สงั วรรณนา 1
ชอ่ื หนังสอื สงั วรรณนา (การอธบิ ายความบทบาล)ี
ผู้เขยี น พระศรคี มั ภรี ญาณ, ป.ธ.9, Ph.D. (มานติ วีริยธโร, วงษ์มา)
พมิ พ์ครั้งแรก 17 กรกฎาคม 2562, จำ�นวน 2,000 เล่ม, 90 หน้า
จัดพมิ พ์โดย คณุ พอ่ พนั วงษ์มา คณุ แมแ่ พงสี บุญสบื
คณุ ฌญั ลดาภรณ์ มัจฉานารีย์ คุณไพศาล นาคาพล
เพื่อถวายแจกเปน็ ธรรมทาน
ประธานทีป่ รึกษาและตรวจช�ำ ระ
เจ้าประคุณสมเดจ็ พระพทุ ธชนิ วงศ์
(สมศักด์ิ อุปสมมหาเถร) ป.ธ ๙, M.A., Ph.D.
ศาสตราจารย์ อคั รมหาบัณฑติ กรรมการมหาเถรสมาคม
เจา้ คณะใหญ่หนกลาง ประธานกรรมการเผยแผ่พระพุทธ-
ศาสนาแห่งชาติ
รองอธิการบดีมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั
เจ้าอาวาส วดั พชิ ยญาติการาม เขตคลองสาน
กรุงเทพมหานคร 10600
ISBN 978-616-497-267-4
บรรณาธกิ าร พระมหาประวตั ิ ถาวรจิตฺโต
กองบรรณาธิการ พระมหาประวัติ ถาวรจิตฺโต, พระมหาอนุชา ธมมฺ เสโน
ออกแบบปก คมั ภีรญาณ
แยกส/ี ท�ำ เพลม พรเนรมิตการพมิ พ ์
พิมพ์ท่ี พรเนรมิตการพิมพ์ 55 อุดมสขุ 19 สขุ มุ วิท แขวงบางนา
เขตบางนา กทม. 10260
โทร. Tel.0-2747-7138-9
โทรสาร. 0-2747-6572
E-maill: [email protected]
สทฺธมฺโม จริ ํ ตฏิ ฺ ตุ
2 สังวรรณนา
บทคัดยอ่
หนงั สอื “สงั วรรณนา”เลม่ น้ี มวี ตั ถปุ ระสงค์ (๑) เพอ่ื ใหค้ วามรเู้ รอื่ งการ
อธบิ ายความบทบาลขี องพระอรรถกถาจารยแ์ ละพระฎีกาจารย์ (๒) เพ่ือใหค้ วาม
รูว้ ิธีอธิบายความบทบาลี ผู้เขยี นได้อาศัยหนงั สือสงั วรรณนา สังวรรณนานิยามท่ี
พระอาจารย์ก่อนๆ ได้เขียนไว้และความรู้เร่ืองสังวรรณนาท่ีได้ศึกษาเรียนมา ยก
ตวั อย่าง จากพระบาลี อรรถกถาและฏกี า มาประกอบการอธิบาย สงั วรรณนานี้
ประกอบด้วย ๒ สว่ น คอื (๑) การอธบิ ายความบทบาลี ๔ บท คือ อธบิ ายความ
บทนาม อธิบายความบทอปุ สคั อธิบายความบทนบิ าต อธิบายความบทอาขยาต
(๒) มวี ธิ ีอธิบาย ๓ วธิ ี คือ อธิบายความแบบมี อิติ ศัพท์ อธิบายความแบบต่อเนอื่ ง
กนั ไป และอธบิ ายความแบบเชอื่ มสมั พนั ธก์ นั ของบท สงั วรรณนานสี้ �ำคญั ญมากใน
การศกึ ษาพระบาลี อรรถกถาและฏีกา ดงั น้ันผสู้ นใจศึกษาเรยี นรู้พระบาลี อรรถ
กถาและฏีกาให้เข้าใจอย่างละเอียดและประสงค์จะเข้าใจพระธรรมค�ำสอนของ
พระพทุ ธเจา้ อย่างถกู ต้องถอ่ งแท้ ควรศึกษาสงั วรรณนาอย่างย่ิง
สทฺธมฺโม จริ ํ ติฏฺตุ
สังวรรณนา 3
กติ ติกรรมประกาศ
ผเู้ ขยี นขอกราบขอบพระคณุ ในเมตตาธรรมของเจา้ ประคณุ สมเดจ็ พระพทุ ธ
ชินวงศ์ (สมศักด์ิอุปสมมหาเถร) ป.ธ.๙, M.A., Ph.D. ศาสตราจารย์พิเศษ อัครมหา
บัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ประธานกรรมการเผยแผ่
พระพุทธศาสนาแห่งชาติ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตบาฬศี กึ ษาพทุ ธโฆส นครปฐม ผู้ได้เมตตาตรวจช�ำระและใหค้ �ำแนะน�ำอันเปน็
ประโยชน์อย่างยิ่ง
ขอบพระคณุ พระอาจารยม์ หาประวตั ิ ถาวรจติ โฺ ต พระมหาอนชุ า ธมมฺ เสโน
พระมหาอมร อมโร ผู้ชว่ ยตรวจช�ำระ และอนุโมทนาบญุ กุศลคณุ พ่อพัน วงษม์ า คณุ แม่
แพงสี บญุ สืบ คณุ ฌญั ลดาภรณ์ มัจฉานารยี ์ คุณไพศาล นาคาพล ผเู้ ป็นเจ้าภาพพิมพ์
ถวายแจกเปน็ ธรรมทานเป็นอยา่ งยง่ิ
หนังสือเล่มน้ี ข้าพเจ้าเขียนเมื่อวันอังคารท่ี ๑๗ เดือน กรกฎาคม พ.ศ.
๒๕๖๑ ก่อนหลวงพ่อสมเดจ็ พระพุทธชนิ วงศ์ (สมศกั ดอิ์ ปุ สมมหาเถร) มรณภาพ ๑ ปี
หลวงพอ่ มรณภาพ เม่อื วันศกุ ร์ที่ ๒๘ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๖๒ หลวงพอ่ ท่านไดเ้ มตตา
ตรวจช�ำระให้ หลวงพ่อได้ท�ำประโยชน์ให้แก่พระศาสนามากมาย ส่งเสริมสนับสนุน
ปรยิ ตั คิ ือการศกึ ษาพระบาลี อรรถกถาและฎกี า, แปลสัททานุกรมพระไตรปิฎก, บวช
พระเฉลิมพระเกียรติ แสดงธรรมน�ำปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนา ทางด้านการปกครอง
เปน็ เจา้ คณะใหญห่ นกลาง
บุญกุศลท่ีเกิดจากการเขียนหนังสือเล่นนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้แก่หลวงพ่อ
สมเดจ็ พระพุทธชนิ วงศ์ ขอให้หลวงพ่อไปสูส่ คุ ติสวรรค์เถดิ
สุดทา้ ยน้ี ขอใหม้ ารดาบิดา ครูบาอาจารย์ ญาตพิ ่นี ้อง ทา่ นเจา้ ภาพ ทา่ นผู้
อา่ นและสรรพสตั วท์ ง้ั หลาย จงมแี ตค่ วามสขุ ความเจรญิ เทอญ ขอพระสทั ธรรมจงด�ำรง
อยู่ยิ่งยืนนาน
พระศรีคมั ภรี ญาณ, ป.ธ.๙, Ph.D. (Pali) (มานิต วีริยธโร, วงษม์ า)
วนั ที่ ๑๑ เดอื นกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
สทฺธมฺโม จิรํ ตฏิ ฺตุ
4 สังวรรณนา
สารบญั
เรอื่ ง ๑
บทคดั ย่อ ๒
กติ ติกรรมประกาศ ๓
สารบญั ๔
คำ�อธิบายสญั ลกั ษณ์และคำ�ย่อ ๗
คำ�น�ำ ๑๒
ตอนที่ ๑ อธิบายความบทบาลี ๑๓
๑ การอธบิ ายความบทนาม ๑๔
๑.๑ การอธบิ ายบทนาม ๑๔
๑.๒ การอธิบายความบทนาม ๑๕
บทเหตอุ ธิบายความบทนาม ๑๖
สงฺขาต อธบิ ายความของบท ๑๗
ปธานนัย ๑๘
๑.๓ การอธบิ ายความสรรพนาม ๒๐
๑.๔ การอธิบายความสมาสนาม ๒๑
อปฺป-ศพั ทก์ ลา่ วอรรถว่า น้อย, เบา ๒๒
อปฺป-ศัพทก์ ลา่ วอรรถวา่ ไมม่ ,ี ไม ่ ๒๒
๑.๕ การอธบิ ายความตัทธติ นาม ๒๓
๑.๖ การอธบิ ายความกติ ๒๖
๒. การอธบิ ายความบทอุปสคั ๓๐
๒.๑ การอธบิ ายบทอปุ สัค ๓๑
๒.๒ การอธบิ ายความบทอุปสคั ๓๑
สทฺธมโฺ ม จิรํ ตฏิ ฺตุ
สังวรรณนา 5
๓. การอธบิ ายความนิบาต ๓๒
๓.๑ การอธบิ ายบทนิบาต ๓๒
๓.๒ การอธิบายความบทนิบาต ๓๓
๔. การอธบิ ายความบทอาขยาต ๓๕
๔.๑ การอธิบายบทอาขยาต ๓๕
๔.๒ การอธบิ ายความบทอาขยาต ๓๗
๕. ยทิทํ นิบาตท่ีมีความหมายและไมม่ ีความหมาย ๓๘
๕.๑. นิบาตทมี่ คี วามหมาย ๓๘
๕.๒. นิบาตทีไ่ ม่มีความหมาย ๔๐
๖. ศกึ ษาการอธิบายความบาลใี นอรรถกถาและฏกี า ๔๒
๗. สรปุ ท้ายบท ๔๕
ตอนท่ี ๒ วิธีอธบิ ายความบท ๔๖
๑. อลุ ลงิ คสังวรรณนา ๔๖
เปลีย่ นบทไหน ไขบทนัน้ ๔๗
อติ ิ ศัพทท์ เ่ี ปน็ บทนิบาต ๔๘
อติ ิ ศพั ท์ท่เี ปน็ บทกิริยาอาขยาต ๔๙
นิบาต ๔๙
๒. วุตติสงั วรรณนา ๕๓
บทหลงั เปน็ ค�ำแปลบทหน้า ๕๔
บทต้ังกบั บทขยายสลับกัน ๕๖
อธบิ ายความแบบมีนามศพั ทท์ ีบ่ ทต้งั ๕๗
อธิบายบทตัง้ ดว้ ยเหตุบท ๕๙
สทธฺ มโฺ ม จริ ํ ตฏิ ฺ ตุ
6 สังวรรณนา ๖๑
๓. สัมพันธสงั วรรณนา ๖๑
๖๔
๓.๑ เช่ือมสัมพันธบ์ ทห่างไกลกัน ๖๕
๓.๒ เช่ือมสมั พันธ์บททีส่ ลับกัน
๓.๓ เชื่อมสมั พันธ์แบบใสป่ าฐเสสะ ๖๗
๔. สรรพนามซอ้ นกัน ๗๐
๕. สรรพนาม ๒ ประเภท
๗๐
๑. วุตตาเปกขสรรพนาม ๗๐
๒. วุจจมานาเปกขสรรพนาม
๗๑
๖. ภูตศัพท์แสดงวิเสสนะ
๗. สรุปท้ายบท ๗๑
ตอนที่ ๓ สรุป
ภาคผนวก ๗๒
บรรณานกุ รม ๗๓
ประวตั ผิ ู้เขียน ๘๘
๙๐
สทฺธมโฺ ม จิรํ ติฏฺตุ
สงั วรรณนา 7
ค�ำ อธบิ ายสญั ลกั ษณ์และคำ�ยอ่
ก. สญั ลกั ษณ์และค�ำ ย่อคัมภรี พ์ ระไตรปิฎก
หนังสือเล่มนี้ ใช้ข้อมูลอ้างอิงจากพระไตรปิฎกภาษาบาลีฉบับมหาจุฬา
เตปฏิ กํ ๒๕๐๐ และพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ๒๕๓๙
โดยระบุ เล่ม/ข้อ/หนา้ หลังอักษรยอ่ ชื่อคัมภรี ์ เช่น ท.ี ส.ี (บาลี) ๙/๒๗๖/๙๗. หมายถงึ
ทีฆนกิ าย สีลกฺขนฺธวคคฺ ปาลิ ภาษาบาลี เล่ม ๙ ข้อ ๒๗๖ หนา้ ๙๗.
พระวินัยปฎิ ก
คำ�ยอ่ ช่อื คมั ภีร์ (ภาษาบาล)ี
วิ.มหา. (บาล)ี = วินยปฏิ ก มหาวิภงฺคปาลิ (ภาษาไทย)
ว.ิ มหา. (ไทย) = วนิ ยปิฏก มหาวภิ งฺคปาลิ (ภาษาบาล)ี
วิ.ม. (บาล)ี = วนิ ยปฏิ ก มหาวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
ว.ิ ป. (บาลี) = วินยปิฏก ปรวิ ารวคฺคปาลิ
สุตตนั ตปิฎก
ค�ำ ยอ่ ช่อื คัมภีร์ (ภาษาบาล)ี
ขุ.ธ. (บาลี) = สตุ ฺตนตฺ ปิฏก ขุททฺ กนกิ ายธมฺมปทปาลิ (ภาษาบาลี)
ข.ุ ธ. (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท
พระสตุ ตนั ตปิฎก
คำ�ยอ่ ช่อื คัมภีร์ (ภาษาบาล)ี
ที.ส.ี (บาลี) = สุตฺตนตฺ ปิฏก ทีฆนิกาย สลี กขฺ นธฺ วคคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี
ที.ม. (บาลี) = สตุ ตฺ นตฺ ปิฏก ทีฆนิกาย มหาวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)
ม.ม. (บาลี) = สตุ ตฺ นฺตปฏิ ก มชฌฺ มิ นิกาย มชฌฺ ิมปณณฺ าสกปาลิ (ภาษาบาล)ี
ม.อ.ุ (บาลี) = สุตตฺ นฺตปฏิ ก มชฺฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณฺณาสกปาลิ (ภาษาบาล)ี
สํ.ม. (บาลี) = สตุ ตฺ นตฺ ปิฏก สํยุตฺตนิกาย มหาวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)
อง.ฺ เอกก. (บาลี) = สตุ ฺตนฺตปฏิ ก องคฺ ุตตฺ รนกิ าย เอกกนิปาตปาลิ
สทฺธมฺโม จิรํ ติฏฺ ตุ
8 สังวรรณนา
อง.ฺ ติก. (บาล)ี = สตุ ตฺ นฺตปฏิ ก องคฺ ุตตฺ รนกิ าย ติกนปิ าตปาลิ (ภาษาบาลี)
อง.ฺ จตุกฺก. (บาล)ี = สตุ ตฺ นตฺ ปิฏก องคฺ ตุ ฺตรนิกาย จตกุ ฺกนปิ าตปาลิ (ภาษาบาลี)
อง.ฺ นวก. (บาล)ี = สตุ ตฺ นตฺ ปฏิ ก องคฺ ุตฺตรนกิ าย นวกนิปาตปาลิ (ภาษาบาล)ี
องฺ.ทสก. (บาลี) = สตุ ฺตนฺตปิฏก องฺคตุ ตฺ รนกิ าย ทสกนปิ าตปาลิ (ภาษาบาล)ี
อง.ฺ ทสก. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก อังคตุ ตรนิกาย ทสกนบิ าต (ภาษาไทย)
ข.ุ ข.ุ (บาล)ี = สุตฺตนตฺ ปฏิ ก ขทุ ฺทกนกิ าย ขุทฺทกปา ปาลิ (ภาษาบาลี)
ข.ุ ธ. (บาล)ี = สตุ ฺตนตฺ ปฏิ ก ขทุ ฺทกนิกาย ธมมฺ ปทปาลิ (ภาษาบาล)ี
ขุ.ธ. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก ขุททกนิกาย ธรรมบท (ภาษาบาล)ี
ขุ.ว.ิ (บาล)ี = สตุ ฺตนฺตปฏิ ก ขุททฺ กนกิ าย วิมานวตถฺ ุปาลิ (ภาษาบาลี)
ข.ุ ชา.เอกก. (บาลี) = สุตตฺ นตฺ ปิฏก ขทุ ฺทกนิกาย เอกกนปิ าตชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี
ขุ.ชา.ทสก. (บาลี) = สุตฺตนตฺ ปฏิ ก ขทุ ฺทกนิกาย ทสกนปิ าต ชาตกปาลิ (ภาษาบาล)ี
ขุ.ม. (บาล)ี = สุตฺตนตฺ ปฏิ ก ขุทฺทกนิกาย มหานทิ เฺ ทสปาลิ (ภาษาบาลี)
ขุ.ป. (บาลี) = สตุ ฺตนฺตปฏิ ก ขุททฺ กนิกาย ปฏิสมภฺ ิทามคคฺ ปาลิ (ภาษาบาลี)
ขุ.อป. (บาลี) = สุตฺตนตฺ ปิฏก ขทุ ทฺ กนิกาย อปทานปาลิ (ภาษาบาล)ี
พระอภธิ รรมปิฎก
คำ�ย่อ ชอื่ คมั ภีร์ (ภาษาบาลี)
อภ.ิ สงฺ. (บาล)ี = อภธิ มฺมปฏิ ก ธมมฺ สงฺคณีปาลิ (ภาษาบาลี)
อภิ.วิ. (บาลี) = อภิธมมฺ ปฏิ ก วิภงฺคปาลิ
ข. สัญลักษณแ์ ละค�ำ ย่อคัมภรี อ์ รรถกถา
หนังสือเล่มนี้ ใช้อรรถกถาบาลีฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในการ
อ้างองิ โดยระบุ เล่ม/ขอ้ /หน้า หลังค�ำย่อชือ่ คมั ภรี ์ เช่น ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๒๗๖/๒๔๐
หมายถงึ ทฆี นกิ าย สมุ งฺคลวลิ าสนิ ี สีลกขฺ นธฺ วคคฺ อฏฺกถาภาษาบาลี เลม่ ๑ ขอ้ ๒๗๖
หน้า ๒๔๐.
