The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kanokporn.malichim, 2022-02-25 20:38:25

~$5

~$5

คำนำ

รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา มีเนื้อหาเกี่ยวกับ
ความร้เู บื้องต้นเกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ความสำคัญนวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ
การนำนวตั กรรมเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการจัดการศึกษา มีการยกตัวยา่ งเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา ไว้พอ
สังเขป เพื่อเป็นแนวทางในการค้นหาความรู้เก่ียวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา โดย
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่สนใจข้อมูลในรายงานเล่มนี้ จะได้นำข้อมูลเหล่านี้ไปศึกษาเพื่อเติม หรือเป็น
แนวทางในการจัดการศึกษา จากแหล่งความรู้ทีไ่ ด้กล่าวไว้ หาหมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำต้องขออภัย
มา ณ ทน่ี ี้

ปณดิ า นิตยาชติ ร

สารบญั หนา้

เร่อื ง 1
บทที1่ นวัตกรรมทางการศึกษา 1
3
ความหมายของนวัตกรรม 5
ความหมายของนวัตกรรมการศกึ ษา 6
ความหมายของเทคโนโลยี 7
เป้าหมายของเทคโนโลยีการศึกษา 7
แนวคิดพ้ืนฐานของนวัตกรรมทางการศึกษา 8
หลักการพ้ืนฐานของนวตั กรรมการศึกษา 10
การพฒั นานวัตกรรมการศกึ ษา 11
ประเภทของนวัตกรรมการศึกษา 12
ประเภทของนวัตกรรม 14
ลักษณะของนวตั กรรมการศกึ ษา
นวัตกรรมทางการศึกษาท่ีสำคัญของไทยในปัจจุบัน 20
นวตั กรรมทางการศกึ ษาตา่ งๆ ทกี่ ลา่ วถึงกนั มากในปัจจบุ ัน [ E-learning / M-Leaning ] 25
บทที่2 ความรู้เบ้อื งตน้ เกี่ยวกบั เทคโนโลยีสารสนเทศ 27
ความหมายของคอมพวิ เตอร์ 30
ความหมายของอนิ เทอร์เน็ต 30
ระบบการสืบค้นผา่ นเครือขา่ ยเพื่อการเรียนรู้ 32
ความหมายของ ข้อมูล 34
ชนดิ ของขอ้ มลู 34
กรรมวธิ กี ารจัดการขอ้ มลู 35
ความหมายของ สารสนเทศ 36
สาเหตทุ ่ีทำใหเ้ กดิ สารสนเทศ 36
ความสำคญั ของสารสนเทศ 38
บทบาทของสารสนเทศ 39
คณุ ลักษณะของสารสนเทศท่ดี ี 40
ประโยชน์ของการรับ-สง่ ข้อมลู ทางจดหมายอิเลก็ ทรอนกิ ส์ 41
หลักเกณฑ์การประเมนิ ผลลพั ธ์ หรือผลผลิต
คุณภาพของสารสนเทศ
ววิ ัฒนาการของสารสนเทศ

เรื่อง 42
ประโยชน์ของระบบสารสนเทศ 48
51
เทคโนโลยสี ือ่ สารโทรคมนาคม 52
52
ความสำคัญของเทคโลโลยสี ารสนเทศ 55
56
องคป์ ระกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ปจั จยั ที่ทำให้เกิดความลม้ เหลวในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ 60
61
ผลของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 65
65
เทคโนโลยีสารสนเทศกับการใชช้ ีวติ ในสังคมปจั จุบัน 76
79
บทที่ 3 คอมพวิ เตอร์และอนิ เทอรเ์ น็ตกบั เทคโนโลยีสารสนเทศ 85
ความหมายและความเป็นมาของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 87
เทคโนโลยแี ละสารสนเทศเพอ่ื การเรยี นรู้ 88
ส่อื เพื่อการเรยี นรู้ 89
หลักการออกแบบนวัตกรรมและสอื่ เพอื่ การเรียนรู้ 97
การเรียนรู้ แหลง่ เรียนรู้ เครือขา่ ยการเรยี นรู้
การจดั การเรยี นร้บู นเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต

ระบบการสืบคน้ ผา่ นเครอื ข่ายเพ่อื การเรียนรู้
การสบื คน้ และรบั ส่งขอ้ มลู แฟ้มขอ้ มูล

สารสนเทศเพอ่ื ใช้ในการจดั การเรยี นรู้

การวิเคราะหป์ ญั หาท่ีเกิดจากการใช้นวัตกรรม

อ้างอิง

1

บทท1่ี

นวตั กรรมทางการศกึ ษา

นวัตกรรมมีความสำคัญต่อการศึกษาหลายประการ ทั้ง นี้เนื่องจากในโลกยุคโลกาภิวัตน์โลกมีการ
เปลี่ยนแปลงในทุกด้านอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าทั้งด้านเทคโนโลยีและ
สารสนเทศ การศึกษาจงึ จำเป็นต้องมีการพฒั นาเปลย่ี นแปลงจากระบบการศึกษาท่มี ีอยเู่ ดิม เพอ่ื ให้ทันสมัย
ต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาทางด้านศึกษา
บางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกันการเปลี่ยนแปลงทางด้านการศึกษาจึงจำเป็นต้องมี
การศกึ ษาเกี่ยว กับนวตั กรรมการศกึ ษาท่ีจะนำมาใช้เพ่อแกไ้ ขปญั หาทางการศึกษาในบางเร่ือง เชน่ ปัญหาท่ี
เกี่ยวเนื่องกัน จำนวนผู้เรียนที่มากข้ึน การพัฒนาหลักสูตรใหท้ ันสมัย การผลิตและพัฒนาสื่อใหม่ๆ ขึ้นมา
เพื่อตอบสนองการเรียนรู้ของมนุษย์ให้เพิ่มมากขึ้นด้วยระยะเวลาที่สั้นลง การ ใช้นวัตกรรมมาประยุกต์ใน
ระบบการบริหารจัดการด้านการศึกษาก็มีส่วนช่วยให้การ ใช้ทรัพยากรการ เรียนรู้เป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ เชน่ เกิดการเรียนร้ดู ้วยตนเอง

นวัตกรรม หมายถึงความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการ
พัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งข้ึน เมื่อนำ นวัตกรรมมาใช้จะช่วย
ให้การทำงานน้ันได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วย ประหยัดเวลาและแรงงาน
ได้ด้วย
“นวัตกรรม” (Innovation) มีรากศัพท์มาจาก innovare ในภาษาลาติน แปลว่า ทำสิ่งใหม่ขึ้นมา
ความหมายของนวัตกรรมในเชิงเศรษฐศาสตร์คือ การนำแนวความคิดใหม่หรือการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่
มีอยู่แล้วมาใช้ในรูปแบบใหม่ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือก็คือ ”การทำในสิ่งที่แตกต่าง
จากคนอื่น โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (Change) ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส
(Opportunity) และถ่ายทอดไปสู่แนวความคิดใหม่ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม”
แนวความคิดนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยจะเห็นได้จากแนวคิดของนักเศรษฐ
อ ุ ต ส า ห ก ร ร ม เ ช ่ น ผ ล ง า น ข อ ง Joseph Schumpeter ใ น The Theory of Economic
Development,1934 โดยจะเน้นไปที่การสร้างสรรค์ การวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี อันจะนำไปสู่การได้มาซึ่ง นวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Technological Innovation) เพื่อ
ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก นวัตกรรมยังหมายถึงความสามารถในการเรียนรู้และนำไปปฎิบัติให้
เกิดผลได้จริงอีกด้วย (พันธ์ุอาจ ชัยรัตน์ , Xaap.com)
คำว่า “นวัตกรรม” เป็นคำที่ค่อนข้างจะใหม่ในวงการศึกษาของไทย คำนี้ เป็นศัพท์บัญญัติของ
คณะกรรมการพิจารณาศัพท์วิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มาจากภาษาอังกฤษว่า Innovation
มาจากคำกริยาว่า innovate แปลว่า ทำใหม่ เปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งใหม่ ในภาษาไทยเดิมใช้คำว่า “นว
กรรม” ต่อมาพบว่าคำนี้มีความหมายคลาดเคลื่อน จึงเปลี่ยนมาใช้คำว่า นวัตกรรม (อ่านว่า นะ วัด ตะ

2

กำ) หมายถึงการนำส่ิงใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงเพ่ิมเติมจากวิธีการที่ทำอยู่เดิม เพื่อให้ใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น
ดังนั้นไม่ว่าวงการหรือกิจการใด ๆ ก็ตาม เมื่อมีการนำเอาความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อ
ปรับปรุงงานให้ดีข้ึนกว่าเดิมก็เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรม ของวงการน้ัน ๆ เช่นในวงการศึกษานำเอามาใช้
ก็เรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา” (Educational Innovation) สำหรับผู้ที่กระทำ หรือนำความ
เปล่ียนแปลงใหม่ ๆ มาใช้น้ี เรียกว่าเป็น “นวัตกร” (Innovator) (boonpan edt01.htm)

ทอมัส ฮิวช์ (Thomas Hughes) ได้ให้ความหมายของ “นวัตกรรม” ว่า เป็นการนำวิธีการใหม่ ๆ มา
ปฏิบัติหลังจากได้ผ่านการทดลองหรือได้รับการพัฒนามาเป็นขั้น ๆ แล้ว เริ่มตั้งแต่การคิดค้น
(Invention) การพัฒนา (Development) ซึ่งอาจจะเป็นไปในรูปของ โครงการทดลองปฏิบัติก่อน
(Pilot Project) แล้วจึงนำไปปฏิบัติจริง ซึ่งมีความแตกต่างไปจากการปฏิบัติเดิมที่เคยปฏิ บัติมา
(boonpan edt01.htm)

มอร์ตัน (Morton,J.A.) ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ว่าเป็นการทำให้ใหม่ขึ้นอีกครั้ง(Renewal) ซึ่ง
หมายถึง การปรับปรุงสิ่งเก่าและพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ตลอดจนหน่วยงาน หรือองค์การนั้น ๆ
นวัตกรรม ไม่ใช่การขจัดหรือล้มล้างสิ่งเก่าให้หมดไป แต่เป็นการ ปรับปรุงเสริมแต่งและพัฒนา
(boonpan edt01.htm)

โรเจอรส์ (Everette M. Rogers 1983) ได้ให้ความหมายของคำวา่ นวตั กรรม (Innovation) วา่ นวตั กรรม คอื
ความคิด การกระทำหรือวัตถใุ หม่ๆ ซึ่งถูกรับรู้วา่ เปน็ สิ่งใหมๆ่ ดว้ ยตวั บุคคลแต่ละคนหรอื หน่วย อืน่ ๆ ของการ
ยอมรับในสังคม (Innovation is a new idea, practice or object, that is perceived as new by the
individual or other unit of adoption)

ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2521 : 14) ได้ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ไว้ว่าหมายถึง วิธีการปฎิบัติใหม่ๆ ที่
แปลกไปจากเดิมโดยอาจจะได้มาจากการคิดค้นพบวิธีการใหม่ๆ ขึ้นมาหรือมีการปรับปรุงของเก่าให้
เหมาะสมและสิ่งทั้งหลายเหล่าน้ีได้รับการทดลอง พัฒนาจนเป็นที่เชื่อถือได้แล้วว่าได้ผลดีในทางปฎิบัติ
ทำให้ระบบก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

จรูญ วงศ์สายัณห์ (2520 : 37) ได้กล่าวถึงความหมายของ “นวัตกรรม” ไว้ว่า “แม้ในภาษาอังกฤษเอง
ความหมายก็ต่างกันเป็น 2 ระดับ โดยท่ัวไป นวัตกรรม หมายถึง ความพยายามใด ๆ จะเป็นผลสำเร็จ
หรือไม่ มากน้อยเพียงใดก็ตามที่เป็นไปเพื่อจะนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการท่ีทำอยู่เดิมแล้ว
กับอีกระดับหนึ่งซึ่งวงการวิทยาศาสตร์แห่งพฤติกรรม ได้พยายามศึกษาถึงท่ีมา ลักษณะ กรรมวิธี และ
ผลกระทบที่มีอยู่ต่อกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง คำว่า นวัตกรรม มักจะหมายถึง สิ่งที่ได้นำความเปลี่ยนแปลง

3

ใหม่เข้ามาใช้ได้ผลสำเร็จและแผ่กว้างออกไป จนกลายเป็นการปฏิบัติอย่างธรรมดาสามัญ (บุญเกื้อ ควร
หาเวช , 2543)
ความหมายของนวัตกรรมการศึกษา

