The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ชนิดา แก่นท้าว, 2022-02-28 03:03:29

แผนการจัดการเรียนรู้

แผนการจัดการเรียนรู้



คำนำ

แผนการจัดการเรียนรู้เล่มนี้ จัดทาข้ึนเพ่ือเป็นเอกสารคู่มือประกอบการจัดกิจกรรม
การเรยี นรู้ รหสั วิชา ว32222 รายวิชาวทิ ยาศาสตร์เพม่ิ เตมิ เคมี 4 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ประกอบดว้ ย 2 หน่วย
การเรียนรู้ ได้แก่

- หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 10 เรอื่ ง กรด-เบส
- หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 11 เรือ่ ง เคมไี ฟฟ้า
ประจาภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช
2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) โดยจัดกิจกรรมการเรียนรทู้ ีเ่ นน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคัญ จานวน 23 แผน ในแตล่ ะ
แผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด สาระสาคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระ
การเรียนรู้ กจิ กรรมการจัดการเรยี นรู้ที่หลากหลาย ส่ือและแหล่งการเรยี นรู้ และการวดั และประเมนิ ผล และ
บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้
แผนการจัดการเรียนรู้เล่มนี้สามารถนาไปใช้เป็นแนวทางสาหรับครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาหรับวางแผนการจัดการเรียนรู้ การเตรียมการสอน และการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และยังช่วยยกระดับมาตรฐานด้านวิชาการให้สูงขึ้นอีก
ด้วย ผจู้ ดั ทาหวังเปน็ อยา่ งย่ิงวา่ แผนการจัดการเรียนร้เู ล่มนีจ้ ะเป็นประโยชนต์ ่อการเรียนการสอนอยา่ งแท้จรงิ
ขอขอบคุณผู้อานวยการโรงเรียน รองผู้อานวยการโรงเรียน และคณะครูกลุ่มสาระ
การเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนเตรยี มอดุ มศกึ ษาพฒั นาการ อุดรธานี ทกุ ทา่ นทีใ่ หค้ วามสะดวก
สนับสนุน และให้กาลังใจในการจดั ทาแผนการจัดการเรยี นรู้มาโดยตลอด

ชนิดา แก่นท้าว

สำรบญั ข

คำนำ หน้า
สำรบญั ก
บทนำ ข
คำอธบิ ำยรำยวชิ ำเพมิ่ เตมิ 1
โครงสร้ำงรำยวชิ ำ 15
กำหนดกำรสอน 16
แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ 18
25
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 10 กรด-เบส 26
หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 11 เคมีไฟฟา้ 124
เอกสำรอำ้ งอิง 224

1

หลักสูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำขนั้ พน้ื ฐำน พ.ศ. 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
กลมุ่ สำระกำรเรยี นรู้วทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ได้กล่าวถึง
ความสาคญั ของกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี วิสยั ทศั นก์ ารเรียนรู้คุณภาพผเู้ รียนสาระการ
เรียนรูม้ าตรฐานการเรยี นรู้ตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลางไวด้ ังน้ี

1. ควำมสำคญั ของกลุ่มสำระกำรเรยี นรวู้ ทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ตัวช้วี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 นี้ ได้กาหนดสาระการเรยี นรู้ออกเป็น 4 สาระ
ได้แก่ สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ
และสาระท่ี 4 เทคโนโลยี มีสาระเพ่ิมเตมิ 4 สาระ ไดแ้ ก่ สาระชีววทิ ยา สาระเคมี สาระฟิสกิ ส์ สาระโลก ดารา
ศาสตร์ และอวกาศ ซง่ึ องคป์ ระกอบของหลักสูตร ทง้ั ในดา้ นของเนื้อหา การจดั การเรยี นการสอน และการวัด
และประเมินผลการเรียนรู้น้นั มีความสาคญั อยา่ งย่งิ ในการวางรากฐานการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ของผ้เู รียนในแต่
ละระดับช้ัน ให้มี ความต่อเนื่องเช่ือมโยงกัน ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สาหรับ
กลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้กาหนดตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ท่ีผู้เรียนจาเป็นต้องเรียน
เป็นพ้ืนฐาน เพ่ือให้สามารถนาความรู้นี้ไปใช้ในการดารงชีวิตหรือศึกษาต่อในวิชาชีพท่ีต้องใช้วิทยาศาสตร์ได้
โดยจัดเรียงลาดับความยากง่ายของเนื้อหาแต่ละสาระในแต่ละระดับชั้นให้มีการเช่ือมโยงความรู้กับ
กระบวนการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนรทู้ ี่ส่งเสรมิ ให้ผู้เรยี นพฒั นาความคดิ ท้ังความคดิ เปน็ เหตเุ ป็น
ผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่สาคัญทั้งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะใน
ศตวรรษท่ี 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรดู้ ้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่าง
เปน็ ระบบ สามารถตดั สนิ ใจ โดยใช้ขอ้ มูลหลากหลายและประจกั ษ์พยานที่ตรวจสอบได้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตระหนักถึงความสาคัญของการ
จัดการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ท่ีมุ่งหวังใหเ้ กิดผลสมั ฤทธิ์ต่อผเู้ รียนมากทส่ี ุด จงึ ได้จดั ทาตวั ชว้ี ัดและสาระการเรียนรู้
แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ัน
พื้นฐานพทุ ธศักราช 2551 ข้นึ เพ่ือให้สถานศกึ ษา ครูผูส้ อน ตลอดจนหนว่ ยงานต่าง ๆ ไดใ้ ชเ้ ปน็ แนวทางในการ
พัฒนาหนังสือเรยี น คู่มือครู สื่อประกอบการเรียน การสอน ตลอดจนการวัดและประเมินผล โดยตัวช้ีวัดและ
สาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ท่ีจัดทาขึ้นน้ีได้ปรับปรุง เพ่ือให้มีความสอดคล้องและ
เช่ือมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้เดียวกันและระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ตลอดจนการเช่ือมโยงเน้ือหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย นอกจากน้ียังได้ปรับปรุงเพื่อให้มี
ความทันสมัยต่อการเปล่ียนแปลง และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่าง ๆ และทัดเทียมกับนานาชาติ
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ สรุปเป็นแผนภาพได้ ดงั น้ี

2

2. วสิ ยั ทศั น์กำรเรียนรู้

ในการเรยี นการสอนวิทยาศาสตรม์ ุ่งเนน้ ให้ผู้เรยี นไดค้ ้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุด เพ่อื ให้ได้ทั้ง
กระบวนการและความรู้ จากวิธีการสังเกต การสารวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนาผลท่ีได้มาจัดระบบเป็น
หลกั การ แนวคิด และองคค์ วามรู้

การจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตรจ์ งึ มเี ป้าหมายที่สาคัญ ดังนี้
1. เพื่อให้เขา้ ใจหลกั การ ทฤษฎี และกฎทีเ่ ปน็ พื้นฐานในวิชาวิทยาศาสตร์
2. เพ่ือให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และข้อจากัดในการศึกษาวิชา
วิทยาศาสตร์
3. เพอ่ื ให้มที ักษะท่ีสาคัญในการศกึ ษาค้นควา้ และคิดค้นทางเทคโนโลยี
4. เพ่ือให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์และ
สภาพแวดลอ้ มในเชงิ ที่มอี ิทธพิ ลและผลกระทบซึ่งกันและกัน
5. เพื่อนาความรู้ ความเข้าใจ ในวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม
และการดารงชีวิต

3

6. เพ่ือพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา และการจัดการ
ทกั ษะในการสื่อสาร และความสามารถในการตัดสินใจ

7. เพื่อให้เป็นผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้ วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยอี ย่างสร้างสรรค์

3. สำระและมำตรฐำนกำรเรียนร้หู ลกั สูตรกำรศกึ ษำขั้นพ้นื ฐำน พุทธศกั รำช 2551 (ฉบบั
ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)

สำระที่ 1 วทิ ยำศำสตร์ชวี ภำพ
มำตรฐำน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงไม่มีชีวิต กับ
ส่ิงมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การ
เปลี่ยนแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบท่ีมีต่อทรัพยากรธรรมชาติ
และส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละการแกไ้ ขปญั หาสงิ่ แวดล้อม รวมท้ังนาความรู้
ไปใช้ประโยชน์
มำตรฐำน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารเข้า และ
ออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสรา้ ง และหนา้ ทข่ี องระบบต่าง ๆ ของสตั ว์และมนษุ ยท์ ่ที างานสัมพันธ์กัน
ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทางานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์
มำตรฐำน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม สาร
พันธกุ รรม การเปล่ียนแปลงทางพนั ธุกรรมที่มผี ลต่อสิง่ มชี ีวติ ความหลากหลายทางชวี ภาพและวิวัฒนาการของ
สิง่ มีชวี ติ รวมทัง้ นาความร้ไู ปใช้ประโยชน์

สำระท่ี 2 วทิ ยำศำสตรก์ ำยภำพ
มำตรฐำน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ
สสารกบั โครงสรา้ งและแรงยดึ เหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาตขิ องการเปลีย่ นแปลงสถานะของสสาร
การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี
มำตรฐำน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงที่กระทาต่อวัตถุ ลักษณะ
การเคลอ่ื นที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมท้งั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
มำตรฐำน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏิสัมพันธ์ระหวา่ งสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้อง
กับเสยี ง แสง และคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า รวมทง้ั นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

สำระที่ 3 วิทยำศำสตรโ์ ลก และอวกำศ
มำตรฐำน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ
กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะท่ีส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ
ประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ
มำตรฐำน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง
ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณพี บิ ตั ิภยั กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟา้ อากาศและภูมอิ ากาศโลก รวมท้ังผล
ต่อสิง่ มีชวี ิตและส่ิงแวดลอ้ ม

4

สำระที่ 4 เทคโนโลยี
มำตรฐำน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวิตในสังคมที่มีการเปล่ียนแปลง
อยา่ งรวดเรว็ ใชค้ วามร้แู ละทกั ษะทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตรแ์ ละศาสตร์อ่ืนๆ เพ่อื แก้ปญั หาหรอื พัฒนา
งานอย่างมคี วามคิดสร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลอื กใช้เทคโนโลยอี ย่างเหมาะสม โดย
คานึงถึงผลกระทบตอ่ ชวี ติ สงั คม และสิง่ แวดล้อม
มำตรฐำน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคดิ เชิงคานวณในการแกป้ ญั หาทีพ่ บในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน
และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรยี นรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อยา่ งมี
ประสทิ ธภิ าพ รู้เท่าทนั และมีจรยิ ธรรม

สำระวิทยำศำสตรเ์ พิ่มเติม
สำระชีววทิ ยำ
๑. เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ สารท่ีเป็น
องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมชี ีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหนา้ ที่ของเซลล์
การลาเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์ การแบง่ เซลล์ และการหายใจระดบั เซลล์
๒. เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติและหน้าท่ีของ
สารพันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐานข้อมูลและแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ
สิง่ มีชีวิต ภาวะสมดลุ ของฮารด์ ี-ไวน์เบิร์ก การเกดิ สปีชีส์ใหม่ ความหลากหลายทางชวี ภาพ กาเนิดของสิง่ มชี ีวิต
ความหลากหลายของส่งิ มีชวี ิต และอนุกรมวิธาน รวมท้ังนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
๓. เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้าของพืช การลาเลียงของพืช การ
สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง การสืบพันธุข์ องพืชดอกและการเจรญิ เติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทง้ั นาความรู้
ไปใช้ประโยชน์
๔. เข้าใจการยอ่ ยอาหารของสตั ว์และมนุษย์ รวมทงั้ การหายใจและการแลกเปลีย่ นแกส๊ การลาเลยี ง
สารและการหมุนเวียนเลือด ภมู คิ ุม้ กันของรา่ งกาย การขับถา่ ย การรับร้แู ละการตอบสนอง การเคลื่อนท่ี การ
สืบพันธ์ุและการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์ รวมท้ังนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์
๕. เข้าใจแนวคิดเก่ยี วกบั ระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลงั งานและการหมุนเวียน สารในระบบ
นิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนท่ีของส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศ ประชากรและรูปแบบ
การเพ่ิมของประชากร ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม ปัญหา และ ผลกระทบท่ีเกิดจากการใชป้ ระโยชน์
และแนวทางการแกไ้ ขปัญหา

สำระเคมี
๑. เขา้ ใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตใุ นตารางธาตุ สมบตั ิของธาตุ พันธะเคมี และสมบตั ิของ
สาร แก๊สและสมบตั ิของแก๊ส ประเภทและสมบตั ิของสารประกอบอินทรีย์ และพอลิเมอร์ รวมท้งั การนาความรู้
ไปใชป้ ระโยชน์
๒. เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิด ปฏิกิริยา
เคมี สมดุลในปฏิกิรยิ าเคมี สมบัตแิ ละปฏิกิรยิ าของกรด-เบส ปฏกิ ิรยิ ารดี อกซแ์ ละเซลล์เคมี ไฟฟา้ รวมทั้งการ
นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

5

๓. เขา้ ใจหลกั การทาปฏบิ ัติการเคมี การวดั ปริมาณสาร หน่วยวัดและการเปล่ียนหน่วย การคานวณ
ปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความรู้และทักษะ ในการอธิบาย
ปรากฏการณใ์ นชวี ติ ประจาวันและการแก้ปัญหาทางเคมี

สำระฟสิ กิ ส์
๑. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคล่ือนท่ีแนวตรงแรงและกฎการ
เคล่ือนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทาน สมดุลกลของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์พลังงาน
กล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษโ์ มเมนตัม การเคลื่อนทแี่ นวโคง้ รวมท้ังนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
๒. เข้าใจการเคลื่อนท่ีแบบฮาร์มอนิกส์อย่างง่าย ธรรมชาติของคล่ืน เสียงและการได้ยิน
ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับแสง รวมทั้งนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์
๓. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า ความจุไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และกฎ
ของโอหม์ วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงานไฟฟ้าและกาลงั ไฟฟา้ การเปล่ียนพลังงานทดแทน เปน็ พลังงานไฟฟา้
สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กท่ีกระทากับประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า การเหน่ียวนาแม่เหล็กไฟฟ้า และกฎ
ของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ และการสอ่ื สาร รวมท้ังนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
๔. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปล่ียนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยุ่น
ของวัสดุ และมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยุง และหลักของอาร์คิมีดีส ความตึงผิวและแรงหนืด
ของของเหลว ของไหลอุดมคติ และสมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ ของแก๊สอุดมคตแิ ละพลังงานใน
ระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะ ของคลื่นและอนุภาค กัมมันตภาพรังสี
แรงนวิ เคลยี ร์ ปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์ พลงั งานนิวเคลยี ร์ ฟสิ ิกส์ อนภุ าค รวมท้ังนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์

สำระโลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ
๑. เข้าใจกระบวนการเปล่ียนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติภัยและผลต่อสิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม
การศึกษาลาดบั ช้นั หิน ทรัพยากรธรณี แผนที่ และการนาไปใช้ประโยชน์
๒. เข้าใจสมดุลพลังงานของโลก การหมุนเวียนของอากาศบนโลก การหมุนเวียนของน้า ใน
มหาสมุทร การเกิดเมฆ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกและผลต่อส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมท้ัง การ
พยากรณ์อากาศ
๓. เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซีดาวฤกษ์
และระบบสุริยะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตร์กับมนุษย์จากการศึกษาตาแหน่งดาวบน ทรงกลมฟ้าและ
ปฏิสมั พนั ธ์ภายในระบบสุริยะ รวมท้งั การประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ

4. คุณภำพผู้เรยี น

จบชัน้ มัธยมศกึ ษำปที ี่ 6

❖ เข้าใจการลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ กลไกการรักษาดุลยภาพของมนุษย์ภูมิคุ้มกันใน
ร่างกายของมนุษย์และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน การใช้ประโยชน์จากสารต่าง ๆ ท่ีพืชสร้างข้ึน การ
ถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม การเปล่ียนแปลงทางพันธกุ รรม ววิ ฒั นาการที่ทาให้เกิดความหลากหลายของ
สง่ิ มชี ีวิต ความสาคญั และผลของเทคโนโลยีทางดเี อ็นเอต่อมนษุ ย์ สิ่งมชี ีวิต และสิ่งแวดล้อม

6

❖ เขา้ ใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ของโลก การเปล่ียนแปลง แทนที่ใน
ระบบนิเวศ ปัญหาและผลกระทบท่ีมีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติ และการแกไ้ ขปญั หาสิ่งแวดลอ้ ม

❖ เข้าใจชนิดของอนุภาคสาคัญท่ีเป็นส่วนประกอบในโครงสร้างอะตอม สมบัติบางประการของ
ธาตุ การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ ชนิดของแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคและสมบัติต่างๆ ของสารท่ีมี
ความสัมพันธก์ ับแรงยึดเหนี่ยว พันธะเคมี โครงสร้างและสมบัติของพอลิเมอร์ การเกิดปฏิกริ ิยาเคมี ปัจจัยที่มี
ผลตอ่ อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี และการเขียนสมการเคมี

❖ เข้าใจปริมาณท่ีเก่ียวกับการเคล่ือนที่ ความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวลและความเร่ง ผลของ
ความเร่งที่มีต่อการเคล่ือนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ ระหว่าง
สนามแม่เหล็กและกระแสไฟฟ้า และแรงภายในนวิ เคลยี ส

❖ เข้าใจพลังงานนิวเคลียร์ ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน การเปล่ียนพลังงานทดแทน
เป็นพลังงานไฟฟา้ เทคโนโลยีด้านพลังงาน การสะท้อน การหักเห การเล้ียวเบน และการรวมคล่ืน การไดย้ นิ
ปรากฏการณท์ ่ีเก่ยี วข้องกบั เสียง สกี บั การมองเหน็ สี คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าและประโยชน์ของคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้

❖ เข้าใจการแบง่ ชัน้ และสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรปู แบบการเคลือ่ นทขี่ องแผน่ ธรณีที่
สมั พันธก์ บั การเกิดลกั ษณะธรณีสณั ฐาน สาเหตุ กระบวนการเกดิ แผ่นดนิ ไหว ภูเขาไฟ ระเบดิ สนึ ามิ ผลกระทบ
แนวทางการเฝ้าระวัง และการปฏิบตั ติ นให้ปลอดภยั

❖ เข้าใจผลของแรงเน่ืองจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลิส ท่ีมีต่อการ
หมนุ เวียนของอากาศ การหมุนเวียนของอากาศตามเขตละตจิ ดู และผลที่มีต่อภมู อิ ากาศ ความสัมพนั ธข์ องการ
หมุนเวียนของอากาศ และการหมุนเวียนของกระแสนา้ ผิวหนา้ ในมหาสมุทร และผลต่อลักษณะลมฟ้าอากาศ
สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศโลก และแนวปฏิบัติเพื่อลด
กิจกรรมของมนุษย์ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก รวมท้ังการแปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้า
อากาศทีส่ าคญั จากแผนที่อากาศ และข้อมูลสารสนเทศ

❖ เข้าใจการกาเนิดและการเปล่ียนแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อุณหภูมิของ เอกภพ หลักฐานที่
สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซี โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก
กระบวนการเกดิ และการสรา้ งพลังงาน ปัจจยั ท่สี ่งผลต่อความสอ่ งสว่างของดาวฤกษ์และความสมั พนั ธ์ระหว่าง
ความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ ความสัมพันธ์ระหว่างสีอุณหภูมิผิว และสเปกตรัมของดาวฤกษ์
วิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์กระบวนการเกิดระบบสุริยะ การแบ่งเขต
บริวารของดวงอาทิตย์ ลักษณะของดาวเคราะห์ท่ีเอ้ือต่อการดารงชีวติ การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะและผลท่มี ี
ต่อโลก รวมทงั้ การสารวจอวกาศและการประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีอวกาศ

❖ ระบปุ ัญหา ต้ังคาถามท่ีจะสารวจตรวจสอบ โดยมีการกาหนดความสมั พนั ธ์ระหว่างตัวแปรต่าง
ๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ต้ังสมมติฐานท่ีเป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือก ตรวจสอบสมมติฐานที่
เป็นไปได้

❖ ต้ังคาถามหรือกาหนดปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทาง วิทยาศาสตร์ ที่
แสดงให้เห็นถึงการใช้ความคิดระดับสูงท่ีสามารถสารวจตรวจสอบหรือศึกษาค้นคว้า ได้อย่างครอบคลุมและ
เช่ือถือได้ สร้างสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับหรือคาดการณ์ส่ิงท่ีจะพบ เพื่อนา ไปสู่การสารวจตรวจสอบ
ออกแบบวิธีการสารวจตรวจสอบตามสมมติฐานที่กาหนดไว้ได้อย่างเหมาะสม มีหลักฐานเชิงประจักษ์ เลือก

7

วัสดุ อุปกรณ์ รวมทงั้ วธิ ีการในการสารวจตรวจสอบอย่างถูกตอ้ ง ท้ังในเชงิ ปรมิ าณและคุณภาพ และบันทึกผล
การสารวจตรวจสอบอยา่ งเปน็ ระบบ

❖ วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล และประเมินความสอดคล้องของข้อสรุปเพื่อตรวจสอบกับ
สมมตฐิ านท่ตี ั้งไว้ ใหข้ ้อเสนอแนะเพือ่ ปรบั ปรุงวิธีการสารวจตรวจสอบ จดั กระทาข้อมูลและนาเสนอขอ้ มูลด้วย
เทคนิควิธีท่ีเหมาะสม ส่ือสารแนวคิด ความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบ โดยการพูด เขียน จัดแสดงหรือใช้
เทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ ใหผ้ ูอ้ นื่ เข้าใจโดยมหี ลกั ฐานอ้างองิ หรือมีทฤษฎีรองรบั

❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในการสืบเสาะหาความรู้โดยใช้
เคร่ืองมือและวิธีการท่ีให้ได้ผลถูกต้อง เช่ือถือได้ มีเหตุผลและยอมรับได้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจมีการ
เปลี่ยนแปลงได้

❖ แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้ พบคาตอบ หรือแก้ปัญหาได้ ทางาน
ร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผลประกอบ เก่ียวกับผลของการ
พัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม และยอมรับฟังความ
คิดเห็นของผอู้ ื่น

❖ เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภทต่างๆ และ
การพฒั นาเทคโนโลยีที่ส่งผลใหม้ กี ารคิดคน้ ความรทู้ างวทิ ยาศาสตรท์ ี่ก้าวหนา้ ผลของเทคโนโลยตี อ่ ชวี ิต สังคม
และสง่ิ แวดลอ้ ม

❖ ตระหนักถึงความสาคัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีใช้ใน
ชีวิตประจาวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชีวิตและการประกอบ
อาชีพ แสดงความช่ืนชม ภูมิใจ ยกยอ่ ง อา้ งองิ ผลงาน ชิ้นงานทีเ่ ปน็ ผลมาจากภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ และการพฒั นา
เทคโนโลยีทท่ี ันสมัย ศึกษาหาความรเู้ พมิ่ เตมิ ทาโครงงานหรอื สรา้ งช้ินงานตามความสนใจ

❖ แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ
ส่ิงแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแล ทรัพยากรธรรมชาติและ
สง่ิ แวดล้อมของท้องถ่นิ

❖ วเิ คราะห์แนวคิดหลกั ของเทคโนโลยี ไดแ้ ก่ ระบบทางเทคโนโลยีทซ่ี ับซ้อนการเปลยี่ นแปลงของ
เทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหวา่ งเทคโนโลยีกับศาสตรอ์ ื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ วิเคราะห์
เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพ่ือเลือกใช้เทคโนโลยีโดยคานึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และ
ส่ิงแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ ทรัพยากรเพ่ือออกแบบสร้างหรือพัฒนาผลงาน สาหรับแก้ปัญหาที่มี
ผลกระทบต่อสังคม โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการออกแบบและนาเสนอ
ผลงาน เลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมอื ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภัย รวมท้ังคานึงถงึ ทรพั ยส์ ินทาง
ปญั ญา

❖ ใช้ความรู้ทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ ส่ือดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อ
รวบรวมข้อมูลในชีวิตจริงจากแหล่งต่าง ๆ และความรู้จากศาสตร์อ่ืน มาประยุกต์ใช้ สร้างความรู้ใหม่ เข้าใจ
การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีท่ีมีผลต่อการดาเนินชีวิต อาชีพ สังคม วัฒนธรรม และใช้อย่างปลอดภัย มี
จรยิ ธรรม

8

ผูเ้ รียนทเ่ี รียนครบทกุ ผลกำรเรียนรู้ มีคณุ ภำพดงั น้ี

❖ เข้าใจวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นหาคาตอบเก่ียวกับสิ่งมีชีวิต สารที่เป็น องค์ประกอบ
ของสิ่งมีชวี ิต และปฏิกริ ยิ าเคมีภายในเซลล์ การใช้กลอ้ งจลุ ทรรศน์ โครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของเซลล์ การลาเลียง
สารเขา้ และออกจากเซลล์ การแบ่งเซลล์ และการหายใจระดับเซลล์

❖ เข้าใจหลักการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมของส่ิงมชี ีวิต การถ่ายทอดยีนบนออโตโซมและ
โครโมโซมเพศ โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ การจาลองดีเอ็นเอ กระบวนการสังเคราะห์
โปรตีน การเกิดมิวเทชันในส่ิงมีชวี ิต หลักการและการประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยี ทางดีเอน็ เอ หลกั ฐานและข้อมูลท่ี
ใชใ้ นการศกึ ษาวิวัฒนาการของสงิ่ มีชีวิต แนวคิดเก่ียวกับ ววิ ฒั นาการของส่งิ มชี วี ิต เงอื่ นไขของภาวะสมดุลของ
ฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก กระบวนการเกิดสปีชีส์ใหม่ของส่ิงมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ กาเนิดของส่ิงมีชีวิต
ลกั ษณะสาคญั ของสงิ่ มชี วี ติ กลุ่มแบคทีเรยี โพรทสิ ต์ พืช ฟังไจ และสตั ว์ การจาแนกส่งิ มชี วี ิตออกเป็นหมวดหมู่
และวิธีการเขียน ชอื่ วทิ ยาศาสตร์

❖ เข้าใจโครงสร้างและส่วนประกอบของพืชท้ังราก ลาต้น และใบ การแลกเปล่ียนแก๊ส การคาย
น้า การลาเลียงนา้ และธาตอุ าหาร การลาเลียงอาหาร การสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืช กระบวนการสรา้ งเซลล์
สืบพันธ์ุและการปฏิสนธิของพืชดอก การเกิดผลและเมล็ด บทบาทของสาร ควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
และการประยุกตใ์ ช้ และการตอบสนองของพชื

❖ เขา้ ใจกลไกการรกั ษาดุลยภาพของสง่ิ มีชีวิต โครงสร้าง หนา้ ท่ี และกระบวนการตา่ ง ๆ ของสัตว์
และมนุษย์ ได้แก่ การย่อยอาหาร การแลกเปลี่ยนแก๊ส การเคล่ือนที่ การกาจัดของเสียออกจากร่างกายของ
ส่ิงมชี วี ิต ระบบหมนุ เวียนเลอื ด ระบบภมู คิ ุม้ กันในรา่ งกายของมนษุ ย์ การทางานของระบบประสาทและอวัยวะ
รบั ความร้สู ึก ระบบสืบพันธ์ุ การปฏิสนธิ การเจรญิ เติบโต ฮอร์โมนและพฤตกิ รรมของสัตว์

❖ เข้าใจกระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียนสารในระบบนิเวศ ความหลากหลาย
ของไบโอม การเปล่ียนแปลงแทนท่ีแบบต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การเปล่ียนแปลง จานวนประชากรมนุษย์ใน
ระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับโลก แนวทางการป้องกันและแก้ไข ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและ
สง่ิ แวดลอ้ ม

❖ เขา้ ใจการศกึ ษาโครงสร้างอะตอมของนักวิทยาศาสตร์ การจัดเรยี งอิเล็กตรอนในอะตอม สมบัติ
บางประการของธาตุและการจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ พันธะเคมี สมบัติของสารที่มี ความสัมพันธ์กับพันธะ
เคมี กฎต่าง ๆ ของแก๊ส และสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของ สารประกอบอินทรีย์ และประเภทและ
สมบัติของพอลเิ มอร์

❖ เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี การคานวณปริมาณสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยา
เคมี อัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมแี ละปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี สมดลุ ในปฏิกิรยิ าเคมีและปัจจัย
ท่ีมีผลต่อสมดุลเคมี ทฤษฎีกรด-เบส สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส สารละลายบัฟเฟอร์ ปฏิกิริยารีดอกซ์
และเซลล์เคมไี ฟฟา้

❖ เข้าใจข้อปฏิบัติเบื้องต้นเก่ียวกับความปลอดภัยในการทาปฏิบัติการเคมี การเลือกใช้อุปกรณ์
หรือเครื่องมือในการทาปฏิบัติการ หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วยวัดด้วยการใช้แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย การ
คานวณเกี่ยวกับมวลอะตอม มวลโมเลกุล และมวลสูตร ความสัมพันธ์ของโมล จานวนอนุภาค มวล และ
ปรมิ าตรของแกส๊ ที่ STP การคานวณสูตรอย่างงา่ ยและสตู ร โมเลกลุ ของสาร ความเขม้ ข้นของสารละลาย การ
เตรียมสารละลาย และการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบายปรากฏการณ์ในชีวิตประจาวันและการ
แกป้ ัญหาทางเคมี

