àÅÕ§¼Ò¤ÁÙ‹ÍסÒÃàÅÕ้§
ã¹ÊÀÒ¾¡Ã§àÅÂÕ้§
Êํҹѡ§Ò¹àªÕ§ãËÁ‹ä¹·«Ò¿ÒÃÕ
ค่มู ือการเล้ยี งเลียงผา
ในสภาพกรงเลยี้ ง
สถานะทางการอนุรักษเ์ ลียงผา
โดยธรรมชาติของเลียงผา มีถิ่นที่อยู่ตามเขาสูงชันท่ีคนและสัตว์อ่ืน
ทัว่ ๆไปไมส่ ามารถอยูไ่ ด้ ศัตรูของเลียงผาจึงมีน้อยแต่ด้วยนิสัยท่ีชอบออกมายืนน่ิงริม
หน้าผาโล่ง ๆ จึงเป็นเป้าให้ถูกล่าได้ง่ายประกอบกับความเช่ือที่ว่าน้ามันเลียงผามี
สรรพคณุ เป็นยารกั ษากระดกู ทา้ ให้เลยี งผาถูกลา่ อย่างมาก นอกจากนีการระเบิดภูเขา
หินปนู หรอื การท้าเกษตรกรรมตามพืนท่ีลาดเขาท้าให้แหล่งท่ีอยู่อาศัยของเลียงผาลด
นอ้ ยลง ดังนนั ประเทศไทยจึงไดม้ ีการออกกฎระเบยี บในการอนรุ กั ษ์เลยี งผาไว้ ดังนี
1. พระราชบญั ญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ปา่ พ.ศ. 2535
เลียงผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนของประเทศไทย เป็นชนิดสัตว์ป่าที่มีสภาพเสี่ยง
ตอ่ การสญู พนั ธุอ์ ย่างยิ่ง โดยหา้ มมิให้ผู้ใดลา่ ครอบครอง เพาะพันธ์ุและการค้าซ่ึงสัตว์
ป่ารวมถงึ ซากของสัตว์ป่า เว้นแต่ไดร้ ับอนุญาตตามแตก่ รณไี ป
2. อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศว่าด้วยชนิดสัตว์ป่าและพืชป่า
(The Convention on International Trade in Endanger species of
Wild Fauna and Flora, CITES)
เลยี งผาจัดเปน็ สตั วป์ ่าท่อี ยใู่ นบัญชีหมายเลข 1 (Appendix I) ของอนุสัญญา
ที่ว่าด้วยเร่ือง การค้าสัตว์ป่า พืชป่า และผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศ ถูกควบคุมโดย
ระบบใบอนุญาต (Permit) ซ่ึงสัตว์ป่าและพืชป่าท่ีอนุสัญญาควบคุมจะต้องมี
ใบอนุญาตในการน้าเข้า (Import) ส่งออก (Export) น้าผ่าน (Transit) และส่งกลับ
ออกไป (Re-Export)
โดยชนิดพันธ์ุของสัตว์ป่าและพืชป่าท่ีอนุสัญญาควบคุมจะระบุไว้ในบัญชี
หมายเลข 1, 2, 3 (Appendix I, II, III) ของอนุสัญญา เนื่องจากเป็นสัตว์ป่าที่มีความ
เส่ียงสูงต่อการสูญพันธ์ุ หายากและถูกคุกคามจากหลาย ๆ ปัจจัย CITES ได้ก้าหนด
หลักการของสัตว์ที่อยู่ในบัญชีหมายเลข 1 ไว้คือ เป็นชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่า
ที่ห้ามค้าโดยเด็ดขาดเนื่องจากใกล้จะสูญพันธุ์ยกเว้นเพ่ือการศึกษา วิจัยหรือการ
เพาะพันธ์ุ ซ่ึงต้องได้รับความยินยอมจากประเทศที่จะน้าเข้าก่อนทังนีต้องค้านึงถึง
ความอยู่รอดของชนดิ พนั ธุน์ นั ๆ
3. สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ
(International Union of conservation or Nature and Natural
Resources หรอื World Conservative Union: IUCN)
เ ลี ย ง ผ า ถู ก จั ด ใ ห้ อ ยู่ ใ น ก ลุ่ ม ข อ ง สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ อ ยู่ ใ น ข่ า ย ใ ก ล้ สู ญ พั น ธุ์
(VU–Vulnerable species) เป็นระดับความเสี่ยงขันอันตรายจากการสูญพันธุ์จากที่
ถิ่นอาศัยตามธรรมชาติในการจัดล้าดับสถานะภาพด้านการอนุรักษ์ ดังกล่าวเพื่อการ
โน้มน้าว สนับสนุนและส่งเสริมสังคมท่ัวโลกให้ร่วมกันสงวนไว้ซ่ึงความสมบูรณ์และ
ความหลากหลายของธรรมชาติ และเป็นการรับประกนั การใช้ทรพั ยากรธรรมชาติใดๆ
จะเป็นไปอยา่ งเท่ียงธรรมและรกั ษาสภาพเชงิ นิเวศไวไ้ ด้
อนกุ รมวธิ านของเลียงผา
เลียงผา หรือเยือง หรือกูรา หรือโครา (Serow) เป็นสัตว์เลียงลูกด้วยนมใน
อันดับสัตว์กีบคู่ (Order; Artiodactyla) อันดับย่อย (Suborder; Ruminantia) ได้แก่
สัตวเ์ คยี วเออื ง วงศ์ (Family; Bovidae) ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับ แพะ แกะ และโค เลียงผา
พบครังแรกบนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ในปี พ.ศ. 2342 จึงได้รับการตังช่ือ
ตามแหล่งที่พบครังแรก โดย J.M.Bechstein และถูกจัดรวมไว้สกุลเดียวกับแอนติโลป
ของอินเดีย (Antilope sumatraensis) ในท่ัวโลกมีเลียงผาทังหมด 6 ชนิด มีถ่ินอาศัย
ในทวปี เอเชีย ดงั นี
Class Mammalia
Order Artiodactyla
Family Bovidae (antelopes, cattle, gazelles, goats, sheep and relatives)
Subfamily Caprinae (chamois, goats, serows, sheep, and relative)
Genus Capricornis (Serows)
Species Capricornis crispus (Japanese serow)
Species Capricornis milneedwardsii (Chinese serow)
Species Capricornis rubidus (Red serow)
Species Capricornis sumatraensis (Sumatran serow)
Species Capricornis swinhoei (Formasan serow)
Species Capricornis thar (Himalayan serow)
ลกั ษณะทว่ั ไปของเลยี งผา
เลียงผามีกลิ่นตัวเหมือนแพะ กล่ินตัวเกิดจากส่วนนอกของผิวหนังโดยขนที่
ปกคลุมตัวของเลียงผาจะหยาบและไม่หนาแน่น มีส่วนที่เป็นขนอ่อนปะปนอยู่บ้าง
ประปราย ขนตามตัวโดยท่ัวไปเป็นสีด้าหรือสีเทาเข้ม ขนแผงคอเริ่มตังแต่โคนเขาไป