สทธฺ มฺโม จริ ํ ตฏิ ฺตุ
สงั วรรณนา 9
อรรถกถาพระวินยั ปฎิ ก
ค�ำ ยอ่ ชอื่ คมั ภรี ์
ว.ิ มหา.อ. (บาลี) = วินยปฏิ ก สมนฺตปาสาทกิ า มหาวิภงฺคอฏฺกถาปาลิ (ภาษาบาลี)
วิ.มหา.อ. (ไทย) = วนิ ัยปฎิ ก สมันตปาสาทกิ า มหาวิภงั คอรรถกถา (ภาษาไทย)
ว.ิ ม.อ. (บาล)ี = วนิ ยปิฏก สมนฺตปาสาทกิ า มหาวคฺคอฏฺกถาปาลิ (ภาษาบาลี)
อรรถกถาพระสตุ ตนั ตปิฎก
คำ�ย่อ ช่ือคัมภรี ์
ท.ี สี.อ. (บาลี) = ทีฆนิกาย สมุ งฺคลวิลาสินี สีลกขฺ นธฺ วคคฺ อฏฺกถาปาลิ (ภาษาบาล)ี
ที.สี.อ. (ไทย) = ทีฆนิกาย สมุ ังคลวลิ าสนิ ี สลี ขันธวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย)
ท.ี ม.อ. (บาลี) = ทฆี นิกาย สุมงฺคลวลิ าสนิ ี มหาวคฺคอฏฺกถาปาลิ (ภาษาบาล)ี
ท.ี ปา.อ. (บาล)ี = ทีฆนกิ าย สมุ งฺคลวลิ าสนิ ี ปาฏกิ วคคฺ อฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)
ม.มู.อ. (บาลี) = มชฺฌมิ นกิ าย ปปญจฺ สูทนี มูลปณฺณาสกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)
ม.ม.อ. (บาล)ี = มชฺฌิมนกิ ายปปญฺจสทู นีมชฺฌมิ ปณณฺ าสกอฏฺกถาปาลิ(ภาษาบาลี)
ม.ม.อ. (ไทย) = มัชฌมิ นกิ าย ปปญั จสูทนี มชั ฌมิ ปณั ณาสกอรรถกถา (ภาษาไทย)
ส.ํ ม.อ. (บาลี) = สํยตุ ฺตนิกาย สารตถฺ ปปฺ กาสนิ ี มหาวคฺคอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี
สํ.ข.อ. (บาล)ี = สยํ ุตฺตนกิ าย สารตฺถปปฺ กาสนิ ี ขนฺธวคคฺ อฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)
องฺ.เอกก.อ. (บาลี) = องฺคตุ ตฺ รนกิ ายมโนรถปรู ณี เอกกนปิ าตอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)
องฺ.ทกุ .อ. (บาลี) = องคฺ ุตตฺ รนกิ าย มโนรถปูรณี ทุกนิปาตอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)
อง.ฺ ติก.อ. (บาล)ี = องคฺ ตุ ตฺ รนกิ าย มโนรถปูรณี ตกิ นปิ าตอฏกถาปาลิ (ภาษาบาลี)
อง.ฺ สตฺตก.อ.(บาล)ี = องฺคุตตฺ รนิกายมโนรถปรู ณสี ตตฺ กนปิ าตอฏฺ กถาปาลิ(ภาษาบาลี)
อง.ฺ นวก.อ. (บาล)ี = องฺคตุ ฺตรนิกาย มโนรถปูรณี นวกนิปาตอฏฺกถาปาลิ (ภาษาบาล)ี
ขุ.ข.ุ อ. (บาล)ี = ขุททฺ กนิกาย ปรมตถฺ โชตกิ า ขุททฺ กปาอฏฺกถาปาลิ (ภาษาบาล)ี
ขุ.ธ.อ. (บาล)ี = ขทุ ทฺ กนกิ าย ธมมฺ ปทอฏฺกถาปาลิ (ภาษาบาล)ี
ขุ.อิต.ิ อ. (บาลี) = ขุทฺทกนิกาย ปรมตฺถทปี นี อติ ิวุตตฺ กอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)
ขุ.สุ.อ. (บาลี) = ขทุ ทฺ กนิกาย ปรมตฺถโชติกา สุตตฺ นปิ าตอฏฺ กถาปาล ิ (ภาษาบาลี)
ข.ุ วิ.อ. (บาล)ี = ขุททฺ กนกิ าย ปรมตฺถทปี นี วิมานวตถฺ อุ ฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาลี)
สทธฺ มฺโม จิรํ ตฏิ ฺตุ
10 สังวรรณนา
ขุ.เถร.อ. (บาลี) = ขทุ ฺทกนกิ าย ปรมตถฺ ทปี นี เถรคาถาอฏกถาปาลิ (ภาษาบาลี)
ขุ.ชา.ทุก.อ. (บาลี) = ขทุ ฺทกนิกาย ทกุ นิปาตชาตกอฏฺ กถาปาลิ (ภาษาบาล)ี
ข.ุ ม.อ. (บาล)ี = ขุทฺทกนิกาย สทฺธมฺมปฺปชฺโชตกิ ามหานิทฺเทส อฏฺกถาปาลิ (ภาษาบาลี)
ขุ.ป.อ.(บาล)ี =ขทุ ทฺ กนิกายสทธฺ มฺมปฺปกาสินีปฏิสมฺภิทามคฺคอฏฺกถาปาลิ(ภาษาบาลี)
อรรถกถาพระอภธิ รรมปฎิ ก
คำ�ย่อ ชอื่ คมั ภีร์
อภ.ิ สงฺ.อ. (บาลี) = อภิธมฺมปฏิ ก ธมฺมสงคฺ ณอี ฏสาลนิ ี อฏฺกถาปาลิ (ภาษาบาลี)
ค. สัญลักษณแ์ ละคำ�ยอ่ คัมภีรฎ์ กี า
หนังสือเล่มน้ีใช้คัมภีร์ฎีกาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาฎีกาของมหาจุฬาลง-
กรณราชวทิ ยาลัย โดยระบชุ ื่อคมั ภรี ต์ ามดว้ ยเล่ม (ถ้ามี) ขอ้ /หน้า เช่น วิมต.ิ ฎีกา (บาล)ี
๑/๑/๗๐ หมายถงึ วิมติวโิ นทนี วินยปฏิ กฎกี า เลม่ ๑ ข้อ ๑ หน้า ๗๐ ฉบับมหาจฬุ า
ฎกี าฎกี าพระวนิ ัยปฎิ ก
ค�ำ ย่อ ชอื่ คัมภรี ์
สารตฺถ.ฏกี า (บาล)ี = สารตฺถทีปนฏี กี า (ภาษาบาล)ี
กงขฺ า.ฏกี า (บาล)ี = กงขฺ าวติ รณปี รุ าณฏีกา (ภาษาบาล)ี
กงขฺ า.อภนิ วฏกี า (บาลี) = วนิ ยตฺถมญฺชสู า กงขฺ าวิตรณี อภนิ วฏกี า (ภาษาบาลี)
ฎกี าพระสุตตันปิฎก
คำ�ยอ่ ชื่อคมั ภรี ์
ท.ี สี.ฏีกา (บาล)ี = ทีฆนกิ าย ลนี ตถฺ ปฺปกาสนี สีลกฺขนธฺ วคฺคฏกี า (ภาษาบาล)ี
ท.ี ม.ฏีกา (บาล)ี = ทีฆนิกาย ลีนตฺถปปฺ กาสนี มหาวคคฺ ฏีกา (ภาษาบาล)ี
ที.สี.อภนิ วฏีกา (บาล)ี = ทฆี นิกาย สาธวุ ลิ าสินี สลี กขฺ นฺธวคคฺ อภนิ วฏีกา (ภาษาบาลี
สํ .ม.ฏกี า (บาล)ี = สํยุตฺตนกิ าย ลนี ตฺถปปฺ กาสนี มหาวคฺคฏีกา (ภาษาบาลี)
องฺ.เอกก.ฏีกา (บาล)ี = องคฺ ุตฺตรนกิ าย เอกกนปิ าตฏีกา (ภาษาบาล)ี
อง.ฺ ทุก.ฏีกา (บาล)ี = องคฺ ตุ ฺตรนกิ าย ทกุ นิปาตฏกี า (ภาษาบาล)ี
สทธฺ มโฺ ม จริ ํ ติฏฺตุ
สงั วรรณนา 11
องฺ.จตุกกฺ .ฏกี า (บาล)ี = องคฺ ตุ ตฺ รนกิ าย จตุกฺกนปิ าตฏีกา (ภาษาบาล)ี
องฺ.ทสก.ฏีกา (บาลี) = องคฺ ุตตฺ รนกิ าย ทสกนปิ าตฏกี า (ภาษาบาลี)
ฎีกาพระอภธิ รรมปฎิ ก (ภาษาบาล)ี
(ภาษาบาล)ี
ค�ำย่อ ชื่อคมั ภรี ์ (ภาษาบาลี)
อภ.ิ สงฺ.มลู ฏีกา (บาลี) = อภิธมฺมปิฏก ธมฺมสงคฺ ณีมลู ฏีกา
อภ.ิ ว.ิ มูลฏีกา (บาล)ี = อภิธมมฺ ปฏิ ก วภิ งฺคมูลฏกี า
อภ.ิ ปญจฺ .อนุฏกี า (บาลี) = อภิธมมฺ ปิฏก ปญจฺ ปกรณอนฏุ กี า
ฎีกาปกรณวิเสส
ค�ำ ย่อ ชอื่ คัมภีร์
เนตตฺ ิวิ. (บาล)ี = เนตตฺ ิวภิ าวินี (ภาษาบาล)ี
วิภาวิน.ี (บาล)ี = อภธิ มมฺ ตถฺ วภิ าวินฏี กี า (ภาษาบาล)ี
นมก.ฺ ฏกี า (บาล)ี = นมกกฺ ารฏกี า (ภาษาบาลี)
สโุ พ.ฏีกา (บาลี) = สโุ พธาลงกฺ ารฏีกา (ภาษาบาลี)
มณิมญชฺ ู. (บาลี) = มณมิ ญชฺ ูสาฏกี าปาลิ (ภาษาบาล)ี
ปาจิตฺ.โย. (บาลี) = ปาจิตยฺ าทิโยชนาปาลิ (ภาษาบาลี)
ติปิ. (พม่า) = อภธิ านพระไตรปิฎกบาลี-พมา่ (ภาษาพม่า)
อภิธาน.ว. (ไทย) = อภธิ านวรรณนา (ภาษาไทย)
ง. สญั ลักษณ์และคำ�ย่อคมั ภีรส์ ัททาวิเสส
หนงั สอื เลม่ นใี้ ชส้ ทั ทาวเิ สสภาษาบาลี ฉบบั วดั ทา่ มะโอ อ�ำเภอเมอื งล�ำปาง
จังหวัด ล�ำปาง ในการอ้างอิงได้ระบุสูตรหลังอักษรย่อชื่อคัมภีร์ เช่น ปทรูป. (บาลี)
๑/๒๘๑/๑๕๖. หมายถึง ปทรูปสิทธิไวยากรณ์ ภาษาบาลี เล่มท่ี ๑ สตู รที่ ๒๘๑ หน้า
๑๕๖.
คัมภรี ์สัททาวิเสส
คำ�ยอ่ ช่ือคมั ภีร์
ปทรปู . (บาลี) = ปทรูปสิทฺธปิ กรณ (ภาษาบาลี)
สทธฺ มโฺ ม จิรํ ตฏิ ฺ ตุ
12 สงั วรรณนา
ค�ำ นำ�
หนังสือ “สังวรรณนา”เล่มนี้ มีวัตถุประสงค์ (๑) เพื่อให้ความรู้เรื่อง
สังวรรณนาคือการอธิบายความบทบาลีของพระอรรถกถาจารย์และพระฎีกาจารย์
(๒) เพ่ือให้ความรู้วิธีอธิบายความบทบาลี พอเป็นแนวทางศึกษาวิธีการไขความ การ
อธบิ ายความของพระอรรถกถาจารยพ์ ระฏกี าจารยแ์ ละการแปล ผเู้ ขยี นไดอ้ าศยั หนงั สอื
สังวรรณนา สังวรรณนานิยามที่พระอาจารย์ก่อนๆ ได้เขียนไว้และความรู้เรื่องสังวร
รณนาท่เี คยศึกษาเรยี นมา ยกตวั อย่าง จากพระบาลี อรรถกถาและฏกี าเทา่ ทหี่ าได้ มา
ประกอบการอธิบาย
สังวรรณนานี้ส�ำคัญญมากในการศึกษาพระบาลี อรรถกถาและฏีกา ดัง
น้ันผู้สนใจศึกษาเรียนรู้พระบาลีอรรถกถาและฏีกาให้เข้าใจอย่างละเอียดและประสงค์
จะเขา้ ใจพระธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจา้ อยา่ งถกู ตอ้ งถอ่ งแทต้ ามพทุ ธประสงค์ ควร
ศึกษาเรยี นรู้สังวรรณนาอยา่ งยง่ิ
ข้าพเจ้าหวงั เปน็ อยา่ งย่งิ วา่ หนงั สือเล่มน้ี จะเป็นประโยชน์แก่ครอู าจารย์
นกั เรียนนักศกึ ษาและผู้สนใจศกึ ษาบาลที ุกทา่ น
สุดท้ายน้ี ดว้ ยบุญที่เกดิ จากหนงั สือเลม่ น้ี ขอใหม้ ารดาบิดา ครบู าอาจารย์
ญาตพิ ี่น้อง เทวดา พรหม ทา่ นเจ้าภาพ ทา่ นผ้อู ่านและสรรพสัตวท์ ั้งหลายจงมแี ต่
ความสุขความเจรญิ เทอญ ขอพระสัทธรรมจงด�ำ รงอย่ยู ่งิ ยนื นาน
พระศรีคัมภรี ญาณ, ป.ธ.๙, Ph.D. (Pali) (มานติ วรี ิยธโร)
วันท่ี ๒๑ เดือนตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๖๑
สทฺธมโฺ ม จริ ํ ตฏิ ฺตุ
สงั วรรณนา 13
ตอนที่ ๑
อธบิ ายความบทบาลี
ข้าพเจ้าประสงค์จะแสดงสังวรรณนาคือการอธิบายความบทบาลีของพระ
อรรถกถาจารยแ์ ละพระฎกี าจารย์ (๑) เพอ่ื เพม่ิ พนู ความรเู้ รอื่ งสงั วรรณนาคอื การอธบิ าย
ความบทบาลหี รอื การอธบิ ายแกอ้ รรถในอรรถกถาและฎกี า (๒) เพอื่ ใหค้ วามรวู้ ธิ อี ธบิ าย
ความบทบาลี พอเปน็ แนวทางศึกษาการอธิบายความ วธิ อี ธิบายความและวิธีการแปล
ของพระอรรถกถาจารย์ พระฏีกาจารย์ สังวรรณนานี้ส�ำคัญมากในการศึกษาพระบาลี
อรรถกถาและฎีกา ดังน้ันผู้สนใจจะศึกษาเรียนรู้พระบาลี อรรถกถาและฎีกาให้เข้าใจ
อยา่ งละเอยี ด ควรศึกษาเรยี นรสู้ งั วรรณนาอยา่ งย่งิ รายละเอยี ดมีดังตอ่ นี้
การอธบิ ายความบท ๔ บท
๑. อธิบายความบทนาม
๒. อธบิ ายความบทอุปสคั
๓. อธิบายความบทนิบาต
๔. อธิบายความบทอาขยาต
สังวรรณนา คือ การอธิบายความบทบาลีของพระอรรถกถาจารย์และ
พระฏกี าจารย์เปน็ ต้น ใจความยอ่ ของสงั วรรณนา คือ การอธบิ ายความบท ๔ บท คือ
อธบิ ายความบทนาม อธบิ ายความบทอปุ สคั อธิบายความบทนบิ าต และอธิบายความ
บทอาขยาต
ในกรณที พ่ี ระอรรถกถาจารยป์ ระสงคจ์ ะอธบิ ายความบทพระบาลี และพระ
ฏกี าจารยป์ ระสงคจ์ ะอธบิ ายความบทอรรถกถาบาลี ทา่ นจะอธบิ ายความบทบาลเี พยี ง
๔ บท คอื อธิบายความบทนาม บทอุปสคั บทนิบาต บทอาขยาต โดยยกบทยากขนึ้
ต้ังไว้ แลว้ ก็อธิบายไปทีละบทบ้าง สองบทบ้าง หลายบทบา้ ง แสดงวเิ คราะห์บท, แยก
ธาต,ุ ปจั จัย และวิภัตติตามสมควร ดงั พระอรรถกถาจารยก์ ล่าวไวว้ า่
เอวนตฺ ิ นิปาตปทํ. เมติอาทีนิ นามปทานิ. ปฏิปนฺโน โหตตี ิ เอตถฺ ปฏตี ิ
อุปสคฺคปท.ํ โหตตี ิ อาขยาตปทํ. อมิ ินา ตาว นเยน ปทวภิ าโค เวทิตพโฺ พ.1
1 ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑/๒๖.
สทฺธมฺโม จริ ํ ติฏฺตุ
14 สงั วรรณนา
บรรดาบทเหลา่ นั้น ค�ำวา่ เอวํ เป็นบทนบิ าต ค�ำวา่ เม เปน็ ต้น เปน็ บทนาม
ค�ำวา่ ปฏิ ในค�ำว่า ปฏปิ นโฺ น โหติ เป็นบทอปุ สคั ค�ำวา่ โหติ เป็นบทอาขยาต บัณฑิต
พงึ ทราบการจ�ำแนกบทตามวธิ นี ้กี ่อน
การอธบิ ายความของบทนาม บทอุปสคั บทนิบาต บทอาขยาตใหก้ ระจ่าง
แจ้ง โดยยกบทยากข้ึนต้ังไว้ แล้วก็อธิบายไปทีละบทบ้าง สองบทบ้าง หลายบทบ้าง
อธบิ ายความหมายของบท, วเิ คราะห,์ บอกธาต,ุ บอกปัจจัย, บอกวิภัตติ โดยแยกออก
เป็น ๔ ประเภทตามบท ตามความเหมาะสม มรี ายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้
๑. การอธิบายความบทนาม
หมายถึง การอธิบายความบทนาม โดยอธิบายแสดงถึงวิธีท�ำตัวรูปศัพท์
เช่น แปลง มหนฺต ศพั ท์ เป็น มหา หรอื แปลงสระ เปน็ สระ ก็มี เช่น แปลง อ เป็น เอ
ในค�ำวา่ ปรุ เิ สหิ ปรุ เิ สสุ และการอธบิ ายความหมายของบทนามวา่ บทนี้ มอี รรถนี้ อรรถ
นัน้ แสดงค�ำแปล และความหมายของบทนน้ั ๆ
๑.๑ การอธบิ ายบทนาม
หมายถึง การอธิบายบทนาม โดยอธิบายแสดงถึงการแปลงนามท่ี
ลงวิภัตติแล้ว การแปลงบทนามน้ี เป็นการแปลงศัพท์ท้ังศัพท์ก็มี เช่น แปลง มหนฺต
ศัพท์ เป็น มหา หรอื แปลงสระ เปน็ สระ กม็ ี เช่น แปลง อ เป็น เอ ในค�ำว่า ปุริเสหิ
ปุริเสสุ
มหาติ มหต.ี สมาเส วยิ หิ วากฺเยปิ มหนตฺ สททฺ สสฺ มหาเทโส.2
ค�ำวา่ มหา ได้แก่ มาก, เจรญิ แปลง มหนตฺ ศพั ท์ เปน็ มหา แม้ในค�ำ
[ที่ไมใ่ ชส่ มาสกแ็ ปลงได]้ เหมอื นในสมาส
ค�ำวา่ มหตี สมาเส วิย หิ วากเฺ ยปิ มหนฺตสทฺทสสฺ มหาเทโส อธิบาย
ให้รวู้ า่ มหา แปลงมา จาก มหนฺต ศัพท์ เหมอื นค�ำว่า มหาปุรโิ ส [มหนฺต + ปรุ สิ ] (บุรุษ
ผู้ประเสรฐิ )3
2 ที.ส.ี อภนิ วฏกี า (บาลี) ๒/๑๕๐/๘.
3 ปทรปู . (บาลี) ๑/๓๔๐/๒๒๔.
