The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วรรณกรรมท้องถิ่นภาคกลาง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jutamasmaniid, 2022-10-20 04:51:21

วรรณกรรมท้องถิ่นภาคกลาง

วรรณกรรมท้องถิ่นภาคกลาง

วรรณกรรมท้องถิน่ ภาคกลาง

อ.ธิดาดาว เดชศรี

สภาพภูมศิ าสตร์

ท่ีมา: https://sites.google.com/site/sunisa1985555/phumisastr-phakh-klang

ลกั ษณะภูมิประเทศ

- เขตท่ีราบภาคกลางตอนบน เป็นที่ราบลุ่มแมน่ ้าและท่ีราบลูกฟูก (เนิน
เขาสลบั กบั ที่ราบ)

- เขตที่ราบภาคกลางตอนล่าง เป็นที่ราบกวา้ งที่เกิดจากการทบั ถมของ
ตะกอน และเกิดเป็นดินดอนสามเหล่ียมปากแมน่ ้าเจา้ พระยา

- เขตที่ราบทางตะวนั ออกและตะวนั ตก เป็นที่ราบลุ่มแม่น้าสลบั กบั
ลูกฟูก มีภูเขาที่ไม่สูงกระจายอยทู่ ว่ั ไป

ท่ีมา: https://sites.google.com/site/sunisa1985555/phumisastr-phakh-klang

แม่นา้ สายสาคญั ของภาคกลาง

o แม่น้าเจ้าพระยา เร่ิมจากจงั หวดั นครสวรรค์ไหลลงสู่ทะเลท่ีจงั หวดั
สมุทรปราการ และมีแม่น้าสายเล็ก ๆ ที่เป็ นสาขาคือ แม่น้ามะขามเฒ่า
(แมน่ ้าลพบุรี) แมน่ ้านอ้ ย(สุพรรณบุรี) และแม่น้านครชยั ศรี(ทา่ จีน)

o แม่น้าป่ าสัก เริ่มจากจงั หวดั เลย ไหลมาบรรจบกบั แม่น้าเจา้ พระยาที่
จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา

ที่มา: https://sites.google.com/site/sunisa1985555/phumisastr-phakh-klang

แม่นา้ สายสาคญั ของภาคกลาง

o แม่น้าสะแกกรัง เร่ิมตน้ จากนครสวรรคแ์ ละกาแพงเพชร ไหลมารวม
กบั แม่น้าเจา้ พระยาที่จงั หวดั อุทยั ธานี

o ภาคกลางมีแหล่งน้าจืดที่ใหญ่ที่สุดของภาค คือ บึงบอระเพ็ด อยู่ที่
จงั หวดั นครสวรรคแ์ ละบึงสีไพ จงั หวดั พจิ ิตร

ท่ีมา: https://sites.google.com/site/sunisa1985555/phumisastr-phakh-klang

วรรณกรรมท้องถิ่น
ภาคกลาง

การเรียนรู้วรรณกรรม

➢ วดั
➢ กจิ กรรมเพื่อความบันเทงิ ใจ

- การสวดหนงั สือ
- การขบั เสภา
- การเทศน์

การสวดหนังสือ

▪ คือการอ่านหนงั สือประเภทกลอนสวดของภาคกลาง
▪ ใชว้ รรณกรรมที่ประพนั ธ์เป็นกาพย์ คือ กาพยย์ านี กาพยฉ์ บงั และ

กาพยส์ ุรางคณางค์
▪ การสวดหรือการอ่านทานองเสนาะ คือการอ่านตามฉันทลกั ษณ์

ของกาพย์ เพยี งแต่มีการเอ้ือนตามทานอง หรือเพ่ิมเติมน้าเสียง ลีลา
จงั หวะ ใหเ้ ขา้ กบั อารมณ์ของเน้ือเรื่องบา้ ง

(ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น.6)

การสวดหนังสือ (ต่อ)

▪ การสวดน้ีมกั จะนิยมให้เด็กนักเรียนตามสานักวดั ต่างๆ ท่ีพอจะ

อ่านหนงั สือไดแ้ ละเสียงดีสวดใหอ้ ุบาสกอุบาสิกาฟังในวนั อุโบสถ

ศลี (วนั พระ)

