่อบังคับกล้ามเนื้อมือ บรรลุวุฒิ
ภาวะแล้ว จงึ สามารถเขยี นตัวเล็ก ๆ ได้เพราะสามารถบงั คบั กล้ามเน้ือมือและนิ้วได้
จากทกี่ ล่าวข้างตน้ สรปุ ไดว้ า่ ทฤษฎีและพัฒนาการการเขยี น เดก็ จะเร่ิมจากการฟัง พูด อา่ นและหลัง
จากนั้นจะถ่ายทอดแสดงออกมาทางการขีดเขียน จากสิ่งที่ตนเองพบเห็น โดยเด็กจะค้นพบการเขียนรูปแบบ
การสอ่ื สารไดแ้ ละการเขียนจะเปน็ ไปตามพฒั นาการของเดก็ แต่ละคน
2.4 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับทักษะคณิตศาสตร์พื้นฐานของเดก็ ปฐมวัย
1. ความหมายของทกั ษะคณิตศาสตร์พืน้ ฐาน
กมลรัตน์ กมลสุทธิ (2555) กล่าวว่า ความหมายของคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง
การมีประสบการณ์จากการเจริญชีวิตประจำวัน อาศัยประสบการณ์จริงในชีวิตประจำวันจึงช่วยเด็กปฐมวัย
ให้เกิดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ได้ง่าย ดังนั้นเด็กปฐมวัยจึงควรได้รับการเรียนรู้และปลูกฝังทักษะพื้นฐานทาง
คณิตศาสตร์อย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อเด็กปฐมวัยจะได้สามารถเรียนรู้และค้นหาความรู้จากคณิตศาสตร์
ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำในการคิด การสังเกต จำแนก เปรียบเทียบ และในการนับจำนวนปริมาณต่าง ๆ
ต่อไปในอนาคต
สิริมณี บรรจง (2555) กล่าวว่า ความหมายคณิตศาสตร์ หมายถึง การนับ การคำนวณ วิชาว่าด้วย
การคำนวณ หรือวิชาทว่ี า่ ด้วยการคิดเลข การนบั และจำนวน เป็นความคดิ รวบยอดเกี่ยวกบั การนับและจำนวน
ได้แก่ การรู้จักสัญลักษณ์ตัวเลข การนับจำนวน 1-3 หรือ จำนวน 1-10 หรือจำนวน 1-30 ตามระดับอายุของ
เด็ก การเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย, จากใหญ่ไปหาเล็ก ,ลำดับที่ การวัดขนาดใหญ่กว่า-เล็กกว่า,
สูงกวา่ -เตยี้ กว่า, ยาวกว่า-ส้ันกว่าหรือเทา่ กนั ความคดิ รวบยอดเก่ียวกบั เวลา กลางวันกลางคนื ลำดับ ช่วงเวลา
ปฏิทิน และความคิดรวบยอดเกี่ยวกับรูปทรงเรขาคณิต กล่อง ลูกบอล สี่เหลี่ยม วงกลม สามเหล่ียม ลูกบาศก์
และการรู้ค่า ได้แก่ การอ่านค่าของเงนิ คา่ เงนิ บาท เหรียญ ธนบัตร การอ่านป้ายราคา การประมาณค่าของเงิน
การเพ่ิมเป็นการรวมจำนวน รวมกลุ่ม มากข้ึน และการลด ได้แก่ การแบ่ง การแยก การนำออก การทำให้
น้อยลง เป็นต้น
14
บุษยมาศ ผึ้งหลวง (2556) กล่าวว่า ความหมายของคณิตศาสตร์ เป็นการจัดหมวดหมู่
การเปรียบเทียบ การรคู้ ่าตัวเลข 1-10 และการเรียงลำดับ เป็นต้น
ขวัญหทัย สมจิตร (2557) กล่าวว่า ความหมายของคณิตศาสตร์ เป็นการเตรียมความพร้อม
ด้านคณิตศาสตร์ จนถึงกระบวนการจัดการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ เริ่มด้วยการรู้จักการนับปากเปล่า การนับ
เรียงลำดับตวั เลข การนับจำนวน การรู้ค่า รู้จำนวน การนับเพมิ่ การนับลด
จากการศึกษาความหมายของทักษะคณิตศาสตร์พื้นฐาน สรุปได้ว่า การนับ การคำนวณ
การจัดหมวดหมู่ การเปรยี บเทียบ การรคู้ า่ ตวั เลข และการเรียงลำดบั เป็นตน้ เพ่ือการเตรยี มความพร้อมให้กับ
เด็กปฐมวยั ได้เรียนรทู้ กั ษะคณติ ศาสตร์พื้นฐาน
2. ความสำคัญของทักษะคณติ ศาสตร์พ้ืนฐาน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ (2553) กล่าวว่า
คณิตศาสตรม์ ีความสำคญั ยิ่งต่อการพัฒนาความคิด ทำให้มนษุ ย์มคี วามคิดอย่างมีเหตผุ ลเปน็ ระบบ มีแบบแผน
ตลอดจนการพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และสามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบ
ช่วยให้คาดการณ์ วางแผนการแก้ปัญหาและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม และคณิตศาสตร์ยัง
เป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์อื่น ๆ เด็กปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นแห่ง
การเรียนรู้ มีความอยากรู้อยากเห็น ชา่ ง สังเกต ชอบสำรวจสงิ่ ต่าง ๆ รอบตวั คณติ ศาสตรส์ ามารถพัฒนาและ
เสริมสร้างให้เด็กรู้เข้าใจธรรมชาติและสิ่งต่าง ๆ รอบตัว การที่เด็กมีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะและ
กระบวนการทางคณติ ศาสตร์มีเจตคติท่ีดีต่อคณิตศาสตร์ ไม่เพยี งส่งผลให้เด็กประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
ทางคณิตศาสตร์เท่านั้น แต่จะส่งผลต่อการเรียนรู้ในศาสตร์อื่น ๆ คณิตศาสตร์จึงมีบทบาทสำคัญทั้งใน
การเรยี นรู้ และมีประโยชน์ตอ่ การดำเนินชีวติ
เซวง ซ้อนบญ (2554) กล่าวว่า คณิตศาสตร์ มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรบเด็กปฐมวัยเพราะ
คณิตศาสตร์เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเด็กแทบทั้งสิ้น เช่น เร่ืองจำนวน ตัวเลข เวลา การวัด ตำแหน่ง
เป็นต้นการจัดประสบการณ์ท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการและความสนใจของเด็กจะช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้เด็ก
ได้รับความสำเร็จในการเรียนรู้คณิตศาสตร์และสามารถนำประสบการณ์ท่ีได้รับไปใชในอนาคตได้อย่าง
มีประสิทธิภาพต่อไป
กมลรัตน์ กมลสุทธิ (2555) กล่าวว่า คณิตศาสตร์มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกคน
ดังนั้นเด็กปฐมวัยจึงควรได้รับการส่งเสริมและเรียนรู้ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ จากประสบการณ์
ชีวิตประจำวันที่เริ่มจากสิ่งง่ายไปหายาก จากรูปธรรมไปสู่การเชื่อมโยงถึงนามธรรม เพื่อเด็กปฐมวัยจะได้
สามารถเรยี นรู้ได้อย่างถกู ต้องและแมน่ ยำในการคิดคำนวณ จำนวน และสัญลักษณต์ ัวเลขตา่ ง ๆ เม่ือเติบโตขนึ้
จากการศึกษาความสำคัญของทักษะคณิตศาสตร์พื้นฐาน สรุปได้ว่า คณิตศาสตร์มีความสำคัญต่อ
การเรียนรูส้ ำหรับเดก็ เนอ่ื งจากในชวี ิตประจำวันเดก็ จะต้องพบเจอกับคณติ ศาสตร์ ไมว่ า่ จะเปน็ การนบั จำนวน
ตวั เลข การวางแผน การคาดคะเน เป็นตน้ การจดั ประสบการณ์ท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการ และความสนใจของ
เด็ก จะช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กได้รับความสำเร็จในการเรียนรู้คณิตศาสตร์และสามารถนำประสบการณ์ท่ี
ไดร้ บั ไปใชในอนาคตได้อย่างมปี ระสิทธิภาพต่อไป
15
3. ทักษะคณติ ศาสตร์สำหรบั เด็กปฐมวยั
ปานิตา กุดกรุง (2553) กลา่ วถงึ ทักษะพนื้ ฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ไว้ว่า เป็นการส่งเสริม
การเรยี นรู้ ความสัมพันธ์ด้านจำนวน การสงั เกต การจำแนก การเปรยี บเทียบการจดั หมวดหมู่ และสัญลักษณ์
ของคณติ ศาสตร์ เป็นสิ่งทเี่ ด็กตอ้ งใช้ในชวี ิตประจำวนั ทำให้เด็กเกิดประสบการณ์เรียนรู้ การคน้ คว้าหาคำตอบ
และการแก้ปัญหาด้วยตนเอง เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาที่สูงขึ้น และเรียนรู้อย่างมีความสุข สามารถ
นำไปใชใ้ นชีวิตประจำวันได้
กมลรัตน์ กมลสุทธิ (2555) กล่าวว่า ทักษะคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยสามารถพัฒนาขึ้นมาเอง
ตามธรรมชาติได้นอกเหนือจากการเรียนแล้ว เด็กพัฒนาความรู้ของเขาขึ้นมาเองอย่างเป็นอิสระและเป็นตาม
ธรรมชาติ เชน่ ทกั ษะดา้ นการนับ การเปรียบเทียบจำนวน รวมทง้ั ทกั ษะด้านการเพ่ิมหรือลดจำนวนวัตถุท่ีมีค่า
น้อย
รัชนก ศรีชบา (2560) กล่าว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ คือ การเรียนรู้จากกิจกรรมที่สร้าง
ความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกบั การสังเกต การจำแนก การนับ การบอกตำแหนง การจำแนกเปรยี บเทียบ การจับคู่
การเพ่ิมขึ้นหรือลดลง เพ่ือพัฒนาความเข้าใจและเป็นพื้นฐานในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในช้ันประถมต่อไป
อย่างมปี ระสิทธิภาพ
จากการศึกษา ทกั ษะคณติ ศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย สรุปไดว้ ่า การเรียนรทู้ เ่ี ด็กสามารถพัฒนาข้ึนเอง
ตามธรรมชาติ และพฒั นาความรูค้ วามเข้าใจเกย่ี วกบั ทักษะการสังเกต การจำแนก การนับ เป็นตน้ เพ่ือพัฒนา
ความเข้าใจและเปน็ พ้นื ฐานในการคณิตศาสตร์ต่อไป
4. หลักการจดั กิจกรรมคณิตศาสตร์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ (2553) กล่าวถึง หลักการ
จัดประสบการณ์การเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับปฐมวัย ว่าควรจัดโดยยึดเด็กเป็นสำคัญเปิดโอกาสให้เด็กสำรวจ
ความสัมพันธ์ของวัตถุและสื่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้เล่น ได้ทำกิจกรรมที่มีการลงมือปฏิบัติกับวัตถุของจริง
ได้คิดวิเคราะห์ คาดเดา และอธิบายเหตุผลของตนเอง โดยครูใช้คำถามปลายเปิด คำถามชวนคิด เล่านิทาน
เล่นเกม กระตุ้นให้เด็กมีจนิ ตนาการและเชื่อมโยงการเรียนรู้กบั คณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน จัดโอกาสให้เด็ก
ได้ออกมานำเสนอแนวคิด ผลงานของเด็กแต่ละคนหรือของกลุ่ม ด้วยภาษาพูด ภาษาท่าทาง การวาดภาพ
หรือการเขียน ซึ่งเป็นการสร้างเจตคติที่ดีให้เด็กเกิดความรู้สึกอยากคิด อยากทำ กล้าแสดงออก เข้าใจและ
จดจำสาระที่ตนนำเสนอได้ยาวนานนอกจากที่กล่าวมาแล้วการจัดประสบการณ์การเรียนรู้คณิตศาสตร์ยังต้อง
คำนงึ ถึงข้ันตอนการเรยี นรู้ของเดก็ ซงึ่ มีขั้นตอน ดงั น้ี
1. ทบทวนความรู้พื้นฐาน ครูผู้สอนควรคำนึงถึงความรู้พื้นฐานของเด็ก หรือเตรียมความพร้อม
ก่อนเรียน โดยใช้ยุทธวิธีต่าง ๆ ในการทบทวนความรู้เดิม ทั้งเป็นการนำเข้าสู่บทเรียนก่อนการเรียนรู้เนื้อหา
สาระใหม่
2. สอนเน้ือหาสาระใหม่ ครูผสู้ อนควรจัดกิจกรรมของแต่ละจดุ ประสงค์การเรยี นรหู้ รือตัวชี้วัด โดยให้
เด็กได้ลงมือปฏิบัติ ทำกิจกรรม ฝึกสังเกต ฝึกให้เหตุผล ฝึกการสรุป โดยใช้สื่อของจริงสื่อที่จัดกระทำได้
แบบจำลองต่าง ๆ หรือรูปภาพ หรือใชส้ ญั ลักษณ์ ตามจดุ ประสงค์การเรียนรู้หรอื ตัวช้ีวัดน้ัน ๆ
3. สรุปสาระสำคัญทางคณิตศาสตร์ หลังการจัดกิจกรรมแล้วครูผู้สอนควรเสริมความรู้ ขยายความ
หรือสรุปประเด็นสำคัญที่เป็นสาระสำคัญทางคณิตศาสตร์ หรือความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ของสาระ
การเรียนรนู้ ้ัน ๆ ซ่งึ เป็นความรู้ แนวคิดทตี่ ้องการปลกู ฝงั ให้กับเดก็
16
4. ฝึกทักษะหรือฝึกปฏิบัติ ครูผู้สอนควรให้เด็กได้ฝึกเป็นรายบุคคลหรืออาจฝึกปฏิบัติเป็นกลุ่ม
ตามความเหมาะสมของกิจกรรมและตัวชี้วดั เพื่อทบทวนความรู้ ความเข้าใจของเด็กหลงั จากจบกิจกรรมหนึง่
ๆ ในบทเรียน
5. นำความรู้ไปใช้ ครูผู้สอนควรส่งเสริมให้เด็กได้นำความรู้ แนวคิดหรือสิ่งที่เรียนรู้ไปประยุกต์หรือ
เปน็ แบบอยา่ งในการเรยี นร้หู รือการปฏบิ ตั ิครั้งตอ่ ๆ ไป
6. วัดและประเมินผล ครูผู้สอนควรจัดให้มีการวัดและประเมินผลแต่ละจุดประสงค์การเรียนรู้หรือ
ตัวชี้วัด หรืออาจจะวัดผลหลาย ๆ จุดประสงค์การเรียนรู้แล้วประเมินผลตามตัวชี้วัด และนำผลไปจัดสอน
ซอ่ มเสรมิ หรอื ใช้ในการปรับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