สทธฺ มฺโม จิรํ ติฏฺ ตุ
สงั วรรณนา 15
๑.๒ การอธบิ ายความบทนาม
หมายถงึ การอธิบายความหมายของบทนามว่า บทนี้ มีอรรถน้ี อรรถ
นัน้ อธิบายความหมายหรือค�ำแปล หรือความหมายของบทนามนามนน้ั ๆ เช่น
มโนติ กามาวจรกสุ ลาทิเภทํ สพฺพมปฺ ิ จตภุ มู กิ จิตฺตํ.4
ค�ำว่า ใจ (มโน) ไดแ้ ก่ จติ ท่เี กิดในภมู ิ ๔ แมท้ งั้ ปวงมีประเภทแหง่
กามาวจรกศุ ลเปน็ ต้น
ค�ำวา่ สพฺพมฺปิ จตุภมู กิ จติ ตฺ ํ อธบิ ายวา่ มโน ในมโนปุพพฺ งคฺ มา ธมฺมา
หมายถงึ จิตท้ังหมด ๘๙ หรอื ๑๒๑ ดวงทเี่ กดิ ในภูมิ ๔ ค�ำวา่ กามาวจรกุสลาทเิ ภทํ
อธิบายประเภทของจิต มกี ามาวจรกศุ ลจติ เป็นตน้ เพอื่ ใหค้ วามหมายชดั เจนขน้ึ
ปพุ ฺพงคฺ มาติ เตน ปมคามินา หตุ ฺวา สมนนฺ าคตา.5
ค�ำวา่ ปุพพฺ งคฺ มา ไดแ้ ก่ ที่ประกอบดว้ ยจิตโกรธน้นั อันเปน็ หัวหน้า
ค�ำวา่ ปมคามนิ า อธิบาย ปุพฺพงคฺ ม หมายถงึ ประธาน หรือหัวหนา้
ค�ำวา่ เตน สรรพนาม โยคนามตัวหน้าที่เคยกลา่ วมาแลว้ คอื จิตเฺ ตน ค�ำวา่ หุตวฺ า ใส่
เพ่ิมเขา้ มาเพือ่ แสดงว่า ปมคามินา เปน็ วเิ สสนะของ เตน โทสจติ ฺเตนนนั้ ค�ำว่า สมนฺ-
นาคตา จาก สํ + อนุ + อา + คมุ ธาตุ + ต ปัจจัย แปลว่า ประกอบ/ม/ี มาตามพร้อม
แลว้ /ถงึ พรอ้ มแลว้ อธบิ าย มโนปพุ พฺ งคฺ มา วา่ เปน็ ฉฏั ฐพี หพุ พหี สิ มาส วเิ คราะหว์ า่ มโน
ปพุ ฺพงฺคโม เอเตสนฺติ มโนปพุ พฺ งฺคมา ชื่อว่า มใี จเป็นหัวหน้า เพราะอรรถวา่ มีใจเป็น
ประธาน ค�ำวา่ มโน เปน็ ๒ ลงิ ค์ ปุงลิงค์และนปงุ สกลิงค์
อธปิ ติวเสน ปน มโน เสฏโฺ เอเตสนฺติ มโนเสฏฺ า.6
มีใจเปน็ ใหญ่ เพราะอรรถวา่ มีใจประเสริฐดว้ ยอ�ำนาจความเปน็ ใหญ่
ค�ำวา่ อธปิ ติ ใน อธปิ ตวิ เสน เปน็ ค�ำอธบิ าย เสฏฺ แปลวา่ ใหญ่ เพราะ
เสฏฺ มีอรรถมาก ค�ำว่า มโน เสฏโฺ เอเตสํ เป็นค�ำอธิบายพรอ้ มแสดงวเิ คราะห์ มโน
เสฏฺา เปน็ ฉัฏฐีพหพุ พหี สิ มาสว่า มโน เสฏฺโ เอเตสนตฺ ิ มโนเสฏฺา (ธรรมทมี่ ีใจเปน็
4 ขุ.ธ.อ.(บาลี) ๑/๑/๑๗.
5 ข.ุ ธ.อ.(บาลี) ๑/๑/๑๗.
6 ข.ุ ธ.อ.(บาล)ี ๑/๑/๑๘.
สทฺธมฺโม จริ ํ ติฏฺตุ
16 สังวรรณนา
ใหญ)่ [เวทนา สญั ญา สงั ขาร]
บทเหตุอธบิ ายความบทนาม
มนโต นิปฺผนนฺ ตฺตา มโนมยา.7
ส�ำเร็จดว้ ยใจ เพราะส�ำเรจ็ จากใจ
ค�ำวา่ นิปฺผนนฺ ในนิปผฺ นนฺ ตตฺ า เปน็ ค�ำอธบิ าย มย ปัจจยั ใน มโนมยา
ลงในอรรถส�ำเร็จ ค�ำว่า มนโต นิปฺผนฺนตฺตา อธิบายความ มโนมยา พร้อมทั้งแสดง
วเิ คราะห์ตทั ธิตวา่ มนโต นิปผฺ นนฺ า มโนมยา ธรรมทส่ี �ำเรจ็ จากใจ ช่อื วา่ มโนมยธรรม
ปทุฏเฺ นาติ อาคนฺตเุ กหิ อภิชฺฌาทหี ิ โทเสหิ ปทุฏเฺ น.8
ค�ำว่า มีใจถูกประทุษร้าย (ปทุฏฺเน) ได้แก่ มีใจอันโทษมีอภิชฌา
เป็นต้นท่ีเข้ามาประทุษร้าย (สกรรมธาตุ) (อีกนัยหนึ่ง) ผู้มีใจที่เสียไป เพราะโทษ
มอี ภิชฌาเปน็ ตน้ ท่เี ข้ามา (อกรรมธาตุ)
ค�ำว่า ปทุฏฺ มาจาก ป บทหนา้ + ทูส ธาตุ ประทุษรา้ ย + ต ปัจจยั
แปลวา่ ประทษุ รา้ ย เปน็ สกรรมธาตุ (ธาตมุ กี รรม) วเิ คราะหว์ า่ ปทสู ยี เตติ ปทฏุ โฺ (มโน)
ใจใด ถูกประทุษรา้ ย เพราะเหตนุ ั้น ใจน้นั จงึ ช่ือวา่ ใจทีถ่ ูกประทษุ ร้าย ค�ำว่า โทเสหิ
เป็น อนภิหติ กตั ตา [กัตตาคือผกู้ ระท�ำ ทไ่ี มถ่ ูกกิรยิ ากล่าวถงึ เพราะกิริยา คือ ปทฏุ ฺเน
กล่าวกรรม คอื ใจ (มโน)] ของ ปทฏุ เฺ น ถูกใส่เพ่มิ เขา้ มาเพือ่ ใหค้ วามหมายสมบรู ณข์ น้ึ
ค�ำว่า อภิชฌฺ าทีหิ อธบิ ายโทษว่ามีอภชิ ฌาเป็นตน้ ค�ำว่า อาคนฺตุเกหิ อธิบายขยายโทษ
ว่า โทษไม่ได้มีอยู่ประจ�ำ เขา้ มาตอนขาดสตเิ พ่ือให้ความหมายชดั เจน
อีกนยั หนึง่ ค�ำวา่ ปทุฏฺ มาจาก ป บทหนา้ + ทสุ ธาตุ เสียไป + ต
ปจั จยั แปลว่า เสียไป เปน็ อกรรมธาตุ (ธาตไุ มม่ ีกรรม) วิเคราะห์วา่ ปทสุ ฺสตีติ ปทฏุ โฺ
(มโน) ใจใด ย่อมเสียไป เพราะเหตนุ น้ั ใจนน้ั จึงชือ่ ว่า ใจทเ่ี สยี ไป (เพราะโทษมีความ
โลภเป็นต้น)
7 ข.ุ ธ.อ.(บาล)ี ๑/๑/๑๘.
8 ขุ.ธ.อ.(บาล)ี ๑/๑/๑๘.
สทฺธมโฺ ม จิรํ ตฏิ ฺตุ
สงั วรรณนา 17
ตโต นํ ทกุ ขฺ มนเฺ วตีติ ตโต ตวิ ิธทุจฺจริตโต ตํ ปุคฺคลํ ทกุ ขฺ ํ อนฺเวต.ิ 9
ค�ำวา่ ทกุ ข์ตดิ ตามคนน้ันไปเพราะทุจรติ นั้น (ตโต นํ ทุกขฺ มนเฺ วติ)
ความว่า ทุกข์ยอ่ มติดตามบคุ คลน้นั ไป เพราะทุจรติ ๓ ประการน้ัน
ค�ำว่า ตโต ท่านอธิบายโยคข้อความท่ีเคยกล่าวมา คือ ทุจริต ๓
ประการ ว่า ติวิธทุจฺจริตโต เป็นการอธิบายสรรพนาม ค�ำว่า นํ ท่านอธิบายไขว่า ตํ
แสดงว่า น ใน นํ น้ัน แปลงมาจาก ต สรรพนาม ค�ำว่า ปคุ ฺคลํ อธบิ าย ต สรรพนาม
หมายถึงบุคคล โยค ปคุ คฺ ลํ เพราะ ต สรรพนาม ใชแ้ ทนนามได้ทัว่ ไปแตต่ รงนีใ้ ช้แทน
บุคคล คือโยค ปคุ คฺ ลํ
ค�ำวา่ ทกุ ขฺ ํ อนฺเวติ เปน็ ค�ำอธบิ าย ทุกขฺ มนฺเวติ โดยตดั บทสนธิ ทุกขฺ ํ
+ อนเฺ วติ
ค�ำว่า อนเฺ วติ ตัดบทเป็น อนุ + เอติ = อนุ + อิ ธาตุ หรอื เอ ธาตุ มี
อรรถว่า คติ ไป, เปน็ ไป, ถึง + ติ วัตตมานาวภิ ัตติ แปลวา่ ย่อมติดตาม
จกกฺ วํ วหโต ปทนตฺ ิ ธเุ ร ยตุ ตฺ สสฺ ธรุ ํ วหโต พลพิ ททฺ สสฺ ปทํ จกกฺ ํ วยิ .10
ค�ำว่า เหมือนลอ้ หมนุ ตามรอยเทา้ โคที่ลากเกวียนไปฉะนั้น (จกฺกํว
วหโต ปทํ) ไดแ้ ก่ เหมอื นลอ้ หมนุ ไปตามรอยเทา้ ของโคตัวมกี �ำลังตัวเทียมแอกน�ำแอก
ไปอยฉู่ ะน้นั
ค�ำว่า จกฺกํ วยิ อธิบาย จกฺกวํ ตัดบทสนธิ เปน็ จกฺกํ + อวิ ค�ำวา่ วยิ
อธบิ าย อิว เป็นนิบาตลงในอรรถอปุ มา แปลว่า ราวกะ เหมือน ดจุ ประดุจ ค�ำวา่ ธุเร
ยตุ ฺตสฺส ธรุ ํ พลพิ ททฺ สฺส ใส่เพม่ิ เขา้ มาอธิบายความใหช้ ดั เจนขึ้น
สงฺขาต อธบิ ายความของบท
ในอรรถกถาและฎีกา พระอรรถกถาจารย์และพระฎีกาจารย์ ใช้
สงขฺ าต อธิบายความหมายของบทน้นั ๆ โดยเจาะจงวา่ หมายถึงความหมายนีใ้ นที่น้ี ใน
กรณที บี่ ทนนั้ มคี วามหมายไดห้ ลายความหมาย เชน่ กลหสงขฺ าตา เมธคา เมธคะ กลา่ ว
คือความทะเลาะกัน ค�ำวา่ เมธค เป็น ปุงลงิ ค์ มาจาก เมธ ธาตุ + ณวฺ ุ ปัจจยั แปลง ก
9 ขุ.ธ.อ.(บาล)ี ๑/๑/๑๙.
10 ข.ุ ธ.อ.(บาลี) ๑/๑/๑๙.
สทธฺ มโฺ ม จริ ํ ติฏฺ ตุ
18 สังวรรณนา
เปน็ ค แปลวา่ ความทะเลาะกัน, ความววิ าทกนั 11
ปริเยสนมตฺตา ปฏิคฺคหณมตฺตา ปริโภคมตฺตาติ อิมิสฺสา มตฺตาย
อชานนโต โภชนมหฺ ิ จามตฺตญฺญุ.ํ 12
ไมร่ ู้จักประมาณโภชนะ (ข้าว หรอื อาหาร) เพราะไม่รู้ประมาณน้ี คือ
ประมาณในการแสวงหา ประมาณในการรบั ประมาณในบริโภค
ค�ำวา่ มตฺตาย อชานนโต อธิบายแสดงวิเคราะห์ อมตฺตญญฺ ุํ โดยออ้ ม
ว่า มตฺตํ ชานาตีติ มตฺตญญฺ ู ผูร้ ปู้ ระมาณ (มตตฺ + า + ร)ู น มตตฺ ญญฺ ู อมตตฺ ญญฺ ู
ผูไ้ มร่ ูป้ ระมาณ (อมตฺตญญฺ ู = น + มตฺตญฺญ)ู
ค�ำว่า ปริเยสนมตฺตา ปฏิคฺคหณมตฺตา ปริโภคมตฺตา อธิบายขยาย
มตฺตา ในอมตฺตญฺญุํ ว่า ได้แก่ ประมาณ ๓ ประการ คือ ประมาณในการแสวงหา
ประมาณในการรับ ประมาณในบริโภค
ค�ำว่า โภชนมฺหิ เป็นค�ำส�ำนวนที่กล่าวถึงสิ่งท่ีเป็นประธานแต่ก็
หมายเอาสิ่งท่ีไมเ่ ปน็ ประธานหรือบรวิ ารไปด้วย ในตวั อยา่ งน้ี กล่าวถึงอาหารโดยตรง
หรือเป็นประธานแต่ก็หมายเอาเคร่ืองนุ่งห่ม ท่ีอยู่อาศัยและยารักษาโรคด้วย เพราะ
กล่าวถงึ ประธานคอื อาหารแต่กห็ มายเอาบรวิ ารไปด้วย ส�ำนวนน้ี เรยี กว่า ปธานนัย
ปธานนัย คือวิธีกล่าวถึงประธานแต่รวมเอาบริวารท้ังหมดไปด้วย
ดังพระอรรถกถาจารยก์ ลา่ วว่า “โภชนานีติ เทสนาสีสมตตฺ เมตํ ค�ำว่า โภชนานิ นเี้ ป็น
เพยี งเทศนาทีเ่ ปน็ ประธาน”
ขอ้ สงั เกต ปธานนยั ใน อรรถกถา ฎกี า จะมี ค�ำวา่ เทสนาสสี ํ เทสนา-
สีสมตตฺ ํ มีใช้มากพอสมควร และเปน็ ส่ิงจ�ำเปน็ มากตอ่ การเขา้ ใจพระธรรมค�ำสอนของ
พระพทุ ธเจ้าอยา่ งละเอียดถอ่ งแท้ เช่น
สุขทุกฺขคฺคหณญฺเจตฺถ เทสนาสีสํ, สพฺพสฺสาปิ โลกธมฺมสฺส วเสน
อตโฺ ถ เวทิตพโฺ พ.13
ก็ในท่ีน้ี ค�ำว่า สุข ทุกข์ เป็นเทศนาที่เป็นประธาน พึงทราบความ
11 ตปิ ิ ๑๖/๘๒๔.
12 ขุ.ธ.อ.(บาล)ี ๑/๘/๕๗.
13 ข.ุ อุ.อ. (บาล)ี ๑/๑๔/๑๑๘.
สทฺธมฺโม จิรํ ตฏิ ฺตุ
สังวรรณนา 19
หมายดว้ ยอ�ำนาจโลกธรรมแม้ทัง้ ปวง (โลกธรรม ๘ คือ มีลาภ เสอื่ มลาภ มยี ศ เสอื่ ม
ยศ นนิ ทา สรรเสริญ สุข ทกุ ข์)
โภชนานีติ เทสนาสีสมตตฺ เมต,ํ อตถฺ โต ปน สทธฺ าเทยฺยานิ โภชนานิ
ภุญฺชิตฺวา จีวรานิ ปารุปิตฺวา เสนาสนานิ เสวมานา คิลานเภสชฺชํ ปริภุญฺชมานาติ
สพพฺ เมตํ วตุ ตฺ เมว โหติ.14
ค�ำว่า อาหาร (โภชนานิ) นี้เป็นเพียงเทศนาที่เป็นประธาน ก็โดย
ความหมาย ความทง้ั ปวงนน้ั เปน็ ค�ำท่ที ่านกลา่ วอธิบายไว้ว่า ฉนั อาหารที่เขาถวายด้วย
ศรัทธา นุ่งห่มผ้าจีวร ใชส้ อยที่อยู่อาศยั และฉนั ยารักษาโรคอยู่
เทวนฺติ อากาส.ํ 15
ค�ำว่า เทวํ ไดแ้ ก่ ท้องฟา้
ค�ำวา่ อากาสํ อธบิ ายใหร้ ูว้ า่ เทวํ หมายถึงทอ้ งฟ้า เพราะ เทว-ศพั ท์
มคี วามหมาย ๔ อยา่ ง คอื เทพ ฝน ท้องฟ้า และความตาย16
ธมฺโมติ เหต1ุ 7.
ค�ำวา่ ธมฺโม ได้แก่ เหต1ุ 8
ค�ำวา่ เหตุ อธบิ ายใหร้ วู้ า่ ธมโฺ ม หมายถงึ เหตุ เพราะ ธมมฺ ศพั ทม์ คี วาม
หมาย ๑๔ ประการ คอื สภาวะ ปริยตั ธิ รรม ปญั ญา ญาญะ (ความถกู ต้อง,ความเหมาะ
สม) สัจจะ ปกติ (ธรรมดา) บุญ เญยยธรรม (ธรรมทค่ี วรรู้) คณุ ธรรม ความประพฤติ
สมาธิ ความไมใ่ ชส่ ตั ว์บคุ คล อาบตั ิ และเหต1ุ 9
ทหโรติ ตรุโณ.20
ค�ำวา่ ทหโร ได้แก่ คนหน่มุ คนสาว
14 ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๑๑/๗๘.
15 ว.ิ มหา.อ. (บาล)ี ๓/๕/๑๐.
16 อภิธาน.ว. (ไทย) ๑/๘๔๒/๙๙๐.
17 ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๒๐.
18 ที.ส.ี อ. (ไทย) ๑/๒๕.
19 ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๓/๔๓.
20 ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๒๔๓/๒๐๑.
สทธฺ มโฺ ม จิรํ ตฏิ ฺ ตุ
20 สงั วรรณนา
ค�ำวา่ ตรโุ ณ อธบิ ายใหร้ วู้ า่ ทหโร ในทนี่ ้ี แปลวา่ คนหนมุ่ คนสาว เพราะ
ทหร-ศพั ท์ มคี วามหมายวา่ (๑) เดก็ , (๒) คนหนุ่มคนสาว, วยั รุ่น (๓) มีอายนุ อ้ ย (๔) ผ้มู ี
ความรู้นอ้ ย, ผูอ้ อ่ นหดั (๕) ช่วงเวลาวยั เด็ก (๖) ความเปน็ เด็ก, ความอ่อนวัย, วยั เยาว2์ 1
ทหร (ติ)
[ทห + อร. (ธาน.ฏ.ี ๒๕๓) ทหติ ภสมฺ ึ กโรตตี ิ ทหโร (ชา.ฏ.ี ๒/๑๖๗)
ทหร + อ . (วิ.ธาน.) (ถี) ทหรา, ทหริยา, ทหร]ี
(๑) เดก็ , (๒) คนหนุม่ คนสาว, วยั รุ่น (๓) มอี ายุนอ้ ย (๔) ผู้มคี วามรู้
นอ้ ย, ผอู้ อ่ นหัด (๕) ชว่ งเวลาวัยเดก็ (๖) ความเปน็ เดก็ , ความออ่ นวัย, วยั เยาว2์ 2
๑.๓ การอธิบายความสรรพนาม
หมายถึงการอธิบายความหมายของสรรพนามว่า สรรพนามนี้
มีอรรถนี้ อรรถนัน้ แสดงค�ำแปล หรือแสดงตัวโยคของสรรพนามนัน้ ๆ เชน่
โส อิมํ โลกนตฺ ิ โส ภควา อมิ ํ โลกํ.23
ค�ำว่า โส อิมํ โลกํ ความวา่ พระผมู้ พี ระภาคพระองคน์ ้ัน (ทรงกระท�ำ
ให้แจ้งแล้ว) ซงึ่ โลกน้ี
ค�ำวา่ ภควา อธบิ ายใหร้ วู้ า่ โส ในทน่ี ี้ หมายถงึ พระผมู้ พี ระภาค เพราะ
โส เป็นสรรพนามท่ใี ชแ้ ทนนามทั่วไป
เตติ พุทธฺ าทโย.24
ค�ำวา่ เต ไดแ้ ก่ บัณฑิตมพี ระพุทธเจา้ เปน็ ตน้
ค�ำว่า พุทฺธาทโย อธิบายให้รู้ว่า เต ในท่ีนี้ หมายถึง บัณฑิตมี
พระพุทธเจา้ เปน็ ตน้ เพราะ เต เป็นสรรพนามทใ่ี ช้แทนนามทว่ั ไป
21 ติปิ. ๒๕๓/๒๕๔.
22 ตปิ .ิ ๒๕๓/๒๕๔.
23 วิ.ม.อ. (บาลี) ๓/๕/๑๐.