▪ หนงั สือวรรณกรรมที่ใชส้ วดมกั จะเป็นนิทานคติธรรม

▪ ผูฟ้ ังจะไดร้ ับความเพลิดเพลินจากลีลาทานองเสนาะ และเน้ือเรื่อง

ของนิทาน ในขณะเดียวกนั จะได้คติธรรมจากแก่นของเรื่องใน

วรรณกรรมเหล่าน้นั ดว้ ย (ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.6)

การสวดหนังสือ (ต่อ)

▪ ในสมยั ตน้ กรุงรัตนโกสินทร์ สานกั เรียนวดั ต่างๆ ในกรุงเทพฯ และ
หวั เมืองใกลเ้ คียงมกั จะนาศิษยม์ าสวดหนงั สือวรรณกรรมที่วดั พระ
ศรีรัตนศาสดาราม (วดั พระแกว้ ) ในวนั อุโบสถศลี

▪ การสวดหนงั สือนิทานจึงมีช่ือเรียกอีกอยา่ งหน่ึงว่า “สวดโอเ้ อว้ หิ าร
ราย”

(ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น.6)

การสวดหนังสือ (ต่อ)

▪ นอกจากน้ียงั พบการสวดหนงั สือในพิธีกรรมทางศาสนาดว้ ย นนั่ คือ
การสวดหนงั สือพระมาลยั ในงานศพ

▪ แต่บางคร้ังคณะผสู้ วดยงั นานิทานเร่ืองอื่นๆ มาสวดแทรกบา้ ง เพื่อ
เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ เรียกวา่ “สวดนอก”

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.6)

การขบั เสภา

▪ เป็ นการอ่านทานองเสนาะของวรรณกรรมแบบหน่ึง และเร่ืองที่
นิยมใชม้ กั จะเป็นเร่ือง เสภาเร่ืองขนุ ชา้ งขนุ แผน

▪ ในสมยั อดีตเจา้ ภาพ งานบวชนาค งานแต่งงาน ทอดกฐิน ฯลฯ จะ
หาผทู้ ี่มีฝีปากมาขบั เสภาใหผ้ ทู้ ่ีมาร่วมงานบุญงานกศุ ลฟัง

▪ การขบั เสภาจะใช้ “กรับ” เป็ นเคร่ืองประกอบจงั หวะชนิดเดียว
และมีผขู้ บั เพยี งคนเดียว

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.7)

การขบั เสภา (ต่อ)

▪ ภายหลงั ต่อมามีการปรับปรุงเป็ นผูข้ บั เสภาหลายคน จนถึงมีการ
แต่งตัว ออกท่าทางฟ้อนราตามเน้ือเร่ืองด้วย เรียกว่า “เสภา
ทรงเครื่อง”

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.7)

การเทศน์

▪ เป็ นกิจกรรมท่ีเผยแพร่วรรณกรรมทอ้ งถ่ินวิธีหน่ึง ต่างแต่ว่าใช้
พระภิกษเุ ป็นผเู้ ทศน์

▪ เร่ืองที่นามาเทศน์มกั จะเป็ นวรรณกรรมชาดก หรือวรรณกรรม
นิทานคติธรรม

▪ การเทศนน์ ้นั อ่านหนงั สือใหส้ าเนียงเนิบๆ ข้ึนเสียงสูงต่าบา้ ง

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.7)

การเทศน์ (ต่อ)

▪ หากนาส่วนท่ีไม่ใช่เน้ือหาเร่ืองพระมหาเวสสันดรชาดก จะเรียกว่า
“แหล่นอก”

▪ ทานองการแหล่มีการข้ึนเสียงสูง-ต่าตามทานองดนตรีอีกด้วย
ทานองการแหล่น้นั คือ เพลงแหล่ปัจจุบนั

▪ กลอนแหล่ท่ีรู้จกั กันทวั่ ไป ได้แก่ แหล่บายศรี แหล่นกกระจาย
แหล่สุวรรณสาม ฯลฯ

(ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น.7)