9

❖ เข้าใจธรรมชาติของฟิสิกส์ กระบวนการวัด ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณที่เก่ียวข้อง กับการ
เคลอื่ นที่ การเคล่อื นทใี่ นแนวตรง แรงลพั ธ์ กฎการเคลื่อนท่ี แรงเสยี ดทาน กฎความโน้มถ่วง สากล สนามโน้ม
ถ่วง งาน กฎการอนุรักษ์พลังงานกล สมดุลกลของวัตถุ เครื่องกลอย่างง่าย โมเมนตัมและการดล กฎการ
อนรุ กั ษ์โมเมนตัม การชน และการเคล่อื นท่ีในแนวโค้ง

❖ เข้าใจการเคลื่อนท่ีแบบคล่ืน ปรากฏการณ์คลื่น การสะท้อน การหักเห การเล้ียวเบนและการ
แทรกสอด หลักการของฮอยเกนส์ การเคล่ือนที่ของคลืน่ เสยี ง ปรากฏการณ์ทีเ่ กยี่ วข้องกับเสยี ง ความเขม้ เสียง
และระดบั เสยี ง การไดย้ นิ ภาพที่เกิดจากกระจกเงาและเลนส์ ปรากฏการณท์ เี่ ก่ียวขอ้ งกบั แสงและการมองเห็น
แสงสี

❖ เขา้ ใจสนามไฟฟ้า แรงไฟฟา้ กฎของคูลอมบ์ ศักยไ์ ฟฟา้ ตัวเก็บประจุ ตวั ต้านทาน และกฎของ
โอห์ม พลังงานไฟฟ้า การเปล่ียนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงาน สนามแม่เหล็ก
ความสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กกับกระแสไฟฟ้า การเหน่ียวนาแม่เหล็กไฟฟ้า ไฟฟ้ากระแสสลับ คล่ืน
แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า และประโยชน์ของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้

❖ เข้าใจผลของความร้อนต่อสสาร สภาพยืดหยุ่น ความดันในของไหล แรงพยุงของไหลอุดมคติ
ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส แนวคิดควอนตัมของพลังงาน ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์ โฟโตอิเล็กทริก ทวิ
ภาวะของคล่ืนและอนุภาค การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี กัมมันตภาพ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงาน
นวิ เคลยี ร์ ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลงั งาน แรงภายในนิวเคลยี ส และการคน้ คว้าวิจยั ด้านฟิสิกส์อนุภาค

❖ เขา้ ใจการแบง่ ชัน้ และสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรปู แบบการเคลือ่ นทีข่ องแผ่นธรณีที่
สมั พันธก์ ับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐานและธรณีโครงสร้างแบบตา่ ง ๆ หลกั ฐานทางธรณวี ทิ ยาท่พี บในปัจจุบัน
และการลาดับเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาในอดีต สาเหตุ กระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ
ผลกระทบ แนวทางการเฝ้าระวัง และการปฏิบัติตนให้ปลอดภัย สมบัติและการจาแนกชนิดของแร่
กระบวนการเกิดและการจาแนกชนิดหิน กระบวนการเกิดและการสารวจแหล่งปิโตรเลียมและถ่านหิน การ
แปลความหมายจากแผนท่ภี มู ิประเทศและแผนที่ ธรณวี ิทยา และการนาข้อมูลทางธรณวี ทิ ยาไปใชป้ ระโยชน์

❖ เข้าใจปัจจัยสาคญั ที่มีผลตอ่ การรบั และปลดปล่อยพลงั งานจากดวงอาทติ ย์ กระบวนการที่ทาให้
เกิดสมดุลพลังงานของโลก ผลของแรงเนื่องจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลิส แรงสู่
ศนู ยก์ ลางและแรงเสียดทานทมี่ ีตอ่ การหมนุ เวียนของอากาศการหมุนเวยี น ของอากาศตามเขตละตจิ ูด และผล
ทม่ี ตี ่อภมู ิอากาศปจั จัยทท่ี าใหเ้ กิดการแบ่งชั้นนา้ และการหมนุ เวยี น ของนา้ ในมหาสมทุ ร รูปแบบการหมนุ เวียน
ของน้าในมหาสมุทร และผลของการหมุนเวยี นของน้าในมหาสมุทรท่ีมีต่อลักษณะลมฟ้าอากาศ สิ่งมีชีวิตและ
สิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างเสถียรภาพ อากาศและการเกิดเมฆ การเกิดแนวปะทะอากาศแบบต่าง ๆ
และลักษณะลมฟ้าอากาศท่ีเกี่ยวข้อง ปัจจัยต่าง ๆ ท่ีมีผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศของโลก รวมท้ังการ
แปลความหมายสัญลักษณ์ ลมฟ้าอากาศ และการพยากรณ์ลักษณะลมฟ้าอากาศเบื้องต้น จากแผนท่ีอากาศ
และข้อมลู สารสนเทศ

❖ เข้าใจการกาเนิดและการเปล่ียนแปลงพลังงาน สสาร ขนาดอุณหภูมิของเอกภพ หลักฐานท่ี
สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซี โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซี ทางช้างเผือก
กระบวนการเกิดดาวฤกษ์ และการสร้างพลังงานของดาวฤกษ์ ปัจจัยที่ส่งผลต่อ ความส่องสว่างของดาวฤกษ์
และความสัมพันธ์ระหว่างความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ ความสัมพันธ์ระหว่างสี อุณหภูมิผิว และ
สเปกตรัมของดาวฤกษ์ วิธีการหาระยะทางของดาวฤกษ์ด้วยหลักการแพรัลแลกซ์ วิวัฒนาการและการ
เปลย่ี นแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์ กระบวนการเกดิ ระบบสรุ ิยะ การแบง่ เขตบริวารของดวงอาทิตย์

10

ลักษณะของดาวเคราะหท์ ่ีเอ้ือต่อการดารงชีวิต การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตยด์ ว้ ยกฎเคพเลอร์ และ
กฎความโนม้ ถว่ งของนิวตัน โครงสร้างของดวงอาทิตย์ การเกดิ ลมสุรยิ ะ พายสุ รุ ยิ ะและผลท่มี ีต่อโลก การระบุ
พิกัดของดาวในระบบขอบฟ้าและระบบศูนย์สูตร เส้นทางการข้นึ การตกของดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ เวลาสุริ
ยคติ และการเปรียบเทียบเวลาของแต่ละเขตเวลาบนโลก การสารวจอวกาศและการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยี
อวกาศ

❖ ระบปุ ัญหา ตั้งคาถามที่จะสารวจตรวจสอบ โดยมีการกาหนดความสมั พันธ์ระหวา่ งตวั แปรต่าง
ๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ตั้งสมมติฐานท่ีเป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือก ตรวจสอบสมมติฐานท่ี
เป็นไปได้

❖ ตั้งคาถามหรือกาหนดปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทาง วิทยาศาสตร์ ที่
แสดงให้เห็นถึงการใช้ความคิดระดับสูงท่ีสามารถสารวจตรวจสอบหรือศึกษาค้นคว้าได้ อย่างครอบคลุมและ
เชื่อถือได้ สร้างสมมติฐานท่ีมีทฤษฎีรองรับหรือคาดการณ์สิ่งท่ีจะพบ เพื่อนาไปสู่ การสารวจตรวจสอบ
ออกแบบวธิ กี ารสารวจตรวจสอบตามสมมติฐานที่กาหนดไวไ้ ดอ้ ย่างเหมาะสมมหี ลักฐานเชงิ ประจักษ์ เลอื กวัสดุ
อุปกรณ์ รวมท้ังวิธีการในการสารวจตรวจสอบอย่างถูกต้อง ท้ังในเชิงปริมาณและคุณภาพ และบันทึกผลการ
สารวจตรวจสอบอยา่ งเป็นระบบ

❖ วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล และประเมินความสอดคล้องของข้อสรุป เพื่อตรวจสอบกับ
สมมติฐานท่ีตั้งไว้ ให้ข้อเสนอแนะเพ่ือปรับปรุงวิธีการสารวจตรวจสอบ จัดกระทา ข้อมูลและนาเสนอข้อมูล
ด้วยเทคนิควิธีที่เหมาะสม สื่อสารแนวคิด ความรู้ จากผลการสารวจ ตรวจสอบ โดยการพูด เขียน จัดแสดง
หรือใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ผอู้ ื่นเข้าใจ โดยมหี ลักฐาน อ้างอิงหรือมที ฤษฎรี องรบั

❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน รับผิดชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย์ ในการสืบเสาะหาความรู้โดยใช้
เครื่องมือ และวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้อง เช่ือถือได้ มีเหตุผลและยอมรับได้ว่าความรู้ทางวทิ ยาศาสตรอ์ าจมีการ
เปลี่ยนแปลงได้

❖ แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้ พบคาตอบ หรือแก้ปัญหาได้ ทางาน
ร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผลประกอบ เก่ียวกับผลของการ
พัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และยอมรับฟังความ
คดิ เห็นของผอู้ นื่

❖ เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ท่ีมีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภทต่างๆ และ
การพฒั นาเทคโนโลยีที่สง่ ผลให้มกี ารคิดคน้ ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า ผลของเทคโนโลยตี อ่ ชวี ิต สังคม
และสง่ิ แวดล้อม

❖ ตระหนักถึงความสาคัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีใช้ใน
ชีวิตประจาวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชีวติ และการประกอบ
อาชพี แสดงความชื่นชม ภมู ใิ จ ยกย่อง อา้ งองิ ผลงาน ช้ินงานที่เป็นผลมาจากภมู ิปัญญาท้องถิ่นและการพัฒนา
เทคโนโลยที ่ที ันสมัย ศกึ ษาหาความรู้เพิ่มเตมิ ทาโครงงานหรอื สรา้ งชิ้นงานตามความสนใจ

❖ แสดงความซาบซ้ึง ห่วงใย มีพฤติกรรมเก่ียวกับการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และ
ส่ิงแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแลทรัพยากร ธรรมชาติและ
สงิ่ แวดลอ้ มของทอ้ งถ่นิ

11

5. ตัวชว้ี ัดและสำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง ช้ันมัธยมศกึ ษำปีท่ี 5

ผลกำรเรียนรู้ สำระกำรเรยี นรู้เพิ่มเตมิ

1.ระบแุ ละอธิบายวา่ สารเป็นกรดหรอื  สารในชวี ติ ประจาวนั หลายชนดิ มีสมบตั ิเปน็ กรดหรือเบส ซ่ึง

เบส โดยใช้ทฤษฎกี รด-เบสของอาร์ พิจารณาได้โดยใช้ทฤษฎีกรด-เบสของอาร์เรเนียส เบรินส

เรเนยี สเบรนิ สเตด-ลาวรีและลิวอิส เตด-ลาวรีหรอื ลิวอสิ

 ตามทฤษฎีกรด-เบสของเบรินสเตด–ลาวรีเม่ือ กรดหรือเบส

ละลายน้าหรือทาปฏิกิริยากับสารอื่น จะมีการถ่ายโอน

2.ระบุคู่กรด-เบสของสารตามทฤษฎี โปรตอนระหว่างสารต้ังต้น ท่ีเป็นกรดและเบส เกิดเป็น

กรด-เบส ของเบรินสเตด-ลาวรี ผลิตภัณฑ์ซ่ึงเป็น โมเลกุลหรือไอออนที่เป็นคู่กรด-เบสของ

สารตั้งต้นน้ัน โดยสารที่เป็นคู่กรด-เบสกันจะมี โปรตอน

ตา่ งกัน ๑ โปรตอน

 กรดและเบสแต่ละชนดิ สามารถแตกตัวในนา้ ได้ แตกต่างกัน

กรดแก่หรอื เบสแกส่ ามารถแตกตัว เป็นไอออนในน้าไดเ้ กือบ

3.ค า น ว ณ แ ล ะ เ ป รี ย บ เ ที ย บ สมบูรณ์ส่วนกรดอ่อน หรือเบสอ่อนแตกตัวเป็นไอออนได้

ความสามารถ ในการแตกตัวหรือ น้อย โดยความสามารถในการแตกตัวหรือความแรง ของ

ความแรงของกรดและเบส กรดหรือเบสอาจพิจารณาได้จากค่าคงท่ี การแตกตัวของ

กรดหรือเบส หรือปริมาณ การแตกตัวเป็นร้อยละของกรด

หรอื เบส

 น้าบริสุทธิ์ท่ีอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียสแตกตัว ให้ไฮโดร

เนียมไอออนและไฮดรอกไซด์ไอออน ทีม่ คี วามเข้มขน้ เท่ากัน
คือ 1.0x10-7 โมลต่อลิตร โดยมีค่าคงที่การแตกตัวของน้า
เทา่ กบั 1.0 x 10-14
4.คานวณค่า pH ความเข้มข้นของ  เมื่อกรดหรือเบสแตกตัวในน้า ค่าความเป็นกรด-เบสของ
ไฮโดรเนียม ไอออนหรือไฮดรอก
สารละลายแสดงได้ด้วยค่า pH ซ่ึง สัมพันธ์กับความเข้มข้น
ไซด์ไอออนของ สารละลายกรดและ ของไฮโดรเนียมไอออน โดยสารละลายกรดมีความเข้มข้น
เบส ของไฮโดรเนยี ม ไอออนมากกวา่ 1.0 x 10-7โมลต่อลติ ร หรอื

มีคา่ pH น้อยกว่า 7 สว่ นสารละลายเบสมี ความเข้มข้นของ
ไฮโดรเนียมไอออนน้อยกว่า 1.0 x 10-7 โมลต่อลิตร หรือมี

คา่ pH มากกว่า 7

5. เ ขี ย น ส ม ก า ร เ ค มี แ ส ด ง ป ฏิ กิ ริ ย า  ปฏิกิริยาสะเทินระหว่างกรดแก่และเบสแก่ ให้สารละลายท่ี
เป็นกลาง ปฏิกิริยาสะเทิน ระหว่างกรดแก่และเบสอ่อน ให้
สะเทิน และ ระบุความเป็นกรด- สารละลาย ทีเ่ ป็นกรด สว่ นปฏกิ ริ ยิ าสะเทินระหวา่ งกรดอ่อน
เบสของสารละลาย หลังการสะเทนิ และเบสแก่ ใหส้ ารละลายท่ีเปน็ เบส
6.เขียนปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสของเกลือ
 เกลือท่ีได้จากการสะเทินของกรดแก่ด้วยเบสอ่อน เมื่อ
และระบุ ความเป็นกรด-เบสของ ละลายในน้าจะเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสได้ สารละลายที่มี
สารละลายเกลอื สมบัติเป็นกรด ส่วนเกลือท่ีได้จาก การสะเทินของกรดออ่ น

12

ผลกำรเรยี นรู้ สำระกำรเรยี นรเู้ พมิ่ เติม

ด้วยเบสแก่ เม่ือละลาย ในน้าจะเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสได้