24 ข.ุ ธ.อ. (บาล)ี ๒/๑๙๖/๑๙๑.
สทธฺ มฺโม จริ ํ ติฏฺตุ
สงั วรรณนา 21
เตน โสติ เตน การเณน โส ปคุ ฺคโล.25
ค�ำวา่ เตน โส ได้แก่ เพราะเหตนุ ้นั บคุ คลนน้ั
ค�ำวา่ เตน ในทนี่ ี้ หมายถงึ เหตุ คอื โยค การณ ค�ำว่า โส ในท่ีน้ี หมาย
ถึง บคุ คล หรือ โยค ปุคคโล เพราะสรรพนามใช้แทนนามทว่ั ไป แตใ่ นท่นี ี้เจาะจงหมาย
ถึงบุคคลเท่านน้ั
๑.๔ การอธิบายความสมาสนาม
หมายถึงการอธิบายความหมายของบทสมาสนามว่า บทสมาสนี้ มี
อรรถน้ี อรรถนนั้ แสดงค�ำแปล แสดงวเิ คราะห์ พรอ้ มทง้ั บอกประเภทสมาสดว้ ย ลกั ษณะ
ยอ่ ของสมาส คอื บท + บท หมายถงึ เอาบทต้ังแต่ ๒ บท ขนึ้ ไปมาเช่อื มตอ่ ย่อเขา้ กัน
เรยี กวา่ สมาส เชน่
โสตาปนโฺ นติ โสตํ อาปนโฺ น.26
ค�ำว่า โสตาปนโฺ น ได้แก่ ผเู้ ขา้ ถงึ กระแส [มรรค]
ค�ำวา่ โสตํ อาปนฺโน อธบิ ายให้รวู้ า่ โสตาปนโฺ น วิเคราะหเ์ ป็นทุตยิ า-
ตปั ปุริสสมาสว่า โสตํ อาปนฺโน โสตาปนฺโน ผ้เู ข้าถึงกระแส ช่อื ว่า โสตาปันนะ (ผูบ้ รรลุ
มรรค)
สเุ ขธโิ ตติ สเุ ขน เอธิโต.27
ค�ำว่า สุเขธโิ ต ไดแ้ ก่ ผู้เจรญิ ดว้ ยสุข
ค�ำว่า สุเขน เอธิโต อธิบายให้รู้ว่า สุเขธิโต วิเคราะห์เป็นตติยา
ตัปปรุ ิสสมาสวา่ สุเขน เอธิโต สเุ ขธิโต ผูเ้ จรญิ ด้วยความสุข ช่ือว่า สุเขธิตะ เอธิโต มา
จาก เอธ ธาตุ + อิ อาคม + ต ปจั จัย
อิตฺถริ ูปนตฺ ิ อติ ฺถิยา รปู ํ.28
ค�ำว่า รูปสตรี (อิตถฺ ิรปู )ํ ได้แก่ รปู ของผ้หู ญงิ
25 ขุ.ธ. (บาลี) ๑/๖๓/๓๕๑.
26 วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๒๑/๒๐๒.
27 วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๒๖/๒๑๑.
28 องฺ.เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๑/๑๗.
สทฺธมฺโม จิรํ ตฏิ ฺ ตุ
22 สงั วรรณนา
ค�ำวา่ อติ ถฺ ยิ า รปู ํ อธบิ ายใหร้ วู้ า่ อติ ถฺ ริ ปู ํ ไดแ้ ก่ รปู ของผหู้ ญงิ พรอ้ มทง้ั
วเิ คราะหเ์ ปน็ ฉัฏฐีตัปปรุ ิสสมาสว่า อติ ฺถยิ า รูปํ อิตถฺ ิรปู ํ รูปของผหู้ ญิง
อณมุ ตฺเตสูติ อปปฺ มตตฺ เกส.ุ 29
ค�ำว่า แมเ้ พยี งเลก็ นอ้ ย (อณมุ ตเฺ ตสุ) ไดแ้ ก่ มปี ระมาณเลก็ นอ้ ย30
ค�ำวา่ อปปฺ ในอปปฺ มตตฺ เกสุ อธบิ ายใหร้ วู้ า่ อณุ ใน อณมุ ตเฺ ตสุ มคี วาม
หมายวา่ นอ้ ย เพราะ อปฺป มีอรรถ นอ้ ย, เบา และปฏเิ สธ (ไม่, ไม่มี)
อปฺป-ศพั ท์กลา่ วอรรถวา่ น้อย, เบา
อปปฺ สทโฺ ท อนตฺ รฆเร คมิสสฺ ามตี ิ สิกฺขา กรณยี า.31
ภิกษุพึงท�ำความส�ำเหนียกว่า เราจักพูดเสียงเบา ไปในละแวกบา้ น32
อปปฺ สทโฺ ท อนตฺ รฆเร นสิ ที ิสสฺ ามี’ติ สิกฺขา กรณยี า.33
ภิกษุพึงท�ำความส�ำเหนยี กวา่ เราจักน่ังพูดเสยี งเบาในละแวกบา้ น34
อปปฺ กมตตฺ ํ มยา กตํ น มนฺทํ วปิ ากวเสน อาคมสิ ฺสติ.35
(บัณฑิตท�ำบุญแล้วไม่ควรดูถูกบุญอย่างนี้ว่า) เราท�ำบุญมีประมาณ
นอ้ ย บญุ มปี ระมาณนอ้ ยจักมาถงึ ก็หาไม่ ดว้ ยอ�ำนาจแหง่ วบิ าก36
อปปฺ -ศพั ท์กลา่ วอรรถว่า ไม่ม,ี ไม่
อปฺปาพาโธ โหติ อปฺปาตงโฺ ก.37
ภิกษเุ ปน็ ผไู้ ม่อาพาธ ไม่มีโรค
29 ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑๙๓/๑๖๔.
30 ท.ี ส.ี อ. (ไทย) ๒/๑๙๓/๑๗๙.
31 ว.ิ มหา. (บาลี) ๒/๕๘๘/๓๘๖ - ๓๘๗.
32 วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๘๘/๖๖๒.
33 ว.ิ มหา. (บาล)ี ๒/๕๘๙/๓๘๗.
34 วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๘๘/๖๖๓.
35 ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๒/๑๒๒/๑๕ - ๑๖.
36 ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๒/๑๒๒/๑๓.
37 อง.ฺ ทสก. (บาลี) ๒๔/๑๑/๑๒ - ๑๓.
สทฺธมฺโม จิรํ ตฏิ ฺ ตุ
สงั วรรณนา 23
เสนาสนํ นาติทูรํ โหติ นาจฺจาสนฺนํ คมนาคมนสมฺปนฺนํ ทิวา
อปปฺ กณิ ฺณ3ํ 8 รตตฺ ึ อปฺปสททฺ ํ อปปฺ นิคโฺ ฆสํ อปฺปฑํสมกสวาตาตปสิรีสปสมผฺ สสฺ ํ.39
เสนาสนะ อยู่ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก มีทางไปมาสะดวก กลางวันไม่
พลกุ พลา่ น กลางคนื ไมม่ เี สยี ง ไมอ่ กึ ทกึ ไมม่ เี หลอื บ ยงุ ลม แดด และสตั วเ์ ลอื้ ยคลาน40
ทิวา อปปฺ กณิ ฺณนตฺ ิ ทวิ สภาเค มหาชเนน อนากณิ ณฺ .ํ 41
ค�ำว่า กลางวันไมพ่ ลกุ พล่าน (ทิวา อปฺปกิณฺณ)ํ ได้แก่ ในสว่ นกลาง
วนั ไมม่ มี หาชนพลกุ พล่าน42
ทวิ สภาเค มหาชนสํกณิ ณฺ ตาภาเวน ทวิ า อปฺปากิณฺณ.ํ อภาวตโฺ ถ หิ
อยํ อปปฺ -สทฺโท “อปฺปจิ โฺ ฉ”ติอาทสี ุ วยิ . รตตฺ ยิ ํ มนุสสฺ สทฺทาภาเวน รตฺตึ อปปฺ สทฺท.ํ
สพพฺ ทาปิ ชนสนฺนปิ าตนิคฺโฆสาภาเวน อปปฺ นิคโฺ ฆสํ.43
ชอื่ วา่ กลางวนั ไมพ่ ลกุ พลา่ น เพราะในกลางวนั ไมพ่ ลกุ พลา่ นดว้ ยหมู่
ชน จรงิ อยู่ อปปฺ -ศพั ทน์ มี้ อี รรถวา่ ไมม่ ี เหมอื นในค�ำเปน็ ตน้ วา่ “ผไู้ มม่ คี วามมกั มาก” ชอ่ื
ว่ากลางคนื ไมม่ เี สียง เพราะในเวลากลางคนื ไมม่ เี สียงมนษุ ย์ ช่อื ว่าไม่อึกทึก เพราะ
ไม่มเี สยี งอกึ ทกึ เพราะชนประชมุ กันแมใ้ นกาลทง้ั ปวง
การอธบิ ายความบทสมาสท้ังหมด ๖ ประเภท คือ อัพยยีภาวสมาส
กมั มธารยสมาส ทคิ สุ มาส ตปั ปรุ ิสสมาส พหพุ พีหสิ มาส และทวนั ทสมาส ในตวั อย่าง
ท่อี ธบิ ายความบทสมาส ข้าพเจ้ายกมาอธบิ ายความพอเป็นตัวอยา่ งเล็กนอ้ ยเทา่ น้ัน ท่ี
เหลอื นกั ศกึ ษาสามารถเข้าใจได้
๑.๕ การอธบิ ายความตัทธิตนาม
หมายถงึ การอธบิ ายความของบทตทั ธติ นามวา่ บทตทั ธติ นี้ มอี รรถนี้
อรรถนน้ั แสดงค�ำแปล พรอ้ มประเภทของตัทธติ และอรรถของปัจจยั ตัทธติ ดว้ ย ในบท
38 ฉ.ม. อปฺปากิณณฺ .ํ
39 อง.ฺ ทสก. (บาลี) ๒๔/๑๑/๑๒ - ๑๓.
40 อง.ฺ ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๑/๑๙.
41 อง.ฺ ทสก.อ. (บาลี) ๓/๑๑/๓๒๓.
42 องฺ.ทสก.อ. (บาล)ี ๓/๑๑/๓๑๔.
43 องฺ.ทสก.ฏกี า (บาล)ี ๓/๑๑/๓๗๙.
สทฺธมฺโม จิรํ ตฏิ ฺ ตุ
24 สงั วรรณนา
ตัทธติ นนั้ ก็มหี ลายประเภท แตโ่ ดยยอ่ แลว้ ใหน้ กั ศึกษาจ�ำงา่ ยๆ คือ บท + ปัจจัย เรยี ก
ว่า ตัทธิต ในการอธิบายความบทตัทธิตนี้ ข้าพเจ้าจะยกบทตัทธิตมาอธิบายพอเป็น
ตัวอย่างบางบท บางประเภทเท่าน้ัน เม่ือนักศึกษาเข้าใจตัวอย่างน้ีแล้วก็จะเข้าใจการ
อธิบายความบทตทั ธติ ได้ท้งั หมด ตวั อยา่ ง
ปาปมิตฺตตาติ ยสสฺ ปาปา ลามกา มิตตฺ า, โส ปาปมิตฺโต. ปาปมติ ฺตสฺส
ภาโว ปาปมิตตฺ ตา, เตนากาเรน ปวตตฺ านํ จตนุ นฺ ํ ขนธฺ านเมเวตํ นามํ.44
ค�ำวา่ ความมมี ติ รชวั่ (ปาปมิตฺตตา) ความวา่ มิตรชัว่ คือเลวทราม
ของผ้ใู ด มีอยู่ ผู้น้นั ช่ือว่า ผู้มีมิตรช่ัว ความเปน็ แหง่ ผูม้ ีมติ รช่ัว ชอ่ื ว่า ความมีมติ รชว่ั
ค�ำว่า ความมีมิตรชั่ว (ปาปมิตฺตตา) น้ีเป็นชื่อของขันธ์ ๔ [เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ] ทีเ่ ปน็ ไปโดยอาการนัน้ น่นั เอง
ค�ำว่า ยสฺส ... ปาปมติ โฺ ต อธบิ าย ปาปมติ ตฺ วา่ เปน็ ฉฏั ฐพี หพุ พหี สิ มาส
วเิ คราะหว์ า่ ปาปา มติ ตฺ า ยสฺสาติ ปาปมิตโฺ ต ช่ือวา่ ผู้มมี ติ รช่ัว เพราะอรรถวา่ มีเพ่ือน
ชว่ั ค�ำวา่ ปาปมติ ฺตสฺส ภาโว อธบิ ายว่า ตาปัจจยั ในค�ำว่า ปาปมติ ตฺ ตา เป็นภาวตัทธติ
วเิ คราะหว์ า่ ปาปมติ ตฺ สสฺ ภาโว ปาปมติ ตฺ ตา ความเปน็ แหง่ บคุ คลผมู้ มี ติ รชวั่ ชอ่ื วา่ ความ
มีมิตรชวั่ ค�ำวา่ เตนากาเรน ... นามํ เปน็ ค�ำอธบิ ายค�ำวา่ ความมมี ติ รช่ัว เปน็ ช่ือของ
นามขนั ธ์ ๔ คอื เวทนา สัญญา สงั ขาร และวญิ ญาณ หมายถงึ อกศุ ลจิตตปุ บาท(จติ ชว่ั )
กลฺยาณมติ ตฺ ตาติ กลฺยาณา มติ ฺตา อสฺสาติ กลฺยาณมติ ฺโต, ตสสฺ ภาโว
กลฺยาณมิตฺตตา.45
ค�ำว่า ความมีกัลยาณมิตร (กลฺยาณมิตฺตตา) ได้แก่ ชื่อว่ามี
กัลยาณมิตร เพราะมีมิตรดี ความเป็นแห่งบุคคลผู้มีกัลยาณมิตรนั้น ชื่อว่าความมี
กลั ยาณมติ ร
โกสชชฺ นฺติ กุสตี ภาโว.46
ความเป็นแหง่ บุคคลผเู้ กียจครา้ น ชอ่ื วา่ ความเกยี จครา้ น (โกสชชฺ )ํ
ค�ำว่า กุสตี ภาโว อธบิ ายไข โกสชฺชํ วา่ เปน็ ภาวตทั ธติ ณฺยปจั จยั ใน
44 อง.ฺ เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๗๐/๗๒.
45 องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๗๑/๗๓.
46 องฺ.เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๖๐/๖๕.
สทธฺ มฺโม จิรํ ตฏิ ฺตุ
สงั วรรณนา 25
ค�ำว่า โกสชฺชํ ลงในอรรถภาวะ คือ ความเป็น หรอื กิรยิ าอาการ แปลว่า ความ, แปลวา่
การ วเิ คราะหว์ ่า กสุ ตี สสฺ ภาโว โกสชฺชํ (กสุ ีต + ณฺย) ความเปน็ แห่งผเู้ กียจครา้ น ชอื่
ว่าความเกียจครา้ น วุทธิ อุ ท่ี กสุ ีต เปน็ โอ แปลง อี ที่ กสุ ีต เป็น อ แปลง ต เปน็ ท
แปลง ทยฺ เปน็ ชชฺ ส�ำเรจ็ รูป โกสชชฺ 4ํ 7
โกสชชฺ (น)
[กุสตี + ณฺย. กุสที + ณฺย. (โมคฺ.๔/๑๒๗. ปทรูป.๓๘๗)]
ความเปน็ ผเู้ กยี จครา้ น, ความเกียจครา้ น, ความทอ้ แท4้ 8
สมฺปชญฺนตฺ ิ สมฺปชานภาโว, ปญฺ าเยตํ นามํ.49
ค�ำว่า ความมีปัญญา (สมฺปชญฺํ ) ได้แก่ ความเป็นแห่งบุคคลผู้รู้
ค�ำว่า สมปฺ ชญฺ ํ นเ้ี ปน็ ช่ือของปญั ญา
ค�ำว่า สมปฺ ชานภาโว อธบิ ายให้ร้วู า่ สมฺปชญฺ [สมปฺ ชาน + ณฺย] เปน็
ภาวตัทธิต แปลวา่ ความรู้ วิเคราะห์ว่า สมปฺ ชานสสฺ ภาโว สมปฺ ชญฺํํ ความเป็นแห่ง
บุคคลผูร้ ู้ ชอื่ วา่ สมั ปชัญญะ(ความรู้) สมฺปชาน [สํ + ป + า + นา + อ] วิเคราะหว์ า่
สมฺปชานาตตี ิ สมปฺ ชาโน ช่อื วา่ ผรู้ ู้ เพราะอรรถวา่ รดู้ โี ดยประการตา่ งๆ
ค�ำว่า ปญฺ าเยตํ นามํ อธิบายไขความ สมฺปชฺชญฺ ํ ว่า ได้แก่ ปญั ญา
เพราะค�ำวา่ ความเปน็ ผูร้ ู้ อนั ทจ่ี ริง ได้แก่ ปัญญานั่นเอง
วินยาย ธมมฺ ํ เทเสตีติ เวนยโิ ก.50
บคุ คลผแู้ สดงธรรมเพื่อก�ำจัด [กเิ ลส] เรียกว่า เวนยกิ ะ
ค�ำวา่ เวนยิโก มาจาก วนิ ย ศัพท์ + ณกิ ปจั จยั วิเคราะห์ตัทธิตวา่
วินยาย ธมฺมํ เทเสตีติ เวนยิโก แปลว่า บุคคลผู้แสดงธรรมเพ่ือก�ำจัด[กิเลส] เรียกว่า
เวนยกิ ะ เพราะ ณิกปัจจยั มีความหมายมาก
47 ปทรปู . (บาลี) ๑/๓๘๗/๒๘๘.
48 ตปิ ิ. ๖/๓๘๕.
49 อง.ฺ เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๖๙/๗๒.
50 ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๑๙๓/๑๖๔.
สทธฺ มโฺ ม จริ ํ ติฏฺ ตุ
26 สังวรรณนา
อสมฺปชญฺนฺติ อสมฺปชานภาโว, โมหสเฺ สตํ อธวิ จนํ.51
ค�ำวา่ ความไมร่ ู้ (อสมปฺ ชญฺ ) ไดแ้ ก่ ความเปน็ ผไู้ มร่ ตู้ วั ค�ำวา่ ความ
ไมร่ นู้ ี้ เปน็ ชือ่ ของโมหะ (ความหลง)
ค�ำว่า อสมฺปชานภาโว อธบิ ายใหร้ วู้ ่า อสมปฺ ชญฺ แปลวา่ ความเป็น
แหง่ บุคคลผู้ไมร่ ู้ เป็นภาวตทั ธิต วเิ คราะห์ว่า อสมฺปชานสสฺ ภาโว อสมปฺ ชญฺ ํ [น +
สมฺปชาน + ณฺย52] แปล ความเป็นแห่งบคุ คลผู้ไมร่ ู้ ชือ่ ว่าความไม่รู้ ค�ำว่า โมหสเฺ สตํ
อธวิ จนํ อธบิ ายใหร้ ู้วา่ อสมปฺ ชญฺ น้นั หมายถึง โมหะ (ความหลง)
ชญฺ ๒ (ต)ิ
[า + นา + ณฺย]
พึงถูกรู,้ ควรรู้, น่าร5ู้ 3
สตมิ โตติ สติสมฺปนนฺ สฺส.54
ค�ำวา่ ผ้มู สี ติ (สตสิ มโต) ไดแ้ ก่ ผู้ถึงพรอ้ มดว้ ยสติ (หรอื ผู้ประกอบ
ดว้ ยสต)ิ
ค�ำวา่ สตสิ มปฺ นนฺ สสฺ อธบิ ายไข สตมิ โต(ผมู้ สี ต)ิ หมายถงึ ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ย
สติ และแสดงวิเคราะห์ สติมโต เป็นอสั สัตถติ ทั ธติ โดยออ้ มว่า สติ อสสฺ อตฺถตี ิ สตมิ นตฺ ุ
(สติ + มนฺตปุ จั จยั ) เพราะท่านไข ดว้ ย สมฺปนนฺ ศพั ท์ เพราะค�ำว่า มี (อัสสัตถิตทั ธติ ) กับ
ค�ำวา่ ถงึ พรอ้ ม หรอื ประกอบ (สมปฺ นนฺ ) มคี วามหมายเหมอื นกนั ใชอ้ ธบิ ายกนั และกนั ได้
๑.๖ การอธิบายความกติ
หมายถึงการอธิบายความบทกิต อธิบายความหมายบทกิต อธิบาย
ธาตุ อธิบายปจั จยั ตามสมควร เพ่ือให้เขา้ ใจความหมายอยา่ งกระจา่ งชดั
บทกิต คือ บทท่ีประกอบขนึ้ ดว้ ย ธาตุ + กับปจั จัย เพื่อสร้างค�ำใหม่
มสี าธนะ ๗ ประการ มกี ัตตสุ าธนะ แปลวา่ ผู,้ กัมมสาธนะแปลว่า อันเขาหรือถกู , กรณ
51 องฺ.เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๖๘/๗๑.