กมลรัตน์ กมลสทุ ธิ (2555) กลา่ ววา่ หลักการจดั กิจกรรมการเรียนรูท้ ักษะพ้นื ฐานคณิตศาสตร์สำหรับ
เด็กปฐมวัย เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ครูจะต้องให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษ จะต้องมีการเตรียมตัวที่ดี
มีการวางแผนที่ดี ที่ต้องจัดให้เป็นรูปธรรม เริ่มตั้งแต่การใช้สื่อการเรียนรู้ของจริงจากธรรมชาติ หรือรูปภาพ
ที่เหมือนจริง ให้เด็กสามารถสัมผัส จับต้องได้ เด็กต้องลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง เรียนรู้จากง่ายไปหา
ยาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้การจัดประสบการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับชีวิตจริงในชีวิตประจำวันซ่ึง
จะช่วยให้เขา้ ใจในเรือ่ งของสัญลกั ษณต์ ัวเลขจำนวนไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและชัดเจน
รัชนก ศรีชบา (2560) กล่าวว่า หลักการสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย คือ การจัดกิจกรรม
พ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และครูต้องคำนึงถึงจุดประสงค์ของ
การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนของวิชาคณิตศาสตร์ เพอ่ื ให้เดก็ ได้รบั ความรู้ตามจดุ ประสงคท์ ี่กำหนดไว้
จากที่กล่าวขา้ งต้น สรปุ ไดว้ า่ หลกั การจดั กจิ กรรมคณิตศาสตรส์ ำหรับเด็กปฐมวัย คอื การจัดกิจกรรม
คณิตศาสตร์พื้นฐาน โดยคำนึกถึงจุดประสงค์การเรียนรู้ และเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีการเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
สำรวจความสัมพันธ์ของวัตถุและสื่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้เล่น ได้ทำกิจกรรมที่มีการลงมือปฏิบัติกับวัตถุของจริง
ไดค้ ดิ วเิ คราะห์ คาดเดา และอธิบายเหตผุ ลของตนเอง
5. ทฤษฎกี ารสอนคณติ ศาสตร์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ (2553) กล่าวว่า เพียเจท์
เช่ือว่าสติปัญญาของมนุษย์เป็นส่งิ ตดิ ตัวมาตั้งแต่เกิดและเปน็ ส่ิงทีต่ ่อเนื่องมาจากประสบการณ์จากสิ่งแวดล้อม
ท้ังนอ้ี งคป์ ระกอบทกี่ อ่ ให้เกิดพัฒนาการทางสตปิ ัญญา ประกอบด้วย
1. วุฒิภาวะ (Maturation) เป็นสภาพของการเปลีย่ นแปลงด้านรา่ งกายเนื่องมาจากพัฒนาการ โดยมี
ยีนส์เป็นตัวกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลให้มีสภาวะที่เอื้อต่อการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้ อม
ซ่ึงเปน็ ศักยภาพในการซึมซบั และปรบั โครงสร้างให้สมดลุ
2. ประสบการณ์ (Experience) ทั้งประสบการณ์ทางกายภาพ และประสบการณ์โดยอาศยั การสังเกต
เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเด็กแต่ละคนมีประสบการณ์แตกต่างกัน และจากประสบการณ์ทำให้
เด็กสร้างความรู้ ซึ่งเป็นความรู้ทางกายภาพ (Physical knowledge) และความรู้ทางตรรกะ-คณิตศาสตร์
(Logical Mathematical Knowledge)
3. การถ่ายทอดทางสังคม (Social Transmission) การที่เด็กแต่ละคนมีประสบการณ์แตกต่างกัน
ทำให้ประสบการณ์ทางสังคมแตกต่างกนั ไปด้วย การถ่ายทอดทางสงั คมจึงเป็นความรู้ทีเ่ ด็กเรียนรู้จากคนท่อี ยู่
รอบตัวเดก็ เชน่ พอ่ แม่ ครู และคนอืน่ ๆ
4. กระบวนการพัฒนาสมดุล (Equilibration Process) การปรับความสมดุลของโครงสร้างทาง
สติปัญญาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า เป็นกระบวนการสำคัญที่นำไปสู่พัฒนาการทางสติปัญญา เพียเจท์ เชื่อว่า มนุษย์มี
17
แนวโน้มพื้นฐานที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด 2 ชนิด ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างทางสติปัญญา
คือ การจัดและรวบรวม (Organization) โครงสร้างภายในทั้งกายภาพและทางจิตให้เป็นระบบ
และการปรับตัว (Adaptation) ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้อยู่ในสภาพสมดุล (Equilibrium) การปรับตัว
ประกอบดว้ ยกระบวนการตอ่ ไปนี้
4.1 การซึมซับประสบการณ์ (Assimilation) เป็นกระบวนการที่เกิดจากการที่เด็ก
มีปฏสิ มั พันธก์ บั สิง่ แวดล้อม แลว้ รบั หรอื ซมึ ซับภาพและเหตกุ ารณต์ ่างเขา้ ไว้ในโครงสรา้ งทางสติปัญญา
ของตน
4.2 การปรับโครงสร้างทางสติปัญญา (Accommodation) เปน็ กระบวนการปรับความรู้เดิม
ให้เขา้ กบั ส่ิงแวดล้อมใหม่ หรอื ความสามารถในการปรับความคิดเดิมใหส้ อดคล้องกบั สิ่งใหม่ ทำให้อยู่
ในสภาวะสมดุล (Equilibrium) และเกิดโครงสร้างทางสติปัญญาที่เรียกว่า “Schema” ซึ่งทำให้คน
ส า ม า ร ถ ป ร ั บ ต ั ว เ ข ้ า ก ั บ ส ิ ่ ง แ ว ด ล ้ อ ม ไ ด้ โ ค ร ง ส ร ้ า ง ท า ง ส ต ิ ปั ญ ญ า น ี ้ ป ร ะ ก อ บ ด ้ ว ย ค ว า ม ห ม า ย
หรือความเข้าใจเก่ียวกับ ประสบการณ์ เด็กสามารถสรา้ งความหมายของตนเอง ความหมายของสิ่งใด
สิ่งหนึ่งไม่สามารถถ่ายทอดจากครูไปสู่เด็กได้ แต่จะถูกสร้างขึ้นในสมองของเด็กเองโครงสร้างทาง
สติปัญญาเป็นผลของความพยายามทางความคิด หากการใช้ความรู้เดิมทำนายเหตุการณ์ได้ถูกต้อง
โครงสร้างทางสติปัญญาของบุคคลจะคงเดิมมั่นคงยิ่งขึ้น แต่ถ้าการคาดคะเนไม่ถูกต้อง จะทำให้เด็ก
เกิดความสงสัยหรือที่เรียกว่า เกิดภาวะไม่สมดุล (Disequilibrium) จะมีทางเลือก 3 ทาง คือ
ย ึ ด ต ิ ด ก ั บ ค ว า ม ค ิ ด เ ด ิ ม ใ น โ ค ร ง ส ร ้ า ง ท า ง ส ต ิ ปั ญ ญ า ข อ ง ต น ป ฏ ิ เ ส ธ ข ้ อ ม ู ล จ า ก ป ร ะ ส า ทส ั มผั ส
หรือหาเหตุผลที่จะหักล้างข้อมูลจากประสาทสัมผัสออกไปไม่สนใจที่จะท ำความเข้าใจโครงสร้างทาง
สติปัญญามีความจำเป็นสำหรับพัฒนาการทางสติปัญญาเกี่ยวข้องกับ ระบบประสาทและอวัยวะ
รับความรสู้ กึ เป็นการจดั หน้าท่ขี องสตปิ ัญญาในแต่ละช่วงอายุ ขณะที่ โครงสร้างเหล่าน้พี ฒั นามากขึ้น
จะทำใหเ้ ด็กมพี ฒั นาการทางสติปัญญาเพ่ิมข้ึน
พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยตามลำดบั ขัน้ แนวคิดของเพียเจท์ ดังนี้
1. ข้นั ประสาทรบั รู้และการเคลื่อนไหว (Sensorimotor Stage) พฒั นาการข้นั นีอ้ ยู่ในชว่ งเด็กแรกเกิด
ถึงอายุ 2 ปี เด็กเรียนรู้จากการลองผิดลองถูก โดยเริ่มจากการตอบรับผล (Reply) สะท้อน (Reflex) และ
ปรับเปลี่ยนเด็กให้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม พฤติกรรมจะเป็นไปตามสิ่งที่ต้องการและเป้าหมาย จากน้ัน
จะพัฒนาไปถงึ ข้ันรูปธรรมและนามธรรม เดก็ รับรู้วัตถุหรือเหตกุ ารณใ์ นความคดิ ของเด็ก
2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational stage) พัฒนาการขั้นนี้อยู่ในช่วงอายุ 2-7 ปี โดยที่
เมื่อเด็กอายุ 2-4 ปี เด็กยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง มีขีดจำกัดในการรับรู้ สามารถเข้าใจได้ในมิติเดียว
และเมื่อเด็กอายุ 5-6 ปี เด็กจะย่างเข้าสู่ขั้น Intuitive Thought ระยะนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการคิด
ขึ้นอยู่กับการรับรู้กับการคิดอย่างมีเหตุผลตามความจริง ซึ่งเด็กจะก้าวจากการรับรู้มิติเดียวไปสู่การรับรู้ได้
หลาย ๆ มิติในเวลาเดียวกันมากขึ้น และจะก้าวไปสู่การคิดอย่างมีเหตุผล โดยไม่ยึดอยู่กับการรับรู้เท่าน้ัน
เด็กจะเริ่มมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวดีขึ้นแต่ยังคิดและตัดสินผลของการกระทำต่าง ๆ
จากสิ่งท่เี ห็นภายนอก
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ (2553) กล่าวถึง บรูเนอร์
แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กไว้ 3 ขั้น คือ ขั้นแสดงออกด้วยการกระทำ (Enactive Stage)
ขั้นสร้างภาพในใจ (Iconic Stage) และขั้นใช้สัญลักษณ์ (Symbolic Stage) ตามลำดับ ซึ่งมีความหมาย
แตกต่างกับทฤษฎีของเพียเจท์ บรูเนอร์เชื่อว่าพัฒนาการแต่ละขั้นจะไม่ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ แต่จะอยู่ในรูป
การตอบสนองทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย ภาพลักษณ์ และการใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ การเรียนรู้ของเด็ก
18
เกิดจากกระบวนการภายในอินทรีย์ (Organism) และการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก บรูเนอร์
ชใี้ ห้เห็นว่าการศึกษาว่าเด็กรู้อย่างไร ควรศึกษาตัวเด็กในชัน้ เรียนไม่ควรใช้หนูและนกพิราบ ทฤษฎขี องบรูเนอร์
เน้นหลักกระบวนการคิดซึ่งประกอบด้วย 4 ลักษณะ คือ แรงจูงใจ (Motivation) โครงสร้าง (Structure)
ลำดับความต่อเนื่อง (Sequence) และการเสริมแรง (Reinforcement) หลักการที่เป็นโครงสร้างของความรู้
ของมนษุ ย์ บรูเนอรแ์ บ่งพัฒนาการทาง
สติปัญญาของเดก็ ไว้ 3 ขนั้ ซ่ึงคลา้ ยกับข้ันพัฒนาการทางสติปัญญาของเพยี เจท์ ไดแ้ ก่
1. ขั้นแสดงออกด้วยการกระทำ (Enactive Stage) ขั้นนี้เด็กจะเรียนรู้ทางประสาทสัมผัส
การเคล่ือนไหว และการกระทำ
2. ข้ันสร้างภาพในใจ (Iconic Stage) ข้ันนี้เด็กจะนึกในใจเอาเองโดยไม่ตอ้ งใช้เหตผุ ล เด็กเก่ียวขอ้ งกับ
ความเป็นจริงมากขึ้น ความคิดของเดก็ เกดิ จากการรบั รู้และเกดิ จากจินตนาการดว้ ย แตย่ ังไมล่ ึกซง้ึ
3. ขั้นใช้สัญลักษณ์ (Symbolic Stage) ขั้นนี้เด็กเริ่มเข้าใจและเรียนรู้ความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ
รอบตัว เดก็ จัดระเบียบโครงสร้างดว้ ยตนเอง และพฒั นาความคิดรวบยอดเกย่ี วกบั สิ่งทีพ่ บเห็นในรปู สัญลักษณ์
กมลรัตน์ กมลสุทธิ (2555) กล่าวถึง ทฤษฎีการเรียนคณิตศาสตร์ของดีนส์ ไว้ว่าเป็น ทฤษฎีที่มี
สว่ นคล้ายกับทฤษฎเี พียเจทท์ ่ีเน้นกระบวนการจัดการเรยี นรู้ โดยการกระต้นุ ให้เด็กมีบทบาทและกระตือรือร้น
ในการเรยี นรู้ ทฤษฎีของดนี สม์ กี ฎในการเรียนรู้ 4 ขอ้ คือ
1. กฎของภาวะสมดลุ เปน็ กฎท่กี ล่าวถงึ ความเข้าใจที่แท้จริงในความคดิ รวบยอดหรือมโนทัศน์ใหม่นั้น
เปน็ พฒั นาการทเี่ ก่ียวขอ้ งกับเด็ก 3 ข้นั คอื
1.1 เป็นขั้นพื้นฐานที่เด็กพบกับความคิดรวบยอดในรูปแบบที่ยังไม่มีโครงสร้างใด ๆ เช่น
การเรียนรู้ลกั ษณะของรปู รา่ งต่าง ๆ จากของเลน่ ใหม่ในการเล่นของเลน่ นั้น
1.2 เป็นขั้นที่เด็กได้พบกับกิจกรรมที่มีโครงสร้างมากขึ้น ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ คล้ายกับ
โครงสร้างของความคิดรวบยอดที่เด็กจะได้เรียน เช่น การเล่นเกมการศึกษา การนำชิ้นส่วนมา
ประกอบเปน็ รปู เรขาคณิตต่าง ๆ เป็นตน้
1.3 เป็นขั้นที่เด็กเกิดการเรียนรู้ความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ที่จะเห็นได้ถึง
การนำความคิดรวบยอดนั้นไปใช้กับชีวิตประจำวัน เช่น เด็กสามารถบอกได้ว่า ตู้เย็นประกอบด้วย
รูปส่เี หลยี่ ม เปน็ ตน้
2. กฎความหลากหลายของการรับรู้ การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพดี เมื่อเด็กได้มีโอกาสรับรู้ความคิด
รวบยอดเดียวกันในหลาย ๆ รูปแบบผ่านทางบริบททางกายภาพ โดยการจัดสภาพแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมท่ี
