The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือการเลี้ยงเลียงผา210665

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by umsook130237, 2022-06-21 05:10:37

คู่มือการเลี้ยงเลียงผา210665

คู่มือการเลี้ยงเลียงผา210665

4.3 นา้ หนักตัวและจานวนลกู ของเลยี งผา

ลูกเลียงผาที่น้าหนักตัวมากเกินไปหรือน้อยเกินไปมีผลเสี่ยงต่อการตายได้ โดย
น้าหนักตัวที่เหมาะสมของลูกเลียงผาจะอยู่วง 3 - 5.5 กิโลกรัม หากเกิดลูกแฝดจะมี
อัตราการตายท่ีสูงกว่าลูกตัวเดียว การคลอดยากเป็นอีกสาเหตุหลักของการตาย
ส้าหรับลูกท่ีมีขนาดใหญ่ แต่ส้าหรับลูกท่ีมีขนาดเล็กการตายมักมีสาเหตุจากการขาด
อาหารและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ (ระดับพลังงานส้ารองต้่า ความอ่อนแอ ไม่
สมบูรณ์) ลูกท่ีอ่อนแอจะไม่เก่งในการค้นหาหัวนมแม่ ซ่ึงเป็นตัวตังต้นในการคงการ
ดูดนม ส่วนลูกท่ีหัดยืนดูดน้านมได้ล่าช้าจะมีโอกาสรอดน้อยกว่าจึงควรต้องกินนม
นา้ เหลอื งภายใน 6 ชวั่ โมงแรกหลงั คลอด

4.5 การจดจากนั ของแม่ลูก

แมเ่ ลียงผาจะอยู่ในพืนท่คี ลอดลูกหลายชั่วโมงหลังคลอด ท้าให้เกิดความสัมพันธ์
แม่ลกู กลไกการจดจ้าผา่ นระบบประสาทรับกล่ิน ระยะเวลาประมาณ 30-60 นาที ท่ี
มีการสมั ผสั ใกลช้ ดิ หลังคลอดจะเพียงพอให้จดจ้ากนั ได้ และจะปฏิเสธตัวอ่ืนท่ีไม่ใช่ลูก
ของตัวเอง ชวั่ โมงแรกหลงั คลอดจงึ เป็นระยะในการจดจา้ กนั ได้ของแม่ลูก การรบกวน
ในระยะนีจะน้าไปสู่การไม่ยอมรับกัน เช่น แม่จะไม่ยอมเลียงลูกและท้าให้ลูกตายใน
ที่สุด การท่ีแม่ลูกซ่ึงยังมีการจดจ้ากันได้ยังไม่แรงพอหากน้าออกจากพืนที่คลอดเร็ว
เกินไปอาจท้าให้ลูกตายได้ โดยปกติแล้วแม่ลูกควรต้องอยู่ด้วยกันในพืนที่คลอดอย่าง
นอ้ ย 6 ชัว่ โมง

4.6 การดูดนมและการตดิ ตามแม่

การคลอดทา้ ให้เกิดการกระตุ้นทางสรีระและพฤติกรรมต่อลูกส่วนมากแล้วลูกจะ
เริ่มดูดนมแม่ภายใน 2 ชั่วโมง การติดตามแม่ส่วนใหญ่แล้วลูกจะจ้าแม่ได้ภายใน
12-24 ชั่วโมงหลงั คลอด