สารละลาย ท่มี ีสมบัตเิ ปน็ เบส

 การไทเทรตเป็นเทคนิคในการวิเคราะห์หาปริมาณ หรือ

ความเข้มข้นของสารที่ทาปฏิกิริยาพอดีกัน จุดท่ีสารทา

7.ทดลอง และอธิบายหลักการการ ปฏิกิริยาพอดีกันเรียกว่า จุดสมมูล ในทางปฏิบัติจุดสมมูล

ไทเทรต และเลือกใช้อินดิเคเตอร์ที่ ของปฏิกิริยาอาจไมส่ ามารถ สังเกตเห็นได้จึงสังเกตจากการ

เหมาะสมสาหรับ การไทเทรตกรด- เปลี่ยนสีของ อินดิเคเตอร์เพื่อบอกจุดยุติของการไทเทรต

เบส ดังน้ัน อินดิเคเตอร์ท่ีเหมาะสมในการไทเทรตกรด-เบส ควร

เป็นอินดิเคเตอร์ท่ีเปล่ียนสีในช่วง pH ตรงกับ หรือใกล้เคียง

กบั pH ของสารละลาย ณ จุดสมมลู

8.คานวณปริมาณสารหรือความ  ปริมาณกรดและเบสที่ทาปฏิกิริยาพอดีกันจาก การไทเทรต

เข้มข้นของ สารละลายกรดหรือเบส กรด-เบส สามารถนาไปคานวณ ความเข้มข้นของกรดหรือ

จากการไทเทรต เบสทีต่ ้องการทราบ ความเข้มขน้ ได

 สารละลายบัฟเฟอร์เป็นสารละลายของกรดอ่อน กับเกลือ

ของกรดอ่อนนั้น หรือเบสอ่อนกบั เกลือ ของเบสอ่อนนัน้ เมื่อ

9.อธิบายสมบัติองค์ประกอบ และ เติมกรด เบส หรือน้า จะมีผลต่อการเปล่ียนแปลงค่า pH

ประโยชน์ ของสารละลายบฟั เฟอร์ น้อยกว่า สารละลายทั่วไป สมบัติเฉพาะของสารละลาย

บัฟเฟอร์เป็นประโยชน์ต่อการควบคุม pH ของระบบใน

สง่ิ มชี ีวิตและสง่ิ แวดลอ้ ม

10. สืบค้นข้อมูลและนาเสนอตัวอย่าง  ความรู้เกี่ยวกับกรด-เบสสามารถนามาใช้ประโยชน์ และ

การใช้ประโยชน์ และการแก้ปัญหา แก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และ

โดยใชค้ วามรู้เกีย่ วกบั กรด-เบส การแพทย์

 เคมีไฟฟ้าเป็นการศึกษาเกี่ยวกับการเปล่ียนแปลง ระหว่าง

11. คานวณเลขออกซิเดชัน และระบุ พลังงานไฟฟ้าและการเกิดปฏิกิริยาเคมี ที่มีการถ่ายโอน
ปฏกิ ริ ยิ า ทเี่ ปน็ ปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ์ อิเล็กตรอนแล้วทาให้เกิดการ เปล่ียนแปลงเลขออกซิเดชัน
ซ่ึงเป็นเลขที่แสดง ประจุไฟฟ้าหรือประจุไฟฟ้าสมมติของ

อะตอมธาตุ เรยี กปฏิกิริยาชนดิ นี้ว่า ปฏกิ ิริยารีดอกซ์

12. วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเลข  ปฏิกิริยารีดอกซ์มีท้ังครึ่งปฏิกิริยาท่ีมีการให้ อิเล็กตรอน

ออกซิเดชัน และระบุตัวรีดิวซ์และ เรียกว่า คร่ึงปฏิกิริยาออกซิเดชัน และคร่ึงปฏิกิริยาที่มีการ

ตัวออกซิไดส์รวมทั้ง เขียนครึ่ง รับอิเล็กตรอน เรียกว่า คร่ึงปฏิกิริยารีดักชัน โดยสารท่ีให้

ปฏิกิ ริยาออก ซิเดชัน และ คร่ึง อิเล็กตรอน จะมีเลขออกซิเดชันเพ่ิมขึ้น เรียกว่า ตัวรีดิวซ์

ปฏิกิริยา รีดักชันของปฏิกิริยารี ส่วนสารท่ีรับอิเล็กตรอนจะมีเลขออกซเิ ดชัน ลดลง เรียกว่า

ดอกซ์ ตัวออกซไิ ดส์

13. ท ด ล อ ง แ ล ะ เ ป รี ย บ เ ที ย บ  การเปรียบเทียบความสามารถในการเป็นตัวรีดิวซ์ หรือตัว
ออกซิไดส์สามารถพิจารณาได้จากผล การทดลองของ
ความสามารถในการ เป็นตัวรีดิวซ์ ปฏกิ ริ ิยารีดอกซ์
หรือตัวออกซิไดส์และเขียนแสดง
ปฏกิ ิรยิ ารีดอกซ์

13

ผลกำรเรยี นรู้ สำระกำรเรียนรเู้ พิ่มเติม

14. ดุลสมการรีดอกซ์ด้วยการใช้เลข  ปฏิกิริยารีดอกซ์เขียนแทนได้ด้วยสมการรีดอกซ์ ซึ่งการดุล
ออกซเิ ดชนั และวธิ ีครึง่ ปฏกิ ริ ยิ า สมการรีดอกซ์ทาได้โดยการใช้ เลขออกซิเดชันและวิธีคร่ึง
ปฏกิ ริ ิยา

 เซลล์เคมีไฟฟ้าประกอบด้วยแอโนด แ คโทด และ

15. ร ะ บุ อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ข อ ง เ ซ ล ล์ สารละลายอิเล็กโทรไลต์ซ่ึงอาจเชื่อมต่อกันด้วย สะพาน

เคมีไฟฟ้า และ เขียนสมการเคมี เกลือ โดยท่ีแอโนดเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน และแคโทด

ของปฏิกิริยาที่แอโนดและ แคโทด เกิดปฏิกิริยารีดักชัน ทาให้อิเล็กตรอน เคล่ือนที่จากแอโนด

ปฏิกริ ยิ ารวม และแผนภาพเซลล์ ไปแคโทด เซลล์เคมีไฟฟ้า สามารถเขียนแสดงได้ด้วย

แผนภาพเซลล์

 คา่ ศกั ยไ์ ฟฟา้ มาตรฐานของเซลล์คานวณไดจ้ าก คา่ ศกั ย์ไฟฟ้า

16. คานวณค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของ มาตรฐานของครึ่งเซลล์ถ้าค่า ศักย์ไฟฟ้าของเซลล์เป็นบวก
เซลล์ และระบุประเภทของเซลล์ แสดงว่าปฏิกิริยา รีดอกซ์เกิดข้ึนได้เอง ซ่ึงทาให้เกิด
เคมีไฟฟ้า ข้ัวไฟฟ้า และปฏิกิริยา กระแสไฟฟ้า เรียกเซลล์ชนิดน้ีว่า เซลล์กัลวานิก แต่ถ้าค่า

เคมีทเี่ กิดขนึ้ ศักย์ไฟฟ้าของเซลล์เป็นลบ แสดงว่าปฏิกิริยา รีดอกซ์ไม่
สามารถเกิดได้เอง ต้องมีการให้กระแส ไฟฟ้าจึงจะ

เกิดปฏกิ ริ ยิ าไดเ้ ซลลช์ นิดน้ีเรยี กว่า เซลล์อเิ ลก็ โทรลติ ิก

 เซ ลล์เคมีไ ฟ ฟ้ า สา มา ร ถน าไ ป ใช้ ปร ะ โ ย ชน์ไ ด้ ใน

ชีวติ ประจาวนั เชน่ แบตเตอร่ีซึง่ มีท้ังเซลล์ปฐมภมู ิ และเซลล์

17. อธิบายหลักการทางาน และเขียน ทุติยภูมิโดยปฏิกิริยาเคมีท่ีเกิดข้ึน ภายในเซลล์ปฐมภูมิไม่

สมการแสดง ปฏิกิริยาของเซลล์ สามารถทาให้เกิดปฏิกิริยา ย้อนกลับได้โดยการประจุไฟ จึง

ปฐมภูมิและเซลล์ทุติยภมู ิ ไม่สามารถนากลับ มาใช้ได้อีก ปฏิกิริยาเคมีท่ีเกิดข้ึนภายใน

เซลลท์ ุติยภมู ิสามารถทาให้เกดิ ปฏกิ ิรยิ าย้อนกลบั ได้โดยการ

ประจุไฟ จงึ นากลบั มาใช้ได้อกี

18. ทดลองชุบโลหะและแยกสารเคมี

ด้วยกระแส ไฟฟ้า และอธิบาย  เซลล์อิเล็กโทรลิติกสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ ทั้งใน
หลักการทางเคมีไฟฟ้าที่ใช้ ในการ
ชวี ิตประจาวนั และในอตุ สาหกรรม หลายประเภท เช่น การ
ชุบโลหะ การแยกสารเคมีด้วย ชุบโลหะ การแยกสารเคมี ดว้ ยกระแสไฟฟา้ การทาโลหะให้
กระแส ไฟฟ้า การทาโลหะให้ บรสิ ทุ ธ์ิ การปอ้ งกนั การกดั กร่อนของโลหะ
บริสุทธ์ิและการป้องกัน การกัด

กร่อนของโลหะ

19. สืบค้นข้อมูลและนาเสนอตัวอย่าง  ปฏิกิริยาเคมีหลายปฏิกิริยาที่พบในชีวิตประจาวัน เป็น
ปฏิกิริยารีดอกซ์เช่น ปฏิกิริยาการเผาไหม้ ปฏิกิริยาในเซลล์
ความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยีที่ เคมีไฟฟ้า ซึ่งความรู้เร่ือง เซลล์เคมีไฟฟ้าและความกา้ วหน้า
เกี่ยวข้องกับเซลล์เคมีไฟฟ้า ใน ทางเทคโนโลยี ท่ีเกี่ยวข้องกับเซลล์เคมีไฟฟ้า นาไปสู่
ชีวิตประจาวัน
นวัตกรรม ด้านพลังงานทเี่ ปน็ มิตรต่อสิ่งแวดล้อม

14

6. หลักสูตรรำยวิชำวิทยำศำสตรเ์ พมิ่ เติมเคมี 4 ช้นั มธั ยมศกึ ษำปที ่ี 5

หน่วยท่ี 10 กรด-เบส
หน่วยที่ 11 เคมีไฟฟ้า

15

คำอธิบำยรำยวชิ ำเพิม่ เติม

เคมี เล่ม ๔ กลุ่มสำระกำรเรียนร้วู ิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐)
ชน้ั มัธยมศึกษำปีท่ี ๕ เวลำ ๖๐ ชวั่ โมง จำนวน ๑.๕ หนว่ ยกติ

ศึกษาทฤษฎีกรด-เบสของอารเ์ รเนยี ส เบรินสเตด-ลาวรี และลิวอิส คานวณความสามารถในการแตก
ตัวหรือความแรงของกรดและเบส ค่า pH ความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออนหรือไฮดรอกไซด์ไอออนของ
สารละลายกรดและเบส ศึกษาปฏิกิรยิ าสะเทินและปฏิกริ ยิ าไฮโดรลซิ ิสของเกลอื การไทเทรต และการเลือกใช้
อินดิเคเตอร์ คานวณปริมาณสารหรือความเข้มข้นของสารละลายกรดหรือเบสจากการไทเทรต ศึกษาสมบัติ
และองค์ประกอบของสารละลายบัฟเฟอร์ รวมทั้งการนาความรเู้ กยี่ วกบั กรด-เบสไปใช้ประโยชน์

ศึกษาเลขออกซิเดชัน ปฏิกิริยารีดอกซ์ ตัวรีดิวซ์ ตัวออกซิไดส์ คร่ึงปฏิกิริยาออกซิเดชันและคร่ึง
ปฏิกิริยารีดักชันของปฏิกิริยารีดอกซ์ เปรียบเทียบความสามารถในการเป็นตัวรีดิวซ์หรือตัวออกซิไดซ์ การ
เขียนและดุลสมการรีดอกซด์ ้วยการใช้เลขออกซเิ ดชันและวธิ ีครึ่งปฏิกิรยิ า ศึกษาเซลล์เคมีไฟฟ้าและการเขยี น
แผนภาพเซลล์ คานวณค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของเซลล์ ศกึ ษาหลกั การทางานของเซลล์ปฐมภูมิและเซลล์ทุติย
ภูมิ หลักการทางเคมีไฟฟ้าท่ีใช้ในการชุบโลหะ การแยกสารเคมีด้วยกระแสไฟฟ้า การทาโลหะให้บริสุทธิ์และ
การป้องกันการกร่อนของโลหะ รวมทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเซลล์เคมีไฟฟ้าใน
ชวี ติ ประจาวนั

โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความรู้ การสงั เกต วเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บ อธบิ าย
อภิปราย และสรุปเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ มีทักษะปฏิบัติการทาง
วิทยาศาสตร์ รวมท้ังทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการคิดและการแก้ไข
ปัญหา ด้านการส่ือสาร สามารถส่ือสารสิ่งท่ีเรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิตวิทยาศาสตร์
จริยธรรม คณุ ธรรม และค่านยิ มทเ่ี หมาะสม

16

โครงสร้ำงรำยวชิ ำ

รหัสวชิ ำ ว32222 ช่ือวชิ ำ วิทยำศำสตร์เพมิ่ เติมเคมี 4

กลมุ่ สำระกำรเรียนรู้ วทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศึกษำปีท่ี 5
ภำคเรียนท่ี 2 เวลำ 60 ชว่ั โมง จำนวน 1.5 หนว่ ยกติ

ลำดับ หนว่ ยกำรเรียนรู้ ผลกำรเรยี นรู้ เวลำ คะแนน
ท่ี (ชว่ั โมง)