หลากหลายที่มีความคิดรวบยอดเดียวกัน จะช่วยให้เข้าใจความคิดรวบยอดทางมโนทัศน์ได้ดี เช่น การให้เด็ก
เรียนรู้ความคิดรวบยอดเรื่องรูปทรงสี่เหลี่ยม ครูจะนำสื่อที่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมต่าง ๆ มาให้เด็กได้สัมผัส เช่น
สมุด กลอ่ ง โทรทศั น์ เตียงนอน โต๊ะ ขนมเคก้ และขนมตา่ ง ๆ ที่ตัดเปน็ รปู ทรงสเ่ี หลย่ี ม เปน็ ต้น
3. กฎความหลากหลายทางคณิตศาสตร์ เป็นการอ้างอิงความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์
หรือการนำความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจำวันโดยการเปลี่ยนตัวแปรทางความคิดรวบ
ยอดที่ไม่เกี่ยวข้องกับความคิดรวบยอดนั้นอย่างเป็นระบบ ในขณะที่มีการคงไว้ซึ่งตัวแปรที่เก่ี ยวข้องกับ
ความคิดรวบยอดน้ัน เชน่ การสอนความคิดรวบยอดเกีย่ วกบั รูปสี่เหลี่ยม ตวั แปรที่ควรเปลีย่ นคือขนาดของมุม
และความยาวของแต่ละด้าน ส่วนส่งิ ทต่ี ้องคงไวค้ อื จำนวนมมุ และจำนวนดา้ น เปน็ ต้น
4. กฎการสร้าง ใหค้ วามสำคัญของการพฒั นาความคิดรวบยอดท่มี น่ั คงยั่งยืนที่ได้รับจากประสบการณ์
ตรง เพื่อนำความรไู้ ปใชเ้ ปน็ พ้นื ฐานในการวเิ คราะหท์ างคณิตศาสตรใ์ นลำดับต่อไป
19
จากที่กล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า ทฤษฎีการสอนคณิตศาสตร์ มีความสำคัญต่อครูทุกคนใน
การจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้คณิตศาสตรส์ ำหรบั เด็กปฐมวยั เพอ่ื ชว่ ยใหค้ รสู ามารถนำแนวความคดิ ไปพัฒนา
ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ให้แก่เด็กได้ และเปน็ แนวทางในการจดั ทำแผนการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์
สำหรับเด็กปฐมวยั โดยเร่มิ ตน้ คณติ ศาสตรจ์ ากสิ่งท่ีงา่ ยแลว้ จึงเชื่อมโยงสสู่ ่ิงทย่ี าก และมีวธิ ีการทห่ี ลากหลายใน
การเรยี นรู้ จงึ ทำให้เด็กรสู้ กึ มคี วามสขุ และสนุกในการเรียนรู้
2.5 งานวจิ ัยท่เี ก่ียวข้องกับการพฒั นาทักษะการเขียนและทกั ษะคณิตศาสตร์พนื้ ฐานสำหรับเด็กปฐมวยั
1. งานวิจยั ท่เี กีย่ วขอ้ งกบั ทกั ษะการเขยี นสำหรบั เด็กปฐมวัย
ธิดารัตน์ กลิ่นอำนวย และคณะ (2556) กล่าวถึง การพัฒนาทักษะด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยโดย
ใช้สื่อตามแนวคิดการสอนแบบมอนเตสซอรี ชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลเวียงชัย สำนักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้เพื่อพัฒนาทักษะด้านการเขียนของ
นักเรียน เพื่อศึกษาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียน และเพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน
ชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนอนุบาลเวียงชัย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1
ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2556 จำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดประสบการณ์
การเรียนรู้ตามรูปแบบมอนเตสซอรี ชุดฝึกทักษะด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยโดยใช้สื่อตามรูปแบบการสอน
แบบมอนเตสซอรีแบบวัดทักษะการเขียน และแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยสื่อตาม
รปู แบบมอนเตสซอรี ช้นั อนุบาล 2
ผลการวิจัยพบวา่
1. หลังจากการจัดประสบการณ์การพัฒนาทักษะด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยโดยใช้สื่อตาม
แนวคดิ การสอนแบบมอนเตสซอรีช้นั อนุบาล 2 มคี ะแนนเฉลี่ยก่อนการจัดประสบการณร์ ้อยละ 51.04 และ
มีคะแนนเฉลี่ยหลังการจัดประสบการณ์ร้อยละ 96.66 พบว่าคะแนนเฉลี่ยหลังการจัดประสบ การณ์สูงกว่า
กอ่ นได้รบั การจดั ประสบการณ์
2. หลังจากการจัดประสบการณ์คิดแก้ปัญหาจากคะแนนนักเรียนชั้นอนุบาลปีท่ี 2 โดยใช้ชุดสื่อตาม
รูปแบบมอนเตสซอรีท่ีสง่ เสริมทกั ษะการเขียน มีคะแนนเฉล่ียหลังการจัดประสบการณส์ ูงกวา่ คะแนนเฉล่ียก่อน
การจดั ประสบการณ์
3. หลังจากการจัดประสบการณ์การพัฒนาทักษะด้านการเขียนของเด็กปฐมวยั โดยใช้สื่อตามแนวคิด
การสอนแบบมอนเตสซอรีชัน้ อนุบาล2โดยรวมนกั เรียนมคี วามพงึ พอใจตอ่ การจดั ประสบการณ์อยใู่ นระดับมาก
นฤมล เฉียบแหลม (2556) กล่าวถึง การวิจัยพัฒนาการด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา เป็นนักเรียนชาย-หญิง
อายรุ ะหว่าง 4-5 ปี จำนวน 10 คน ผลการวจิ ัยพบว่า เดก็ ปฐมวยั ท่ีได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ภาษา
แบบธรรมชาติมีพัฒนาการด้านการเขียนสูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติ
อย่างมนี ัยสาํ คญั ทางสถิติท่ี .05
พัฒน์นรี จันทราภิรมย์ (2562) กล่าวถึง การวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัยโดย
การใช้สื่อการสอนชุดฝึกลีลามือ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การศึกษาผลของการใช้สื่อการสอนเพื่อพัฒนาทักษะ
การเขียนของเด็กปฐมวัย 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัยระหว่ างกลุ่มทดลอง
กับกลุ่มควบคุมหลังการใช้ชุดฝึกลือลามือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กนักเรียนชาย - หญิง
อายุระหว่าง 3 – 4 ปีศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนสาธิตอนุบาล
ราชมงคล คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จำนวน 30 คน โดยเป็น
20
กลุ่มทดลองเลือกแบบเจาะจงและกลุ่มควบคุม จำนวน 30 คน ใช้เวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์
สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 40 นาที รวม 24 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้คือ สื่อการสอนชุดฝึกลีลามือและชุดทดสอบ
การเขียนของเด็กปฐมวัย แบบแผนการวิจัยเป็นแบบ Pretest - Posttest Design ข้อมูลที่ได้วิเคราะห์ด้วย
การทดสอบคา่ ทชี นิด t-test independent test
ผลการศึกษาพบวา่ ทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัยหลงั การใช้สือ่ การสอนชดุ ฝึกลลี ามือ อยูใ่ นระดบั สูง
ข้ึนทกุ ด้าน โดยกลมุ่ ทดลองและกล่มุ ควบคุม มคี ะแนนแตกต่างกันโดยกลุ่มทดลองมีคะแนนสูงกว่ากลุ่มควบคุม
หลังการใช้ชดุ ฝึกลีลามือ อยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .0
2. งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับทกั ษะคณติ ศาสตร์พ้นื ฐานสำหรับเดก็ ปฐมวัย
ประจักษ์ เอนกฤทธิ์มงคล (2560) กล่าวถึง งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) ศกึ ษาพัฒนาความสามารถการคดิ วเิ คราะห์พน้ื ฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กระดับปฐมวัย โดยใชช้ ดุ กิจกรรม
2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการคิดวิเคราะห์พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ 3) ศึกษา
ประสิทธิภาพชุดกิจกรรมพัฒนาความสามารถการคิดวิเคราะห์พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กระดับปฐมวัย
ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือนักเรียน อายุระหว่าง 5- 6 ปี
จำนวน 15 คน ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนเศรษฐวิทย์
จงั หวัดประจวบคีรีขนั ธ์ เครอื่ งมือทใ่ี ช้ในการวิจยั คร้ังน้ีได้แก่ 1) แผนการเรยี นรู้ 2) ชุดกิจกรรมการคิดวิเคราะห์
ทักษะพ้ืนฐานทางคณติ ศาสตร์ 3) แบบทดสอบหลังการใชช้ ุดกิจกรรม ผวู้ จิ ัยไดท้ ำการประมวลผลและวิเคราะห์
ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ 1) ค่าร้อยละคะแนนเฉลี่ย 2 ) ประมวลผล แปลผลและวิเคราะห์ข้อมูล
3) อภปิ รายผล โดยใช้ตารางและการพรรณา
ผลการวิจัยพบวา่
การพัฒนาความสามารถการคิดวิเคราะห์พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กระดับปฐมวัย ภาพรวมจาก
การใช้แบบฝึกชุดกิจกรรมทั้ง 5 ชุด มีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 จำนวน 12 คน คิดเป็น
ร้อยละ 80 และมีนักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 20 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
การคิดวิเคราะห์พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ มีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 จำนวน 15 คน คิดเป็น
รอ้ ยละ 100 3) ชดุ กจิ กรรมมีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 คอื 83.20/100
บษุ ยมาศ ผงึ้ หลวง (2556) กลา่ วถึง การศกึ ษาวจิ ัยครั้งน้ีมีจดุ มุ่งหมายเพื่อศึกษาผลการส่งเสริมทักษะ
พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยผู้ปกครองผ่านชุดกิจกรรม “สนุกกับลูกรัก” กลุ่มตัวอย่าง
เป็นผู้ปกครองและเด็กปฐมวัย ชาย- หญิง อายุระหว่าง 4 – 5 ปี ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2555 ของโรงเรียนวัดผึ้งแดด (บุญสืบวิชชนูปถัมภ์) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 โดยเลอื กกลุ่มตวั อย่างแบบเจาะจง จำนวน 20 คน และผ้ปู กครองของ
กลุ่มเด็กดังกล่าว โดยมีระยะเวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยชุดกิจกรรม
“สนุกกบั ลูกรัก” ท่ผี ้วู จิ ัยสรา้ งขน้ึ จำนวน 8 ชุด และแบบทดสอบเชิงปฏิบัติทักษะพน้ื ฐานทางคณิตศาสตร์ของ
เด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ การหาค่าเฉลี่ยความเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าท่ี
(t-test for Dependent Sample)
ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดย
ผู้ปกครองผา่ นชดุ กจิ กรรม “สนุกกับลกู รกั ” มีความสามารถด้านทักษะพนื้ ฐานทางคณติ ศาสตรข์ องเด็กปฐมวัย
ในทุกทกั ษะเพ่มิ สูงข้ึนอยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถติ ิที่ระดบั .01
21
ศิราณี จันทร์บุตร (2562) กล่าวถึง การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาศึกษาทักษะพื้นฐานทาง
คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยผ่านการเล่นโดยใช้ ชุดกิจกรรม “คณิตคิดส์” รูป แบบการวิจัยน้ี
เป็นแบบการทดลองกลุ่มวิจัยกลุ่มเดียว โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง คือเด็กปฐมวัย อายุ 3 ปี
จำนวน 10 คน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านกระต่ายเต้น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี กำลังศึกษาใน
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 โดยจัดกิจกรรมพัฒนาศึกษาทักษะทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยผ่าน
การเล่นโดยใช้ ชุดสื่อกิจกรรม “คณิตคิดส์” วันละ 1 กิจกรรม/วัน จำนวน 5 กิจกรรม/สัปดาห์
จำนวน 5 สัปดาห์ จำนวนทั้งสิ้น 25 วัน วันละ 20 นาที ตามแผนการจัดประสบการณ์พัฒนาทักษะ
ทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย โดยจัดกิจกรรมในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ในช่วงเวลา 10.00 น. – 10.20 น.