ความสาคญั

• อิทธิพลต่อศิลปะการแสดงพ้ืนบา้ นโดยตรง
• การขบั ลา การเลน่ เพลงพ้นื บา้ น เช่น การเล่นเพลง
เรือ, เพลงเก่ียวขา้ ว, เพลงอีแซว

• อิทธิพลต่อศิลปะการแสดงพ้นื บา้ น เช่น ละครนอก,
ละครชาตรี, หนงั สด, ลิเก

(ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น.13)

ความสาคญั (ต่อ)

• อิทธิพลต่อการอธิบายความเป็นมาของชุมชนและเผา่ พนั ธุ์

• เช่น นิทานพ้นื บา้ นเรื่องทา้ วแสนปม, นิทานเร่ือง
พระยากงพระยาพาน, นิทานเรื่องพระร่วงส่งส่วย
น้า

• เป็นสื่อกลางระหวา่ งบา้ นกบั วดั

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.13)

ความสาคญั (ต่อ)

• อิทธิพลต่อการดาเนินชีวติ ของชาวบา้ นในสงั คม
• อิทธิพลต่อศลิ ปะพ้นื บา้ น

การสืบทอดวฒั นธรรม

การแยกวรรณกรรมทอ้ งถิ่นออกจากวรรณคดีแห่งชาติ
น้ันค่อนขา้ งจะยาก เพราะเหตุว่าเน้ือเรื่องของนิทานพ้ืนบา้ น
ไทยยอ่ มแพร่กระจายไปสู่ภูมิภาคต่างๆ และนกั ปราชญท์ อ้ งถ่ิน
นามาประพนั ธ์ข้ึนตามภาษาถ่ิน ฉนั ทลกั ษณ์ทอ้ งถิ่น และอกั ษร
ถ่ิน อันเป็ นปรากฏการณ์ท่วั ไปของการถ่ายโอนวฒั นธรรม
ราษฎร์มาสู่วฒั นธรรมหลวง

เช่น เรื่องไกรทอง, เร่ืองขนุ ชา้ งขนุ แผน

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.4)

วรรณกรรมทอ้ งถ่ินภาคกลางกบั วรรณคดีแห่งชาติจึงมี
ลักษณะร่ วมกันท้ังเน้ือหาและรู ปแบบ เป็ นแต่เพียงว่า
วรรณกรรมทอ้ งถิ่นชาวบา้ นไม่นิยมคาศพั ท์ยากๆ เช่น ภาษา
บาลีและสันสกฤต ส่วนทางด้านฉันทลกั ษณ์ของวรรณกรรม
ทอ้ งถิ่นนิยมฉันทลกั ษณ์ท่ีเรียบง่าย เช่น คากาพย์ กลอนสวด
กลอนนิทาน กลอนแหล่ เป็นตน้ ส่วนกลอนบทละครก็พบว่า
บทละคร นอกไม่ ยึดแบบแผนเคร่ งครั ดเ หมื อนบทละคร ที่
ประพนั ธ์สมยั ตน้ กรุงรัตนโกสินทร์

(ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น.25-26)

ตวั อย่างนิทานทก่ี ระจายท้งั ๔ ภูมภิ าค

ช่ือเรื่อง ภาคเหนือ ภาคอสี าน ภาคใต้ ภาคกลาง

สังข์ทอง - สุ ว ร ร ณ ห อ ย สั ง ข์ - สุวรรณสังข์กุมาร/ - สงั ขท์ องคากาพย์ - บทละครนอกฉบับ
พระสุธน-มโนราห์ สมยั อยธุ ยา
(ฉบบั ค่าวซอ) สุวณั สงั ขาร์ - บทละครเรื่ องสังข์
สังข์ศิลป์ ชัย ทอง ร.2
-สุวรรณสงั ขช์ าดก

- เจ้าสุธน (ฉบับค่าว - ท้าวสี ทน แต่งเป็ น - มโนห์รานิบาต แต่ง - บทละครนอกเรื่ อง

ซอ) โคลงสาร เป็ นกลอนสวด นาง มโนห์ รา ฉบับ

สมัยอยุธยา (ไม่จบ

เร่ือง)

