39 3) นักศึกษาระดับปริญญาตรีโปรแกรมวิชาคณิตศาสตร์มีเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ หลังการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้คอนสตรัคติวิสต์โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาราย ด้านพบว่าด้านความรู้สึกมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านความคิดความเข้าใจ และด้านพฤติกรรม ตามลำดับ 6.2 งานวิจัยต่างประเทศ BROWN-LOPEZ, PRISCILLA, ALVA, MARIE (2010) ได้ศึกษาว่ากิจกรรมคอนสตรัคติวิสต์ อาจช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น ปวส. ในเบลีซ, อเมริกากลางได้ กลุ่มตัวอย่างมีนักเรียน 342 คน และครู8 คน จากโรงเรียนในชนบทและในเมือง 2 แห่ง การออกแบบการจำลองแบบการสลับถูกใช้เพื่อให้นักเรียนในกลุ่มทดลองได้รับการสอนโดยใช้ กิจกรรมคอนสตรัคติควิสต์ เป็นเวลา 12 สัปดาห์และการควบคุมที่ได้รับการสอนแบบเดียวกันตั้งแต่ สัปดาห์ที่ 7 ถึง 12 ผลการเรียนของนักเรียนได้รับการประเมินโดยใช้การทดสอบก่อนสอบ 2 โดยมี ความสอดคล้องภายใน เท่ากับ 0.89, 0.90 และ 0.93 ตามลำดับ จากการวิเคราะห์แบบ ANOVA พบว่าผลการทดสอบก่อนและหลังการทดสอบ 1 และ 2 มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นั่นคือนักเรียนในกลุ่มควบคุมที่ได้รับการสอนโดยใช้วิธีการจากสัปดาห์ที่ 1 ถึง 6 แสดงให้เห็นถึง ผลประโยชน์สูงกว่ากลุ่มทดลองที่ถูกฝังอยู่ในกิจกรรมคอนสตรัคติวิสต์ Campbell (2009) ได้ศึกษาผลการใช้การจัดการเรียนการสอนระหว่าง แบบใหม่แบบ ปัจจุบันและแบบดั้งเดิม ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ผ่านขอบข่ายของทฤษฎีคอน สตรัคติวิซึมและกระบวนการรับรู้ทางสังคม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และเจตคติต่อวิธีการสอนของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 530 คน และครูผู้สอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 6 คน จากโรงเรียนมัธยมในแอดแลนตาและจอร์เจีย ผลการศึกษาพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างการจัดการเรียนการสอนแบบใหม่และ แบบเก่า และระหว่างแบบปัจจุบันกับแบบเก่า และพบว่าเจตคติที่ดีและไม่ดี ส่งผลให้เกิดความ แตกต่างกันของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ Lane (2004 : 2451-A) ได้ศึกษาถึงประสิทธิภาพของครูในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียน โดยพัฒนาวิธีการสอนของครูด้านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ความเข้าใจเกี่ยวกับ ความคิดรวบยอด ทักษะการแก้ปัญหา การตั้งคำถามและการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยได้พัฒนา วิธีการสอนของครูในช่วง 8 เดือน ทุกสัปดาห์ ครูต้องวางแผนการสอนนักเรียนเกรด 5 จำนวน 3 โรงเรียน โดยมีกลุ่มควบคุม 2 กลุ่ม และกลุ่มทดลอง 1 กลุ่ม พบว่าครูที่ได้รับการพัฒนาในการสอน คณิตศาสตร์หลาย ๆ ด้าน ส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าครูที่ไม่ได้เข้าร่วมและรับ การพัฒนาการเรียนการสอน
40 จากการศึกษางานวิจัยทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ พบว่า การเรียนการสอนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ช่วยให้นักเรียน เป็นผู้ที่มีความสามารถสร้างองค์ความรู้จากสิ่งที่ได้ศึกษาค้นคว้า เป็นบุคคลที่คิดเป็น และแก้ปัญหา อย่างมีเหตุผล มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความกล้าในการแสดงออก มีทักษะในการทำงานกลุ่ม รวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อตนเองและกลุ่ม มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น สนุกสนานในการเรียน สามารถเปลี่ยนแนวคิดที่คลาดเคลื่อน และสรุปองค์ความรู้ที่ได้และนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ปัญหาใหม่ ๆ ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังส่งเสริมให้นักเรียนมีความพึงพอใจต่อวิธีสอนคณิตศาสตร์ดังนั้นผู้ศึกษาค้นคว้ามีความสนใจที่จะ ทำการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอน สตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และจะนำผลการศึกษาค้นคว้ามาเป็นแนวทางในการ พัฒนาการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป 7. กรอบแนวคิดการวิจัย จากการที่ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยตัวแปรต้น คือ การจัดกิจกรรม การเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัลติวิสซึม และตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และเจตคติทางคณิตศาสตร์ดังภาพที่ 4 ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัลติวิสซึม 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ 2) ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 3) เจตคติทางคณิตศาสตร์ ภาพที่4 กรอบแนวคิดการวิจัย 7.1 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม ตาม ขั้นตอนของ คฤหัสถ์ บุญเย็น (2546) ซึ่งแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน/ทบทวนความรู้เดิม เป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้รับทราบ จุดมุ่งหมายของการเรียน และทบทวนความรู้เดิม เพื่อเชื่อมโยงความรู้ใหม่
41 ขั้นที่ 2 ขั้นปรับเปลี่ยนความคิด เป็นขั้นที่ครูนำเสนอปัญหา เพื่อให้นักเรียนได้ทำความ เข้าใจปัญหา แล้วหาวิธีแก้ปัญหานั้นเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม ครูอาจจะช่วยชี้แนวทางโดยการใช้ คำถามปลายเปิดเพื่อให้นักเรียนได้คิดและวางแผนแก้ปัญหาจนหาข้อสรุปเหล่านั้นได้ ขั้นที่3 ขั้นอภิปราย นักเรียนนำเสนอแนวคิดของตนเองหรือของกลุ่มจากข้อสรุปที่ได้ ในขั้นปรับเปลี่ยนความคิด เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ผสมผสานแนวคิดร่วมกัน เพื่อให้ได้ ข้อตกลงหรือข้อสรุปร่วมกันทั้งชั้น ขั้นที่ 4 ขั้นสรุปผล จากการอภิปรายร่วมกันทำให้นักเรียนทุกคนได้รับฟังแนวคิดการหา คำตอบของคนอื่นหรือกลุ่มอื่น นำมาเปรียบเทียบกับแนวคิดของตนเองหรือของกลุ่ม จนกลายเป็น ข้อสรุปของทั้งห้อง และครูมีบทบาทในการช่วยชี้แนะให้นักเรียนได้แนวคิดที่เข้าสู่คำตอบของ สถานการณ์มากยิ่งขึ้น หรือเติมเต็มองค์ความรู้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
42 ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน/ ทบทวนความรู้เดิม เป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้รับทราบจุดมุ่งหมายของการเรียน และทบทวนความรู้เดิม เพื่อเชื่อมโยงความรู้ใหม่ ขั้นที่ 2 ขั้นปรับเปลี่ยน ความคิด เป็นขั้นที่ครูนำเสนอปัญหา เพื่อให้นักเรียนได้ทำความเข้าใจ ปัญหา แล้วหาวิธีแก้ปัญหานั้นเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม ครู อาจจะช่วยชี้แนวทางโดยการใช้คำถามปลายเปิดเพื่อให้นักเรียน ได้คิดและวางแผนแก้ปัญหาจนหาข้อสรุปเหล่านั้นได้ ขั้นที่3 ขั้นอภิปราย นักเรียนนำเสนอแนวคิดของตนเองหรือของกลุ่มจากข้อสรุปที่ได้ ในขั้นปรับเปลี่ยนความคิด เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ผสมผสานแนวคิดร่วมกัน เพื่อให้ได้ข้อตกลงหรือข้อสรุปร่วมกัน ทั้งชั้น ขั้นที่ 4 ขั้นสรุปผล จากการอภิปรายร่วมกันทำให้นักเรียนทุกคนได้รับฟังแนวคิดการ หาคำตอบของคนอื่นหรือกลุ่มอื่น นำมาเปรียบเทียบกับแนวคิด ของตนเองหรือของกลุ่ม จนกลายเป็นข้อสรุปของทั้งห้อง และครู มีบทบาทในการช่วยชี้แนะให้นักเรียนได้แนวคิดที่เข้าสู่คำตอบ ของสถานการณ์มากยิ่งขึ้น หรือเติมเต็มองค์ความรู้ให้สมบูรณ์ ยิ่งขึ้น ภาพที่5 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม
บทที่3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้ดำเนินตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. แบบแผนการวิจัย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล โดยแต่ละหัวข้อมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียน มัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี จำนวนนักเรียน 198 คน จำนวน 8 ห้องเรียน โดยแต่ละห้องเรียนจัด ผู้เรียนแบบคละความสามารถ 1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี จำนวน 25 คน ได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม 2. แบบแผนการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบแผนการทดลองขั้นต้น (Pre-Experimental Research) แบบหนึ่งกลุ่มทดสอบก่อนและหลังเรียน (One-Group Pretest-Posttest Design) ตารางที่ 3 แบบแผนการทดลอง One-Group Pretest-Posttest Design สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง T1 X T2
44 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการทดลอง T1 คือ การทดสอบก่อนเรียน X คือ จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัสติวิสซึม T2 คือ การทดสอบหลังเรียน 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.1 ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดการเรียน รู้ตามแน วคิดท ฤษ ฎี คอนสตรัคติวิสซึม เรื่อง ลำดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 9 แผน รวมทั้งสิ้น 13 ชั่วมง ทั้งนี้ไม่รวมเวลาทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 1.2 แ บ บ ท ด ส อ บ วัด ผ ล สัม ฤ ท ธิ์ท างก ารเรีย น วิชาค ณิ ต ศ าส ต ร์ เรื่อ ง ล ำดั บ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 1.3 แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แบบอัตนัย จำนวน 7 ข้อ 1.4 แบบวัดเจตคติทางคณิตศาสตร์ของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม 3.2 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 3.2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม เรื่อง ลำดับ จำนวน 9 แผน มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 1) ศึ กษ าห ลั กสูตรแกน กล างการศึกษ าขั้น พื้ น ฐาน พุท ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) และหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานีกลุ่ม สาระการเรียนรูคณิตศาสตร์ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) วิเคราะห์คำอธิบายรายวิชา รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค32102 ที่ต้อง เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ประกอบด้วย 2 หน่วย ดังนี้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง ลำดับและอนุกรม หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง ดอกเบี้ยและมูลค่าของเงิน
45 3) ศึกษาวิธีการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม จากเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ 4) แบ่งเนื้อหา เรื่อง ลำดับและอนุกรม ออกเป็น 2 หัวข้อ ได้แก่ 4.1) ลำดับ ประกอบด้วย 4.1.1) ความหมายของลำดับ จำนวน 2 ชั่วโมง 4.1.2) การหาพจน์ทั่วไปของลำดับ จำนวน 2 ชั่วโมง 4.1.3) ลำดับเลขคณิต จำนวน 5 ชั่วโมง 4.1.4) ลำดับเรขาคณิต จำนวน 4 ชั่วโมง 4.2) อนุกรม ประกอบด้วย 4.2.1) อนุกรม จำนวน 5 ชั่วโมง 4.2.2) อนุกรมเลขคณิต จำนวน 6 ชั่วโมง 4.2.3) อนุกรมเรขาคณิต จำนวน 6 ชั่วโมง โดยในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยเลือกหัวข้อ ลำดับ เป็นเนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย 5) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัคติวิสซึม เรื่อง ลำดับ ระหว่างหัวข้อ สาระสำคัญ ตัวชี้วัด และจำนวนชั่วโมงที่ใช้ ดังข้อมูลที่ แสดงในตารางที่ 4 ตารางที่ 4 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างหัวข้อ สาระสำคัญ ตัวชี้วัด และจำนวนชั่วโมงที่ใช้ หัวข้อ สาระสำคัญ ตัวชี้วัด จำนวน ชั่วโมงที่ใช้ ทดสอบก่อนเรียน ข้อสอบแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 1 ความหมายของลำดับ ลำดับ คือ ฟังก์ชันที่มีโดเมน เป็นเซตของจำนวนเต็มบวก ห รื อ สั บ เซ ต ข องจ ำ น ว น เต็มบวก - ลำดับจำกัด คือ ฟังก์ชันที่มี โด เม น เป็ น สับ เซ ต ข อง จำนวนเต็มบวก - ลำดับอนันต์ คือ ฟังก์ชันที่มี โดเมนเป็นเซตของจำนวน เต็มบวก ค 1.2 ม.5/2 เข้าใจและนำ ความรู้เกี่ยวกับลำดับและ อนุกรมไปใช้ 2
46 ตารางที่ 4 (ต่อ) หัวข้อ สาระสำคัญ ตัวชี้วัด จำนวน ชั่วโมงที่ใช้ การหาพจน์ทั่วไปของ ลำดับ พจน์ทั่วไปของลำดับ คือ การ เขียนพจน์ทั่วไป ในรูปที่มี เป็ น ตัว แ ป ร ซึ่ ง จ ะ มี ความสัมพันธ์ของพจน์ต่าง ๆ และความสัมพันธ์ระหว่าง พ จ น์ กั บ ล ำ ดั บ ที่ โจ ท ย์ กำหนดให้ ค 1.2 ม.5/2 เข้าใจและนำ ความรู้เกี่ยวกับลำดับและ อนุกรมไปใช้ 2 ลำดับเลขคณิต ลำดับเลขคณิต คือ ลำดับซึ่ง ผลต่างได้จากพจน์ที่ n+1 ลบ ด้ ว ย พ จน์ ที่ n มี ค่ าค งตั ว ค่าคงตัวนี้เรียกว่า ผลต่างร่วม ( Common Difference) เขียนแทนด้วย d ค 1.2 ม.5/2 เข้าใจและนำ ความรู้เกี่ยวกับลำดับและ อนุกรมไปใช้ 5 ลำดับเรขาคณิต ลำดับเรขาคณิต คือ ลำดับซึ่ง อัตราส่วนของพจน์ที่ n+1 ต่อ พ จ น์ ที่ n มีค่ า ค ง ตั ว ค่าคงตัวนี้เรียกว่า อันตรา ส่วนร่วม (Common Ratio) เขียนแทนด้วย r ค 1.2 ม.5/2 เข้าใจและนำ ความรู้เกี่ยวกับลำดับและ อนุกรมไปใช้ 4 ทดสอบหลังเรียน วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับ แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 1 ทดสอบหลังเรียน วัดความสามารถในการแก้ปัญ ห าท างคณิ ตศาสตร์ เรื่อง ลำดับ แบบอัตนัย จำนวน 7 ข้อ 1
47 6) สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม เรื่อง ลำดับ ให้ สัมพันธ์กับมาตรฐานการเรียนรู้และสาระการเรียนรู้ จำนวน 9 แผน รวมทั้งสิ้น 13 ชั่วโมง ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 6.1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ความหมายของลำดับ จำนวน 1 ชั่วโมง 6.2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การเขียนลำดับแบบแจกแจงพจน์ จำนวน 1 ชั่วโมง 6.3) แ ผ น ก ารจั ด ก ารเรีย น รู้ที่ 3 เรื่อ ง ก ารห าพ จ น์ ทั่ ว ไป ข องล ำดั บ จำนวน 2 ชั่วโมง 6.4) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง ความหมายของลำดับเลขคณิ ต จำนวน 1 ชั่วโมง 6.5) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง โจทย์ประยุกต์ลำดับเลขคณิตระดับง่าย จำนวน 2 ชั่วโมง 6.6) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง โจทย์ประยุกต์ลำดับเลขคณิตระดับยาก จำนวน 2 ชั่วโมง 6.7) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ความหมายของลำดับเรขาคณิ ต จำนวน 1 ชั่วโมง 6.8) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง โจทย์ประยุกต์ลำดับเรขาคณิตระดับง่าย จำนวน 2 ชั่วโมง 6.9) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง โจทย์ประยุกต์ลำดับเรขาคณิตระดับยาก จำนวน 1 ชั่วโมง ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย มาตรฐาน/ตัวชี้วัด จุดประสงค์การ เรียนรู้สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระสำคัญ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึง ประสงค์กิจกรรมการเรียนรู้สื่อการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล 7) นำแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เรียบร้อย แล้วนำเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของเนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้กิจกรรมการเรียนรู้สื่อการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล ตลอดจนตรวจสอบภาษาที่ถูกต้อง โดยใช้แบบประเมินชนิดมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) แบ่งเป็น 5 ระดับตามวิธีของ Likert คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด โดยใช้เกณฑ์ต่อไปนี้(บุญชม ศรีสะอาด, 2541 : 100)