1.ระบุและอธิบายว่าสารเป็นกรดหรือเบส

โดยใช้ทฤษฎีกรด-เบสของอาร์เรเนียส เบ

รนิ สเตด-ลาวรแี ละลิวอิส

2.ระบุคู่กรด-เบสของสารตามทฤษฎีกรด-

เบส ของเบรนิ สเตด-ลาวรี

3.คานวณ และเปรียบเทียบความสามารถ

ในการแตกตัวหรือความแรงของกรดและ

เบส

4.คานวณค่า pH ความเข้มข้นของไฮโดร

เนียม ไอออนหรือไฮดรอกไซด์ไอออนของ

สารละลายกรดและเบส

5.เขียนสมการเคมีแสดงปฏิกิริยาสะเทิน

แ ล ะ ร ะ บุ ค ว า ม เ ป็ น ก ร ด - เ บ ส ข อ ง

1 บทที่ 10 กรด-เบส สารละลาย หลงั การสะเทิน 29 45

6.เขียนปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสของเกลือ และ

ระบุ ความเป็นกรด-เบสของสารละลาย

เกลอื

7.ทดลอง และอธิบายหลักการการไทเทรต

แ ล ะ เ ลื อ ก ใ ช้ อิ น ดิ เ ค เ ต อ ร์ ท่ี เ ห ม า ะ ส ม

สาหรับ การไทเทรตกรด-เบส

8.คานวณปริมาณสารหรือความเข้มข้นของ

สารละลายกรดหรือเบสจากการไทเทรต

9.อธิบายสมบัติองค์ประกอบ และประโยชน์

ของสารละลายบัฟเฟอร์

10. สืบค้นข้อมูลและนาเสนอตัวอย่างการใช้

ประโยชน์ และการแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้

เก่ยี วกบั กรด-เบส

2 บทที่ 11 เคมไี ฟฟ้ำ 1.คานวณเลขออกซิเดชัน และระบุปฏิกิริยา 31 55
ที่เปน็ ปฏิกริ ิยารีดอกซ์

17

ลำดับ หนว่ ยกำรเรยี นรู้ ผลกำรเรยี นรู้ เวลำ คะแนน
ท่ี (ชว่ั โมง) 100
2.วิเคราะห์การเปล่ียนแปลงเลขออกซิเดชัน
รวม และระบุตัวรีดิวซ์และตัวออกซิไดส์รวมทั้ง 60
เขียนคร่ึงปฏิกิริยาออกซิเดชันและครึ่ง
ปฏิกริ ิยา รดี ักชนั ของปฏิกริ ิยารีดอกซ์

3.ทดลอง และเปรียบเทียบความสามารถใน
การ เป็นตัวรีดิวซ์หรือตัวออกซิไดส์และ
เขยี นแสดง ปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ์

4.ดุ ล ส ม ก า ร รี ด อ ก ซ์ ด้ ว ย ก า ร ใ ช้ เ ล ข
ออกซิเดชนั และวิธีครง่ึ ปฏิกริ ิยา

5.ระบุองค์ประกอบของเซลล์เคมไี ฟฟา้ และ
เขียนสมการเคมขี องปฏิกิรยิ าที่แอโนดและ
แคโทด ปฏิกิรยิ ารวม และแผนภาพเซลล์

6.คานวณค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของเซลล์
แ ล ะ ร ะ บุ ป ร ะ เ ภ ท ข อ ง เ ซ ล ล์ เ ค มี ไ ฟ ฟ้ า
ข้ัวไฟฟา้ และปฏกิ ิรยิ าเคมที ่ีเกิดขึ้น

7.อธิบายหลักการทางาน และเขียนสมการ
แสดง ปฏกิ ริ ยิ าของเซลลป์ ฐมภูมิและเซลล์
ทุติยภูมิ

8.ทดลองชุบโลหะและแยกสารเคมีด้วย
กระแส ไฟฟ้า และอธิบายหลักการทาง
เคมีไฟฟ้าท่ีใช้ ในการชุบโลหะ การแยก
สารเคมีด้วยกระแส ไฟฟ้า การทาโลหะให้
บริสุทธ์ิและการป้องกัน การกัดกร่อนของ
โลหะ

9.สื บ ค้ น ข้ อ มู ล แ ล ะ น า เ ส น อ ตั ว อ ย่าง
ความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยีที่เก่ียวข้อง
กบั เซลลเ์ คมไี ฟฟ้า ในชีวติ ประจาวนั
19

18

ชัน้ มัธยมศึกษำปที ่ี 5 กำหนดกำรสอน
60 ชว่ั โมง
รำยวิชำวทิ ยำศำสตรเ์ พม่ิ เติมเคมี 4
จำนวน 1.5 หนว่ ยกิต จำนวน

ภำคเรยี นท่ี 2 ปีกำรศึกษำ 2564

สปั ดำหท์ ี่ สำระกำรเรยี นรู้/เน้ือหำ จดุ ประสงค์กำรเรยี นรู้ ช่วั โมง
2
ปฐมนิเทศ ชแ้ี จงจดุ มุ่งหมำย เมอ่ื จบกจิ กรรมการเรียนรู้นักเรยี นสามารถ 2
และกระบวนกำรเรียนกำรสอน 1. นักเรียนสามารถอธิบายสารเป็นกรดหรือ
1 บทท่ี 10 กรด-เบส 2
เบสโดยใช้ทฤษฎีกรด-เบสของอาร์เรเนียส
10.1 ทฤษฎีกรด-เบส เบรนิ สเตด-ลาวรแี ละลิวอิส (K)
2. นักเรียนสามารถระบุสารเป็นกรดหรือเบส
10.2 คู่กรด-เบส โดยใช้ทฤษฎีกรด-เบสของอาร์เรเนียส เบ
รินสเตด-ลาวรีและลวิ อิส (P)
2 3. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับ
10.3 กำรแตกตวั กรด เบส มอบหมายและทางานร่วมกบั ผู้อืน่ ได้ (A)
น้ำ
 การแตกตัวกรดแก่ เบส 1. นักเรียนสามารถอธิบายคูก่ รด-เบสของสาร
แก่ กรดออ่ น ตามทฤษฎกี รด-เบสของเบรินสเตด-ลาวรี (K)

2. นกั เรยี นสามารถระบุคู่กรด-เบสของสารตาม
ทฤษฎีกรด-เบสของเบรนิ สเตด-ลาวรี (P)

3. นกั เรยี นมคี วามรบั ผดิ ชอบต่องานท่ไี ด้รบั
มอบหมาย (A)

1. บอกความหมายวา่ สารใดเปน็ กรดแก่ เบสแก่
กรดอ่อน และเบสออ่ น (K)

2. ระบุว่าสารใดเป็นกรดแก่ เบสแก่ กรดอ่อน
และเบสออ่ น (K)

3. คานวณความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออน
และไฮดรอกไซด์ไอออน ร้อยละการแตกตัว
ของกรด และค่าคงท่กี ารแตกตวั ของกรด (P)

4. เปรียบเทียบความความสามารถในการแตก
ตวั หรอื ความแรงของกรดและเบส (P)

5. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับ
มอบหมาย (A)

19

สปั ดำหท์ ่ี สำระกำรเรียนรู/้ เนื้อหำ จุดประสงค์กำรเรียนรู้ ช่ัวโมง
3
1. บอกความหมายวา่ สารใดเป็นกรดแก่ เบสแก่
4 กรดอ่อน และเบสออ่ น (K)
5
6 2. ระบุว่าสารใดเป็นกรดแก่ เบสแก่ กรดอ่อน
และเบสออ่ น (K)

 การแตกตวั ของเบสอ่อน 3. คานวณความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออน 2
การแตกตวั ของนา้ และไฮดรอกไซด์ไอออน ร้อยละการแตกตัว
ของเบส และค่าคงที่การแตกตัวของเบส (P)

4. เปรียบเทียบความความสามารถในการแตก
ตวั หรอื ความแรงของกรดและเบส (P)

5. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับ
มอบหมาย (A)

1. นักเรียนสามารถอธิบายการเกิดไฮโดรลิซิส
ของเกลือและเขียนสมการเคมีของปฏิกิริยา
ไฮโดรลิซสิ ของเกลือ (K)

2. นักเรยี นสามารถระบุความเปน็ กรด-เบสของ

10.4 สมบัติกรด–เบสของ สารละลายเกลอื (K) 2
เกลอื
3. นักเรียนสามารถทาการทดลองสมบัติกรด-
เบสของสารละลายเกลือ (P)

4. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับ
มอบหมายและสามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืน

ได้ (A)

10.5 pH ของสำรละลำย 1. นักเรียนสามารถคานวณความเข้มข้นของ 3
กรดและเบส ไฮโดรเนียมไอออน หรือไฮดรอกไซด์ไอออน
ของสารละลายกรดและเบส (K)

2. นักเรียนสามารถคานวณค่า pH ของ
สารละลายกรดและเบส (P)

3. นกั เรียนสามารถบอกความเปน็ กรด-เบสของ
สารละลายจากชว่ ง pH ของอนิ ดิเคเตอร์ (P)

4. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับ

มอบหมาย (A)

10.6 ปฏิกริ ยิ ำเคมีระหวำ่ ง 1. นักเรียนสามารถเขียนสมการเคมีแดง 2
กรดและเบส ปฏิกริ ิยาสะเทินได้ (K)

2. นกั เรียนสามารถระบุความเป็นกรด-เบสของ
สารละลายหลงั การสะเทินได้ (P)

3. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับ
มอบหมาย (A)

20

สปั ดำหท์ ่ี สำระกำรเรียนรู้/เนือ้ หำ จุดประสงค์กำรเรยี นรู้ ช่ัวโมง
7 10.7 กำรไทเทรตกรด-เบส
 การไทเทรตกรด-เบส 1. นักเรียนสามารถอธิบายหลักการไทเทรตได้
8
 จดุ ยุตแิ ละการเลอื กใช้ (K)
อนิ ดเิ คเตอร์
2. นักเรียนสามารถคานวณปริมาณสารหรือ
 จดุ ยุติและการเลือกใช้
อินดิเคเตอร์ ความเข้มข้นของสารละลายกรดหรือเบส 2

10.8 สำรละลำยบฟั เฟอร์ จากการไทเทรตได้ (P)

3. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับ

มอบหมาย (A)

1. นักเรียนสามารถเลือกใช้อินดิเคเตอร์ท่ี 2
เหมาะสมได้ (K)

2. นักเรียนสามารถอธิบายการไทเทรตกรด-

เบสโดยใช้อนิ ดิเคเตอรไ์ ด้ (K)
3. นักเรียนสามารถใช้อุปกรณ์การทดลองได้

ถูกตอ้ ง (A)
4. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับ

มอบหมาย (A)

5. นักเรียนสามารถทางานรว่ มกบั ผ้อู น่ื ได้ (A)

1. นักเรียนสามารถคานวณความเข้มข้นของ 2
สารละลายตัวอยา่ งได้ (K)

2. นักเรียนสามารถทดลองเพอื่ หาความเข้มข้น
ของสารละลายจากการไทเทรตกรด-เบส
โดยใช้อินดิเคเตอร์บอกจุดยตุ ิ (P)

3. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับ
มอบหมาย (A)

1. นั ก เ รี ย น ส า ม า ร ถ อ ธิ บ า ยส ม บั ติ ขอ ง 3
สารละลายบฟั เฟอรไ์ ด้ (K)

2. นักเรียนสามารถบอกองค์ประกอบของ
สารละลายบฟั เฟอร์ได้ (K)

3. นักเรียนสามารถทาการทดลอง และ

เปรียบเทยี บสารละลายบัฟเฟอรไ์ ด้ (P)
4. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับ

มอบหมาย (A)
5. นกั เรยี นสามารถทางานร่วมกบั ผู้อื่นได้ (A)

21

สปั ดำหท์ ี่ สำระกำรเรียนรู้/เน้ือหำ จุดประสงค์กำรเรียนรู้ ชว่ั โมง

1. นักเรียนสามารถบอกประโยชน์ และการ

แก้ปัญหาโดยใช้ความรู้เก่ียวกับกรด-เบสได้

(K)

9 10.9 กำรประยกุ ต์ใชค้ วำมรู้ 2. นักเรียนมีทักษะการส่ือสาร การรู้เท่าทันส่ือ 2

เกย่ี วกบั กรด-เบส เทคโนโลยี (P)

3. นกั เรยี นสามารถทางานรว่ มกันผอู้ ่ืนได้ (A)

4. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับ

มอบหมาย (A)

10 สอบกลำงภำค 2

1.แปลความหมายจากกราฟแสดงการ

เปล่ียนแปลงพลังงานกับการดาเนินไปของ

11 บทท่ี 11 เคมีไฟฟำ้ ปฏิกิริยา และระบุได้ว่าเป็นปฏิกิริยา 3
ประเภทดดู พลังงานหรอื คายพลงั งานได้ (K)
11.1 เลขออกซเิ ดชันและ 2.หาค่าพลังงานที่ดูดกลืน พลังงานที่คายออก
และพลังงานรวมของปฏิกิริยาจากกราฟได้
ปฏิกริ ิยำรีดอกซ์
 ปฏิกิรยิ ารีดอกซ์ (P)

3.มีความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับมอบหมาย

และสามารถทางานร่วมกับผอู้ ื่นได้ (A)

12  เลขออกซิเดชัน 1. นักเรียนสามารถเปรียบเทียบความสามารถ 3
ในการเปน็ ตัวรีดวิ ซข์ องโลหะได้ (K)

2. นักเรียนสามารถเปรียบเทียบความสามารถ
ในการเป็นตัวออกซิไดส์ของไอออนของ

โลหะได้ (K)
3. นักเรียนสามารถทดลองปฏิกิริยารีดอกซ์

ระหวา่ งโละหะและไอออนของโลหะคู่ต่าง ๆ

ได้ (P)
4. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับ

มอบหมาย (A)
5. นกั เรยี นสามารถทางานรว่ มกนั ผอู้ ืน่ ได้ (A)

22

สปั ดำหท์ ่ี สำระกำรเรียนรู้/เน้อื หำ จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้ ช่วั โมง
13 3
14 1. นักเรียนสามารถดลุ สมการรดี อกซ์โดยวธิ ีเลข
15
11.2 กำรดลุ สมกำรรีดอกซ์ ออกซิเดชันได้ (K)
16  การดุลสมการรีดอกซ์ 2. นกั เรยี นสามารถคานวณการดุลสมการโดย

โดยวิธเี ลขออกซิเดชนั วิธคี รงึ่ ปฏกิ ริ ิยาได้ (P)

3. นกั เรียนมีความรบั ผิดชอบต่องานทไ่ี ด้รบั

มอบหมาย (A)

1. นกั เรยี นสามารถดุลสมการรดี อกซโ์ ดยวธิ ีครึ่ง

ปฏิกิริยาได้ (K)
 การดุลสมการรีดอกซ์ 2. นักเรียนสามารถคานวณการดุลสมการโดย
3
โดยวธิ ีครึ่งปฏิกิรยิ า วิธีครง่ึ ปฏิกริ ิยาได้ (P)

3. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับ

มอบหมาย (A)

11.3 เซลล์เคมีไฟฟ้ำ 1. นักเรียนสามารถระบุองค์ประกอบของเซลล์ 3
 องคป์ ระกอบของเซลล์
เคมีไฟฟา้ ได้ (K)
เคมีไฟฟ้า 2. นักเรียนสามารถเขียนสมการเคมีของ

ปฏกิ ิรยิ าท่ีแอโนดและแคโทดได้ (P)

3. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับ
มอบหมาย (A)

 แผนภาพเซลล์ 1. นักเรียนสามารถเขียนปฏิกิริยารวม และ 2
 ศักยไ์ ฟฟ้าของเซลล์ แผนภาพเซลล์ได้ (K) 3