เรม่ิ ต้งั แตว่ ันท่ี 24 ธนั วาคม 2561 ถงึ วนั ที่ 25 มกราคม 2562 จำนวนทั้งส้ิน 25 ครงั้ เคร่ืองมือท่ใี ช้ ในการวิจัย
ประกอบด้วย 1) ชุดสื่อกิจกรรม “คณิตคิดส์” ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจำนวน 5 ชุด 2) แบบทดสอบเชิงปฏิบัติทักษะ
พื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวยั 3) แผนการจัดประสบการณเ์ รียนรู้ สถติ ิท่ใี ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยได้ทำการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ 1) ค่าร้อยละคะแนนเฉล่ีย
2) ประมวลผล แปลผลและวิเคราะหข์ ้อมลู 3) อภปิ รายผล โดยใช้ตารางและการพรรณา
ผลการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ผ่าน
การเล่นชุดกิจกรรม “คณิตคิดส์” มีความสามารถด้านทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่สูงขึ้น
หลังการใช้ ชุดกจิ กรรม “คณติ คิดส”์ เพอื่ พฒั นาทักษะพืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวยั
2.6 กรอบแนวคิดการวจิ ยั
การวจิ ยั ในคร้งั น้ีมีนวัตกรรมท่ีใช้ คือ การใช้ชดุ ฝึกทักษะคณติ ศาสตร์แสนสนกุ ซ่งึ เป็นการให้เด็กได้ทำ
กิจกรรมตามชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์แสนสนุก และพฤติกรรมที่พัฒนา คือ ทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 ซึ่งได้
จากการสังเกตพฤตกิ รรม
การใช้ชดุ ฝึกทักษะ ทักษะการเขียนตัวเลข 1-10
คณิตศาสตร์แสนสนุก
นวัตกรรม ทกั ษะที่ต้องพัฒนา
ภาพท่ี 2.1 กรอบแนวคิดการวิจัย
บทที่ 3
วิธีดำเนินการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการวิจัยโดยใช้วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (classroom action research)
โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการวิจัย ขั้นตอนที่ 1 วางแผน (P:plan) ขั้นตอนที่ 2 ปฏิบัติ (A:act) ขั้นตอนที่ 3
สงั เกต (O:observe) และขนั้ ตอนท่ี 4 สะทอ้ นคิด (R:reflect) มรี ายละเอยี ดดงั น้ี
ขั้นตอนที่ 1 วางแผน (P:plan) เป็นการเตรียมแผนการจัดประสบการณ์ การสร้างสื่อนวัตกรรม
แผนการจัดประสบการณ์ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุก เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการเก็บรวบรมข้อมูล ได้แก่
แบบสังเกตทักษะการเขียนตัวเลขของเด็กปฐมวัย สื่ออุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดกิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมชุดฝึก
ทักษะตัวเลขสร้างสรรค์ กิจกรรมชุดฝึกทักษะประสาทสัมผัส กิจกรรมชุดฝึกทักษะกระดานตัวเลข รวมถึง
สถานที่ ห้องเรียน สภาพแวดล้อมในชั้นเรียน ได้แก่ ห้องเรียนชั้นอนุบาล 2/4 โรงเรียนสุพรรณภูมิ
ตำบลทา่ พเ่ี ลีย้ ง อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดสุพรรณบรุ ี
ขั้นตอนที่ 2 ปฏิบัติ (A:act) เป็นการจัดกิจกรรมการจัดประสบการณ์ ได้แก่ 1) แผนการจัด
ประสบการณ์ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุก กิจกรรมชุดฝึกทักษะตัวเลขสร้างสรรค์ 2) แผนการจัด
ประสบการณ์ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุก กิจกรรมชุดฝึกทักษะประสาทสัมผัส 3) แผนการจัด
ประสบการณช์ ุดฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์แสนสนุก กจิ กรรมชดุ ฝึกทักษะกระดานตัวเลข
ขั้นตอนที่ 3 สังเกต (O:observe) เป็นการใช้เครื่องมือแบบสังเกตทักษะการเขียนตัวเลขของเด็ก
ปฐมวัย เก็บข้อมูลทั้งก่อนกิจกรรม ระหว่างกิจกรรมและหลังกิจกรรม ในแต่ละรอบของการจัดประสบการณ์
จะสังเกต จำนวน 2 คร้ัง
ขั้นตอนที่ 4 สะท้อนคิด (R:reflect) เป็นการนำข้อมูลที่ได้จาการสังเกตในขั้นตอนที่ 3 มาวิเคราะห์
สังเคราะห์ แยกแยะเชิงเหตผุ ล นักเรยี นบรรลตุ ามจุดประสงค์ เป็นไปตามสมมติฐานหรือไม่ อย่างไร มีส่วนใด
ท่ตี อ้ งปรับปรงุ แก้ไขและพฒั นาเพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงในการจดั กิจกรรมในรอบที่ 2
กล่มุ เปา้ หมาย
กลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง ที่มีอายุ 4-5 ปี ชั้นอนุบาล 2/4 โรงเรียนสุพรรณภูมิ
ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุพรรณบุรี ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจงเด็กนักเรียนที่มีปัญหาดา้ นทกั ษะ
การเขยี นตัวเลข จำนวน 7 คน โดยมีเกณฑ์การพิจารณาคดั เลือก คอื เดก็ ทมี่ ีปญั หาการเขยี นตัวเลขไมไ่ ด้
เครื่องมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัย
เครื่องมอื ท่ีใช้ในการวจิ ัย ได้แก่
1. แผนการจดั ประสบการณช์ ุดฝกึ ทกั ษะคณติ ศาสตร์แสนสนกุ
2. ชุดฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตรแ์ สนสนุก
2.1 กิจกรรมชดุ ฝกึ ทักษะตัวเลขสรา้ งสรรค์
2.2 กิจกรรมชดุ ฝึกทักษะประสาทสมั ผัส
2.3 กิจกรรมชดุ ฝกึ ทักษะกระดานตวั เลข
3. แบบสังเกตทักษะการเขยี นตวั เลขของเด็กปฐมวยั
23
ขนั้ ตอนในการสร้างและหาคุณภาพเคร่ืองมอื
เคร่อื งมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่
1. แผนการจดั ประสบการณ์ชดุ ฝึกทักษะคณติ ศาสตรแ์ สนสนกุ โดยมีขบวนการสรา้ งดังนี้
1.1 ศึกษาและวิเคราะห์ผู้เรียนทข่ี าดคณุ ลักษณะตามวยั ดังกล่าว
1.2 ศกึ ษาเอกสาร ตำรางานวิจยั ท่เี กี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์
แสนสนกุ
1.3 สรา้ งแผนการจัดประสบการณช์ ดุ ฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุก
1.4 นำแผนการจัดประสบการณ์เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญตรวจพิจารณาเพื่อหาความสอดคล้อง
ของ วัตถุประสงค์ เนือ้ หา การดำเนินกจิ กรรม สือ่ การเรียน และการประเมนิ ผล
1.5 ปรบั ปรงุ แผนกิจกรรมตามคำแนะนำของผู้เชย่ี วชาญ
1.6 นำแผนการจัดกจิ กรรมไปใช้กับเด็กทขี่ าดคณุ ลักษณะตามวัย
เครื่องมือคำนวณโดยสถิติวัดค่าความสอดคล้อง (IOC) สถิติที่ใช้ในการตรวจตรวจสอบคุณภาพ
เคร่อื งมอื ความสอดคลอ้ งของเน้ือหาโดยใชส้ ตู ร
IOC = ∑
เม่ือ IOC แทน ดชั นีความสอดคลอ้ ง
R แทน ความคิดเห็นของผู้เชย่ี วชาญ ซ่ึงใหค้ ะแนนเปน็ +1, 0 หรอื - 1
∑ ถา้ แนใ่ จว่าสอดคลอ้ งกันให้ค่า +1
N ถ้าไมแ่ น่ใจว่าสอดคล้องกนั ให้ค่า 0
ถา้ แน่ใจวา่ ไม่สอดคลอ้ งกันใหค้ า่ - 1
แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผ้เู ชี่ยวชาญทั้งหมด
แทน จำนวนผูเ้ ชย่ี วชาญ
ตารางที่ 3.1 ผลการวิเคราะห์แบบดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถามกับจุดประสงค์ (IOC:
Index of Item-Objective Congruence) ของแผนการจัดประสบการณ์ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสน
สนุก เพื่อการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์
แสนสนกุ ของเด็กปฐมวัยชั้นอนบุ าล 2/4 โรงเรยี นสุพรรณภมู ิ
ขอ้ ประเดน็ คำถาม ความคิดเห็นของผ้เู ช่ยี วชาญ คา่ ดัชนีความ
สอดคลอ้ ง(IOC) ความหมาย
1 แผนการจัดประสบการณ์การ คนที่ 1 คนท่ี 2 คนที่ 3
เรยี นรู้สอดคลอ้ ง สัมพันธก์ ับ +1 +1 +1 1.0 ใช้ได้
แผนการจดั ประสบการณ์การ
เรียนรู้การพัฒนาทกั ษะการ
เขยี นตวั เลข 1-10 โดยใช้
ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสน
สนกุ
24
ขอ้ ประเดน็ คำถาม ความคิดเหน็ ของผู้เชี่ยวชาญ ค่าดชั นคี วาม
คนท่ี 1 คนที่ 2 คนที่ 3 สอดคลอ้ ง(IOC) ความหมาย
2 จุดประสงค์การเรยี นรู้มคี วาม
ชัดเจน ครอบคลุมเน้ือหา +1 +1 +1 1.0 ใช้ได้
สาระ
+1 +1 +1 1.0 ใช้ได้
3 จุดประสงค์การเรยี นรพู้ ัฒนา
เดก็ เกยี่ วกับทกั ษะการเขยี น +1 +1 +1 1.0 ใช้ได้
ตวั เลขของเด็กปฐมวัย +1 +1 +1 1.0 ใช้ได้
4 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้อง +1 +1 +1 1.0 ใช้ได้
กับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
+1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
5 กิจกรรมการเรียนรเู้ ป็น +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
กิจกรรมทีส่ ่งเสริมทกั ษะการ
เขียนตวั เลขของเด็กได้จรงิ +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
6 กิจกรรมการเรียนรเู้ น้นใหเ้ ด็ก
ไดเ้ รยี นรู้จากการปฏิบัติจริง
7 วสั ดุ อปุ กรณ์ สื่อ เหมาะสมกับ
เนือ้ หาสาระ
8 วัสดุ อปุ กรณ์ สอ่ื มีความ
หลากหลาย
9 ผ้เู รยี นเกิดการพัฒนาทักษะ
การเขียนตวั เลขไดอ้ ย่างชดั เจน
และมปี ระสิทธภิ าพ
10 การวดั และการประเมนิ ผล
สอดคลอ้ งกับจุดประสงค์
การเรยี นรู้
จากตารางที่ 3.1 พบว่า แผนการจัดประสบการณ์ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุก มีค่าดัชนี
ความสอดคล้อง เท่ากับ 1.00 ซึ่งเป็นค่าแสดงผลว่าค่าความสอดคล้องอยู่ในระดับมาก สามารถนำแผน
การจัดประสบการณช์ ุดฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์แสนสนุกไปทดลองใช้กบั เดก็ ได้
2. ชุดฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์แสนสนกุ โดยมีขบวนการสรา้ งดงั น้ี
2.1 ศกึ ษาแนวคิดและทฤษฎีเกยี่ วกบั พฒั นาทักษะคณิตศาสตรข์ องเด็กปฐมวัย หลกั การเลอื กใช้
สอื่ และอปุ กรณ์ท่ีเหมาะสมกับเด็กปฐมวัย
2.2 ศึกษาหลักการทำงานของสมองแนวคิดการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับ
เด็กปฐมวยั
2.3 ศกึ ษาการประดิษฐ์การจัดทำสื่อคณติ ศาสตร์พ้ืนฐานทเี่ หมาะสมกับเด็กปฐมวัย
2.4 การเลือกสอ่ื ใหต้ รงกับวัตถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้
25
2.5 นำสื่อและอุปกรณ์ไปทดลองกับเด็กปฐมวัย อายุ 4-5 ปี ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายเพื่อศึกษา
ความสามารถในการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์เด็กปฐมวัย และนำมาปรับปรุงแก้ไข
ใหส้ มบูรณย์ ่ิงขึน้
3. แบบสงั เกตทักษะการเขยี นตวั เลขของเด็กปฐมวัย โดยมีขบวนการสรา้ งดงั น้ี
3.1 ศึกษาเอกสาร ตำรางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข โดยใช้ชุดฝึก
ทกั ษะคณติ ศาสตร์แสนสนกุ
3.2 สรา้ งแบบสงั เกตทักษะการเขยี นตัวเลข
3.3 นำแบบสังเกตทักษะการเขียนตัวเลข เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญตรวจพิจารณาเพื่อหาความ
สอดคลอ้ งของ วัตถุประสงค์ เนอื้ หา การดำเนินกิจกรรม สอ่ื การเรียน และการประเมนิ ผล
3.4 ปรับปรงุ แบบสังเกตทกั ษะการเขยี นตัวเลข ตามคำแนะนำของผเู้ ช่ยี วชาญ
3.5 นำแบบสงั เกตการทักษะการเขยี นตัวเลข ไปใชก้ บั เดก็
ตารางที่ 3.2 ผลการวิเคราะห์แบบดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถามกับจุดประสงค์ (IOC:
Index of Item-Objective Congruence) ของแบบสังเกตทักษะการเขียนตัวเลขของเด็กปฐมวัย เพื่อ
การวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุกของ
เด็กปฐมวยั ชน้ั อนบุ าล 2/4 โรงเรยี นสุพรรณภูมิ
กิจกรรม ประเดน็ คำถาม ความคดิ เหน็ ของผเู้ ชีย่ วชาญ คา่ ดัชนีความ ความหมาย
คนที่ 1 คนท่ี 2 คนที่ 3 สอดคลอ้ ง(IOC)
กิจกรรม 1. การใช้
ชุดฝึกทกั ษะ กล้ามเน้อื มือ +1 +1 +1 1.0 ใช้ได้
ประสานสัมพนั ธ์
ตวั เลข กบั ตาได้อย่าง +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
สรา้ งสรรค์ คล่องแคลว่ +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