จนถึงหัวไหล่โคนเป็นสีขาวปลายขนเป็นสีเทาเข้มหรือสีด้า แต่ขนจะมีสีจางกว่าขน
ตามแนวสันหลัง ขนที่ขาใต้หัวเข่าลงมาจะมีสีแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ ตังแต่สีด้า
สีเทา ไปจนถึงสีน้าตาลแดง โคนขนจะมีสีจางกว่า หางมีลักษณะสันและปกคลุมไป
ด้วยขนสีเทาเข้มบริเวณสันหาง ด้านข้างมีขนสีน้าตาลแดงด้านในหางไม่มีขนปกคลุม
ขนบริเวณริมฝปี ากเป็นสขี าว และท่ขี ากรรไกรล่างทังสองข้างมีขนสีน้าตาลแดงปะปน
ด้วยขนสีขาว ส่วนมากจะมีขนสีน้าตาลแดงและสีขาวบริเวณใต้คอ หูมีลักษณะบาง
และแคบมักจะชีตรงขนด้านหลังหูเป็นสีน้าตาลและปะปนกับขนสีด้าด้านในเป็นขนสี
ขาว และมีต่อมนา้ มนั เปดิ ท่ีอยู่ระหว่างตากับจมูก ต่อมนีจะอยู่ห่างจากใต้ตาประมาณ
4 เซนติเมตร สามารถสงั เกตเหน็ ไดอ้ ย่างชดั เจน (Prater, 1965)
ภาพท่ี1 ลักษณะทัว่ ไปของเลียงผา
โดยเลยี งผาเป็นสัตว์ท่ีมีเขาทังสองเพศ เขาของเลยี งผามีลักษณะสีด้า รูปกรวย
ตรงกลางมีลักษณะกลวง ส่วนโคนของเขาเป็นคลื่นประมาณ 3 ใน 4 ของความยาว
(Prater,1965) เขาจะยาวประมาณ 25 เซนติเมตร เขาของเพศเมียจะสันกว่าเพศผู้
ประมาณ 1 - 2 นิว และค่อนข้างจะเล็กกว่า ประกอบกับส่วนท่ีเป็นคล่ืนมีน้อยกว่า
โคนเขาของเพศผู้จะอยู่ชิดกันมากกว่าของเพศเมียเม่ือมองจากด้านตรงหน้า เขาของ
เลียงผาตัวผู้และตัวเมียจะเป็น Permanent horn โดยไม่มีการผลัดเขาและจะมีการ
เจรญิ เตบิ โตทุกปี โคนเขามเี กลยี วเปน็ วงแหวนอยู่รอบๆ ซึง่ สามารถใช้พิจารณาอายุได้
เช่นเดียวกับขนาดกะโหลก อีกทังเขาของลูกเลียงผาจะปรากฏเป็นตุ่มใต้ผิวหนังเม่ือ
เกิดได้ประมาณ 3 เดือน (Peacock, 1933) เขาจะยาวประมาณครึ่งหน่ึงของความ
ยาวของหูเมื่ออายุประมาณ 1 ปี และเขาจะยาวประมาณความยาวของหูเม่ืออายุ
ประมาณ 2 ปี เมื่ออายุมากกว่า 2 ปี เขาจะยาวกว่าความยาวของหู โดยมีลักษณะ
ความยาวของลา้ ตัว ประมาณ 138 - 153 เซนติเมตร ความยาวของโคนหางถึงปลาย
หาง ประมาณ 12 - 15 เซนติเมตร ความสูงหัวไหล่ถึงปลายเท้า ประมาณ 84 - 93
เซนติเมตร น้าหนกั อยู่ในชว่ ง 55 - 140 กโิ ลกรัม ขนาดของล้าตัวของเลียงผาระหว่าง
เพศผู้และเพศเมียจะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านัน และเลียงผามีกีบเท้าท่ีเป็น
ลักษณะสันและแข็งแรง บรเิ วณร่องกบี ตอนหนา้ ของขาทัง 4 ข้าง จะมีรูเปิดขนาดเล็ก
รูเปิดที่รอ่ งขาหนา้ จะอยู่สูงกว่ารูเปิดที่ร่องขาหลังเล็กน้อย (Lekagul and McNeely,
1977)
ภาพที่2 ลกั ษณะทวั่ ไปของเลยี งผา
อุปนิสยั
เลียงผาชอบอาศัยอยู่บนภูเขาสูงชันหรือหน้าผา มีความว่องไวและปราด
เปรียวมาก สามารถปีนป่ายและกระโดดไปตามโขดหินและหน้าผาสูงชันได้อย่าง
คล่องแคล่ว รวดเร็ว สามารถปีนต้นไม้ที่ขึนอยู่ตามพืนราบของหน้าผาได้ เวลาตกใจ
หรือถกู รบกวนจะสง่ เสียงร้องหวีดแหลม พร้อมกับวิ่งหนีไปตามทางแคบและสูงชันได้
อย่างรวดเร็ว ชอบลับเขาหรือฝนเขาตามต้นไม้หรือโขดหินบริเวณที่เคยลับอยู่เป็น
ประจ้า มนี ิสัยชอบถ่ายมูลในท่ีเดิมๆ ซ้าๆ แต่ปัสสาวะไม่ซ้าท่ี ว่ายน้าเก่ง เม่ือพบศัตรู
เลียงผาจะยืนน่ิงสักครู่หน่ึงแล้วกระโจนหนีไปหลบอยู่ในพุ่มไม้ท่ีปลอดภัย มีประสาท
ตา หู และรับกลิ่นดีมาก (กองทุนสัตว์ป่าโลกส้านักงานประเทศไทย, 2543) เลียงผา
ชอบอยู่ตามล้าพังตัวเดียว บางครังอาจพบอยู่ด้วยกัน 2 - 3 ตัว หรือเป็นครอบครัว
แต่มักจะแยกกันหากิน ออกหากินเวลาเช้าตรู่ เย็นค่้าจนถึงดึก เวลากลางวันจะหลบ
พักอยู่ตามป่าละเมาะ ป่าทึบ ชอบนอนในเชิงผาใต้ชะง่อนหิน ถ้าบริเวณที่นอนเป็น
ดินจะใช้ขาหน้ากรุยดินเป็นบริเวณเล็กๆบนเนินเขาหรือพืนป่าใต้ที่ก้าบังของต้นไม้
และหนิ ตามเส้นทางท่ใี ชเ้ ดนิ หากนิ หลงั คนื ฝนตกซ่ึงมักจะมีแดดในตอนเช้าเลียงผาจะ
ชอบนอนอาบแดดอยู่บนหนิ (Lekagul and McNeely, 1977)
ภาพท่ี3 เลียงผาชอบอาศัยอยบู่ นภเู ขาสูงชนั
ชนิดของเลยี งผาทพี่ บในโลก
เลียงผาในสกลุ Capricornis พบท้งั หมด 6 ชนดิ ไดแ้ ก่
1. เลียงผาญ่ปี นุ่ Japanese Serow
ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ Capricornis crispus
พบได้ในป่าทึบในประเทศญี่ปุ่น ส่วนมากกระจายพันธ์ุอยู่บริเวณตอนเหนือ
และตอนกลางของเกาะฮอนชู เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญ่ีปุ่น พืนที่ส่วนใหญ่
ของเกาะฮอนชูเป็นท่ีราบสูงและภูเขาสูงชัน โดยมีภูเขาที่สูงที่สุดคือภูเขาฟูจิ บน
เกาะฮอนชูมีพืนท่ีราบทางด้านตะวันออกและทางใต้ ซ่ึงเป็นที่ตังของเมืองส้าคัญของ
ญ่ีปุ่น เช่น โตเกียว โยโกฮามะ นาโงยะ เกียวโต โอซากะ โคเบะ และฮิโรชิมะ โดย
เลียงผาญ่ีปุ่นถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศในด้านการปกป้องและอนุรักษ์ธรรมชาติ
ตวั โตเต็มวัยจะมสี ว่ นสูงราว 81 เซนติเมตร และมีน้าหนัก 30 - 45 กโิ ลกรัม
ภาพท่ี4 เลยี งผาญ่ีปุ่น Capricornis crispus