2. นักเรียนสามารถเขียนสมการเคมีของ
ปฏกิ ริ ิยาท่แี อโนดและแคโทดได้ (P)

3. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับ
มอบหมาย (A)

1. นักเรียนสามารถระบุขั้วไฟฟ้า และเขียน
ปฏิกิริยาออกซิเดชัน ปฏิกิริยารีดักชัน และ
ปฏกิ ริ ิยารีดอกซ์ได้ (K)

2. นักเรียนสามารถเปรียบเทียบความสามารถ
ในการเป็นตวั ออกซิไดสแ์ ละตวั รดี ิวซไ์ ด้ (K)

3. นักเรียนสามารถทดลองหาศักย์ไฟฟ้าของ
เซลลไ์ ด้ (P)

4. นักเรียนสามารถคานวณค่าศักย์ไฟฟ้า
มาตรฐานของเซลล์ (P)

5. นักเรียนสามารถทางานร่วมกับผู้อื่นได้ และ
รบั ผดิ ชอบตอ่ งานทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย (A)

23

สัปดำห์ท่ี สำระกำรเรยี นร้/ู เนอื้ หำ จดุ ประสงค์กำรเรยี นรู้ ชวั่ โมง
17
18 1. นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของ

19 เซลล์ปฐมภูมิและเซลลท์ ตุ ยิ ภูมไิ ด้ (K)
20
2. นักเรียนสามารถอธิบายหลักการทางานของ

11.4 ประโยชน์ของเซลล์ เซลลป์ ฐมภมู แิ ละเซลลท์ ุตยิ ภมู ิได้ (K)

เคมไี ฟฟำ้ 3. นักเรียนสามารถเขียนสมการเคมีแสดง 2
 แบตเตอรี่ ปฏิกิริยาของเซลล์ปฐมภูมิและเซลล์ทุติยภู

มิได้ (P)

4. นักเรียนสามารถทางานร่วมกับผู้อื่นได้ และ

รบั ผิดชอบต่องานทไ่ี ด้รบั มอบหมาย (A)

1. นกั เรียนสามารถอธบิ ายภาวะที่ทาใหโ้ ลหะ

เกดิ การผกุ รอ่ นได้ (K)

2. นักเรยี นสามารถบอกวธิ ีการปอ้ งกันการกดั

กร่อนของโลหะได้ (K)
 การกัดกรอ่ นของโลหะ 3. นกั เรียนสามารถอธิบายหลักการชุบโลหะ

และการป้องกนั (การชุบ โดยใช้เซลล์อเิ ล็กโทรลิติกได้ (K) 3

โลหะ) 4. นักเรียนสามารถทดลองการชุบโลหะโดยใช้

เซลลอ์ ิเลก็ โทรลติ ิกได้ (P)

5. นกั เรยี นมคี วามรับผิดชอบต่องานทไี่ ด้รบั

มอบหมาย (A)

6. นกั เรียนสามารถทางานรว่ มกบั ผู้อื่นได้ (A)

1. นักเรียนสามารถอธิบายหลักการแยกสลาย

สารเคมีด้วยไฟฟา้ ได้ (K)

2. นักเรียนสามารถอธบิ ายหลักการทาโลหะให้
 การกดั กร่อนของโลหะ บริสทุ ธ์ไิ ด้ (K)

และการปอ้ งกนั (การ 3. นกั เรียนสามารถทดลองการแยกสลาย 3

แยกสลายดว้ ยไฟฟ้า) สารเคมีดว้ ยไฟฟ้าได้ (P)

4. นักเรียนมคี วามรบั ผิดชอบต่องานที่ไดร้ บั

มอบหมาย (A)

5. นกั เรียนสามารถทางานรว่ มกับผูอ้ ่ืนได้ (A)

1. นักเรียนสามารถยกตวั อย่างความก้าวหนา้

ทางเทคโนโลยีท่เี กี่ยวขอ้ งกบั เซลล์เคมไี ฟฟา้

11.5 เทคโนโลยีท่ีเก่ียวข้อง ได้ (K) 2
กับเคมไี ฟฟ้ำ 2. นกั เรียนสามารถสบื คน้ ข้อมูลเทคโนโลยที ี่

เกี่ยวข้องกบั เซลลเ์ คมไี ฟฟ้าได้ (P)

3. นักเรยี นมีความรับผิดชอบต่องานทไ่ี ด้รับ

มอบหมาย (A)

สอบปลำยภำค 2

สัปดำห์ท่ี สำระกำรเรยี นร้/ู เน้ือหำ จุดประสงค์กำรเรยี นรู้ 24

รวมจำนวนชั่วโมง ชัว่ โมง
60

25

แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้

26

หนว่ ยกำรเรยี นรู้ที่ 10 กรด-เบส
แผนกำรจัดกำรเรยี นรทู้ ่ี 1 - 12

27

แผนกำรจดั กำรเรยี นรูท้ ่ี 1 ภำคเรยี นที่ 2/2564
ชนั้ มัธยมศึกษำปีที่ 5
กลมุ่ สำระกำรเรียนรวู้ ิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี
รำยวิชำเพ่มิ เตมิ เคมี 4 เวลำ 30 ช่วั โมง
เวลำ 2 ชั่วโมง
หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 1 กรด-เบส
เรอื่ ง ทฤษฎีกรด-เบส
ครผู สู้ อน นำงสำวชนิดำ แก่นทำ้ ว

1. สำระกำรเรยี นรู้และผลกำรเรยี นรู้

สำระที่ 5 สำระเคมี
เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี

สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และเซลล์เคมีไฟฟ้า รวมทั้งการนา

ความรไู้ ปใช้ประโยชน์
ผลกำรเรยี นรู้

ระบุและอธิบายว่าสารเป็นกรดหรือเบสโดยใช้ทฤษฎีกรด-เบสของอาร์เรเนียสเบรินสเตด-ลาวรีและ
ลิวอสิ

2. สำระสำคญั /ควำมคิดรวบยอด
สารในชีวิตประจาวันหลายชนิดมีสมบัติเป็นกรดหรือเบส ซ่ึงพิจารณาได้โดยใช้ทฤษฎีกรด-เบส ของ

อาร์เรเนียส เบรินสเตด-ลาวรีหรอื ลิวอสิ

3. จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้
3.1 ด้ำนควำมรู้ (K)
นักเรียนสามารถอธิบายสารเป็นกรดหรอื เบสโดยใช้ทฤษฎีกรด-เบสของอาร์เรเนียส เบรินสเตด-ลาวรี
และลวิ อสิ
3.2 ดำ้ นทักษะ/กระบวนกำรคดิ (P)
นกั เรียนสามารถระบุสารเป็นกรดหรือเบสโดยใช้ทฤษฎีกรด-เบสของอารเ์ รเนยี ส เบรินสเตด-ลาวรีและ
ลวิ อิส
3.3 ดำ้ นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)

นักเรยี นมีความรบั ผิดชอบต่องานที่ไดร้ ับมอบหมายและทางานรว่ มกบั ผูอ้ ่ืนได้

4. สำระกำรเรียนรู้
ทฤษฎีกรด-เบสของอาร์เรเนียส กาหนดไว้ว่า กรดคือสารท่ีละลายน้าแล้วแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน (H+)

เบสคือสารทีล่ ะลายน้าแลว้ แตกตัวให้ไฮดรอกไซดไ์ อออน (OH-)
ทฤษฎกี รด-เบสเบรินสเตด-ลาวรี โดยนิยามไวว้ ่า กรดคอื สารที่ให้โปรตอน และเบสคอื สารทีร่ ับโปรตอน
ทฤษฎกี รด-เบสลิวอิส นิยามไว้ว่า กรดคือสารท่รี บั คู่อิเล็กตรอน และเบสคือสารท่ีให้คอู่ ิเล็กตรอน

5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
1. ความสามารถในการสอื่ สาร

28

2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

6. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. ใฝ่เรยี นรู้
2. มคี วามรบั ผิดชอบ

7. กำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้
ใชร้ ูปแบบการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 5E
7.1 ขั้นสรำ้ งควำมสนใจ (Engagement)
1. นักเรยี นดูรปู ภาพตัวอยา่ งท่ีครูเตรียมมาได้แก่ นา้ ส้มสายชู น้าอัดลม นา้ มะนาว ฯ จากนัน้ ใหน้ กั เรียน
บอกว่าสารตัวอย่างมีคุณสมบัติเป็นกรดหรือเบส (แนวคาตอบ: น้าส้มสายชูเป็นกรด น้ามะนาวเป็นกรด
และนา้ อัดลมเป็นกรด)

น้ามะนาว นา้ สม้ สายชู นา้ อดั ลม

2. นักเรียนดหู นงั สอื เกี่ยวกบั กรดทวภิ าคและกรดออกซี โดยครคู อยใหค้ าแนะนาเพ่มิ เตมิ
กรดทวิภาค (binary acids) เป็นกรดท่ีประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนกับธาตุอโลหะอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งชื่อ

กรดส่วนใหญข่ ึน้ ต้นดว้ ยคาว่า “ไฮโดร-”
กรดออกซี (oxy acids) เป็นกรดทปี่ ระกอบด้วยธาตไุ ฮโดรเจน ออกซเิ จน และธาตุอโลหะ

3. นักเรียนยกตัวอย่างสารทีเ่ ปน็ กรด-เบสในชวี ติ ประจาวัน
7.2 ขัน้ สำรวจและค้นหำ (Exploration)

1. นักเรียนตอบคาถาม โดยครูใช้คาถามดังนี้ “นอกจากคุณสมบัติกรด-เบสท่ีกล่าวมาข้างต้นแล้ว

นักเรียนมวี ิธีการจาแนกกรด-เบสได้อกี หรือไม่ อยา่ งไร”
2. นักเรียนค้นคว้าทฤษฎกี รดเบสของอาร์เรเนยี ส เบรินสเตด-ลาวรีและลิวอสิ ในหนังสือเรยี น โดยครู

ช่วยให้คาแนะนาเพม่ิ เตมิ
ทฤษฎีกรด-เบสของอาร์เรเนียส กาหนดไว้ว่า กรดคือสารท่ีละลายน้าแล้วแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน (H+)

เบสคือสารทล่ี ะลายนา้ แลว้ แตกตวั ใหไ้ ฮดรอกไซดไ์ อออน (OH-) ดังสมการ
สมการทั่วไปของ “กรด” HA → H++ A-
สมการท่ัวไปของ “เบส” BOH → B++ OH-
3. นักเรียนทาแบบตรวจสอบความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ทฤษฎกี รด-เบสอารเ์ รเนยี ส ในหนงั สอื หนา้ 6

29

ทฤษฎกี รด-เบสเบรินสเตด-ลาวรี โดยนยิ ามไวว้ ่า กรดคอื สารที่ใหโ้ ปรตอน และเบสคอื สารท่รี ับโปรตอน
4. นักเรยี นทาแบบตรวจสอบความเข้าใจเก่ยี วกบั ทฤษฎกี รด-เบสเบรนิ สเตด-ลาวรี ในหนังสอื หน้า 7

ทฤษฎกี รด-เบสลวิ อสิ นยิ ามไวว้ ่า กรดคือสารท่รี ับคู่อเิ ล็กตรอน และเบสคือสารทใ่ี หค้ ่อู ิเลก็ ตรอน
5. นักเรยี นทาแบบตรวจสอบความเขา้ ใจเก่ยี วกับทฤษฎกี รด-เบสลิวอสิ ในหนงั สือหน้า 8

7.3 ขนั้ อธบิ ำยและลงขอ้ สรุป (Explanation)
1. นักเรียนรว่ มกนั สรุปเกย่ี วกบั ทฤษฎกี รด-เบสของอาร์เรเนียส เบรนิ สเตด-ลาวรแี ละลวิ อิส
ทฤษฎีกรด-เบสของอารเ์ รเนียส กาหนดไว้ว่า กรดคือสารทล่ี ะลายนา้ แลว้ แตกตัวใหไ้ ฮโดรเจนไอออน(H+) เบส

คอื สารทล่ี ะลายนา้ แลว้ แตกตัวให้ไฮดรอกไซด์ไอออน (OH-)
ทฤษฎีกรด-เบสเบรินสเตด-ลาวรี โดยนยิ ามไว้วา่ กรดคอื สารท่ใี หโ้ ปรตอน และเบสคือสารทรี่ บั โปรตอน
ทฤษฎกี รด-เบสลวิ อิส นิยามไว้วา่ กรดคือสารทรี่ บั คูอ่ ิเลก็ ตรอน และเบสคอื สารท่ใี หค้ อู่ เิ ลก็ ตรอน

7.4 ข้นั ขยำยควำมรู้ (Elaboration)
1. นักเรียนทาแบบฝึกหัดที่ครเู ตรียมมาเก่ียวกบั ทฤษฎีกรด-เบสของอารเ์ รเนยี ส เบรินสเตด-ลาวรแี ละ

ลิวอิส
7.5 ขัน้ ประเมิน (Evaluation)

1. นกั เรียนสรุปสงิ่ ท่ไี ด้จากการเรียนลงในสมดุ

8. ส่อื /แหลง่ กำรเรียนรู้
1. หนังสอื เรียนรายวิชาเพ่มิ เติม เคมี 4
2. รูปภาพตัวอย่าง นา้ ส้มสายชู น้ามะนาว น้าอัดลม
3. แบบฝึกหัด เรือ่ ง ทฤษฎีกรด-เบสของอาร์เรเนยี ส เบรินสเตด-ลาวรแี ละลิวอสิ
4. สไลด์สอนเรื่อง ทฤษฎกี รด-เบส

30

9. กำรวดั ผลและประเมนิ ผล

จุดประสงค์ วธิ กี ำรวัด/เคร่อื งมือวัด เกณฑก์ ำรประเมิน

1. ดำ้ นควำมรู้ (K)

นักเรียนสามารถอธิบายสารเป็น - การตอบคาถาม - ข้อคาถาม - ไดค้ ะแนนรอ้ ยละ
กรดหรือเบสโดยใชท้ ฤษฎีกรด-เบสของ ในชน้ั เรียน 70 ข้นึ ไป
อาร์เรเนียส เบรินสเตด-ลาวรีและลิว

อิส

2. ด้ำนทักษะ/กระบวนกำรคดิ (P) - แ บ บ ฝึ ก หั ด

นักเรียนสามารถระบุสารเป็นกรด - ตรวจใบงาน ทฤษฎีกรด-เบส - ไดค้ ะแนนรอ้ ยละ
หรือเบสโดยใช้ทฤษฎีกรด-เบสของอาร์ ของอาร์เรเนยี ส 70 ขึ้นไป
เบรินสเตด-ลาว
เรเนยี ส เบรินสเตด-ลาวรแี ละลวิ อิส
รแี ละลวิ อสิ

3. ด้ำนคุณลักษณะอันพึงประสงค์

(A) - แบบประเมิน - ได้คะแนนใน
นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องาน - การสงั เกต คุณลักษณะอัน ระดับ 3 (ดี) ข้นึ ไป
พงึ ประสงค์
ที่ได้รับมอบหมายและทางานร่วมกับ

ผูอ้ ื่นได้

31

10. บันทกึ หลงั กำรสอน
ผลการเรียนรู้
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
................................................................................................................................................................