- สงั ขส์ ิงห์ธนูชยั - สินไซ (สงั ขศ์ ิลปชยั ) - สงั ขศ์ ิลปชยั คากาพย์ - สังข์ศิลปชัยกลอน
สวด

วรรณกรรมมุขปาฐะ

เพลงพืน้ บ้าน

เพลงเดก็

1. เพลงกล่อมเดก็
- เช่น วดั โตนด, นกเขา, ลูกสาวชาวแพ, โอละเห่, แมวเหมียว,

นกเขาขนั , นกกระจาย, ตุ๊กแก, เรือเล่น, ลูกสาวชาวเหนือ, เดือนหงาย,
วดั สิงห์, วดั โบสถ์
o https://www.youtube.com/watch?v=HdXIBIcejlc

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.79)

2. เพลงปลอบเด็ก เช่น

- ต้งั ไขเ่ อย ต้งั ไข่ลม้ จะตม้ ไข่กิน ไข่ตกดิน อดกินไข่เนอ้ (ประกอบการ
สอนเดิน)

- จบั ปูดา ขยาปูนา จบั ปูมา้ ปะปูทะเล (ประกอบการสอนเดก็ หดั กามือ)
-แต่ แต่ ชา้ แต่ เขาแห่ยายมา พอถึงศาลา เขาวางยายลง (ผูใ้ หญ่ใชฝ้ ่ ามือ
ลอ้ ท่ีใบหนา้ เด็กขณะท่ีเดก็ ร้องไห้)
- ผมเปี ย มาเลียใบตอง พระตีกลองตะลุงตุง้ แช่ (เพื่อนร้องเยา้ แหยเ่ ด็กท่ี
ไวผ้ มเปี ย)

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.83)

3. เพลงประกอบการเล่น

- เช่น เพลงประกอบเล่นแมงมุม, เพลงประกอบการเล่นจ้าจ้ี, เพลง
ประกอบการเล่นรี รี ข้าวสาร, เพลงประกอบการเล่นโพงพาง, เพลง
ประกอบการเล่นไล่จบั

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.86)

o https://www.youtube.com/watch?v=AbOrFX7ObCY

4. เพลงร้องเล่น
- เช่น เพลงจนั ทร์เอ๋ยจนั ทร์เจา้ , ฝนตกแดดออก

o https://www.youtube.com/watch?v=wIm7B_NmyTQ

เพลงผู้ใหญ่

o จากการรวบรวมของเอนก นาวกิ มูล เมื่อพ.ศ. 2532 พบวา่ มี 47 ชนิด
o ในที่น้ีจะกล่าวถึงเพียง 8 ชนิด ที่เห็นวา่ แพร่หลายทวั่ ไป และยงั มีพ่อ

เพลง แม่เพลงท่ียงั จดจากนั ได้
- เพลงเรือ, เพลงเตน้ กา, เพลงพิษฐาน, เพลงระบาบา้ นไร่, เพลง

พวงมาลยั , เพลงเหยย่ , เพลงอีแซว, เพลงฉ่อย

(ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น.90)

1. เพลงเรือ
o นิยมเล่นกนั ในฤดูหนา้ น้าหลาก (เดือน 10-12) เล่นทวั่ ไปในจงั หวดั

อยธุ ยา, อ่างทอง, สิงห์บุรี, สุพรรณบุรี, ลพบุรี ฯลฯ
o ธรรมเนียมการเล่นมีเรือหญิง เรือชาย 8-10 คน (ตามขนาดเรือ) มี

พ่อเพลง แม่เพลง ส่วนท่ีเหลือเป็ นลูกคู่ มีฉ่ิง กรับ เป็ นเครื่อง
ประกอบจงั หวะ (ไม่นิยมปรบมือ)
o ในการร้อง พ่อเพลงแม่เพลงจะเป็นเป็นตน้ เสียง และลูกคู่จะร้องรับ
“ฮา้ -ไฮ”้ และเป็นฝีพายช่วยพายเรือดว้ ย

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น. 90)