4.7 การดแู ลลูกเลยี งผาแรกเกิด
1) น้าผ้าสะอาดเช็ดบริเวณใบหน้า จมูก น้าเมือกออกให้หมด บางตัวมีน้าคร้่าเข้า
ลา้ คอจ้าเป็นต้องใชไ้ ซรงิ คห์ รือลกู ยางดดู ออก เพอ่ื ป้องกันการส้าลักและหายใจไม่ออก
ส่วนล้าตัวใช้มือลูบออกก็พอ (ควรใส่ถุงมือ) ส่วนเมือกที่เหลือปล่อยให้แม่เลีย เพื่อ
สร้างความรจู้ กั กันระหว่างแมล่ ูก
2) การตัดสายสะดือลูก ควรให้มีความยาวณ 1-2 นิว และใช้ทิงเจอร์หรือ
เบทาดนี ทาสายสะดือ เพอื่ ป้องกันการติดเชือทางสะดือโดยเฉพาะเชือบาดทะยัก
3) จับลูกเลียงผาให้กินนมแม่ ซ่ึงเป็นนมเหลืองเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก ให้กิน
อย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์ของน้าหนักตัวเลียงผา เช่น ลูกเลียงผา มีน้าหนักตัว 3
กิโลกรมั ใหก้ ินนม 300 มิลลลิ ิตร
4) ผู้ดูแลลูกเลียงผาแรกเกิดควรเฝ้าดูว่าสามารถยืนดูดนมแม่ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้
ตอ้ งชว่ ยจบั ป้อนจนกว่าลูกจะแขง็ แรงและยนื ดูดนมได้ปกติ
4.8 สถานทก่ี ารอนบุ าลลกู เลยี งผา
1) คอกท่ีอนุบาลต้องสะอาด และพืนคอกต้องไมช่ ืนแฉะ
2) ควรมีฟางแห้งรองพืนคอกเพื่อให้ความอบอุ่น และในช่วงกลางคืน หรือฤดู
หนาวควรมไี ฟกกให้ลูก
4.9 การเลี้ยงดูลูกเลยี งผาชว่ งแรกคลอด
1) ควรใหล้ ูกได้กินนมนา้ เหลืองจากแมท่ นั ที ถา้ หากลูกอ่อนแอไม่สามารถลุกกิน
นมแมไ่ ด้ อาจรีดนมแมใ่ สข่ วดนมปอ้ นลูก
2) หากแม่เลียงผาไม่มีน้านมเลียงลูก หรือแม่ตายอาจใช้นมน้าเหลืองเทียมใช้
เลยี งลกู เอง โดยมสี ่วนผสมดังนี

- นมววั หรือนมผง 0.25 – 0.5 ลติ ร
- น้ามนั ตบั ปลา 1 ชอ้ นชา
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- นา้ ตาล 1 ชอ้ นชา

น้าส่วนผสมละลายให้เข้ากันและอุ่นนมที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ป้อนให้
ลกู เลียงผากิน 3 – 4 วัน วันละ 3 – 4 ครัง

4.10 การให้นมลูกเลียงผา

ชว่ งอายุ ปรมิ าณนา้ นมและความถี่ในการใหก้ นิ

0 – 1 สัปดาห์ 300 มิลลลิ ติ ร 4 ครงั ต่อวนั

1 – 2 สปั ดาห์ 400 มลิ ลิลติ ร 4 ครังต่อวนั

2 – 8 สปั ดาห์ 850 มิลลลิ ิตร 3 ครงั ตอ่ วัน (เรม่ิ ให้หดั กินอาหารขน้ เสริม)

9 – 10 สัปดาห์ 850 มลิ ลิลติ ร 2 ครังตอ่ วนั

11 สปั ดาห์ 500 มิลลิลติ ร 2 ครงั ตอ่ วัน

12 สัปดาห์ 500 มิลลิลติ ร 1 ครังต่อวัน

13 สัปดาห์ ใหก้ นิ อาหารข้นและอาหารหยาบ

ภาพท่ี44 การให้นมลูกเลียงผา

1) อาหารข้นส้าหรับลูกเลียงผาท่ีเริ่มหัดกินตังแต่อายุ 2 สัปดาห์ จนถึงอายุ 4
เดือน ใช้เป็นอาหารข้นที่มีโปรตีนสูงไม่น้อยกว่า 18 เปอร์เซ็นต์ ผลิตจากวัตถุดิบท่ี
ย่อยได้ง่าย มีเยื่อใยไม่เกิน 9 เปอร์เซ็นต์ มีส่วนประกอบวิตามินแร่ธาตุที่จ้าเป็น
ส้าหรบั ลูกเลยี งผาในระยะแรก เพื่อใหม้ สี ขุ ภาพทส่ี มบรู ณ์แข็งแรง

5. การจดั การอาหารเลยี งผาในระยะตา่ งๆ

อายุ / ระยะ ชนดิ อาหาร ปริมาณการกนิ

ระยะร่นุ ตังแต่ - อาหารขน้ โปรตนี 14% - 100-200 (กรมั /ตวั /วัน)
4 เดอื น - อาหารหยาบคุณภาพดี - กินแบบเตม็ ท่ี (3 กก. /ตวั /วนั )
- เสริมแร่ธาตุก้อนและใบไม้ - กนิ แบบเตม็ ท่ี