48 ค่าเฉลี่ย 4.51-5.00 ความหมาย มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51-4.50 ความหมาย มาก ค่าเฉลี่ย 2.51-3.50 ความหมาย ปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51-2.50 ความหมาย น้อย ค่าเฉลี่ย 1.00-1.50 ความหมาย น้อยที่สุด โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1. นางทิวารัตน์ บุตรโพธิ์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี 2. นายชัยญา นาเมืองรักษ์ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี 3. นางสาวฉันทนา วงษ์ปัตตา ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี ผลการประเมินคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้ของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน พบว่ามี คะแ น น เฉ ลี่ ย เท่ากั บ 4.82 ส่ ว น เบี่ ย งเบ น ม าต รฐาน เท่ ากั บ 0.12 แ ส ด งว่าแ ผ น ก าร จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม เรื่อง ลำดับ เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม มากที่สุด 8) ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ตามคำแนะนำ แล้วนำไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีและสังเกตพฤติกรรมอย่าง ใกล้ชิด เพื่อพิจารณาข้อบกพร่องเกี่ยวกับเนื้อหาสาระ ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ระยะเวลาที่ ใช้ในการปฏิบัติกิจกรรม ว่าเป็นไปตามที่กำหนดหรือไม่ จากนั้นนำข้อบกพร่องทั้งหมดมาปรับปรุง แก้ไข 9) นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไปปรับปรุงแก้ไข แล้วนำเสนออาจารย์ที่ปรึกษา วิจัยเพื่อตรวจสอบ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข 10) นำแผน การจัดกิจกรรมการเรียน รู้ที่ป รับปรุงแก้ไขข้อบกพ ร่องแล้ว ซึ่งเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 3.2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ แบ บ ท ดสอบ วัด ผลสัม ฤท ธิ์ท างการเรียน วิช าคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 1) ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
49 2) ศึกษาเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับมาระการเรียนรู้ เรื่อง ลำดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) 3) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ลำดับ แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 35 ข้อ ใช้จริง 20 ข้อ โดยสร้างให้มีความสอดคล้องกับเนื้อหา และจุดประสงค์ การเรียนรู้ดังตารางที่ 5 ตารางที่ 5 แสดงจำนวนข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งหมดและที่ต้องการ เรื่อง ลำดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หัวข้อ จุดประสงค์ จำนวนข้อสอบ ที่ออกทั้งหมด จำนวนข้อสอบ ที่ต้องการจริง 1. ความหมายของ ลำดับ 1. สามารถบอกความหมายของ ลำดับได้ 2. สามารถหาลำดับแบบแจกแจง พจน์ เมื่อกำหนดพจน์ทั่วไปให้ได้ 7 3 2. การหาพจน์ทั่วไป ของลำดับ 1. ส าม ารถ ห าพ จ น์ ทั่ ว ไป ข อ ง ลำดับ เมื่อกำหนดลำดับแบบ แจกแจงพจน์ให้ได้ 6 3 3. ลำดับเลขคณิต 1. สามารถบอกความหมายของ ลำดับเลขคณิตได้ 2. สามารถหาพจน์ทั่วไปของ ลำดับเลขคณิตได้ 3. สามารถหาพจน์ต่าง ๆ ของลำดับ เลขคณิตได้ 11 7 4. ลำดับเรขาคณิต 1. สามารถบอกความหมายของ ลำดับเรขาคณิตได้ 2. ส าม ารถ ห าพ จ น์ ทั่ ว ไป ข อ ง ลำดับเรขาคณิตได้ 3. สามารถหาพจน์ต่าง ๆ ของลำดับ เรขาคณิตได้ 11 7 รวม 35 20
50 4) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย เพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องและความถูกต้องเหมาะสมในการสร้างแบบทดสอบ 5) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างขึ้น ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ประเมิน ความสอดคล้องด้านความเหมาะสมของเนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้และข้อคำถามเพื่อ ตรวจสอบ ความถูกต้องและความเหมาะสม โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1. นางทิวารัตน์ บุตรโพธิ์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นคร อุดรธานี 2. นายชัยญา นาเมืองรักษ์ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นคร อุดรธานี 3. นางสาวฉันทนา วงษ์ปัตตา ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี การประเมินพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ (IOC) ซึ่งมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ที่กำหนด ให้คะแนน 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ที่กำหนด ให้คะแนน -1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบนั้นไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ที่กำหนด แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ (IOC) โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ผลการประเมินพบว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่า IOC ตามเกณฑ์ ที่กำหนด คือ 0.50 ขึ้นไปทุกข้อ 6) ปรับปรุงแก้ไขแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามคำแนะนำ แล้วนำ แบบทดสอบไปทดลองใช้นักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานีอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็น นักเรียนที่เรียนเนื้อหา เรื่อง ลำดับ มาแล้ว เพื่อหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน 7) ตรวจกระดาษคำตอบของนักเรียนและให้คะแนนแบบทดสอบ โดยให้ 1 คะแนน สำหรับข้อที่นักเรียนตอบถูก และให้ 0 คะแนน สำหรับข้อที่นักเรียนตอบผิด ไม่ตอบ หรือตอบ มากกว่าหนึ่งคำตอบ
51 8) นำผลจากการทดสอบมาวิเคราะห์ข้อสอบเป็นรายข้อเพื่อหาความยากง่าย (p) โดยจะต้องมีค่าอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 และอำนาจจำแนก (r) โดยจะต้องมีค่าตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไปแล้ว คัดเลือกข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 20 ข้อ 9) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่คัดเลือกไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนมัธยม เทศบาล 6 นครอุดรธานีอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นนักเรียนที่เรียนเนื้อหา เรื่อง ลำดับ มาแล้ว แล้วหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยวิธีKR-20 ของคูเดอร์และริชาร์ดสัน (Kuder & Richardson) โดยจะต้องมีค่าตั้งแต่ 0.70 ขึ้นไป ผลการวิเคราะห์แบบทดสอบทั้งฉบับพบว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความเชื่อมั่นตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ 0.93 10) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่คัดเลือกแล้วไปจัดพิมพ์เป็น แบบทดสอบฉบับจริง เพื่อนำไปทดสอบกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างต่อไป 3.2.3 แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แบบอัตนัย จำนวน 7 ข้อ มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 1) ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ 2) ศึกษาเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับมาระการเรียนรู้ เรื่อง ลำดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) 3) สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เรื่อง ลำดับ แบบอัตนัย จำนวน 14 ข้อ ใช้จริง 7 ข้อ โดยสร้างให้มีความสอดคล้องกับเนื้อหา และจุดประสงค์ การเรียนรู้ดังตารางที่ 7 ตารางที่ 6 แสดงจำนวนข้อสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ทั้งหมดและที่ ต้องการ เรื่อง ลำดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หัวข้อ จุดประสงค์ จำนวนข้อสอบ ที่ออกทั้งหมด จำนวนข้อสอบ ที่ต้องการจริง 1. ความหมายของ ลำดับ 1. สามารถเขียนลำดับแบบแจกแจง พจน์ เมื่อกำหนดพจน์ทั่วไปให้ได้ 2 1