2. เพลงเต้นกา
o คือเพลงท่ีใชเ้ ล่นในช่วงเกี่ยวขา้ ว หลงั จากหยดุ พกั กล็ อ้ มวงเล่นเพลง

เตน้ กากนั
o เพลงที่ใชเ้ ล่นในระหวา่ งเก่ียวขา้ วมีเพลงเกี่ยวขา้ ว เพลงเตน้ กา เพลง

เต้นการาเคียว ในระหว่างนวดขา้ วก็มี เพลงโอก เพลงพานฟาง
เพลงสองคาลาพวน เพลงเตะขา้ ว เพลงชกั กระดาน เป็นตน้
o เพลงเตน้ กาน้นั เป็นเพลงว่าเก้ียวกนั ระหว่างแม่เพลงและพ่อเพลง มี
ลูกคู่ช่วยร้องรับ

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น. 92)

2. เพลงเต้นกา (ต่อ)

o นิยมเล่นกันในจงั หวดั อ่างทอง, สิงห์บุรี, สุพรรณบุรี, อยุธยา, นครนายก
และจงั หวดั ใกลเ้ คียง

o มกั จะเล่นตอนเยน็ หลงั เลิกจากเก่ียวขา้ วแลว้ ผูเ้ ล่นจะลอ้ มวง มือซ้ายถือรวง
ขา้ ว มือขวาถือเคียว พอ่ เพลงแมเ่ พลงอาจจะมีหลายคน ช่วยกนั วา่ แกฝ้ ่ ายตรง
ขา้ ม คนอื่นๆ เป็ นลูกคู่ร้องรับวา่ “เฮ้ เอา้ เฮ้ เฮะ” เมื่อแม่เพลงร้องจบหน่ึงคา
ร้อง

o เน้ือความท่ีร้องมี เกริ่นหรือเพลงปลอบ, เพลงประ, เพลงบทพาหนี, เพลงลา

(ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น. 92)

3. เพลงพษิ ฐาน

o เป็นเพลงเล่นกนั ในเทศกาลสงกรานต์

o เป็ นเพลงร้องโตต้ อบระหว่างฝ่ ายชาย-หญิง เป็นเพลงส้ันๆ พบเล่น
ในจงั หวดั นครสวรรค,์ อุทยั ธานี, สุโขทยั , และบางส่วนของจงั หวดั

อยธุ ยา, สุพรรณบุรี, กาญจนบุรี

o วิธีเล่น ผูเ้ ล่นจะมีพานดอกไมอ้ ยู่ในมือ เล่นในโบสถ์ แบ่งเป็ นฝ่ าย

ชายและฝ่ ายหญิง ฝ่ ายใดร้องนาข้ึนฝ่ ายน้ันจะเป็นลูกคู่ช่วยร้องรับ
ไม่ตอ้ งปรบมือ เน้ือร้องมีการเก้ียวพาราสีด้วย ข้ึนต้นเพลงด้วย

“พิษฐานเอย” (ธวชั ปุณโณทก, 2543, น. 95)

4. เพลงระบาบ้านไร่

o เป็นเพลงที่ร้องโตต้ อบระหวา่ งชายและหญิง
o เน้ือร้องเกี่ยวเนื่องกบั การเก้ียวพาราสี เล่นกนั ในเทศกาลสงกรานต์
o นิยมเล่นในบริเวณจงั หวดั อ่างทอง, อยุธยา, สุพรรณบุรี, สิงห์บุรี, ลพบุรี,

นครสวรรค,์ อุทยั ธานี
o วิธีเล่น ฝ่ ายหญิงและฝ่ ายชายจะลอ้ มวง ปรบมือช่วยจงั หวะผลดั กนั เป็ นตน้

เสียง ส่วนที่เหลือจะเป็ นลูกคู่ร้องวา่ “ดงไหนเอย ลาไย หอมหวนอยู่ในดง
เอย เขา้ ดง เขา้ ดงลาไย หอมหวนอยใู่ นดงเอย”
o ผเู้ ป็นตน้ เสียงขะข้ึนตน้ วา่ “ระบาท่ีไหนเล่าเอย ช่ืนใจเอ๋ยชาวบา้ นไร่”

(ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น. 95-96)

5. เพลงพวงมาลยั
o นิยมเล่นตามเทศกาลต่างๆ และงานมงคลต่างๆ
o เป็นเพลงร้องโตต้ อบระหวา่ งฝ่ ายชายและฝ่ ายหญิง
o นิยมเล่นในภาคกลางทุกจงั หวดั แต่ในปัจจุบนั คงมีเล่นกนั นอ้ ยมาก
o วธิ ีเล่น แบ่งเป็นฝ่ ายชายและหญิงผลดั กนั ร้อง มีลูกคู่ ส่วนหน่ึงลอ้ ม

วงเล่นกนั ตามลานบา้ น ผลดั กนั เป็ นตน้ เสียง (พ่อเพลง แม่เพลง)
ส่วนท่ีเหลือจะเป็นลูกคู่ช่วยกนั ร้องรับ

(ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น. 95-96)

6. เพลงเหย่ย

o เป็ นเพลงพ้ืนบา้ นของจงั หวดั กาญจนบุรี ซ่ึงเล่นในงานเทศกาล หรืองาน
มงคลตา่ งๆ ท่ีชาวบา้ นมาร่วมกิจกรรมของชุมชน

o วธิ ีการเล่นเพลงเหยย่ นกั เพลงแบ่งเป็นฝ่ ายหญิงและชาย จานวนฝ่ ายละ 8-10
คน (ไม่จากดั ) มีผา้ คลอ้ งคอคนละผืนท้งั ฝ่ ายชายฝ่ ายหญิง มีกลองยาวตีให้
จงั หวะการร้องการราดว้ ย ฝ่ ายหญิงและชายจะยืนตรงกนั เป็ นคู่ ขณะท่ีร้อง
เพลงจะมีผอู้ อกมารา 1 คู่ผลดั เปลี่ยนกนั

o เน้ือร้องของเพลงส่วนใหญ่จะร้องดน้ กลอนสด เพราะเป็ นกลอนง่ายๆ ส่วน
ทา่ ราก็ไม่จากดั ซ่ึงมีท่าราของฝ่ ายชายที่หยอกลอ้ ฝ่ ายหญิงอีกดว้ ย

(ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น. 98)

7. เพลงอแี ซว

o เป็ นเพลงพ้ืนบา้ นในแถบจงั หวดั สุพรรณบุรี เดิมเป็ นเพลงร้องโตต้ อบกนั
ส้ันๆ ในงานเทศกาลสงกรานต์ หรืองานบุญกุศล ต่อมาไดย้ ืมกลอนเพลง
ฉ่อยไปร้องใหย้ าวเป็นเรื่องเป็นราวมากข้ึน

o เพลงอีแซวเป็นเพลงจงั หวะเร็ว เดินจงั หวะดว้ ยฉ่ิง กรับ ในอตั ราช้นั เดียวคือ
ฉ่ิงฉบั ๆ ไปเรื่อยๆ

o วธิ ีการเล่น มีพอ่ เพลงแม่เพลงท้งั สองฝ่ าย และมีผูร้ ่วมแสดงฝ่ ายละ 4-5 คน
เน้ือร้องเป็นเชิงเก้ียวพาราสีกนั การเล่นจะเริ่มจากบทไหวค้ รู เกร่ิน บทผูกรัก
บทเก้ียว บทประ แนวเน้ือร้องของเพลงจะนิยมแฝงคาสองแง่สองง่ามไว้

เสมอ (ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น. 98)