นวัตกรรมการศกึ ษา (Educational Innovation) หมายถึง นวตั กรรมท่ีจะชว่ ยให้การ ศึกษาและการ
เรียน การสอนมีประสทิ ธิภาพดีย่ิงขึ้น ผูเ้ รียนสามารถเกิดการเรยี นร้อู ย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสงู กว่าเดิม เกิด
แรงจูงใจใน การเรียนด้วยนวัตกรรมการศึกษา และประหยัดเวลาใน การเรียนได้อีกด้วย ในปัจจุบันมีการใช้
นวัตกรรมการศึกษา มากมายหลายอย่างซึ่งมีทั้งนวัตกรรม ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแล้วและประเภทที่ก าลัง
เผยแพร่ เช่น การเรียนการ สอนที่ใช้คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (Computer Aids Instruction: CAI) การใช้แผ่น
วดี ทิ ศั น์เชงิ โตต้ อบ (Interactive Video) สอ่ื หลายมติ (ิ Hypermedia) และอินเทอร์เนต็ (Internet) เปน็ ต้น นกั
การศกึ ษาหลายทา่ นใหค้ านิยามของค าวา่ นวตั กรรมการศกึ ษา ดงั น้ี
ทิศนา แขมมณี(2526) ให้ความหมาย นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง กระบวนการ แนวคิดหรือ วิธีการใหมๆ่
ทางการศึกษาซึ่งอยู่ในระหว่างการ ทดลองที่จะจัดขึ้นมาอย่างมีระบบและกว้างขวางพอสมควร เพื่อ พิสูจน์
ประสิทธภิ าพ อันจะน าไปสู่การยอมรบั นำไปใช้ในระบบการศึกษาอยา่ งกวา้ งขวางต่อไป
ธำรงค์ บัวศรี(2527) ไดก้ ลา่ ววา่ นวตั กรรมการศกึ ษาถกู สรา้ งขนึ้ มา เพื่อแกป้ ัญหาทางการศกึ ษา
บุญเกื้อ ควรหาเวช (2521) ให้ความหมายไว้ว่า นวัตกรรมทางการศึกษา คือความคิดและการกระท า ใหม่ๆ
ในระบบการศึกษาทไี่ ดร้ บั การพสิ ูจนว์ า่ ดีท่ีสุดในสภาพปัจจุบันเพอ่ื สง่ เสรมิ ให้การเรยี นการสอนมี ประสิทธิภาพ
มากย่งิ ขน้ึ

ประพันธ์ ผาสุขยืด (2547 : ออนไลน์) อดีตผู้อ ำนวยการวิทยาลัยนวัตกรรมอุดมศึกษา
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตรแ์ ละผ้อู ำนวยการฝ่ายส่งเสรมิ การส่ือสารพฒั นาการเรียนรู้ สถาบนั ส่งเสริมการจัดการ
ความรู้เพื่อสังคม (สคส.) ได้กล่าวถึงนวัตกรรมทางการศึกษาว่า นวัตกรรม อาจมิได้หมายความว่าสิ่งใหม่ที่
เกิดขึ้น ในโลก แต่เป็นสิ่งที่แปลก ฉีกแนวจากที่นิยมท ากันอยู่อาจไม่ใช่ ประดิษฐ์กรรมใหม่หรือเทคโนโลยี
ล้าสมัย แต่เป็น สิ่งที่ได้รับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งใหม่และนวัตกรรมทางการศึกษาเป็นการจัดการ
เรียนรู้รูปแบบใหม่ ที่มี การบูรณาการกับความรู้ต่างๆ ให้เกิดการพัฒนาทั้งการบริหารการศึกษา หลักสูตร
วิธีการจัดการเรียนรู้

ลัดดา ศุขปรีดี(2523) ได้ให้ความหมาย นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง ความคิด วิธีการใหม่ ๆ ทางการเรียน
การสอน ซึ่งรวมไปถึงแนวคิด วิธีปฏิบัติที่เก่ามาจากที่อื่นและมีความเหมาะสมทีจ่ ะน ามาใช้ในการ เรียนการ
สอนในปจั จบุ นั

ความหมายของเทคโนโลยี
ความเจริญในด้านต่างๆ ที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นผลมาจากการศึกษาค้นคว้าทดลองประดิษฐ์
คิดค้นสิ่งต่างๆ โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เมื่อศึกษาค้นพบและทดลองใช้ได้ผลแล้ว ก็นำออก

4

เผยแพร่ใช้ในกิจการด้านต่างๆ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาคุณภาพ และประสิทธิภาพในกิจการ
ต่างๆ เหล่าน้ัน และวิชาการที่ว่าด้วยการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มาใช้ในกิจการด้านต่างๆ จึงเรียก
กันว่า “วิทยาศาสตร์ประยุกต์” หรือนิยมเรียกกันท่ัวไปว่า “เทคโนโลยี” (boonpan edt01.htm)
เทคโนโลยี หมายถึงการใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในการแก้ปัญหา ผู้ที่นำเอาเทคโนโลยี
มาใช้ เรียกว่านักเทคโนโลยี (Technologist) (boonpan edt01.htm)
เทคโนโลยีทางการศึกษา (Educational Technology) ตามรูปศัพท์ เทคโน (วิธีการ) + โลยี(วิทยา)
หมายถึง ศาสตร์ท่ีว่าด้วยวิธีการทางการศึกษา ครอบคลุมระบบการนำวิธีการ มาปรับปรุงประสิทธิภาพ
ของการศึกษาให้สูงขึ้นเทคโนโลยีทางการศึกษาครอบคลุมองค์ประกอบ 3 ประการ คือ วัสดุ อุปกรณ์
และวิธีการ (boonpan edt01.htm)
สภาเทคโนโลยีทางการศึกษานานาชาติได้ให้คำจำกัดความของ เทคโนโลยีทางการศึกษา ว่าเป็นการ
พัฒนาและประยุกต์ระบบเทคนิคและอุปกรณ์ ให้สามารถนำมาใช้ในสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม เพ่ือ
สร้างเสริมกระบวนการเรียนรู้ของคนให้ดีย่ิงขึ้น (boonpan edt01.htm)
ดร.เปร่ือง กุมุท ได้กล่าวถึงความหมายของเทคโนโลยีการศึกษาว่า เป็นการขยายขอบข่ายของการใช้สื่อ
การสอน ให้กว้างขวางขึ้นทั้งในด้านบุคคล วัสดุเครื่องมือ สถานที่ และกิจกรรมต่างๆในกระบวนการ
เรียนการสอน (boonpan edt01.htm)
Edgar Dale กล่าวว่า เทคโนโลยีทางการศึกษา ไม่ใช่เครื่องมือ แต่เป็นแผนการหรือวิธีการทำงานอย่าง
เป็นระบบ ให้บรรลุผลตามแผนการ (boonpan edt01.htm)
นอกจากนี้เทคโนโลยีทางการศึกษา เป็นการขยายแนวคิดเกี่ยวกับโสตทัศนศึกษา ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ทั้งน้ี เน่ืองจากโสตทัศนศึกษาหมายถึง การศึกษาเก่ียวกับการใช้ตาดูหูฟัง ดังน้ันอุปกรณ์ในสมัยก่อนมัก
เน้นการใช้ประสาทสัมผัส ด้านการฟังและการดูเป็นหลัก จึงใช้คำว่าโสตทัศนอุปกรณ์ เทคโนโลยี
ทางการศึกษา มีความหมายที่กว้างกว่า ซึ่งอาจจะพิจารณาจาก ความคิดรวบยอดของเทคโนโลยีได้เป็น
2 ประการ คือ

1. ความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์กายภาพ ตามความคิดรวบยอดนี้ เทคโนโลยีทางการ
ศึกษาหมายถึง การประยุกต์วิทยาศาสตร์กายภาพ ในรูปของสิ่งประดิษฐ์ เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์
โทรทัศน์ ฯลฯ มาใช้สำหรับการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นส่วนใหญ่ การใช้เครื่องมือเหล่านี้ มักคำนึงถึง
เฉพาะการควบคุมให้เครื่องทำงาน มักไม่คำนึงถึงจิตวิทยาการเรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องความแตกต่าง
ระหว่างบุคคล และการเลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหาวิชา ความหมายของเทคโนโลยีทางการศึกษา ตาม
ความคิดรวบยอดนี้ ทำให้บทบาทของเทคโนโลยีทางการศึกษาแคบลงไป คือมีเพียงวัสดุ และอุปกรณ์
เท่านั้น ไม่รวมวิธีการ หรือปฏิกิริยาสัมพันธ์อื่น ๆ เข้าไปด้วย ซึ่งตามความหมายนี้ก็คือ “โสตทัศน
ศึกษา” น่ันเอง

2. ความคิดรวบยอดทางพฤติกรรมศาสตร์ เป็นการนำวิธีการทางจิตวิทยา มนุษยวิทยา
กระบวนการกลุ่ม ภาษา การสื่อความหมาย การบริหาร เครื่องยนต์กลไก การรับรู้มาใช้ควบคู่กับผลิต
กรรมทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เพื่อให้ผู้เรียน เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ

5

ยิ่งขึ้นมิใช่เพียงการใช้เครื่องมืออุปกรณ์เท่านั้น แต่รวมถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย มิใช่วัสดุ
หรืออุปกรณ์ แต่เพียงอย่างเดียว (boonpan edt01.htm)

เป้าหมายของเทคโนโลยีการศึกษา
1. การขยายพิสัยของทรัพยากรของการเรียนรู้ กล่าวคือ แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ มิได้

หมายถึงแต่เพียงตำรา ครู และอุปกรณ์การสอน ที่โรงเรียนมีอยู่เท่าน้ัน แนวคิดทางเทคโนโลยีทางการ
ศึกษา ต้องการให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนจากแหล่งความรู้ที่กว้างขวางออกไปอีก แหล่งทรัพยากรการ
เรียนรู้ครอบคลุมถึงเร่ืองต่างๆ เช่น

1.1 คน คนเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่สำคัญซึ่งได้แก่ ครู และวิทยากรอื่น ซึ่งอยู่นอก
โรงเรียน เช่น เกษตรกร ตำรวจ บุรุษไปรษณีย์ เป็นต้น
1.2 วัสดุและเครื่องมือ ได้แก่ โสตทัศนวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ เครื่อง
วิดีโอเทป ของจริงของจำลองสิ่งพิมพ์ รวมไปถึงการใช้ส่ือมวลชนต่างๆ

1.3 เทคนิค-วิธีการ แต่เดิมนั้นการเรียนการสอนส่วนมาก ใช้วิธีให้ครูเป็นคนบอกเนื้อหา แก่
ผู้เรียนปัจจุบันน้ัน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองได้มากที่สุด ครูเป็นเพียง ผู้วางแผน
แนะแนวทางเท่านั้น
1.4 สถานที่ อันได้แก่ โรงเรียน ห้องปฏิบัติการทดลอง โรงฝึกงาน ไร่นา ฟาร์ม ที่ทำการรัฐบาล ภูเขา
แม่น้ำ ทะเล หรือสถานที่ใด ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ท่ีดีแก่ผู้เรียนได้
2. การเน้นการเรียนรู้แบบเอกัตบุคคล ถึงแม้นักเรียนจะล้นชั้น และกระจัดกระจาย ยากแก่การจัด
การศึกษาตามความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ นักการศึกษาและนักจิตวิทยาได้พยายามคิด หาวิธีนำเอา
ระบบการเรียนแบบตัวต่อตัวมาใช้ แต่แทนที่จะใช้ครูสอนนักเรียนทีละคน เขาก็คิด ‘แบบเรียน
โปรแกรม’ ซึ่งทำหน้าที่สอน ซึ่งเหมือนกับครูมาสอน นักเรียนจะเรียนด้วยตนเอง จากแบบเรียนด้วย
ตนเองในรูปแบบเรียนเป็นเล่ม หรือเครื่องสอนหรือสื่อประสมหลายๆ อย่าง จะเรียนช้าหรือเร็วก็ทำได้
ตามความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน

3. การใช้วิธีวิเคราะห์ระบบในการศึกษา การใช้วิธีระบบ ในการปฏิบัติหรือแก้ปัญหา เป็น
วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่เชื่อถือได้ว่าจะสามารถแก้ปัญหา หรือช่วยให้งานบรรลุเป้าหมายได้
เนื่องจากกระบวนการของวิธีระบบ เป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบของงานหรือของ ระบบ อย่างมี
เหตุผล หาทางให้ส่วนต่าง ๆ ของระบบทำงาน ประสานสัมพันธ์กันอย่างมีประสิทธิภาพ
4. พัฒนาเครื่องมือ-วัสดุอุปกรณ์ทางการศึกษา วัสดุและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการศึกษา หรือการ
เรียนการสอนปัจจุบันจะต้องมีการพัฒนา ให้มีศักยภาพ หรือขีดความสามารถในการทำงานใ ห้สูง
ยิ่งขึ้นไปอีก