52 ตารางที่6 (ต่อ) หัวข้อ จุดประสงค์ จำนวนข้อสอบ ที่ออกทั้งหมด จำนวนข้อสอบ ที่ต้องการจริง 2. การหาพจน์ทั่วไป ของลำดับ 1. สามารถเขียนพจน์ทั่วไปของ ลำดับ เมื่อกำหนดลำดับแบบ แจกแจงพจน์ให้ได้ 4 2 3. ลำดับเลขคณิต 1. สามารถเขียนแสดงขั้นตอนการ หาพจน์ทั่วไปของลำดับเลขคณิต ได้ 2. สามารถเขียนแสดงขั้นตอนการ ห า พ จ น์ ต่า ง ๆ ข อ งล ำ ดั บ เลขคณิตได้ 4 2 4. ลำดับเรขาคณิต 1. สามารถเขียนแสดงขั้นตอนการ ห า พ จ น์ ทั่ ว ไ ป ข อ ง ล ำ ดั บ เรขาคณิตได้ 2. สามารถเขียนแสดงขั้นตอนการ ห า พ จ น์ต่ าง ๆ ขอ งล ำ ดั บ เรขาคณิตได้ 4 2 รวม 14 7 4) นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้นเสนอ ต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยเพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องและความถูกต้องเหมาะสมในการสร้าง แบบทดสอบ 5) นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้น ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาประเมินความสอดคล้องด้านความเหมาะสมของเนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้ และข้อคำถามเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสม โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย
53 1. นางทิวารัตน์ บุตรโพธิ์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นคร อุดรธานี 2. นายชัยญา นาเมืองรักษ์ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นคร อุดรธานี 3. นางสาวฉันทนา วงษ์ปัตตา ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี การประเมินพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ (IOC) ซึ่งมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ที่กำหนด ให้คะแนน 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ที่กำหนด ให้คะแนน -1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบนั้นไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ที่กำหนด แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ (IOC) โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ผลการประเมินพบว่าแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์มีค่า IOC ตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ 1.00 ทุกข้อ 6) ปรับปรุงแก้ไขแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ตามคำแนะนำ แล้วนำแบบทดสอบไปทดลองใช้นักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นนักเรียนที่เรียนเนื้อหา เรื่อง ลำดับ มาแล้ว เพื่อหาคุณภาพของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 7) ตรวจกระดาษคำตอบของนักเรียน แล้วนำผลจากการทดสอบมาวิเคราะห์ข้อสอบ เป็นรายข้อเพื่อหาความยากง่าย (p) โดยจะต้องมีค่าอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 และอำนาจจำแนก (r) โดยจะต้องมีค่าตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป แล้วคัดเลือกข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 7 ข้อ 8) นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่คัดเลือกไป ทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานีอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นนักเรียน ที่เรียนเนื้อหา เรื่อง ลำดับ มาแล้ว แล้วหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยใช้สูตร สัมประสิทธิ์แอลฟา โดยจะต้องมีค่าตั้งแต่ 0.70 ขึ้นไป
54 ผลการวิเคราะห์แบบทดสอบทั้งฉบับพบว่าแบบทดสอบวัดความสามารถในการ แก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์มีค่าความเชื่อมั่นตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ 0.99 9) นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่คัดเลือกแล้วไป จัดพิมพ์เป็นแบบทดสอบฉบับจริง เพื่อนำไปทดสอบกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างต่อไป 3.2.4 แบบวัดเจตคติทางคณิตศาสตร์ แบบวัดเจตคติทางคณิตศาสตร์ของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 1) ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบวัดเจตคติทางคณิตศาสตร์ 2) วิเคราะห์ กำหนดนิยามพฤติกรรมที่ต้องการวัดให้ชัดเจน โดยแบบวัดเจตคติเป็น แบบวัดชนิดมาตราส่วนประมาณค่า แบบ 5 ระดับ ตามวิธีของ Likert คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด โดยใช้เกณฑ์ต่อไปนี้(บุญชม ศรีสะอาด, 2541 : 100) ค่าเฉลี่ย 4.51-5.00 ความหมาย มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51-4.50 ความหมาย มาก ค่าเฉลี่ย 2.51-3.50 ความหมาย ปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51-2.50 ความหมาย น้อย ค่าเฉลี่ย 1.00-1.50 ความหมาย น้อยที่สุด โดยการวัดเจตคติทางคณิตศาสตร์ครั้งนี้ ผู้วิจัยศึกษาเกี่ยวกับ ด้านความรู้สึกต่อวิชา คณิตศาสตร์ด้านความรู้สึกต่อกิจกรรมการเรียนรู้ และด้านความรู้สึกต่อครูผู้สอน 3) จัดทำโครงร่างแบบวัดเจตคติตามกรอบที่ได้กำหนดไว้ 4) นำแบบวัดเจตคติทางคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้น ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาประเมินความ สอดคล้องระหว่างรายการข้อคำถามกับนิยามของพฤติกรรม เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและ ความเหมาะสม โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1. นางทิวารัตน์ บุตรโพธิ์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นคร อุดรธานี 2. นายชัยญา นาเมืองรักษ์ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นคร อุดรธานี 3. นางสาวฉันทนา วงษ์ปัตตา ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี การประเมินพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างรายการข้อคำถามกับ นิยามของพฤติกรรม (IOC) ซึ่งมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามนั้นสอดคล้องกับนิยามของ พฤติกรรม ให้คะแนน 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคำถามนั้นสอดคล้องกับนิยามของ พฤติกรรม