มีสีตัวตังแต่สีด้าไปจนถึงเทาและเมื่อกระทบกับแสงตะวันจะออกสีน้าตาล มี
ขนหนาปุกปุยโดยเฉพาะตรงหาง ทังสองเพศต่างมีเขาขนาดเล็กโค้งงอไปด้านหลัง
เหมอื นกนั ทา้ ให้ยากท่จี ะจา้ แนกเพศด้วยสายตาได้ พวกมันอาศัยอยู่ในป่าภูเขาโดยจะ
ออกหากินในช่วงเช้าและช่วงเย็นของวัน กินใบไม้ หน่อไม้ และลูกโอ็คเป็นอาหาร
มักจะอาศัยอยู่แบบสันโดษหรือจับคู่กันอยู่หรือรวมกลุ่มกันอยู่ไม่เกินสี่ตัวและแต่ละ
กลุ่มจะไม่มีการปะปนเพศกัน พวกมันแบ่งอาณาเขตโดยปล่อยสารคัดหล่ังท่ีมีกลิ่น
เปรยี ว (Jass et al., 2004)
ภาพท่ี5 เลียงผาญีป่ ุ่น Capricornis crispus
2. เลียงผาไต้หวนั Taiwan Serow
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Capricornis swinhoei
มีขนาดล้าตัวมคี วามยาว 80 - 114 เซนติเมตร และน้าหนัก 25 - 35
กิโลกรัม หางสันซ่ึงมขี นาดประมาณ 6.5 เซนติเมตร สีของมันเปน็ สีเทาเข้ม มีสี
เหลืองออกส้มทกี่ รามคอและต้นคอรวมถึงใต้เข่าถึงปลายขาด้านใน มีเขาท่ีโค้ง
ไปขา้ งหลงั เล็กน้อยและมคี วามยาว 10 – 20 เซนติเมตร โดยทั่วไปจะกินใบไม้
เถาวัลย์ เฟิร์น หรอื สมุนไพรตามพืนดิน สามารถกระโดดได้สูงถึง 2 เมตร และ
วิง่ ได้เร็วถึง 20 กิโลเมตรตอ่ ชวั่ โมง
ภาพท่ี6 เลยี งผาไตห้ วนั Capricornis swinhoei
แหลง่ ทอี่ ยูอ่ าศยั ไดแ้ ก่ ป่าสนปา่ ใบกว้าง ทางลาดชันของหนิ เปลือย หน้าผาก
รวด และโขดหิน ฤดูการผสมพันธ์ุช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนระยะเวลาเวลา
ตังครรภป์ ระมาณ 7 เดือน โดยจะให้ก้าเนิดลกู ครงั ละ 1 ตวั แตบ่ างครังสามารถคลอด
ลูกแฝดได้ ตงั แตอ่ ายุ 6 เดือน ถึง 1 ปี ลูกจะค่อยๆแยกจากแม่และใช้ชีวิตอย่างอิสระ
ช่วงอายุ 2 – 3 ปถี ึงจะสามารถสืบพันธ์ไุ ด้ และสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 15 ปี (Chiang
and Pei, 2008)
ภาพที่7 เลียงผาไต้หวัน Capricornis swinhoei
3. เลียงผาเหนือ Chinese serow, Southwest china serow, Mainland
serow
ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Capricornis milneedwardsii
เลียงผาเหนือมีขนท่ีหยาบสีเทาอมด้าเหมือนเลียงผาใต้ มีแผงคอท่ีพาดผ่าน
ระหว่างเขาไปตรงกลางของด้านหลังเขาโดยเฉพาะในเพศผู้จะโดดเด่น มีสีอ่อน ความ
ยาวประมาณ 15 - 16 เซนติเมตร และมีความยาวโค้ง เลียงผาเหนือมีขนาดล้าตัวท่ี
ใหญ่มาก เมื่อเติบโตเต็มที่มีความยาวกว่า 183 เซนติเมตร และมีส่วนสูงจากกีบเท้า
จนถงึ หัวไหล่ 92 เซนตเิ มตร และมีน้าหนกั ประมาณ 150 กโิ ลกรัม
ภาพท่ี8 เลยี งผาเหนือ Capricornis milneedwardsii
ขาทงั ส่ีตงั แตห่ วั เขา่ ลงไปจนถงึ กีบมีสีน้าตาลอมแดง พบอาศัยอยู่ตามภูเขาสูง
และบริเวณที่มีหน้าผาสูงชัน สามารถอาศัยและปีนป่ายได้ดีในพืนที่ท่ีมีความขรุขระ
แต่ก็สามารถพบได้ว่าบางครังพบในที่ราบ ว่ายน้าได้ดี และสามารถว่ายน้าข้ามทะเล
ไปยังอาศัยยังเกาะแก่งต่าง ๆ ได้อีกด้วย ปกติแล้วเลียงผาเหนือมักอาศัยอยู่เพียง
ล้าพังตัวเดียวหรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กินหญ้า หน่อไม้ และใบไม้ต่างๆ เป็นอาหาร เป็น
สัตวท์ ่คี ่อนข้างหวงถน่ิ มีการเดินตรวจตราถิ่นอาศยั เปน็ ประจ้ามีการประกาศอาณาเขต
หากินอย่างชัดเจนด้วยการถ่ายมูล มักออกหากินตังแต่ช่วงเวลาเช้าตรู่และเวลา
โพล้เพล้พลบค่้า มีระยะเวลาการตังทอ้ งนาน 7 - 8 เดือน เลียงผาเหนือเป็นเลียงผาที่
พบได้ในประเทศไทย
ภาพท่ี9 เลียงผาเหนอื Capricornis milneedwardsii
4. เลียงผาใต้ Common serow, Sumatran serow, Southern serow
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Capricornis sumatraensis
มีล้าตัวสัน ขายาว ขนมีเส้นเล็กและหยาบ ขนตามล้าตัวมีสีเทาอมด้าบริเวณ
ทอ้ งจะมสี ีอ่อนกว่าสขี องเลียงผาวัยอ่อนจะมีสีเข้มแต่จะอ่อนลงเร่ือย ๆ เมื่อโตตามวัย
จนดูคล้ายกับสีเทาสีขนบริเวณหน้าแข้งหรือใต้หัวเข่ามีสีด้า ตรงหัวเข่ามีด้า มีแผงคอ
ยาวในบางตัวอาจพาดไปถึงหวั ไหล่ มีตอ่ มขนาดใหญ่อยูใ่ ต้ตาเห็นได้ชัดเจน ริมฝีปากมี
สีขาว หูยาวคล้ายลา มีเขาทังตัวผู้และตัวเมีย มีรูปร่างคล้ายเขาของแพะ แต่เขาตัว
เมียจะสนั กว่าตวั ผู้ โดยท่วั ไปมขี นาดเล็กกวา่ เลยี งผาเหนือ มีขนาดความยาวล้าตัวและ
หัว 140 - 155 เซนตเิ มตร ความยาวหาง 115 - 160 เซนติเมตร ความสูงจากหัวไหล่
ถึงเท้า 85 - 94 เซนตเิ มตร น้าหนัก 85 - 100 กโิ ลกรมั
ภาพท1่ี 0 เลยี งผาใต้ Capricornis sumatraensis
พบแพร่กระจายบริเวณภาคใต้ของไทย ตังแต่คาบสมุทรมลายู และเกาะสุ
มาตรา มักอาศัยและหากินตามล้าพังบนภูเขาสูงหรือหน้าผาที่มีพุ่มไม้เตียขึนอยู่ กิน
พืช เช่น ใบไม้และยอดไม้เป็นหลัก ปีนหน้าผาได้อย่างคล่องแคล่ว ออกหากินในเวลา
เช้าตรู่ และพลบค่้า นอนหลับพักผ่อนในเวลากลางวันตามพุ่มไม้ ชอบลับเขาตาม
ต้นไม้หรือโขดหินท่ีเคยท้าอยู่ประจ้า มีนิสัยชอบถ่ายมูลซ้าท่ีเดิม ว่ายน้าเก่ง เคยมี