6

แนวคิดพ้ืนฐานของนวัตกรรมทางการศึกษา
ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวิธีการศึกษา ได้แก่แนวความคิดพื้นฐานทางการศึกษาที่
เปล่ียนแปลงไป อันมีผลทำให้เกิดนวัตกรรมการศึกษาท่ีสำคัญๆ พอจะสรุปได้4 ประการ คือ
1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) การจัดการศึกษาของไทยได้ให้ความสำคัญใน
เรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเอาไว้อย่างชัดเจนซึ่งจะเห็นได้จากแผนการศึกษาของชาติ ให้มุ่งจัด
การศึกษาตามความถนัดความสนใจ และความสามารถ ของแต่ละคนเป็นเกณฑ์ ตัวอย่างที่เห็นได้
ชัดเจนได้แก่ การจัดระบบห้องเรียนโดยใช้อายุเป็นเกณฑ์บ้าง ใช้ความสามารถเป็นเกณฑ์บ้าง นวัตกรรม
ที่เกิดขึ้นเพ่ือสนองแนวความคิดพ้ืนฐานนี้ เช่น

- การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School)
- แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)
- เคร่ืองสอน (Teaching Machine)
- การสอนเป็นคณะ (TeamTeaching)
- การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
- เคร่ืองคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction)
2. ความพร้อม (Readiness) เดิมทีเดียวเชื่อกันว่า เด็กจะเริ่มเรียนได้ก็ต้องมีความพร้อมซึ่งเป็น
พัฒนาการตามธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันการวิจัยทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ ชี้ให้เห็นว่าความพร้อมใน
การเรียนเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ ถ้าหากสามารถจัดบทเรียน ให้พอเหมาะกับระดับความสามารถของเด็ก
แต่ละคน วิชาท่ีเคยเชื่อกันว่ายาก และไม่เหมาะสมสำหรับเด็กเล็กก็สามารถนำมาให้ศึกษาได้ นวัตกรรม
ที่ตอบสนองแนวความคิดพ้ืนฐานนี้ได้แก่ ศูนย์การเรียน การจัดโรงเรียนในโรงเรียน นวัตกรรมที่สนอง
แนวความคิดพ้ืนฐานด้านน้ี เช่น
- ศูนย์การเรียน (Learning Center)
- การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
- การปรับปรุงการสอนสามช้ัน (Instructional Development in 3 Phases)
3. การใช้เวลาเพื่อการศึกษา แต่เดิมมาการจัดเวลาเพื่อการสอน หรือตารางสอนมักจะจัดโดยอาศัย
ความสะดวกเป็นเกณฑ์ เช่น ถือหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง เท่ากันทุกวิชา ทุกวันนอกจากนั้นก็ยังจัดเวลา
เรียนเอาไว้แน่นอนเป็นภาคเรียน เป็นปี ในปัจจุบันได้มีความคิดในการจัดเป็นหน่วยเวลาสอนให้สัมพันธ์
กับลักษณะของแต่ละวิชาซ่ึงจะใช้เวลาไม่เท่ากัน บางวิชาอาจใช้ช่วงสั้นๆ แต่สอนบ่อยครั้ง การเรียนก็ไม่
จำกัดอยู่แต่เฉพาะในโรงเรียนเท่าน้ัน นวัตกรรมท่ีสนองแนวความคิดพ้ืนฐานด้านน้ี เช่น
- การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling)
- มหาวิทยาลัยเปิด (Open University)
- แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)
- การเรียนทางไปรษณีย์

7

4. ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการ และการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทำให้มีส่ิงต่างๆ
ที่คนจะต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอจึง
จำเป็นต้องแสวงหาวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในด้านปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้เรียน และปัจจัย
ภายนอก นวัตกรรมในด้านน้ีท่ีเกิดข้ึน เช่น

- มหาวิทยาลัยเปิด
- การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์
- การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเร็จรูป
- ชุดการเรียน

หลักการพื้นฐานของนวัตกรรมการศึกษา
ทิศนา แขมมณ(ี 2548) กล่าววา่ ความใหม่มใิ ชเ่ ป็นคุณสมบัติประการเดยี วของนวตั กรรม ถ้าเป็นเช่นนัน้ ของทุก
อย่างที่เข้ามาใหม่ๆ จะเป็นนวัตกรรมทั้งสิ้น นวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านใด จำเป็นต้องมีคุณสมบัติที่สสำคัญ
ดงั นี้

1. เปน็ สงิ่ ใหมซ่ ง่ึ มีความหมายในหลายลักษณะดว้ ยกนั ไดแ้ ก่
1.1 เปน็ สิ่งใหม่ทัง้ หมดหรือใหม่เพยี งบางสว่ น
1.2 เป็นสิ่งใหม่ที่ยังไม่เคยมกี ารน ามาใช้ในที่นัน้ กล่าวคือ เป็นสิ่งใหมใ่ นบริบทหนึ่ง แต่อาจเป็นของ
เก่า ในอีกบริบทหนึ่ง ได้แก่ การนำสิ่งที่ใช้หรือปฏิบัติกันในสังคมหนึ่งมาปรับใช้ในอีกสังคมหนึ่ง นับเป็น
นวัตกรรมใน สงั คมนัน้
1.3 เป็นสิ่งใหม่ในช่วงเวลาหนึ่งแต่อาจเป็นของเก่าในอีกช่วงเวลาหนึ่ง อาทิเช่น อาจเป็นสิ่งที่เคย
ปฏิบัติ มาแล้ว แต่ไม่ได้ผลเนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนต่อมาเมื่อปัจจัยและสถานการณ์อ านวยจึงน ามา
เผยแพรแ่ ละ ทดลองใชใ้ หม่ ถือว่าเป็นนวัตกรรมได้
2. เป็นสง่ิ ใหมท่ ก่ี ำลงั อย่ใู นกระบวนการพสิ ูจนท์ ดสอบวา่ จะใชไ้ ด้ผลมากนอ้ ยเพียงใดในบรบิ ทน้นั
3. เป็นส่ิงใหม่ท่ีได้รับการยอมรบั นำไปใช้แตย่ งั ไมเ่ ป็นส่วนหนึง่ ของระบบงานปกติหากการยอมรับการ น าไปใช้
น้นั ไดก้ ลายเปน็ การใช้อย่างปกตใิ นระบบงานของที่นน่ั แล้ว กไ็ ม่ถือเป็นนวตั กรรมอีกต่อไป
4. เป็นส่ิงใหมท่ ไ่ี ด้รับการยอมรบั นำไปใช้บา้ งแล้วแต่ยังไมแ่ พรห่ ลาย คือยังไม่เป็นท่ีรจู้ กั กนั อยา่ งกวา้ งขวาง การ
พัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา กระบวนการพัฒนานวตั กรรมเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ยุทธศาสตร์การมีส่วน
ร่วมของบคุ ลากรหลายๆ ฝ่ายในโรงเรียน ทง้ั ผบู้ ริหาร ครูและนักเรียนรวมถงึ ชมุ ชน โดยใชก้ ระบวนการวิจัยใน
การพฒั นาอยา่ งเปน็ ระบบ ดงั น้ี (สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน. 2550)

การพัฒนานวตั กรรมการศกึ ษา มดี ังนี้
1. ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ สำรวจ วิเคราะห์สภาพปัญหา จุดเด่น จุดด้อยและความ

ตอ้ งการ ในการพฒั นาการบริหารจดั การ การจดั การเรยี นการสอนและคณุ ธรรมจริยธรรมของนกั เรยี น

8

2. ออกแบบนวตั กรรม นวัตกรรมการศึกษาทีม่ กั ได้รับความสนใจและยอมรับน าไปใช้อย่างกว้างขวาง
โดยท่วั ไปมีลกั ษณะดงั นี้

2.1 คิดจินตนาการ สร้างฝันในสิ่งที่คาดหวังที่จะนำมาใช้ในการพฒั นาหรือแก้ไขปรับปรุงตามสภาพ
ปญั หาและความตอ้ งการ

2.2 จัดลำดับความคิดสรุปว่าจะทำอะไรทำอย่างไร ที่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาหรือแก้ไข
ปรับปรงุ ได้ตรงตามสภาพปัญหาและความต้องการ

2.3 แสวงหา และรวบรวมความรเู้ พ่อื สนับสนนุ ในสง่ิ ท่ีคิด และกำหนดขนั้ ตอนการพฒั นานวตั กรรม
3.. สร้างหรือพัฒนานวตั กรรม

3.1 จัดเตรียมทรัพยากร วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือที่จ าเป็นและจัดหางบประมาณในการพัฒนา
นวตั กรรม

3.2 ดำเนินการสรา้ ง / พัฒนานวตั กรรม ตามขน้ั ตอนทกี่ ำหนด
3.3 ตรวจสอบนวัตกรรมทส่ี รา้ งหรอื พัฒนาในแตล่ ะขั้นตอน
3.4 สงั เคราะหผ์ ลการตรวจสอบและปรบั ปรงุ นวัตกรรมท่ีสรา้ ง / พัฒนา
3.5 กำหนดเกณฑ์การประเมินคณุ ค่าความเป็นนวตั กรรม
4. ทดลองใช้
4.1 สร้างเครอ่ื งมือเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผลการทดลองใช้
4.2 นำนวตั กรรมไปทดลองใช(้ Try Out)
4.3 ประเมินผลการทดลองใช้และปรับปรงุ นวตั กรรม
5. สรปุ รายงาน และเผยแพร่
5.1 สรุป รายงานผลการสร้าง / พฒั นานวตั กรรม
5.2 เผยแพรน่ วัตกรรม

ประเภทของนวัตกรรมการศึกษา
ประเภทของนวัตกรรมการศึกษาพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้มีบทบัญญัติท่ี

เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษาไว้หลายมาตรา มาตราที่สำคัญ คือ มาตรา 67 รัฐ
ต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาการผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้งการติดตาม
ตรวจสอบและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับ
กระบวนการเรยี นรขู้ องคนไทยและในมาตรา 22 "การจดั การศึกษาตอ้ งยดึ หลกั วา่ ผเู้ รียนทุกคนมีความสามารถ
เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผูเ้ รยี นมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจดั การศึกษาตนเองได้และถือว่า
ผู้เรยี นมีความสำคญั ทส่ี ดุ กระบวนการจัดการศกึ ษาตอ้ งส่งเสริมให้ผูเ้ รยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็ม
ตามศักยภาพ" การดำเนินการปฏิรปู การศึกษาให้สำเร็จได้ตามที่ระบไุ ว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 ดังกล่าว จำเป็นต้องทำการศึกษาวิจยั และพัฒนานวัตกรรมการศึกษาใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยแก้ไข

9

ปัญหาทางการศึกษาทั้งในรูปแบบของการศกึ ษาวิจยั การทดลองและการประเมนิ ผลนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี

ที่นำมาใช้ว่ามีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด นวัตกรรมที่นำมาใช้ทั้งที่ผ่านมาแล้วและที่จะมีในอนาคตมี

หลายประเภทขึน้ อยกู่ ับการประยกุ ตใ์ ช้นวตั กรรมในดา้ นตา่ งๆ ในทนี่ ีจ้ ะขอกลา่ วคือ นวตั กรรม 5 ประเภท ดงั น้ี