52 ปทรูป. (บาล)ี ๑/๓๘๗/๒๘๗ - ๘.
53 ติป.ิ ๘/๗๖.
54 ข.ุ ธ.อ. (บาลี) ๑/๒๔/๑๘๐.
สทฺธมฺโม จริ ํ ติฏฺ ตุ
สังวรรณนา 27
สาธนะ แปลวา่ เป็นเคร่ือง หรอื เป็นเหตุ, อปาทานสาธนะ แปลวา่ เปน็ แดนเกิด หรือ
เป็นแหลง่ ก�ำเนิด, สัมปทานสาธนะ แปลวา่ เป็นท,่ี อธิกรณสาธนะ แปลวา่ เป็นที่, ภาว
สาธนะ แปลว่า การ, ความ
สาธนะ คอื ค�ำทชี่ ว่ ยใหก้ ริ ยิ าส�ำเรจ็ สมบรู ณ์ เพอ่ื ก�ำจดั ความสงสยั ของ
นกั ศึกษา เช่น ค�ำวา่ ทานํ มาจาก ทา ธาตุ แปลว่า ให้ + ยุ ปัจจัย แปลวา่ การ หรือ
ความ ซึ่งเปน็ ตวั สาธนะ คอื ค�ำท่ชี ว่ ยใหก้ ิริยาส�ำเร็จสมบรู ณว์ ่า ค�ำว่า ให้ นัน้ หมายถึง
การให้ ไมใ่ ช่ ส่งิ ของทีถ่ ูกให้ เพราะ ค�ำว่า ให้ มคี วามหมายได้หลายอยา่ ง เชน่ ผูใ้ ห้, ส่งิ
ที่ถูกให,้ การให้ และทใี่ ห้ แต่เมอื่ ลง ยุ ปัจจัย มา เป็นรปู วา่ ทานํ กห็ มายถึง การให้
หรอื สงิ่ ของทใ่ี หเ้ ทา่ นนั้ กก็ �ำจดั ความสงสยั ไปได้ ขา้ พเจา้ จะอธบิ ายความบทกติ พอเปน็
ตวั อย่างดงั ต่อไปนี้
อสมปฺ ชานสฺสาติ อชานนฺตสฺส สมมฺ ฬุ ฺหสฺส.55
ค�ำวา่ ผไู้ มร่ ู้ (อสมฺปชานสฺส) ไดแ้ ก่ ผไู้ มร่ ูอ้ ยู่ คือ ผ้หู ลง
ค�ำว่า อชานนฺตสฺส ผู้ไม่รู้อยู่ อธิบายไข อสมฺปชานสฺส ว่า แปล
ว่า ผู้ไม่รู้ และอธบิ ายใหร้ วู้ ่า มานปจั จัย ใน อสมปฺ ชานสฺส กลา่ วกัตตสุ าธนะ แปลว่า
ผู้ เน่ืองจาก มาน ปัจจัย กล่าวกัตตา คือผู้กระท�ำและกรรมส่ิงท่ีถูกกระท�ำ ดังนั้น
ท่านจึงอธิบายไขด้วย อนฺตปัจจัยว่า อชานนฺตสฺส แปลว่า ผู้ไม่รู้อยู่ เนื่องจาก อนฺต
ปัจจยั กลา่ วถงึ กตั ตา คือผู้กระท�ำ ค�ำว่า สมฺมฬุ หฺ สฺส [สํ + มหุ + ต] อธิบายไขความ
อชานนฺตสสฺ ผู้ไม่รู้ หมายถงึ ผูห้ ลง
อชานนตฺ (ต)ิ
[น + ชานนฺต = า + นา + อนตฺ (ถี) อชานนตฺ ี]
ผู้ไมร่ ูอ้ ย,ู่ ผู้ไมร่ 5ู้ 6
ชานนฺต (ต)ิ
[า + นา + อนฺต. ชานาตีติ ชาน,ํ ชานมาโน ชาเทโส. แปลง าธาตุ
เปน็ ชา (ปทรูป.๖๔๖) (ถี) ชานนตฺ ]ี
55 อง.ฺ เอกก.อ. (บาลี) ๑/๖๘/๗๑.
56 ตปิ ิ. ๑/๒๑๔.
สทฺธมโฺ ม จิรํ ติฏฺ ตุ
28 สังวรรณนา
(ก) ผรู้ ้อู ย่,ู ผ้รู ู้ (ข) ผู้ทรงจ�ำ-ทรงไว5้ 7
มูฬฺห (ต)ิ
[มหุ + ต. อมยุ ฺหีติ มฬู โฺ ห. (ปทรูป. หน้า ๓๗๙) มูห + ล. (ธาน.ฏ.ี ๗๒๑)]
ผหู้ ลง, ผไู้ มร่ ู้.58
สมปฺ ชานสสฺ าติ สมปฺ ชานนตฺ สฺส.59
ค�ำว่า ผรู้ ู้ (สมปฺ ชานสสฺ ) ได้แก่ ผูร้ ู้อยู่
ค�ำวา่ สมปฺ ชานนตฺ สสฺ [สํ + ป + า + นา + อนตฺ ] อธบิ าย สมปฺ ชานสสฺ
[สํ + ป + า + นา + อ] วา่ แปลวา่ ร้อู ยู่ และ อปัจจยั ใน สมฺปชานสสฺ กลา่ วอรรถกตั ต-ุ
สาธนะแปลว่า ผู้ แสดงวิเคราะหว์ ่า สมปฺ ชานาตีติ สมปฺ ชาโน [สํ + ป + า + นา + อ]
ผู้รู้ แปลง า ธาตุ เปน็ ชา แปลง นิคคหิต เป็น ม
ชาน๑ (ติ)
[า + นา + อ. (ดู วิ.ป.ิ ธาน.) า + นา + มาน. ลบ นา แปลง มาน
เปน็ อาน (ดู ปทรูป.๖๔๖) อีกนัยหน่ึง ลบ นา และลบ ม อกั ษรของ มาน (ดู โมค.ฺ ๕/๑๖๒)]
(๑) ผรู้ ,ู้ ผู้สามารถรู้ได้, ผรู้ ไู้ ด้ (๒) (ธรรม) ที่ควรร6ู้ 0
ชาน๒ (กฺร)ิ
[า + นา + หิ]
จงรู้
เปน็ ที่รู้, ท่รี ้.ู 61 ชานน๑ (น)
[า + นา + ย]ุ
(๑) การรู้, (๒) อนั รู,้ รู้ได้ (๓) ถูกรู้ (๔) อันเป็นเหตรุ ู,้ เหตรุ ู้ (๕) อนั
57 ติป.ิ ๘/๒๙๕.
58 ตปิ ิ. ๑๖/๗๙๒.
59 องฺ.เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๖๙/๗๒.
60 ติป.ิ ๘/๒๘๙.
61 ติปิ. ๘/๒๘๙.
สทฺธมโฺ ม จิรํ ตฏิ ฺตุ
สังวรรณนา 29
ชานน๒ (น)
[า + นา + เณ + ย]ุ
(๑) การให้ร.ู้ (๒) (ติ) อันใหร้ ,ู้ อันสามารถให้รู้, อนั ให้รูไ้ ด6้ 2
พชุ ฌฺ ตตี ิ พทุ โฺ ธ.63
บุคคลใดร้อู ยู่ เหตนุ ั้น บุคคลน้ันจงึ ชอ่ื วา่ ผู้รู้ [พุทโฺ ธ = พธุ + ต]
ค�ำวา่ พุชฌฺ ติ (พุธ + ย + ต)ิ อธิบายใหร้ ู้ว่า ค�ำว่า พทุ โฺ ธ มาจาก พุธ
ธาตุ + ต ปัจจยั มีความหมายวา่ รู้ เพราะ พุธ ธาตมุ คี วามหมาย ๔ ประการ คือ ร้,ู เบิก
บาน, ไป และต่นื 64 ดังนั้น ความหมายของ พธุ ธาตใุ นทนี่ ้ี ท่านประสงคเ์ อาอรรถวา่ รู้
พระฏกี าจารยก์ ล่าวไวว้ ่า
าเณ วิกสเน เจว คมเน จาปิ ชาคเร
จตเู สฺวเตสุ อตเฺ ถสุ พุธธาตุ ปวตฺตติ.65
พุธ ธาตุ มีความหมาย ๔ ประการ คอื รู้ เบกิ บาน ไป
[ถึง, บรรลุ ได]้ และต่นื
ขุเํ สนโฺ ตติ ฆฏเฺ ฏนฺโต.66
ค�ำว่า เมอ่ื จะข่ม (ขุํเสนฺโต) ได้แก่ กล่าวเสยี ดสี67
ค�ำวา่ ฆฏเฺ ฏนฺโต อธิบายใหร้ ู้วา่ ขุเ สนฺโต มาจาก ขุส ธาตุ + อ ปจั จยั
+ อนตฺ -ปจั จยั มีความหมายวา่ กล่าวเสยี ดสี เพราะ ขสุ ธาตุ มอี รรถว่า (ก) ดา่ (ข)
กระทบ, เสียดส6ี 8
62 ติปิ. ๘/๒๘๙.
63 พระมหานิมติ ธมมฺ สาโร ป.ธ.๙, ปทวิจารทปี นี, พิมพ์คร้ังแรก
กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พไ์ ทยรายวนั การพิมพ,์ ๒๕๔๗, หนา้ ๔๔๒.
64 นมก.ฺ ฎกี า. (บาล)ี ๑/๓๒.
65 มณมิ ญชฺ .ู (บาลี) ๑/๗๙.
66 ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๒๖๔/๒๓๐.
67 ที.ส.ี อ. (ไทย) ๑/๒๖๔/๒๔๔.
68 ติปิ. ๖/๕๙๘.
สทฺธมโฺ ม จิรํ ตฏิ ฺ ตุ
30 สงั วรรณนา
ภุตตฺ าวินฺติ ภุตฺตวนฺต.ํ 69
ค�ำวา่ เสวยเสร็จแลว้ (ภตตฺ าว)ึ ไดแ้ ก่ เสวยภัตตาหารเสรจ็ 70
ค�ำวา่ ภตุ ตฺ วนตฺ ํ อธบิ ายใหร้ วู้ า่ ตาวี ปจั จยั ในค�ำวา่ ภตุ ตฺ าวึ ลงในกตั ต-ุ
สาธนะและอดตี กาล71 เหมือน ตวนตฺ ุ ปัจจยั ในค�ำวา่ ภุตตฺ วนฺตํ ซ่ึงมาจาก ภชุ ธาตุ +
ตวนตฺ ุ ปจั จยั วิเคราะห์ว่า ภตุ ฺตวาติ ภุตฺตาวี (ภชุ + ตาว)ี ผูบ้ รโิ ภคแล้ว
คเตติ คมเน.72
ค�ำว่า คเต ไดแ้ ก่ การเดิน (ขณะเดิน)
ค�ำว่า คมเน อธบิ ายว่า ต ปัจจัยในค�ำวา่ คเต ลงในอรรถภาวสาธนะ
แปลวา่ การเดิน (ขณะเดนิ ) เพราะ ต ปจั จยั เปน็ ได้ ๔ สาธนะ คือ กตั ตสุ าธนะ กมั ม-
สาธนะ ภาวสาธนะ และอธิกรณสาธนะ ค�ำน้วี ิเคราะห์วา่ คมนํ คตํ การเดนิ ชื่อว่า คตะ
(การเดิน, ขณะเดิน)
๒. การอธบิ ายความบทอปุ สัค
หมายถงึ การอธบิ ายบทอุปสคั โดยอธบิ ายให้ร้วู ่า บทนี้เปน็ เพียงบทอุปสัค
ไม่มีอรรถอะไร และอธบิ ายความของบทอุปสัค เพอ่ื ห้ามบทนาม บทอาขยาต หรือบท
นิบาต เพื่อใหค้ วามหมายกระจ่างแจ้ง
อุปสัค คือค�ำท่ีประกอบอยู่ข้างหน้าบทนามและบทอาขยาต เพ่ือท�ำให้
ถ้อยค�ำนั้นสละสลวยสวยงามไพเราะ หรือท�ำให้เกิดความหมายใหม่ ดังปทรูปสิทธิ
ไวยากรณ์กลา่ ววา่ “อเุ ปจจฺ ตฺถํ สชฺเชนฺตีติ อปุ สคฺคา73 ชอ่ื ว่า อปุ สัค เพราะอรรถวา่ เขา้
ประกอบอยู่ขา้ งหนา้ (นามและอาขยาต) แล้วจัดแจงความหมาย (ให้ไพเราะสละสลวย
หรือสร้างความหมายใหม่)”
69 ว.ิ มหา.อ. (บาล)ี ๑/๒๓/๒๐๗.
70 ว.ิ มหา.อ. (ไทย) ๑/๒๓/๒๑๖.
71 ปทรูป. (บาลี) ๑/๖๑๒/๔๔๔.
72 ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๒๑๔/๑๘๒.
73 ปรูปท. (บาล)ี ๑/๒๘๒/๑๖๐.
สทฺธมฺโม จิรํ ตฏิ ฺ ตุ
สงั วรรณนา 31
๒.๑ การอธิบายบทอปุ สคั
หมายถึงการอธิบายบทอุปสัค โดยอธิบายให้รู้ว่า บทน้ีเป็นเพียงบท
อปุ สัคเทา่ นัน้ ไมม่ คี วามหมายอะไรพิเศษ เชน่
อตีติ อุปสคฺคมตฺตํ.74
ค�ำว่า อติ เปน็ เพียงบทอปุ สัค
ค�ำว่า อุปสคฺคมตฺตํ อธิบายให้รู้ว่า อติ เป็นบทอุปสัค เพ่ือห้ามบท
นบิ าต เพราะ อติ เป็นนิบาตบทก็มี75 เช่น อตีติ อจจฺ นตฺ ตเฺ ถ นปิ าโต ค�ำว่า อติ เปน็ บท
นิบาตลงในอรรถ ตลอด, สน้ิ
ปฏิปนโฺ น โหตตี ิ เอตถฺ ปฏีติ อุปสคคฺ ปทํ.76
ค�ำว่า ปฏิ ในค�ำว่า ปฏปิ นโฺ น โหติ นี้ เป็นบทอุปสัค
ค�ำวา่ อปุ สคฺคปทํ อธบิ ายใหร้ ู้วา่ ปฏิ ในค�ำวา่ ปฏิปนโฺ น โหติ เปน็ บท
อปุ สัค จรงิ อยู่ ค�ำวา่ ปฏิ นีแ้ ปลงมาจากอปุ สคั คือ ปติ เหมือนค�ำว่า ปฏคฺคิ มาจาก ปติ
+ อคฺคิ (ไฟตอบโต)้ ปฏิหญฺติ มาจาก ปตหิ ญฺ ติ (ยอ่ มเบียดเบียน) 77
๒.๒ การอธิบายความบทอปุ สคั
หมายถึงการอธิบายบทอุปสัค พร้อมทั้งความหมายของบทอุปสัค
ควบคู่กัน หมายความว่า อธิบายบอกว่า บทนี้ เป็นบทอุปสัค พร้อมทั้งอธิบายความ
หมายของบทอปุ สัควา่ มคี วามหมายนี้ มีความหมายน้ัน เพราะนบิ าตมีอรรถมาก เช่น
อภญิ ฺ าตาติ เอตฺถ อภตี ิ ลกฺขณตฺเถ อุปสคฺโค.78
ค�ำวา่ อภิ ในค�ำน้วี า่ อภญิ ฺาตา เปน็ บทอุปสคั ลงในอรรถลักขณะ
(เครื่องจดจ�ำ)
74 ขุ.เถร.อ. (บาลี) ๑/๔๔๗/๑๓๑.
75 อง.ฺ ทุก.ฏกี า (บาลี) ๒/๓๗/๔๕.
76 ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๓/๒๖.
77 ปทรูป. (บาลี) ๑/๔๓/๔๓.
78 ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๔๙/๑๒๘.
สทธฺ มโฺ ม จริ ํ ตฏิ ฺ ตุ
32 สงั วรรณนา
ค�ำว่า อุปสคโฺ ค อธบิ ายให้รวู้ า่ อภิ ในค�ำวา่ อภิญฺาตา เปน็ บทอุปสคั
และค�ำวา่ ลกฺขณตฺเถ อธิบายใหร้ วู้ า่ อภิ มคี วามหมายว่า เคร่ืองจดจ�ำ เปน็ การอธบิ าย
ความหมายของบทอุปสคั เพราะ อภิ อุปสคั มีความหมายมาก79
สนฺติ สหตฺเถ อปุ สคโฺ ค.80
ค�ำวา่ สํ เปน็ อปุ สัคบท มคี วามหมายว่า พรอ้ มกัน, กบั , ด้วย.
ค�ำว่า อุปสคฺโค แสดงใหร้ วู้ า่ สํ เปน็ บทอุปสคั เพราะ สํ ทเ่ี ปน็ นาม
แปลว่า ทรัพย,์ สุนัขก็มี เปน็ นบิ าตกม็ ี ส่วนค�ำว่า สหตเฺ ถ อธิบายให้รู้วา่ สํ บทอุปสคั มี
ความหมายว่า พร้อม, กบั เพราะ สํ บทอปุ สัค มคี วามหมายมากมาย81
๓. การอธิบายความนิบาต
หมายถึงการอธิบายบทนิบาต โดยอธิบายให้รู้ว่า บทน้ีเป็นบทนิบาตและ
อธบิ ายความหมายของบทนิบาต เพอื่ ห้ามบทนาม บทอาขยาต หรอื บทอุปสคั และเพื่อ
ใหค้ วามหมายชดั เจน
นิบาต
หมายถึงค�ำท่ีใช้น�ำหน้า, ไว้กลาง หรือต่อท้ายค�ำอ่ืน เพื่อให้สละสลวย
หรือมีความชัดเจนขึ้น ดังปทรูปสิทธิไวยากรณ์กล่าวว่า ปทานมาทิมชฺฌาวสาเนสุ
นิปตนฺตีติ นปิ าตา82 (นิ บทหน้า + ปต ธาตุ + ณ ปจั จัย ) ค�ำที่ลงเบื้องต้น, ท่ามกลาง
และท้ายสุดของบท ช่อื ว่า นิบาต
๓.๑ การอธบิ ายบทนบิ าต
หมายถึงการอธบิ ายบทนิบาต โดยอธบิ ายให้รวู้ า่ บทนี้เปน็ บทนิบาต
เท่านั้น ไมม่ คี วามหมายอะไรเปน็ พิเศษ เช่น
79 ปทรูป. (บาล)ี ๑/๒๘๒/๑๕๗ - ๑๕๘.
80 กงขฺ า.ปุรณ-อภินวฏกี า ๑/๒๑๐.
81 ปทรปู . (บาลี) ๑/๒๘๑/๑๕๖.
82 ปทรปู . (บาลี) ๑/๒๘๒/๑๖๐.