55 ให้คะแนน -1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบนั้นไม่สอดคล้องกับนิยามของ พฤติกรรม แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องรายการ ข้อคำถามกับนิยามของ พฤติกรรม (IOC) โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ผลการประเมินพบว่าแบบวัดเจตคติทางคณิตศาสตร์มีค่า IOC ตามเกณฑ์ที่ กำหนด คือมากกว่า 0.50 ทุกข้อ 5) ปรับปรุงแก้ไขแบบวัดเจตคติทางคณิตศาสตร์ตามคำแนะนำ และจัดพิมพ์เป็นฉบับ เพื่อนำไปเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลกับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี การดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลในแต่ละขั้น มีรายละเอียด ดังนี้ 4.1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ทำแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) ด้วยแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย 4.2 ดำเนินการจัดกิจกรรมตามแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัลติวิสซึม จำนวน 13 ครั้ง ตามแผนการจัดการเรียนรู้ 4.3 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ทำแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) ด้วยแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย 4.4 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ทำแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ด้วยแบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์แบบอัตนัย 4.5 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ทำแบบวัดเจคติทางคณิตศาสตร์ 5. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดความสามารถ ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และแบบวัดเจคติทางคณิตศาสตร์ มาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการ ทางสถิติ ดังนี้
56 5.1 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ 5.1.1 ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ (IOC) โดยคำนวณ จากสูตร เมื่อ แทน ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 5.1.2 ค่าความยากง่าย (p) โดยคำนวณจากสูตร เมื่อ แทน ค่าความยากง่ายของข้อสอบ แทน จำนวนคนตอบถูก แทน จำนวนคนทั้งหมด 5.1.3 ค่าอำนาจจำแนก (r) โดยคำนวณจากสูตร เมื่อ แทน ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงตอบถูก แทน จำนวนคนในกลุ่มต่ำตอบถูก แทน จำนวนคนทั้งหมดในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง 5.1.4 ค่าความเชื่อมั่น โดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน โดยคำนวณจากสูตร เมื่อ แทน ค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับ แทน จำนวนข้อของแบบทดสอบทั้งฉบับ แทน อัตราส่วนของผู้ตอบถูก แทน อัตราส่วนของผู้ตอบผิด แทน ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบับ 5.1.5 ค่าความเชื่อมั่น โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่า โดยคำนวณจากสูตร เมื่อ แทน ค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับ แทน จำนวนข้อของแบบทดสอบทั้งฉบับ แทน ความแปรปรวนของคะแนนแต่ละข้อ แทน ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบับ
57 5.2 สถิติพื้นฐาน 5.2.1 ร้อยละ โดยคำนวณจากสูตร เมื่อ แทน ร้อยละ แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงเป็นร้อยละ แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด 5.2.2 ค่าเฉลี่ย โดยคำนวณจากสูตร เมื่อ แทน ค่าเฉลี่ยคะแนน แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด แทน จำนวนข้อมูล 5.2.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยคำนวณจากสูตร เมื่อ แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน จำนวนข้อมูล แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด แทน ผลรวมของกำลังสองของคะแนนทั้งหมด 5.3 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ทดสอบความแตกต่างของคะแนนค่าเฉลี่ยระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน โดยใช้การทดสอบค่า t โดยคำนวณจากสูตร เมื่อ แทน ค่าทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย แทน ผลต่างระหว่างคะแนน แทน จำนวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัย เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยเสนอผลการวิจัย ดังต่อไปนี้ 1. การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 2. การวิเคราะห์ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 3. การวิเคราะห์เจตคติทางคณิตศาสตร์ 1. การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ปรากฏผลดังตารางที่ 7 ตารางที่ 7 วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนเรียนและ หลังเรียน N ก่อนเรียน หลังเรียน df t S.D. S.D. 25 5.68 1.70 13.65 4.40 24 24.34** ** มีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 จากตารางที่ 7 พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05
59 2. การวิเคราะห์ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ การวิเคราะห์ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ปรากฏผลดังตารางที่ 8 ตารางที่8 วิเคราะห์ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 N คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย ร้อยละ S.D. 25 70 55.96 79.94 9.03 จากตารางที่ 8 พบว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 55.96 คะแนน จากคะแนนเต็ม 70 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 79.94 3. การวิเคราะห์เจตคติทางคณิตศาสตร์ การวิเคราะห์เจตคติทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ปรากฏผลดังตารางที่ 9 ตารางที่9 วิเคราะห์เจตคติทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ข้อ ข้อความ ระดับความคิดเห็น/ความรู้สึก S.D. ระดับความ พึงพอใจ ด้านความรู้สึกต่อวิชาคณิตศาสตร์ 1. ฉันมีความสุขเมื่อได้เรียนวิชาคณิตศาสตร์ 4.80 0.40 มากที่สุด 2. ฉันชอบวิชาคณิตศาสตร์ 4.80 0.57 มากที่สุด 3. คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เข้าใจยากและมีวิธีการความซับซ้อน 5.00 0.00 มากที่สุด 4. คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจ 4.44 0.98 มาก 5. วิชาคณิตศาสตร์เรียนแล้วสนุกสนาน 4.40 1.02 มาก 6. ฉันไม่ชอบการคำนวณในวิชาคณิตศาสตร์ 4.24 1.11 มาก 7. วิชาคณิตศาสตร์มีส่วนทำให้เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 5.00 0.00 มากที่สุด 8. การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ช่วยฝึกการคิดอย่างเป็นระบบได้ 4.88 0.32 มากที่สุด 9. คณิตศาสตร์มีสำคัญและจำเป็นต่อการเรียนรู้ 4.92 0.39 มากที่สุด
60 ตารางที่9 (ต่อ) ข้อ ข้อความ ระดับความคิดเห็น/ความรู้สึก S.D. ระดับความ พึงพอใจ ด้านความรู้สึกต่อกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 10. กิจกรรมการเรียนรู้ทำให้ฉันกระตือรือร้นและอยากเรียนรู้มากขึ้น 4.72 0.60 มากที่สุด 11. กิจกรรมการเรียนรู้ทำให้ฉันเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น 4.68 0.68 มากที่สุด 12. ฉันไม่รู้สึกเบื่อหน่ายกิจกรรมการเรียนรู้ 4.56 0.85 มากที่สุด 13. ฉันมีความสุขเมื่อได้ร่วมกิจกรรมหรือทำงานเกี่ยวกับวิชา คณิตศาสตร์ 4.72 0.66 มากที่สุด 14. กิจกรรมการเรียนรู้ทำให้ฉันเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์อย่างมีความหมาย 4.76 0.59 มากที่สุด 15. ฉันชอบตอบปัญหาคณิตศาสตร์ 4.64 0.69 มากที่สุด 16. ฉันมีความสุขเมื่อผู้สอนให้ฉันศึกษาเรื่องใหม่ ๆ 4.64 0.69 มากที่สุด 17. ฉันมีความสุขเมื่อผู้สอนให้ฉันทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม 4.92 0.39 มากที่สุด 18. กิจกรรมการเรียนรู้ทำให้ฉันเกิดความวิตกกังวล 1.00 0.00 มากที่สุด ด้านความรู้สึกต่อครูผู้สอนคณิตศาสตร์ 19. ผู้สอนอธิบายเนื้อหาเข้าใจง่าย 4.84 0.46 มากที่สุด 20. ผู้สอนตอบคำถามผู้เรียนอย่างเต็มใจ 5.00 0.00 มากที่สุด 21. ผู้สอนไม่ทำให้ฉันวิตกกังวล 5.00 0.00 มากที่สุด 22. ผู้สอนอธิบายเนื้อหาเป็นขั้นตอนเข้าใจง่าย 4.76 1.27 มากที่สุด 23. ผู้สอนเป็นมิตรกับผู้เรียน 5.00 0.00 มากที่สุด 24. ผู้สอนไม่ทำให้ฉันรู้สึกง่วงนอน 4.40 1.06 มาก 25. ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม 5.00 0.00 มากที่สุด 26. ผู้สอนพูดเชื่อมโยงบทเรียนให้สอดคล้องกับชีวิตจริง 4.76 0.59 มากที่สุด 27. ผู้สอนทำให้ฉันชอบวิชาคณิตศาสตร์มากขึ้น 4.72 0.60 มากที่สุด รวม 4.61 0.39 มากที่สุด จากตารางที่ 9 พบว่า เจตคติทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้านความรู้สึกต่อวิชาคณิตศาสตร์อยู่ในระดับ มากที่สุด ( = 4.72, S.D. = 0.42) ด้านความรู้สึกต่อกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์อยู่ในระดับมาก ( = 4.29, S.D. = 0.25) และด้านความรู้สึกต่อครูผู้สอนคณิตศาสตร์อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อสรุป โ ด ย ภ า พ ร ว ม แ ล้ ว มี ค ว า ม พึ ง พ อ ใจใน ร ะ ดั บ ม า ก ที่ สุด ( = 4.61, S.D. = 0.39)
บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้นำเสนอการสรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะตามลำดับ ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์การวิจัย 2. สมมติฐานการวิจัย 3. วิธีดำเนินการวิจัย 4. สรุปผล 5. อภิปรายผล 6. ข้อเสนอแนะ 1. วัตถุประสงค์การวิจัย 1.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 1.2 เพื่อศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 1.3 เพื่อศึกษาเจตคติทางคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2. สมมติฐานการวิจัย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้กิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3. วิธีดำเนินการวิจัย 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียน มัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี จำนวนนักเรียน 198 คน จำนวน 8 ห้องเรียน โดยแต่ละห้องเรียนจัด ผู้เรียนแบบคละความสามารถ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี จำนวน 25 คน ได้มาจากการสุ่มแบบ แบ่งกลุ่ม
62 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 3.2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม เรื่อง ลำดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 9 แผน รวมทั้งสิ้น 13 คาบ ทั้งนี้ไม่รวมเวลาทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 3.2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิ ตศาสตร์ เรื่อง ลำดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3.2.3แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แบบอัตนัย จำนวน 7 ข้อ 3.2.4 แบบวัดเจตคติทางคณิตศาสตร์ของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลกับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี การดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลในแต่ละขั้น มีรายละเอียด ดังนี้ 3.3.1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ทำแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) ด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย 3.3.2 ดำเนินการจัดกิจกรรมตามแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัลติวิสซึม จำนวน 13 ครั้ง ตามแผนการจัดการเรียนรู้ 3.3.3 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ทำแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) ด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย 3.3.4 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ทำแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ด้วยแบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์แบบอัตนัย 3.3.5 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ทำแบบวัดเจคติทางคณิตศาสตร์ 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (Dependent Samples t-test)
63 4. สรุปผล การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้สรุปผลการทดลองตามวัตถุประสงค์ การวิจัย ดังนี้ 4.1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 4.2 ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 55.96 คะแนน จากคะแนนเต็ม 70 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 79.94 4.3 เจตคติทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม ด้านความรู้สึกต่อวิชาคณิตศาสตร์อยู่ในระดับ มากที่สุด ด้านความรู้สึกต่อกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์อยู่ในระดับมาก และด้านความรู้สึกต่อ ครูผู้สอนคณิตศาสตร์อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อสรุปโดยภาพรวมแล้วมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด 5. อภิปรายผล จากการสรุปผลการทดลองตามวัตถุประสงค์การวิจัย ผู้วิจัยสามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ 5.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ เมื่อพิจารณาจากค่าสถิติทดสอบ t-test มีค่าเท่ากับ 24.34 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึมเปิดโอกาสให้ นักเรียนสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเองโดยอาศัยประสบการณ์เดิมที่นักเรียนเคยเรียนรู้มาแล้ว ทำให้ เกิดการเรียนรู้และเข้าใจเนื้อหาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และการอภิปรายแลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนใน ชั้น ทำให้ได้เรียนรู้แนวคิดที่หลากหลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการเรียนรู้แนวทางการแก้ปัญหาที่หลาย หลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ โกมินทร์ บุญชู (2562) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้คอนสตรัคติวิสต์ สำหรับนักศึกษา ระดับปริญญาตรี โปรแกรมวิชาคณิตศาสตร์ ผลปรากฎว่า นักศึกษาระดับปริญญาตรีโปรแกรมวิชา คณิตศาสตร์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้แบบสร้าง องค์ความรู้คอนสตรัคติวิสต์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5.2 ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 55.96 คะแนน จากคะแนนเต็ม 70 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 79.94 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ปิยะพร นิตยารส (2562) การพัฒนาการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์