1. นวัตกรรมทางด้านหลักสตู ร
นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกบั สภาพแวดล้อมใน
ท้องถนิ่ และตอบสนองความตอ้ งการสอนบุคคลให้มากขนึ้ เนอื่ งจากหลักสูตรจะตอ้ งมีการเปล่ยี นแปลงอยู่เสมอ
เพ่อื ใหส้ อดคล้องกับความกา้ วหน้าทางด้านเทคโนโลยีเศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศและของโลก นอกจากน้ี
การพัฒนาหลกั สูตรยงั มีความจำเปน็ ทีจ่ ะต้องอยูบ่ นฐานของแนวคิดทฤษฎแี ละปรัชญาทางการจัดการสัมมนา
อีกด้วย การพัฒนาหลักสูตรตามหลักการและวิธีการดังกล่าวต้องอาศัยแนวคิดและวิธีการใหม่ๆ ที่เป็น
นวัตกรรมการศึกษาเข้ามาช่วยเหลือจัดการให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ นวัตกรรมทางด้านหลักสูตรใน
ประเทศไทย ไดแ้ ก่ การพฒั นาหลักสูตรดังตอ่ ไปน้ี
1.หลักสูตรบูรณาการ เปน็ การบูรณาการสว่ นประกอบของหลกั สตู รเข้าด้วยกนั ทางดา้ นวิทยาการในสาขาต่างๆ
การศึกษาทางด้านจริยธรรมและสังคม โดยมุ่งให้ผู้เรียนเป็นคนดีสามารถใช้ประโยชน์จากองค์ความรูใ้ นสาขา
ต่างๆ ให้สอดคล้องกับสภาพสังคมอยา่ งมีจริยธรรม
2.หลักสูตรรายบุคคล เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อการศึกษาตามอัตภาพ เพื่อตอบสนอง
แนวความคดิ ในการจัดการศกึ ษารายบุคคล ซงึ่ จะตอ้ งออกแบบระบบเพ่ือรองรับความก้าวหนา้ ของเทคโนโลยี
ดา้ นตา่ งๆ
3.หลกั สตู รกจิ กรรมและประสบการณ์ เปน็ หลักสูตรท่มี ุ่งเน้น กระบวนการในการจดั กจิ กรรมและประสบการณ์
ให้กบั ผเู้ รียนเพ่ือนำไปสู่ความสำเร็จ เช่น กิจกรรมท่ีส่งเสริมให้ผู้เรยี นมีส่วนร่วมในบทเรียน ประสบการณ์การ
เรียนร้จู ากการสืบคน้ ดว้ ยตนเอง เป็นตน้
4.หลักสูตรท้องถิ่น เป็นการพัฒนาหลักสูตรที่ต้องการกระจายการบริหารจัดการออกสู่ท้องถิ่น เพื่อให้
สอดคลอ้ งกบั ศิลปวฒั นธรรมส่งิ แวดล้อมและความเป็นอยู่ของประชาชนทม่ี อี ยู่ในแตล่ ะทอ้ งถ่นิ แทนที่หลักสูตร
ในแบบเดมิ ทีใ่ ชว้ ิธีการรวมศนู ย์การพฒั นาอยู่ในส่วนกลาง
2.นวัตกรรมการเรยี นการสอน
เปน็ การใช้วธิ รี ะบบในการปรับปรงุ และคิดค้นพฒั นาวิธสี อนแบบใหมๆ่ ท่สี ามารถตอบสนองการเรยี นรายบุคคล
การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบมีส่วนร่วม การเรียนรู้แบบแก้ปัญหา การพัฒนาวิธีสอน
จำเปน็ ตอ้ งอาศยั วิธีการและเทคโนโลยีใหมๆ่ เข้ามาจัดการและสนับสนนุ การเรียนการสอน ตัวอย่างนวัตกรรม
ที่ใช้ในการเรียนการสอน ได้แก่ การสอนแบบศูนย์การเรียน การใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ การสอนแบบ
เรียนรูร้ ว่ มกัน และการเรียนผ่านเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์และอนิ เทอรเ์ นต็ การวิจยั ในชน้ั เรยี น ฯลฯ
3.นวตั กรรมสอื่ การสอน
เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยี โทรคมนาคม ทำ
ใหน้ กั การศึกษาพยายามนำศักยภาพของเทคโนโลยเี หล่านม้ี าใช้ในการผลิตสอ่ื การเรียนการสอนใหมๆ่ จำนวน

10

มากมาย ทั้งการเรียนด้วยตนเองการเรียนเปน็ กลุม่ และการเรียนแบบมวลชน ตลอดจนสื่อที่ใช้เพื่อสนับสนนุ
การฝกึ อบรม ผ่านเครือข่ายคอมพวิ เตอรต์ ัวอยา่ ง นวตั กรรมส่ือการสอน ได้แก่
- คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน (CAI)
- มัลติมีเดีย (Multimedia)
- การประชุมทางไกล (Teleconference)
- ชุดการสอน (Instructional Module)
- วดี ที ัศน์แบบมีปฏสิ มั พันธ์ (Interactive Video)
4.นวตั กรรมทางดา้ นการประเมินผล
เป็นนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการวัดผลและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำได้อย่างรวดเร็ว
รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบนั ด้วยการประยุกต์ใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์มาสนับสนุนการ
วัดผล ประเมนิ ผลของสถานศึกษา ครู อาจารย์ ตวั อย่าง นวัตกรรมทางด้านการประเมนิ ผล ไดแ้ ก่
- การพัฒนาคลังข้อสอบ
- การลงทะเบยี นผ่านทางเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ และอนิ เตอร์เน็ต
- การใชบ้ ตั รสมารท์ การ์ด เพือ่ การใชบ้ รกิ ารของสถาบนั ศึกษา
- การใช้คอมพวิ เตอรใ์ นการตดั เกรด
- ฯลฯ
5.นวัตกรรมการบรหิ ารจดั การ
เป็นการใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เพื่อการ ตัดสินใจของ
ผู้บริหารการศึกษาให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
นวัตกรรมการศึกษาที่นำมาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดการฐานข้อมูลในหน่วยงาน
สถานศึกษา เช่น ฐานข้อมูล นักเรียน นักศึกษา ฐานข้อมูล คณะอาจารย์และบุคลากร ในสถานศึกษา ด้าน
การเงิน บญั ชี พัสดุ และครุภณั ฑ์ ฐานขอ้ มลู เหล่านต้ี ้องการออกระบบท่ีสมบรู ณม์ ีความปลอดภัยของขอ้ มูลสงู

นอกจากนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับสารสนเทศภายนอกหน่วยงาน เช่น ระเบียบปฏิบัติ กฎหมาย
พระราชบญั ญตั ิ ทเ่ี กยี่ วกับการจดั การศึกษา ซึ่งจะตอ้ งมกี ารอบรม เกบ็ รักษาและออกแบบระบบการสืบค้นที่ดี
พอซึ่งผู้บรหิ ารสามารถสบื คน้ ขอ้ มลู มาใชง้ านไดท้ นั ทีตลอดเวลาการใช้นวัตกรรมแต่ละด้านอาจมีการผสมผสาน
ทีซ่ ้อนทบั กนั ในบางเร่ือง ซึง่ จำเปน็ ตอ้ งมกี ารพัฒนารว่ มกนั ไปพร้อมๆ กนั หลายดา้ น การพฒั นาฐานข้อมูลอาจ
ต้องทำเปน็ กลมุ่ เพอ่ื ใหส้ ามารถนำมาใช้รว่ มกนั ได้อย่างมีประสิทธภิ าพ

ประเภทของนวตั กรรม
การจัดประเภทของนวัตกรรม สามารถจำแนกได้ตามเกณฑ์ทีก่ ำหนดขึ้น โดยทั่วไปสามารถจำแนกได้

หลายวิธี เช่น
จำแนกตามผใู้ ช้ประโยชน์จากนวตั กรรมโดยตรง

11

1. นวัตกรรมจัดการเรียนรู้ของครู เช่น วิธีการสอน กิจกรรมที่ครูนำมาใช้กับผูเ้ รียน และสื่อการสอน
ต่างๆ

2. นวัตกรรมการเรียนร้ขู องผูเ้ รียน เชน่ แบบฝกึ หัดต่างๆท่ีครูสร้างขนึ้ บทเรียนสำเรจ็ รูป ส่ือมัลติมีเดีย
ฯลฯ

3. นวัตกรรมเพ่ือการบริหารและพัฒนาการทำงานของครูและนกั เรยี น
จำแนกตามลกั ษณะของนวัตกรรม

1. เทคนิควิธีการ วิธีการจัดกิจกรรมพัฒนา การจัดกิจกรรมสำหรับผู้เรียน เช่น การจัดบรรยากาศใน
หอ้ งเรยี นใหเ้ หมาะสมกับผเู้ รียน และเหมาะกบั วธิ ีการสอนของครู

2. สื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้เป็นตัวกลาง หรือเครื่องมือทีช่ ่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ ส่ือ
การเรยี นร้แู บง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ดงั นี้

2.1 สื่อประเภทวัสดุ สื่อการเรียนรู้ที่มีลักษณะเก็บความรู้ หรือถ่ายทอดความรู้ โดยใช้ภาพ เสียง
ตวั อกั ษร ในรปู แบบตา่ งๆ แบ่งเปน็ 2 ประเภทคอื

2.1.1วัสดุทีเ่ สนอความรู้จากตัวส่ือ
2.1.2 วัสดทุ ต่ี ้องอาศัยสอื่ ประเภทเครอื่ งกลเป็นตวั นำเสนอความรู้
2.2 ส่อื ประเภทเครอ่ื งมือหรือโสตทัศนูปกรณ์ เปน็ สือ่ ทีเ่ ป็นตัวกลางหรือตัวผ่านของความรู้ท่ีถ่ายทอด
ไปยังผ้รู บั เช่น เคร่ืองช่วยสอน เครอื่ งฉาย คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน ฯลฯ
การจำแนกตามจุดเน้นของนวัตกรรม
1. นวัตกรรมการจัดการเรียนรูท้ ี่เน้นผลผลิต เป็นนวัตกรรมที่เป็นวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องมือที่ช้ใน
การจดั การเรยี นรู้ เช่น วดี ิทัศน์ ซดี ี สไลด์ ฯลฯ
2. นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นเทคนิค วิธีการ หรือกระบวณการในการจัดการเรียนรู้ เช่น
โครงงาน ผังมโนทศั น์ บทบาทสมมตุ ิ ฯลฯ
3. นวัตกรรมทีเ่ น้นทั้งผลผลติ และเทคนิคกระบวณการ เช่น ระบบการผลิตและสร้างส่ือการ เรียนรู้
กระบวณการท่สี ามารถให้นกั เรยี นเรยี นร้ดู ว้ ยตัวเองอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ

ลกั ษณะของนวัตกรรมการศึกษา
- เปน็ สิง่ ใหม่ทีไ่ ม่เคยมีผใู้ ดเคยทำมาก่อนเลย
- สง่ิ ใหมท่ เี่ คยทำมาแล้วในอดตี แต่ได้มีการรอื้ ฟน้ื ขึ้น มาใหม่
- สิง่ ใหมท่ ม่ี กี ารพัฒนามาจากของเก่าท่ีมอี ยู่เดมิ

1. นวตั กรรมใหม่อยา่ งสิ้นเชิง(Radical Innovation)
หมายถึง ขบวนการเสนอสิ่งใหม่ที่ใหม่อย่างแท้จริง สู่สังคม โดยการเปลี่ยนแปลงค่านิยม (value), ความเชื่อ
(belief ) เดิม ตลอดจนระบบคุณค่า(value system)ของสังคม อย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่นอินเตอร์เน็ท

12

(Internet) จดั ว่าเปน็ นวัตกรรมหนงึ่ ในยคุ โลกขอ้ มูลข่าวสาร การนำเสนอระบบอินเตอรเ์ นท็ ทำให้ค่านิยมเดิม
ที่เชื่อว่า โลกข้อมูลข่าวสารจำกัดอยู่ ในวงเฉพาะทั้งในดา้ นเวลา และ สถานที่นั้น เปลี่ยนไป อินเตอร์เน็ทเปดิ
โอกาส ใหค้ วามสามารถในการเข้าถึงข้อมูลไร้ขดี จำกัด ท้ังในด้านของเวลา และระยะทาง การเปลี่ยนแปลงใน
คร้ังน้ี ทำให้ระบบคุณค่าของขอ้ มูลข่าวสาร เปลยี่ นแปลงไป บางคนเชือ่ ว่า อินเตอรเ์ นท็ จะเข้ามาแทนที่ระบบ
การสง่ ขอ้ มลู ข่าวสารในระบบเดมิ อยา่ งส้ินเชิงในไม่ช้า อาทิเชน่ ระบบไปรษณีย์
2. นวตั กรรม ทมี่ ีลักษณะคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป
เปน็ ขบวนการการค้นพบ (discover) หรือ คดิ คน้ ส่งิ ใหม่(invent)โดยการประยุกต์ ใช้แนวคิดใหม่ (new idea)
หรือ ความรู้ใหม่ (new knowledge) ที่มีลักษณะต่อเนื่องไม่สิ้นสุด โดยการประยุกต์ใช้ แนวคิดใหม่ หรือ
ความรใู้ หม่ ของมนษุ ย์ และการคน้ คน้ เทคนิค (technique) หรือ เทคโนโลยี (technology) ใหม่ นวัตกรรมท่ี
มีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป จึงมีลักษณะของการสะสมการเรียนรู้ (cumulative learning) อยู่ในบริบท ของ
สังคมหนึ่ง ในปัจจุบันสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพราะผลของขบวนการโลกาภิวัตน์ ทำให้สังคมมี
ลักษณะไร้ขอบเขต (borderless) เป็นสังคมของชาวโลกที่มีความหลากหลายทางด้านสังคมวัฒนธรรมและ
การเมือง ส่งผลให้นวัตกรรม มีแนวโน้มที่จะเป็น ขบวนการค้นพบใหม่อย่างต่อเนื่องในระดับนานาชาติ
มากกวา่ ทจ่ี ะเป็นนวัตกรรมใหม่โดยส้นิ เชงิ สำหรบั สังคมหน่งึ ๆ