สทฺธมโฺ ม จิรํ ตฏิ ฺ ตุ
สังวรรณนา 33
เอวนตฺ ิ นิปาตปทํ.83
ค�ำว่า เอวํ เปน็ บทนิบาต
ค�ำว่า นปิ าตปทํ อธิบายใหร้ วู้ า่ ค�ำวา่ เอวํ เป็นบทนบิ าต
อิตีติ นิปาตปทํ.84
ค�ำว่า อิติ เปน็ บทนบิ าต
ค�ำว่า นิปาตปทํ อธิบายให้รู้วา่ อิติ เป็นบทนิบาต เพราะ อิติ เป็นได้
ท้ังบทนาม และบทอาขยาต
๓.๒ การอธบิ ายความบทนิบาต
หมายถึงการอธิบายความบทนิบาต พร้อมทั้งความหมายของบท
นบิ าต หมายความว่า อธบิ ายว่า บทน้ี เปน็ บทนบิ าตและมีความหมายอยา่ งน้ี เพราะ
บทนบิ าตมคี วามหมายมาก เช่น
วตาติ ปตฺถนตฺเถ นิปาโต.85
ค�ำว่า วต เป็นบทนบิ าต มีความหมายว่า ปรารถนา
ค�ำว่า นิปาโต อธบิ ายให้รวู้ า่ วต เป็นบทนบิ าต สว่ นค�ำว่า ปตถฺ นตฺเถ
อธบิ ายใหร้ ู้วา่ ในนบิ าต ๒ ประเภท คอื ปทปูรณะและอัตถปูรณะ วต เป็นอัตถปูรณ
นบิ าต มีความหมายวา่ ปรารถนา
ยตรฺ หิ นามาติ อจฉฺ ริยตฺเถ นปิ าโต.86
ค�ำว่า ยตรฺ หิ นาม เป็นบทนบิ าต มีความหมายวา่ นา่ อศั จรรย์
ค�ำว่า นิปาโต อธิบายขยายให้รู้ว่า หิ ในค�ำว่า ยตฺร หิ นาม เป็น
บทนบิ าต เพราะ หิ เปน็ ทั้ง หิ วิภัตตนิ าม, หิ วิภตั ตอิ าขยาต และ หิ นิบาต ส่วนค�ำว่า
อจฺฉรยิ ตฺเถ อธบิ ายให้รู้ว่า นามนบิ าต มีความหมายว่า น่าอศั จรรย์ เปน็ อัตถปรู ณนิบาต
และค�ำว่า ยตฺร เป็นอัตถปรู ณนิบาตลงในอรรถปฐมาวภิ ตั ติ แปลวา่ อนั ว่า พระตถาคต
83 ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๓/๒๖.
84 ข.ุ อติ .ิ อ. (บาลี) ๑/๓.
85 ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๗/๔.
86 ท.ี ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๓/๒๐.
สทฺธมโฺ ม จริ ํ ติฏฺ ตุ
34 สังวรรณนา
พระองคใ์ ด เพราะ นิบาต มี ๒ ประเภท คอื ปทปูรณนิบาต (นบิ าตทปี่ ระดบั บทให้
ออกเสยี งสละสลวยไมม่ คี วามหมายอะไร) และอตั ถปรู ณนบิ าต (นบิ าตทมี่ คี วามหมาย)87
ดังพระฎีกาจารย์กลา่ วไว้วา่
“ยตรฺ าติ ปจจฺ ตตฺ ตเฺ ถ, นามาติ อจฉฺ รยิ ตเฺ ถ นปิ าโต, ห-ิ สทโฺ ท อนตถฺ โก.
เตนาห “โย นาม ตถาคโต”ต.ิ 88
“ค�ำวา่ ยตรฺ เปน็ นบิ าต ลงในอรรถปฐมาวภิ ตั ติ ค�ำวา่ นาม เปน็ นบิ าต
มคี วามหมายวา่ นา่ อศั จรรย์ หิ ศพั ท์ ไมม่ คี วามหมาย เพราะเหตนุ น้ั พระอรรถกถาจารย์
จึงกล่าวว่า “พระตถาคตผนู้ ่าอศั จรรย์พระองคใ์ ด”
ขลูติ อนสุ ฺสวนตฺเถ นิปาโต.89
ค�ำว่า ขลุ เปน็ บทนิบาต มคี วามหมายวา่ ได้ยินมาว่า
ค�ำวา่ นปิ าโต อธบิ ายใหร้ วู้ า่ ขลุ เปน็ บทนบิ าต สว่ นค�ำวา่ อนสุ สฺ วนตเฺ ถ
อธิบายให้รูว้ ่า ใน นบิ าต ๒ ประเภท คือ ปทปรู ณะ และอัตถปูรณะ ขลุ เปน็ อัตถปูรณะ
มีความหมายว่า ได้ยนิ มาวา่ เพราะ บทนบิ าตทง้ั หลาย มคี วามหมายมาก เหมือนทพ่ี ระ
ฎีกาจารยก์ ลา่ วไว้วา่
อเนกตฺถตฺตา นิปาตานํ อิธ อนุสฺสวตฺโถ อธิปฺเปโตติ อาห “ขลูติ
อนสุ ฺสวตฺเถ นิปาโต”ต9ิ 0
พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า “ค�ำว่า ขลุ เป็นนิบาตลงในความ
หมายวา่ ไดย้ นิ มาวา่ ” เพื่อประสงศ์จะแสดงว่า [ขลุ นบิ าต] ในทีน่ ้ี ทา่ นประสงค์ว่า
มคี วามหมายว่า ไดย้ นิ มาว่า เพราะบทนิบาตมคี วามหมายมาก
87 ปทรปู . (บาลี) ๑/๒๘๒/๑๖๑.
88 ที.ม.ฏกี า (บาล)ี ๒/๑๓/๒๑.
89 ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๒๕๕/๒๒๑.
90 ท.ี สี.ฏีกา (บาลี) ๑/๒๕๕/๓๕๕.
สทฺธมฺโม จิรํ ตฏิ ฺ ตุ
สงั วรรณนา 35
๔. การอธบิ ายความบทอาขยาต
หมายถึงการอธิบายวิภัตติบทอาขยาต วิธีท�ำตัวรูป บอกธาตุ บอกวิภัตติ
และอธิบายความหมายของบทอาขยาตตามสมควร
อาขยาต คอื ค�ำกริ ยิ า ประกอบดว้ ย ธาตุ และวภิ ตั ติ ดงั ปทรปู สทิ ธไิ วยากรณ์
แสดงรปู วเิ คราะห์ว่า “กรฺ ิยํ อาจิกฺขตีติ อาขยฺ าตํ (อา + ขยฺ า + ต) 91 ค�ำที่กล่าวกริ ิยา ชื่อ
วา่ อาขยาต (ค�ำกริ ิยา)”
๔.๑ การอธบิ ายบทอาขยาต
หมายถึงการอธบิ ายวิธที �ำตัวรูปบทอาขยาต คอื การแปลงธาตุ หรอื
วภิ ัตติอาขยาต บางส่วน หรือหมดทัง้ ตวั เหมอื นแปลง มฺ เป็น จฉฺ ในค�ำวา่ คจฺฉติ = คมุ
ธาตุ + อ ปัจจัย + ติ วภิ ัตติ (ย่อมไป) แปลง ทา ธาตุ เป็น ทชฺช ในค�ำวา่ ทชฺชติ = ทา
ธาตุ + อ ปจั จัย + ติ วิภตั ติ (ย่อมให)้ เชน่
อกฺโกจฉฺ ตี ิ อกโฺ กส.ิ 92
ค�ำว่า อกฺโกจฺฉิ แปลว่า ดา่ (เรา) แลว้
ค�ำว่า อกโฺ กสิ อธิบายให้ร้วู า่ อกฺโกจฺฉิ มาจาก อา บทหน้า + กสุ ธาตุ
+ อี อชั ชัตตนวี ภิ ัตติ แปลง อี เป็น จฉฺ ิ และลบ ส ทสี่ ดุ ธาตุ93 วทุ ธิ [การท�ำใหเ้ จริญขน้ึ ]
อเุ ปน็ โอ ซอ้ น ก เขา้ มาตวั หนงึ่ รสั สะ อา เปน็ อ ส�ำเรจ็ รปู เปน็ อกโฺ กจฉฺ ิ แปลวา่ ดา่ แลว้
อวธตี ิ ปหร.ิ 94
ค�ำวา่ อวธิ แปลวา่ ประหารแลว้
ค�ำว่า ปหริ เป็นค�ำอธิบาย อวธิ แปลว่า ตีแลว้ ฆ่าแลว้ ประหารแล้ว
มาจาก อ อาคม + หน ธาตุ + ออี ชั ชตั ตนวี ภิ ตั ติ แปลง หน ธาตุ เปน็ วธ95 และรสั สะ อี เปน็
91 ปทรูป. (บาล)ี ๑/๔๒๔/๓๑๓.
92 ข.ุ ธ.อ. (บาล)ี ๑/๓/๓๕.
93 ปทรปู . (บาล)ี ๑/๔๘๐/๓๔๗.
94 ข.ุ ธ.อ. (บาลี) ๑/๓/๓๕.
95 ปทรปู . (บาล)ี ๑/๕๐๓/๓๖๑.
สทธฺ มโฺ ม จริ ํ ติฏฺ ตุ
36 สังวรรณนา
อิ 96ส�ำเร็จรปู เป็น อวธิ
อุจฺเฉจฺฉามีติ อุจฺฉนิ ฺทิสสฺ าม.ิ 97
ค�ำว่า อจุ ฺเฉจฺฉามิ ได้แก่ จักตดั
ค�ำว่า อุจฺฉินฺทิสฺสามิ อธิบายให้รู้ว่า อุจฺเฉจฺฉามิ ส�ำเร็จรูปมาจาก
อุ บทหน้า + ฉทิ ิ ธาตุ + สฺสามิ วิภัตติ แปลง สฺส ในค�ำวา่ สฺสามิ เปน็ ฉ98 แปลง ท ทีส่ ุด
ธาตุ เป็น จฺ วุทธิ อิ ใน ฉิทฺ เปน็ เอ ซ้อน จ อักษรที่ อุ บทหน้า
มนตฺ วโฺ หติ มนฺตยถ.99
ค�ำวา่ มนตฺ วฺโห ไดแ้ ก่ จงปรกึ ษา
ค�ำว่า มนตฺ ยถ แสดงอธิบายให้รวู้ ่า วฺโห วิภตั ติในค�ำวา่ มนตฺ วโฺ ห เป็น
ปญั จมวี ภิ ตั ตเิ พราะไขดว้ ย ถ ปญั จมปี รัสสบท
เย น กาหนฺตีติ เย น กรสิ ฺสนฺต.ิ 100
ค�ำวา่ เย น กาหนฺติ ไดแ้ ก่ ชนเหล่าใด จกั ไม่กระท�ำ.
ค�ำว่า กรสิ ฺสนฺติ อธบิ ายใหร้ วู้ ่า กาหนฺติ ส�ำเร็จรูปมาจาก กร ธาตุ +
สสฺ นตฺ ิ วิภตั ติ แปลง กร ธาตุ เป็น กาหฺ และลบ สสฺ ใน สฺสนตฺ 1ิ 01
ทชฺเชติ ทเทยฺยํ ททามิ วา.102
ค�ำวา่ ทชเฺ ช ได้แก่ พงึ ให้ หรอื ย่อมให้
ค�ำว่า ทเทยยฺ ํ อธิบายให้รวู้ ่า ทชฺเช ส�ำเร็จมาจาก ทา ธาตุ + อ ปจั จัย
+ เอยยฺ ํ สตั ตมีวภิ ัตติ แปลง ทา ธาตุ เป็น ทชชฺ , แปลง เอยยฺ ํ เป็น เอ103 ส่วนค�ำวา่
ททามิ อธิบายใหร้ ู้ว่า ทชเฺ ช ส�ำเร็จรูปมาจาก ทา ธาตุ + อ ปัจจัย + มิ วตั ตมานาวภิ ตั ติ
96 ปทรปู . (บาล)ี ๑/๕๐๓/๓๖๑.
97 ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๓๑/๑๑๕.
98 ปทรปู . (บาลี) ๑/๕๐๙/๓๖๗.
99 ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๒๖๙/๒๓๗.
100 ข.ุ ชา.ทุก.อ. (บาล)ี ๓/๙๑/๑๓๐.
101 ปทรปู . (บาลี) ๑/๕๒๔/๓๘๑.
102 ปาจิต.ฺ โย. (บาล)ี ๑/๑๙๙/๓๑๙.
103 ปทรปู . (บาล)ี ๑/๔๕๔/๓๒๘.
สทธฺ มฺโม จิรํ ตฏิ ฺตุ
สงั วรรณนา 37
แปลง ทา ธาตุ เป็น ทชฺช แปลง มิ วิภัตติ เปน็ เอ104
๔.๒ การอธิบายความบทอาขยาต
หมายถึงการอธิบายความบทอาขยาตพร้อมท้ังความหมายควบคู่กัน
หมายความว่า อธิบายขยายว่า บทนี้ เปน็ บทอาขยาตและมคี วามหมายอยา่ งนี้ แปลว่า
อย่างนี้ เพราะบทอาขยาตกลา่ วความหมายมาก เช่น
จิตตฺ นตฺ ิ อารมมฺ ณํ จินฺเตตีติ จติ ฺต;ํ วชิ านาตีติ อตฺโถ.105
ช่ือว่าจติ เพราะอรรถวา่ คดิ อารมณ์ อธบิ ายวา่ รู้อารมณ์โดยพิเศษ
แห่งบทวา่ จิตฺต.ํ
ค�ำว่า วชิ านาติ (ร้พู เิ ศษ) อธบิ ายใหร้ ู้วา่ จนิ ฺเตติ แปลวา่ รู้พิเศษ ก็
การรมู้ ี ๓ คือ รแู้ บบจดจ�ำ เรยี กว่า สัญญารู้ ร้ตู ามเปน็ จรงิ เรยี กว่า ปญั ญารู้ รูแ้ บบรบั
อารมณ์ เรยี กวา่ จติ รู้ ทวี่ า่ รพู้ เิ ศษ หมายถงึ รแู้ บบรบั อารมณ์ เรยี กวา่ จติ รซู้ ง่ึ ตา่ งจากสญั ญา
รู้และปญั ญารนู้ ัน่ เอง จติ ตฺ มาจาก จนิ ตฺ ธาตุ + ต ปัจจัย เปน็ นปุงสกลิงคก์ ตั ตุสาธนะ106
แปลว่า ผ้รู ู้ หมายถงึ จติ ทีร่ อู้ ารมณ์คือรบั อารมณ์ตา่ งๆ ได้
สิยาติ ภเวยฺยาติ อตฺโถ.107
ค�ำวา่ สิยา อธิบายว่า ภเวยฺย (พึงม)ี
ค�ำวา่ ภเวยยฺ าติ อตโฺ ถ อธบิ ายใหร้ ู้ว่า สยิ า เปน็ บทอาขยาตมีความ
หมายว่า พึงมี และบอกว่า สยิ า มาจาก อส ธาตุ อ ปัจจัย + เอยยฺ สตั ตมวี ภิ ตั ติ แปลง
เอยยฺ เปน็ อยิ า และ ลบ อ อกั ษรที่ อส ธาต1ุ 08
104 ปทรูป. (บาลี) ๑/๕๒๔/๓๘๑.
105 อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑/๑/๑๑๐.
106 ตปิ .ิ ๗/๓๔๕.
107 อภ.ิ ปญฺจ.อนฏุ กี า (บาล)ี ๓/๒๕ - ๓๔/๓๑๖.
108 ปทรปู . (บาล)ี ๑/๕๐๐/๓๖๐.
สทธฺ มฺโม จริ ํ ติฏฺ ตุ
38 สังวรรณนา
๕. ยทิทํ นิบาตทีม่ ีความหมายและไมม่ คี วามหมาย
๕.๑. นิบาตที่มีความหมาย
ยทิทํ นบิ าตทม่ี คี วามหมาย เปน็ ได้ ๓ ลิงค์ คอื ปงุ ลงิ ค์ อติ ถลี ิงค์ และ
นปงุ สกลงิ ค์ มีวภิ ตั ติ ๗ หมวด มปี ฐมาวิภตั ติเป็นต้น และ ๒ พจน์ คอื เอกพจนแ์ ละ
พหพู จน์ ตามสมควรแกต่ วั นามท่เี ป็นประธานนน้ั ๆ มีรายละเอยี ดต่อไปนี้
ยททิ นตฺ ิ นิปาโต, โย อยนฺติ อตฺโถ.109
ศพั ทว์ า่ ยททิ ํ เปน็ นบิ าต อธบิ ายวา่ โย อยํ (มทนมิ มฺ ทโน) ธรรมทกี่ �ำจดั
ความเมาใด (อตถฺ ิ มอี ยู่) [ปุงลงิ ค์ เอกพจน์ตามตวั ประธาน คอื มทนิมฺมทโน]
ยททิ นตฺ ิ นิปาโต สพฺพลงิ คฺ วภิ ตตฺ ิวจเนสุ ตาทิโสว ตตถฺ ตตถฺ อตฺถโต
ปรณิ าเมตพฺโพ. อิธ ปนสฺส โย เอโสติ อตฺโถ.110
ศพั ทว์ ่า ยทิทํ เป็นนิบาต เปน็ เชน่ นัน้ คือเปน็ รูป ยททิ ํ นัน้ น่ันเอง ใน
ลิงค์ วิภตั ติ และวจนะท้ังปวง บัณฑติ พงึ ปรบั เปล่ียนไปตามเน้ือความในที่ของบทบาลี
นัน้ ๆ แตใ่ นท่ี (ยททิ ํ ปณิ ฺฑปาโต) นี้ ค�ำว่า ยทิทํ นน้ั มคี วามหมายว่า โย เอโส (ปณิ ฑฺ -
ปาโต) บณิ ฑบาตใด (อตฺถิ มอี ยู่)
ยทิทนฺติ นปิ าโต เย อเิ มติ อยมสฺส อตโฺ ถ.111
ศพั ทว์ า่ ยททิ ํ เปน็ นบิ าต ค�ำว่า ยทิทํ นัน้ มีความหมายนี้ว่า เย อเิ ม
(จตตฺ าโร สตปิ ฏฺานา) สติปฏั ฐาน ๔ เหล่าใด (อตฺถิ มีอยู)่ [ปุงลิงค์ พหูพจน์]
สรรพนามซ้อนกนั ๒ ตัว ตัวหลังไมต่ อ้ งแปล ในตัวอยา่ งนี้ อิม-ศพั ท์
ใน เย อเิ ม ไม่ได้แปล เพราะเป็นเพยี งสรรพนามที่ประดบั ถอ้ ยค�ำให้สละสลวยเท่านัน้
ดังน้ันจึงแปลตัวหน้าตวั เดียว การแปลสรรพนามท่ซี อ้ นกัน ๒ ตัว แปลเฉพาะตวั หนา้
เทา่ นนั้ ในทที่ มี่ สี รรพนามซอ้ นกนั ๒ ตวั ในอรรถกถาและฎกี าทง้ั หมดกเ็ ปน็ เชน่ เดยี วกนั น้ี
109 อง.ฺ จตุกกฺ .ฏกี า (บาล)ี ๒/๓๔/๓๖๑.
110 ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๓๐/๑๐๙.
111 ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑๐๖/๒๖๑.