รายงานหลายครังว่า สามารถว่ายน้าข้ามแม่น้าขนาดใหญ่ได้ หรือบางครังอาจว่ายไป
มาระหว่างเกาะในทะเลได้ด้วย เม่ือพบศัตรูจะยืนอยู่น่ิง ๆ ครู่หนึ่งแล้วจึงกระโจน
หลบหนีไป มีประสาทหแู ละตาดเี ย่ียม จมกู รับกล่ินดีมาก มีฤดูผสมพันธุ์ระหว่างเดือน
ตุลาคม - พฤศจกิ ายน ใช้เวลาตงั ทอ้ งประมาณ 7 เดือน ออกลูกครังละ 1 ตัว เลียงผา
ใต้เปน็ เลยี งผาท่พี บได้ในประเทศไทย
ภาพท1่ี 1 เลยี งผาใต้ Capricornis sumatraensis
5. เลยี งผาหิมาลัย Himalayan serow
ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Capricornis thar
สายพันธ์ุนีเกิดขึนในเทือกเขาหิมาลัย รวมถึงทางตอนใต้ของอินเดีย
ตะวันออกเฉยี งเหนือ โดยมคี วามยาวล้าตัวประมาณ 140 - 170 เซนติเมตร ความสูง
จากหวั ไหลถ่ งึ เทา้ 90 - 100 เซนตเิ มตร น้าหนักตัวประมาณ 85 - 140 กิโลกรัม. ขน
มลี กั ษณะสดี ้าจนถึงสดี ้าเข้ม สแี ผงคอมีสดี ้า พนื ผวิ ดา้ นในของตน้ ขาเปน็ ครีม
ภาพท่ี12 เลยี งผาหิมาลัย Capricornis thar
6. เลียงผาแดง Red serow
ชือ่ วิทยาศาสตร์ Capricornis rubidus
สายพันธุ์นีพบในพม่าตอนเหนือและบังกลาเทศ โดยมีความยาวล้าตัว
ประมาณ 140 - 155 เซนติเมตร ความสูงจากหัวไหล่ถึงเท้า 85 - 95 เซนติเมตร สี
ตามตัวเป็นสีน้าตาลแดงบริเวณหลังมีแถบกลางสีเข้ม ขนแผงคอมีสีจาง หัวสีเหมือน
ตัวมีขนสีขาวปนบริเวณหน้า ริมฝีปากมีสีขาวปนเทา (Duckworth and than zaw,
2008)
ภาพที่13 เลยี งผาแดง Capricornis rubidus
ถน่ิ ทอ่ี ยู่อาศยั
เลยี งผาอาศัยอยตู่ ามภูเขาที่มีหนา้ ผาสงู ชนั อยตู่ ามภเู ขาซึ่งปกคลุมด้วยป่าทึบ
(Peacock,1933) สามารถอาศัยอยไู่ ด้ในบริเวณที่มีระดับความสูงตังแต่ 200 ไปจนถึง
ระดับ 3,000 เมตร เลียงผาเป็นสัตว์เคียวเอืองที่มีการครอบครองและป้องกันอาณา
เขตหากินของตัวเองโดยมีพืนท่ีครอบครองประมาณ 850 ไร่ ในจ้านวนนีเป็นพืนท่ีท่ี
เลียงผาหากินประจ้าประมาณ 538 ไร่ (ไสว, 2536) เลียงผาใช้ต่อมกลิ่นใต้ดวงตาถู
ตามก้อนหินหรือโคนต้นไม้เพื่อการหมายอาณาเขตครอบครอง เลียงผาสามารถใช้
พนื ท่ีค่อนข้างหลากหลายและมคี วามสามารถในการปรับตัวให้อยู่ในสภาพพืนท่ีหลาย
แบบ โดยปัจจุบันสามารถพบเลียงผาได้ใน ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณ
รวมถึงป่าดิบชืนในภาคใต้อีกทังยังสามารถพบเลียงผาในป่าเต็งรังบางพืนที่ อย่างไรก็
ตามเลยี งผามักใช้พืนท่ีภูเขาท่ีมีหน้าผาสูงชันมีป่าปกคุลมเป็นหลัก (กลุ่มงานวิจัยสัตว์
ป่า, 2553) เลียงผาชอบอาศัยอยู่ตามหน้าผาสูงชันจึงปลอดภัยจากศัตรูธรรมชาติ
(Johnson, 1993)
ภาพท่ี14 แผนที่การกระจายและระดับความชุกชุมของเลียงผาในประเทศไทย
แหล่งท่ีมา: กลุม่ งานวิจยั สัตว์ปา่ ส้านักอนุรักษส์ ตั ว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า
และพนั ธ์พุ ืช, 2553
การสืบพนั ธ์ุ
การสบื พนั ธ์ุของเลยี งผาจะสามารถสบื พนั ธุ์และให้ลูกไดเ้ ม่อื มอี ายุตังแต่ 3 ปี
และการสืบพันธุ์จะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม ถึง พฤศจิกายน ตังท้องนานประมาณ
7 - 8 เดือน ออกลูกครังละหนึ่งตัวหรือบางครังอาจมีสองตัว ลูกเลียงผาท่ีอายุได้
2 - 3 วัน จะออกเดินตามแม่ได้ และจะหย่านมเมื่ออายุ 5 - 6 เดือน (กลุ่มงานวิจัย
สัตว์ป่า, 2552) ลูกจะอาศัยอยู่กับแม่จนกระทั่งอายุ 1 ปี ถึงจะแยกตัวออกห่าง
เลยี งผามีอายไุ ดม้ ากว่า 10 ปีขนึ ไป (Lekagul and McNeely, 1977)
ภาพที่15 การจบั คูเ่ พอ่ื ผสมพันธข์ุ องเลยี งผา
ระบบทางเดนิ อาหารของเลยี งผา
เลียงผาเป็นสัตว์กินพืช (Herbivorous) มีลักษณะระบบทางเดินอาหาร
เช่นเดียวกบั สัตวใ์ นอนั ดับ Artiodactyla วงศ์ Bovidae วงศ์ย่อย Caprinae เช่น
แกะและแพะ มีกระเพาะ 4 ส่วน และมีการหมักย่อย (Fermentation) โดยการ
หมักของกระเพาะอาหารจะอาศัยแบคทีเรียในท่อทางเดินอาหาร (Microflora)
โดยส่วนใหญ่ pH ในกระเพาะอาหารจะอยู่ที่ 6.7+0.5 มีถุงน้าดี (Gall bladder)
นอกจากนันสัตว์ในตระกูลนีสามารถส้ารอก (Regurgitation) อาหารออกมาจาก
กระเพาะรูเมน (Rumen) เพ่ือท้าการเคียวใหม่ได้หรือการเคียวเอือง
(Michael et al.,2004) โครงสร้างของกระเพาะอาหารส่วนหน้าของเลียงผาจัด
อยู่ในกลุ่ม intermediate selectors คือ เลือกกินได้ทังอาหารท่ีมีเยื่อใยต่้าและ
อาหารทม่ี เี ยอ่ื ใยสงู (Yamamoto, 2007)
13
24
ภาพท่ี16 ลกั ษณะระบบทางเดินอาหารของเลียงผา
1. กระเพาะรเู มน (Rumen) 3. กระเพาะสามสิบกลีบ (Omasum)
2. กระเพาะรังผงึ (Reticulum) 4. กระเพาะแท้ (Abomasum)
ชนิดของอาหารที่ใชเ้ ล้ยี งเลียงผา
อาหารนันเป็นสิ่งส้าคัญ และส่ิงท่ีต้องค้านึงถึงก็คืออาหารที่ให้ต้องมีความ
ใกล้เคยี งกับธรรมชาตขิ องสตั ว์ ซง่ึ อาหารแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 3 ชนดิ คอื