ช่วงผสมพันธุ์ - อาหารข้น โปรตีน 14% - 300-600 (กรัม/ตวั /วนั )
- อาหารหยาบคุณภาพตา้่ - กินแบบเต็มท่ี
- เสรมิ แร่ธาตกุ ้อนและใบไม้ - กินแบบเต็มท่ี

แมพ่ นั ธทุ์ ้องว่าง ถึง - อาหารขน้ โปรตีน 14% - 200-400 (กรมั /ตวั /วัน)
ทอ้ งไม่เกนิ 3 เดอื น - อาหารหยาบคุณภาพดี - กินแบบเต็มที่ (4-5 กก. /ตวั /วนั )

- เสริมแรธ่ าตกุ อ้ นและใบไม้ - กนิ แบบเตม็ ท่ี

ชว่ งแมท่ ้องตังแต่ 3 - อาหารข้น โปรตีน 16% - 600-1,000 (กรมั /ตวั /วนั )

เดือนขึนไป - อาหารหยาบคุณภาพดี - กินแบบเตม็ ท่ี (4-5 กก. /ตวั /วนั )

- เสริมแรธ่ าตุก้อนและใบไม้ - กินแบบเตม็ ที่

ช่วงแม่ให้นมลูก - อาหารขน้ โปรตีน 16% - 800-1,300 (กรัม/ตวั /วัน)
- อาหารหยาบคณุ ภาพต้า่ - กนิ แบบเตม็ ที่
- เสรมิ แร่ธาตุกอ้ นและใบไม้ - กินแบบเต็มท่ี

พ่อพนั ธ์ุ - อาหารข้น โปรตนี 14% - 400-800 (กรมั /ตวั /วนั )
- อาหารหยาบคณุ ภาพต่้า - กินแบบเตม็ ที่
- เสริมแร่ธาตุกอ้ นและใบไม้ - กินแบบเต็มท่ี

โรคและการควบคุมโรค
Diseases and Diseases Control

การดแู ลสขุ ภาพสัตวภ์ ายในฝงู อย่างสม้่าเสมอจะช่วยลดอัตราการเกิดโรค หลัก
ของการสขุ าภบิ าลและการ ควบคุมป้องกนั โรค มดี งั ตอ่ ไปนี

1. รักษาความสะอาดภายในคอกและโรงเรือน โดยท้าลายเชือโรคด้วยการพ่นยาฆ่า
เชืออย่าง สม่้าเสมอและก้าจัดมูลสัตว์ซ่ึงเป็นสาเหตุในการแพร่กระจายของเชือและ
พยาธิ วางตา้ แหน่งโรงเรอื นให้ เหมาะสม อากาศถ่ายเทได้สะดวก

2. ดแู ลเอาใจใส่อาหารและน้าใหส้ ะอาดและมคี ุณภาพพอเพียง

3. วางโปรแกรมวัคซีนป้องกันโรค ตามระยะเวลาท่ีสัตวแพทย์แนะน้าพร้อมทังจด
บนั ทึกประวตั ิ การฉดี วัคซนี และฉีดซา้ ตามกา้ หนด

4. มกี ารดูแลสุขภาพสัตว์อย่างสม่้าเสมอ หม่ันสังเกตความผิดปกติต่างๆ เช่น ซึม กิน
น้อยลง เอา แต่นอน ขนหยอง ให้รีบแกไ้ ขก่อนทจ่ี ะเกดิ ปัญหารุนแรงขนึ

5. เมื่อพบสัตว์ท่ีมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าเป็นโรคติดต่อให้แยกไว้ไม่ให้สัมผัสกับ
สัตว์ปกติท้า ความสะอาดโรงเรือนด้วยน้ายาฆ่าเชือและแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์เพื่อหา
สาเหตุตอ่ ไป