8. เพลงฉ่อย

o เป็นเพลงที่เล่นกนั ทวั่ ไปทุกจงั หวดั ภาคกลางในสมยั อดีต มกั เล่นในเทศกาล
สงกรานต์ หรือวนั นกั ขตั ฤกษ์อื่นๆ ภายหลงั มีการต้งั เป็ นวงอาชีพรับจา้ ง
แสดงทว่ั ไป

o วิธีเล่น เพลงฉ่อยเป็ นเพลงร้องโตต้ อบระหวา่ งหญิงชาย มีเอกลกั ษณ์ตรงที่
ลูกคู่จะร้องรับวา่ “เอ่ชา เอ๊ชา ชา ฉาด ชา” (บางคณะต่อดว้ ย หน่อยแม่ หรือ
รับเอ่ชา ทานองอื่น) แบบแผนการเล่นจะเริ่มจากการร้องไหวค้ รู, เพลงเกร่ิน,
เพลงประ, พาหนี, สู่ขอ ตอนทา้ ยก็ร้องเพลงลา เป็นตน้

o ไม่มีเคร่ืองดนตรีประกอบ พอ่ เพลงแมเ่ พลงและลูกคูจ่ ะปรบมือเท่าน้นั

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น. 101)

ปริศนาคาทาย

o อารัมภบท อะไรเอ่ย
o ท่ีมาของตวั ปริศนา

o อวยั วะและส่วนต่างๆ ในร่างกายของคน (อะไรเอ่ย ตดั โคนก็ไม่ตาย ตดั
ปลายก็ไม่เน่า)

o พืช (อะไรเอย่ ตน้ เทา่ ปลายกอ้ ย พระยานงั่ หา้ ร้อยก็ไม่หกั )
o สัตว์ (อะไรเอย่ หนา้ แลง้ อยถู่ ้า หนา้ น้าอยดู่ อน เกลา้ ผมเป็นมอญใหม)่

(ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น.55-56)

ปริศนาคาทาย (ต่อ)

o เคร่ืองมือเครื่องใช้และการประกอบอาชีพ (อะไรเอ่ย หลงั งอๆ กินหญา้
หมดทุง่ )

o ดนิ ฟ้าอากาศ (อะไรเอย่ กลางวนั เกบ็ ใส่กระบาย กลางคืนกระจายออก)
o อาหารการกนิ (อะไรเอย่ กลมๆ สองหนา้ มีงาเตม็ ตวั )
o การละเล่นและกีฬา (อะไรเอ่ย ชาวนาก็ไม่ใช่ ชาวไร่ก็ไม่เชิง หวา่ นพืช

ไม่ดี หนีตารวจเปิ ดเปิ ง)
o ศาสนาและประเพณี (อะไรเอ่ย เปิ ดฉบั ใส่ฉุบ เปิ ดปุบเดินปับ)

(ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น.56, 63, 64, 65, 66)

สานวน ภาษติ

o ประเภทภาษติ

o ภาษิตทีม่ ีวรรคเดียว คือ กลุ่มคา หรือถอ้ ยคาส้ันๆ 4-5 คา หรืออาจจะ 6
คา แต่มีการส่งสมั ผสั คลอ้ งจองกนั มีความหมายเตือนสติหรือส่ังสอน
o อยา่ สาวไส้ใหก้ ากิน, นายวา่ ข้ีขา้ พลอย, คูแ่ ลว้ ไมแ่ คลว้ กนั

o ภาษิตที่ซ้ าคาหน้า มี 2 วรรคเป็ นอย่างน้อย และคาหน้าจะซ้ ากัน
(ตรงกนั ) และมีการส่งสัมผสั คลอ้ งจองดว้ ย
o รักดีหามจวั่ รักชว่ั หามเสา, ดูชา้ งใหด้ ูหาง ดูนางใหด้ ูแม่

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.72, 74)

สานวน ภาษติ

o ภาษิตท่ีล้อคา คือ ภาษิตท่ีสร้างข้ึนโดยนาคาท่ีมีความหมายใกลเ้ คียงกนั
เป็ นคาหน้า หรือนาคาที่มีความหมายตรงกนั ขา้ มเป็ นคาหน้า การส่ง
สัมผสั จะใช้คาที่ตรงกนั เพ่ือเป็ นการลอ้ คาให้คลอ้ งจองกนั และยงั เป็ น
การชูความหมายใหเ้ ด่นอีกดว้ ย
o พูดไม่ออก บอกไม่ถูก, สวรรค์ในอก นรกในใจ, หวานเป็ นลม
ขมเป็นยา, แพเ้ ป็นพระ ชนะเป็นมาร

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.75)