2. การรูค้ ่าตวั เลข +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
1-10 ได้อย่าง
ถูกต้อง
3. การเขียน
ตัวเลข 1-10 จาก
จุดเรมิ่ ต้นจนถึง
จดุ สิน้ สดุ ไดอ้ ย่าง
ถกู ต้อง
1. การใช้
กล้ามเนือ้ มือ
ประสานสมั พันธ์
กบั ตาได้อย่าง
คล่องแคล่ว
26
กิจกรรม ประเดน็ คำถาม ความคิดเหน็ ของผู้เชี่ยวชาญ ค่าดัชนีความ ความหมาย
คนท่ี 1 คนที่ 2 คนที่ 3 สอดคลอ้ ง(IOC)
กจิ กรรม 2. การรู้ค่าตัวเลข
ชดุ ฝึกทักษะ 1-10 ได้อย่าง +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
ประสาท ถูกต้อง +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
สัมผสั 3. การเขยี น +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
ตัวเลข 1-10 จาก
กจิ กรรม จุดเรม่ิ ตน้ จนถึง +1 +1 +1 1.0 ใช้ได้
ชุดฝกึ ทกั ษะ จุดส้นิ สดุ ไดอ้ ยา่ ง +1 +1 +1 1.0 ใชไ้ ด้
ถูกต้อง
กระดาน
ตัวเลข 1. การใช้
กล้ามเน้อื มอื
ประสานสัมพนั ธ์
กบั ตาได้อยา่ ง
คล่องแคล่ว
2. การร้คู า่ ตวั เลข
1-10 ได้อยา่ ง
ถกู ต้อง
3. การเขียน
ตัวเลข 1-10 จาก
จดุ เร่ิมตน้ จนถึง
จุดส้นิ สุดไดอ้ ย่าง
ถูกต้อง
จากตารางที่ 3.2 พบว่า แบบสังเกตทักษะการเขียนตัวเลขของเด็กปฐมวัย มีค่าดัชนีความสอดคล้อง
เท่ากับ 1.00 ซึ่งเป็นค่าแสดงผลว่าค่าความสอดคล้องอยู่ในระดับมาก สามารถนำแบบสังเกตทักษะการเขียน
ตวั เลขของเด็กปฐมวัยไปทดลองใชก้ บั เด็กได้
ตารางท่ี 3.3 เกณฑก์ ารให้คะแนนแบบสงั เกตทกั ษะการเขียนตวั เลขของเด็กปฐมวยั
รายการสงั เกต 3 เกณฑค์ ะแนน
1. การใชก้ ลา้ มเนื้อมือประสาน เด็กหยิบจบั วตั ถแุ ละ 21
สมั พนั ธก์ ับตาได้อย่าง เขียนตวั เลขโดยไม่ยก
คล่องแคล่ว ดินสอได้อยา่ ง เดก็ หยบิ จบั วตั ถุและ เด็กหยิบจบั วตั ถแุ ละ
คลอ่ งแคลว่ เขียนตัวเลขได้ แต่ เขียนตัวเลขไม่ได้
อาจจะมหี ลดุ ออกจาก
มอื หรือยกดินสอข้นึ ใน
การทำกิจกรรม
27
2. การรคู้ ่าตวั เลข 1-10 ได้อย่าง เดก็ บอกค่าตวั เลข เดก็ บอกค่าตัวเลข เดก็ บอกค่าตวั เลข
ถกู ต้อง 1-10 ได้อย่างถูกต้อง 1-10 ได้ไม่ต่ำกว่า 5 1-10 ไม่ได้ หรอื ต่ำ
กว่า 4 ตัวเลขลงมา
3. การเขยี นตัวเลข 1-10 จาก ทง้ั หมด ตวั เลข
จดุ เร่ิมต้นจนถงึ จดุ ส้นิ สุดได้อย่าง เด็กเขยี นตวั เลข
ถกู ต้อง เดก็ เขียนตวั เลข 1-10 เด็กเขียนตัวเลข 1-10 1-10 จากจดุ เร่มิ ต้น
จากจุดเรมิ่ ตน้ จนถึง จากจุดเริ่มต้นจนถึง จนถึงจุดส้นิ สดุ ไม่ได้
จดุ สนิ้ สุดได้อย่าง จุดสน้ิ สุดได้ไมต่ ่ำกว่า
หรือตำ่ กวา่
ถกู ต้องท้งั หมด 5 ตวั เลข 4 ตัวเลขลงมา
การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยดำเนินการวิจัยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนมีนาคม
ดำเนินการจัดกิจกรรมทั้งหมด 3 กิจกรรม กิจกรรมละ 2 ครั้งตามแผนการจัดประสบการณ์ รวมเป็นจำนวน 6
ครั้ง โดยจะเก็บรวบรวมการวิจัยทุกวันจันทร์และวันพฤหัสบดี ครั้งละ 20 นาที จำนวน 3 สัปดาห์ ในแต่ละ
ครั้งใช้เครื่องมอื แบบสังเกตทักษะการเขียนตัวเลขของเด็กปฐมวัย ในช่วงก่อนกิจกรรม ระหว่างกิจกรรม และ
หลงั กจิ กรรม โดยผู้วจิ ยั เปน็ ผเู้ ก็บรวบรวมข้อมลู ด้วยตนเอง
ตารางที่ 3.4 ตารางกำหนดการจัดกจิ กรรม
วนั /เดอื น/ปี รายการ เคร่อื งมือทใี่ ช้
1 กุมภาพันธ์ 2564 แบบสังเกตทักษะการเขียนตัวเลข
4 กุมภาพนั ธ์ 2564 แผนการจัดประสบการณ์ชุดฝึกทกั ษะ
8 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 คณติ ศาสตร์แสนสนกุ กิจกรรมชุดฝึกทกั ษะ ของเด็กปฐมวัย
11 กมุ ภาพนั ธ์ 2564
15 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 ตัวเลขสร้างสรรค์ แบบสงั เกตทักษะการเขียนตวั เลข
18 กมุ ภาพันธ์ 2564 ของเด็กปฐมวัย
แผนการจัดประสบการณช์ ุดฝึกทกั ษะ
คณิตศาสตร์แสนสนุก กิจกรรมชุดฝกึ ทักษะ แบบสงั เกตทักษะการเขยี นตวั เลข
ของเด็กปฐมวัย
ตวั เลขสรา้ งสรรค์
แบบสงั เกตทักษะการเขยี นตัวเลข
แผนการจัดประสบการณ์ชุดฝึกทักษะ ของเด็กปฐมวยั
คณติ ศาสตร์แสนสนุก กจิ กรรมชดุ ฝึกทกั ษะ
แบบสังเกตทักษะการเขียนตวั เลข
ประสาทสมั ผสั ของเด็กปฐมวยั
แผนการจดั ประสบการณช์ ุดฝึกทกั ษะ แบบสังเกตทักษะการเขยี นตัวเลข
คณติ ศาสตร์แสนสนกุ กิจกรรมชดุ ฝกึ ทักษะ ของเด็กปฐมวยั
ประสาทสมั ผัส
แผนการจดั ประสบการณช์ ดุ ฝึกทกั ษะ
คณติ ศาสตร์แสนสนุก กจิ กรรมชุดฝึกทักษะ
กระดานตัวเลข
แผนการจัดประสบการณ์ชุดฝึกทกั ษะ
คณติ ศาสตร์แสนสนกุ กจิ กรรมชุดฝึกทักษะ
กระดานตวั เลข
28
1. การวจิ ยั คร้งั นีเ้ ปน็ การเก็บรวบรวมข้อมูลดว้ ยแบบสังเกตพฤติกรรมเด็กท่ีมีปัญหาทางด้านการเขียน
ตัวเลขก่อนและหลังการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลขโดยใช้ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุก
ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มประชากรซึ่งเป็นเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 2/4 โรงเรียนสุพรรณภูมิ
อำเภอเมืองฯ จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี จำนวน 7 คน
2. สังเกตพฤติกรรมตามรายการเครื่องมือวิจัยด้วยการประเมินให้คะแนนพฤติกรรม โดยมีแบ่งระดับ
การให้คะแนนออกเป็น 3 ระดับ คือ 1-3 คะแนน ซง่ึ ผ้วู ิจยั เปน็ ผู้สังเกตพฤติกรรมและลงคะแนนตามพฤติกรรม
ทพี่ บเหน็
การวิเคราะห์ขอ้ มูล
1. ใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความถี่ การแจกแจงความถ่ี
เปน็ การแสดงคา่ ความถข่ี องข้อมูลทีเ่ กบ็ มาได้ โดยแสดงเป็นจำนวนและรอ้ ยละ (%)
ค่าร้อยละ คือ การคำนวณหาสัดส่วนของข้อมูลในแต่ละตัวเทียบกับข้อมูลรวมทั้งหมด โดยให้ข้อมูล
รวม ทั้งหมดมคี า่ เปน็ ร้อย
สตู รคำนวณ
รอ้ ยละ (%) = Χ⋅100
Ν
X คอื จำนวนขอ้ มลู (ความถี)่ ที่ตอ้ งการนามาหาค่าร้อยละ
N คอื จำนวนข้อมลู ทงั้ หมด
ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเฉลี่ยหรือค่ามัชฌิมเลขคณิต ใช้สัญลักษณ์ X สำหรับค่าเฉลี่ยที่ได้มาจากกลุ่ม
ตัวอย่าง สำหรบั คา่ เฉลยี่ ท่ีได้มาจากประชากรท้ังหมด การคานวณหาค่าเฉลีย่ ทำได้ 2 แบบ คอื การคำนวณหา
ค่าเฉลี่ยจากข้อมูลดิบที่ไม่อยู่ในรูปของตารางแจกแจงความถี่ และการคำนวณหาค่าเฉลี่ยจากข้อมูลจัดกลุ่มที่
อยูใ่ นรูปของตารางแจกแจง ความถี่ ซึ่งจะมีสตู รดงั นี้
สูตรคำนวณหาค่าเฉลี่ยจากข้อมลู ดบิ ทีไ่ มอ่ ยู่ในรูปของตารางแจกแจงความถ่ี
̅ = ∑ =1
Ν
̅ คือ ค่าเฉลี่ย
∑ =1 คือ ผลรวมของขอ้ มลู ท้ังหมด
Ν คอื จำนวนขอ้ มูลทงั้ หมด
29
ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) คือ ค่ารากที่สองของผลรวมของความแตกต่างระหว่างข้อมูลดิบ
กับค่าเฉลี่ย ยกกาลังสอง (sum of squares ของผลต่าง) หารด้วยจานวนข้อมูลทั้งหมด สัญลักษณ์ค่าส่วน
เบยี่ งเบนมาตรฐานจะมี 2 ลักษณะ ดังน้ี
ใชก้ ับขอ้ มูลที่เกบ็ มาจากประชากรทงั้ หมด
สูตรคำนวณหาค่าสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานจากขอ้ มูลดบิ ทไี่ มอ่ ยใู่ นรูปของตางรางแจกแจงความถี่
= √∑( − ̅)2 (สำหรบั ข้อมลู ทไ่ี ดจ้ ากกลุ่มตัวอยา่ ง)
−1
คอื คา่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
คอื ขอ้ มูลแตล่ ะจำนวน
̅ คอื ค่าเฉล่ียของขอ้ มลู ชุดน้ัน
คือ จำนวนข้อมลู จากกลมุ่ ตวั อย่าง
บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดฝึกทักษะ
คณิตศาสตร์แสนสนุกของเด็กปฐมวัยช้ันอนุบาล 2/4 โรงเรียนสุพรรณภูมิเป็นการวิเคราะห์สถิตพิ ื้นฐาน ได้แก่
ความถี่ รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน กราฟ แผนภูมิ และการวิเคราะหเ์ นื้อหาด้วยการจำแนกจัดกลุ่ม
พฤติกรรม/ทักษะ/ความสามารถและการวิเคราะห์เชิงเหตุผลจากการสังเกตพฤติกรรมการพัฒนาทักษะ
การเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุกของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 2/4
โรงเรียนสุพรรณภมู ิ ดังมรี ายละเอียดตอ่ ไปนี้
ตอนที่ 1 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูลเบ้ืองต้น (เชน่ เพศ อาย)ุ
ตารางท่ี 4.1 ความถ่ี ร้อยละ ของนักเรยี นทไี่ ดร้ บั การพัฒนาการใชก้ ล้ามเนอ้ื เล็ก จำแนกตามเพศ
และอายุ
ตัวแปร จำนวน (คน) รอ้ ยละ
เพศ 4 57.1
ชาย 3 42.9
หญงิ 7 100
รวม
- -
อายุ 7 100
4 ปี 7 100
5 ปี
รวม
จากตารางที่ 4.1 พบว่า มีเด็กที่ได้รับการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 ทั้งหมด 7 คน เพศชาย
จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 57.1 เพศหญิง จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 42.9 และอายุของเด็กที่ได้รับการ
พฒั นาทักษะการเขยี นตวั เลข 1-10 ทง้ั หมดคือ อายุ 5 ปี จำนวน 7 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 100
ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์การพฒั นาทกั ษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์
แสนสนุกของเด็กปฐมวยั ชั้นอนบุ าล 2/4 โรงเรียนสุพรรณภูมิ
กจิ กรรมท่ี 1 การเกบ็ รวบรวมข้อมูลครั้งท่ี 1 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
การเกบ็ รวบรวมข้อมูลครงั้ ท่ี 2 วันที่ 4 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564
การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสังเกตพฤติกรรมเด็กที่มีปัญหาทางด้านการเขียนตัวเลขก่อนและ
หลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุกของ
เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 2/4 โรงเรียนสุพรรณภูมิ ดำเนินการจัดกิจกรรมจำนวน 2 ครั้ง ครั้งที่ 1
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 และครั้งที่ 2 วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ในแต่ละครั้งใช้เครื่องมือ
แบบสังเกตทกั ษะการเขียนตวั เลขของเด็กปฐมวัย โดยมีแบ่งระดับการใหค้ ะแนนออกเปน็ 3 ระดับ คือ
31
1-3 คะแนน โดยเกณฑ์การประเมินเด็กจะต้องผ่านเกณฑ์การประเมินร้อยละ 70 ขึ้นไป และการแปล
ความหมายเกณฑค์ ะแนนจะตอ้ งมีคา่ เฉล่ียอยใู่ นระดับ 2.1 ขน้ึ ไป จึงจะผา่ นเกณฑ์
ตารางที่ 4.2 ค่าสถิติพื้นฐาน ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉลย่ี คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน ทั้งกอ่ นและหลัง
การปฏบิ ัติกิจกรรมชุดฝึกทกั ษะตัวเลขสร้างสรรค์ และคะแนนเกณฑ์การประเมินร้อยละ 70
ประเด็นท่ีสังเกต/ข้อ จำนวน ก่อนเรยี น หลังเรียน คะแนน แปล
คำถาม (คน) ค่าเฉลยี่ คา่ ค่าเฉลยี่ คา่ เกณฑ์ ความหมาย
เบี่ยงเบน (รอ้ ย
เบยี่ งเบน มาตรฐาน ละ 70)
มาตรฐาน
1. การใช้กล้ามเน้อื มอื 7 2.00 .000 3.00 .000 2.1 ผ่านเกณฑ์
ประสานสมั พันธก์ ับตา
ได้อย่างคลอ่ งแคลว่
2. การรคู้ า่ ตัวเลข 7 1.00 .000 2.57 .535 2.1 ผา่ นเกณฑ์
1-10 ได้อย่างถูกต้อง
3. การเขียนตัวเลข 7 1.00 .000 2.57 .535 2.1 ผา่ นเกณฑ์
1.33 .000 2.71 .356 2.1 ผ่านเกณฑ์
1-10 จากจุดเร่มิ ต้น
จนถึงจดุ สิ้นสดุ ได้อย่าง
ถกู ต้อง
คา่ เฉลีย่ รวม 7
จากตารางที่ 4.2 พบว่า การใช้กล้ามเนื้อมือประสานสัมพันธ์กับตาได้อย่างคล่องแคล่ว ก่อนได้รับ
การปฏิบัตกิ จิ กรรมมีค่าเฉลี่ย 2.00 และคา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน .000 ซง่ึ อยรู่ ะดบั ทไี่ มผ่ ่านเกณฑ์ และหลังจากท่ี
ได้ปฏิบัติกิจกรรมการใช้กล้ามเนื้อมือประสานสัมพันธ์กับตาได้อย่างคล่องแคล่ว มีค่าเฉลี่ย 3.00 และ
ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .000 ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้ การรู้ค่าตัวเลข 1-10 ได้อย่างถูกต้อง ก่อนได้รับ
การปฏิบตั ิกิจกรรมมีค่าเฉลยี่ 1.00 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .000 ซง่ึ อยู่ระดับทไ่ี ม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากที่
ได้ปฏิบัติกิจกรรมการรู้ค่าตัวเลข 1-10 ได้อย่างถูกต้อง มีค่าเฉลี่ย 2.57 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .535
ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้ และการเขียนตัวเลข 1-10 จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดได้อย่างถูกต้อง ก่อนได้รับ
การปฏิบัติกจิ กรรมมคี ่าเฉลีย่ 1.00 และค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน .000 ซง่ึ อย่รู ะดบั ทีไ่ ม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากท่ี
ได้ปฏิบัติกิจกรรมการเขียนตัวเลข 1-10 จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดได้อย่างถูกต้อง มีค่าเฉลี่ย 2.57
และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .535 ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้ และค่าเฉลี่ยรวมทั้งหมดตามประเด็นที่สังเกต
ก่อนได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 1.33 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .000 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์
และหลังจากได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 2.71 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .356 ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้ง
ไว้
32
ภาพท่ี 4.1 กราฟเสน้ แสดงผลการวิเคราะห์คะแนนการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้
ชดุ ฝึกทักษะคณิตศาสตรแ์ สนสนกุ ของเดก็ ปฐมวัยชัน้ อนุบาล 2/4 โรงเรยี นสพุ รรณภูมิ กอ่ นและหลงั
การจัดกิจกรรมชุดฝกึ ทักษะตวั เลขสร้างสรรค์ และคะแนนเกณฑ์
กราฟเสน้ คะแนนพฒั นาการทักษะการเขยี นตวั เลข 1-10 จาก
กิจกรรมชุดฝึกทกั ษะตวั เลขสร้างสรรค์
3
2.5
2
1.5
1
0.5
0
เอ บี ซี ดี เอฟ จี เอช
ก่อนเรียน คะแนนเกณฑ์ หลงั เรยี น
จากกราฟเส้น พบว่า ผลรวมคะแนนกอ่ นปฏบิ ัติกจิ กรรมของเด็กอยู่ในระดับไม่ผา่ นเกณฑ์การประเมิน
อยู่ในระดับคะแนน 1.33 คะแนนซึ่งได้มาจากผลรวมของรายการสังเกตพฤติกรรม เด็กแต่ละคนมีคะแนนใน
ระดับที่เท่ากัน และหลังจากที่ปฏิบัติกิจกรรม มีผลรวมคะแนนอยู่ในระดับที่ผ่านเกณฑ์ สำหรับผู้ที่มีคะแนน
สูงสุด มีคะแนนทั้งหมด 3 คะแนน รองลงมาคือ 2.33 คะแนน ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมินต้องมีคะแนนอยู่ใน
ระดบั 2.1 ข้นึ ไป หรอื รอ้ ยละ 70 จึงผา่ นเกณฑ์การประเมิน
กจิ กรรมท่ี 2 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลคร้ังที่ 1 วันท่ี 8 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564
การเก็บรวบรวมขอ้ มูลคร้งั ที่ 2 วนั ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสังเกตพฤติกรรมเด็กท่ีมีปัญหาทางด้านการเขียนตัวเลขก่อนและ
หลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุกของ
เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 2/4 โรงเรียนสุพรรณภูมิ ดำเนินการจัดกิจกรรมจำนวน 2 ครั้ง ครั้งที่ 1
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 และครั้งที่ 2 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ในแต่ละครั้งใช้เครื่องมือ
แบบสังเกตทักษะการเขียนตัวเลขของเด็กปฐมวัย โดยมีแบ่งระดับการให้คะแนนออกเป็น 3 ระดับ คือ
1-3 คะแนน โดยเกณฑ์การประเมินเด็กจะต้องผ่านเกณฑ์การประเมินร้อยละ 70 ขึ้นไป และการแปล
ความหมายเกณฑค์ ะแนนจะตอ้ งมีคา่ เฉลย่ี อยู่ในระดบั 2.1 ขึน้ ไป จงึ จะผ่านเกณฑ์
33
ตารางที่ 4.3 คา่ สถิตพิ น้ื ฐาน ความถ่ี รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน ท้งั กอ่ นและหลังการ
ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมชดุ ฝกึ ทกั ษะประสาทสัมผัสและคะแนนเกณฑ์การประเมนิ ร้อยละ 70
ประเด็นทส่ี งั เกต/ข้อ จำนวน กอ่ นเรยี น หลังเรียน คะแนน แปล
คำถาม (คน) คา่ เฉลีย่ ค่า ค่าเฉลยี่ ค่า เกณฑ์ ความหมาย
เบ่ียงเบน (รอ้ ย
เบย่ี งเบน มาตรฐาน ละ 70)
มาตรฐาน
1. การใช้กลา้ มเนอื้ มอื 7 2.00 .000 3.00 .000 2.1 ผา่ นเกณฑ์
ประสานสัมพันธก์ ับตา
ไดอ้ ย่างคลอ่ งแคล่ว
2. การรู้ค่าตัวเลข 7 1.71 .488 2.57 .535 2.1 ผา่ นเกณฑ์
1-10 ได้อย่างถูกต้อง
3. การเขยี นตัวเลข 7 1.71 .488 2.57 .535 2.1 ผ่านเกณฑ์
1.80 .325 2.71 .356 2.1 ผา่ นเกณฑ์
1-10 จากจุดเร่ิมต้น
จนถึงจดุ สิน้ สุดได้อยา่ ง
ถูกต้อง
คา่ เฉล่ียรวม 7
จากตารางที่ 4.3 พบว่า การใช้กล้ามเนื้อมือประสานสัมพันธก์ ับตาได้อย่างคล่องแคล่ว ก่อนได้รับการ
ปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 2.00 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .000 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากที่ได้
ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการใช้กล้ามเน้ือมอื ประสานสัมพันธ์กบั ตาได้อยา่ งคล่องแคล่ว มีค่าเฉล่ยี 3.00 และค่าเบ่ียงเบน
มาตรฐาน .000 ซงึ่ ผ่านเกณฑ์ตามที่ต้ังไว้ การรู้คา่ ตวั เลข 1-10 ได้อย่างถูกต้อง ก่อนได้รบั การปฏิบัติกิจกรรมมี
ค่าเฉลี่ย 1.71 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .488 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากที่ได้ปฏิบัติกิจกรรม
การรู้คา่ ตัวเลข 1-10 ได้อย่างถูกตอ้ ง มีค่าเฉลี่ย 2.57 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .535 ซ่ึงผา่ นเกณฑต์ ามที่ต้ังไว้
และการเขียนตัวเลข 1-10 จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดได้อย่างถูกต้อง ก่อนได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมี
ค่าเฉลี่ย 1.71 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .488 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากที่ได้ปฏิบัติกิจกรรม
การเขียนตวั เลข 1-10 จากจดุ เรม่ิ ตน้ จนถึงจุดส้ินสุดได้อย่างถูกตอ้ ง มคี ่าเฉล่ีย 2.57 และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน
.535 ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้ และค่าเฉลี่ยรวมทั้งหมดตามประเด็นที่สังเกต ก่อนได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมี
ค่าเฉลี่ย 1.80 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .325 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากได้รับการปฏิบัติ
กิจกรรมมคี า่ เฉล่ยี 2.71 และคา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน .356 ซ่งึ ผ่านเกณฑ์ตามที่ต้ังไว้
34
ภาพที่ 4.2 กราฟเส้นแสดงผลการวิเคราะหค์ ะแนนการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้
ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุกของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 2/4 โรงเรียนสุพรรณภูมิ ก่อนและหลัง
การจดั กิจกรรมชุดฝึกทกั ษะประสาทสมั ผัส และคะแนนเกณฑ์
กราฟเส้น คะแนนพฒั นาการทักษะการเขียนตวั เลข 1-10 จาก
กจิ กรรมชุดฝึกทักษะประสาทสัมผสั
3
2.5
2
1.5
1
0.5
0
เอ บี ซี ดี เอฟ จี เอช
กอ่ นเรยี น คะแนนเกณฑ์ หลงั เรยี น
จากกราฟเสน้ พบว่า ผลรวมคะแนนกอ่ นปฏบิ ัติกิจกรรมของเด็กอยู่ในระดับไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน
อยู่ในระดบั คะแนน 1.33 - 2 คะแนนซ่งึ ไดม้ าจากผลรวมของรายการสงั เกตพฤติกรรม นอ้ งเอกับน้องเอฟจะอยู่
ในระดับคะแนนคือ 1.33 และเด็กส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับคะแนน 2 คะแนน และหลังจากที่ปฏิบัติกิจกรรม
มีผลรวมคะแนนอยู่ในระดบั ทีผ่ ่านเกณฑ์ สำหรับผทู้ ่มี ีคะแนนสูงสุด มคี ะแนนท้ังหมด 3 คะแนน จำนวน 4 คน
คือ น้องเอ น้องซี น้องดี และน้องเอช ส่วนรองลงมาคือ 2.33 คะแนน จำนวน 3 คน คือ น้องบี น้องเอฟ และ
นอ้ งจีซ่ึงผ่านเกณฑ์การประเมนิ ตอ้ งมีคะแนนอยูใ่ นระดับ 2.1 ขนึ้ ไป หรือร้อยละ 70 จงึ ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ
กจิ กรรมท่ี 3 การเก็บรวบรวมขอ้ มูลครง้ั ที่ 1 วันที่ 15 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2564
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู คร้งั ที่ 2 วนั ที่ 18 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2564
การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสังเกตพฤติกรรมเด็กที่มีปัญหาทางด้านการเขียนตัวเลขก่อนและ
หลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุกของ
เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 2/4 โรงเรียนสุพรรณภูมิ ดำเนินการจัดกิจกรรมจำนวน 2 ครั้ง ครั้งที่ 1
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 และครั้งที่ 2 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ในแต่ละครั้งใช้เครื่องมือ
แบบสังเกตทักษะการเขียนตัวเลขของเด็กปฐมวัย โดยมีแบ่งระดับการให้คะแนนออกเป็น 3 ระดับ คือ
1-3 คะแนน โดยเกณฑ์การประเมินเด็กจะต้องผ่านเกณฑ์การประเมินร้อยละ 70 ขึ้นไป และการแปล
ความหมายเกณฑค์ ะแนนจะต้องมีค่าเฉลีย่ อย่ใู นระดบั 2.1 ข้นึ ไป จึงจะผา่ นเกณฑ์
35
ตารางท่ี 4.4 ค่าสถติ ิพน้ื ฐาน ความถี่ รอ้ ยละ คา่ เฉล่ยี ค่าเบยี่ งเบนมาตรฐาน ทั้งก่อนและหลัง
การปฏิบตั ิกิจกรรมชุดฝึกทกั ษะกระดานตวั เลข และคะแนนเกณฑ์การประเมินรอ้ ยละ 70
ประเดน็ ทีส่ งั เกต/ข้อ จำนวน ก่อนเรยี น หลงั เรยี น คะแนน แปล
คำถาม (คน) คา่ เฉล่ยี ค่า ค่าเฉลยี่ ค่า เกณฑ์ ความหมาย
เบย่ี งเบน (ร้อย
เบย่ี งเบน มาตรฐาน ละ 70)
มาตรฐาน
1. การใช้กลา้ มเนื้อมือ 7 3.00 .000 3.00 .000 2.1 ผ่านเกณฑ์
ประสานสมั พนั ธ์กับตา
ได้อยา่ งคล่องแคลว่
2. การรู้คา่ ตวั เลข 7 2.14 .378 3.00 .000 2.1 ผา่ นเกณฑ์
1-10 ได้อย่างถูกต้อง
3. การเขียนตัวเลข 7 2.14 .378 3.00 .000 2.1 ผ่านเกณฑ์
2.42 .251 3.00 .000 2.1 ผา่ นเกณฑ์
1-10 จากจดุ เร่มิ ต้น
จนถงึ จดุ สน้ิ สดุ ได้อยา่ ง
ถูกต้อง
คา่ เฉลี่ยรวม 7
จากตารางที่ 4.4 พบว่า การใช้กล้ามเนือ้ มือประสานสัมพันธ์กับตาได้อย่างคล่องแคล่ว ก่อนได้รับการ
ปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 3.00 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .000 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากที่ได้
ปฏิบัติกิจกรรมการใช้กล้ามเน้ือมือประสานสัมพนั ธ์กับตาได้อย่างคล่องแคลว่ มคี ่าเฉลี่ย 3.00 และค่าเบี่ยงเบน
มาตรฐาน .000 ซง่ึ ผ่านเกณฑต์ ามทต่ี ั้งไว้ การรคู้ า่ ตวั เลข 1-10 ได้อย่างถูกต้อง กอ่ นไดร้ ับการปฏิบัติกิจกรรมมี
ค่าเฉลี่ย 2.14 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .378 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากที่ได้ปฏิบัติกิจกรรม