นวัตกรรม แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะท่ี 1 มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรือเป็นการปรุงแต่งของเก่าให้เหมาะสมกับ
กาลสมัย
ระยะที่ 2 พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทำอยู่ในลักษณะของ
โครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project)
ระยะที่ 3 การนำเอาไปปฏิบัติในสถานการณ์ท่ัวไป ซึ่งจัดว่าเป็นนวัตกรรมขั้นสมบูรณ์

นวัตกรรมทางการศึกษาที่สำคัญของไทยในปัจจุบัน
นวัตกรรม เป็นความคิดหรือการกระทำใหม่ๆ ซึ่งนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวงการจะมีการคิด
และทำส่ิงใหม่อยู่เสมอ ดังนั้นนวัตกรรมจึงเป็นสิ่งท่ีเกิดข้ึนใหม่ได้เรื่อยๆ ส่ิงใดที่คิดและทำมานานแล้ว ก็
ถือว่าหมดความเป็นนวัตกรรมไป โดยจะมีสิ่งใหม่มาแทน
ในวงการศึกษาปัจจุบัน มีส่ิงที่เรียกว่านวัตกรรมทางการศึกษา หรือนวัตกรรมการเรียนการสอน อยู่เป็น
จำนวนมาก บางอย่างเกิดขึ้นใหม่ บางอย่างมีการใช้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังคงถือว่าเป็น นวัตกรรม
เน่ืองจากนวัตกรรมเหล่านั้นยังไม่แพร่หลายเป็นท่ีรู้จักท่ัวไป ในวงการศึกษา
นวัตกรรมทางการศึกษาต่างๆ ที่กล่าวถึงกันมากในปัจจุบัน
E-learning
ความหมาย e-Learning เป็นคำที่ใช้เรียกเทคโนโลยีการศึกษาแบบใหม่ ที่ยังไม่มีชื่อภาษาไทยที่แน่ชัด
และมีผู้นิยามความหมายไว้หลายประการ ผศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง ให้คำนิยาม E-Learning

13

หรือ Electronic Learning ว่า หมายถึง “การเรียนผ่านทางสื่ออิเลคทรอนิกส์ซึ่งใช้การ นำเสนอเนื้อ
หาทางคอมพิวเตอร์ในรูปของสื่อมัลติมีเดียได้แก่ ข้อความอิเลคทรอนิกส์ ภาพนิ่ง ภาพกราฟิก วิดีโอ
ภาพเคล่ือนไหว ภาพสามมิติฯลฯ”เช่นเดียวกับ คุณธิดาทิตย์ จันคนา ที่ให้ความ หมายของ e-learning
่าหมายถึงการศึกษาที่เรียนรู้ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เนตโดยผู้เรียนรู้จะเรียนรู้ ด้วย ตัวเอง ารเรียนรู้จะ
เป็นไปตามปัจจัยภายใต้ทฤษฎีแห่งการเรียนรู้สองประการคือ เรียนตามความรู้ความสามารถของผู้เรียน
เอง และ การตอบสนองใน ความแตกต่างระหว่างบุคคล(เวลาท่ีแต่ละบุคคลใช้ในการเรียนรู้)การเรียน
จะกระทำผ่านส่ือบนเครือข่ายอินเตอร์เนต โดยผู้สอนจะนำเสนอข้อมูลความรู้ให้ผู้เรียนได้ทำการศึกษา
ผ่านบริการ World Wide Web หรือเวปไซด์ โดยอาจให้มีปฏิสัมพันธ์ (สนทนา โต้ตอบ ส่งข่าวสาร)
ระหว่างกัน จะที่มีการ เรียนรู้ ู้ในสามรูปแบบคือ ผู้สอนกับ ผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียนอีกคนหนึ่ง หรือ
ผู้เรียนหนึ่งคนกับกลุ่มของผู้เรียน ปฏิสัมพันธ์น้ีสามารถ กระทำ ผ่านเคร่ืองมือสองลักษณะคือ
1. ) แบบ Real-time ได้แก่การสนทนาในลักษณะของการพิมพ์ข้อความแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน หรือ ส่ง
ในลักษณะของเสียง จากบริการของ Chat room
2. ) แบบ Non real-time ได้แก่การส่งข้อความถึงกันผ่านทางบริการ อิเลคทรอนิคเมลล์ WebBoard
News-group เป็นต้น
ความหมายของ e-Learning ที่มีปรากฏอยู่ในส่วนคำถามที่ถูกถามบ่อย (Frequently Asked
Question : FAQ) ในเวป www.elearningshowcase.com ให้นิยามว่า e-Learning มีความหมาย
เดียวกับ Technology-based Learning นั้นคือการศึกษาที่อาศัยเทคโนโลยีมาเป็นส่วนประกอบที่
สำคัญ ความหมายของ e-Learning ครอบคลุมกว้างรวมไปถึงระบบโปรแกรม และขบวนการที่
ดำเนินการ ตลอดจนถึงการศึกษาที่ใช้ ้คอมพิวเตอร์เป็นหลักการศึกษาที่อาศัยWebเป็นเคร่ืองมือหลัก
การศึกษาจากห้องเรียนเสมือนจริง และการศึกษาที่ใช้ การทำงานร่วมกันของอุปกรณ์อิเลค ทรอนิค
ระบบดิจิตอล ความหมายเหล่านี้มาจากลักษณะของการส่งเนื้อหาของบทเรียนผ่านทาง อุปกรณ ์
อิเลคทรอนิค ซึ่งรวมทั้งจากในระบบอินเตอร์เนต ระบบเครือข่ายภายใน (Intranets) การ ถ่ายทอด
ผ่านสัญญาณทีวี และการใช้ซีดีรอม อย่างไรก็ตาม e-Learning จะมีความหมายในขอบเขต ท่ีแคบกว่า
การศึกษาแบบทางไกล (Long distance learning) ซ่ึงจะรวมการเรียนโดยอาศัยการส่ง ข้อความหรือ
เอกสารระหว่างกันและชั้นเรียนจะเกิดข้ึนในขณะที่มีการเขียนข้อความส่งถึงกัน การนิยามความหมาย
แก่ e-learning Technology-based learning และ Web-based Learning ยังมี ความแตกต่างกัน
ตามแต่องค์กร บุคคลและกลุ่มบุคคลแต่ละแห่งจะให้ความหมาย และคาดกันว่าคำ ว่าe-Learning ท่ีมี
การใช้มาตั้งแต่ปี คศ. 1998 ในท่ีสุดก็จะเปล่ียนไปเ ป็น e-Learning เหมือนอย่าง กับท่ีมีเปลี่ยนแปลง
คำเรียกของ e-Business
เมื่อกล่าวถึงการเรียนแบบ Online Learning หรือ Web-based Learning ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของ
Technology-based Learning n่ีมีการเรียนการสอนผ่านระบบอินเตอร์เนต อินทราเนต และ เอ็ซทรา
เนต (Extranet) พบว่าจะมีระดับ การจัดการที่แตกต่างกันออกไป Online Learning ปกติจะ
ประกอบด้วยบทเรียนที่มีข้อความและรูปภาพ แบบฝึกหัดแบบทดสอบ และบันทึกการเรียน อาทิ

14

คะแนนผลการทดสอบ(test score) และบันทึกความก้าวหน้าของการเรียน(bookmarks) แต่ถ้าเป็น
Online Learning ที่สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง โปรแกรมของการเรียนจะประกอบด้วยภาพเคลื่อนไหว แบบ
จำลอง สื่อท่ีเป็นเสียง ภาพจากวิดีโอ กลุ่มสนทนาทั้งในระดับเดียวกันหรือในระดับผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์
ที่ปรึกษาแบบออนไลน์ (Online Mentoring) จุดเช่ือมโยงไปยังเอกสารอ้างอิงที่มีอยู่ ในบริการของเวป
และการสื่อสารกับระบบที่บันทึกผลการเรียน เป็นต้น
การเรียนรู้แบบออนไลน์หรือ e-learning การศึกษาเรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต
(Internet) หรืออินทราเน็ต(Intranet) เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตาม ความสามารถ
และความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนซึ่งประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพเสียง วิดีโอและ
มัลติมีเดียอ่ืนๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser โดยผู้เรียน ผู้สอน และ เพ่ือนร่วมช้ันเรียนทุก
คน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับ การเรียนในชั้นเรียน
ปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อ สื่อสารที่ทันสมัย(e-mail, web-board, chat) จึงเป็นการเรียน
สำหรับทุกคน, เรียนได้ทุกเวลา และทุกสถานท่ี (Learn for all : anyone, anywhere and anytime)

นวัตกรรมทางการศึกษาต่างๆ ทกี่ ล่าวถงึ กันมากในปัจจุบัน [ E-learning / M-Leaning ]
ความหมายของ e-Learning
การเรียนทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Learning รูปแบบการเรียนการสอน ซึ่งใช้การถ่ายทอดเนื้อหา(delivery
methods) ผา่ นทางอุปกรณอ์ เิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ไมว่ ่าจะเปน็ คอมพิวเตอร์ เครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซ์
ทราเน็ต หรือ ทางสญั ญาณโทรทัศน์ หรอื สญั ญาณดาวเทียม และใช้รปู แบบการนำเสนอเนือ้ หาสารสนเทศใน
รปู แบบต่าง ๆ ซง่ึ อาจอย่ใู นรูปแบบการเรียนท่ีเราคนุ้ เคยกนั มาพอสมควร
ลกั ษณะสำคัญของ e-Learning (Feature of e-Learning)
1. ทุกเวลาทุกสถานที่ (Anywhere, Anytime) หมายถึง e-Learning ควรต้องช่วยขยายโอกาสในการเข้าถึง
เนอ้ื หาการเรยี นร้ขู องผ้เู รียนได้จริง
2. มัลติมีเดีย (Multimedia) หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการนำเสนอเนื้อหาโดยใช้ประโยชน์จากส่ือ
ประสมเพื่อช่วยในการประมวลผลสารสนเทศ ของผู้เรียนเพื่อให้เกิดความคงทนในการจดจำและ/หรือการ
เรียนรู้ได้ดขี ้ึน
3. การเชื่อมโยง (Non-linear) หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการนำเสนอเนื้อหาในลักษณะที่ไม่เป็นเชิง
เสน้ ตรง
4. การโต้ตอบ (Interaction) หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนโต้ตอบ(มีปฏิสัมพันธ)์
กับเน้อื หา หรอื กับผอู้ น่ื ได้
องค์ประกอบของ e-Learning (Component of e-Learning)

1. เนื้อหา (Content)

15

เนื้อหาเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดสำหรับ e-Learning คุณภาพของการเรียนการสอนของ e-
Learningและการที่ผู้เรียนจะบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนในลักษณะนี้หรือไม่อย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ
เนื้อหาการเรยี นซงึ่ ผู้สอนไดจ้ ัดหาใหแ้ กผ่ ู้เรยี น ซง่ึ ผ้เู รียนมีหนา้ ท่ีในการใชเ้ วลาส่วนใหญศ่ ึกษาเนอื้ หาดว้ ยตนเอง
เพื่อทำการปรับเปลี่ยน (convert) เนื้อหาสารสนเทศที่ผู้สอนเตรียมไว้ให้เกิดเป็นความรู้ โดยผ่านการคิดค้น
วิเคราะห์อย่างมีหลักการและเหตุผลด้วยตัวของผู้เรียนเอง คำว่า “เนื้อหา” ในองค์ประกอบแรกของ e-
Learning นี้ ไม่ได้จำกดั เฉพาะส่ือการสอน และ/หรือ คอรส์ แวร์ เทา่ นัน้ แต่ยังหมายถึงส่วนประกอบสำคัญอ่ืน
ๆ ที่ e-Learning จำเปน็ จะต้องมีเพ่อื ให้เนอ้ื หามีความสมบรู ณ์ เชน่ คำแนะนำการเรยี น ประกาศสำคญั ต่าง ๆ
ผลปอ้ นกลบั ของผสู้ อน เป็นต้น