ปญั หาและอปุ สรรค
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
................................................................................................................................................................

ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
................................................................................................................................................................

ลงช่อื ……………………………………………….
(นางสาวชนิดา แก่นท้าว)
ครผู ู้สอน

32

ควำมคิดเหน็ / ขอ้ เสนอแนะของครูพ่เี ล้ียง
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ……………………………………………….
(นางสพุ ิณยา วงษอ์ บุ ล)
ครพู ่ีเลีย้ ง

ควำมคิดเห็น / ข้อเสนอแนะของหัวหน้ำกลุ่มสำระกำรเรยี นรู้วิทยำศำสตร์
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ……………………………………………….
(นางสริ ิลกั ษณ์ ทองสะอาด)

หวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยี

ควำมคิดเห็น / ขอ้ เสนอแนะของผู้อำนวยกำรสถำนศกึ ษำ
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ……………………………………………….
()
ผู้อานวยการสถานศกึ ษา

33

แบบฝกึ หัดท่ี 1
ทฤษฎีกรด-เบสของอำร์เรเนยี ส เบรนิ สเตด-ลำวรีและลิวอสิ

คาช้ีแจง : ให้นักเรยี นพิจารณาปฏิกริ ิยาไปข้างหน้าและตอบคาถามต่อไปนใี้ ห้ถูกตอ้ ง
1. สารตัง้ ต้นใดเป็น “กรด” ตามทฤษฎกี รด-เบสอาร์เรเนยี ส
1.1 HF(aq) + H2O(l) ↔ F-(aq) + H3O+(aq)
1.2 HSO-4(aq)+ H2O (l) ↔ SO42-(aq)+ H3O+(aq)
1.3 HNO3(aq) + H2O(l) ↔ NO3- (aq) + H3O+(aq)
1.4 HClO4(aq) ↔ ClO4- (aq) + H+(aq)

2. สารต้งั ต้นใดเปน็ “เบส” ตามทฤษฎกี รด-เบสเบรินสเตด-ลาวรี
2.1 CN-(aq) + H2O(l) ↔ HCN(aq) + OH-(aq)
2.2 H2S(aq) + H2O(l) ↔ HS-(aq) + H3O+(aq)
2.3 CH3COO-(aq) + H2O(l) ↔ CH3COOH(aq) + OH-(aq)
2.4 CH3NH2(aq) + H2O(l) ↔ CH3NH+3(aq) + OH-(aq)

3. สารต้ังตน้ ใดเป็น “กรด” ตามทฤษฎกี รด-เบสลิวอิส
3.1 Ag+(aq) + 2NH3(aq) → [H3N-Ag-NH3]+(aq)
3.2 (CH3)2NH(aq)+ AlCl3(aq)→(CH3)2NH-AlCl3(aq)

34

แผนกำรจัดกำรเรียนร้ทู ี่ 2 ภำคเรียนที่ 2/2564
ช้นั มธั ยมศึกษำปีที่ 5
กลมุ่ สำระกำรเรยี นรูว้ ิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี
รำยวชิ ำเพม่ิ เตมิ เคมี 4 เวลำ 30 ช่วั โมง
เวลำ 2 ชั่วโมง
หน่วยกำรเรยี นรทู้ ่ี 1 กรด-เบส
เรื่อง คูก่ รด-เบส
ครูผู้สอน นำงสำวชนดิ ำ แกน่ ทำ้ ว

1. สำระกำรเรยี นรแู้ ละผลกำรเรยี นรู้
สำระท่ี 5 สำระเคมี
เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี

สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และเซลล์เคมีไฟฟ้า รวมท้ังการนา
ความรู้ไปใช้ประโยชน์

ผลกำรเรยี นรู้
ระบุคูก่ รด-เบสของสารตามทฤษฎกี รด-เบสของเบรนิ สเตด-ลาวรี

2. สำระสำคญั /ควำมคดิ รวบยอด
ตามทฤษฎีกรด-เบสของเบรินสเตด–ลาวรี เม่ือกรดหรอื เบสละลายน้าหรือทาปฏกิ ริ ยิ ากบั สารอื่น จะมี

การถา่ ยโอนโปรตอนระหวา่ งสารตัง้ ต้นท่ีเปน็ กรดและเบส เกิดเปน็ ผลติ ภัณฑ์ซึง่ เป็นโมเลกุลหรือไอออนที่เป็นคู่
กรด-เบสของสารตั้งต้นน้นั โดยสารที่เป็นคูก่ รด-เบสกนั จะมโี ปรตอนตา่ งกนั 1 โปรตอน

3. จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้
3.1 ดำ้ นควำมรู้ (K)
นกั เรียนสามารถอธบิ ายคู่กรด-เบสของสารตามทฤษฎีกรด-เบสของเบรินสเตด-ลาวรี
3.2 ด้ำนทักษะ/กระบวนกำรคิด (P)
นกั เรียนสามารถระบุคูก่ รด-เบสของสารตามทฤษฎกี รด-เบสของเบรนิ สเตด-ลาวรี
3.3 ด้ำนคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
นักเรียนมีความรบั ผดิ ชอบต่องานทไี่ ด้รับมอบหมาย

4. สำระกำรเรยี นรู้
ตามทฤษฎกี รด-เบสของเบรนิ สเตด-ลาวรี เมือ่ สารทาปฏิกิรยิ ากนั จะมีการถา่ ยโอนโปรตอนให้กันสาร

ตัง้ ตน้ ชนดิ หนา้ จะทาหน้าทีเ่ ป็นกรด อกี ชนิดหนง่ึ ทาหน้าท่ีเป็นเบส เกิดผลิตภัณฑซ์ ึง่ เป็นโมเลกุลหรือไอออนท่ี
เป็นคกู่ รด-เบส (conjugate acid-base pairs)

5. สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคิด

6. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1. ใฝ่เรยี นรู้

35

7. กำรจดั กิจกรรมกำรเรียนรู้
ใช้รูปแบบการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 5E

7.1 ขน้ั สร้ำงควำมสนใจ (Engagement)
1. นกั เรยี นทบทวนความรู้เกย่ี วกบั ทฤษฎกี รด-เบสของเบรนิ สเตด-ลาวรี

ทฤษฎีกรด-เบสของเบรินสเตด-ลาวรี โดยนิยามว่า กรดคือสารท่ีให้โปรตอน และเบสคือสารท่ีรับ
โปรตอน

2. นกั เรยี นระบุว่าสารตงั้ ตน้ แตล่ ะชนดิ เป็นกรดหรือเบสตามทฤษฎีกรด-เบสของเบรินสเตด-ลาวรี โดย

ตวั อยา่ งคอื กรดไฮโดรฟลูออริก (HF) (แนวคาตอบ: HF เป็นกรด และน้าเปน็ เบส)
HF (aq) + H2O (aq) ↔ F-(aq) + H3O+ (aq)

3. นักเรยี นพิจารณาสมการยอ้ นกลบั ของกรดไฮโดรฟลอู อรกิ สารใดเป็นกรดหรอื เบส (แนวคาตอบ:
H3O+ ทาหนา้ ทเี่ ปน็ กรด และ F- ทาหนา้ ที่เปน็ เบส )
7.2 ขั้นสำรวจและค้นหำ (Exploration)

1. นกั เรียนศึกษาความหมายของคาว่าคู่กรด-เบส
ตามทฤษฎีกรด-เบสของเบรินสเตด-ลาวรี เมื่อสารทาปฏิกิริยากันจะมีการถ่ายโอนโปรตอนให้กันสาร

ตั้งต้นชนิดหน้าจะทาหนา้ ทเ่ี ปน็ กรด อกี ชนิดหนึ่งทาหน้าที่เปน็ เบส เกิดผลติ ภณั ฑซ์ ึ่งเปน็ โมเลกลุ หรือไอออน
ทเี่ ป็นคูก่ รด-เบส (conjugate acid-base pairs)

2. นกั เรียนศึกษาคู่กรด-เบสของกรดไฮโดรฟลอู อกรกิ

คูก่ รด-เบส

HF (aq) + H2O (aq) ↔ F-(aq) + H3O+ (aq)
กรด เบส เบส กรด

ค่กู รด-เบส

7.3 ขน้ั อธบิ ำยและลงขอ้ สรปุ (Explanation)

1. นกั เรียนศึกษาค่กู รด-เบสอื่น ๆ ในหนงั สอื เรยี นหนา้ 10 โดยครคู อยให้คาอธิบายเพ่ิมเตมิ

คกู่ รด-เบส

CH3COO-(aq) + H2O(l) ↔ CH3COOH(aq) + OH-(aq)

เบส กรด กรด เบส

ค่กู รด-เบส

คู่กรด-เบส

NH3(g)+ H2O(l)↔ NH+4OH-(aq)+ OH-(aq)
เบส กรด กรด เบส

คู่กรด-เบส

2. นกั เรียนทาแบบตรวจสอบความเขา้ ในในหนงั สอื เรยี นหนา้ 10
7.4 ขั้นขยำยควำมรู้ (Elaboration)

1. นกั เรียนศึกษาความรเู้ กี่ยวกบั การระบุคู่กรด-เบสของสารท่ีสามารถใหห้ รอื รับโปรตอนไดม้ ากกวา่ 1
โปรตอนต่อ 1 โมเลกุล

36

สารบางชนดิ สามารถให้หรือรับโปรตอนไดม้ ากกว่า 1 โปรตอนตอ่ 1 โมเลกลุ ในแตล่ ะข้ันของปฏิกิริยา
การแตกตวั จะมีคกู่ รด-เบสเกิดขน้ึ เชน่ กรดฟอสฟอริก (H3PO4) แตกตวั ในน้าให้ 3 โปรตอน ดงั สมการ

คกู่ รด-เบส

H3PO4(aq) + H2O(l) ↔ H2PO-4(aq) + H3O+ (aq)

กรด เบส เบส กรด

คู่กรด-เบส

ค่กู รด-เบส

H2PO4- (aq) + H2O(l) ↔ HPO42-(aq) + H3O+ (aq)
กรด เบส เบส กรด

คกู่ รด-เบส

คกู่ รด-เบส

HPO42-(aq) + H2O(l) ↔ PO43-(aq) + H3O+ (aq)

กรด เบส เบส กรด

ค่กู รด-เบส

2. นกั เรียนทาแบบตรวจสอบความเข้าใจในหนังสอื เรยี นหนา้ 12
3. นกั เรียนศึกษาเพม่ิ เตมิ เก่ยี วกบั สารแอมโฟเทอริก (amphoteric substances)
4. นกั เรียนทาตวั อย่างที่ 1 ในหนังสือเรยี นหน้า 13
7.5 ข้นั ประเมิน (Evaluation)
1. นกั เรยี นทาแบบฝกึ หดั ที่ 10.2 ในหนงั สอื เรยี นรายวิชาเพมิ่ เติม เคมี 4 หนา้ 13
2. นักเรยี นเขยี นสรุปเกย่ี วกบั เรอ่ื งคกู่ รด-เบส ลงในสมุด

8. ส่ือ/แหลง่ กำรเรียนรู้

1. หนงั สือเรียนรายวิชาเพมิ่ เติมเคมี 4
2. สไลดส์ อน เรือ่ ง คกู่ รด-เบส

37

9. กำรวัดผลและประเมินผล

จุดประสงค์ วิธีกำรวัด/เครอ่ื งมอื วดั เกณฑ์กำรประเมิน

1. ด้ำนควำมรู้ (K) - การตอบคาถาม - ได้คะแนนรอ้ ยละ
70 ข้นึ ไป
นักเรียนสามารถอธิบายคู่กรด-เบส ในช้ันเรยี น - ขอ้ คาถาม
ของสารตามทฤษฎีกรด-เบสของเบ - แบบฝึกหัดท่ี

รินสเตด-ลาวรี 10.2

2. ดำ้ นทักษะ/กระบวนกำรคิด (P) - แบบฝึกหัดที่ - ไดค้ ะแนนร้อยละ
10.2 70 ขึน้ ไป
นักเรียนสามารถระบุคู่กรด-เบส - แบบฝกึ หัดที่
ของสารตามทฤษฎีกรด-เบสของเบ 10.2
รนิ สเตด-ลาวรี

3. ด้ำนคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ - การสังเกต - แบบประเมิน - ได้คะแนนใน
(A) ระดับ 3 (ด)ี ขึน้ ไป
คุณลักษณะอัน
นกั เรียนมคี วามรับผดิ ชอบตอ่ งานท่ี พงึ ประสงค์
ไดร้ ับมอบหมาย

38

10. บนั ทกึ หลงั กำรสอน
ผลการเรยี นรู้
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
................................................................................................................................................................

ปญั หาและอุปสรรค
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
................................................................................................................................................................

ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
................................................................................................................................................................