การรคู้ า่ ตัวเลข 1-10 ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง มีค่าเฉลย่ี 3.00 และค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน .000 ซ่งึ ผ่านเกณฑ์ตามทีต่ ัง้ ไว้
และการเขียนตัวเลข 1-10 จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดได้อย่างถูกต้อง ก่อนได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมี
ค่าเฉลี่ย 2.14 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .000 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากที่ได้ปฏิบัติกิจกรรม
การเขยี นตวั เลข 1-10 จากจดุ เรมิ่ ตน้ จนถงึ จุดสิ้นสุดได้อย่างถูกต้อง มีค่าเฉล่ยี 3.00 และคา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน
.000 ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้ และค่าเฉลี่ยรวมทั้งหมดตามประเด็นที่สังเกต ก่อนได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมี
ค่าเฉลี่ย 2.42 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .251 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากได้รับการปฏิบัติ
กจิ กรรมมีคา่ เฉลยี่ 3.00 และคา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน .000 ซ่งึ ผา่ นเกณฑ์ตามท่ตี ัง้ ไว้
36
ภาพท่ี 4.3 กราฟเสน้ แสดงผลการวเิ คราะห์คะแนนการพฒั นาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้
ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์แสนสนุกของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 2/4 โรงเรียนสุพรรณภูมิ ก่อนและหลัง
การจดั กิจกรรมชุดฝึกทักษะกระดานตัวเลข และคะแนนเกณฑ์
กราฟเส้น คะแนนพัฒนาการทกั ษะการเขียนตัวเลข 1-10 จาก
กจิ กรรมชุดฝึกทกั ษะกระดานตวั เลข
3
2.5
2
1.5
1
0.5
0
กอ่ นเรยี น คะแนนเกณฑ์ หลงั เรียน
จากกราฟเส้น พบว่า ผลรวมคะแนนก่อนปฏิบัติกิจกรรมของเด็กอยู่ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมิน
อยู่ในระดับคะแนน 2.33 คะแนน และมีผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 3 คะแนน คือ น้องดี ได้ซึ่งได้มาจากผลรวมของ
รายการสังเกตพฤติกรรม และหลังจากทป่ี ฏิบัตกิ จิ กรรม มีผลรวมคะแนนอยใู่ นระดับทผ่ี ่านเกณฑ์ โดยมคี ะแนน
เฉลี่ยสูงสุด 3 คะแนน ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมินต้องมีคะแนนอยู่ในระดับ 2.1 ขึ้นไป หรือร้อยละ 70 จึงผ่าน
เกณฑ์การประเมิน
ภาพท่ี 4.4 กราฟเสน้ แสดงผลการวิเคราะหค์ ะแนนการพฒั นาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้
ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตรแ์ สนสนกุ ของเดก็ ปฐมวัยชัน้ อนุบาล 2/4 โรงเรียนสุพรรณภมู ิ กอ่ นการจัดกจิ กรรม
ชดุ ฝึกทกั ษะคณติ ศาสตร์แสนสนกุ ทัง้ 3 กิจกรรม และคะแนนเกณฑ์
กราฟเสน้ คะแนนพัฒนาการทกั ษะการเขียนตัวเลข 1-10
ก่อนการจดั กิจกรรมท้งั 3 กจิ กรรม
3
2.5
2
1.5
1
0.5
0
เอ บี ซี ดี เอฟ จี เอช
ก่อนเรียน กจิ กรรมท่ี 1 ก่อนเรยี น กิจกรรมท่ี 2 ก่อนเรยี น กจิ กรรมท่ี 3 คะแนนเกณฑ์
37
จากกราฟเส้น พบว่า ผลรวมคะแนนก่อนปฏิบัติกิจกรรมของเด็กทั้ง 3 กิจกรรม มีกิจกรรมที่ 1
กจิ กรรมตัวเลขสร้างสรรค์ และกิจกรรมที่ 2 กจิ กรรมประสาทสัมผัส อยูใ่ นระดับไมผ่ ่านเกณฑ์การประเมิน อยู่
ในระดับคะแนน 1.33-2 คะแนน ได้ซึ่งได้มาจากผลรวมของรายการสังเกตพฤติกรรม และกิจกรรมที่ 3
กจิ กรรมกระดานตวั เลข มีผลรวมคะแนนอยู่ในระดับทผี่ ่านเกณฑ์ โดยมคี ะแนน 2.33-3 คะแนน ซึ่งผ่านเกณฑ์
การประเมินตอ้ งมคี ะแนนอย่ใู นระดับ 2.1 ขึน้ ไป หรอื รอ้ ยละ 70 จึงผา่ นเกณฑ์การประเมนิ
ภาพที่ 4.5 กราฟเสน้ แสดงผลการวิเคราะห์คะแนนการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้
ชุดฝกึ ทักษะคณิตศาสตร์แสนสนกุ ของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 2/4 โรงเรยี นสุพรรณภมู ิ หลังการจดั กจิ กรรม
ชุดฝกึ ทักษะคณิตศาสตร์แสนสนกุ ทง้ั 3 กจิ กรรม และคะแนนเกณฑ์
กราฟเส้น คะแนนพัฒนาการทกั ษะการเขียนตัวเลข 1-10
หลงั การจัดกิจกรรมทงั้ 3 กิจกรรม
3.5
3
2.5
2
1.5
1
0.5
0
เอ บี ซี ดี เอฟ จี เอช
หลงั เรยี น กิจกรรมท่ี 1 หลงั เรียน กจิ กรรมท่ี 2 หลงั เรยี น กิจกรรมท่ี 3 คะแนนเกณฑ์
จากกราฟเส้น พบว่า ผลรวมคะแนนก่อนปฏิบัติกิจกรรมของเด็กทั้ง 3 กิจกรรม มีกิจกรรมที่ 1
กจิ กรรมตัวเลขสรา้ งสรรค์ และกิจกรรมท่ี 2 กิจกรรมประสาทสมั ผัส อยใู่ นระดบั คะแนน 2.33-3 คะแนน ไดซ้ ึ่ง
ได้มาจากผลรวมของรายการสังเกตพฤติกรรม และกิจกรรมที่ 3 กิจกรรมกระดานตัวเลข มีผลรวมคะแนนอยู่
ในระดับที่ผ่านเกณฑ์ โดยมีคะแนน 3 คะแนน ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมินต้องมีคะแนนอยู่ในระดับ 2.1 ขึ้นไป
หรือรอ้ ยละ 70 จึงผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน
บทที่ 5
สรุปผลการวจิ ยั อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
สรุปผลการวจิ ัย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถปุ ระสงค์สองประการ ประการแรกเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนตวั เลข 1-10 โดยใช้
ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์แสนสนุก ประการท่ีสองเพ่ือเปรียบเทยี บทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 ของเด็กปฐมวัย
ชั้นอนุบาล 2/4 ก่อนและหลังการจัดชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์แสนสนุก กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย
เป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง ที่มีอายุ 4-5 ปี ชั้นอนุบาล 2/4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียน
สพุ รรณภูมิ ตำบลทา่ พี่เล้ียง อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดสพุ รรณบรุ ี จำนวน 7 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง
(Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดประสบการณ์ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์
แสนสนกุ ชุดฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตรแ์ สนสนุก และแบบสงั เกตทกั ษะการเขียนตัวเลขของเด็กปฐมวยั สถิตทิ ีใ่ ช้ใน
การวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อวิเคราะห์
การพฒั นาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตรแ์ สนสนกุ ผลการวิจยั สรปุ ดังนี้
ผลการวิเคราะห์สถิติพื้นฐานเกี่ยวกับข้อมูลเบื้องต้นของเด็กที่ได้รับการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข
1-10 ทัง้ หมด 7 คน เพศชาย จำนวน 4 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 57.1 เพศหญิง จำนวน 3 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 42.9
และอายุของเด็กที่ได้รับการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 ทั้งหมดคือ อายุ 5 ปี จำนวน 7 คน คิดเป็น
ร้อยละ 100
ผลการวิเคราะห์การพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์แสนสนุก
โดยมีการจัดกิจกรรมตัวเลขสร้างสรรค์ พบว่า การใช้กล้ามเนื้อมือประสานสัมพันธ์กับตาได้อย่างคล่องแคล่ว
กอ่ นได้รับการปฏิบัติกจิ กรรมมีคา่ เฉล่ีย 2.00 และคา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน .000 ซึง่ อยรู่ ะดบั ท่ไี มผ่ า่ นเกณฑ์ และ
หลังจากทไี่ ด้ปฏบิ ัติกจิ กรรมการใช้กลา้ มเน้ือมือประสานสมั พนั ธ์กบั ตาได้อย่างคล่องแคล่ว มคี ่าเฉลย่ี 3.00 และ
ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .000 ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้ การรู้ค่าตัวเลข 1-10 ได้อย่างถูกต้อง ก่อนได้รับการ
ปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 1.00 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .000 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากที่ได้
ปฏิบัติกิจกรรมการรู้ค่าตัวเลข 1-10 ได้อย่างถูกต้อง มีค่าเฉลี่ย 2.57 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .535
ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้ และการเขียนตัวเลข 1-10 จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดได้อย่างถูกต้อง ก่อนได้รับ
การปฏิบตั กิ ิจกรรมมีค่าเฉล่ยี 1.00 และคา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน .000 ซ่งึ อยูร่ ะดับทไ่ี มผ่ ่านเกณฑ์ และหลังจากท่ี
ได้ปฏิบัติกิจกรรมการเขียนตัวเลข 1-10 จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดได้อย่างถูกต้อง มีค่าเฉลี่ย 2.57
และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .535 ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้ และค่าเฉลี่ยรวมทั้งหมดตามประเด็นที่สังเกต
ก่อนได้รับการปฏิบัติกจิ กรรมมีคา่ เฉล่ีย 1.33 และคา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน .000 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และ
หลังจากไดร้ บั การปฏิบัติกิจกรรมมคี า่ เฉล่ยี 2.71 และค่าเบยี่ งเบนมาตรฐาน .356 ซง่ึ ผ่านเกณฑ์ตามท่ตี ้งั ไว้
ผลการวิเคราะห์การพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์แสนสนุก
โดยมีการจัดกิจกรรมประสานสัมผัส พบว่า การใช้กล้ามเนื้อมือประสานสัมพันธ์กับตาได้อย่างคล่องแคล่ว
ก่อนได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 2.00 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .000 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์
และหลังจากที่ไดป้ ฏิบัติกิจกรรมการใชก้ ลา้ มเน้ือมือประสานสัมพนั ธ์กับตาได้อย่างคล่องแคลว่ มีค่าเฉล่ีย 3.00
และคา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน .000 ซ่งึ ผ่านเกณฑ์ตามทีต่ ้ังไว้ การรู้คา่ ตวั เลข 1-10 ได้อยา่ งถูกต้อง ก่อนได้รับการ
ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมมคี ่าเฉลย่ี 1.71 และคา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน .488 ซงึ่ อยู่ระดับทไี่ ม่ผา่ นเกณฑ์ และหลงั จากทไ่ี ด้
39
ปฏิบัติกิจกรรมการรู้ค่าตัวเลข 1-10 ได้อย่างถูกต้อง มีค่าเฉลี่ย 2.57 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .535
ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้ และการเขียนตัวเลข 1-10 จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดได้อย่างถูกต้อง ก่อนได้รับ
การปฏิบตั ิกิจกรรมมีค่าเฉล่ยี 1.71 และค่าเบยี่ งเบนมาตรฐาน .488 ซึ่งอยรู่ ะดบั ท่ีไม่ผา่ นเกณฑ์ และหลังจากท่ี
ได้ปฏิบัติกิจกรรมการเขียนตัวเลข 1-10 จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดได้อย่างถูกต้อง มีค่าเฉลี่ย 2.57
และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .535 ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้ และค่าเฉลี่ยรวมทั้งหมดตามประเด็นที่สังเกต ก่อน
ได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 1.80 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .325 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และ
หลังจากได้รับการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมมีคา่ เฉลยี่ 2.71 และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน .356 ซึง่ ผ่านเกณฑต์ ามทีต่ ง้ั ไว้