2. ระบบบริหารจดั การการเรยี นรู้ (Learning Management System)
องค์ประกอบที่สำคัญมากเช่นกันสำหรับ e-Learning ได้แก่ ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเสมือน
ระบบทร่ี วบรวมเครือ่ งมือซง่ึ ออกแบบไวเ้ พ่ือให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการจดั การกบั การเรียนการสอนออนไลน์
นั่นเอง ซึ่งผู้ใช้ในที่นี้ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ผู้สอน (instructors) ผู้เรียน (students) ผู้ช่วยสอน(course
manager) และผู้ที่จะเข้ามาช่วยผู้สอนในการบริหารจัดการด้านเทคนิคต่าง ๆ (network administrator)ซ่ึง
เครื่องมือและระดับของสิทธิในการเข้าใช้ทีจ่ ัดหาไว้ให้ก็จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่การใช้งานของแต่ละ
กล่มุ ตามปรกติแล้ว เคร่อื งมือทีร่ ะบบบรหิ ารจดั การการเรยี นร้ตู ้องจัดหาไว้ใหก้ บั ผใู้ ช้ ได้แก่ พน้ื ทแี่ ละเคร่ืองมือ
สำหรับการช่วยผู้เรียนในการเตรียมเนื้อหาบทเรียน พื้นที่และเครื่องมือสำหรับการทำแบบทดสอบ
แบบสอบถาม การจัดการกับแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ นอกจากนี้ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ที่สมบูรณ์จะจัดหา
เคร่ืองมือในการติดต่อสือ่ สารไว้สำหรับผู้ใชร้ ะบบไม่วา่ จะเปน็ ในลกั ษณะของ ไปรษณยี อ์ ิเล็กทรอนิกส์ (e-mail)
เว็บบอร์ด(Web Board) หรือ แช็ท (Chat) บางระบบก็ยังจัดหาองค์ประกอบพิเศษอื่น ๆ เพื่ออำนวยความ
สะดวกให้กบั ผู้ใช้อกี มากมาย เช่น การจัดใหผ้ ู้ใชส้ ามารถเข้าดูคะแนนการทดสอบ ดูสถติ กิ ารเข้าใช้งานในระบบ
การอนญุ าตให้ผ้ใู ช้สร้างตารางการเรยี น ปฏิทินการเรียน เป็นตน้

3. โหมดการติดต่อสอื่ สาร (Modes of Communication)
องค์ประกอบสำคัญของ e-Learning ที่ขาดไม่ไดอ้ ีกประการหนึ่ง ก็คือ การจัดให้ผู้เรียนสามารถติดต่อสือ่ สาร
กับผู้สอน วิทยากร ผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ รวมทั้งผู้เรียนด้วยกัน ในลักษณะที่หลากหลาย และสะดวกต่อผู้ใช้
กล่าวคือ มีเครือ่ งมอื ท่ีจัดหาไว้ให้ผู้เรยี นใชไ้ ดม้ ากกว่า 1 รูปแบบ รวมทั้งเครอ่ื งมือนั้นจะต้องมีความสะดวกใน
การใชง้ าน (user-friendly) ดว้ ย ซ่ึงเคร่อื งมือท่ี e-Learning ควรจัดหาให้ผเู้ รียน ไดแ้ ก่

3.1 การประชุมทางคอมพวิ เตอร์
ในทนี่ หี้ มายถึง การประชุมทางคอมพวิ เตอร์ทง้ั ในลักษณะของการตดิ ต่อส่อื สารแบบตา่ งเวลา(Asynchronous)
เช่น การแลกเปลี่ยนข้อความผ่านทางกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ที่รู้จักกันในช่ือของเว็บบอร์ด (Web
Board) เป็นต้น หรือในลักษณะของการติดต่อสื่อสารแบบเวลาเดียวกัน(Synchronous) เช่น การสนทนา

16

ออนไลน์ หรือที่คุ้นเคยกันดีในชื่อของ แช็ท (Chat) และ ICQ หรือ ในบางระบบ อาจจัดให้มีการถ่ายทอด
สัญญาณภาพและเสียงสด (Live Broadcast / Videoconference) ผ่านทางเว็บ เป็นต้น ในการนำไปใช้
ดำเนนิ กจิ กรรมการเรยี นการสอน ผ้สู อนสามารถเปิดสัมมนาในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเน้ือหาในคอร์ส ซ่ึงอาจอยู่
ในรูปของการบรรยาย การสมั ภาษณ์ผเู้ ชยี่ วชาญ การเปิดอภปิ รายออนไลน์ เป็นต้น

3.2 ไปรษณีย์อิเลก็ ทรอนกิ ส์ (e-mail)
ไปรษณยี ์อเิ ล็กทรอนกิ ส์ เป็นองคป์ ระกอบสำคญั เพ่ือให้ผู้เรยี นสามารถติดตอ่ ส่ือสารกับผู้สอนหรอื ผู้เรียนอ่ืน ๆ
ในลักษณะรายบุคคล การส่งงานและผลป้อนกลับใหผ้ ูเ้ รียน ผู้สอนสามารถให้คำแนะนำปรึกษาแก่ผู้เรียนเปน็
รายบคุ คล ทั้งน้เี พอ่ื กระตนุ้ ให้ผ้เู รียนเกดิ ความกระตือรอื รน้ ในการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนอย่างต่อเนื่อง ท้ังน้ี
ผู้สอนสามารถใชไ้ ปรษณยี ์อิเลก็ ทรอนิกส์ในการให้ความคดิ เห็นและผลปอ้ นกลับทีท่ ันตอ่ เหตกุ ารณ์

4. แบบฝึกหัด/แบบทดสอบ
องค์ประกอบสุดทา้ ยของ e-Learning แต่ไม่ได้มีความสำคัญน้อยทีส่ ุดแต่อย่างใด ได้แก่ การจัดให้ผู้เรียนได้มี
โอกาสในการโตต้ อบกบั เน้อื หาในรูปแบบของการทำแบบฝึกหดั และแบบทดสอบความรู้

4.1 การจัดให้มีแบบฝึกหดั สำหรบั ผเู้ รียน
เนื้อหาที่นำเสนอจำเป็นต้องมีการจัดหาแบบฝกึ หัดสำหรับผู้เรียนเพื่อตรวจสอบความเข้าใจไว้ด้วยเสมอ ทั้งน้ี
เพราะ e-Learning เป็นระบบการเรียนการสอนซึ่งเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังน้ัน
ผู้เรียนจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแบบฝึกหัดเพื่อการตรวจสอบว่าตนเข้าใจและรอบรู้ในเรื่องที่ศึกษาด้วย
ตนเองมาแล้วเป็นอยา่ งดหี รือไม่ อยา่ งไร การทำแบบฝึกหัดจะทำให้ผูเ้ รียนทราบไดว้ ่าตนนนั้ พร้อมสำหรับการ
ทดสอบ การประเมนิ ผลแลว้ หรอื ไม่

4.2 การจดั ใหม้ แี บบทดสอบผ้เู รียน
แบบทดสอบสามารถอยู่ในรปู ของแบบทดสอบก่อนเรียน ระหว่างเรยี น หรือหลังเรยี นกไ็ ด้สำหรบั e-Learning
แล้ว ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ทำให้ผู้สอนสามารถสนับสนุนการออกข้อสอบของผู้สอนได้หลากหลาย
ลกั ษณะ กลา่ วคือ ผู้สอนสามารถออกแบบการประเมินผลในลักษณะของ อตั นัย ปรนัย ถกู ผิด การจับคู่ ฯลฯ
นอกจากนยี้ งั ทำใหผ้ สู้ อนมีความสะดวกสบายในการสอบเพราะผู้สอนสามารถท่ีจะจัดทำข้อสอบในลักษณะคลัง
ข้อสอบไวเ้ พอื่ เลอื กในการนำกลับมาใช้ หรือปรับปรุงแกไ้ ขใหม่ได้อย่างง่ายดาย นอกจากน้ีในการคำนวณและ
ตัดเกรด ระบบ e-Learning ยังสามารถช่วยให้การประเมินผลผู้เรียนเป็นไปได้อย่างสะดวก เนื่องจากระบบ
บริหารจดั การการเรียนรู้ จะชว่ ยทำให้การคิดคะแนนผ้เู รยี น การตัดเกรดผู้เรียนเปน็ เร่อื งงา่ ยข้นึ เพราะระบบจะ
อนุญาตใหผ้ ้สู อนเลือกได้ว่าต้องการที่จะประเมนิ ผลผู้เรียนในลักษณะใด เช่น องิ กลมุ่ องิ เกณฑ์ หรือใช้สถิติใน
การคิดคำนวณในลักษณะใด เช่น การใช้ค่าเฉลี่ย ค่า T-Score เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถที่จะแสดงผลใน
รูปของกราฟไดอ้ ีกดว้ ย
ข้อได้เปรียบและขอ้ จำกัดของ e-Learning (advantage of e-Learning)

17

ประโยชนท์ ไ่ี ด้รับจากการนำ e-Learning ไปใชใ้ นการเรยี นการสอนมี ดังนี้
1. e-Learning ชว่ ยใหก้ ารจดั การเรยี นการสอนมีประสทิ ธภิ าพมากยิ่งข้นึ
2. e-Learning ช่วยทำให้ผู้สอนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียนได้

อย่างละเอยี ดและตลอดเวลา
3. e-Learning ชว่ ยทำให้ผูเ้ รยี นสามารถควบคมุ การเรียนของตนเองได้
4. e-Learning ชว่ ยทำให้ผู้เรียนสามารถเรยี นรูไ้ ดต้ ามจงั หวะของตน (Self-paced Learning)
5. e-Learning ชว่ ยทำใหเ้ กดิ ปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งผ้เู รยี นกับครผู ู้สอน และกับเพ่ือน ๆ ได้
6. e-Learning ช่วยส่งเสริมใหเ้ กิดการเรยี นรูท้ กั ษะใหม่ ๆ
7. e-Learning ทำใหเ้ กิดรูปแบบการเรียนท่ีสามารถจดั การเรียนการสอนใหแ้ กผ่ ู้เรียนในวงกว้างขนึ้
8. e-Learning ทำให้สามารถลดตน้ ทนุ ในการจดั การศกึ ษาน้นั ๆ ได้

ขอ้ จำกัด
1. ผู้สอนที่นำ e-Learning ไปใช้ในลกั ษณะของสื่อเสริม โดยไม่มกี ารปรบั เปลี่ยนวิธีการสอนเลย
2. ผู้สอนจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ให้ (impart) เนื้อหาแก่ผู้เรียน มาเป็น (facilitator)

ผู้ช่วยเหลือและใหค้ ำแนะนำต่าง ๆ แก่ผู้เรียน พร้อมไปกับการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
จาก e-Learning ท้ังน้ี หมายรวมถึง การท่ผี สู้ อนควรมีความพร้อมทางด้านทกั ษะคอมพิวเตอร์และรับผิดชอบ
ตอ่ การสอนมคี วามใสใ่ จกบั ผ้เู รียนโดยไม่ท้งิ ผเู้ รียน

3. การลงทนุ ในดา้ นของ e-Learning ตอ้ งครอบคลมุ ถึงการจดั การให้ผู้สอนและผเู้ รยี นสามารถเข้าถึง
เนื้อหาและการติดต่อสื่อสารออนไลน์ได้สะดวก สำหรับ e-Learning แล้ว ผู้สอนหรือผู้เรียนที่ใช้รูปแบบการ
เรียนในลักษณะนี้จะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวก (facilities) ต่าง ๆ ในการเรียนที่พร้อมเพรียงและมี
ประสิทธภิ าพ

4. การออกแบบ e-Learning ที่ไม่เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียน เช่น ผู้เรียนระดับอุดมศึกษาใน
บ้านเราซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยรุ่น e-Learning จะต้องไดร้ ับการออกแบบตามหลักจิตวิทยาการศึกษา กล่าวคือ
จะต้องเนน้ ให้มกี ารออกแบบให้มกี ิจกรรมโตต้ อบอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นกบั เน้อื หาเอง กบั ผู้เรียนอนื่ ๆ หรือ
กับผ้สู อนกต็ าม

5. ในการที่ e-Learning จะสง่ ผลตอ่ ประสทิ ธิผลของการเรยี นรู้ของผเู้ รยี นได้นน้ั สิง่ สำคัญได้แก่ การท่ี
ผู้เรียนจะต้องรู้จกั วิธีการเรียนรู้ด้วยตนเอง (self-Learning) อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะตอ้ งมี
การสนับสนุน และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างวินัยในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
(selfdiscipline)รวมทั้งตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างเสริมลักษณะนิสัย ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ รู้จักวิธีการ
เลือกสรรประเมนิ รวบรวมสารสนเทศ รวมทั้งรู้จักการจัดระเบียบ (organize) วิเคราะห์ สังเคราะห์ และการ
นำเสนอสารสนเทศตามความเข้าใจของตนเอง

18

การนำ e-Learning ไปใชใ้ นการเรยี นการสอน สามารถทำได้ 3 ระดบั
1. ใช้ e-Learning เป็นส่ือเสรมิ (Supplementary)

หมายถงึ การนำ e-Learning ไปใชใ้ นลักษณะสื่อเสริม นอกจากเนือ้ หาที่ปรากฏในลกั ษณะ e-Learning แล้ว
ผู้เรยี นยงั สามารถศึกษาเนอ้ื หาเดยี วกนั นีใ้ นลกั ษณะอน่ื ๆ

2. ใช้ e-Learning เป็นส่อื เตมิ (Complementary)
หมายถึง การนำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะเพิ่มเติมจากวิธีการสอนในลักษณะอื่น ๆ เช่น นอกจากการ
บรรยายในห้องเรียนแลว้ ผู้สอนยังออกแบบเน้ือหาใหผ้ ู้เรยี นเขา้ ไปศกึ ษาเน้อื หาเพิม่ เติมจาก e-Learning

3. ใช้ e-Learning เป็นส่อื หลัก (ComprehensiveReplacement)
หมายถึง การนำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะแทนที่การบรรยายในห้องเรียน ผู้เรียนจะต้องศึกษาเนื้อหา
ทั้งหมดออนไลน์ และโต้ตอบกบั เพื่อนและผู้เรยี นอนื่ ๆ
ความหมายของ M – Learning

m-Learning (mobile learning) ค ื อ ก า ร จ ั ด ก า ร เ ร ี ย น ก า ร ส อ น ห ร ื อ บ ท เ ร ี ย น ส ำ เ ร ็ จ รู ป
(Instruction Package) ที่นำเสนอเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยีไร้สาย (wireless
telecommunication network) และเทคโนโลยีอนิ เทอร์เนต็ ผเู้ รยี นสามารถเรยี นไดท้ ุกท่ีและทกุ เวลา โดยไม่
ต้องเชื่อมต่อโดยใช้สายสัญญาณ ผู้เรียนและผู้สอนใช้เครื่องมือสำคัญ คือ อุปกรณ์ประเภทเคลื่อนที่ได้
โดยสะดวกและสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องใช้สายสัญญาณแบบเวลาจริงได้แก่
Notebook Computer, Portable computer, Tablet PC, Cell Phones ในการจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอน
บทบาทของ M-Learning

M-Learning กำลังก้าวเข้ามาเป็นการเรียนรู้คู่กับสังคมอย่างแท้จริง เนื่องจากความเป็นอิสระ ของ
เครอื ข่ายไรส้ าย ทส่ี ามารถเขา้ ถึงไดท้ กุ ท่ี ทกุ เวลา อีกท้งั จำนวนเครื่องคอมพวิ เตอร์แบบพกพาที่ใชเ้ ปน็ เครอื่ งมือ
นั้นมีจำนวนเพม่ิ ขน้ึ เรอ่ื ยๆ จึงเป็นการเรยี นรู้อีกทางเลือกหนงึ่ ของการนำเทคโนโลยี มาใช้เปน็ ชอ่ งทางในการให้
ผู้คนได้เข้าถึงความรู้ แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีก็ได้ย่อโลก ของเครือข่ายให้อยู่ในมือของผู้บริโภคแล้ว และ
สามารถเข้าสู่แหล่งการเรียนรู้ได้เมื่อต้องการอย่างแท้จริงทุกเวลา นับว่าเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาได้ดี
ทีเดยี ว และในอนาคตขา้ งหนา้ คาดวา่ การเรยี นรแู้ บบ M-Learning จะแพร่หลายมากข้ึนยง่ิ กว่าในปจั จุบัน

19

ผลกระทบตอ่ การศึกษาและการเรยี นการสอน
เมื่อมีอุปกรณ์ที่สะดวกต่อการเรียนการสอนเช่นนี้แล้ว จะช่วยส่งผลให้การศึกษา เป็นไปได้โดยง่าย

เพราะผูเ้ รียนสามารถท่ีจะเข้าถึงความรู้อยา่ งง่ายดายมากข้ึน ในปัจจุบันนั้นเป็นยคุ ที่วัยรุ่น วัยเรียน ให้ความ
สนใจกับเทคโนโลยีมาก โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ น้อยคนมากที่จะไม่มี มือถือไว้ใช้ ดังนั้น M-learning จึง
เหมาะทจ่ี ะนำมาใชก้ ับการศกึ ษาในสมยั ปัจจบุ ันมากทส่ี ุด เพอื่ เปน็ การเสริมความรู้ให้กับผู้เรียนอย่างท่ัวถึง
ปัจจัยท่ีมผี ลต่อการเปลยี่ นแปลงทางเทคโนโลยี

-ผลกระทบตอ่ ชุมชน
-ผลกระทบตอ่ เศรษฐกจิ
-ผลกระทบด้านจติ วทิ ยา
-ผลกระทบทางดา้ นสงิ่ แวดล้อม
-ผลกระทบทางดา้ นการศึกษา

การคิดสรา้ งสรรคห์ รือกรรมวิธีใหม่ๆ ซึ่งตา่ งไปจากท่ีเคยปฏิบัติมาใช้แก้ปัญหาในการปฏิบัติงานต่างๆ
ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะ เปลี่ยน แปลงปร ับปรุงว ิธีก าร ทำง านให้มีประสิทธ ิภาพ สูงขึ้น เรา
เรียกว่า “นวัตกรรม” นวัตกรรมตรงกับคำว่า “innovation” ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลว่า To
renew หรือ to modify หรอื “ทำขนึ้ มาใหม”่ ดังนัน้ คนเราจงึ ควรมนี วัตกรรม คือ ตอ้ งรู้จักสรา้ งสรรค์ ต้องมี
ความพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า เพื่อปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน ในการพัฒนาการ
เรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และเพื่อให้เกิดประสิทธิผลในบั้นปลายนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ ครู -อาจารย์
จะต้องพยายามค้นคว้าวิธีการใหม่ๆ ที่คิดค้นขึ้นในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา” นั่นเอง
ฉะนน้ั คำวา่ นวตั กรรมการศกึ ษา จงึ หมายถึง การนำส่ิงใหม่ๆ แนวความคิดวธิ ีการหรือการกระทำใหม่ๆ ซึ่งได้
ผา่ นการทดลอง วิจัยหรอื อยูร่ ะหว่างการทดลอง หรอื อาจเปน็ สงิ่ ท่เี คยใชแ้ ล้วมาปรบั ปรงุ ใหม่มาใช้ในการศึกษา
เพือ่ ปรับปรงุ หรอื เพม่ิ ประสทิ ธิภาพ ให้ดี ย่ิงขนึ้

20

บทที่2

ความรเู้ บือ้ งตน้ เก่ียวกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ

ความหมายคอมพวิ เตอร์

คอมพวิ เตอร์ มาจากภาษาละตินว่า Computare ซง่ึ หมายถงึ การนับ หรือ การคำนวณ ดังนัน้ ถ้ากล่าว
อย่างกว้าง ๆ เครื่องคำนวณที่มีส่วนประกอบเป็นเครื่องกลไกหรือเครื่องไฟฟ้า ต่างก็จัดเป็นคอมพิวเตอร์ได้
ทงั้ สนิ้ ลกู คิดที่เคยใช้กนั ในร้านค้า ไม้บรรทัด คำนวณ (slide rule) ซ่ึงถือเป็นเคร่อื งมือประจำตัววิศวกรในยุค
ยส่ี บิ ปกี ่อน หรอื เครื่องคดิ เลข ลว้ นเป็นคอมพิวเตอร์ไดท้ ั้งหมด

ในปัจจุบันความหมายของคอมพวิ เตอร์จะระบุเฉพาะเจาะจง หมายถึงเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่
สามารถทำงานคำนวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คำจำกัดความของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัด
ว่า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและ
ซับซ้อน โดยวธิ ที างคณิตศาสตร์

คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิด
คำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลข และ ตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนียัง
สามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมี
ความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บ
ขอ้ มลู ในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมลู ตา่ งๆ ได้

ประเภทของคอมพวิ เตอร์
เครื่องคอมพวิ เตอร์นัน้ สามารถจำแนกไดห้ ลายประเภท ขึน้ กบั ขนาด ประสิทธิภาพ และลกั ษณะการใช้

งาน โดยท่ัวไป
1. คอมพวิ เตอร์ส่วนบุคคล หรอื ซีพี (Personal Computer) เป็นเครอื่ งคอมพิวเตอรท์ ีม่ ีใชง้ านกนั ท่ัว เปน็
แบบต้งั โตะ๊ ทีเ่ หมาะสำหรบั ใช้งานในบา้ น ในสำนักงานราคาไมแ่ พง ที่นิยมใชก้ นั มีอยู่สองตระกูลคอื PC-
Compatible ท่ีมีตน้ แบบเป็นคอมพิวเตอรข์ องบริษัท IBM และคอมพวิ เตอรต์ ระกลู Apple คอมพวิ เตอร์
แบบ Apple คอมพวิ เตอร์แบบ PC มกี ารผลิตออกมาหลายรนุ่ หลายแบบโดยส่วนใหญแ่ ละวจะใช้โปรแกรม
ระบบปฏิบตั ิการ Windows สว่ นคอมพวิ เตอร์ Apple จะใชโ้ ปรแกรมระบบปฏิบตั กิ ารของ Macintosh ท่ี
เรยี กว่า Mac OS

21

2. คอมพวิ เตอรโ์ น้ตบุ๊ก (Notebook Computer)

เปน็ คอมพวิ เตอรส์ ว่ นบคุ คลขนาดเล็กที่มีน้ำหนักเบา สะดวกกับการเคลือ่ นยา้ ยไปยังท่ีต่างๆ
คอมพวิ เตอร์แบบนอ้ี าจเรยี กไดว้ ่าเป็น Mobile computer สามารถใช้พลังงานไฟฟา้ ท่ัวไปเหมอื นพลังงานจาก
แบตเตอรไ่ี ด้ ในปัจจุบันคอมพวิ เตอรป์ ระเภทนีอ้ าจมีประสิทธภิ าพสูงไมแ่ พแ้ บบคอมพวิ เตอร์แบบ พีซี แต่หาก
เปรยี บกบั พซี ีท่มี ีประสทิ ธิภาพเท่ากนั แล้ว คอมพวิ เตอร์แบบโน้ตบุกจะมรี าคาสงู กวา่
3. คอมพวิ เตอรแ์ บบพกพา (Handheld Computer)

เป็นคอมพวิ เตอร์ขนาดเล็กทเ่ี หมาะสำหรบั พกพาไปทต่ี า่ งๆ เน่อื งจากเครื่องมีขนาดเลก็ จึงไม่
เหมาะท่ีจะออกแบบคีย์บอรด์ ไว้บนตัวเครอ่ื ง แตใ่ ช้ปากกาที่เรยี กวา่ สไตลัส (Stylus) เปน็ อปุ กรณ์สำหรบั ป้อน
ขอ้ มลู คอมพวิ เตอรป์ ระเภทนี้สามารถใช้งานพนื้ ฐานท่ัวไปได้ รบั สง่ email และใช้ในการสื่อสารได้ เครอื่ ง
คอมพวิ เตอร์ประเภทนี้จะรวมถงึ คอมพิวเตอรแ์ บบ PDA (Personal Digital Assistant) หรอื พีดีเอ ท่ีใช้กัน
ทวั่ ไป ปจั จบุ ันคอมพวิ เตอร์ประเภทน้ยี งั มกี ล้องถ่ายภาพตดิ มาบนตวั เครอ่ื งดว้ ย

อินเทอร์เน็ต หมายถงึ เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ทม่ี ีขนาดใหญ่ มกี ารเช่อื มต่อระหว่างเครือข่ายหลาย ๆ
เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (protocol) ผู้ใช้
เครือข่ายน้ีสามารถส่ือสารถึงกนั ได้ในหลาย ๆ ทาง อาทิ อเี มล เวบ็ บอรด์ และ โซเชยี ลเนต็ เวร์ิค แนวโน้มล่าสุด
ของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างเครือข่ายสังคม ซึ่งพบว่า
ปจั จบุ ันเวบ็ ไซต์ที่เกยี่ วขอ้ งกับกิจกรรมดงั กล่าวกำลงั ได้รับความนยิ มอย่างแพร่หลายเชน่ Facebook (เฟซบุ๊ก)
Twitter (ทวิตเตอร์) Instragram (อินสตราแกรม) และการใช้เริ่มมกี ารแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอร์เน็ต
ผ่านโทรศัพท์มือถอื (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้การเขา้ ถึงเครือข่าย
ผา่ นโทรศัพทม์ ือถอื ทำไดง้ ่ายขึน้ มาก และเปน็ ผลสืบเน่ืองมาจากเทคโนโนยี 3 จี และ 4 จี

เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์

การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ในอดีตจะใช้วิธีบันทึกข้อมูลลงในแผ่นดิสก์และส่งไปยงั
ปลายทางโดยอาศัยผู้ส่งดิสก์ เรียกการติดต่อสื่อสารแบบนี้ว่า เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีคนเป็นสื่อ รับ-ส่ง
ขอ้ มูล