1. อาหารหยาบ (Roughage)
อาหารหยาบเปน็ อาหารที่มีปริมาณสารเย่ือใย (Fiber) ในอาหารมากกว่า 18
เปอร์เซ็นต์ของน้าหนักแห้ง อาหารหยาบท่ีส้าคัญได้แก่ พวกหญ้าสด หญ้าแห้ง หญ้า
หมัก และเศษวัสดุท่ีเหลือใช้ทางการเกษตร อาหารหยาบจะเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรต
ชนิดเย่ือใยและมีความหนาแน่นน้อย อาหารหยาบจะมีส่วนประกอบของ เซลลูโลส
เฮมิเซลลูโลส และลิกนิน สูงกว่าอาหารข้น ดังนันการย่อยได้ของอาหารหยาบจึงต้่า
กว่าอาหารข้น อาหารหยาบจะมีโปรตีนค่อนข้างต้่ากว่าอาหารข้น โปรตีนของอาหาร
หยาบจะแตกต่างกันไปตามชนิดของพืช เช่น พืชตระกูลถ่ัวจะมีโปรตีนสูงกว่าพืช
ตระกลู หญา้ แร่ธาตใุ นอาหารหยาบจะมีปรมิ าณแคลเซยี ม
หญา้ เนเปียรป์ ากช่อง1 หญ้าแพงโกล่าแหง้
ตน้ ข้าวโพด ฟางขา้ วแหง้ อัดกอ้ น
ภาพที่17 อาหารหยาบ (Roughage)
2. อาหารขน้ (Concentrate)
อาหารข้นเป็นอาหารที่มีสารเยื่อใยรวมในอาหารต้่ากว่า 18 เปอร์เซ็นต์ของ
น้าหนักแห้ง อาหารข้นจึงจัดเป็นอาหารท่ีมีคุณค่าทางอาหารค่อนข้างสูง มีพลังงาน
และโปรตีนสูง เพ่ือให้สัตว์ได้รับอาหารที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิต
อาหารขน้ คือ อาหารสัตวท์ ่ใี หพ้ ลังงานและโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่สูง มารวมกัน
ในสัดส่วนที่พอเหมาะ เพ่ือให้มีโภชนะตรงตามต้องการของสัตว์ สัตว์ป่าท่ีถูกนามา
เลียงในสภาพกรงเลียงมักจะขาดโปรตีนเน่ืองจากพืชที่น้ามาเลียงส่วนใหญ่จะเป็นพืช
เจริญเติบโตเต็มท่ี ซ่ึงปริมาณการน้าไปใช้ประโยชน์ได้ของโปรตีนจะลดลง ในขณะท่ี
การใช้ประโยชน์จากพืชก้าลังเจริญเติบโตนันจะมีปริมาณโปรตีนที่เพียงพอต่อสัตว์
มากกวา่ (Minson, 1990)
กากถวั่ เหลือง ข้าวโพดบด
ปลาปน่ ราละเอยี ด
ภาพท่ี18 อาหารขน้ (Concentrate)
3. พืชผักและผลไม้
การเลียงสัตว์ป่าในสภาพกรงเลียงนัน นอกจากจะให้โภชนะตามความ
ต้องการของสัตว์นันๆแล้ว ยังมีการปรับโภชนะตามพฤติกรรมการกินในธรรมชาติ
โดยมกี ารเสรมิ พืชผักบางชนิดให้เหมาะสม เช่น ผักกาด กล้วย มันเทศ กับพฤติกรรม
การกินและความน่ากินของอาหารท่ีจะใหส้ ตั ว์ การให้อาหารพวกพชื ผกั และผลไม้จะมี
ความชุ่มช่ืนของน้าอยู่ภายในกลุ่มอาหารนีอยู่แล้ว ท้าให้สัตว์ได้รับน้าจากอาหาร
เหล่านีไปด้วย อีกทังในผลไม้มีวิตามินอยู่สูงจะช่วยให้สัตว์มีพฤติกรรมที่เป็นปกติ
เชน่ เดยี วกับในธรรมชาติ
กล้วยดบิ มันเทศ
ขา้ วโพด ผักบุ้ง
ใบตน้ โมกมนั ใบต้นไทรกร่าง
ภาพท่ี19 พชื ผกั และผลไม้
พืชอาหารในธรรมชาติของเลยี งผา
เลียงผาเป็นสัตว์กินพืช ชอบกินหญ้า พืชผักต่างๆ เช่น ใบไม้อ่อนๆ หน่อไม้
อ่อน โดยเฉพาะรากไม้ท่ีมีกลิ่นหอม ก่ิงไม้และเปลือกไม้ สามารถอดน้าได้นานเป็น
สัปดาห์ (Lekagul and McNeely, 1977) และจากการศึกษาของ Miller (1975)
เก่ยี วกบั อาหารของสัตวป์ ่าทศี่ ูนยศ์ ึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าท่ีเขาเขียว จังหวัดชลบุรี
พบว่าเลียงผาที่อาศัยอยู่กับเนือทราย กวางป่า เก้ง ละม่ัง มีการใช้อาหารร่วมกัน คือ
ข่อย โมกมัน หญ้าสองหาง กระดูกอ่ึง มะขามเบีย หญ้าขนหนาม หญ้าตีนกา ได้
ท้าการศึกษาพืชอาหารของเลียงผาโดยการวิเคราะห์ข้อมูล ท่ีรวบรวมได้จากบริเวณ
ป่าภูเขาหินปูนเขาแดง อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
พบว่า ชนิดพืชอาหารเลียงผาท่ีวินิจฉัยได้ 6 ชนิดได้แก่ ตะกิม มะเดื่อน้า ตับเต่า
มันหมู นา้ ขา้ วเขา เถาวัลย์แพน (วจิ กั ขณ,์ 2533)
ตารางท่ี 1 แสดงช่อื อาหารของเลียงผา
ชอ่ื ช่ือวิทยาศาสตร์
ไทรกร่าง Ficus concinna Miq.
หนอนตายหยาก/กระเพียด Stemona tuberosa Lour.
เถากระไดลิง Bauhinia scandens Linn.
สะแกดิน Combretum quadrangulare Kurz.
เถาส้มปูน Tetrastigma obovatum Gagnep.
มะเมา่ /มะเม่าดง Antidesma bunius
ข่อย Streblus asper Lour.
คนั ทรง Colubrina asiatica (L.) Brongn.
ผเี สอื น้อย/เสยี วน้อย Bauhinia hirsuta Weinm
สม้ กงุ้ Embelia ribes Burm.f.
เถานมววั Scleropyrum pentandrum (Dennst.) Mabb.
ล้าดวนดง Mitrephora tomentosa Hook.f. & Thomson.
กดั ลนิ /ล้าไยป่า Walsura trichostemon Miq
ผักปราบเครือ Streptolirion volubile Edgew.
ส้มป่อย Acacia concinna (Willd.) DC.
เถาคนั เหล็ก Ventilago cristata Pierre
ตารางที่ 1 แสดงชอ่ื อาหารของเลยี งผา (ต่อ)
ชื่อ ชื่อวิทยาศาสตร์
เถาวลั ยเ์ ปรียง Derris scandens (Roxb.) Benth
มะกอก Spondias cytherea Sonn.
บอนลนิ ทงิ /ชะงดเขา Aglaonema nitidum (Jack) Kunth.
จกิ /จกิ น้า/กระโดนน้า Barringtonia acutangula Gaertn
ลูกใตใ้ บ/มะขามปอ้ มดนิ Phyllanthus amarus Schum & Thonn.
เครอื หนามแนแ่ ดง Thunbergia coccinea Wall.
หญ้าหนวดฤาษี Heteropogon contortus
พลับพลา/หมากหอม Microcos tomentosa Sm.