ผลการวิเคราะห์การพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์แสนสนุก
โดยมีการจัดกิจกรรมกระดานตัวเลข พบว่า การใช้กล้ามเนื้อมือประสานสัมพันธ์กับตาได้อย่างคล่องแคล่ว
ก่อนได้รับการปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 3.00 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .000 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์
และหลงั จากท่ีได้ปฏิบัติกิจกรรมการใช้กลา้ มเนื้อมือประสานสัมพนั ธ์กับตาได้อย่างคล่องแคล่ว มคี ่าเฉล่ีย 3.00
และค่าเบยี่ งเบนมาตรฐาน .000 ซ่งึ ผา่ นเกณฑ์ตามทต่ี ั้งไว้ การรคู้ า่ ตวั เลข 1-10 ได้อยา่ งถูกต้อง ก่อนได้รับการ
ปฏิบัติกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย 2.14 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .378 ซึ่งอยู่ระดับที่ไม่ผ่านเกณฑ์ และหลังจากที่ได้
ปฏิบัติกิจกรรมการรู้ค่าตัวเลข 1-10 ได้อย่างถูกต้อง มีค่าเฉลี่ย 3.00 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .000
ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้ และการเขียนตัวเลข 1-10 จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดได้อย่างถูกต้อง ก่อนได้รับ
การปฏิบตั ิกิจกรรมมคี ่าเฉล่ยี 2.14 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .000 ซ่ึงอย่รู ะดบั ทีไ่ มผ่ ่านเกณฑ์ และหลังจากที่
ได้ปฏิบัติกิจกรรมการเขียนตัวเลข 1-10 จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดได้อย่างถูกต้อง มีค่าเฉลี่ย 3.00
และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .000 ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่ตั้งไว้ และค่าเฉลี่ยรวมทั้งหมดตามประเด็นที่สังเกต
ก่อนไดร้ บั การปฏิบตั ิกจิ กรรมมีคา่ เฉลีย่ 2.42 และค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน .251 ซงึ่ อย่รู ะดับท่ีไมผ่ ่านเกณฑ์ และ
หลงั จากไดร้ บั การปฏบิ ตั กิ ิจกรรมมคี า่ เฉลย่ี 3.00 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน .000 ซึ่งผ่านเกณฑต์ ามทตี่ ง้ั ไว้
อภปิ รายผล
การวจิ ัยคร้ังนเี้ กย่ี วกบั การพัฒนาทักษะการเขยี นตวั เลข 1-10 โดยใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์แสนสนุก
โดยมีสมมติฐานว่า เด็กปฐมวัยทีไ่ ด้รับการจดั ชุดกจิ กรรมคณิตศาสตร์แสนสนกุ มีทักษะการเขียนตัวเลขที่ดีขึน้
และไม่เขียนตัวเลขกลับด้าน พบว่า เด็กปฐมวัยมีทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 ที่ดียิ่งขึ้น และเขียนตัวเลข
ถูกต้องตามหลักการเขียนตัวเลข หลังจากได้รับการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 โดยมีการจัด
ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์แสนสนุก 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมตัวเลขสร้างสรรค์ กิจกรรมประสาทสัมผัส
และกิจกรรมกระดานตัวเลข ซึ่งมีผลการวิจัยสามารถอภิปรายไดด้ ังน้ี
ผลจากการจัดชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์แสนสนุก 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมตัวเลขสร้างสรรค์ กิจกรรม
ประสาทสัมผัส และกิจกรรมกระดานตัวเลข พบว่า ก่อนลงมือปฏิบัติเด็กมีทักษะการเขียนตัวเลขที่ไม่ถูกต้อง
และเขียนตัวเลขไม่ได้ อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องควรปรับปรุง และหลังจากการได้รับการพัฒนาโดยใช้กิจกรรมท้ัง
3 กิจกรรม เด็กมีทักษะการเขียนตัวเลขที่ดีขึ้น และไม่เขียนตัวเลขกลับด้าน อยู่เกณฑ์ระดับที่ดีมาก
โดยเด็กปฐมวัยจะต้องมีทักษะการเขียนที่ดี เพื่อเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ในหลายด้าน ซึ่งสอดคล้องกับ
งานหลักการแนวคิดของวารุณี เพิ่มศรี (2559) กล่าวคือ การเขียนของเด็กอาจจะไม่สวยงาม หรือถูกต้อง
ตามหลกั การเขยี น แตก่ ารเขยี นของเดก็ จะเปน็ ไปตามพฒั นาการและความสามารถเฉพาะของแต่ละคน
จากการอภิปรายขา้ งต้น แสดงให้เห็นว่า กล่มุ เป้าหมายที่ได้รับการพฒั นาทักษะการเขยี นตัวเลข 1-10
โดยใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์แสนสนุก โดยก่อนการได้รบั การจดั กิจกรรมมีทักษะการเขียนตัวเลขที่ไม่ถูกต้อง
40
และเขียนตัวเลขไม่ได้ หลังจากที่ได้รับการจัดชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์แสนสนุก มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
เด็กมีทักษะการเขียนตัวเลขที่ดีขึ้นตามลำดับ และไม่เขียนตัวเลขกลับด้าน ซึ่งผลการวิจัยนั้นเป็นไปตาม
สมมตฐิ านท่ผี ู้วิจยั ได้ตั้งไว้
ขอ้ เสนอแนะในการนำผลวจิ ัยไปใช้
ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย จากผลการวจิ ัยคร้ังนที้ ำให้ข้อสรุปความรเู้ กี่ยวกบั การพัฒนาทักษะการเขียน
ตัวเลข 1-10 โดยใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์แสนสนกุ ผู้วิจัยจึงขอนำเสนอแนวทางการนำผลไปใช้ 2 ประเด็น
ดังนี้
1) การนำความรู้จากการศึกษาทกั ษะการเขียนตัวเลข 1-10 ของเดก็ ปฐมวัยชัน้ อนุบาล 2/4 ก่อนและ
หลังการจดั ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์แสนสนุก พบว่า เด็กแต่ละคนมีทักษะการเขียนที่แตกตา่ งกัน เนื่องจากบาง
คนอาจจะเขียนได้ บางคนอาจจะวาดรูป ระบายสีได้ โดยสิ่งสำคัญและจำเป็นต่อเด็กทีม่ ีการเขียนที่ไม่แขง็ แรง
ควรที่จะส่งเสริมให้เด็กมีทักษะการเขียนที่ดีอยู่เสมอ และควรที่จะส่งเสริมหลักการเขียนตัวเลขที่ถูกต้อง
เพือ่ ทีเ่ ดก็ จะได้มีทกั ษะการเขยี นตัวเลขท่ดี ยี ิง่ ข้ึนตามลำดบั และยังเป็นพืน้ ฐานของการเรยี นรูต้ อ่ ไป
2) การนำความรู้จากการพัฒนาทักษะการเขียนตวั เลข 1-10 โดยใช้ชุดกจิ กรรมคณติ ศาสตร์แสนสนุก
พบว่า ทักษะการเขียนเป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต่อการเรียนรู้เป็นอย่างมาก โดยครูและผู้ปกครองควรมีความสนใจ
ในการดูแล ควรที่จะส่งเสริมให้เด็กมีทักษะการเขียนที่ดีอยู่เสมอ และเขียนถูกต้องตามหลั กการเขียน
เพือ่ ทีเ่ ดก็ จะไดม้ ที ักษะการเขยี นตัวเลขทดี่ ยี ่ิงขึ้นตามลำดบั และยงั เป็นพน้ื ฐานของการเรยี นรู้ตอ่ ไป
ข้อเสนอแนะเชิงการปฏบิ ตั ิ จากผลการวจิ ยั จะพบวา่ ทักษะการเขยี นเป็นสิง่ สำคัญที่มีผลตอ่ การเรียนรู้
เป็นอย่างมาก โดยครูและผู้ปกครองควรมีความสนใจในการดูแล ควรที่จะส่งเสริมให้เด็กมีทักษะการเขียนที่ดี
อยู่เสมอ และเขียนถูกต้องตามหลักการเขียน เพื่อที่เด็กจะได้มีทักษะการเขียนตัวเลขที่ดียิ่งขึ้นตามลำดับ
และยงั เป็นพ้ืนฐานของการเรียนรตู้ ่อไป
ขอ้ เสนอแนะในการทำวจิ ัยครง้ั ตอ่ ไป
ในการศึกษาการทำวิจัยครั้งต่อไป ผู้วิจัยเสนอว่าควรจัดกิจกรรมพัฒนาเด็กปฐมวัยในด้านอื่น ๆ อีก
นอกเหนือจากการพัฒนาทักษะการเขียนตัวเลข 1-10 เพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาในทุกด้าน เด็กปฐมวัยจะได้
เกิดการเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองไม่สามารถปฏิบัติได้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากบุคคลอื่น และพัฒนาตนเองได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ
41
บรรณานกุ รม
กรรณิการ์ พวงเกษม. (2554). การสอนเขียนเรอื่ งโดยใชจ้ นิ ตนาการทางสรา้ งสรรค์ในระดับประถมศึกษา.
กรงุ เทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานชิ .
กมลรัตน์ กมลสุทธิ. (2555). ทกั ษะพน้ื ฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยท่ีไดร้ ับการจัดประสบการณต์ ามม
แนวมอนเตสซอร่ี (รายงานผลการวิจยั ). กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ.
เกียรติวรรณ อมาตยกลุ . (2559). เรื่องความสาํ คัญของความสามารถในการใชกลามเน้ือมัดเลก็ . กรุงเทพฯ:
ทพี ี พริ้นท์
ขวญั หทัย สมจติ ต์. (2557). การใช้กิจกรรมเกมการศึกษาเพื่อพฒั นาทักษะคณติ ศาสตร์การบอกค่าจำนวน 1-5
ของเดก็ นกั เรยี นชนั้ อนุบาล 1 (รายงานผลการวจิ ยั ). กำแพงเพชร: โรงเรยี นบา้ นหนองแม่แตง
(ธรรมศาสตร์อาสา)
ธดิ ารตั น์ กลน่ิ อำนวย. (2556). การพัฒนาทกั ษะดา้ นการเขียนของเด็กปฐมวัยโดยใชส้ ่อื ตามแนวคิดการสอน
แบบมอนเตสซอรี ช้นั อนุบาลปที ี่ 2 โรงเรียนอนบุ าลเวยี งชยั สำนกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษา
เชียงราย เขต 1 (รายงานผลการวิจยั ). เชยี งราย: สำนกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาเชยี งราย
เขต 1
นติ ยา ประพฤตกิ ิจ. (2558). การพัฒนาเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ: โอ.เอส.พรนิ้ ตง้ิ เฮ้าส์
บุษยมาศ ผ้งึ หลวง. (2555). การส่งเสริมทักษะพ้นื ฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวยั โดยผู้ปกครองผา่ นชุด
กิจกรรม "สนุกกบั ลกู รัก" กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต
ประจักษ์ อเนกฤทธม์ิ งคล. (2560). การพฒั นาความสามารถการคิดวเิ คราะห์พนื้ ฐานทางคณติ ศาสตร์ของเดก็
ระดบั ปฐมวยั โดยใชช้ ุดกจิ กรรม (รายงานผลการวจิ ยั ). กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ธุรกิจบณั ฑติ ย.์
พัฒน์นรี จนั ทราภริ มย์. (2562). การพัฒนาทักษะการเขียนของเด็กปฐมวยั โดยการใช้สื่อการสอนชุดฝึกลีลามือ
(รายงานผลการวจิ ยั ). ปทมุ ธานี: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบรุ ี
รวิพร ผาด่าน. (2557). ความสามารถในการใชก้ ลา้ มเน้ือมัดเล็กของเด็กปฐมวัยทีไ่ ดร้ บั การจดั กจิ กรรมศลิ ปะ
สรา้ งสรรค์การฉกี ตัด ปะเศษวัสด.ุ ประเทศไทย (รายงานผลการวจิ ัย). กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั
ศรีนครนิ ทรวิโรฒ.
ราศี ทองสวัสด.์ิ (2556) . “การจัดประสบการณเ์ พ่ือฝกึ ทักษะทางภาษาแกเ่ ด็กปฐมวัย” ในเอกสารการสอน
ชดุ วิชาการสรา้ งเสรมิ ประสบการณช์ วี ติ ระดับปฐมวัยศกึ ษา. พิมพ์คร้ังที่ 3
รชั นก ศรีชบา (2560). การพัฒนาทักษะคณิตศาสตร์การรู้ค่าจำนวน 1-10 ของเด็กปฐมวัยโดยใช้นทิ าของศนู ย์
พฒั นาเด็กเลก็ โรงเรียนสัตตปทมุ บำรงุ (รายงานผลการวจิ ยั ). กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ิต
วรรณี โสมประยรู . (2553). เทคนิคการสอนภาษาไทย. กรุงเทพฯ : ดอกหญาวชิ าการ
วารุณี เพ่ิมศร.ี (2559). การส่งเสรมิ ทักษะการเขียนโดยการวาดภาพจากสือ่ ของจริงของเดก็ อนุบาล 1/1
โรงเรียนเทศบาล 1 วดั ศรเี มอื ง อำเภอเมอื ง จงั หวัดนครนายก (รายงานผลการวิจยั ). กรงุ เทพฯ:
มหาวิทยาลัยสวนดสุ ติ
ศิราณี จนั ทร์บุตร. (2562). การพัฒนาทักษะทางคณติ ศาสตรข์ องเด็กปฐมวยั ผ่านการเล่นโดยใช้ชุดสือ่ กจิ กรรม
“คณติ คดิ ส์” (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ.
(2560). หลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั พุทธศกั ราช 2560. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตร
แหง่ ประเทศไทย
42
หรรษา นิลวเิ ชยี ร. (2557). “การสอนเขยี นแก่เด็กปฐมวยั ” กรงุ เทพฯ: สารพฒั นา หลักสตู ร.
อไุ รวรรณ มาตมุงคุณ. (2554). พัฒนาการดา้ นการเขียนของเดก็ ปฐมวยั ที่ได้รับกิจกรรมศิลปะจากงานกระดาษ
(รายงานผลการวิจัย). กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ.