The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การอธิบายความบทบาลี 4 บท คือ บทนาม, บทอุปสรรค, บทนิบาต และ บทอาขยาต ของพระอรรถกถาจารย์และพระฎีกาจารย์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by mitwon2, 2021-01-11 08:44:16

สังวรรณนา

การอธิบายความบทบาลี 4 บท คือ บทนาม, บทอุปสรรค, บทนิบาต และ บทอาขยาต ของพระอรรถกถาจารย์และพระฎีกาจารย์

Keywords: สังวรรณนา, บทนาม,บทอุสรรค, บทนิบาต, บทอาขยาต

สงั วรรณนา 51

เสยยฺ ถาติ โอปมฺมตเฺ ถ นิปาโต.163
ค�ำว่า เสยยฺ ถา เปน็ นิบาตลงในอรรถอุปมา
ค�ำวา่ โอปมมฺ ตเฺ ถ นปิ าโต อธบิ ายใหร้ วู้ า่ เสยยฺ ถา เปน็ นบิ าตมอี รรถวา่ อปุ มา
เพราะนิบาตมีอรรถมาก

ปสสํ นตฺ ีติ วณฺณยนตฺ .ิ 164
ค�ำวา่ ปสสํ นฺติ แปลว่า ย่อมสรรเสริญ
ค�ำว่า วณฺณยนตฺ ิ อธบิ ายใหร้ ูว้ า่ ปสํสนตฺ ิ แปลว่า สรรเสรญิ เพราะ สํส ธาตุ
ใน ปสสํ นตฺ ิ มีอรรถมาก

อภิวนฺทยิ าติ วิเสสโต วนฺทติ วฺ า.165
ค�ำวา่ อภิวนทฺ ยิ ได้แก่ ไหวโ้ ดยพเิ ศษแล้ว(ไหวโ้ ดยเคารพ)
ค�ำวา่ วิเสสโต อธิบายใหร้ ู้วา่ อภิ อุปสคั มีความหมายวา่ พเิ ศษ, เคารพ
เพราะ อภิ อุปสัคมอี รรถมาก ค�ำว่า วนทฺ ิตวฺ า อธิบายใหร้ ู้วา่ ย ในค�ำวา่ วนทฺ ยิ แปลง
มาจาก ตวฺ า ปจั จยั 166

สโตติ วชิ ฺชมานสฺส.167
ค�ำวา่ สโต ไดแ้ ก่ มีอยู่
ค�ำว่า วชิ ฺชมานสฺส [วิชชฺ มาน (ติ) วทิ + ย + มาน. (วิทยฺ มาน-สํ, วิชฺชมาณ-
ปรฺ า, อทฺธมาคธ)ี แปลว่า มีอยู,่ มีปรากฏอย1ู่ 68] อธิบายให้รู้ว่า สโต ส�ำเร็จรูปมาจาก สนฺต
ศัพท์ + ส วภิ ตั ติ แปลง นฺต ในสนฺต กับ ส เป็น โต169 ส�ำเร็จรูป เปน็ สโต สนฺตศัพทใ์ น
ท่ีนี้ มีความหมายว่า มีอยู่ [สนตฺ = อส ม,ี เป็น + อ + อนตฺ ]

163 ส.ํ ข.อ. (บาล)ี ๒/๑๐๑/๓๕๗.
164 ข.ุ ข.ุ อ. (บาล)ี ๑/๑๖/๒๐๖.
165 วิภาวนิ ี. (บาล)ี ๑/๑/๖๕.
166 ปทรปู . (บาล)ี ๑/๖๔๑/๔๖๕.
167 ท.ี สี.อ. (บาล)ี ๑/๘๔/๑๑๐.
168 ตปิ ิ. ๑๙/๓๒๘.
169 ปทรปู . (บาลี) ๑/๑๐๒/๗๐.

สทธฺ มโฺ ม จริ ํ ติฏฺ ตุ

52 สังวรรณนา

อุปปตตฺ ิโต อิกขฺ ตตี ิ อเุ ปกขฺ า.170
ท่ีช่อื วา่ อเุ บกขา (ความวางเฉย) เพราะอรรถว่า คอยดูอยูโ่ ดยเหมาะสม
ค�ำวา่ อปุ ปตตฺ โิ ต อธิบายให้รู้วา่ อปุ อปุ สคั ในค�ำว่า อเุ ปกขฺ า มีความหมาย
ว่า เหมาะสม เพราะ อุป มีความหมายมาก171 ค�ำว่า อกิ ขฺ ติ อธบิ ายให้รู้ว่า อ ปจั จยั ใน
อุเปกขฺ า ลงในอรรถกตั ตุสาธนะ อุเปกขฺ า มาจาก อปุ บทหนา้ อิกขฺ ธาตุ อ ปจั จัย และ
อา-อติ ถีลิงคโ์ ชตกปัจจัย (อุป + อิกฺข + อ + อา)

170 ขุ.ม.อ. (บาล)ี ๑/๑๐/๑๓๔.
171 ปทรปู . (บาลี) ๑/๒๘๒/๑๕๙.

สทฺธมฺโม จริ ํ ติฏฺตุ

สังวรรณนา 53

๒. วุตตสิ ังวรรณนา

หมายถงึ วธิ อี ธบิ ายความบทตง้ั โดยไมป่ ระกอบ อติ ิ ศพั ทท์ บ่ี ทตงั้ คอื อธบิ าย
โดยยกบทตงั้ ขน้ึ ตงั้ ไว้ แลว้ อธบิ ายไปเลย คอื อธบิ ายความตอ่ เนอื่ งกนั ไป โดยไมป่ ระกอบ
อิติ ศพั ท์ท่บี ทตง้ั บางครัง้ ก็วาง นาม ศพั ท์ ไว้ทีบ่ ทตง้ั บา้ ง บางครง้ั ก็ใช้เหตุบทอธบิ าย
บทตัง้ ตามความเหมาะสม เพอ่ื ความสะดวกในการอธบิ ายความบทบาลี บทต้งั กบั บท
ขยายนน้ั มีวิภตั ติและพจน์เหมอื นกนั โดยสว่ นมาก มรี ายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี้

น โจเรหิ อาหรโณ อโจราหรโณ.172
(ขุมทรัพย์) ทีพ่ วกโจรลกั เอาไปไม่ได้ ชอ่ื ว่า อโจราหรณะ (ขุมทรัพยท์ โ่ี จร
ลักไปไมไ่ ด)้
บทต้งั คอื อโจราหรโณ สว่ นบทขยาย คือ น โจเรหิ อาหรโณ ทา่ นอธิบาย
บทต้ังโดยไม่ประกอบ อิติ ศัพท์ อธิบายโดยแสดงรูปวิเคราะห์และแสดงบทต้ังกับบท
ขยายว่ามีวิภัตติและพจน์เหมือนกัน คือ สิ ปฐมาวิภัตติ เอกพจน์ ใน อาหรโณ กับ
อโจราหรโณ และแสดงอธิบาย ยุ ปจั จัยใน อาหรโณ ลงในอรรถกัมมสาธนะ เพราะไข
ดว้ ย ตตยิ าวภิ ตั ติที่เปน็ อนภหิ ติ กตั ตา (กัตตา คอื ผูท้ �ำทไ่ี ม่ถกู กิรยิ ากล่าวถงึ )

อสิ ฺสรภาโว อสิ ฺสรยิ .ํ 173
ความเป็นแหง่ ผูเ้ ปน็ ใหญ่ ชอื่ วา่ ความเป็นใหญ่
ค�ำว่า อิสฺสริยํ เป็นบทตั้ง ส่วนค�ำว่า อิสฺสรภาโว เป็นบทขยาย วิภัตติ
ปฐมาวภิ ัตตเิ หมือนกัน ส่วนลิงคน์ ั้นต่างกัน คือ บทตั้ง คือ อสิ ฺสริยํ เป็น นปงุ สกลิงค์
บทขยาย คอื อสิ ฺสรภาโว เปน็ ปุงลิงค์ การอธบิ ายความแบบต่อเนือ่ งกันไปเชน่ น้ี เรียก
ว่า วตุ ตสิ งั วรรณนา

เทเวสุ รชชฺ ํ เทวรชชฺ .ํ 174
ความเปน็ แหง่ พระราชาในหมูเ่ ทพ ชอื่ วา่ ความเป็นพระราชาเทพ
ค�ำว่า เทวรชชฺ ํ เป็นบทตัง้ สว่ นค�ำวา่ เทเวสุ รชฺชํ เปน็ บทขยาย อธิบายบท

172 ขุ.ข.ุ อ. (บาล)ี ๑/๑๑/๒๐๒.
173 ข.ุ ขุ.อ. (บาลี) ๑/๑๒/๒๐๓.
174 ขุ.ข.ุ อ. (บาล)ี ๑/๑๒/๒๐๓.

สทธฺ มฺโม จริ ํ ติฏฺตุ

54 สังวรรณนา

ต้งั โดยแสดง รปู วเิ คราะหพ์ รอ้ มทัง้ ความหมาย ผเู้ ขยี นพบเหน็ วธิ ีการอธิบายวา่ ท่านยก
บทตัง้ ขนึ้ ตัง้ แล้วก็อธิบายไปเลย เช่น อสิ ฺสรภาโว อิสฺสรยิ ํ บทตัง้ คอื อสิ สฺ ริยํ (ความ
เป็นอิสระ) บทขยาย คือ อิสฺสรภาโว (ความเป็นใหญ่) มีวิภัตติและ พจน์เหมือนกัน
สว่ นลงิ ค์นนั้ ไม่เหมือนกัน ตา่ งกนั ตามสมควรแกล่ งิ ค์ของบทขยาย คอื บทขยาย เปน็
ลิงค์อะไร ก็ต้องเป็นลิงค์น้ันตามบทขยาย ตัวอย่างน้ี บทขยาย คือ อิสฺสรภาโว เป็น
ปุงลิงค์ ส่วนบทต้ัง คือ อิสฺสริยํ เป็นนปุงสกลิงค์ บทต้ังกับบทขยายน้ันประกอบด้วย
วภิ ตั ติได้ทง้ั ๗ หมวด ๑๔ ตวั คอื ต้ังแต่ สิ ปฐมาวิภตั ตจิ นถงึ สุ สัตตมวี ิภัตติ ตาม
สมควร เช่น อตฺถกสุ เลน อตฺถเฉเกน175 ผ้ฉู ลาดในอรรถ คือ ผ้ฉู ลาดในประโยชน์ ค�ำวา่
อตฺถกสุ เลน เปน็ บทต้ังประกอบด้วย นา ตตยิ าวิภัตติ ส่วนบทขยาย คือ อตฺถเฉเกน ก็
ประกอบด้วย นา ตติยาวิภัตตเิ ช่นกนั

บทหลงั เปน็ ค�ำ แปลบทหนา้

โบราณาจารย์ท้ังหลายถือว่า บทหลังเป็นค�ำแปลหรือค�ำอธิบายของบท
หน้าตามหลักการอธิบายความบท ค�ำหลังเป็นค�ำแปล หรือค�ำอธิบายของบทหน้า
ดังพระอรรถกถาจารยก์ ลา่ วว่า “ปจฺฉมิ ํ ปจฺฉิมํ ปุริมสฺส ปุริมสฺส อตโฺ ถ.176 ค�ำหลงั เปน็
ค�ำแปลความหมายของค�ำหน้า” เช่น

สนฺโต ปสตฺโถ ธมโฺ มติ สทฺธมโฺ ม. [สทฺธมฺม = สนฺต + ธมมฺ ]177
ธรรมที่ประเสรฐิ ชอื่ วา่ พระสทั ธรรม (พระธรรมอันประเสรฐิ )
ค�ำว่า ปสตฺโถ อธิบายให้รู้ว่า สนฺต-ศัพท์แปลว่า ประเสริฐ เพราะ สนฺต-
ศัพท์ [สนตฺ = อส + อ + อนฺต มีอย,ู่ เปน็ อย]ู่ แปลได้หลายอยา่ ง เชน่ สงบ, สงบเยน็ ,
เมอ่ื ยล้า, คนด,ี สัตบุรุษ, มอี ยู่, ด,ี ประเสรฐิ , คนล�ำบาก และมที ส่ี ุด การอธิบายบทตง้ั
คอื สนโฺ ต ไขวา่ ปสตฺโถ ต่อเนือ่ งกนั ไป โดยไมป่ ระกอบด้วย อิติ ศพั ท์ทบ่ี ทต้ัง เรยี กวา่
วตุ ตสิ ังวรรณนา

175 ข.ุ ข.ุ อ. (บาลี) ๑/๑/๒๑๒.
176 ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๙๖/๒๖๔.
177 วภิ าวนิ .ี (บาลี) ๑/๑/๖๕.

สทธฺ มโฺ ม จริ ํ ตฏิ ฺ ตุ

สังวรรณนา 55

ธมมฺ มยํ ปญฺามยํ ปาสาทมารยุ หฺ .178
เสดจ็ ข้ึนปราสาทธรรมคือปัญญา
ค�ำวา่ ปญฺ ามยํ อธิบายใหร้ ูว้ ่า ธมมฺ ใน ธมมฺ มยํ ในท่ีน้ี หมายถงึ ปัญญา
เพราะ ธมฺม ศัพทม์ ีอรรถมาก การอธบิ ายบทตง้ั คอื ธมฺมมยํ ไขว่า ปญฺ ามยํ โดยไมม่ ี
อิติ ศพั ท์เชน่ น้ี เรียกวา่ วตุ ตสิ งั วรรณนา ค�ำว่า ธมมฺ เปน็ ศพั ท์ท่ีมีความหมายมาก พระ
ฎีกาจารยจ์ งึ อธบิ ายว่า ปญฺามยํ เพือ่ อธบิ ายใหร้ ูว้ ่า ธมมฺ หมายถงึ ปญั ญา อกี นัยหน่ึง
อธบิ ายให้ร้วู า่ ธมมฺ -ศัพท์เป็นค�ำไวพจนข์ องปัญญา เช่น

ปญฺาปรยิ าโย วา อธิ ธมฺมสทฺโท.179
อกี นัยหนงึ่ ธมฺม-ศพั ทใ์ นทีน่ เ้ี ป็นค�ำไวพจน์ของปัญญา

อภิวนทฺ ิย อภวิ นฺทิตฺวา.180
กราบไหว้แล้ว
ค�ำว่า อภิวนฺทิตฺวา อธิบายให้รู้ว่า แปลง ตฺวา ปัจจัยในค�ำว่า อภิวนฺทิย
[อภิวนฺทิย มาจาก อภิ + วนทฺ + อิ + ตฺวา] เป็น ย181 และอธบิ าย อภิวนฺทิย โดยแปล
ว่า กราบไหว้แลว้ การอธิบายบทตัง้ คือ อภิวนทฺ ิย แบบต่อเน่ืองกันไปโดยไมป่ ระกอบ
ดว้ ย อิติ ศัพท์ เรยี กวา่ วุตติสงั วรรณนา

กริสสฺ ํ กริสฺสามิ.182
จักกระท�ำ
ค�ำวา่ กรสิ สฺ ามิ อธบิ ายให้รวู้ ่า กริสสํ มาจาก กร ธาตุ สฺสํ ภวสิ สันตวี ิภัตติ
และแปลวา่ จกั กระท�ำ การอธิบายบทตั้ง คือ กรสิ สฺ ํ ตอ่ เนอื่ งกนั ไป โดยไม่ประกอบดว้ ย
อิติ ศัพท์ เรยี กวา่ วตุ ติสงั วรรณนา

178 สารตฺถ.ฏกี า (บาล)ี ๓/๘/๑๙๐.
179 สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๓/๘/๑๙๐.
180 ปทรูป.ฏกี า (บาลี) ๑/๒.
181 ปทรปู . (บาลี) ๑/๖๔๑/๔๖๕.
182 ปทรปู .ฏกี า (บาลี) ๑/๓.

สทธฺ มโฺ ม จริ ํ ตฏิ ฺ ตุ

56 สังวรรณนา

วริ าชเต ทิปฺปต.ิ 183
ย่อมรงุ่ เรอื ง
ค�ำว่า ทิปปฺ ติ อธิบาย วริ าชเต [วิราชเต (กรฺ )ิ วิ + ราช + อ + เต. แปลวา่
ร่งุ เรอื ง, สว่าง, งดงาม184] วา่ แปลวา่ รุ่งเรือง การอธิบายความแบบตอ่ เน่ืองเชน่ น้ี เรยี ก
ว่า วุตตสิ ังวรรณนา
วีรยิ ํ อชฺเชว กจิ จฺ ํ กาตพพฺ .ํ 185
ควรกระท�ำความเพยี ร (เพ่ือละชวั่ และท�ำความดี) ตั้งแตว่ ันน้ีนั่นเอง
ค�ำว่า กาตพพฺ ํ อธบิ ายใหร้ ้วู า่ กิจจฺ ํ มาจาก กร ธาตุ ริจจฺ ปัจจัย ริจจ ปัจจยั
ลงในอรรถกรรม แปลว่า พึงถกู กระท�ำ วเิ คราะหว์ ่า กาตพพฺ นฺติ กิจฺจํ 186 การอธบิ าย
บทต้ัง คือ กจิ จฺ ํ แบบตอ่ เนือ่ งกันไป เรยี กวา่ วตุ ติสงั วรรณนา

บทตัง้ กบั บทขยายสลบั กัน

ในการอธบิ ายความบทตงั้ โดยสว่ นมาก บทขยายอยหู่ ลงั บทตงั้ แตบ่ างกรณี
กม็ ีบทขยายอยูห่ นา้ บทตัง้ ได้ เช่น

เอกํ อารมฺมณํ อคฺคํ อมิ สฺสาติ เอกคคฺ ํ, จติ ฺตํ.187
ชอื่ วา่ เอกัคคะ (มอี ารมณ์เดยี ว) ไดแ้ ก่ จิต (ทม่ี ีอารมณ์เดียว) เพราะอรรถ
วเิ คราะห์ว่า มีอารมณ์หนง่ึ เดยี ว
ค�ำว่า อารมฺมณํ อธิบายให้รู้ว่า อคฺคํ หมายถึง อารมณ์ บทขยาย คือ
อารมฺมณํ อยู่หน้าบทตงั้ คอื อคคฺ ํ การอธบิ ายบทตัง้ แบบต่อเนือ่ งกนั ไปเชน่ นี้ เรียกว่า
วุตตสิ งั วรรณนา

183 สโุ พ.ฏีกา (บาล)ี ๑/๒๒/๔๕.
184 ตปิ .ิ ๑๙/๘๔๘.
185 เนตตฺ วิ ิ. (บาลี) ๑/๑๐๓/๓๗๓.
186 ปทรปู . (บาล)ี ๑/๕๕๗/๔๐๘.
187 วภิ าวนิ ี. (บาลี) ๑/๒๑/๘๖.

สทธฺ มโฺ ม จริ ํ ติฏฺ ตุ

สงั วรรณนา 57

อธบิ ายความแบบมีนามศัพท์ทีบ่ ทตง้ั

ในการอธบิ ายความบทบาลี บางท่ี ในอรรถกถา ฎีกา และมลู ฎกี าเปน็ ต้น
พระอรรถกถาจารย์และพระฎีกาจารย์อธิบายความบทบาลี โดยประกอบ นาม ศัพทท์ ี่
บทตัง้ แทน อติ ิ ศัพท์ วธิ กี ารอธิบายความบทเชน่ นี้ กจ็ ดั ว่าเปน็ วตุ ติสงั วรรณนาเชน่ กัน

วินโย นาม อคาริกวินโย จ อนคาริกวนิ โย จ.188
อคารยิ วนิ ยั (วนิ ยั ของคฤหสั ถ)์ และอนคารยิ วนิ ยั (วนิ ยั ของพระ) ชอื่ วา่ วนิ ยั
ค�ำวา่ อคาริกวนิ โย จ อนคาริกวนิ โย จ อธิบายให้รวู้ ่า วนิ ัยมี ๒ ประเภท
คืออคาริยวินัย (วินัยของฆราวาส คือ คนท่ัวไปที่ไม่ใช่นักบวช, ผู้อยู่ครองเรือน) และ
อนคารยิ วนิ ยั (วนิ ยั ของนกั บวช) การอธบิ ายความบทตง้ั ทป่ี ระกอบดว้ ย นาม ศพั ทเ์ ชน่ นี้
เรยี กวา่ วุตติสงั วรรณนา

ปริเยสนา นาม รปู าทิอารมฺมณปริเยสนา.189
การแสวงหาอารมณม์ ีรูปเป็นต้น ช่อื ว่าการแสวงหา
ค�ำว่า ปริเยสนา เป็นบทตง้ั ค�ำว่า รูปาทิอารมฺมณปริเยสนา เปน็ บทขยาย
อธบิ ายวา่ การแสวงหา หมายถงึ การแสวงหาอารมณม์ รี ปู เปน็ ตน้ บทตง้ั กบั บทขยายนนั้
มีวิภตั ตแิ ละพจนเ์ หมอื นกัน ส่วนลิงค์น้ันต่างกันไดต้ ามลงิ คข์ องบทขยาย

สวุ ณณฺ ตา นาม สนุ ทฺ รจฉฺ ววิ ณฺณตา.190
ความมีผวิ พรรณสวยงาม ชอื่ ว่า ความมผี วิ งาม
ค�ำว่า สวุ ณฺณตา เป็นบทตงั้ สว่ นค�ำวา่ สนุ ฺทรจฺฉววิ ณฺณตา เป็นบทขยาย
ทั้งบทต้ังและบทขยายมีวิภัตติ คือ ปฐมาวิภัตติ พจน์ คือ เอกพจน์ และลิงค์ คือ
อิตถีลิงค์เหมือนกัน เพราะข้ึนอยู่กับลิงค์ของบทขยาย หากบทขยายมีลิงค์เหมือนกับ
บทตั้ง ลงิ คก์ ็เหมอื นกนั หากบทขยายมีลงิ ค์ไม่เหมอื นกับบทต้งั ลิงค์ก็ไมเ่ หมือนกัน แต่
วิภัตติและพจนน์ ้นั เหมือนกนั โดยส่วนมาก

188 ข.ุ ข.ุ อ. (บาล)ี ๑/๕/๑๑๗.
189 ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๐๓/๙๗.
190 ขุ.ขุ.อ. (บาลี) ๑/๑๑/๒๐๑.

สทธฺ มโฺ ม จิรํ ตฏิ ฺตุ

58 สังวรรณนา

สสุ รตา นาม พรฺ หมฺ สสฺ รตา.191
ความมีเสียงไพเราะดงั เสียงพรหม ชือ่ วา่ ความมเี สียงไพเราะ
ตัวอยา่ งที่ยกมาทง้ั หมด เหน็ ไดว้ า่ บทต้งั กับบทขยายน้ันมวี ภิ ัตตแิ ละพจน์
เหมือนกันและยังมีนาม-ศัพท์ที่บทต้ังด้วย เพ่ือให้บทตั้งปรากฏชัดเจน และท่ีท่านไม่
อธบิ ายโดยประกอบ อติ ิ ศพั ทท์ บ่ี ทตง้ั นน้ั กเ็ พอื่ ความสะดวกในการอธบิ ายความของบท
เพราะบางคร้งั ต้องอธิบายความบทต้งั รวมไปพร้อมๆ กันหลายบท หากใส่ อติ ิ ศพั ทเ์ ข้า
มาดว้ ย กจ็ ะท�ำให้การอธบิ ายความไม่สะดวก
สุภาสิตา วาจา นาม มุสาวาทาทิโทสวริ หิตา.192
วาจาท่เี วน้ โทษมกี ารกลา่ วเท็จเปน็ ตน้ ชอื่ วา่ วาจาสภุ าษติ (ค�ำพดู ทีด่ ี)
ค�ำวา่ มุสาวาทาทโิ ทสวิรหติ า อธบิ ายใหร้ ูว้ ่า วาจาสภุ าษติ หมายถึง วาจา
ทไ่ี ม่มโี ทษมีการกลา่ วเทจ็ เป็นต้น
อคาริกวนิ โย นาม ทสอกสุ ลกมมฺ ปถวริ มณ.ํ 193
การเว้นอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ ชอื่ วา่ อคารยิ วนิ ยั (วนิ ยั คนท่วั ไป)
ค�ำว่า ทสอกสุ ลกมฺมปถวิรมณํ อธิบายใหร้ ูว้ า่ อคาริยวินยั หมายถงึ การเวน้
อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ การอธบิ ายความบทตง้ั แบบตอ่ เนอื่ งกนั ไปโดยไมป่ ระกอบ
ด้วย อติ ิ ศัพท์ เรียกวา่ วตุ ตสิ ังวรรณนา
อนคารกิ วนิ โย นาม สตตฺ าปตฺติกขฺ นธฺ อนาปชชฺ นํ.194
การไม่ต้องอาบัติ ๗ กอง ชอ่ื วา่ อนคารยิ วนิ ยั (วนิ ยั พระภิกษ)ุ
ค�ำว่า สตฺตาปตฺติกขฺ นฺธอนาปชฺชนํ อธิบายใหร้ ู้ว่า อนคารยิ วนิ ยั หมายถึง
การไมต่ อ้ งอาบัติ ๗ กอง การอธบิ ายบทต้งั แบบต่อเนื่องกนั ไป เรยี กวา่ วุตตสิ ังวรรณนา

191 ข.ุ ขุ.อ. (บาล)ี ๑/๑๑/๒๐๒.
192 ข.ุ ข.ุ อ. (บาล)ี ๑/๕/๑๑๗.
193 ข.ุ ขุ.อ. (บาลี) ๑/๕/๑๑๗.
194 ขุ.ข.ุ อ. (บาล)ี ๑/๕/๑๑๗.

สทฺธมโฺ ม จิรํ ตฏิ ฺ ตุ

สงั วรรณนา 59

ผลกปี ํ นาม ผลกมยํ ปี .ํ 195
ตั่งทีก่ ระท�ำดว้ ยแผ่นกระดาน ชือ่ ว่า ผลกปฐี ะ (ตง่ั กระดาน)
ค�ำวา่ ผลกมยํ ปี ํ อธบิ ายให้รู้วา่ ผลกปีํ หมายถงึ ต่งั ทก่ี ระท�ำด้วยแผ่น
กระดาน และอธบิ ายใหร้ วู้ า่ ผลกปี ํ วเิ คราะหเ์ ปน็ มชั เมโลปตี ตยิ าตปั ปรุ สิ สมาส (ตตยิ า-
ตัปปรุ ิสสมาสทลี่ บบทกลาง) ผลเกหิ กตํ ปีํ ผลกปี ํ แปล : ตงั่ ทีเ่ ขากระท�ำด้วยแผ่น
กระดานทง้ั หลาย ช่อื วา่ ตงั่ กระดาน

อธบิ ายบทตงั้ ดว้ ยเหตบุ ท

ในการอธิบายความบทบาลี บางครั้ง บางแห่ง ท่านพระอรรถกถาจารย์
พระฎีกาจารย์เป็นต้นก็ใช้เหตุบทอธิบายบทต้ัง เพื่อแสดงรูปวิเคราะห์พร้อมท้ังความ
หมายโดยอ้อม เช่น

สมมฺ า สามญฺจ สพฺพธมมฺ านํ พทุ ฺธตตฺ า สมฺมาสมพฺ ทุ เฺ ธน.196
พระนามวา่ สมั มาสมั พทุ ธเจา้ (ผตู้ รสั รชู้ อบดว้ ยพระองคเ์ อง) เพราะตรสั รู้
ธรรมทัง้ ปวงโดยชอบด้วยพระองคเ์ องเท่าน้นั
ค�ำว่า สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา อธิบายให้รู้ว่า สมฺมา-
สมพฺ ทุ ฺเธน มาจาก สมฺมา + สํ + พธุ ธาตุ + ต ปจั จยั ต ปจั จัยลงในอรรถกตั ตสุ าธนะ
แปลวา่ ผู้ และวิเคราะหว์ ่า สมฺมา สามญฺจ สพพฺ ธมฺเม พชุ ฺฌตตี ิ สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ (สมมฺ า
+ สํ + พุธ + ต) การอธบิ ายบทต้ังตอ่ เนือ่ งกนั ไปโดยประกอบดว้ ยเหตุบทเช่นนี้ เรียก
วา่ วุตตสิ ังวรรณนา
ค�ำวา่ สมมฺ า แปลวา่ ชอบ หมายถงึ ถกู ตอ้ ง ไมว่ ปิ รติ ดงั พระฎกี าจารยก์ ลา่ ว
ว่า “สมมฺ าติ อวิปรตี ํ.197 ค�ำว่า ชอบ (สมมฺ า) ไดแ้ ก่ ไมว่ ปิ รติ ”
ค�ำวา่ สามํ ใน สามญจฺ อธบิ าย สํ ใน สมฺมาสมพฺ ุทฺเธน แปลวา่ ดว้ ยพระองค์
เอง หมายถงึ ไมม่ ผี อู้ นื่ ใหต้ รสั รู้ ดงั พระฎกี าจารยก์ ลา่ ววา่ “สมพฺ ทุ โฺ ธติ หิ เอตถฺ ส-ํ สทโฺ ท

195 ว.ิ มหา.อ. (บาลี) ๒/๑๑๒/๓๐๑.
196 ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/๓/๔๔.
197 สารตถฺ .ฏกี า (บาล)ี ๑//๒๘๖.

สทธฺ มโฺ ม จิรํ ติฏฺตุ

60 สงั วรรณนา

สยนฺติ เอตสสฺ อตถฺ สฺส โพธโก.198 จริงอยู่ สํ ศัพทใ์ นค�ำวา่ สมฺพทุ โฺ ธ นี้ เปน็ ศัพทใ์ ห้รู้
อรรถน้วี า่ ด้วยตนเอง”

สว่ น จ ศพั ท์ ใน สามญจฺ กลา่ วอรรถอวธารณะคือห้าม แปลวา่ เทา่ นนั้
หรือจริงๆ หมายถึง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์เท่านั้นหรืิอจริงๆ ไม่ได้รับค�ำ
แนะน�ำจากผู้อ่ืน ไม่มีผอู้ ืน่ ใดให้ตรสั รู้ ดงั พระฎีกาจารย์กล่าววา่ “สามญฺจาติ สยเมว,
อปรเนยฺโย หุตวฺ าติ อตฺโถ199 ค�ำวา่ สามญจฺ ไดแ้ ก่ ด้วยพระองค์เท่าน้นั อธิบายว่า ไม่มี
ผ้อู นื่ ให้ตรสั ร”ู้

ปชาตตตฺ า ปชา.200
ชอ่ื ว่า ปชา หมู่สตั ว์ เพราะเป็นผเู้ กิดแลว้ (เพราะกรรมกเิ ลส)
ค�ำว่า ปชาตตฺตา อธบิ ายใหร้ ู้วา่ ปชา มาจาก ป บทหนา้ + ชน ธาตุ +
กวฺ ิ ปจั จยั (สตั วเ์ กดิ ) วเิ คราะหว์ า่ กมมฺ กเิ ลเสหิ ชาตาติ ปชา (ป + ชน + กวฺ )ิ สตั วเ์ หลา่ ใด
เกิด เพราะกรรมกิเลส เพราะเหตนุ น้ั สตั ว์เหล่านั้นจงึ ชอ่ื ว่า ปชา (หมู่สตั ว)์ การอธิบาย
บทต้งั แบบตอ่ เนอ่ื งกนั ไปโดยไม่มี อิติ ศัพท์ ประกอบทีบ่ ทตั้ง เรยี กว่า วตุ ตสิ ังวรรณนา
เอเตสํ มชเฺ ฌ ภวตตฺ า มชฺฌิมา.201
ชื่อว่า มัชฌิมา (ข้อปฏิบัติสายกลาง) เพราะมีในท่ามกลาง [แห่งอัตต-
กิลมถานุโยค คือ การทรมานตนเองมีการนอนบนหนามเป็นต้นและกามสุขัลลิกา-
นโุ ยค คอื การปรนเปรอตนให้เกดิ ความสุขด้วยกาม] เหล่านน้ั
ค�ำวา่ เอเตสํ มชเฺ ฌ ภวตตฺ า อธิบายใหร้ ู้วา่ มชฺฌิมา มาจาก มชฺฌ ศัพท์ +
อมิ ปจั จยั วเิ คราะหว์ า่ มชเฺ ฌ ภวา มชฌฺ มิ า (ปฏปิ ทา) ทม่ี ใี นทา่ มกลาง การอธบิ ายความ
บทตั้ง แบบต่อเน่ืองกนั ไป เรียกวา่ วตุ ตสิ งั วรรณนา

198 สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๑//๒๘๖.
199 สารตถฺ .ฏีกา (บาล)ี ๑//๒๘๖.
200 วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๑/๑๑๘.
201 สารตถฺ .ฏกี า (บาล)ี ๓/๑๓/๒๐๖.

สทฺธมโฺ ม จิรํ ติฏฺ ตุ

สงั วรรณนา 61

๓. สัมพันธสังวรรณนา

หมายถึงวธิ อี ธิบายความบทตงั้ ท่ใี ช้ สมพฺ นโฺ ธ ท้ายประโยค เพ่อื แสดงความ
เชื่อมสัมพนั ธ์กนั แหง่ บทท่หี ่างไกลกัน, เพอื่ เพ่ิมเติมปาฐเสสะ (บทท่ีขาดไป) เข้ามาแปล
เชอ่ื มใหค้ วามสมบูรณ์ และเพอื่ สมั พนั ธบ์ ททีส่ ลบั กัน คอื บทท่กี ลบั หน้ากลบั หลังกันอยู่
รายละเอยี ดมดี ังต่อไปนี้

๓.๑ เชื่อมสมั พันธ์บทห่างไกลกนั

บทต้ังบาลี
นาหํ ภกิ ฺขเว อญฺ ํ เอกรูปมฺปิ สมนปุ สสฺ าม.ิ 202
ภกิ ษทุ ้ังหลาย เราไม่เหน็ แมร้ ปู หนึ่งอืน่
บทขยายอรรถกถา
อมิ สสฺ ปน ปทสฺส นกาเรน สมพฺ นโฺ ธ เวทิตพโฺ พ.203
ก็พึงทราบสัมพันธ์ค�ำว่า สมนุปสฺสามิ น้ี กับ น อักษร (น สมนุ-
ปสฺสาม)ิ
น นบิ าต อยหู่ ่างไกลจากกริ ิยา คอื สมนปุ สสฺ ามิ มาก โดยมบี ทอ่ืน
มาคั่นถึง ๔ บท คือ อหํ ภิกฺขเว อญฺํ เอกรูปมฺปิ เพื่อแสดงความเช่ือมสัมพันธ์กัน
ของ น นบิ าตกับกริ ิยาบท คือ สมนปุ สฺสามิ พระอรรถกถาจารย์จงึ อธิบายบทต้ังโดยใช้
สมพฺ นฺโธ เพอื่ แสดงความสัมพันธก์ นั ของบทนนั้ ๆ ท�ำใหผ้ ้ศู ึกษาเข้าใจไดง้ ่าย
บทตัง้ บาลี
เตนาวุโส ปคุ ฺคเลน โส ปุคฺคโล รตตฺ ภิ าคํ วา ทิวสภาคํ วา สงฺขาปิ
อนาปุจฺฉา ปกฺกมิตพพฺ ํ, นานพุ นฺธิตพฺโพ.204
ทา่ นทงั้ หลายบคุ คลผรู้ นู้ นั้ แมร้ บู้ คุ คลนนั้ ในเวลากลางคนื หรอื กลางวนั
ก็ตาม ก็ไมต่ อ้ งบอกลาจากไปไดเ้ ลย ไม่ควรติดตามบคุ คลน้นั ไป

202 องฺ.เอกก. (บาลี) ๑/๑/๑.
203 องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๑/๑๗.
204 อง.ฺ นวก. (บาล)ี ๒๓/๖/๓๐๗.

สทธฺ มฺโม จิรํ ติฏฺตุ

62 สังวรรณนา

บทขยายอรรถกถา
โส ปคุ ฺคโลติ ปทสสฺ ปน “นานุพนธฺ ิตพฺโพ”ติ อิมินา สมพฺ นฺโธ.205
ก็พึงทราบสัมพันธ์ค�ำวา่ โส ปคุ คฺ โล กบั บทน้วี ่า นานุพนฺธิตพโฺ พ (ไม่
ควรตดิ ตามบุคคลนัน้ )
โส ปคุ คฺ โล อยหู่ า่ งไกลจากกริ ยิ า คอื นานพุ นธฺ ติ พโฺ พ มาก โดยมบี ทอน่ื
มาค่นั ถึง ๗ บท คอื รตฺติภาคํ วา ทวิ สภาคํ วา สงขฺ าปิ อนาปจุ ฺฉา ปกกฺ มติ พพฺ ํ เพ่ือแสดง
ความเชอ่ื มสมั พนั ธก์ นั ของ โส ปคุ คฺ โล กบั กริ ยิ า คอื นานพุ นธฺ ติ พโฺ พ พระอรรถกถาจารย์
จงึ อธบิ ายบทตง้ั โดยใช้ สมฺพนฺโธ เพ่ือแสดงความสมั พนั ธท์ ่ีหา่ งกนั นน้ั ใหใ้ กล้กนั ท�ำใหผ้ ู้
ศกึ ษาเข้าใจไดง้ า่ ย
บทต้งั บาลี
ยาวญฺจทิ ํ โภโต โคตมสฺส วปิ ฺปสนฺนานิ อินทฺ ฺรยิ าน.ิ 206
(พราหมณ์วจั ฉโคตรชาวเวนาคปุระกราบทูลพระผ้มู พี ระภาคว่า)
อินทรยี ์ของท่านพระโคดมผอ่ งใสยิง่ นกั
บทขยายอรรถกถา
ตสสฺ วิปปฺ สนนฺ ปเทน สทธฺ ึ สมฺพนฺโธ.207
พงึ ทราบสัมพันธ์ค�ำวา่ ยาวญจฺ ทิ ํ นนั้ กับค�ำวา่ วิปฺปสนฺน
ค�ำว่า ยาวญจฺ ิทํ อย่หู ่างไกลจากค�ำว่า วปิ ฺปสนฺนานิ มีบทอน่ื มาค่นั ๒
บท คือ โภโต โคตมสฺส ความจริง เวลาแปล ต้องแปลเขา้ กบั วปิ ฺปสนฺน วา่ ยาวญจฺ ทิ ํ
วปิ ฺปสนฺนานิ = ผอ่ งใสย่งิ นกั

205 องฺ.นวก.อ. (บาล)ี ๓/๖/๒๙๒.
206 อง.ฺ ตกิ . (บาล)ี ๒๐/๖๔/๑๗๘.
207 อง.ฺ ติก.อ. (บาลี) ๒/๖๔/๑๙๒.

สทฺธมฺโม จริ ํ ติฏฺตุ

สังวรรณนา 63

บทขยายฎีกา

ตสฺส “อตถฺ ํ ปกาสยสิ สฺ ามี”ติ เอเตน สมฺพนโฺ ธ.208
พึงทราบสัมพันธ์บทว่า หุตฺวา นั้น กับบทนี้ว่า อตฺถํ ปกาสยิสฺสามิ
(ข้าพเจ้าจกั แสดงอรรถ)

บทต้ังอรรถกถา
พุทโฺ ธปิ พุทธฺ ภาวํ ภาเวตวฺ า เจว สจฉฺ ิกตวฺ า จ
ยํ อุปคโต คตมลํ วนเฺ ท ตมนตุ ฺตรํ ธมฺม.ํ 209
ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระธรรมอันล้�ำเลิศไร้มลทินที่
พระพทุ ธเจ้าทรงบ�ำเพญ็ กระท�ำให้แจง้ บรรลุความเป็น
พระพุทธเจ้า(สพั พัญญตุ ญาณ)แล้ว.

บทขยายฎกี า
เอตสสฺ “พทุ ฺธภาวนตฺ ิ เอเตน สมพฺ นฺโธ.210
อุปคต ศัพทน์ ส้ี ัมพนั ธก์ ับบทว่า พุทธฺ ภาวํ นี้
ค�ำวา่ อปุ คโต อยหู่ ่างจากบทวา่ พุทฺธภาวํ มาก เพราะมีบทอื่นหลาย
บทคนั่ อยู่ ดงั นน้ั พระฎกี าจารยจ์ งึ ใช้ สมพฺ นโฺ ธ ทา้ ยประโยค เพอื่ แสดงความสมั พนั ธก์ นั
ของ อุปคโต กบั พทุ ฺธภาวํ ว่า บรรลุ สพั พญั ญุตญาณ การอธบิ ายความสมั พนั ธข์ องบท
เช่นน้ี เรียกวา่ สมั พนั ธสังวรรณนา



208 องฺ.เกกก.ฏีกา (บาล)ี ๑/๔/๒๑.
209 ท.ี สี.อ. (บาลี) ๑/๑.
210 ท.ี ส.ี ฏกี า (บาล)ี ๑/๑๒.

สทธฺ มโฺ ม จิรํ ติฏฺ ตุ

64 สังวรรณนา

๓.๒ เช่ือมสัมพันธ์บทท่สี ลับกัน

บทตัง้ บาลี

(กายและใจ) วเิ นยฺย โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสฺสํ.211
ต้องก�ำจัดอภิชฌาและโทมนัส (ความโลภและความโกรธ) ในโลก
บทขยายอรรถกถา

ตสฺมึ โลเก อภชิ ฺฌาโทมนสสฺ ํ วเิ นยฺยาติ เอวํ สมพฺ นฺโธ ทฏฺ พฺโพ.212
บัณฑิตพึงทราบสัมพันธ์อย่างนี้ว่า ต้องก�ำจัดอภิชฌาและโทมนัส
(ความโลภ และความโกรธ) ในโลก (กายและใจ) นี้
ค�ำกิริยา คือ วิเนยฺย อยู่หน้า อาธารบท คือ โลเก และกรรมบท
คือ อภิชฺฌาโทมนสฺสํ สลับหน้าหลังกันอยู่ เพราะปกติกิริยาต้องอยู่หลังบทกรรมและ
บทอาธาระ ดงั น้นั พระอรรถกถาจารย์เมื่อประสงค์จะแสดงความสมั พันธ์กนั ของบทท่ี
สลบั กันจึงอธิบายประโยคนโี้ ดยใช้ค�ำวา่ สมพฺ นฺโธ ทา้ ย ประโยค การอธิบายบทตั้งโดย
เชือ่ มสัมพนั ธบ์ ทลกั ษณะเช่นนี้ เรยี กว่า สัมพันธสงั วรรณนา

บทต้งั บาลี

วตถฺ ุ วปิ ตฺตึ อาปตตฺ ึ นิทานํ อาการอโกวโิ ท
ปุพฺพาปรํ น ชานาติ.213
ภกิ ษใุ ด ผไู้ มฉ่ ลาดในอาการ ยอ่ มไมร่ ู้วัตถุ วิบัติ อาบตั ิ
นทิ าน ค�ำ ต้น คำ�หลัง

บทขยายอรรถกถา

“วตฺถุนตฺ ิอาทีนิ “น ชานาตตี ิ ปเทน สมฺพนโฺ ธ.214
ควรสัมพันธ์บทมี วตถฺ ุ เป็นต้น กับบทวา่ น ชานาติ (ยอ่ มไมร่ ู้)

211 ส.ํ ม. (บาลี) ๑๙/๓๖๗/๑๒๔.
212 สํ.ม.อ. (บาล)ี ๓/๓๖๗/๒๕๑.
213 วิ.ป. (บาล)ี ๘/๓๖๗/๓๔๕.
214 ว.ิ ม.อ. (บาลี) ๓/๓๖๗/๕๐๕.

สทธฺ มโฺ ม จิรํ ติฏฺตุ

สงั วรรณนา 65

ค�ำว่า วตถฺ ุ เป็นต้น มีความเกยี่ วข้องกบั กริ ิยาไมร่ ู้ คือ น ชานาติ แต่
เนอ่ื งจากมกี รรมหลายบท และ อาการอโกวโิ ท คน่ั อยู่ เพอ่ื แสดงความสมั พนั ธใ์ หช้ ดั เจน
ข้นึ ดังน้ัน พระอรรถกถาจารยจ์ งึ อธิบายประโยคนโ้ี ดยใช้ค�ำวา่ สมพฺ นโฺ ธ ทา้ ยประโยค
การอธบิ ายความสมั พันธก์ ันของบทเชน่ น้ี เรียกว่า สัมพันธสังวรรณนา

บทตั้งบาลี
จาตทุ ทฺ สึ ปญฺจทสึ ยา จ ปกฺขสฺส อฏฺมี
ปาฏหิ าริยปกขฺ ญฺจ อฏฺงคฺ สสุ มาคตํ.215
ดฉิ นั เข้าจ�ำอโุ บสถศลี ซ่งึ ประกอบด้วยองค์ ๘ ทกุ วนั ๑๔
คำ่� ๑๕ ค่ำ� และ ๘ คำ่� แห่งปกั ษแ์ ละตลอดปาฏหิ าริยปักษ์.
บทขยายอรรถกถา
จาตุททฺ สึ ปญจฺ ทสนิ ตฺ ิ ปกฺขสสฺ าติ สมฺพนฺโธ.216
สมั พันธบ์ ทวา่ จาตุทฺทสึ ปญฺจทสึ กับบทน้ีว่า ปกขฺ สสฺ
ค�ำวา่ ปกขฺ สสฺ มคี วามสมั พนั ธก์ บั บทวา่ จาตทุ ทฺ สึ ปญจฺ ทสึ แตเ่ พราะมี
ยา จ ศพั ท์ ค่นั อยู่ เพอื่ ใหส้ มั พนั ธ์ชดั เจนขึน้ ดงั นั้นพระอรรถกถาจารย์จงึ อธบิ ายโดยใช้
ค�ำวา่ สมพฺ นโฺ ธ ทา้ ยประโยค เพอื่ บอกความสมั พนั ธก์ นั ของบท การอธบิ ายความสมั พนั ธ์
ของบทลกั ษณะเช่นนี้ เรียกว่า สมั พนั ธสังวรรณนา

๓.๓ เชือ่ มสมั พนั ธ์แบบใสป่ าฐเสสะ คือเพ่มิ ค�ำ อืน่ เข้ามา
เพ่ือให้ความสมบรู ณ์

หมายถึง การเชื่อมสัมพันธ์ความบทบาลีโดยเพ่ิมกัตตา กรรม หรือ
กิรยิ าเปน็ ต้นเขา้ มา เพ่ือใหข้ ้อความในประโยคชดั เจนขน้ึ

215 ขุ.วิ. (บาล)ี ๒๖/๒๙/๒๐.
216 ขุ.ว.ิ อ. (บาล)ี ๑/๑๒๙/๗๖.

สทฺธมโฺ ม จริ ํ ตฏิ ฺ ตุ

66 สังวรรณนา

บทตั้งบาลี

ขึ้นในขณะนั้น อเิ ม ธมฺมา ตทา สมุทาคตา.217
[พระโยคาวจรออกจากสมาบตั ิแล้ว](พิจารณาวา่ ) ธรรมเหลา่ นี้ เกดิ
บทขยายอรรถกถา

อิเม วุตฺตปฺปการา ธมฺมา มคฺคกฺขเณ ผลกฺขเณ จ สมุทาคตาติ
ปจฺจเวกขฺ ตตี ิ อติ -ิ สททฺ ํ ปาเสสํ กตวฺ า สมฺพนโฺ ธ เวทติ พฺโพ.218

พึงทราบสัมพันธ์โดยเพิ่มปาฐเสสะ คือค�ำที่ใส่เพ่ิมเติมเข้ามาแปลว่า
พจิ ารณา (ปจฺจเวกฺขต)ิ ว่า ธรรมเหลา่ น้ีมปี ระการตามทีก่ ลา่ วมาแลว้ เกดิ ขึ้นในขณะ
มรรคและผล

ค�ำว่า ปจฺจเวกฺขติ เป็นปาฐเสสะ คือ บทที่ต้องเพิ่มเติมเข้ามาแปล
ความหมายจงึ จะสมบรู ณ์ ทา่ นใช้ สมพฺ นโฺ ธ เขา้ มาแสดงปาฐเสสะเพอ่ื แสดงความสมั พนั ธ์
ให้ความหมายสมบูรณ์ข้ึน เพราะหากไม่ใส่ปาฐเสสะเข้ามาความหมายจะขาดหายไป
คอื ไมส่ มบูรณ์

ในการอธิบายความบทบาลีแบบเชื่อมสัมพันธ์กันของบท บางท่ีก็ไม่
จ�ำเปน็ ต้องใส่ สมฺพนฺโธ ประกอบทา้ ยประโยค เพราะผ้แู ปลผูอ้ ่านสามารถใส่ปาฐเสสะ
เขา้ มาแปลเพ่อื แสดงความสัมพนั ธก์ ันของบทและความหมายเองไดเ้ ลย เช่น

บทตัง้ บาลี

มา ภณฺฑนํ. 219
เธออย่าบาดหมาง

บทขยาย

มา ภณฑฺ นนตฺ อิ าทสี ุ อกตถฺ าติ ปาเสสํ คเหตวฺ า มา ภณฑฺ นํ อกตถฺ าติ

217 ข.ุ ป. (บาลี) ๓๑/๖๕/๘๐.
218 ขุ.ป.อ. (บาล)ี ๑/๖๕/๓๐๕.
219 วิ.ม. (บาลี) ๕/๔๕๗/๒๓๗.

สทธฺ มโฺ ม จิรํ ติฏฺ ตุ

สังวรรณนา 67

เอวมตโฺ ถ ทฏฺพฺโพ.220
ในค�ำเปน็ ต้นวา่ มา ภณฺฑนํ พงึ ถอื เอาปาฐเสสะวา่ อกตถฺ แลว้ ทราบ

อรรถอย่างนวี้ ่า อยา่ ท�ำความบาดหมางกนั

บทต้งั บาลี

ทัง้ หลาย. อวชิ ฺชา ภิกฺขเว ปพุ พฺ งคฺ มา อกุสลานํ ธมฺมานํ สมาปตตฺ ิยา.221
ภิกษุทั้งหลาย อวิชชา เป็นหัวหน้าแห่งการเกิดข้ึนของอกุศลธรรม

บทขยายอรรถกถา

สา ปเนสา วุตฺตากาเรน อกสุ ลานํ ปุพพฺ งฺคมภูตา อวิชชฺ า อปุ ปฺ ชชฺ ตีติ
สมพฺ นฺโธ.222

สัมพนั ธ์ว่า ก็อวชิ ชานัน้ เปน็ หัวหน้าของอกุศลธรรมท้ังหลายย่อมเกิด
ขน้ึ ตามอาการทกี่ ลา่ วแล้ว

พระอรรถกถาจารยใ์ สป่ าฐเสสะ คอื ค�ำกริ ยิ า ไดแ้ ก่ อปุ ปฺ ชชฺ ติ (ค�ำบาลี
ท่เี พ่มิ เตมิ เขา้ มา) เพ่อื ให้ประโยค หรือข้อความสมบูรณ์ เพราะหากไม่มีกริ ยิ า ประโยค
หรือข้อความก็ไม่สมบูรณ์ การอธิบายความท่ีแสดงความสัมพันธ์กันของบทนั้นเช่นนี้
เรยี กวา่ สัมพันธสงั วรรณนา

๔. สรรพนามซอ้ นกัน

สรรพนามทซ่ี อ้ นกนั สองตวั ตวั หลงั ไมม่ คี วามหมาย ไมต่ อ้ งแปล ซอ้ นเขา้ มา
เพ่ือให้ถอ้ ยค�ำสละสลวยเท่าน้ัน เชน่ สา ปเนสา แปลว่า ก็อวิชชานน้ั ไมต่ ้องแปลวา่ ก็
อวิชชาน้ีนั้น เพราะ สรรพนามตวั หลงั ไม่มคี วามหมาย แท้จริงค�ำหลังเปน็ ค�ำประดับค�ำ
หนา้ ใหไ้ พเราะสละสลวยขนึ้ ไมม่ คี วามหมายอะไรเปน็ พเิ ศษ จงึ ไมจ่ �ำเปน็ ตอ้ งแปลค�ำหลงั
ดงั โบราณาจารย์ทงั้ หลายกลา่ ววา่

220 วิ.ม.อ. (บาลี) ๓/๔๕๗-๘/๒๔๕.
221 ส.ํ ม. (บาลี) ๑/๑/๑.
222 สํ.ม.ฏีกา (บาลี) ๒/๑-๒/๔๖๒.

สทธฺ มฺโม จิรํ ติฏฺตุ

68 สงั วรรณนา

ทฺวีสุ สพพฺ นาเมสุ ปพุ พฺ เมว ปธาน.ํ 223
บรรดาสรรพนาม ๒ บท บทหนา้ เท่าน้ันเปน็ ประธาน
ตเมนนตฺ ิ ตํ อายสมฺ นฺตํ อานนฺทํ. เอตสทฺโท หิ ปทาลงกฺ ารมตฺตํ. อยญฺหิ
สทฺทปกติ, ยททิ ํ ทวฺ สี ุ สพพฺ นาเมสุ ปุพพฺ ปทสฺเสว อตฺถปทตา.224
ค�ำวา่ ตเมนํ [ตํ + เอน]ํ ได้แก่ ท่านพระอานนทน์ ัน้ อนง่ึ เอต ศพั ทเ์ ปน็ เพียง
เคร่ืองประดับบท โดยแท้จรงิ แลว้ ในสรรพนาม ๒ บท บทหนา้ เทา่ นัน้ เปน็ บทแสดง
อรรถได้ นเี้ ป็นปกตขิ องศัพท์
ตํ ปเนตนตฺ ิ เอตฺถ เอตสทโฺ ท วจนาลงกฺ าโร ทฺวีสุ สพพฺ นาเมสุ ปพุ ฺพสฺเสว
เยภุยเฺ ยน ปธานตตฺ า.225
เอต ศพั ทใ์ นค�ำว่า ตํ ปเนตํ น้ี เปน็ ศพั ทป์ ระดบั ถ้อยค�ำ (ให้สละสลวย) ใน
สรรพนาม ๒ บท บทหน้าเทา่ นนั้ เป็นประธานโดยมาก
โสติ ปทาลงฺกาโร. ทฺวีสุ หิ สพฺพนาเมสุ เยภยุ เฺ ยน ปพุ พฺ เมว ปธานํ ปจฺฉิมํ
ปน วจนาลงกฺ าร.ํ โย โส ภควา ปญฺ เปสีติ สมพฺ นฺโธ226
ค�ำวา่ โส เปน็ ถอ้ ยค�ำประดบั บท (ใหส้ ละสลวยเทา่ นนั้ ) จรงิ อยใู่ นสรรพนาม
๒ บท บทหน้าเท่านัน้ เป็นประธานโดยมาก ส่วน บทหลงั เปน็ ถอ้ ยค�ำประดับค�ำให้สละ
สลวย สัมพนั ธว์ ่า พระผ้มู ีพระภาคพระองค์ใดทรงบัญญตั ิไวแ้ ล้ว
ตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ ข้าพเจา้ ยกมาจากอรรถกถาทัง้ หลาย เช่น
โส ปเนส อตถฺ โต สตยิ า อวปิ ปฺ วาโส นาม.227
ก็ความไมป่ ระมาทนนั้ โดยความหมาย ชอ่ื วา่ เป็นการไมอ่ ยปู่ ราศจากสติ

223 พระคันธสาราภิวงศ์, สุโพธาลังการมัญชร,ี (กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์
หจก.ไทยรายวันการพมิ พ,์ ๒๕๔๖), หนา้ ๓๙.
224 ที.สี.อภนิ วฏีกา (บาลี) ๑/๘๓.
225 ปาจิตฺ.โย. (บาล)ี ๑/๒๑๘/๖๑.
226 ปาจิตฺ.โย. (บาลี) ๑/๑/๕๔๘.
227 ขุ.ธ.อ.(บาล)ี ๑/๒๑/๑๗๒.

สทธฺ มฺโม จิรํ ตฏิ ฺตุ

สังวรรณนา 69

โส ปเนส อฏฺมีจาตุททฺ สีปณณฺ รสเี ภเทน ตวิ ิโธ.228
กว็ ันอุโบสถน้นั มี ๓ ประการ คือ วนั อุโบสถ ๘ ค่ำ� ๑๔ ค�ำ่ และ ๑๕ ค่�ำ

โส ปเนส มิจฺฉาจาโร.229
กก็ ารประพฤตผิ ดิ นั้น

สา ปเนสา สตุ ตฺ วณฺณนา.230
กก็ ารอธิบายพระสูตรนัน้ .

สา ปเนสา ปมมหาสงคฺ ตี ิ.231
ก็ปฐมมหาสงั คายนานั้น

สา (สติ) ปเนสา อุปฏฺานลกขฺ ณา.232
ก็ (สต)ิ นน้ั มลี ักษณะทปี่ รากฏ

ตํ (นิพพฺ านํ) ปเนต.ํ 233
ก็ (นพิ พาน) นนั้

ตํ ปเนตํ ทสสฺ น.ํ 234
กก็ ารเห็นนน้ั

ตํ ปเนตํ ธมฺมจกกฺ ํ.235
กธ็ รรมจกั รนัน้

228 ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๕๐/๑๒๗.

229 ที.ปา.อ.(บาล)ี ๓/๓๔๗/๒๔๘.
230 ม.มู.อ. (บาลี) ๑/๑/๑๗.
231 ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑/๒.
232 ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๒๗/๙๖.
233 สํ.ม.อ. (บาลี) ๓/๓๑๔/๑๔๙.
234 ส.ํ ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๘๔/๒๐๘.
235 ส.ํ ม.อ. (บาล)ี ๓/๑๐๘๙/๓๘๑.

สทธฺ มโฺ ม จริ ํ ติฏฺ ตุ

70 สังวรรณนา

๕. สรรพนาม ๒ ประเภท พร้อมทง้ั วธิ ใี ช้

สรรพนามมี ๒ ประเภท คือ วุตตาเปกขสรรพนาม และ วุจจมานาเปกข
สรรพนาม พรอ้ มทงั้ วธิ ใี ชส้ รรพนาม

๑. วตุ ตาเปกขสรรพนาม คอื สรรพนามทกี่ ลา่ วถงึ นามทเ่ี คยกลา่ วมา
แลว้ ค�ำวา่ วตุ ตาเปกขะ มาจาก วตุ ตะ = ขอ้ ความทีก่ ลา่ วมาแลว้ + อาเปกขะ = มอง
หา หรอื กล่าวถึง รวมกนั แปลว่า สรรพนามทีม่ องหาขอ้ ความทเ่ี คยกล่าวมาแล้ว หรือ
สรรพนามท่กี ล่าวถงึ นามที่เคยกลา่ วมาแล้ว หรอื ว่าโยคบทนามทผ่ี ่านมา บทนามทเี่ คย
กลา่ วถึงมาแลว้ หรอื ข้อความท่ีเคยกล่าวถึงแลว้ เชน่

ตโต นํ ทกุ ขฺ มนเฺ วติ ทุกขต์ ดิ ตามบุคคลนัน้ ไป เพราะทุจริต ๓ ประการ
นน้ั ต สรรพนาม ใน ตโต และ นํ โยคนามทเี่ คยกลา่ วมาแลว้ คือ ทจุ รติ ๓ ประการ และ
บุคคลผู้คิดพูดท�ำชว่ั น้นั เป็น ตโต ติวิธทุจฺจรติ โต นํ ปุคฺคลํ

๒. วุจจมานาเปกขสรรพนาม คอื สรรพนามทกี่ ล่าวถึงข้อความอนั
จะกลา่ วตอ่ ไปขา้ งหนา้ ค�ำวา่ วจุ จมานาเปกขะ มาจาก วจุ จมานะ = ขอ้ ความทจี่ ะกลา่ ว
ต่อไป + อาเปกขะ = มองหา รวมแปลว่า สรรพนามทีม่ องหาขอ้ ความทีจ่ ะกล่าวตอ่ ไป
หมายถงึ สรรพนามทก่ี ลา่ วถงึ ขอ้ ความอันจะกล่าวต่อไปข้างหนา้ แปลว่า จะกล่าวดงั
ต่อไปน้ี เชน่

อยเมตฺถ สงฺเขปตฺโถ อยนฺเตวฺ ตถฺ วติ ถฺ าโร.236
ความทกี่ ล่าวมาแลว้ นี้เป็นเนื้อความย่อในคาถานี้ สว่ นเน้อื ความพิสดารใน
พระคาถาน้ี จะกลา่ วดงั ต่อไปน้ี

อมิ ศพั ท์ ใน อยเมตถฺ (อยํ + เอตฺถ) เป็นวุตตาเปกขะ เพราะกลา่ วถงึ
เนือ้ ความทเี่ คยกลา่ วมาแล้ว ส่วน อมิ - ศพั ท์ใน อยนฺเตฺวตฺถ (อยํ + ตุ + เอตถฺ ) นี้ เป็น
วุจจมานาเปกขะ เพราะกลา่ วถึงเนอื้ ความทีจ่ ะกล่าวต่อไปข้างหนา้ สรรพนามท้ังหมด
ในบาลี อรรถกถา และฎกี าเป็นตน้ มี ๒ ประเภทและมวี ิธใี ชด้ ังกล่าวมาน้ี

236 ขุ.ธ.อ. (บาล)ี ๑/๒๔/๑๘๐.
สทธฺ มฺโม จริ ํ ตฏิ ฺตุ

สังวรรณนา 71

๖. ภูต ศพั ทแ์ สดงวเิ สสนะ

ภตู ศัพท์ ใชอ้ ธิบายความว่า บทท่ี ภูต ประกอบอยดู่ ว้ ย เปน็ วิเสสนะของ
บทหลงั เชน่ ปุพพฺ งฺคมภตู า อวิชชฺ า237 แปลว่า อวชิ ชาทเี่ ปน็ หวั หน้า ในตวั อย่างน้ี บท
ท่ภี ูตศัพทป์ ระกอบอยดู่ ้วย คือ ปพุ พฺ งคฺ ม แสดงวา่ ปพุ พฺ งฺคม เปน็ วิเสสนะของบทหลงั
คือ อวชิ ฺชา

๗. สรปุ ทา้ ยบท

การอธิบายความบทบาลีข้ึนอยู่กับความเหมาะสม การอธิบายความบท
บาลีของพระอรรถกถาจารย์และพระฎีกาจารย์นั้นจะเป็นแบบไหนน้ันขึ้นอยู่กับความ
เหมาะสมและความประสงค์ คือ จะอธิบายแบบท่ีประกอบด้วย อิติ ศัพท์ท่ีบทต้ัง
ทีเ่ รยี กวา่ อลุ ลิงคสงั วรรณนา, อธบิ ายแบบตอ่ เนื่องกันไป โดยไม่มี อิติ ศพั ท์ เรียกวา่
วุตติสังวรรณนา หรืออธิบายแบบแสดงความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันของบท เรียกว่า
สมั พันธสงั วรรณนา ก็ขึ้นอยู่กบั ความเหมาะสม ตามข้อความหรือเรื่องนั้นๆ วธิ อี ธิบาย
ความบท ในพระบาลี อรรถกถา และฎีกา มี ๓ วธิ ี คือ (๑) วิธีอธบิ ายความของบทที่มี
อิติ ศัพทท์ ีบ่ ทตัง้ (๒) วธิ อี ธบิ ายความของบทแบบตอ่ เนอื่ งกันไป (๓) วธิ อี ธิบายความ
ของบทแบบแสดงความสัมพันธ์กันของบทต่างๆ วิธีศึกษาสังวรรณนาคือการอธิบาย
ความบทบาลีโดยย่อ คือ ดูบทต้ังก่อน ต่อไปดูบทขยาย และดูบทส่วนเกินที่ท่านเพ่ิม
เตมิ เขา้ มาเพอ่ื อธบิ ายความใหช้ ดั เจนยงิ่ ขนึ้ ดแู ลว้ ดอู กี และคดิ ซำ้� ๆ กจ็ ะท�ำใหเ้ ขา้ ใจไดเ้ อง

237 ส.ํ ม.ฏกี า (บาลี) ๒/๑-๒/๔๖๒.
สทธฺ มฺโม จิรํ ตฏิ ฺ ตุ

72 สงั วรรณนา

ตอนท่ี ๓
บทสรปุ

สังวรรณนา คือการอธิบายความบทบาลี ในอรรถกถาและฎีกา มีการ
อธิบายความบท เพียง ๔ บท คือ (๑) อธิบายความบทนาม (๒) อธิบายความบท
อปุ สัค (๓) อธิบายความบทนิบาต (๔) อธบิ ายความบทอาขยาต

วธิ ีอธิบายความบทบาลี ๓ วธิ ี คือ (๑) วิธอี ธบิ ายความของบทที่ประกอบ
อติ ิ ศพั ทไ์ วท้ บ่ี ทตงั้ เรยี กวา่ อลุ ลงิ คสงั วรรณนา (๒) วธิ อี ธบิ ายความของบทแบบตอ่ เนอื่ ง
กันไป เรียกวา่ วตุ ติสังวรรณนา (๓) วธิ อี ธิบายความของบทแบบแสดงความสัมพันธ์กนั
ของบทตา่ งๆ เรยี กว่า สัมพันธสังวรรณนา

วิธีดูสังวรรณนาคือการอธิบายความบทของอรรถกถาและฎีกาให้เข้าใจก็
คือ (๑) ตอ้ งดบู ทต้ังกอ่ นว่า บทต้ังนเ้ี ปน็ บทอะไร คือ บทนาม อปุ สคั นบิ าต หรือบท
อาขยาต (๒) ดูบทขยาย คือ ดวู า่ ทา่ นอธบิ ายขยายบทต้ังนัน้ ๆ อย่างไร (๓) ดสู ว่ นเกิน
คือ บทที่ไม่มีในบทตั้ง แต่เวลาอธิบายความ ท่านใส่เพ่ิมเติมเข้ามาเพ่ือให้ความหมาย
ชดั เจนยง่ิ ขนึ้ จดุ ส�ำคญั ทต่ี อ้ งดู คอื บทตงั้ กบั บทขยายทเ่ี ปน็ ตวั หลกั หรอื สว่ นส�ำคญั คอ่ ย
ๆ สังเกตคิดพิจารณาไตรต่ รองไป ดแู ลว้ ดูอีก คดิ ซ�ำ้ๆ กจ็ ะเข้าใจไดเ้ อง ขอ้ สงั เกต บทตั้ง
กับบทขยาย สว่ นมาก จะมวี ิภัตติและพจนต์ รงกนั สว่ นลงิ ค์ต่างกันตามบทท่ขี ยายออก
ไป สงั วรรณนานี้ เป็นเครอ่ื งมือส�ำคัญยิง่ ในการศกึ ษาพระบาลี อรรถกถา และฎกี า ถ้า
เข้าใจสังวรรณนาดกี จ็ ะสามารถเขา้ ใจพระพุทธพจนไ์ ดถ้ ูกต้องตามพุทธประสงค์ ดงั นนั้
ผสู้ นใจศกึ ษาพระธรรมค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้ ใหเ้ ขา้ ใจถอ่ งแทจ้ งึ จ�ำเปน็ ตอ้ งเรยี นรกู้ าร
อธิบายความบทบาลขี องอรรถกถาและฎกี าให้เข้าใจเปน็ อย่างดี

สทฺธมโฺ ม จิรํ ติฏฺตุ

สงั วรรณนา 73

ภาคผนวก

ศกึ ษาการอธิบายความบาลีในอรรถกถาและฎีกา

บาลี
สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ.238

อรรถกถา
สมมฺ า สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พทุ ฺธตตฺ า ปน สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺโธ.239

ฎีกา
อิทานิ สมฺมาสมฺพทุ โฺ ธติ อมิ สสฺ อตฺถํ วภิ ชิตวฺ า ทสฺเสนฺโต อาห “สมฺมา
สามญจฺ า”ตอิ าทิ. ตตฺถ สมมฺ าติ อวปิ รีต.ํ สามนฺติ สยเมว, อปรเนยโฺ ย หตุ วฺ าติ อตโฺ ถ.
สมพฺ ุทโฺ ธติ หิ เอตฺถ ส-ํ สทฺโท สยนตฺ ิ เอตสสฺ อตถฺ สฺส โพธโกติ ทฏฺ พโฺ พ. สพฺพธมฺมานนฺติ
อนวเสสานํ เยยฺ ธมฺมาน.ํ 240
สมมฺ าสมพฺ ุทฺโธติ เอตฺถ สํ-สทฺโท สยนตฺ ิ อตเฺ ถ ปวตตฺ ตีติ อาห “สาม”นตฺ ิ,
อปรเนยโฺ ย หตุ วฺ าติ อตโฺ ถ.241
สมฺมาติ อวปิ รีตํ. สามนฺติ สยเมว. สมฺพทุ ฺโธติ หิ เอตถฺ สํ-สทโฺ ท “สย”นตฺ ิ
เอตสฺส อตฺถสสฺ โพธโก ทฏฺพโฺ พ. สพฺพธมฺมานนฺติ อนวเสสานํ เยยฺ ธมมฺ าน.ํ 242

238 วิ.มหา (บาลี) ๑/๑/๑.
239 วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๑/๑๐๖, ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๒/๖๑,
อ.ํ อ. (บาลี) ๑/๑๗๐/๑๐๑, ขุ.อุ.อ. (บาลี) ๑/๑๐/๘๘.
240 สารตถฺ ฏกี า (บาลี) ๑/-/๒๘๖.
241 วมิ ติ.ฏกี า (บาล)ี ๑/-/๖๓.
242 วสิ ทุ ธฺ ิ.ฏกี า. (บาล)ี ๑/๑๓๑/๘.

สทธฺ มโฺ ม จิรํ ติฏฺตุ

74 สงั วรรณนา

แปลและอธบิ าย

บาลี
สมฺมาสมพฺ ุทโฺ ธ.243
ตรสั รชู้ อบด้วยพระองคเ์ อง

อรรถกถา
สมฺมา สามญจฺ สพฺพธมมฺ านํ พุทฺธตฺตา ปน สมมฺ าสมฺพทุ โฺ ธ.244
สว่ นวา่ ทรงพระนามว่า ตรัสรชู้ อบด้วยพระองคเ์ อง เพราะตรสั รธู้ รรมทง้ั
ปวงโดยชอบดว้ ยพระองค์เองเทา่ น้นั

อธิบายสงั วรรณนาในอรรถกถา
ค�ำวา่ สมมฺ า แปลวา่ ชอบ คอื ไมว่ ปิ รติ หรอื ถกู ตอ้ ง ตามความเปน็ จรงิ ค�ำวา่
สามํ อธบิ ายไข สํ อปุ สคั ในสมฺมาสมฺพุทโฺ ธ แปลว่า ดว้ ยตนเอง ค�ำวา่ สพพฺ ธมมฺ านํ เปน็
กรรมของ พุธ ธาตุ ใน พุทธ ทา่ นใส่เพิม่ เติมเขา้ มาอธิบายความใหจ้ ดั เจนยง่ิ ขนึ้
ค�ำวา่ สพฺพธมมฺ านํ พุทธฺ ตตฺ า อธิบายใหร้ ู้วา่ พุทธฺ ใน สมมฺ าสมฺพทุ ฺโธ เป็น
กตั ตุสาธนะ แปลวา่ ผูร้ ู้ วเิ คราะหว์ า่ พุชฌฺ ตีติ พทุ โฺ ธ ผ้รู ู้ ( พธุ + ต)
ค�ำว่า สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา แสดงอธิบายวิเคราะห์
สมฺมาสมฺพทุ ฺโธว่า สมมฺ า สามญจฺ สพฺพธมเฺ ม พชุ ฺฌตีติ สมมฺ าสมพฺ ุทฺโธ ผู้ตรสั รู้ชอบด้วย
พระองคเ์ อง [สมมฺ า + สํ + พทุ ธฺ = พุธ ธาตุ + ต พธุ แปลว่า รู้ ต ปจั จยั แปลว่า ผู้ รวม
กนั เป็น พทุ ธฺ แปลวา่ ผ้รู ู้ ] ปน ศัพท์ เปน็ ปักขันตรโชตกนบิ าต แปลว่า สว่ นอนื่ เรอื่ ง
อ่ืน ข้ออน่ื จากขอ้ ความท่ีเคยอธบิ ายมาแลว้

243 ว.ิ มหา (บาล)ี ๑/๑/๑.
244 วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๑/๑๐๖, ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๒/๖๑,
อํ.อ. (บาล)ี ๑/๑๗๐/๑๐๑, ขุ.อ.ุ อ. (บาลี) ๑/๑๐/๘๘.

สทฺธมฺโม จริ ํ ติฏฺ ตุ

สังวรรณนา 75

ฎีกา
อิทานิ สมฺมาสมฺพุทฺโธติ อิมสฺส อตฺถํ วิภชิตฺวา ทสฺเสนฺโต อาห “สมฺมา
สามญฺจา”ตอิ าทิ. ตตฺถ สมมฺ าติ อวปิ รีต.ํ สามนตฺ ิ สยเมว, อปรเนยฺโย หตุ วฺ าติ อตโฺ ถ.
สมพฺ ทุ โฺ ธติ หิ เอตถฺ ส-ํ สทโฺ ท สยนตฺ ิ เอตสสฺ อตถฺ สสฺ โพธโกติ ทฏฺ พโฺ พ. สพพฺ ธมมฺ านนตฺ ิ
อนวเสสานํ เยยฺ ธมฺมานํ.245
บัดน้ี พระอรรถกถาจารย์ท่านประสงค์จะจ�ำแนกแสดงอรรถของบทว่า
สมฺมาสมพฺ ทุ ฺโธ นี้ จงึ กลา่ วค�ำเป็นตน้ วา่ “สมมฺ า สามญฺจ” ในบทวา่ สมฺมาเป็นต้นนน้ั
บทว่า ชอบ (สมมฺ า) ได้แก่ ไมว่ ิปรติ (ตามความเปน็ จริง) บทวา่ สามํ ไดแ้ ก่ ด้วยตนเอง
เทา่ น้นั อธิบายว่า ไมม่ ผี อู้ น่ื ใหต้ รสั รู้ จริงอยู่ พึงทราบว่า สํ ศพั ท์ ในค�ำวา่ สมฺพุทฺโธ น้ี
เปน็ ศัพท์ใหร้ ู้อรรถนวี้ า่ ดว้ ยตนเอง บทว่า ธรรมท้ังปวง (สพฺพธมฺมานํ) ได้แก่ ธรรมที่
ควรรไู้ มม่ สี ว่ นเหลอื

อธบิ ายสังวรรณนาในฎีกา

ประโยคอนุสนธิ คอื ประโยคเชอื่ มความ

ประโยคอนุสนธิ มี ๒ อยา่ ง คอื ปพุ พานุสนธิ คือเชอ่ื มความประโยคหนา้
และอปรานสุ นธิ คือเช่อื มความประโยคหลงั

๑. ประโยคปพุ พานสุ นธิ หมายถึง ประโยคทเี่ ช่ือมขอ้ ความข้างหนา้ คอื
จบั ใจความประโยคหน้า หรือสรุปใจความประโยค มากล่าวโดยยอ่

๒. ประโยคอปรานสุ นธิ หมายถึง ประโยคที่เชอ่ื มความประโยคหลงั คือ
จบั ใจความประโยคหลงั หรอื สรุปใจความประโยคหลงั มากล่าวโดยย่อ เช่น

เอวํ ภควา อเสวนา จ พาลานนตฺ อิ าทหี ิ ทสหิ คาถาหิ อฏฺตสึ มหามงคฺ ลานิ
กเถตฺวา อิทานิ เอตาเนว อตฺตนา วุตฺตมงฺคลานิ ถุนนฺโต “เอตาทิสานิ กตฺวานา”ติ
อวสานคาถมภาส.ิ 246

พระผู้มีพระภาคตรสั มงคลอนั ประเสริฐ ๓๘ ประการ ด้วยพระคาถา ๑๐
พระคาถาว่า การไมค่ บคนพาล เปน็ ต้น อยา่ งน้แี ลว้ บดั น้ีทรงประสงค์จะยกยอ่ งมงคล
เหลา่ นน้ั ที่พระองคต์ รัสแล้วนั่นเองจึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า “เอตาทิสานิ กตฺวาน”

245 สารตถฺ ฏีกา (บาลี) ๑/-/๒๘๖.
246 ขุ.ขุ.อ. (บาลี) ๑/๑๓/๑๓๕.

สทฺธมโฺ ม จริ ํ ติฏฺ ตุ

76 สังวรรณนา

ตงั้ แต่ เอวํ ถงึ กเถตวฺ า เปน็ ปุพพานุสนธิเชอ่ื มความประโยคหน้า ส่วน ค�ำ
ว่า อทิ านิ ถงึ อวสานคาถมภาสิ เป็นอปรานุสนธิ เชื่อมความประโยคหลงั

ค�ำว่า อิทานิ ... อาทิ เป็นประโยคอปรานุสนธิ คือ ประโยคเช่ือมความ
ประโยคหลงั หมายความวา่ พระอรรถกถาจารยก์ ลา่ วค�ำวา่ สมมฺ า ชอบ กเ็ พอื่ จะอธบิ าย
ความของค�ำว่า สมฺมาสมพฺ ทุ ฺโธ ในทน่ี ้ี ประโยคปพุ พานสุ นธิ พระฎีกาจารย์ไมไ่ ด้เขยี น
ไว้ เพราะทา่ นเหน็ ว่าง่ายแล้ว ถ้าเขียนใส่เข้ามาจะเป็นว่า

เอวํ อรหนตฺ ิ เอตสสฺ อตถฺ ํ วณเฺ ณตวฺ า อทิ านิ “สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ”ติ อมิ สสฺ อตถฺ ํ
วภิ ชิตฺวา ทสฺเสนฺโต อาห “สมฺมา สามญจฺ า”ติอาทิ.

พระอรรถกถาจารย์อธิบายความของบทว่า อรหํ นั้น อย่างน้ีแล้ว บัดนี้
ประสงค์จะจ�ำแนกแสดงอรรถของบทว่า “สมฺมาสมฺพุทฺโธ” น้ี จึงกล่าวค�ำเป็นต้นว่า
“สมมฺ า สามญจฺ ”

ตตถฺ โยค กรรมของอาห

ในที่นี้ ตตถฺ ต้องโยค กรรมของอาห คอื สมฺมา สามญฺจาติอาทิวจนํ ตอ้ ง
โยคเปน็ ตตถฺ สมมฺ า สามญฺจาตอิ าทิวจเน ในค�ำว่า สมฺมา สามญจฺ เปน็ ตน้ ในอรรถกถา
และฎกี าท้งั หมดก็เปน็ เช่นนี้ คอื ต้องโยคกรรมของกิริยาตวั หน้า

ค�ำวา่ สมมฺ า ไขวา่ อวปิ รตี ํ แปลวา่ ไมว่ ปิ รติ เพราะ สมมฺ า นบิ าตมอี รรถมาก
ค�ำวา่ สามํ ไขวา่ สยํ ก็แสดงวา่ สามํ ต้องแปลวา่ ดว้ ยตนเอง เพราะ สามํ นิบาตมีอรรถ
มาก ส่วน เอว ศพั ท์ ทา่ นอธิบายใส่เพิ่มเติมเขา้ มาเพ่อื ใหค้ วามหมายชัดเจน

อปรเนยโฺ ย หตุ วฺ าติ อตโฺ ถ อธบิ าย บทตง้ั คอื สามํ ดว้ ยตนเอง หมายถงึ เปน็
ผู้ท่ไี ม่มผี ้อู น่ื ใดใหต้ รสั รู้ (รดู้ ว้ ยพระองคเ์ อง)

สมฺพทุ โฺ ธติ หิ เอตฺถ สํ-สทฺโท ... ทฏฺพฺโพ อธิบายว่า สํ อปุ สคั ใน ค�ำว่า
สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ น้ี แปลวา่ ด้วยตนเอง เพราะ สํ อปุ สัคมีอรรถมาก

ค�ำวา่ อนวเสสานํ (ไม่เหลอื ) อธบิ ายไข สพพฺ (ทง้ั ปวง) ใน สพฺพธมมฺ านํ ท่ี
แปลว่า ท้งั ปวง หมายถงึ ท้ังหมดจรงิ ๆ โดยไมม่ สี ว่ นเหลือ ค�ำวา่ สพฺพ ทง้ั หมด กไ็ มไ่ ด้
หมายถงึ ท้งั หมดจริงๆ ยงั มียกเวน้ บางส่วน เพราะ สพฺพ ศพั ท์ มี ๒ ประเภท คอื (๑)
ทง้ั หมดจริงๆ และ(๒) ทง้ั หมดไม่จริง คือยังยกเวน้ บางสว่ น

สทธฺ มฺโม จริ ํ ตฏิ ฺ ตุ

สงั วรรณนา 77

ค�ำว่า เยฺยธมฺมานํ อธิบาย ธมมฺ ใน สพพฺ ธมมฺ านํ วา่ หมายถึง เญยธรรม
คอื ธรรมท่ีควรรู้ ๕ อยา่ ง (คือ สงั ขาระ วิการะ ลักษณะ นิพพาน และบญั ญัติ) เพราะ
ธมมฺ ศพั ท์ มอี รรถมาก247 ดงั พระอรรถกถาจารยก์ ลา่ ววา่ “สงขฺ ารวกิ ารลกขฺ ณนพิ พฺ าน-
ปญฺ ตฺติสงขฺ าตํ เยฺยํ วา ชานนโฺ ต248 ทรงรู้เญยธรรม คอื สงั ขาระ วิการะ ลกั ขณะ
นิพพาน และบัญญัต”ิ

ตัวอย่างตอ่ ไปนส้ี �ำหรับศกึ ษาเพม่ิ เตมิ

สมมฺ าสมฺพทุ ฺโธติ เอตถฺ ส-ํ สทฺโท สยนฺติ อตเฺ ถ ปวตตฺ ตีติ อาห “สาม”นตฺ ิ,
อปรเนยฺโย หุตฺวาติ อตฺโถ.249

พระอรรถกถาจารยก์ ลา่ ววา่ “ค�ำวา่ สามํ อธบิ ายวา่ เปน็ ผไู้ มม่ ผี อู้ นื่ ใหต้ รสั ร”ู้
เพ่ือแสดงวา่ สํ ศพั ท์ ในค�ำวา่ สมฺมาสมพฺ ุทฺโธ นี้ เปน็ ไปในอรรถว่า ดว้ ยตน

สมมฺ าติ อวิปรีต.ํ สามนฺติ สยเมว. สมฺพทุ ฺโธติ หิ เอตฺถ ส-ํ สทโฺ ท “สย”นฺติ
เอตสฺส อตถฺ สฺส โพธโก ทฏฺพโฺ พ. สพฺพธมฺมานนตฺ ิ อนวเสสานํ เยฺยธมฺมาน.ํ 250

บทว่า ชอบ (สมมฺ า) ไดแ้ ก่ ไม่วิปรติ (ตามความเป็นจริง) บทว่า สามํ ไดแ้ ก่
ดว้ ยตนเองเท่านนั้ จรงิ อยู่ พึงทราบวา่ สํ ศัพท์ ในค�ำวา่ สมฺพุทฺโธ น้ี เปน็ ศัพทใ์ หร้ อู้ รรถ
นี้ว่า ด้วยตนเอง บทว่า ธรรมทั้งปวง (สพฺพธมมฺ าน)ํ ไดแ้ ก่ ธรรมทีค่ วรรูไ้ ม่มีส่วนเหลือ

สมมฺ า สามญฺจ สพพฺ ธมฺมานํ พทุ ธฺ ตฺตาติ อมิ นิ าสฺส ปโรปเทสรหิตสฺส
สพฺพากาเรน สพพฺ ธมมฺ าวโพธนสมตฺถสฺส อากงขฺ าปฏพิ ทธฺ วุตฺตโิ น อนาวรณาณ-
สงฺขาตสสฺ สพพฺ ญฺญตุ ญฺาณสฺส อธิคโม ทสสฺ ิโต.251

ทา่ นแสดงการได(้ บรรล)ุ พระสพั พญั ญตุ ญาณคอื พระญาณทไ่ี มม่ อี ะไรขวาง
กนั้ ไดอ้ นั เปน็ ไปเกยี่ วขอ้ งกบั ความประสงคท์ สี่ ามารถรธู้ รรมทงั้ ปวง เวน้ จากการแนะน�ำ
จากผอู้ ืน่ โดยอาการทง้ั ปวงนนั้ ด้วยบทว่า สมฺมา สามญฺจ สพพฺ ธมฺมานํ พุทฺธตตฺ า น้ี

247 ม.มู.อ. (บาลี) ๑//๑๙.
248 ขุ.อป.อ. (บาล)ี ๑/๖๑๐/๓๖๑.
249 วิมติ.ฏกี า (บาลี) ๑/-/๖๓.
250 วิสทุ ฺธิ.ฏกี า. (บาล)ี ๑/๑๓๑/๘.
251 ม.ม.ู ฏีกา. (บาลี) ๑/๑๒/๑๓๖.

สทฺธมโฺ ม จริ ํ ติฏฺ ตุ

78 สังวรรณนา

“สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พทุ ธฺ ตตฺ า”ต,ิ สพพฺ สสฺ ปิ เยฺยสสฺ
สพพฺ าการโต อวิปรีตํ สยเมว อภสิ มฺพุทธฺ ตฺตาติ อตโฺ ถ. อิมินาสฺส ปโรปเทสรหติ สสฺ
สพฺพากาเรน สพพฺ ธมฺมาวโพธนสมตถฺ สสฺ อากงขฺ ปฺปฏิพทฺธวตุ ฺติโน อนาวรณาณ-
สงฺขาตสฺส สพฺพญฺญตุ ญฺ าณสสฺ อธิคโม ทสสฺ ิโต.252

บทวา่ สมมฺ า สามญจฺ สพฺพธมฺมานํ พทุ ธฺ ตตฺ า ความวา่ เพราะรู้ธรรมที่
ควรรู้แม้ทั้งปวงโดยไม่วิปริตด้วยพระองค์เองเท่านั้นโดยอาการทั้งปวง ท่านแสดงการ
ได้ (บรรลุ) สพั พัญญตุ ญาณคอื พระญาณทไ่ี มม่ อี ะไรขวางกนั้ ได้อนั เปน็ ไปเกี่ยวข้องกบั
ความประสงค์ที่สามารถรู้ธรรมทั้งปวงเว้นจากการแนะน�ำจากผู้อ่ืนโดยอาการทั้งปวง
นนั้ ด้วยบทนี้

สมมฺ าติ อวิปรตี .ํ สามญฺจาติ สยเมว อปรเนยฺโย หตุ วฺ าติ วุตตฺ ํ โหติ.253
บทว่า ชอบ (สมฺมา) ไดแ้ ก่ ไมว่ ปิ รติ (ตามความเป็นจรงิ ) บทว่า สามํ ไดแ้ ก่
ด้วยตนเองเท่าน้นั อธบิ ายวา่ เป็นผู้ไม่มีผูอ้ ืน่ ใหต้ รสั รู้
สมมฺ า สามญฺจ สพฺพธมฺเม อภิสมฺพทุ โฺ ธติ สมฺมาสมพฺ ุทฺโธ, ภควา.254
ผู้ตรสั ร้ชู อบด้วยตนเอง เพราะอรรถว่า ร้ธู รรมทงั้ ปวงโดยชอบด้วยตนเอง
เทา่ นัน้ ไดแ้ ก่ พระผู้มีพระภาค
สามญจฺ าติ อตฺตนาว.255
บทวา่ สามญจฺ ไดแ้ ก่ ด้วยตนเองเทา่ นั้น
สมฺมาติ อวปิ รตี .ํ สามนฺติ สยเมว, อปรเนยฺโย หตุ ฺวาติ อตฺโถ. “สมพฺ ุทฺโธ”ติ
หิ เอตถฺ ส-ํ สทฺโท “สย”นฺติ เอตสสฺ อตถฺ สฺส โพธโก ทฏฺ พฺโพ.256
บทว่า ชอบ (สมฺมา) ไดแ้ ก่ ไมว่ ปิ รติ (ตามความเป็นจริง) บทวา่ สามํ ได้แก่
ด้วยตนเองเทา่ น้ัน อธบิ ายว่า เป็นผ้ไู ม่มผี ู้อ่ืนใหต้ รัสรู้ จรงิ อยู่ พงึ ทราบวา่ สํ ศัพท์ในค�ำ

252 วสิ ทุ ฺธิ.มหาฏีกา. (บาล)ี ๑/๑๒/๑๓๖.
253 ที.ส.ี อภินวฏกี า. (บาล)ี ๑/๒/๒๔๑.
254 วภิ าวนี. (บาล)ี ๑//๗๑.
255 ขทุ ทฺ กสิกขา-มูลสกิ ขาฏกี า (บาลี) ๑/๔๖๑-๒/๒๑๖.
256 ขุทฺทกสกิ ขา-มลู สิกขาฏีกา (บาล)ี ๑/๔๖๑-๒/๔๓๓.

สทธฺ มโฺ ม จริ ํ ติฏฺตุ

สงั วรรณนา 79

ว่า สมพฺ ทุ ฺโธ นี้ เปน็ ศัพทใ์ หร้ ู้อรรถนีว้ ่า ดว้ ยตนเอง

สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมมฺ านํ พุทฺธตฺตา สมมฺ าสมฺพุทฺเธน.257
ชอ่ื ว่าผู้ตรัสรชู้ อบดว้ ยพระองคเ์ อง เพราะตรสั รูธ้ รรมทั้งปวงโดยชอบด้วย
พระองค์เองเทา่ นน้ั

บทตงั้ ทุตยิ าวิภตั ติ
สมมฺ า สามญจฺ สพพฺ ธมมฺ านํ พทุ ธฺ ตตฺ า สมมฺ าสมพฺ ุทฺธ.ํ ยํกญิ ฺจิ เยฺยํ นาม,
ตสสฺ สพฺพสสฺ ปิ สพพฺ าการโต อวิปรตี โต สยเมว อภิสมฺพุทธฺ ตฺตาติ วุตตฺ ํ โหต.ิ อิมินาสฺส
ปโรปเทสรหิตสสฺ สพพฺ ากาเรน สพฺพธมมฺ าวโพธนสมตฺถสฺส อากงขฺ าปฏิพทธฺ วตุ ฺตโิ น
อนาวรณาณสงฺขาตสฺส สพพฺ ญฺญตุ ญฺาณสฺส อธิคโม ทสฺสิโต.258
ชื่อว่าตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง เพราะตรัสรู้ธรรมท้ังปวงโดยชอบด้วย
พระองค์เอง อธิบายว่า ตรัสรู้เญยธรรมแม้ท้ังปวงน้ันโดยไม่วิปริตด้วยพระองค์เอง
เท่าน้ันโดยประการท้ังปวงท่านแสดงการได้(บรรลุ)สัพพัญญุตญาณกล่าวคือพระญาณ
ที่ไม่มีอะไรขัดขวางได้อันเป็นไปเก่ียวข้องกับพระประสงค์ที่สามารถรู้ธรรมท้ังปวงโดย
อาการท้ังปวงเวน้ จากค�ำแนะน�ำส่งั สอนจากผอู้ น่ื ดว้ ยบทน้ี

บทต้ังฉัฏฐวี ิภัตติ
สมมฺ าสมฺพุทธฺ านนฺติ สมมฺ า สามญฺจ สพพฺ ธมมฺ พุทธฺ าน.ํ 259
ค�ำว่า ตรสั รชู้ อบดว้ ยพระองค์เอง (สมฺมาสมพฺ ุทธฺ านํ) ไดแ้ ก่ ตรัสรูธ้ รรม
ทัง้ ปวงโดยชอบด้วยพระองคเ์ องเทา่ นนั้

สมฺมาสมพฺ ทุ ฺธานนฺติ สมมฺ า สามญฺจ สพพฺ ธมมฺ านํ พุทฺธตฺตา สมฺมา-
สมฺพทุ ฺโธ.260

ค�ำว่า ตรัสร้ชู อบด้วยพระองค์เอง (สมมฺ าสมพฺ ุทธฺ าน)ํ ไดแ้ ก่ ชอ่ื วา่ ตรัสรู้
ชอบดว้ ยพระองคเ์ อง เพราะตรสั รู้ธรรมทัง้ ปวงโดยชอบด้วยพระองคเ์ องเท่านน้ั

257 ที.ส.ี อ. (บาลี) ๑/๓/๔๓, ม.ม.ู อ. (บาล)ี ๑/๑๔๐/๓๓๕.
258 ขุ.อิติ.อ (บาลี) ๑/๓๘/๑๖๐-๖๑.
259 ขุ.จู.อ (บาลี) ๑/๑๒๑/๙๘.
260 ขุ.ป.อ (บาลี) ๑/๓๗/๒๓๐.

สทธฺ มโฺ ม จริ ํ ตฏิ ฺ ตุ

80 สังวรรณนา

สพพฺ ศพั ท์ ๒ ประเภท [แปลวา่ ท้ังปวง, ทงั้ หมด]

สพพฺ ศัพท์ ในบาลี มี ๒ ประเภท คือ
๑. สัปปเทสสัพพะ สัพพะทม่ี สี ว่ นเหลอื คือ ทงั้ หมดไม่จรงิ คอื ยังมยี กเว้น
บางสว่ น หมายความว่า ยงั มขี อ้ ยกเว้นเปน็ กรณพี เิ ศษในบางท่ี เช่น
สพฺเพ ตสนตฺ ิ ทณฺฑสฺส สพเฺ พ ภายนฺติ มจจฺ ุโน.261
สตั ว์ทงั้ ปวงยอ่ มกลัวต่ออาชญา สัตวท์ ้งั ปวงยอ่ มกลัวต่อความตาย
สพฺพ ศพั ท์ (ทั้งปวง) ในท่นี ี้ สตั วท์ งั้ หมดกลัวตอ่ าชญา แตท่ ่จี ริงแลว้ ไม่ใช่
ท้ังหมด เพราะยังยกเว้น พระอนาคามี, พระอรหันต์, บุรุษอาชาไนย, ช้างอาชาไนย
และราชสหี ์
โส ปนายํ สพฺพ-สทฺโท สปปฺ เทสนปิ ปฺ เทสวสิ ยตาย ทุวิโธ.262
ก็ สพฺพ ศัพท์ นัน้ มี ๒ ประเภท คอื สพั พะท่ีสว่ นเหลอื (ท้ังปวงยกเว้น
บางสว่ น) และสัพพะท่ีไมม่ ีส่วนเหลือ (ทั้งหมดทั้งปวง คือ ท้ังหมดจรงิ ๆ ไม่มีสว่ นเหลอื )
ปเทสวิสโย สพฺพ-สทฺโท โหติ ยถา “สพฺเพ ตสนตฺ ิ ทณฑฺ สสฺ า”ตอิ าทีสุ.263
สพพฺ ศพั ท์ เปน็ ศพั ทท์ มี่ สี ว่ นเหลอื (คอื ทง้ั ปวงเวน้ บางสว่ น) เหมอื นตวั อยา่ ง
วา่ “สตั ว์ทง้ั ปวงย่อมกลวั ตอ่ อาชญา” เป็นตน้
สพฺพสทโฺ ท เจตฺถ สปฺปเทสวิสโย “สพฺเพ ตสนฺติ ทณฑฺ สสฺ า”ติอาทสี ุ วยิ .264
ก็ สพพฺ -ศัพท์ ในค�ำวา่ สพฺพกิเลสา น้ี เป็น สพพฺ ศพั ท์ทม่ี ีสว่ นเหลอื [คือ
ท้ังหมดยกเว้นบางส่วน หรือยกเว้นส่วนน้อย] เหมือนตัวอย่างว่า “สพฺเพ ตสนฺติ
ทณฺฑสฺส สัตว์ทั้งหมดกลัวต่ออาชญา”[ยกเว้น พระอนาคามี, พระอรหันต์, บุรุษ
อาชาไนย, ชา้ งอาชาไนย ม้าอาชาไนย โคอาชาไนยและราชสหี ]์ 265

261 ข.ุ ธ. (บาลี) ๒๕/๑๒๙/๔๐.
262 ข.ุ อิต.ิ อ. (บาล)ี ๑/๗/๕๘.
263 ท.ี ปา.ฏีกา (บาลี) ๓/๓๐๓/๑๑๒.
264 ท.ี สี. อภินวฏีกา (บาล)ี ๑/๗/๓๗๗.
265 ขุ.ชา.อ. (บาลี) ๕/๙๓/๔๗,

สทฺธมโฺ ม จริ ํ ตฏิ ฺตุ

สังวรรณนา 81

๒. นปิ ปเทสสัพพะ สพั พะท่ไี มม่ สี ่วนเหลอื คือ ทง้ั หมดจริงๆ ไมเ่ หลอื ไมม่ ี
ยกเวน้ ส่ิงใดๆ ทง้ั สิน้ เชน่

สพฺเพ ธมมฺ า อนตฺตา266
ธรรมท้ังปวงเป็นอนัตตา
สพพฺ ศพั ทใ์ นทน่ี ้ี ธรรมทงั้ หมดทุกอย่างท่เี ปน็ บญั ญตั แิ ละปรมตั ถ์ คือ รูป
นาม ท่ีเป็นโลกิยะและโลกตุ ตระ นพิ พาน และบัญญัติ ไม่มีส่วนเหลือ คอื ทั้งหมดจรงิ ๆ

สพเฺ พ ธมมฺ า.267
ธรรมทงั้ ปวง

สพฺเพ ธมฺมาติ สพฺพสงฺขตาสงขฺ ตธมฺมปริยาทานํ. 268
ค�ำว่า ธรรมทั้งปวง (สพฺเพ ธมฺมา) ไดแ้ ก่ เป็นค�ำท่ีรวมเอาสังขตธรรมและ
อสังขตธรรมทัง้ ปวง

สพพฺ ํ รปู ํ อนิจฺจ.ํ สพฺพา เวทนา อนจิ จฺ า 269
รูปทงั้ ปวงไม่เท่ียง เวทนาทงั้ ปวงไม่เทย่ี ง

สพฺเพ ธมฺมา สพพฺ ากาเรน พทุ ฺธสฺส ภควโต าณมเุ ข อาปาถมาคจฉฺ นฺต.ิ 270
ธรรมทงั้ ปวงมาปรากฏตอ่ พระญาณของพระผมู้ พี ระภาคผรู้ แู้ จง้ โดยอาการ
ทัง้ ปวง

สพเฺ พ ธมฺมา อนตฺตาติ นิพพฺ านํ อนโฺ ตกตวฺ า วตุ ตฺ .ํ 271
ค�ำว่า ธรรมทัง้ ปวง เป็นอนัตตา [ไม่ใชต่ วั ตน บคุ คล เรา เขา] (สพเฺ พ
ธมมฺ า อนตตฺ า) ไดแ้ ก่ ตรัสท�ำนพิ พานไวภ้ ายใน

266 .ขุ.จ.ู (บาลี) ๓๐/๘/๔๐.

267 ขุ.ม. (บาล)ี ๒๙/๖๙/๑๔๙.

268 ขุ.ม.อ (บาล)ี ๑/๖๙/.
269 ม.ม.ู อ. (บาลี) ๑/๑/๑๙.
270 ข.ุ จู. (บาล)ี ๓๐/๘๕/๑๘๔.
271 ขุ.จู.อ. (บาล)ี ๑/๘/๘.

สทธฺ มฺโม จิรํ ติฏฺ ตุ

82 สังวรรณนา

สพฺเพ ธมฺมาติ นพิ พฺ านมปฺ ิ อนฺโตกตวฺ า วุตฺตา.272
ค�ำว่า ธรรมทั้งปวง (สพเฺ พ ธมมฺ า) ไดแ้ ก่ ตรสั ท�ำแม้นิพพานไวใ้ นภายใน
สพเฺ พ ธมฺมา อนตตฺ าติ สพฺเพ จตุภูมกธมมฺ า อนตฺตา.273
ค�ำว่า ธรรมทัง้ ปวงเป็นอนตั ตา (สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา) ได้แก่ ธรรมท่ีเปน็
ไปในภมู ิ ๔ [คอื กามภูมิ รูปภมู ิ อรูปภูมิ และ โลกตุ ตรภมู ิ] ทั้งปวง

272 ขุ.ม.อ. (บาลี) ๑/๘/๒๑๙.
273 สํ.ข.อ. (บาลี) ๓/๙๐/๓๔๖.

สทฺธมโฺ ม จิรํ ติฏฺตุ

สังวรรณนา 83

การอธิบายความแบบต้ังวิเคราะห์

การอธบิ ายความแบบตงั้ รปู วเิ คราะห์ คอื การอธบิ ายความบทตง้ั โดยอธบิ าย
แสดงตั้งรูปวิเคราะห์บทต้ังให้ได้ความหมายชัดเจน การอธิบายบทต้ังโดยอธิบายรูป
วิเคราะห์บทแบบนี้ บทตั้งเป็นวิภัตติใดก็ตาม เวลาอธิบายต้องอธิบายต้ังรูปวิเคราะห์
เปน็ ปฐมาวภิ ตั ตแิ นน่ อนเสมอ เมอ่ื อธบิ ายตง้ั รปู วเิ คราะหเ์ สรจ็ กต็ อ้ งท�ำใหเ้ ปน็ วภิ ตั ตเิ ดมิ
เหมอื นตอนเปน็ บทตง้ั คอื หากบทตง้ั เปน็ วภิ ตั ตใิ ดกต็ อ้ งเปน็ วภิ ตั ตนิ นั้ หมายถงึ หากบท
ตัง้ เป็นสัตตมวี ิภัตติก็ต้องเปน็ สตั ตมวี ภิ ัตตเิ ชน่ เดิม เช่น

สาวตฺถิยํ วหิ รตตี ิ เอตฺถ สาวตฺถีติ สวตถฺ สสฺ อิสโิ น นวิ าสฏฺ านภูตํ นครํ
ตสสฺ ํ สาวตฺถยิ .ํ 274

เมืองอันเป็นท่ีอยู่ของฤาษีช่ือว่าสวัตถะช่ือว่า เมืองสาวัตถี ในค�ำว่า
สาวตฺถิยํ วิหรติ นี้ (พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่วัดเชตวันอารามของอนาถปิณฑิก
เศรษฐี) ใกลเ้ มืองสาวตั ถีนั้น

บทตั้ง คือ สาวตฺถิยํ เป็นสัตตมีวิภัตติ เวลาอธิบายท่านอธิบายเป็นปฐมา
วภิ ตั ติ คือ สาวตถฺ ีติ ... นครํ เพอ่ื แสดงรูปวเิ คราะห์ เม่ืออธิบายรปู วิเคราะหเ์ สร็จก็ตอ้ ง
ท�ำให้เหมือนเดมิ คือ สัตตมีวิภัตติ เป็น สาวตฺถิยํ ส่วนมากท่านจะใส่ สรรพนามเขา้ มา
ดว้ ย เช่น ตวั อย่างนี้ ตสสฺ ํ สาวตฺถิยํ การอธบิ ายบทตั้งแบบแสดงรปู วเิ คราะห์ทัง้ หมดใน
อรรถกถาและฎีกา เปน็ เช่นนีเ้ สมอ นักศกึ ษาควรสังเกตให้ดี

274 ขุ.ข.ุ อ. (บาล)ี ๑/๑/ ๓๐/๘๕/๑๘๔.
สทฺธมโฺ ม จริ ํ ติฏฺตุ

84 สังวรรณนา

ทนั ตเฉทนนยั [การอธบิ ายความดจุ ตดั งาช้าง]

หมายถงึ การอธบิ ายความของบทดจุ วธิ กี ารตดั งาชา้ ง หมายความวา่ อธบิ าย
ตัดบทท่ีเป็นทุติยาวิภัตติเป็นต้นให้เป็นบทปฐมาวิภัตติตามระเบียบของรูปวิเคราะห์
ทั่วไป คือ เวลาต้ังรูปวิเคราะห์ต้องต้ังเป็นปฐมาวิภัตติเหมือนการตัดงาช้างให้เปลี่ยน
รูปไปจากเดิม เช่น

จกฺขปุ าโล จ โส เถโร จาติ จกฺขุปาลตเฺ ถโร. ตํ จกฺขุปาลตเฺ ถร.ํ 275
ผู้น้ันเป็นจักขุบาลด้วย เป็นผู้เถระ(ผู้มั่นคง) ด้วย เพราะเหตุน้ัน จึงช่ือว่า
พระจกั ขุบาลเถระ ซึ่งพระจกั ขบุ าลเถระนั้น
ค�ำวา่ จกฺขปุ าลตเฺ ถโร ท่านอธิบายตัดจากทตุ ยิ าวภิ ัตติ คือ จกฺขุปาลตฺเถรํ
มาเปน็ ปฐมาวิภัตติ คือ จกขฺ ปุ าลตฺเถโร เพราะเวลาตั้งวเิ คราะหต์ อ้ งตง้ั เปน็ ปฐมาวิภตั ติ
แนน่ อนตามกฏการวเิ คราะห์ศัพท์

ทันตโสธนนยั [การอธิบายความดุจขัดงาช้าง]

หมายถงึ การอธบิ ายความของบททท่ี �ำใหเ้ ปน็ เหมอื นเดมิ ดจุ วธิ ขี ดั เกลาเหลา
งาชา้ งให้แหลมเหมือนเดมิ เชน่

จกขฺ ปุ าโล จ โส เถโร จาติ จกฺขปุ าลตเฺ ถโร. ตํ จกขฺ ปุ าลตเฺ ถรํ.
ผู้นั้นเป็นจักขุบาลด้วย เป็นผู้เถระ(ผู้ม่ันคง) ด้วย เพราะเหตุน้ัน จึงช่ือว่า
จกั ขบุ าลเถระ ซึง่ พระจักขบุ าลเถระนน้ั
ค�ำว่า จกฺขุปาลตฺเถรํ ท่านอธิบายท�ำให้เป็นรูปเดิม หมายความว่า ค�ำว่า
จกขฺ ปุ าลตเฺ ถรํ อธบิ ายท�ำใหเ้ ปน็ ทตุ ยิ าวภิ ตั ตเิ หมอื นเดมิ คอื เหมอื นตอนทเี่ ปน็ บทตง้ั คอื
จกขฺ ปุ าลตเฺ ถรํ เพราะตอนวเิ คราะหต์ อ้ งตงั้ วเิ คราะหเ์ ปน็ ปฐมาวภิ ตั ติ คอื จกขฺ ปุ าลตเฺ ถโร
แน่นอน แล้วอธิบายตัดให้เหมือนเดิม คือเป็นทุติยาวิภัตติว่า จกฺขุปาลตฺเถรํ ตอนท่ี
ท�ำใหเ้ หมือนเดมิ ส่วนมากแลว้ ท่านใสส่ รรพนามเข้ามาดว้ ย เช่น ตํ จกฺขุปาลตฺเถรํ ซง่ึ
พระจกั ขุบาลเถระนัน้ .

275 ขุ.ธ.ฏีกา (บาลี) ๑/๑/๗.
สทธฺ มโฺ ม จิรํ ติฏฺตุ

สังวรรณนา 85

อาห อาทิ ลบปฐมาวิภัตตทิ ่อี าท-ิ ศัพท2์ 76

ในอรรถกถาและฏกี าเปน็ ตน้ มกี ฎการเขยี นวา่ หาก อาห อยหู่ นา้ อาทศิ พั ท์
ให้ลบปฐมาวิภัตตทิ ่อี าทิ-ศพั ท์ อธบิ ายว่า กิรยิ า คอื อาห อยู่หนา้ อาทิศพั ท์อยหู่ ลงั ต้อง
ลบปฐมาวภิ ัตติทอี่ าทิศัพท์ เช่น

อิทานิ อรูปาวจรํ อารมฺมณเภเทน จตุธา วิภชิตฺวา ทสฺเสนฺโต อาห
“อากาสานญฺจายตนา”ตอิ าท.ิ 277

บดั นพี้ ระอนรุ ทุ ธาจารย์จ�ำแนกแสดงอรปู าวจรจิตออกเป็น ๔ ประการโดย
ประเภทเหตแุ หง่ อารมณ์ กลา่ วแลว้

ค�ำท่ีถูกกล่าวนั้น (ตํ วจนํ) มคี �ำว่า อากาสานญฺจายตนะเปน็ ตน้ (แปลโดย
พยัญชนะ)

แปลโดยอรรถว่า บัดน้ี พระอนุรุทธาจารย์เมื่อประสงค์จะจ�ำแนกแสดง
อรูปาวจรจิตออกเป็น ๔ ประการโดยประเภทเหตุแห่งอารมณ์ แล้วจึงกล่าวค�ำว่า
อากาสานญั จายตนะเป็นตน้

ตัวอย่าง น้ี กริ ิยาคอื อาห อยู่ หน้าอาทศิ ัพท์ สว่ น อาทิศพั ทอ์ ยู่หลัง ลบ
ปฐมาวิภัตติท่ีอาทิศัพท์ น้ีเป็นกฎระเบียบการเขียนอรรถกถาและฏีกาเป็นต้น ดังน้ัน
นกั ศกึ ษาควรเรยี นรจู้ ะไดเ้ ข้าใจ และแปลอรรถกถาและฎกี าได้ง่าย

ทสเฺ สนโฺ ต อาห “สพฺพกายปฏสิ ํเวที”ติอาท.ิ 278
เมื่อจะแสดงจงึ กล่าวค�ำว่า “ เสวยกายทั้งปวง”เปน็ ต้น

ทสเฺ สนโฺ ต อาห “อหํ ภิกขฺ เว”ติอาท.ิ 279
เมอื่ จะทรงแสดงจงึ ตรัสพระด�ำรสั ว่า “ ภกิ ษทุ ั้งหลาย เรา” เปน็ ต้น

276 พระอาทจิ จรงั สีมหาเถระ, คัมภีรตั ถนิยามวสิ สัชชนา, เลม่ ที่ ๓,
พิมพค์ รงั้ ท่ี ๒, (ย่างกุ้ง: โรงพมิ พช์ ัมพมู ติ สเวปฏิ กัต, ๒๔๗๙), หนา้ ๖๑ - ๖๒.
277 วภิ าวินี (บาล)ี ๑/๒๖/๙๕.
278 ข.ุ ป.อ.(บาลี) ๒/๑๖๓/๑๐๕.
279 ท.ี สี.อภนิ วฏีกา. (บาล)ี ๑/-/๕๗.

สทฺธมฺโม จริ ํ ติฏฺ ตุ

86 สังวรรณนา

ทสเฺ สนโฺ ต อาห “ยถา”ติอาทิ.280
เมื่อจะแสดงจึงกล่าวค�ำวา่ “ยถา” เป็นต้น
ทสเฺ สนฺโต อาห “เอวํ ปนา”ตอิ าท.ิ 281
เมอ่ื จะแสดงจงึ กล่าวค�ำว่า “เอวํ ปน” เปน็ ต้น
ทสฺเสนโฺ ต อาห “ชีวิตนิ ทฺ รฺ ยิ ํ ปนา”ติอาทิ.282
เมื่อจะแสดงจึงกล่าวค�ำวา่ “ชวี ติ ินฺทรฺ ยิ ํ ปน” เปน็ ต้น

อาทิ อาห ลงทุตยิ าวิภตั ติท่อี าทิศพั ท2์ 83

อาทิศัพท์อยู่หน้า อาหอย่หู ลัง ใหล้ งทตุ ยิ าวภิ ตั ตทิ ีอ่ าทศิ ัพท์ เช่น
ยสสฺ สตฺถโุ น ปณามํ กตฺตกุ าโม, ตสฺส คุณวิเสสทสฺสนตถฺ ํ “กรุณา
วิยา”ติอาทมิ าห.284
พระฎีกาจารย์ประสงค์จะกระท�ำการนอบน้อมพระศาสดาพระองค์ใดจึง
กลา่ วค�ำเปน็ ต้นวา่ “กรุณา วยิ ” เพื่อแสดงคณุ วเิ ศษของพระศาสดาพระองค์น้ัน

บทตัง้ ที่ประกอบด้วย เอตถฺ

ในกรณีท่ีต้องการจะอธิบายความหมายของบทไปตามล�ำดับ คือ อธิบาย
บทไปทีละบทๆ ในหมู่บทหลายบทจนหมด พระอรรถกถาจารย์และพระฎีกาจารย์ใส่
เอตถฺ หลังบทตงั้ ทีป่ ระกอบดว้ ย อิติ ศพั ท์ไว้โดยตรง แล้วอธิบายไปทีละบท ตามล�ำดบั
จนหมดเพือ่ ความชัดเจน เชน่

280 อภิ.สง.ฺ มูลฏีกา (บาล)ี ๑/๑๘-๒๐/๑๕.
281 อภิ.ว.ิ มลู ฏกี า (บาล)ี ๒/๒๐/๑๙.
282 อภิ.ปญจฺ .อนุฏีกา (บาลี) ๓/๕/๑๐.
283 พระอาทิจจรงั สีมหาเถระ, คัมภรี ตั ถนิยามวิสสัชชนา, เล่มท่ี ๓,
พิมพค์ รั้งที่ ๒, (ย่างกงุ้ : โรงพมิ พ์ชัมพูมิตสเวปิฏกตั , ๒๔๗๙), หน้า ๖๑ - ๖๓.
284 อภิ.สง.ฺ มูลฏกี า (บาล)ี ๑/๑/๒.

สทธฺ มฺโม จริ ํ ตฏิ ฺตุ

สังวรรณนา 87

ลาภสกฺการสิโลกนฺติ เอตฺถ จตตฺ าโร ปจฺจยา ลพฺภนตฺ ตี ิ ลาภา เตเยว สฏุ ฐฺ ุ
กตฺวา ปฏิสงขฺ รติ ฺวา ลทฺธา สกกฺ าโร วณฺณภณนํ สโิ ลโก.285

ในค�ำว่า ลาภสกฺการสโิ ลกํ น้ี ช่ือวา่ ลาภ เพราะอรรถวา่ ปัจจยั ๔ อนั
บุคคลได้ ชอื่ ว่า สักการะ เพราะไดป้ ัจจยั ๔ เหล่าน้นั นนั่ เองโดยเขาตกแตง่ อย่างดีแลว้
จงึ ให้ การยกยอ่ ง ชือ่ ว่า สโิ ลกะ

ท่านไดอ้ ธบิ ายความหมายของบทตงั้ คือ ลาภสกฺการสิโลกํ อันมี อิติ ศัพท์
โดยประกอบดว้ ย เอตฺถ ทบี่ ทต้ัง แล้วอธิบายไปทีละบทคอื เริ่มแต่ ลาภ สกฺการ และ
สิโลก ไปตามล�ำดับ เพ่ือความกระจ่างชดั

บทต้ังท่ีไม่ประกอบดว้ ย เอตถฺ

ตามปกติในกรณีที่ต้องการอธิบายความของบทไปตามล�ำดับในหมู่บท
หลายบท พระอรรถกถาจารย์และพระฎีกาจารย์ใส่ เอตฺถ หลังบทตั้งท่ีประกอบด้วย
อิติ ศัพท์ แล้วอธบิ ายไปทลี ะบท ตามล�ำดับ แตบ่ างแหง่ ตอ้ งการอธบิ ายเพียงบทเดียว
หรือบางบทในหมู่บทโดยมากท่านไม่ใส่ เอตฺถ หลังบทตั้ง แต่เวลาแปลนักศึกษาต้อง
ใสเ่ ข้ามาแปลเอง เช่น286

อฏฺปตี ิ (เอตฺถ) ปิสทฺโท สมฺปณิ ฑฺ นตฺโถ.287
ปิ ศัพท์ในค�ำวา่ อฏฺปิ (น)้ี มีความหมายวา่ รวบรวม
ท่านอธิบายความหมายของบทต้ังเพียงบทเดียว คือ ปิ ในอฏฺปิ ดังน้ัน
ทา่ นจึงไมใ่ ส่ เอตถฺ หลังบทตั้งท่ีประกอบด้วย อิติ ศัพท์ แต่เวลาแปล ผู้แปลตอ้ งใสเ่ ขา้
มาแปลเอง เปน็ อฏฺปีติ เอตถฺ ปสิ ทโฺ ท สมปฺ ิณฺฑนตโฺ ถ แปลว่า ปิ ศัพท์ในค�ำวา่ อฏฺปิ
(น้ี) มีความหมายว่า รวบรวม

285 ท.ี ส.ี อ. (บาลี) ๑/๒๐.
286 พระอาทิจจรงั สีมหาเถระ, คมั ภีรตั ถนยิ ามวสิ สชั ชนา, เล่มที่ ๓,
พมิ พค์ รง้ั ที่ ๒, (ย่างกุง้ : โรงพมิ พช์ มั พมู ติ สเวปฏิ กตั , ๒๔๗๙), หน้า ๓๕-๓๖.
ชวยเยซองนิยาม หนา้ ๖๔๑.
287 วภิ าวนี. (บาล)ี ๑/๔/๘๐.

สทธฺ มโฺ ม จิรํ ตฏิ ฺตุ

88 สังวรรณนา

๑. ภาษาบาล-ี ไทย: บรรณานกุ รม

ก. ข้อมลู ปฐมภมู ิ

มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙.

. อรรถกถาภาษาบาลี ฉบับมหาจฬุ าอรรถกถา. กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, โรงพิมพ์วิญญาณ, ๒๕๓๙.

. อรรถกถาภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าอรรถกถา. กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๖.

. ฏีกาบาลี ฉบับหมาจุฬาฎีกา. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพม์ หาจฬุ า
ลงกรณราชวิทยาลัย, โรงพมิ พ์วญิ ญาณ, ๒๕๓๙–๒๕๔๕.

ข. ขอ้ มูลทุติยภูมิ

(๑) หนงั สือ:
พระพทุ ธปั ปยิ มหาเถระ. ปทรปู สทิ ธฺ .ิ กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พธ์ รรมสภา,
๒๕๔๓.
พระสุมังคลมหาสามิ. อภิธมฺมตฺถสงฺคหปาลิยา สห อภิธมฺมตฺถวิภาวินี
นาม อภธิ มมฺ ตถฺ สงคฺ หฏกี า. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หากมฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๐.
พระชาคราภวิ งศ.์ ปาจติ ยฺ าทโิ ยชนาปาล.ิ ยา่ งกงุ้ : โรงพมิ พก์ รมการศาสนา,
๒๕๑๖.
พระเถระชาวพม่า. อภิธานพระไตรปฎิ กบาล-ี พมา่ . ย่างกุ้ง: โรงพิมพก์ รม
การศาสนา, ๒๕๔๓.
พระอาทิจจรังสีเถระ. คัมภีรัตถนิยามวิสสัชชนา. ย่างกุ้ง:โรงพิมพ์ชัมพู-
มิตสเวปฏิ กตั , ๒๔๗๙.
พระอัคคธัมมาภิวงศ์. อธิบายสังวัณณนานิยาม. มัณฑะเลย์: โรงพิมพ์

สทธฺ มฺโม จริ ํ ติฏฺ ตุ

สงั วรรณนา 89

มณั ฑะเลย,์ ๒๕๓๒.
พระญาณวรมหาเถระ. ปทวจิ าร. ยา่ งกุ้ง: โรงพมิ พ์สุธัมมวด,ี ๒๕๒๔.
พระมหาสาม.ิ สโุ พธาลงกฺ ารฏกี า. ยา่ งกงุ้ : โรงพมิ พก์ รมการศาสนา, ๒๕๒๑.
พระญาณวรมหาเถระ. “สังวรรณนาวิจาร” ในปทวจิ าร. ย่างกุ้ง: โรงพมิ พ์

สุธมั มวด,ี ๒๕๒๓.
พระคนั ธสาราภิวงศ์. สังวรรณนามัญชรแี ละสังวรรณนานิยาม. กรงุ เทพ

มหานคร: โรงพมิ พพ์ ทิ ักษ์อักษร, ๒๕๔๕.
พระมหานิมติ ธมฺมสาโร. ปทวจิ ารทีปน.ี กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ไทย

รายวนั การพิมพ,์ ๒๕๔๗.
พระมหาสมปอง มุทิโต. อภิธานวรรณนา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์

ธรรมสภา, ๒๕๕๕.

สทฺธมโฺ ม จิรํ ตฏิ ฺตุ

90 สังวรรณนา

ประวัติผเู้ ขียน
ชอื่ พระศรคี ัมภรี ญาณ, ป.ธ.๙, Ph.D. (Pali) (มานิต วีริยธโร, วงษม์ า)

เกดิ : วันพุธท่ี ๕ เดอื น พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๑
สถานท่เี กดิ บา้ นเลขท่ี ๙๗ หมู่ ๒๒ ต. แกง่ หางแมว อ. แก่งหางแมว จ. จันทบุรี
๒๒๑๖๐
การศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๔
จบเปรยี ญธรรม ๙ ประโยค ส�ำ นักเรียน วัดทา่ มะโอ ต. เวียงเหนือ
อ. เมอื งล�ำ ปาง จ. ล�ำ ปาง
พ.ศ. ๒๕๕๐.
จบช้นั วสิ ทุ ธารามวงั สปาลธมั มาจริยะ (เทียบเท่า ป.ธ.๙)
ณ วดั วสิ ุทธาราม จังหวัดมณั ฑะเลย์ ประเทศพมา่
พ.ศ. ๒๕๖๐
จบปริญญาพุทธศาสตรดษุ ฎีบัณฑิตสาขาวชิ าบาลีพุทธศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
ประสบการณก์ ารทำ�งาน
อาจารย์พเิ ศษสอนบาลที ีว่ ทิ ยาลยั เขตบาฬศี ึกษาพทุ ธโฆส นครปฐม

แปลสทั ทานุกรมพระไตรปิฎกเชิงวิจยั ฉบับบาลี-ไทย, สอนนักธรรม
บาลแี ละอบรมสามเณรภาคฤดูร้อน
ผลงานทางวชิ าการ สัททานกุ รมพระไตรปฎิ กเชงิ วิจยั ฉบับบาลี-ไทย
สงั กดั : วัดพชิ ยญาติการาม วรวิหาร เขตคลองสานกรงุ เทพมหานคร ๑๐๖๐๐
หน้าท ่ี แปลสัททานุกรมพระไตรปิฎกเชิงวิจัยฉบับบาล-ี ไทย

สทฺธมโฺ ม จิรํ ติฏฺตุ


Click to View FlipBook Version