โมกมัน Wrightia arborea (Dennst.) Mabb.
หญ้าขา้ วนก Echinochola colonum
หญา้ พริกพราน Cymbopogon cambogiensis Bal.
หญ้ากระดกู อ่ึง Dendrolobium lanceolatum (Dunn.) Schindl.
มะขามเบีย Tamarindus indica L.
หญ้าขนหนาม Brachiaria mutica (Forsk) Stapf.
หญ้าตนี กา Dactyloctenium aegyptium
ตบั เตา่ Diospyros ehretioides Wall. ex G. Don
ตารางที่ 1 แสดงชื่ออาหารของเลยี งผา (ต่อ)
ชอื่ ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์
มนั หมู/มันอยี าง Disoscorea membranocea Pierre
หญา้ ขน Brachiaria mutica
กลว้ ยน้าวา้ ดบิ Scientific name. Musa sapientum L.
ขา้ วโพด Zea mays var. rugosa.
ผักบงุ้ Ipomoea aquatica
หนอ่ ไม้ Bambusa vulgaris.
มนั เทศ Ipomoea batatas (L.) Lam.
ความต้องการโภชนะของเลียงผา
จากลักษณะทางสรรี วทิ ยาของระบบทางเดินอาหารมีลักษณะทางเดินอาหาร
เช่นเดียวกับสัตว์ในอันดับ Artiodactyla วงศ์ Bovidae วงศ์ย่อย Caprinae เช่น
แกะ และแพะ อีกทังพฤติกรรมการกินด้วยจึงได้มีเปรียบเทียบความต้องการโภชนะ
โดยใช้ตารางความต้องการโภชนะของแพะ
ตารางท่ี 2 ความตอ้ งการโภชนะ
รายการ ความตอ้ งการโภชนะ (DM basis)
DMI, %of BW %โปรตีนรวม %TDN
การดา้ รงชพี 1.8 - 2.4 7 53
ช่วงแรกของการตงั ทอ้ ง 2.4 - 3.0 9 - 10 53
ชว่ งปลายของการตงั ทอ้ ง 2.4 - 3.0 13 - 14 53
ระยะใหน้ ม 2.8 - 4.6 12 - 17 53 - 56
ท่มี า: Rashid (2008)
พฤตกิ รรมท่ัวไปของเลียงผา
1. พฤตกิ รรมการพกั ผอ่ น
การนั่ง หมอบ และหลับ ซ่ึงลักษณะท่ีพบบ่อยที่สุดคือการนั่ง โดยการน่ัง
เลยี งผาจะยอ่ ขาหลงั และคอ่ ยๆหย่อนก้นลงก่อนและจึงพับขาหน้าลง โดยท่ีขาหลังจะ
นั่งในลักษณะพับเพียบขาหน้าพับติดกับอก การหมอบจะคล้ายการน่ังเพียงแต่มีการ
ก้มคอลงและวางคางไว้ท่ีพืน ส่วนการหลับมีลักษณะเดียวกับการหมอบ และพบได้
นอ้ ยมากในชว่ งกลางวนั ส่วนใหญจ่ ะพบในช่วงเชา้ มืด
ภาพท่ี20 พฤตกิ รรมการพักผอ่ นของเลยี งผา
2. พฤตกิ รรมการกินอาหารและน้า
เลียงผาจะกินอาหารบ่อยครงั ทังกลางวัน และกลางคืน ก่อนเวลาอาหารจะ
มีอาการกระวนกระวายเล็กน้อย เดินวนเวียนเข้าไปในคอกอาหารเสมอ ๆ เลียงผา
จะด่มื น้าเฉลี่ยวนั ละ 280 ลกู บาศก์เซนติเมตร โดยใช้เวลากนิ นา้ ประมาณ 50 วินาที
ถงึ 2 นาที
ภาพที่21 พฤตกิ รรมการกินอาหาร กนิ น้าของเลียงผา
3. พฤติกรรมการขับถา่ ย
การขับถ่ายสามารถแบ่งได้เป็น 2 จ้าพวกด้วยกัน คือ การถ่ายอุจจาระ
และปสั สาวะ ซ่งึ การขับถ่ายของแต่ละเพศนันมีความแตกต่างกัน โดยในตัวเมียการ
ขับถ่ายปัสสาวะมักจะย่อขาหลังลงจนก้นเกือบติดพืนดิน แต่ในตัวผู้จะย่อขาหลังลง
เพยี งเลก็ น้อยเท่านัน สว่ นการขับถา่ ยอุจจาระนันในตวั เมียและตัวผู้จะเหมือนกันคือ
ย่อขาหลังลงเล็กน้อยและกระดกหางขึน การขับถ่ายอุจจาระของเลียงผาจะขับถ่าย
ในที่เดิมซา้ ๆ โดยเฉล่ยี นา้ หนักมลู ประมาณ 651 กรัม แต่การถ่ายปัสสาวะจะไม่ซ้า
ท่ีเดิม
ภาพท2ี่ 2 พฤติกรรมการปัสสาวะของเลยี งผาเพศเมีย
4. พฤตกิ รรมการเคลือ่ นที่
การยืน เดิน และวิ่ง โดยปกติแล้วจะพบการยืนและเดินเป็นส่วนใหญ่ ส่วน
การว่ิงนันพบได้น้อยมาก และมักจะว่ิงในระยะสันๆ ลักษณะการเดินของเลียงผาจะ
ก้าวขาในลักษณะขาหน้ากับขาหลังที่กันข้ามกันจะก้าวพร้อมกัน เช่น ก้าวขาหน้าข้าง
ซ้ายพร้อมกบั ขาหลงั ข้างขวา ส่วนการวิ่งจะว่ิงในลักษณะการวิ่งกวด โดย ก้าวขาหน้า
ทัง 2 ข้างไปพร้อมกันจากนันจึงใช้ขาหลังทัง 2 ข้างดันพืนพร้อมๆกันเพ่ือกระโจนไป
ข้างหน้า
ภาพที่23 พฤตกิ รรมการเคลือ่ นที่ของเลียงผา
5. พฤตกิ รรมเพ่ือความสบายตวั
การเลีย การเกา และการลับเขา การเลียส่วนใหญ่เลียงผาจะเลียบริเวณขา
และลา้ ตัว สว่ นการเกาเลียงผาจะใช้ขาหลังข้างใดข้างหนึ่งขึนมาเกาในบริเวณที่คันซ่ึง
สว่ นใหญจ่ ะเป็นบริเวณท้องและหลงั ใบหู สว่ นการลบั เขาจะพบในตัวผู้มากกว่าตัวเมีย
โดยเลียงผาจะย่อขาหน้าลง และก้มหัวเพ่ือใช้เขาถูกับต้นไม้ เสากรง หรือรากของ
ต้นไมท้ ี่โผลข่ นึ มาบนพืนดนิ เป็นตน้
ภาพท่ี24 การลบั เขาของเลียงผา
6. พฤติกรรมทางเพศ
การเกียวและการผสมพันธุ์ การเกียวพบในเฉพาะตวั ผู้โดยท่ีตัวผู้จะเข้าไปเลีย
หรือดมก้นตัวเมีย และใช้ขาหน้าข้างใดข้างหนึ่งสะกิดบริเวณท้องของตัวเมีย หากตัว
เมียพร้อมที่จะผสมพันธุ์จะย่อขาหลังลงเล็กน้อยเพ่ือให้ตัวผู้ขึนผสมพันธ์ุ แต่หากตัว
เมียไม่พร้อมท่ีจะผสมพันธ์ุก็จะเดินหนีตัวผู้ไป ส่วนพฤติกรรมการผสมพันธ์ุตัวเมียจะ
ย่อขาหลังลงและตัวผู้จะใช้ขาหน้าทัง 2 ข้าง เกาะบริเวณข้างล้าตัวของตัวเมียไว้
จากนันจึงสอดใสอวัยวะเพศผู้เข้าไปในอวัยวะเพศเมีย พฤติกรรมการผสมพันธ์ุนีใช้
เวลาประมาณ 10 วินาทีเท่านัน โดยพฤติกรรมการผสมพันธ์ุนีพบมากที่สุดในเดือน
ตุลาคม ถงึ พฤศจกิ ายน
ภาพที่25 การเกยี วและการผสมพันธ์ขุ องเลยี งผา
7. พฤตกิ รรมก้าวรา้ ว
เลียงผาจะก้มหัวโดยหันเขาให้กับสิ่งมีชีวิตตัวอ่ืนเพ่ือเป็นการข่มขู่ พร้อมกับ