ลงชื่อ……………………………………………….
(นางสาวชนิดา แกน่ ท้าว)
ครผู ู้สอน

39

ควำมคิดเหน็ / ข้อเสนอแนะของครูพ่เี ลี้ยง
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ……………………………………………….
(นางสุพณิ ยา วงษ์อบุ ล)
ครพู เ่ี ล้ียง

ควำมคดิ เห็น / ข้อเสนอแนะของหัวหน้ำกลมุ่ สำระกำรเรยี นรู้วทิ ยำศำสตร์
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ……………………………………………….
(นางสริ ิลักษณ์ ทองสะอาด)

หัวหน้ากลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี

ควำมคิดเห็น / ข้อเสนอแนะของผู้อำนวยกำรสถำนศึกษำ
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ……………………………………………….
()
ผู้อานวยการสถานศึกษา

40

แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ที่ 3 ภำคเรยี นที่ 2/2564
ชัน้ มธั ยมศึกษำปีที่ 5
กล่มุ สำระกำรเรียนร้วู ิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี
รำยวชิ ำเพิ่มเติม เคมี 4 เวลำ 30 ช่ัวโมง
เวลำ 2 ช่วั โมง
หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 1 กรด-เบส
เรื่อง กำรแตกตวั ของกรด เบส และนำ้ (1)
ครูผูส้ อน นำงสำวชนดิ ำ แกน่ ทำ้ ว

1. สำระกำรเรยี นรแู้ ละผลกำรเรียนรู้
สำระที่ 5 สำระเคมี
เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี

สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และเซลล์เคมีไฟฟ้า รวมทั้งการนา

ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ผลกำรเรียนรู้

1. คานวณ และเปรียบเทียบความสามารถ ในการแตกตวั หรอื ความแรงของกรดและเบส

2. สำระสำคัญ/ควำมคดิ รวบยอด
กรดและเบสแต่ละชนิดสามารถแตกตัวในน้าได้แตกต่างกัน กรดแก่หรือเบสแก่สามารถแตกตัวเป็น

ไอออนในน้าได้เกือบสมบูรณ์ส่วนกรดอ่อนหรือเบสอ่อนแตกตัวเป็นไอออนได้น้อย โดยความสามารถในการ

แตกตัวหรือความแรงของกรดหรือเบสอาจพิจารณาได้จากค่าคงท่ีการแตกตัวของกรดหรือเบส หรือปริมาณ
การแตกตัวเปน็ รอ้ ยละของกรดหรอื เบส

3. จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้
3.1 ด้ำนควำมรู้ (K)

1. บอกความหมายวา่ สารใดเป็นกรดแก่ เบสแก่ กรดอ่อน และเบสออ่ น
2. ระบุว่าสารใดเป็นกรดแก่ เบสแก่ กรดอ่อน และเบสอ่อน
3.2 ด้ำนทักษะ/กระบวนกำรคิด (P)

1. คานวณความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออนและไฮดรอกไซด์ไอออน ร้อยละการแตกตัวของกรด
และค่าคงท่กี ารแตกตวั ของกรด

2. เปรยี บเทยี บความความสามารถในการแตกตัวหรอื ความแรงของกรดและเบส
3.3 ดำ้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)

1. นักเรยี นมคี วามรับผดิ ชอบตอ่ งานที่ได้รบั มอบหมาย

4. สำระกำรเรยี นรู้
การแตกตัวของกรดแกแ่ ละเบสแก่
การแตกตวั ของกรดออ่ น

คา่ คงท่กี ารแตกตวั ของกรด (acid dissociation constant; Ka)

41

5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

6. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
1. ใฝเ่ รยี นรู้
2. มคี วามรับผดิ ชอบ

7. กำรจัดกจิ กรรมกำรเรยี นรู้
ใช้รปู แบบการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 5E
7.1 ข้นั สร้ำงควำมสนใจ (Engagement)
1. นักเรียนทบทวนความรู้เดิม เกี่ยวกับกรดและเบสส่วนใหญ่แตกตัวในน้า และให้ผลิตภัณฑ์เป็น
ไอออนจึงทาให้สารละลายนาไฟฟ้าได้ จากน้ันครูแสดงสมการเคมี HCl CH3COOH NH3 NaOH เพื่อ
แสดงการแตกตวั ไดส้ ารละลายไอออนทส่ี ามารถนาไฟฟา้ ได้
2. นักเรยี นสงั เกตรูปภาพแสดงความสว่างของหลอดไฟทตี่ ่อเขา้ กับแหลง่ กาเนดิ ไฟฟา้ และสารละลายท่ี
มคี วามเขม้ ข้นเท่ากนั

3. นักเรียนตอบคาถาม “กรดและเบสแต่ละชนิดแตกตัวเป็นไอออนต่างกันหรือไม่ อย่างไร” (แนว
คาตอบ: ตา่ งกนั หรือข้ึนอยกู่ ับแนวคิดของนกั เรยี น)

4. นักเรียนทบทวนเก่ียวกบั pH ของกรด-เบส จากนั้นครูให้ความรูเ้ ก่ียวกับความสามารถในการแตก
ตวั ของกรด-เบสสมั พันธก์ ับคา่ pH ของสารน้นั ๆ

42

7.2 ขน้ั สำรวจและค้นหำ (Exploration)
1. นักเรียนดูรูปภาพการแตกตัวของกรดแก่ เบสแก่ โดยครูอธิบายโดยใช้สมการเคมีการแตกตัวของ

HX ในนา้ ดังน้ี

HX(aq) → H+(aq) + X-(aq)
HX(aq) + H2O (l) → H3O+(aq) + X-(aq)
จากน้ันครูอธิบาย เบสแก่แตกตัวเป็นไอออนในน้าได้สมบูรณ์เช่นเดียวกับกรดแก่ โดยยกตัวอย่าง
สมการดังน้ี

BOH(aq) → B+(aq) + OH-(aq)
2. นักเรียนดูตารางกรดแกเ่ บสแก่ในหนงั สือเรียน หน้า 17 จากนั้นตอบคาถาม “สูตรเคมีของกรดแก่
เบสแก่ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร” (แนวคาตอบ: กรดแก่จะเป็นกรดทวิภาคของธาตุ แฮโลเจนและกรด

ออกซี สว่ นเบสส่วนใหญเ่ ป็นไฮดรอกไซด์ของโลหะหมู่ IA และ IIA)
3. นักเรยี นดูตวั อย่างการคานวณความเขม้ ขน้ ของไอออนในสารละลายกรดแก่และเบสแก่
ตัวอย่างที่ 1 ถ้าต้องการสารละลายท่ีมีความเข้มข้นของไฮโดรเจนไอออน (H+) และโบไมด์ไอออน

(Br-) ชนิดละ 0.6 โมลตอ่ ลิตร จะตอ้ งใชแ้ กส๊ ไฮโดรเจนโบรไมด์ (HBr) ละลายในน้าจนไดป้ รมิ าตร 2 ลิตร
วิธที า HBR(g) + H2O (l) → Br-(aq) + H3O+(aq)
ถ้าต้องการสารละลายท่ีมีความเข้มข้นของ H+ และ Br- ชนิดละ 0.6 โมลต่อลิตร แสดงว่า

ความเขม้ ข้นเริม่ ต้นของแก๊ส HBr จะเทา่ กบั 0.6 โมลต่อลิตรดว้ ย
จานวนโมลของ HBr ในสารละลาย 2 L คานวณได้ดงั นี้

จานวนโมลของ HBr = 0.6 โมล HBr × 2 L
1L
= 1.2 mol

ดงั นั้น ตอ้ งใชแ้ ก๊สไฮโดรเจนโบรไมด์ 1.2 โมล

ตัวอยา่ งท่ี 2 สารละลายสตรอนเชียมไฮดรอกไซด์ (Sr(OH)2) ปรมิ าตร 0.4 ลิตร มคี วามเขม้ ข้นของไฮ
ดรอกไซดไ์ อออน (OH-) 1 โมลตอ่ ลติ ร ถา้ เติมนา้ ลงไปจนได้สารละลายปริมาตร 2 ลิตร จงคานวณจานวนโมล
และความเข้มขน้ ของสตรอนเชียมไอออน (Sr+) และไฮดรอกไซดไ์ อออน (OH-)
วธิ ีทา Sr(OH)2(aq) → Sr+(aq) + 2OH-(aq)
จากความเข้มข้นของ OH- สามารถนาไปคานวณจานวนโมลเร่ิมต้นของ Sr(OH)2 ดังน้ี
1 mol OH- 1 mol Sr(OH)2
จานวนโมลของ Sr(OH)2 = 1L × 0.4 L × 2L

= 0.2 mol Sr(OH)2

43

นั้นคือ ในสารละลายปริมาตร 0.4 ลติ ร มี Sr(OH)2 0.2 โมล
จากสมการเคมีจะเห็นว่า Sr(OH)2 1 โมล แตกตัวให้ Sr+ 1 โมล และ OH- 2 โมล ดังนั้น Sr(OH)2 0.2 โมล
แตกตวั ให้ Sr+ 0.2 โมล และ OH- 0.4 โมล
คานวณความเขม้ ข้นของ Sr+ และ OH-
SOrH+ -==00.2.4m2m2oLolLlSOr+H-==0.01.2mmool/lL/L
ความเข้มข้นของ
ความเข้มขน้ ของ

4. นกั เรยี นทาแบบตรวจสอบความเขา้ ใจในหนงั สอื เรยี นเพ่มิ เตมิ เคมี 4 หน้า 19

5. นกั เรียนสงั เกตรปู ภาพเกย่ี วกบั การแตกตวั ของกรดออ่ น

จากนนั้ ครยู กตวั อยา่ งสมการเคมกี ารแตกตวั ของกรดอ่อน
HA(aq) → H+(aq) + A-(aq)
HA(aq) + H2O (l) → H3O+(aq) + A-(aq)
ครูอธิบาย กรดอ่อนเม่ือละลายน้าจะแตกตัวเป็นไอออนได้บางส่วน การคานวณความเข้มข้นของ

ไอออนในสารละลาย จึงตอ้ งทราบปรมิ าณของกรดทีแ่ ตกตัว

6. นักเรียนดูตัวอย่างคานวณการแตกตัวของกรดอ่อนจากหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม เคมี 4 หน้า

20

ตัวอย่างที่ 3 สารละลายกรดไฮโดรฟลูออริก (HF) 0.5 โมลต่อลิตร แตกตัวให้ไฮโดรเนียมไอออน
(H3O+) 0.02 โมลตอ่ ลิตร จงคานวณร้อยละการแตกตวั ของกรด HF
วิธที า รอ้ ยละกาHรFแ(ตaqก)ต+ัวขHอ2งOHF(l)=→00.0.52mHmo3olOl//LL+(×aq1)0+0 F-(aq)
=4

ดังนน้ั กรดไฮโดรฟลูออรกิ แตกตัวร้อยละ 4

ครอู ธบิ าย เนอื่ งจากการแตกตวั ของกรดอ่อนในน้ามีสมดุลเกิดขนึ้ จงึ มีค่าคงทส่ี มดุลที่เรียกว่า ค่ำคงที่

กำรแตกตัวของกรด (acid dissociation constant; Ka)
HA(aq) + H2O (l) → H3O+(aq) + A-(aq)
[A-][H3O+]
Ka = HA

7. นกั เรยี นดูตารางคา่ คงท่กี ารแตกตวั ของกรด โดยคา่ คงทก่ี ารแตกตวั ของกรดบอกให้ทราบว่ากรดนั้น

แตกตวั ได้มากหรือน้อยเพียงใด โดยกรดที่มคี ่า Ka มากกวา่ จะแตกตวั ไดม้ ากกว่าและเป็นกรดทีแ่ รงกวา่ ซึ่ง
คา่ Ka และความแรงเป็นสมบัติเฉพาะของกรดท่ีไม่ข้ึนกับความเขม้ ข้น

44

8. นักเรียนดูตวั อย่างการคานวณรอ้ ยละการแตกตัวของกรดออ่ น ในหนงั สอื เรียนเพ่ิมเตมิ เคมี 4 หนา้

22
ตวั อยา่ งท่ี 4 สารละลายกรดแอซีตกิ (CH3COOH) 0.5 โมลต่อลติ ร มีไฮโดรเนยี มไอออน (H3O+)
เข้มข้นเทา่ ใด
วธิ ที า CH3COOH(aq) + H2O (l) → CH3CHOO-(aq) + H3O+(aq)
[CH3CHOO-][H3O+]
1.8 × Ka = (x)(x)[CH3COOH]
10-5 =
0.5
x2 = 0.5 × 1.8 × 10-5
X = 3.0 × 10-3

7.3 ขน้ั อธิบำยและลงขอ้ สรปุ (Explanation)

1. นักเรียนสรุปความรู้ท่ีได้จากการเรียน โดยครูคอยเสนอแนะเพิ่มเติม จากการคานวณจะเห็นว่า
ความเข้มข้นของ H3O+ = 3.0 × 10-3 mol/L น้อยมากเม่ือเทียบกับความเข้มข้นของ CH3COOH = 0.5
mol/L เลยต้องใช้การเปรยี บเทยี บหรอื การประมาณค่า

7.4 ขัน้ ขยำยควำมรู้ (Elaboration)

1. นกั เรียนทาแบบตรวจสอบความเข้าใจ
สารละลายกรดออ่ น HA 1 × 10-3 mol/L มคี วามเข้มขน้ ของไฮโดรเนียมไอออนเทา่ ใด กาหนดให้
คา่ คงท่กี ารแตกตวั ของกรดนีเ้ ทา่ กบั 1 × 10-5

7.5 ขั้นประเมนิ (Evaluation)

1. นักเรียนสรุปความรทู้ ่ไี ด้ลงในสมดุ

2. นักเรียนทาแบบฝกึ หัด เร่ือง การแตกตัวของกรด เบส และน้า

8. ส่อื /แหลง่ กำรเรยี นรู้
1. หนงั สอื เรยี นรายวิชาวิทยาศาสตรเ์ พ่ิมเติม เคมี 4

45

2. แบบฝึกหัด เร่อื ง การแตกตวั ของกรด เบส และนา้
3. สไลด์สอน เรื่อง การแตกตัวของกรด เบส และน้า

9. กำรวัดผลและประเมนิ ผล

จุดประสงค์ วธิ ีกำรวัด/เคร่อื งมอื วดั เกณฑก์ ำรประเมิน

1. ด้ำนควำมรู้ (K)

1. บอกความหมายว่าสารใดเป็น - การตอบคาถาม - ขอ้ คาถาม - ไดค้ ะแนนรอ้ ยละ
กรดแก่ เบสแก่ กรดอ่อน และเบสออ่ น ในช้นั เรียน 70 ขึ้นไป

2. ระบุว่าสารใดเปน็ กรดแก่ เบสแก่

กรดออ่ น และเบสออ่ น

2. ดำ้ นทกั ษะ/กระบวนกำรคดิ (P)

1. คานวณความเข้มข้นของไฮโดร

เนียมไอออนและไฮดรอกไซด์ไอออน - แ บ บ ฝึ ก หั ด

ร้อยละการแตกตัวของกรด และ - ตรวจใบงาน เรื่อง การแตก - ได้คะแนนรอ้ ยละ
ค่าคงท่กี ารแตกตัวของกรด ตวั ของกรด เบส 70 ข้นึ ไป

2. เปรียบเทียบความความสามารถ และนา้

ในการแตกตัวหรือความแรงของกรด

และเบส

3. ดำ้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ - แบบประเมิน
คุณลักษณะอัน
(A) - การสังเกต พงึ ประสงค์ - ไดค้ ะแนนใน
1. นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อ ระดบั 3 (ด)ี ขึ้นไป

งานที่ได้รับมอบหมาย

46

10. บันทึกหลงั กำรสอน
ผลการเรียนรู้
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
................................................................................................................................................................

ปัญหาและอปุ สรรค
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
................................................................................................................................................................

ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
................................................................................................................................................................

ลงช่ือ……………………………………………….
(นางสาวชนดิ า แก่นทา้ ว)
ครผู สู้ อน

47

ควำมคิดเหน็ / ข้อเสนอแนะของครพู ่ีเลี้ยง
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ……………………………………………….
(นางสพุ ณิ ยา วงษอ์ ุบล)
ครพู ี่เลยี้ ง

ควำมคิดเห็น / ขอ้ เสนอแนะของหัวหน้ำกลมุ่ สำระกำรเรยี นรูว้ ิทยำศำสตร์
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ……………………………………………….
(นางสริ ลิ กั ษณ์ ทองสะอาด)

หวั หน้ากลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยี

ควำมคิดเห็น / ขอ้ เสนอแนะของผอู้ ำนวยกำรสถำนศกึ ษำ
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงช่ือ……………………………………………….
()
ผู้อานวยการสถานศึกษา


Click to View FlipBook Version