สทธฺ มโฺ ม จิรํ ตฏิ ฺตุ
สงั วรรณนา 39
ยททิ นตฺ ิ นปิ าโต ตสสฺ านํ สนธฺ าย “ยํ อทิ น”ฺ ติ ปฏจิ จฺ สมปุ ปฺ าทํ สนธฺ าย
“โย อยน”ฺ ติ เอวมตฺโถ ทฏฺพโฺ พ.112
ศพั ทว์ า่ ยททิ ํ เปน็ นบิ าต อาศยั าน-ศพั ท(์ เหต)ุ แหง่ นบิ าตวา่ ยททิ ํ นนั้
บัณฑติ พึงทราบเนอื้ ความอย่างน้ีวา่ “ยํ อิทํ (าน)ํ ” แปลวา่ เหตุใด (อตถฺ ิ มอี ย)ู่ อาศัย
ปฏจิ จสมปุ บาท พงึ ทราบเนอ้ื ความอยา่ งนว้ี า่ “โย อยํ (ปฏจิ จฺ สมปุ ปฺ าโท) แปลวา่ ปฏจิ จ -
สมปุ บาทใด (อตถฺ ิ มีอย)ู่ ” [ปุงลงิ ค์ เอกพจน์]
ยททิ ํ ชาตตี ิ เอตฺถ ยททิ นตฺ ิ นิปาโต. ตสสฺ สพฺพปเทสุ ลิงคฺ านรุ ูปโต
อตโฺ ถ เวทติ พโฺ พ. อิธ ปน “ยา เอสา ชาตี”ติ อยมสฺส อตโฺ ถ.113
ศัพทว์ า่ ยทิทํ ในบาลนี ้วี ่า ยททิ ํ ชาติ (กค็ ือชาตินนั่ เอง) เป็นนบิ าต
บัณฑิตพึงทราบเน้ือความแห่งนิบาตนั้นตามสมควรแก่ลิงค์ในบทท้ังปวง ก็ในบาลีว่า
ยทิทํ ชาติ น้ี อรรถน้วี า่ “ยา เอสา ชาติ แปลว่า ความเกดิ ใด (อตถฺ ิ มีอย่)ู ” เปน็ อรรถ
ของค�ำว่า ยททิ ํ น้นั [อติ ถลี ิงค์ เอกพจน]์
ยทิทนฺติ ยานิ อิมานิ (จตฺตาริ ปุรสิ ยุคาน)ิ .114
ค�ำวา่ ยทิทํ ตดั บทเปน็ ยานิ อมิ านิ แปลวา่ คูบ่ ุรษุ ๔ เหลา่ ใด (อตถฺ ิ
มอี ยู่) [นปงุ สกลงิ ค์ พหพู จน]์
ยททิ นฺติ วฑุ ฒฺ ิการณนิทสสฺ นตฺเถ นิปาโต. เตน “ยํ อิทํ อญฺ มญฺสฺส
หิตวจนํ อาปตฺติโต วุฏฺาปนญฺจ, เตน อญฺมญฺวจเนน อญฺมญฺวุฏฺาปเนน จ
สํวฑฺฒา ปริสา”ติ เอวํ ปรสิ าย วฑุ ฒฺ กิ ารณํ ทสสฺ ิตํ โหติ.115
ศัพท์ว่า ยททิ ํ เป็นนบิ าตลงในอรรถทแี่ สดงเหตแุ หง่ ความเจริญ ดว้ ย
ค�ำศัพท์นัน้ เป็นอันทา่ นได้แสดงเหตุแหง่ ความเจรญิ แห่งบรษิ ทั อยา่ งนี้วา่ “การพูดแนะ
ประโยชน์แก่กัน และการใหก้ ันและกันออกจากอาบัติใด ดว้ ยการพูดแนะประโยชนแ์ ก่
กนั กบั ดว้ ยการใหก้ นั และกนั ออกจากอาบตั นิ น้ั บรษิ ทั จงึ เจรญิ ขน้ึ ” [นปงุ สกลงิ คเ์ อกพจน]์
112 ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๖๔/๖๑.
113 ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๙๘/๙๖.
114 องฺ.จตุกฺก.ฏกี า (บาลี) ๒/๓๔/๓๖๑.
115 ว.ิ มหา.อ. (บาล)ี ๒/๔๒๕ - ๖/๑๑๕.
สทธฺ มโฺ ม จริ ํ ติฏฺ ตุ
40 สังวรรณนา
ยทิทนฺติ ยา อยํ (อกตญญฺ ตุ า).116
ค�ำวา่ ยทิทํ ตดั บทเป็น ยา อยํ แปลวา่ ความเป็นผูอ้ กตัญญใู ด (อตฺถิ
มีอยู่) [อติ ถลี งิ ค์ เอกพจน]์
ยทิทํ (ยา เอสา) ปุญฺสมปฺ ทา.117
บญุ สัมปทาใด (อตฺถิ มีอย)ู่ [อติ ถีลิงค์ เอกพจน]์
ยททิ นตฺ ิ ...ยา เอสา (ปุญฺสมปฺ ทา).118
ค�ำว่า ยทิทํ ตัดบทเป็น ... ยา เอสา แปลว่า บุญสัมปทาใด (อตฺถิ
มอี ยู่) [อิตถลี ิงค์ เอกพจน]์
โฆโสปิ โข เอโส ทุลลฺ โภ โลกสมฺ ึ ยทิทํ พุทฺโธ.119
[เสลพราหมณ์คิดว่า] แม้แตเ่ สียงประกาศว่า พระพุทธเจา้ นี้แลกห็ า
ได้ยากในโลก [ปุงลงิ ค์ เอกพจน]์
ยทิทนตฺ ิ นปิ าโต โย เอโสติ วตุ ฺตํ โหต.ิ 120
ศพั ทว์ า่ ยททิ ํ เปน็ นบิ าต มคี �ำทที่ า่ นกลา่ วอธบิ ายไวว้ า่ โย เอโส (พทุ โฺ ธ)
แปลว่า พระพุทธเจา้ พระองค์ใด (อตฺถิ มีอยู่) [ปุงลงิ ค์ เอกพจน]์
ยททิ นฺติ เย เอเต สพฺเพปิ สตฺตา.121
ค�ำวา่ ยททิ ํ ไดแ้ ก่ สตั วแ์ มท้ ง้ั ปวงเหลา่ ใด (อตถฺ ิ มอี ย)ู่ [ปงุ ลงิ ค์ พหพู จน]์
๕.๒. นบิ าตท่ีไม่มีความหมาย
หมายถึงบทนิบาตที่ไม่มีความหมายพิเศษอะไร คือเป็นนิบาตประดับ
ถอ้ ยค�ำใหส้ ละสลวยเทา่ นน้ั นบิ าตประเภทนมี้ ขี อ้ สงั เกต คอื มคี �ำวา่ มตตฺ อยใู่ นบทขยาย
116 องฺ.ทกุ กฺ .อ. (บาล)ี ๒/๓๓/๓๑.
117 ข.ุ ข.ุ (บาลี) ๒๕/๑๖/๑๓.
118 ขุ.ข.ุ อ. (บาล)ี ๑/๑๖/๒๐๑.
119 ม.ม. (บาลี) ๑๓/๓๙๘/๓๘๔.
120 ข.ุ ส.ุ อ. (บาลี) ๒/๕๕๓/๒๗๔.
121 ข.ุ ชา.อ. (บาล)ี ๘/๑๒๐/๒๔๖.
สทฺธมฺโม จริ ํ ตฏิ ฺ ตุ
สังวรรณนา 41
ของอรรถกถาและฎกี า มีรายละเอยี ดดังต่อไปนี้
ยททิ นฺติ นปิ าตมตตฺ ํ.122
ค�ำวา่ ยททิ ํ เป็นเพยี งนบิ าต
ยทิทํ อิทฺธิวิธาสูติ เอตฺถ ยทิทนฺติ นิปาตมตฺตํ. อิทฺธิวิธาสุ ภควตา
อตุ ตฺ ริตโร นตถฺ ิ.123
ในค�ำน้ีวา่ ในเรอื่ งการแสดงฤทธิ์ (ยททิ ํ อิทธฺ ิวิธาส)ุ ค�ำว่า ยททิ ํ เป็น
เพยี งนิบาต บคุ คลผูย้ ง่ิ กวา่ พระผู้มพี ระภาค ในประเภทอิทธิฤทธ์ิยอ่ มไม่มี
ยทิทํ กุสเลสุ ธมฺเมสูติ เอตฺถ ยทิทนฺติ นิปาตมตฺตํ กุสเลสุ ธมฺเมสุ
ภควตา อตุ ฺตรติ โร นตฺถตี ิ อยเมตถฺ ตฺโถ.124
ในปาฐะนว้ี า่ ในเรอ่ื งกศุ ลธรรมทงั้ หลาย (ยททิ ํ กสุ เลสุ ธมเฺ มส)ุ ค�ำวา่
ยททิ ํ เป็นเพยี งนิบาต ใน กสุ เลสุ ธมฺเมสุ นี้ มีค�ำอธิบายดังน้วี า่ “สมณะหรอื พราหมณผ์ ู้
ยิง่ กว่าพระผู้มีพระภาคในกุศลธรรม ย่อมไม่ม”ี
เสยยฺ ถาปิ ภกิ ขฺ เว ยานิ กานจิ ิ รุกขฺ ชาตานิ, ผนฺทโน เตสํ อคคฺ มกขฺ ายติ
ยทิทํ มุทุตาย เจว กมฺมญฺตาย จ. เอวเมว โข อหํ ภกิ ฺขเว นาญฺ ํ เอกธมฺมปํ ิ สมนุ-
ปสฺสามิ ยํ เอวํ ภาวติ ํ พหุลกี ตํ มุทุ จ โหติ กมมฺ ญฺ ญฺจ ยถยิทํ จติ ฺตํ. จติ ฺตํ ภิกขฺ เว ภาวติ ํ
พหลุ กี ตํ มุทุ จ โหติ กมมฺ ญฺ ญฺจ โหต.ิ 125
บัณฑิตกล่าวว่า ต้นจันทน์เป็นต้นไม้ที่เลิศกว่าต้นไม้ทุกชนิด เพราะ
เปน็ ของออ่ นและใชง้ านได้ดี แมฉ้ นั ใด เราไม่เหน็ ธรรมอื่นแม้อย่างหน่งึ ท่ีได้เจรญิ ท�ำให้
มากแล้ว เป็นของอ่อนและควรแก่การใช้งานเหมือนจิตนี้ จิตท่ีได้เจริญท�ำให้มากแล้ว
ยอ่ มเปน็ ของออ่ นและควรแก่การใช้งาน
ยททิ นตฺ ิ นปิ าตมตฺตํ.126 ค�ำวา่ ยทิทํ เป็นเพยี งนิบาต
122 ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๑๓๕/๑๒๑.
123 ที.ปา.อ. (บาลี) ๓/๑๖๐/๘๔.
124 ที.ปา.อ. (บาล)ี ๓/๑๔๕/๗๒.
125 องฺ.เอกก. (บาล)ี ๒๐/๔๗/๘.
126 อง.ฺ เอกก.อ. (บาลี) ๑/๔๗/๕๒.
สทฺธมฺโม จริ ํ ตฏิ ฺ ตุ
42 สังวรรณนา
๖. ศกึ ษาการอธบิ ายความบาลีในอรรถกถาและฏีกา
บาลี
อปปฺ มตฺตกิ า เอสา ภิกขฺ เว ปรหิ านิ ยทิทํ าติปริหาน.ิ เอตํ ปตกิ ฏิ ฺ ภิกฺขเว
ปรหิ านนี ํ ยททิ ํ ปญฺ าปรหิ านิ.127
ภกิ ษทุ ั้งหลาย ความเสอ่ื มญาติเปน็ เรอ่ื งเล็กนอ้ ย แตค่ วามเส่ือมปญั ญาเลว
รา้ ยกว่าความเสือ่ มทั้งหลาย
อรรถกถา
อปปฺ มตตฺ กิ าติ ปรติ ฺตา ปริตตฺ ปปฺ มาณา. เอตาย หิ ปรหิ านิยา สคคฺ โต วา
มคฺคโต วา ปริหานิ นาม นตถฺ ิ, ทฏิ ฺธมมฺ กิ ปริหานิมตตฺ เมเวตนตฺ ิ อาห. เอตํ ปตกิ ฏิ ฺ นตฺ ิ
เอตํ ปจฺฉมิ ํ เอตํ ลามกํ. ยททิ ํ ปญฺ าปรหิ านตี ิ ยา เอสา มม สาสเน กมมฺ สสฺ กตปญฺ าย
ฌานปญฺาย วิปสฺสนาปญฺาย มคคฺ ปญฺ าย ผลปญฺ าย จ ปรหิ านิ, เอสา ปจฺฉิมา
เอสา ลามกา เอสา ฉฑฑฺ นยี าติ อตฺโถ.128
ค�ำวา่ เปน็ เร่ืองเล็กน้อย (อปฺปมตตฺ กิ า) ไดแ้ ก่ เล็กน้อย คอื มปี ระมาณนดิ
หนอ่ ย พระผมู้ พี ระภาคตรสั วา่ “จรงิ อยู่ ชอื่ วา่ ความเสอื่ มจากสวรรคห์ รอื จากมรรคยอ่ ม
ไมม่ ี ดว้ ยความเสอ่ื มญาตนิ ้ี ความเสอื่ มญาตนิ เ้ี ป็นเพียงความเสอ่ื มในปัจจบุ นั เท่านน้ั ”
ค�ำวา่ น้ีเลวรา้ ย (เอตํ ปติกฏิ ฺ) ไดแ้ ก่ ความเสื่อมปญั ญานี้เป็นเรอ่ื งท่ีตำ่� สุด คอื ความ
เส่อื มปัญญานเี้ ป็นเร่ืองต�่ำทราม ค�ำว่า ความเสอ่ื มปญั ญานใี้ ด (ยทิทํ ปญฺาปรหิ าน)ิ
ความวา่ ความเส่อื มกมั มสั สกตปัญญา ฌานปญั ญาในศาสนาของเรา วิปสั สนาปัญญา
มัคคปญั ญา และผลปัญญานใี้ ด ความเสอื่ มปัญญานเี้ ปน็ เร่ืองทตี่ ่�ำสดุ คอื ความเสอื่ ม
ปญั ญาน้ีเป็นเรอ่ื งต่ำ� ทราม อธิบายว่า ความเส่ือมปัญญาน้เี ปน็ เรื่องตอ้ งละท้ิง
วิเคราะหส์ ังวรรณนาในอรรถกถา
ค�ำว่า ปริตตฺ า อธิบายใหร้ ู้วา่ อปฺป ใน อปปฺ มตตฺ ิกา ในที่น้ี แปลวา่ น้อย
เพราะ อปปฺ -ศพั ท์ แปลว่า น้อย, เบา, ไม,่ ไม่มี ค�ำว่า ปมาณในค�ำว่า ปรติ ตฺ ปมาณา
อธบิ ายใหร้ วู้ า่ ค�ำวา่ มตตฺ กิ ในค�ำวา่ อปปฺ มตตฺ กิ า แปลวา่ ประมาณ ค�ำวา่ ปรติ ตฺ ปมาณา
127 องฺ.เอกก. (บาลี) ๒๐/๗๖/๑๓.
128 องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๗๖/๗๔.
สทฺธมโฺ ม จริ ํ ตฏิ ฺตุ
สังวรรณนา 43
อธบิ ายไขค�ำว่า อปปฺ มตฺตกิ า ให้แปลว่า มปี ระมาณนอ้ ย เพราะ อปฺปมตฺติก แปลวา่ (๑)
มีประมาณนอ้ ย (๒) มดี ินเหนียวน้อย
อปปฺ มตตฺ กิ (ต)ิ
[(๑) อปฺปมตฺต + อกิ . (๒) อปฺป + มตตฺ กิ า]
(๑) มีประมาณน้อย, นอ้ ย, น้อยนิด (๒) มีดินเหนยี วนอ้ ย, มกี อ้ นดินนอ้ ย129
อปฺปมตฺตก (ติ)
[(๑) อปฺป + มตฺตา + ก. (ถ)ี อปปฺ มตตฺ กิ า]
(๑) มปี ระมาณนอ้ ย, น้อย, น้อยนดิ (๒) มีดนิ เหนียวนอ้ ย, มีก้อนดนิ นอ้ ย130
อปปฺ มตตฺ ๑ (ติ)
[อปปฺ + มตฺตา]
(๑) มปี ระมาณน้อย, น้อย, น้อยนิด (๒) อันไมม่ ปี ระมาณ131
อปฺปมตฺต๒ (ต)ิ
[น +ปมตฺต]
ผไู้ มห่ ลงลมื , ผูไ้ ม่ประมาทแลว้ , ผถู้ ึงพรอ้ มด้วยความไมป่ ระมาท, ผมู้ ีสติ132
ค�ำว่า ปจฺฉิมํ อธิบายไข ปตกิ ฏิ ฺํ วา่ แปลว่า ต่�ำทราม เพราะ ปตกิ ิฏฺ -ศัพท์
มีอรรถว่า เลวทราม, เลวร้าย, ตำ่� ทราม, ถกู ตเิ ตียน133 ค�ำว่า ลามกํ อธิบายไขความ
ปจฺฉิมํ ว่า แปลวา่ เลวทราม
ปจฺฉิม (ติ)
[ปจฉฺ า + อมิ . ปจฉฺ า ชาโต ปจฺฉโิ ม (กจ.ฺ ๓๕๓, นตี ิ.สุตตฺ .๗๖๗)]
(๑) เกดิ ในภายหลัง-ท้ายสดุ , เลก็ -นอ้ ยสุด, อนั น้อยสดุ , อันเลวทราม, เลว
ร้าย (๒) เกดิ ในทิศตะวนั ตก134
129 ติป.ิ ๒/๗๔๒๕.
130 ตปิ ิ. ๒/๗๔๒ – ๔๓.
131 ติปิ. ๒/๗๔๒.
132 ตปิ ิ. ๒/๗๔๒.
133 ติปิ. ๑๓/๖๓๙ – ๔๐.
134 ตปิ .ิ ๑๓/๓๖๓ - ๔.
สทฺธมฺโม จริ ํ ตฏิ ฺตุ
44 สังวรรณนา
ค�ำว่า ยา เอสา อธบิ ายความให้รวู้ ่า ยททิ ํ ใน ยททิ ํ ปญฺ าปรหิ านิ เปน็
นิบาตท่ีมคี วามหมาย เปน็ อิตถลี ิงค์ ปฐมาวภิ ัตติ เอกพจน์ เพราะนบิ าตเป็นได้ ๓ ลงิ ค์
วภิ ตั ติ ๗ หมวด ๒ พจน์
ค�ำวา่ มม สาสเน (ในศาสนาของเรา) อธบิ ายความใส่เพ่มิ เตมิ เขา้ มาเพอ่ื ให้
ความหมายชัดเจนยิ่งขึ้นและเป็นวิเสสนะเฉพาะของ กัมมัสสกตปัญญา ฌานปัญญา
เพราะเปน็ เหตุน�ำสัตว์ออกจากการเวียนว่ายตายเกดิ
ค�ำว่า กมฺมสฺสกตปญฺาย ... ผลปญฺาย อธิบายให้รู้ว่า ปัญญาในค�ำว่า
ยททิ ํ ปญฺาปรหิ านิ ไดแ้ ก่ ปญั ญา ๕ ประการ คอื กัมมัสสกตปญั ญา (ปัญญาท่รี ู้ว่าสัตว์
มกี รรมเป็นของของตน ท�ำดีได้ดีท�ำชว่ั ไดช้ ว่ั ) ฌานปัญญา (ปญั ญาทปี่ ระกอบดว้ ยฌาน)
วปิ สั สนาปญั ญา (ปญั ญาประกอบดว้ ยวปิ สั สนา) มรรคปัญญา (ปัญญาทีป่ ระกอบด้วย
มรรค) ผลปัญญา (ปญั ญาท่ปี ระกอบดว้ ยผล)
ค�ำว่า กมมฺ สสฺ กตปญฺ าย .... ผลปญฺาย จ ปรหิ านิ อธิบายใหร้ ้วู า่ ปญฺา
ปรหิ านิ เปน็ ฉฏั ฐตี ปั ปรุ สิ สมาส วเิ คราะหว์ า่ ปญฺ าย ปรหิ านิ ปญฺ าปรหิ านิ แปล: ความ
เสอ่ื มแหง่ ปญั ญา ชอ่ื วา่ ความเสอื่ มปญั ญา จ-ศพั ทท์ า่ นใสเ่ ขา้ มาเพอ่ื อธบิ ายใหค้ วามหมาย
ชดั เจนขนึ้ ค�ำว่า ฉฑฺฑนียา อธบิ ายไข ลามกา ท่ีเลวทราม หมายถงึ ตอ้ งละท้ิงไปเสีย
ฎกี า
เอตายาติ ยถาวุตตฺ าย ปริหานยิ า. ปตกิ ิฏฺ นฺติ นิหีน.ํ มม สาสเนติ อิทํ
กมฺมสฺสกตชฺฌานปญฺานมปฺ ิ วิเสสนเมว. ตทภุ ยมปฺ ิ หิ พาหิรกานํ ตปฺปญฺ าทวฺ ยโต
สาตสิ ยเมว สพพฺ ญญฺ ุพทุ ธฺ านํ เทสนาย ลทฺธวิเสสโต วิวฏฏฺ ูปนสิ สฺ ยโต จ.135
ค�ำว่า ด้วยความเสื่อมน้ัน (เอตาย) ไดแ้ ก่ ด้วยความเส่ือมตามท่ีกลา่ วมา
แล้ว ค�ำว่า เลวรา้ ย (ปติกิฏฺํ) ได้แก่ เลวทราม ค�ำว่า ในศาสนาของเรา (มม สาสเน)
น้ีเป็นวิเสสนะแม้ของกัมมัสสกตปัญญาและฌานปัญญาเท่านั้น จริงอยู่ ปัญญาแม้ทั้ง
๒ น้ัน เป็นปัญญาท่ีดียิง่ กวา่ ปญั ญาทง้ั ๒ นน้ั ของนกั บวชภายนอกศาสนานั่นเอง เราได้
เทศนาพเิ ศษของพระสพั พญั ญพู ทุ ธเจา้ ทง้ั หลายและเพราะเปน็ เหตทุ มี่ กี �ำลงั ตอ่ นพิ พาน
วเิ คราะห์สังวรรณนาในฎกี า
ค�ำว่า ยถาวุตฺตาย ปริหานิยา อธิบาย เอตสรรพนามว่า โยค ปริหานิยา
135 อง.ฺ เอกก.ฏีกา (บาลี) ๑/๗๖/๑๔๙.