การใช้ขาหนา้ ข้างใดข้างหน่ึงตะกุยพืนดินและพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างแรง ใน
กรณีที่เกิดความก้าวร้าวอย่างรุนแรง เช่นเกิดการแย่งอาหารกัน จะพบว่าเลียงผาจะ
ยกลา้ ตัวด้านหน้า และใช้ขาหน้าทัง 2 ข้างกระทืบพืนดินอย่างรุนแรง และก้มหัวเพื่อ
เปน็ การขม่ ขูด่ ว้ ย
ภาพท่ี26 พฤตกิ รรมกา้ วร้าวของเลียงผา
8. พฤติกรรมการวางอาณาเขต
เลียงผาทังเพศผู้และเพศเมีย มีต่อมน้ามันอยู่ใต้ตาทัง 2 ข้าง เม่ือเลียงผาจะ
วางอาณาเขตเลียงผาจะเดินไปรอบๆกรงและใช้ต่อมน้ามันบริเวณใต้ตาถูกับสิ่งของ
ตา่ งๆ ภายในกรง เช่น เสากรง ประตกู รงหรอื ลา้ ต้นไม้ เปน็ ต้น
ภาพที่27 พฤติกรรมการวางอาณาเขตของเลียงผา
การเลีย้ งเลยี งผาในสภาพกรงเลย้ี ง
ของสานกั งานเชียงใหมไ่ นทซ์ าฟารี
1. ลกั ษณะโรงเรอื น
1.1 คอกกักสัตว์
คอกกักสัตว์ (ส่วนปิด) มีพืนท่ีความกว้างประมาณ 6 เมตร ความยาว
ประมาณ 6 เมตร มีรางอาหารและรางน้าขนาดความกว้าง 60 เซนติเมตร ความยาว
80 เซนติเมตร พืนคอกเป็นซีเมนต์ ด้านข้างคอกก่อซีเมนต์บล็อกสูง ประมาณ 1.25
เมตร ทัง 4 ด้าน ยกเว้นทางเข้าคอกท้าเป็นลูกกรงเหล็กมีกลอนหรือที่ล็อกประตู
ปิด-เปดิ ได้ จัดท้ารอ่ งระบายน้าออกไปภายนอกตรงทางเดิน ภายในคอกมีขอนไม้ แค
ไม้ยกสงู และผา่ หินเทยี มใหไ้ ด้ปนี ปาย
ภาพท2ี่ 8 พืนทีอ่ าศัยของเลียงผาภายในคอกกกั และบริเวณทใี่ ห้อาหาร
ภาพที่29 พนื ทีอ่ าศัยของเลยี งผาในคอกกกั บรเิ วณพนื ที่นอน
1.2 คอกปลอ่ ยอิสระ
คอกปล่อยอิสระ (Backyard) มีพืนท่ีความกว้างประมาณ 6 เมตร ความยาว
ประมาณ 4 เมตร พืนคอกเป็นดิน ให้สัตว์ได้รู้สึกผ่อนคลายและเหมือนอยู่ใน
ธรรมชาติ
ภาพที่30 คอกปล่อยอิสระ (Backyard) ของเลียงผา
ภาพที่31 คอกปลอ่ ยอสิ ระ (Backyard) ของเลียงผา
1.3 คอกสว่ นแสดง
พืนที่คอกส่วนแสดง มีพืนที่ความกว้างประมาณ 6 เมตร ความยาวประมาณ 4
เมตร พนื คอกเป็นดิน ให้สตั ว์ไดร้ ูส้ กึ ผอ่ นคลายและเหมอื นอยู่ในธรรมชาติ
ภาพที่32 คอกปลอ่ ยอสิ ระ (Backyard) ของเลียงผา
ภาพท่ี33 คอกปล่อยอิสระ (Backyard) ของเลยี งผา
1.4 การทาความสะอาดโรงเรอื นเล้ียงเลยี งผา
ควรมีการท้าความสะอาดและฆ่าเชืออุปกรณ์อย่างถูกสุขลักษณะต้องไม่ปล่อยให้
พืนคอกเป็นท่ีสะสมและหมักหมมของมูลและเศษอาหาร พืนคอกควรมีลักษณะแห้ง
และสะอาดก้าจัดของเสียไม่ให้เกิดการสะสมไม่ควรให้พืนคอกมีน้าขังเพราะจะเป็น
แหล่งสะสมของเชือโรค ต้องดูแลรักษาความสะอาดของภาชนะที่ใส่น้า ภาชนะใส่
อาหารขน้ ภาชนะใสอ่ าหารหยาบ และเก็บเศษอาหารเก่าและอาหารท่ีตกค้างภายใน
คอกเป็นประจ้าทุกวัน เปล่ียนน้าสะอาดใหม่ทุกวัน และทุกครังท่ีน้าสกปรก อีกทัง
บริเวณโดยรอบของคอกมีความส้าคัญต่อการป้องกันและควบคุมโรค ควรท้าความ
สะอาดด้วยวิธีท่ีเหมาะสม ตรวจสอบความสะอาดอย่างสม่้าเสมอเพื่อไม่ให้เกิดการ
สะสมของเชือโรค และสัตว์พาหะน้าเชือโรค และตรวจสภาพการใช้งานของโรงเรือน
เลียงสตั ว์ เครอื่ งมอื และอุปกรณ์ท้าความสะอาดให้อยใู่ นสภาพดีพรอ้ มใช้งานหากเกิด
การช้ารุดเสียหายต้องท้าการซ่อมบ้ารุงอยู่เสมอเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อสัตว์และ
ผ้ปู ฏิบัตงิ าน แลว้ ควรท้าความสะอาดอุปกรณ์ท่ใี ช้ท้าความสะอาดคอกสัตว์หลังการใช้
งานทกุ ครงั
ภาพท่ี34 ทา้ ความสะอาดพนื คอกและเก็บเศษอาหารเกา่ ออก
ภาพท่ี35 เปลีย่ นนา้ สะอาดใหมท่ ุกวันและเติมน้ายาฆา่ เชือเพ่ือป้องกนั และควบคุมโรค
2. อาหาร และการให้อาหารเลยี งผา
2.1 อาหาร
ทา้ การเตรยี มอาหาร ประกอบไปด้วย กล้วยน้าว้าดิบ ฝักข้าวโพดหวาน หญ้าแพง
โกลา่ แห้ง ผักบุ้งจนี และตน้ ข้าวโพด เป็นแหลง่ อาหารหยาบที่ใชเ้ ลียงเลียงผาในสภาพ
กรงเลยี งของเชยี งใหม่ไนทซ์ าฟารี วิธีการเตรียมกล้วยน้าว้าดิบและ ฝักข้าวโพดหวาน
โดยทา้ การตดั ใหม้ ขี นาดชนิ ละ 2-3 เซนตเิ มตร สว่ นตน้ ขา้ วโพด ตัดที่อายุการปลูก 45
วนั จะท้าการใหท้ งั ลา้ ตน้ ผกั บุ้งจีนใช้ทังต้น ส่วนหญ้าแพงโกล่าแห้ง จะมีตะกร้าไว้ใน
คอกสัตว์เพื่อให้เลือกกินได้ตลอดเวลา อีกทังยังมีอาหารข้นชนิดเม็ดสูตรส้าหรับโครุ่น
อายุ 6 เดือนขึนไป มีโปรตีน ไม่น้อยกว่า 14 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน ไม่น้อยกว่า 2
เปอร์เซน็ ต์ กาก ไมน่ อ้ ยกวา่ 12 เปอรเ์ ซ็นต์ ความชืน ไม่น้อยกว่า 13 เปอรเ์ ซน็ ต์
ภาพท่ี36 การเตรยี มกลว้ ยนา้ ว้าดบิ และฝักขา้ วโพดหวานส้าหรบั ใชเ้ ลียงเลยี งผา
ภาพท่ี37 การเตรียมผักบุ้งจีนและหญ้าแพงโกล่าแหง้ ใสต่ ะกรา้
ภาพที่38 การเตรียมต้นขา้ วโพดส้าหรับใช้เลียงเลยี งผา
ภาพท่ี39 อาหารข้น
2.2 การใหอ้ าหารเลยี งผา
เลียงผาจะถูกเลียงในคอกขังเด่ียว (ส่วนคอกกัก) แต่ในส่วนแสดงเลียงผาจะอยู่
รวมกนั โดยแต่ละคอกจัดให้มีรางอาหารและรางน้าแยกเฉพาะตัว นอกจากนีเลียงผา
แตล่ ะตัวได้รบั อาหารทดลองแบบเต็มที่ (ad libitum) โดยแบง่ ใหอ้ าหารเป็น 2 เวลา
คอื 09.00 น. และ 15.00 น.