64 ที่ส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง อสมการ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลปรากฏว่า นักเรียนที่เรียนด้วย กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ที่ส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง อสมการ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความสามารถในการแก้ปัญหาสูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรม การเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ ดวงตะวัน งามแสง, พรรณทิพา พรหมรักษ์, เวชฤทธิ์ อังกนะภัทรขจร (2558) ผลการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัค ติวิสต์ปรากฏว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนด้วย กิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามแนวทางทฤษฎี ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5.3 เจตคติทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม ด้านความรู้สึกต่อวิชาคณิตศาสตร์อยู่ในระดับ มากที่สุด ด้านความรู้สึกต่อกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์อยู่ในระดับมาก และด้านความรู้สึกต่อ ครูผู้สอนคณิตศาสตร์อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อสรุปโดยภาพรวมแล้วมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด สอดคล้องกับงานวิจัยของ โกมินทร์ บุญชู (2562) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์โดยการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้คอนสตรัคติวิสต์ สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี โปรแกรมวิชาคณิตศาสตร์ ผลปรากฏว่า นักศึกษาระดับปริญญาตรีโปรแกรมวิชาคณิตศาสตร์มีเจต คติต่อวิชาคณิตศาสตร์ หลังการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้คอนสตรัคติวิสต์โดยรวมอยู่ใน ระดับมาก และ ปิยะพร นิตยารส (2562) การพัฒนาการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัคติวิสต์ที่ส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง อสมการ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลปรากฏว่า นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ที่ส่งเสริมทักษะการ แก้ปัญหา เรื่อง อสมการ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความพึงพอในระดับมาก 6. ข้อเสนอแนะ การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัคติวิสซึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยให้ข้อเสนอแนะในนำผลการวิจัยไปใช้ และข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ดังนี้ 6.1 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 6.1.1 ครูควรศึกษาขั้นตอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัคติวิสซึมให้เข้าใจทุกขั้นตอน เพื่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ถูกต้องและชัดเจน ซึ่งส่งผลให้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้บรรลุวัตถุประสงค์การวิจัยที่ตั้งไว้ 6.1.2 ครูควรตระหนักถึงความรู้พื้นฐานในการเรียนเรื่องต่อไป เพราะหากนักเรียนมี พื้นฐานไม่เพียงพออาจทำให้กระบวนการจัดการเรียนรู้ใช้เวลานานมากเกินไป หรือไม่ประสบ ความสำเร็จ ดังนั้นครูควรต้องทบทวนความรู้พื้นฐานในการเรียนเรื่องนั้น ๆ ก่อนขึ้นเนื้อหาถัดไป
65 6.2 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 6.2.1 ควรมีการศึกษาและเปรียบเทียบระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบอื่น ๆ เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ที่ หลากหลายและเหมาะสมต่อผู้เรียนมากยิ่งขึ้น
66 เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: คุรุสภา ลาดพร้าว. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดฯ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560. กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ. กิดานันท์ มลิทอง. (2548). เทคโนโลยีและการสื่อสารเพื่อการศึกษา. กรุงเทพ : อรุณการพิมพ์. โกมินทร์ บุญชู. (2562). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์โดยการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้คอนสตรัคติวิสต์สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี โปรแกรม วิชาคณิตศาสตร์. รายงานสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 6 สถาบันวิจัย และพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. ไกรฤกษ์ พลพา. (2551). ชุดกิจกรรมแบบปฏิบัติการคณิตศาสตร์เพื่อป้องกันความคิดรวบยอดที่ ผิดพลาด เรื่อง “วิธีเรียงสับเปลี่ยน” (Permutations) ของนักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1. สารนิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ. คฤหัสถ์ บุญเย็น. (2546). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนโดยใช้กิจกรรมตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึมกับ การสอนตามคู่มือครู. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต. อุบลราชธานี : มหาวิทยาลัย ราชภัฏอุบลราชธานี. จันทิมา สำนักโนน. (2551). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์และความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานกับ การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ญาสุมิน สุวรรณไตรย์. (2563). การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ฟังก์ชัน ลอการิทึม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดย ใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด DAPIC. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษา มหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ฐิติยา เกตุคำ. (2551). ผลการใช้บทเรียนีออนไลน์เรื่อง วิธีจัดหมู่ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเจตคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. สารนิพนธ์ ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
67 ณ ชนก มณเฑียร. (2553). ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความขยันหมั่นเพียรของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนแบบคุณธรรมนำความรู้. สารนิพนธ์การศึกษา มหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ดวงตะวัน งามแสง, พรรณทิพา พรหมรักษ์, เวชฤทธิ์ อังกนะภัทรขจร. (2558). ผลการพัฒนา ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์. วารสารวิจัยรำไพพรรณี มหาวิทยาลัยบูรพา. ทองกร ศรีบุญเรือง. (2552). การพัฒนาเว็บเพจเพื่อการศึกษารายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐานระดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 เรื่อง กำหนดการเชิงเส้น. สารนิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ทิวัตถ์ มณีโชติ. (2549). การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. นนทบุรี : ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ. ทิศนา แขมมณี. (2551). ศาสตร์การสอน:องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ. (พิมพ์ครั้งที่ 7) กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น. ปรีชา เนาว์เย็นผล. (2544). กิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ. ปิยะพร นิตยารส. (2562). การพัฒนาการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัคติวิสต์ที่ส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง อสมการ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่3. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. (2551). จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : ศูนย์สื่อเสริมกรุงเทพ. ปวริศา โคติวงศ์. (2564). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับการใช้ชุดการเรียนรู้แบบอุปนัย. ปริญญานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. พรนภา ราชเมืองรอง. (2556). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ที่เน้นกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วารสารศึกษาศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