สทฺธมโฺ ม จิรํ ติฏฺ ตุ
สังวรรณนา 45
ด้วยความเสื่อมตามที่กล่าวมาแลว้ หมายถงึ ความเสื่อมญาติ ค�ำวา่ นหิ นี ํ อธบิ ายให้รวู้ ่า
ปตกิ ฏิ ฺ ํ แปลวา่ ต�่ำทราม, เลวร้าย
ค�ำว่า กมฺมสสฺ กตชฌฺ านปญฺ านมปฺ ิ วิเสสนเมว อธบิ ายใหร้ วู้ ่า มม สาสเน
เปน็ บทขยายเฉพาะปัญญา ๒ ประการ คือ กมั มสั สกตปัญญาและฌานปญั ญา เพราะ
ปญั ญา ๒ ประการมีทัง้ ในพระพทุ ธศาสนาและนอกพระพทุ ธศาสนา แตใ่ นท่นี ี้หมายถึง
ปัญญา ๒ ประการ ในพระพทุ ธศาสนาเทา่ นน้ั เน่อื งจากน�ำเหลา่ สตั วใ์ หพ้ น้ ทุกข์ได้ จรงิ
อยู่ บุคคลเม่อื เช่ือกรรมฝึกสมาธิจนไดฌ้ านออกจากฌานเจริญวิปัสสนาต่อ ท�ำให้หลดุ
พน้ จากทกุ ขไ์ ดต้ ามสมควรแกส่ ตปิ ัญญาของแตล่ ะคน
๗. สรุปทา้ ยบท
สังวรรณนา คือ การอธิบายความบทบาลี ในอรรถกถาและฎีกาเป็นต้น
มีการอธิบายความของบท ๔ บท คือ อธิบายความของบทนาม อธิบายความของบท
อุปสัค อธิบายความของบทนิบาตและอธิบายความของบทอาขยาต การศึกษาการ
อธิบายความบทพระบาลี อรรถกถา และฎกี าน้นั ตอ้ งดูบทตัง้ กอ่ น แลว้ ไปดูบทขยาย
วา่ ท่านอธบิ ายไขอะไร อธิบายอย่างไร อธิบายบทไหน ไขบทไหน ตลอดถึงความหมาย
ตามความเหมาะสม ดบู ทส่วนเกิน คอื บทท่ไี มม่ ีในบทต้งั แตท่ ่านเพิม่ เตมิ เขา้ มาอธบิ าย
ความให้ชัดเจน ค่อยสังเกตไปก็จะเข้าใจได้เอง สังวรรณนาเป็นเครื่องมือในการศึกษา
พระบาลี อรรถกถาและฎีกา ถ้าหากเข้าใจสังวรรณนาดีก็จะสามารถเข้าใจพระพุทธ
พจนไ์ ดถ้ กู ตอ้ งตามพทุ ธประสงค์ ดงั นน้ั ผสู้ นใจศกึ ษาพระธรรมค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้
ใหเ้ ข้าใจถ่องแท้จึงจ�ำเป็นตอ้ งเรียนรู้สงั วรรณนาใหเ้ ข้าใจเปน็ อย่างดี
วธิ ดี กู ารอธบิ ายความบทของอรรถกถาและฎกี าให้ออกกค็ อื (๑) ตอ้ ง
ดบู ทตง้ั กอ่ น วา่ เป็นบทอะไร คอื บทนาม อปุ สัค นิบาต หรือบทอาขยาต หรือตวั ไหน
บทไหน (๒) ดูบทขยายว่า ทา่ นอธิบายขยายบทน้ันๆ อย่างไร (๓) ดูบทสว่ นเกิน คือ
บทที่ไม่มีในบทตั้ง แต่เวลาอธิบายท่านเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อให้ความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น
จุดส�ำคัญที่ต้องดู คือ บทตั้งกับบทขยายท่ีเป็นตัวหลักหรือส�ำคัญ ค่อยสังเกตและคิด
พิจารณา ไตร่ตรองไป คิดซ�ำ้ๆ กจ็ ะเขา้ ใจได้เอง
สทธฺ มฺโม จริ ํ ตฏิ ฺตุ
46 สงั วรรณนา
ตอนท่ี ๒ วธิ อี ธิบายความบท
วิธีอธบิ ายความบท ๓ วิธี
ในอรรถกถาและฎกี า มีวธิ ีอธบิ ายความบทบาลี ๓ วิธี คือ (๑) วธิ อี ธบิ าย
ความบททมี่ ี อติ ิ ศัพท์ท่ีบทตงั้ เรียกวา่ อลุ ลิงคสงั วรรณนา (๒) วธิ อี ธิบายความบทแบบ
ตอ่ เนอ่ื งกนั ไป เรยี กวา่ วตุ ตสิ งั วรรณนา (๓) วธิ อี ธบิ ายความบทแบบแสดงความสมั พนั ธ์
กนั ของบทต่างๆ เรยี กว่า สัมพนั ธสงั วรรณนา มรี ายละเอียดดังตอ่ ไปนี้
๑. อลุ ลงิ คสังวรรณนา
หมายถึงวิธีอธิบายความบทบาลีโดยประกอบ อิติ ศัพท์ที่บทตั้ง เพื่อให้
บทต้ังปรากฏชัดเจน ท�ำให้ผู้ศึกษาเข้าใจได้ง่าย แสดงอธิบายบท อธิบายความหมาย
บท วิเคราะห์บท อธิบายตัดบทสนธิ บอกธาตุ ปจั จัย วภิ ตั ตแิ ละสรุปความหมาย เชน่
นนตฺ ิ ต.ํ 136
ค�ำว่า นํ ได้แก่ ซึ่ง (รถ) คนั นน้ั
ค�ำว่า ตํ อธิบายให้รู้ว่า น อักษรของค�ำว่า นํ ในที่นี้แปลงมาจาก ต
สรรพนาม137 เพราะตามหลักไวยากรณ์ ท่านอธิบายวา่ น อกั ษรในค�ำว่า นํ, เน เนน,
เนหิ เปน็ ตน้ เปน็ รูปทีแ่ ปลงมาจาก ต สรรพนาม138 ค�ำว่า นํ เป็นบทตั้งถกู อธิบายโดย
ประกอบดว้ ย อติ ิ ศพั ทเ์ ชน่ นี้ เรียกวา่ อลุ ลิงคสงั วรรณนา
ปรยิ าเยนาติ การเณน.139
ค�ำวา่ ปริยาเยน ไดแ้ ก่ ด้วยเหตุ
ค�ำวา่ การเณน อธิบายใหร้ ู้ว่า ปรยิ าเยน ในทน่ี ี้มคี วามหมายวา่ เหตุ เพราะ
ปริยาย ศัพท์ มีความหมาย ๖ อย่าง คอื เหต,ุ เทศนา, วาระ, ค�ำไวพจน์, ประเภท และ
136 ขุ.ชา.ม.อ. (บาลี) ๙/๕๐/๓๑.
137 ปทรูป. (บาล)ี ๑/๒๑๒/๑๒๖.
138 ปทรูป. (บาล)ี ๑/๒๑๒/๑๒๖.
139 ท.ี ม.อ. (บาลี) ๒/๙๘/๙๕.
สทธฺ มฺโม จิรํ ตฏิ ฺตุ
สงั วรรณนา 47
โอกาส ทา่ นไขเปล่ยี นปริยาย เปน็ การณ แสดงว่าทา่ นไข หรอื อธบิ ายความหมายของ
ค�ำนามน้ัน คอื ค�ำว่า ปรยิ าย แปลวา่ เหตุ
ปรยิ ายนฺติ การณ.ํ 140
ค�ำว่า บรรยาย (ปรยิ ายํ) ได้แก่ เหต1ุ 41
ค�ำวา่ การณํ อธบิ ายให้รวู้ า่ ปรยิ าย แปลว่า เหตุ เพราะ ปรยิ าย ศพั ท์มี
อรรถมาก
เปลี่ยนบทไหน ไขบทนัน้
ในการอธบิ ายความบทบาลนี น้ั พระโบราณาจารย์ได้แนะน�ำวิธสี งั เกตการ
อธิบายไขความไว้ว่า เปลย่ี นตวั ไหน ไขตวั น้ัน หมายความวา่ ถ้าท่านเปลี่ยนค�ำนาม ก็
แสดงว่า ท่านไขความหมายของค�ำนามนั้น ถา้ เปลย่ี นวภิ ัตติกไ็ ขความหมายของวภิ ัตติ
น้ัน ถ้าเปลยี่ นธาตหุ รอื ปัจจัย กไ็ ขความหมายของธาตุ หรือปจั จัยน้ันเป็นตน้
นนฺติ ตํ อุปชฌฺ ายํ.142
ค�ำวา่ นํ ได้แก่ ซึ่งอปุ ชั ฌาย์น้นั
ค�ำวา่ ตํ อธบิ ายใหร้ วู้ า่ น อกั ษรของค�ำวา่ นํ ในทน่ี ี้ แปลงมาจาก ต สรรพนาม
สว่ นค�ำวา่ อุปชฌฺ ายํ อธบิ ายใหร้ ูว้ ่า นํ หมายถึงอุปัชฌาย์ เพราะ นํ เปน็ สรรพนามท่ี
ใช้แทนนามทัว่ ไป การอธิบายบทตั้งโดยประกอบดว้ ย อิติ ศพั ท์เช่นน้ี เรยี กวา่ อุลลิงค
สงั วรรณนา
อตีติ อปุ สคฺคมตฺต.ํ 143
ค�ำวา่ อติ เป็นเพยี งบทอุปสัค
ค�ำว่า อุปสคฺคมตฺตํ อธิบายให้รู้ว่า อติ เป็นบทอุปสัค เพื่อห้ามบทนิบาต
เพราะ อติ เปน็ บทนิบาตก็ม1ี 44 เช่น อตีติ อจฺจนตฺ ตฺเถ นปิ าโต ค�ำว่า อติ เป็นบทนบิ าต
140 ม.ม.อ. (บาล)ี ๒/๘๙/๘๖.
141 ม.ม.อ. (ไทย) ๒/๘๙/๗๖.
142 ปาจิตฺ. โย. (บาล)ี ๑/๖๔/ ๒๒๒.
143 ข.ุ เถร.อ. (บาลี) ๑/๔๔๗/๑๓๑.
144 อง.ฺ ทกุ .ฏีกา (บาล)ี ๒/๓๗/๔๕.
สทฺธมโฺ ม จริ ํ ตฏิ ฺตุ
48 สังวรรณนา
ลงในอรรถ ตลอด, สนิ้
ปฏิปนโฺ น โหตตี ิ เอตฺถ ปฏตี ิ อปุ สคฺคปท.ํ 145
ค�ำว่า ปฏิ ในค�ำว่า ปฏิปนโฺ น โหติ นี้ เปน็ บทอปุ สัค
ค�ำว่า อุปสคฺคปทํ อธิบายให้รู้ว่า ปฏิ ในค�ำว่า ปฏิปนฺโน โหติ เป็นบท
อุปสัค ที่จริง ค�ำว่า ปฏิ น้แี ปลงมาจากอปุ สคั คอื ปติ เหมอื นค�ำว่า ปฏคคฺ ิ มาจาก ปติ
+ อคฺคิ (ไฟตอบโต)้ ปฏิหญฺ ติ มาจาก ปติหญฺติ (เบียดเบยี น) 146
เอวนฺติ นปิ าตปทํ.147
ค�ำวา่ เอวํ เปน็ บทนิบาต
ค�ำว่า นปิ าตปทํ อธิบายให้รวู้ ่า ค�ำวา่ เอวํ เป็นบทนบิ าต การอธบิ ายบท
โดยประกอบด้วยอติ ิ ศพั ท์ ชื่อว่า อุลลงิ คสงั วรรณนา
อติ ตี ิ นิปาตปท.ํ 148
ค�ำว่า อติ ิ เป็นบทนิบาต
ค�ำว่า นิปาตปทํ อธิบายใหร้ ู้ว่า อิติ เป็นบทนบิ าต เพราะ อิติ เปน็ ไดท้ ้งั บท
นาม เช่น อติ ิ รูปนฺติ อทิ ํ รูปํ.149 ค�ำวา่ อติ ิ รปู ํ ได้แก่ รปู น้ี และบทอาขยาต เชน่ อิติ
ย่อมเปน็ ไป, ยอ่ มเกดิ
อิติ ศพั ท์ทเ่ี ป็นบทนบิ าต
อิติ [พยฺ ] (๑) เหต,ุ (๒) อาการ, ประเภท, สิ่งท่ีเหมอื นกัน (๓) ปฐมา, คร้ัง
แรก, เบ้อื งตน้ (๔) (ก) การแสดงสง่ิ ทก่ี ลา่ วมาแลว้ -ทีจ่ ะกลา่ วต่อไป (ข) อปุ มา, การ
เปรียบเทียบ (๕) นคิ ม, จบ, การสรปุ (๖) การก�ำหนด, การหา้ ม (๗) การเปลย่ี นเปน็
145 ที.สี.อ. (บาล)ี ๑/๓/๒๖.
146 ปทรปู . (บาลี) ๑/๔๓/๔๓.
147 ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๓/๒๖.
148 ข.ุ อติ .ิ อ. (บาลี) ๑/๓.
149 ที.ม.อ. (บาล)ี ๒/๖๓/๕๘.
สทฺธมฺโม จริ ํ ติฏฺ ตุ
สงั วรรณนา 49
บทอืน่ (๘) การประดับบทใหส้ ละสลวย (๙) ค�ำซ้�ำ150
อติ ิ ศัพทท์ เ่ี ปน็ บทกริ ิยาอาขยาต
อติ ิ (กฺริ) [อิ + อ + ติ]
ยอ่ มเป็นไป, ยอ่ มเกิด, ย่อมเขา้ ถงึ 151
อตถฺ ตี ิ ปถุ ุตถฺ วิสยํ นิปาตปทํ.152
ค�ำว่า อตฺถิ เปน็ บทนบิ าต มอี รรถพหุพจน์
ค�ำวา่ ปุถุตฺถวสิ ยํ นปิ าตปทํ อธิบายให้รวู้ ่า อตฺถิ เปน็ บทนบิ าต เพราะ อตถฺ ิ
เปน็ ทัง้ บทนิบาต153 เป็นทัง้ กริ ยิ าบทอาขยาต154 ค�ำวา่ ปุถุตฺถวสิ ยํ อธบิ ายให้รวู้ า่ อตฺถิ
เปน็ นบิ าตลงในอรรถพหุพจน์ เพราะ อตถฺ ิ นบิ าตเป็นได้ทั้งเอกพจนแ์ ละพหพุ จน์
นบิ าต
หมายถึงค�ำท่ีใช้น�ำหน้า, ไว้กลาง หรือต่อท้ายค�ำอ่ืน เพื่อให้สละสลวย
หรือมีความชัดเจนข้ึน ดังปทรูปสิทธิไวยากรณ์กล่าวว่า ปทานมาทิมชฺฌาวสาเนสุ
นปิ ตนฺตีติ นิปาตา (นิ บทหน้า + ปต ธาตุ + ณ ปจั จยั ) ค�ำที่ลงเบอื้ งตน้ , ทา่ มกลาง
และทา้ ยสดุ ของบท ช่ือวา่ นบิ าต155 เชน่
นิบาตทอี่ ยตู่ น้ บท เชน่ มา ศพั ท์
มา โว ขณํ วริ าเธถ.156
พวกเธอ อย่าใหโ้ อกาสดีล่วงเลยไป
150 ติปิ.๔ ก.๕๔๓.
151 ติปิ.๔ ก.๕๔๕.
152 ท.ี ม.ฏีกา (บาลี) ๒/๒๙๐/๒๖๙.
153 ปทรปู . (บาล)ี ๑/๒๘๒/๑๖๒.
154 ปทรปู . (บาลี) ๑/๔๙๕/๓๕๘.
155 ปทรูป. (บาลี) ๑/๒๘๒/๑๖๐.
156 ขุ.อป. (บาล)ี ๓๒/๕๗๘/๖๗.
สทฺธมฺโม จิรํ ตฏิ ฺ ตุ
50 สังวรรณนา
นบิ าตที่อยกู่ ลางบท เชน่ โข ศพั ท์
โหติ โข โส ภกิ ขฺ เว.157
ภกิ ษทุ ั้งหลาย สมยั นน้ั มีอยแู่ ล
นิบาตท่อี ยูท่ ้ายบท เช่น จ ศัพท์
อายสมฺ า จ สาริปตุ โฺ ต อายสฺมา จ อานนฺโท.158
ทา่ นพระสารีบุตรและทา่ นพระอานนท์
นบิ าตที่อยทู่ า้ ยบท เช่น วา ศัพท์
สมโณ วา พรฺ าหมฺ โณ วา.159
สมณะหรอื พราหมณ์
สโุ ภติ สุนทฺ โร.160
ค�ำว่า สุโภ ได้แก่ (แกว้ ไพฑรู ย์) อันสวยงาม
ค�ำวา่ สนุ ทฺ โร อธบิ ายใหร้ วู้ า่ สโุ ภ มคี วามหมายวา่ สวยงาม เพราะ สภุ -ศพั ท์
มีอรรถวา่ งดงาม, มสี ริ ิ, สวยงาม, ดี
อภตี ิ ลกฺขณตฺเถ อุปสคโฺ ค.161
ค�ำว่า อภิ เปน็ อปุ สคั ลงในอรรถเครือ่ งหมายจดจ�ำ
ค�ำวา่ ลกฺขณตเฺ ถ อปุ สคฺโค อธบิ ายให้รู้ว่า อภิ เปน็ อปุ สัคมีอรรถลกั ษณะ
เครื่องหมายจดจ�ำ เพราะ อภิ อปุ สัค มีอรรถมาก162
157 ที.ส.ี (บาลี) ๙/๓๙/๑๘.
158 ม.อ.ุ (บาล)ี ๑๔/๓๘๗/๓๓๗.
159 ท.ี สี. (บาลี) ๙/๓๔/๑๖.
160 ที.ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๒๓๕/๑๙๙.
161 ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๔๗/๑๒๘.
162 ปทรปู . (บาล)ี ๑/๒๘๒/๑๕๗-๑๕๘.
สทฺธมโฺ ม จริ ํ ติฏฺ ตุ