วรรณกรรม
ลายลกั ษณ์

ตวั อกั ษร

ตัวอักษรไทย กลอนสวด (กาพยฉ์ บงั , กาพยย์ านี, กาพย์
สุรางคณางค)์ , กลอนนิทาน, กลอนบทละครนอก
ตวั อกั ษรขอม นิทานชาดก

1. ตวั อกั ษรไทย
พ่อขุนรามคาแหงประดิษฐ์อกั ษรไทยเม่ือพ.ศ. 1826 ได้

ววิ ฒั นาการเร่ือยมา เช่น สมยั พระยาลิไท คร้ันถึงสมยั อยธุ ยาก็มี
การปรับปรุงบา้ งแบบค่อยเป็นค่อยไป คร้ันถึงสมยั รชั กาลท่ี 3 มี
การจดั ต้งั โรงพิมพ์ รูปแบบตวั อกั ษรไทยได้รับการปรับปรุง
บางส่วนเพื่อเหมาะสมกบั ตวั พิมพ์ ตวั อกั ษรไทยนิยมใช้บนั ทึก
วรรณกรรมและเร่ืองราวทวั่ ไป

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.32)

2. ตวั อกั ษรขอมหรืออกั ษรขอมไทย
ใช้ควบคู่กับอักษรไทยมาต้ังแต่สมัยสุโขทัย นิยมใช้

บนั ทึกเอกสารสาคญั และชาวไทยยงั มีทศั นคติวา่ อกั ษรขอมเป็น
อกั ษรศกั ด์ิสิทธ์ิ อกั ษรท่ีพบในเอกสารใบลานหรือสมุดข่อยน้นั
ส่วนใหญ่เป็น “อกั ษรขอมบรรจง” หรือ “อกั ษรมูล” อกั ษรขอม
ใช้บนั ทึกพระธรรมท่ีเป็ นภาษาบาลีและภาษาไทย โดยเฉพาะ
วรรณกรรมพระพทุ ธศาสนา

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.33)

ตัวอกั ษรไทย ตวั อกั ษรขอม

ท่ีมา: ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น. 32,33)

รูปแบบฉันทลกั ษณ์

1. กลอนสวด
❖ วรรณกรรมที่ประพนั ธ์เป็นคากาพย์
❖ การท่ีเรียกกลอนสวดเพราะในสมยั อดีตอ่านทานองเสนาะ

ในที่ประชุมชนเรียกวา่ “สวด” หรือ “สวดหนงั สือ”
❖ การสวดหนังสือนิยมกนั ในวดั แต่บางคร้ังก็สวดกนั ตาม

ครัวเรือน

(ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.38)

2. กาพย์ยานี 11
❖ มีฉันทลกั ษณ์เรียบง่าย บาทหน่ึงมี 11 คา วรรคหน้า 5 คา

วรรคหลงั 6 คา บทหน่ึงมี 2 บาท

(ธวชั ปณุ โณทก, 2543, น.38)

ทีม่ า:
https://www.tewfree.com/%E0%B8%81%E0%B
8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8
C%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E
0%B8%B5-11/

3. กาพย์สุรางคณางค์ 28
❖ บทหน่ึงมี 7 วรรค วรรคละ 4 คา ปกติเขียนตน้ บทว่า “สุราง

คณางค์ 28” ตอนใดเป็ นตอนแรกแสดงอารมณ์เศร้า จะเขียน
ตน้ บทวา่ “พิลาป”

โตเท่าภผู า ไมก่ ลวั อยา่ วา่ ไมม่ าเขด็ ใคร

มากมายเสียเปล่า แมงเม่ากบั ไฟ เขา้ มาบรรลยั ดว้ ยเปลวอคั คี

โตเท่าน้าเตา้ เติบใหญ่เสียเปล่า เผด็ ร้อนไม่มี

ทา่ นอยา่ อวดตวั ไมก่ ลวั ยกั ษี อยา่ งหน่ึงเช่นน้ี เรามิตกใจ ฯลฯ

(จาก สงั ขศ์ ิลป์ ชยั กลอนสวด) (ธวชั ปุณโณทก, 2543, น.39)


Click to View FlipBook Version