68 พัชระ งามชัด. (2549). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง บทประยุกต์ความพึงพอใจต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และความสามารถในการ คิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ เทคนิค STAD กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามคู่มือครู. วิทยานิพนธ์การศึกษา มหาบัณฑิต. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยสารคาม. พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2544). หลักการวัดผลและประเมินผลการศึกษา. กรุงเทพมหานคร. คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏพระนคร. ไพศาล ศรีสวัสดิ์. (2555). การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วนของนักเรียนโดย การใช้ตัวแทนทางคณิตศาสตร์. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต. สงขลา : มหาวิทยาลัย ทักษิณ. เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี. (2553). การวัดผลและการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์. (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ศรีสุวรรณ ศรีขันชมา. (2560). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตามทฤษฎีการจัดการ เรียนรู้แบบคอนสตรัคติวสิต์ เรื่อง การบวก ลบ คูณ หาร เพื่อส่งเสริมความสามารถใน การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5. การศึกษามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ศศิธร แก้วรักษา. (2547). การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์แบบซิปปา (CIPPA Model) ที่เน้นทักษะการเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน เรื่อง สถิติเบื้องต้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ. ศุภนัส นงค์นวล. (2562). การพัฒนาการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัคติวิสต์เรื่อง สถิติเบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์และคณิตศาสตรศึกษา มหาวิทยาลัย ทักษิณ. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2555). เอกสารส่งเสริมความรู้ วิชา คณิตศาสตร์ เรื่องพีชคณิต. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ : ไฮเอ็ดพับลิชชิ่ง. สมนึก ภัททิยธนี. (2553). การวัดผลการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 7). กาฬสินธุ์ : ประสานการพิมพ์. สมหมาย มะลิกอง. (2552). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจต่อวิธี จัดการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างนักเรียนที่เรียนด้วย บทเรียนสำเร็จรูปที่เน้นทักษะการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึมกับที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบแก้ปัญหา.
69 วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต. พระนครศรีอยุธยา : มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรีอยุธยา. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2540). แนวคิดและทิศทางการปฏิรูปการศึกษาหลัก มัธยมศึกษาไทย. กรุงเทพฯ : สำนักนายกรัฐมนตรี. สุนันทา แสงสุข. (2556). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตาม แนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ที่เน้นทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง บทประยุกต์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วารสารศึกษาศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. สุปราณีพูนประสิทธิ์. (2546). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนความรับผิดชอบในการเรียนและ เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากการสอนด้วย ชุดการเรียน การสอน 3 แบบ. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยี การศึกษา. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สุมาลีชัยเจริญ. (2545). ทฤษฎีการออกแบบการสอนในกระบวนทัศน์ใหม่. ภาควิชาเทคโนโลยี การศึกษา คณะศึกษาศาสตร์. ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแก่น. สุรศักดิ์อมรรัตนศักดิ์, อนุสรณ์ สกุลคู. (2549). การประเมินผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง. สุวิมล ติรกานันท์. (2551). การสร้างเครื่องมือวัดตัวแปรในการวิจัยทางสังคมศาสตร์: แนวทางสู่ การปฏิบัติ. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อนุชา โสมาบุตร. (2556). ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์(Constructivist Theory). (ออนไลน์). แหล่งที่มา:https://shorturl.asia/Wp6Mt. 11 ตุลาคม 2566. อรัญญา แพงเพ็ง. (2551). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแปลงทางเรขาคณิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ ระหว่างการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โปรแกรมจีเอสพีเป็นสื่อกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามปกติ. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยสารคาม. อัมพร ม้าคะนอง. (2553). ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์: การพัฒนาเพื่อพัฒนาการ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อุษณีย์ เตรียมเชิดติวงศ์. (2563). ผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ที่มีต่อ มโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อประสบการณ์การเรียนรู้เรื่องกระบวนการ สังเคราะห์ด้วยแสง ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา. วิทยานิพนธ์หลักสูตรศึกษา ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการเรียนรู้และนวัตกรรมการศึกษา คณะวิทยาการเรียนรู้ และศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
70 BROWN-LOPEZ, PRISCILLA,ALVA,MARIE. (2010). Analysis of the effects of a Constructivist-Based Mathematics Problem Solving Instructional Program on the achievement of Grade Five Students in Belize, Central America. Durham theses, Durham University. Campbell Tyler. (2009). Reform, Moderate, or Traditional Teaching Strategies and Their Effect on Student Achievement in Mathematics. Dissertation Abstracts International. 70(01) : 1311-A ; July. Lane, M. Lynne. (2004). The Effects Staff Development on Student Achievement. Dissertation Abstracts International. Polya, G. (1957). How to solve it : A new aspect of mathematical method. New York: Doubleday and company. Stephen, K., & Rudnick, J.A. (1993). Reasoning and Problem Solving : A Handbook for Elementary School Teacher. A Division of Simon & Schuster. Suydam, H. L. (1990). Untanglinging clues from research on problem solving. Problem solving in school mathematics. Virginia: National Council of Teacher of Mathematics. Willson, J. W. (1971). “Evaluation of learning in secondary school mathematics,” in Handbook on Formative Evaluation of Student Learning. New York : McGraw-Hill.
71 ภาคผนวก
72 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ
73 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ 1. นางทิวารัตน์ บุตรโพธิ์ ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี 2. นายชัญญา นาเมืองรักษ์ ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี 3. นางสาวฉันทนา วงษ์ปัตตา ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี
74 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88