6. มกี ารท้าบนั ทึกประวัตสิ ตั วเ์ พื่อใหท้ ราบถึงสภาวะสุขภาพสัตว์และปัญหาท่ีอาจแฝง
อยู่ในฟาร์ม เพื่อประโยชน์ในการควบคุมป้องกันโรค เมื่อสัตว์ป่วยและแสดงอาการ
ผิดปกติผู้เลียงควรสังเกตว่าเป็นอาการทางระบบใดเช่น ถ้าสัตว์ หายใจหอบ มีน้ามูก
จาม ไอ จัดเปน็ อาการทางระบบหายใจ ถ่ายเหลว มีมกู เลอื ด จัดเป็นอาการทางระบบ
ทางเดินอาหาร ปัสสาวะสีแดงหรือสีเหลืองเข้ม จัดเป็นอาการทางระบบทางเดิน
ปสั สาวะเปน็ ตน้ การจัด กลุม่ อาการทางระบบตา่ งๆนที า้ ให้งา่ ยต่อการวินิจฉยั เบืองตน้

อาการทางระบบหมนุ เวยี นโลหิต

โดยมากจะเกิดอยา่ งเฉยี บพลัน มีไข้สูง เบื่ออาหารหรือไม่กินอาหาร ซีดหายใจ
หอบ โลหิตจาง ไม่มีแรง โรคเก่ียวกับระบบหมุนเวียนโลหิตท่ีมักพบ ได้แก่ โรคแอน
แทรกซโ์ รคเมลิออยโดซสี โรคเฮโมรายิกเซฟตกิ ซีเมยี โรคไขข้ า โรคพยาธใิ นเลือด

อาการทางระบบทางเดินหายใจ

อาการทพ่ี บ เชน่ หายใจหอบ หายใจด้วยท้อง สังเกตว่าซี่โครงไม่บานออกหรือ
หุบเข้า การเคล่ือนไหวของกล้ามเนือหน้าอกมีน้อยแต่พบการเคลื่อนไหวของ
กล้ามเนือท่ีท้อง ไอ มีน้ามูก บางครังอาจมีเลือดไหลจากโพรงจมูกโรคเกี่ยวกับระบบ
หายใจท่ีมกั พบ ไดแ้ ก่ วณั โรค โรคไอบีอาร์โรคบีวดี ี

อาการท่ีเก่ยี วกับระบบทางเดนิ อาหาร

อาการท่ีพบ เชน่ มนี า้ ลายไหลยืดในกรณีของโรคปากและเท้าเปื่อยหรือน้าลาย
ไหลออกมาก ปวดท้องโดยสัตว์จะเกลือกตัวดินไปมา ตัวงอ กระทืบเท้าหลังอย่าง
รุนแรงหันหัวไปทางท้าย นั่งบนขาหลังท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้าหรือมีเลือดปน ใน
รายที่มีพยาธิ ในทางเดินอาหาร สัตว์จะซูบผอม โรคเก่ียวกับระบบทางเดินอาหารท่ี
มักพบ ได้แก่ โรคปากและเท้าเปอ่ื ย โรคพยาธิภายใน โรคพาราทบี ี

อาการทเ่ี กย่ี วกับระบบสืบพันธแ์ุ ละทางเดนิ ปัสสาวะ

อาการทางระบบสืบพันธ์ุ เช่นแท้ง ผสมติดยาก ผสมไม่ติด ส่วนอาการที่
เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะสังเกตจากลักษณะการถ่ายและสีของปัสสาวะ
เช่น ปสั สาวะนอ้ ยหรอื มากไม่ถา่ ยปัสสาวะปัสสาวะขุน่ ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม สีน้าตาล
หรอื สแี ดง

อาการท่เี กยี่ วกับระบบประสาท

สัตว์มักแสดงอาการตื่นเต้น ชัก เกร็ง ขาแข็ง กล้ามเนือกระตุก เดินวน วิ่งชน
คอก หูตัง ม่านตาขยาย โรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่มักพบได้แก่ โรคเซอร่า โรคพิษ
สุนขั บา้ โรคบาดทะยัก

อาการทางผิวหนัง

โดยปกติผิวหนังสัตว์จะนุ่ม ขนเป็นมันวาวไม่แห้งกรอบ สัตว์ที่ไม่สมบูรณ์
ผิวหนังจะแห้งไม่ยืดหยุ่น ขนหยอง มีผ่ืนแดง เม็ดตุ่มหรือมีสะเก็ดรังแค สัตว์มักมี
อาการคัน อยู่ไม่สุขในกรณีของโรคปากและเท้าเปื่อย จะพบตุ่มพองบริเวณปากและ
เท้า โรคทางผิวหนงั ทีม่ ักพบไดแ้ ก่ โรคพยาธิภายนอก โรคปากและเท้าเป่อื ย


Click to View FlipBook Version