ภาพที่40 การให้อาหารเลียงผา
3. การเสริมสร้างพฤติกรรมของเลยี งผา
3.1 การเสริมแต่งโครงสร้าง
การเพิ่มคุณค่าทางโครงสร้างคือการเพิ่มวัตถุลงในกรงเลียงเพื่อเลียนแบบที่อยู่
อาศยั ตามธรรมชาติของสตั ว์ วัตถเุ หล่านีสามารถเปล่ียนเปน็ ครงั คราวหรือเก็บไว้อย่าง
ถาวรได้ ควรเปลย่ี นสภาพแวดล้อมของสตั ว์ที่ถกู กกั ขังบ่อยๆ เนื่องจากสภาพแวดล้อม
ของพวกมันในป่าจะท้าให้เกิดวัตถุและการส้ารวจใหม่ๆ สัตว์ไม่ควรท้าความคุ้นเคย
กับสิ่งแวดล้อมมากเกินไป เพราะอาจท้าให้เบื่อหน่าย ไม่มีสิ่งเร้า หรือพฤติกรรมตาม
แบบแผน เชน่ โครงสรา้ งการปีนป่ายภูเขา ก้อนหินเทยี ม
ภาพท่ี41
3.2 การจดั หาอาหารตามธรรมชาติ
การจัดหาอาหารตามธรรมชาติมาให้สัตว์กินในแต่ละวัน แล้วมีความหลากหลาย
มากกว่าปกติ เช่นการเปล่ยี นใบไม้ อาจจะเปลีย่ นเป็นคนละชนดิ กนั แตต่ อ้ งเป็นใบไม้ท่ี
ไมม่ ีพิษ หรืออาจเปลี่ยนวิธกี ารให้จากที่ให้ใบไม้เป็นใบ ๆ เปลี่ยนเป็นให้ไปทังก่ิงทังใน
ส่วนแสดงและคอกกกั อย่างต่อเน่ืองทุกสัปดาห์ และจดบันทึกความเปล่ียนแปลงของ
พฤติกรรมสัตว์ทังก่อนและหลังเพื่อเปรียบเทียบกัน การส่งเสริมพฤติกรรมสัตว์
สามารถช่วยลดความเครียดในร่างกายของสตั ว์ได้
ภาพที่42
ภาพท่ี43
4. การจัดการดแู ลและอนบุ าลลกู เลียงผาลูกแรกเกดิ
4.1 การปรบั ตวั ทางสรรี ะของแม่และลูก
การคลอดลกู ต้องสูญเสียความร้อนจากการเปล่ียนสภาพจากการอยู่ในมดลูกแม่มา
สู่โลกภายนอก ภายใน 15 นาทีแรก อุณหภูมิของร่างกายลูกจะลดลง 1-2 องศา
เซลเซียส ลูกเกิดใหม่จึงต้องเพ่ิมการสร้างความร้อนถึง 15 เท่า ย่ิงอุณหภูมิเย็นลงจะ
ยิ่งมีผลกระทบมาก เช่น ลมพัด ความชืน การระเหยของน้าคร่้าบนผิวหนังลูก ลูก
เลียงผาจะเผาผลาญไขมันและเพ่ิมการหดตัวของกล้ามเนือเพ่ือเพ่ิมการสร้างความ
ร้อน แม่เลียงผาท่ีขาดอาหารจะส่งผลต่อลูกท้าให้ลูกมีไขมันสะสมน้อยจึงท้าให้โอกาส
รอดชีวิตน้อยลง ปริมาณพลังงานส้ารองจึงเป็นอันดับแรกส้าหรับการมีชีวิตรอด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสภาพดินฟ้าอากาศไม่เอืออ้านวย ลูกเลียงผาท่ีเกิดใหม่มีขนาด
ตัวเล็กจึงเสี่ยงต่อการเกิดอุณหภูมิลดต่้าลงได้ง่ายกว่าลูกเลียงผาท่ีมีขนาดใหญ่
เน่อื งจากมีอตั ราการสญู เสียความร้อนต่อหน่วยน้าหนกั ทีส่ ูงกว่า
4.2 นมน้าเหลอื ง
นมนา้ เหลอื งเปน็ น้านมแรกของแม่ซึ่งถูกสร้างขึนก่อนคลอด มีสารอาหารท่ีเข้มข้น
พร้อมด้วยโปรตีนภูมิคุ้มกันโรค เอนไซม์ ฮอร์โมน สารเพ่ือการเจริญเติบโต และเป็น
แหล่งอาหารเพียงหนึ่งเดียวของลูกเกิดใหม่ นมน้าเหลืองมีสารอาหาร ดังนี ไขมัน
ประมาณ 7 เปอรเ์ ซน็ ต์ เคซีนประมาณ 4 เปอรเ์ ซน็ ต์ แลคโตสประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์
น้า 82 เปอร์เซ็นต์ และให้พลังงาน 2กิโลแคลอร่ีต่อน้านม 1 มิลลิลิตร ความต้องการ
น้านมของลูกเลียงผาใน 18 ชั่วโมงแรก ประมาณ 180-290 มิลลิลิตรต่อน้าหนักตัว
ลูก 1 กิโลกรัม เน่ืองจากโปรตีนภูมิคุ้มกันโรคไม่สามารถผ่านทางรกแม่ลูกได้ ลูกจึง
ต้องรับจากการกินนมน้าเหลืองเท่านัน เม่ือได้กินนมน้าเหลืองระดับภูมิคุ้มกันโรคใน
ตัวลกู จะสงู ขนึ อยา่ งรวดเรว็ ในภายในชว่ั โมงแรกและสูงสุดท่ี 24 ชั่วโมงหลังคลอด แต่
การดูดซึมโปรตนี ภูมิคุ้มกันโรคจะหยุดลงภายใน 24 ช่ัวโมงแรกหลังคลอด ดังนันการ
ดูดนมของลูกท่ีช้าเน่ืองจากไม่มีน้านมหรือลูกไม่เก่งการค้นหาหัวนมแม่ ท้าให้ส่งผล
เสยี มากต่อลกู มาก