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้าด้วยกันโดยใช้
สื่อกลางต่างๆ เช่น สายสัญญาณ คลื่นวิทยุ เป็นต้น เพื่อทำให้สามารถสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลและใช้
ทรพั ยากรรว่ มกนั ไก้

เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ แบ่งออกเป็น 6 ประเภท

1. เครอื ข่ายเฉพาะท่ี หรือ แลนด์

22

2. เครอื ข่ายนครหลวง หรือแมน
3. เครือขา่ ยบรเิ วณกว้าง หรอื แวน
4. เครือขา่ ยภายในองคก์ ร หรืออนิ ทราเน็ต
5. เครอื ข่ายภายนอกองค์กร หรืเอก็ ทราเนต็
6. เครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต
เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีองค์ประกอบพื้นฐาน 2 ส่วนหลัก คือ องค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์ และ
องค์ประกอบดา้ นซอฟต์แวร์ โดยองคป์ ระกอบด้านฮารด์ แวร์ หมายถึง
อปุ กรณท์ ใ่ี ช้งานและเช่อื มตอ่ ภายในเครอื ข่าย เชน่ เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ แป้นพมิ พ์
สายสญั ญาณ เป็นตน้ สว่ นองคป์ ระกอบดา้ นซอฟตแ์ วร์ หมายถงึ ระบบปฏิบัติการ
หรอื โปรแกรมต่างๆ ที่ใชส้ นับสนุนการทำงานและให้บรกิ ารด้านต่างๆ เพื่ออำนวย
ความสะดวกใหแ้ กผ่ ใู้ ช้ใหส้ ามารถติดตอ่ สือ่ สารผ่านเครือข่ายได้

การเลือกใชฮ้ ารด์ แวรข์ องระบบเครอื ข่ายขนาดเล็ก
การติดต้ังเครือขา่ ยขนาดเลก็ มจี ดุ ประสงค์เพอ่ื ใชง้ านภายในบา้ นหรอื ในสำนกั งาน

ขนาดเลก็ เพอ่ื ใหส้ ามารถใชท้ รัพยากรร่วมกันได้ เชน่ ขอ้ มลู เครื่องพิมพ์ สแกนเนอร์
เปน็ ตน้

1. อปุ กรณ์ในระบบเครือขา่ ยขนาดเล็ก มีหลายชนดิ ได้แก่ การ์ดแลน ฮบั สวติ ซ์
โมเดม็ เราเตอร์ สายสัญญาณ ซงึ่ อปุ กรณแ์ ตล่ ะชนิดมคี ณุ สมบัติแตกตา่ งกนั ดงั นี้

1.1 การ์ดแลน เป็นอปุ กรณ์ทท่ี ำหน้าที่ ทีร่ บั ส่งขอ้ มูลจากคอมพิวเตอร์
เคร่ืองหนึ่ง ไปส่คู อมพวิ เตอรอ์ ีกเคร่ืองหนึง่ โดยผา่ นสายแลน

1.2 ฮบั เป็นอปุ กรณท์ ี่ทำหนา้ ท่เี สมอื นกับชุมทางข้อมลู หนา้ ที่เป็นตัวกลางคอยส่งข้อมูลให้
คอมพวิ เตอรใ์ นเครือขา่ ย และเปน็ ตวั กระจายสัญญาณ

1.3 สวิทช์ เป็นอุปกรณ์รวมสัญญาณเชน่ เดยี วกับฮับ แตต่ า่ งจากฮบั คือ
การรับสง่ ข้อมลู จากคอมพิวเตอรเ์ คร่อื งหนงึ่ นนั้ จะไมก่ ระจายไปยงั ทุกเครอ่ื ง เนือ่ งจากสวทิ ช์

23

จะรับกลมุ่ ขอ้ มูลมาตรวจสอบก่อนว่าเป็นขอ้ มูลเครอ่ื งใด แลว้ สง่ ข้อมูลนน้ั ไปยังปลายทาง
อย่างอตั โนมัติ

1.4 โมเด็ม เป็นอุปกรณ์ท่ีทำหน้าที่แปลงสัญญาณเพื่อใหสามารถส่งผ่านสายโทรศัพท์ หรือใย
แกว้ นำแสงได้

1.5 อุปกรณจ์ ดั เสน้ ทางหรือ เราเตอร์ เปน็ อปุ กรณ์ทีใ่ ช้ในการเชือ่ มโยงเครอื ขา่ ย
หลายเครือข่ายเข้าด้วยกัน การส่งข้อมูลจึงมีหลายเส้นทาง และทำหน้าเลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการ
สง่ ผา่ นขอ้ มลู เพ่อื เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

1.6 สายสญั ญาณเปน็ อปุ กรณท์ ่ีทำหน้าท่เี ปน็ สอ่ื กลางในการรับส่งขอ้ มูล

การเชอ่ื มต่อระบบเครอื ขา่ ยขนาดเล็ก
การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายขนาดเล็กที่ใช้กันในปัจจุบันมี 2 แบบหลักๆ คือ การเชื่อมต่อเครือข่าย

ระยะใกล้ การเชอื่ มตอ่ เครือขา่ ยระยะไกล
1.1 การเชือ่ มตอ่ เครอื ข่ายระยะใกล้
หากมีคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายไม่เกินสองเครื่อง อุปกรณ์ในระบบเครือข่ายนอกจากเครื่อง

คอมพิวเตอรแ์ ลว้ ยังต้องมีการด์ แลนดแ์ ละสายสัญญาณ โดยไมต่ อ้ งใชฮ้ ับและสวิตซ์
การตัดสินใจซื้อ ฮับและสวิตซ์ มาใช้จะต้องคำนึงถึงเรื่องการขยายระบบเครือข่ายในอนาคต

ด้วย ควรเลือกฮับและสวิตซ์ที่สามารถรับรองจำนวนเคร่ืองคอมพิวเตอร์ได้เท่ากับจำนวนที่คาดว่าจะมีใน
อนาคต

1.2 การเชื่อมต่อเครือข่ายระยะไกล จากข้อจำกัดของเครือข่ายที่ใช้สายแลนด์ที่ไม่สามารถ
เดินสายใหม้ ีความยาวมากกว่า 100 เมตรได้ จึงต้องหาทางเลือกสำหรับระบบ เครือข่ายระยะไกล

ในกรณีที่เครือข่ายมีการรับส่งข้อมูลจำนวนมาก ควรเลือกใช้เราเตอร์เพื่อช่วยลดปัญหา
ความหนาแน่นของข้อมลู ในเครือขา่ ย แต่เนื่องจากเราเตอรม์ ีราคาแพงจงึ ตอ้ งประเมินความคมุ้ คา่ หากต้องการ
จดั ซ้ือมาใชง้ าน

แบบท่ี 1 คอื ตอ้ งติดต้ังเครอ่ื งทวนสญั ณาณ ไวท้ กุ ๆระยะ 100
แบบที่ 2 คือ ใช้โมเด็มหมุนโทรศัพท์เข้าหากันเมื่อต้องการเชื่อมต่อ และเมื่อเสร็จสิ้นธุรกิจแล้วก็
ยกเลิกการเช่อื มต่อ แต่ความเร็วที่ได้จะได้แค่เพียงความสามารถของสายโทรศัพท์

24

แบบที่ 3 คือ เป็นเทคโนโลยีระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบันสายสัญญาณที่
เลือกใช้คือสายใยแกว้ นำแสง สามารถส่งข้อมูลไดร้ ะยะทางไกลและมีความเร็วสูง รวมถึงความปลอดภัยของ
ข้อมลู

แบบที่ 4 คือ ใช้จุดเชื่อมต่อแบบไร้สาย เป็นการเชื่อมต่อโดยใช้สัญาณวิทยุทางอากาศแทนการใช้
สายโทรศพั ท์ เพอ่ื ลดปัญหาจากการใชส้ ายสัญญาณ เหมาะสำหรับการติดต้งั ในพน้ื ทีท่ มี่ ขี นาดจำกดั

แบบที่ 5 คือ เทคโนโลยี G.SHDSL ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีตระกูล DSL เป็นเทคโนโลยีโมเด็มท่ี
ทำให้คู่สายทองแดงธรรมดากลายเป็นสือ่ สญั ญาณดิจิทลั ความเร็วสงู โดยใชเ้ ทคนคิ การเข้ารหัสสัญญาณข้อมูล
ในย่านความถี่ที่สูงกว่าการใช้งานโทรศัพท์โดยทั่วไป ทำให้สามารถส่งข้อมูลในขณะเดียวกันกับการใช้งาน
โทรศัพทไ์ ด้

แบบที่ 6 คือ เทคโนโลยีแบบ ethernet overVDSLเป็นเทคโนโลยีระบบเครือข่ายแบบล่าสุดท่ี
สามารถตดิ ตั้งใชง้ านไดเ้ อง จึงทำใหม้ ีตน้ ทุนต่ำโยสามารถเชือ่ มต่อกับสายโทรศัพท์ท่ัวไป

การเลอื กใช้ซอฟต์แวร์ของระบบเครือขา่ ยขนาดเลก็

สามารถเลือกใช้ระบบปฏิบตั ิการแบบเครือข่าย( Network OS ) เปน็ ระบบปฎบิ ตั กิ ารสำหรับออกแบบ
และจดั การงานดา้ นการส่ือสารระหวา่ งคอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายให้สามารถใช้ทรพั ยากรร่วมกันได้ ปัจจุบัน
ระบบปฏิบัติการเครือข่ายจะใช้หลักการประมวลผลแบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์ คือการจัดการข้อมูลและ
โปรแกรมทำงานอยูบ่ นเครื่องเซริ ฟ์ เวอร์และส่วนประกอบอ่ืนๆของระบบปฎิบัติการเครือข่ายจะทำงานอยูบ่ น
เคร่ืองไคลเอนด์ เชน่ การประมวลผล การติดต่อกบั ผูใ้ ช้ เปน็ ต้น

ปัจจบุ ันซอฟต์แวร์สำหรบั ระบบเครือขา่ ยขนาดเลก็ มีให้เลอื กใชง้ านหลายโปรแกรม เช่น

1. ระบบปฏิบัติการลินุกซ์ เซ็นต์โอเอส เรียกย่อว่า CentOS เป็นซอฟซ์แวร์เปิดเผยโค้ด ผู้ใช้สามารถ
ดาวน์โหลดไปใช้งาน หรือแก้ไขได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ แต่ผู้ดูแลระบบต้องเรียนรู้ระบบก่อนใช้งาน
สามารถเรยี นรผู้ า่ นทางเวบ็ ไซตต์ ่างๆ

2. ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ ปัจจุบันถูกพัฒนาเป็น Windows Server 2008 ออกแบบ
เพื่อสนับสนุนระบบเครือข่าย แอพพลิเคชั่นและบริการอื่นๆ ที่มีความทันสมัยบนเว็บไซต์ และยังเพ่ิม
ประสิทธิภาพให้ระบบปฏิบัติการพื้นฐาน เช่น ระบบเครื่องมือเว็บ เทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชัน เพิ่มคุณภาพ
ความปลอดภยั เครื่องมอื จัดการช่วยประหยดั เวลาและทรพั ยากรอ่นื ๆ ได้มากขน้ึ โดยมคี ณุ สมบัติดังนี้

1.สร้างโครงสรา้ งพืน้ ฐานที่มน่ั คงสำหรับภาระงานของเซิรฟ์ เวอร์

2.เวอร์ชวลไลเซชัน ซึ้งเป็นเทคโนโลยีการสร้างระบบเสมือนจรงิ ท่ีมรี ากฐานจากระบบ

25

3. มรี ะบบการจัดการดแู ลเวบ็ ระบบวิเคราะหป์ ญั หา เคร่ืองมือพัฒนา
4.ระบบความปลอดภัย ไดร้ ับการพฒั นาใหม้ คี วามทนทานมากขึน้ พรอ้ มทงั้ ผสานการใช้เทคโนโลยี
ดา้ น IDA หลายชิน้

ความหมายของอินเทอรเ์ นต็
อินเทอร์เนต็ (องั กฤษ: Internet) หมายถึง เครอื ข่ายคอมพวิ เตอรท์ ่มี ีขนาดใหญ่ มีการเช่ือมตอ่ ระหว่าง
เครือขา่ ยหลาย ๆ เครือข่ายทว่ั โลก โดยใชภ้ าษาที่ใช้ส่อื สารกนั ระหว่างคอมพวิ เตอรท์ เ่ี รียกวา่ โพรโทคอล
(protocol) ผูใ้ ช้เครือข่ายน้ีสามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลาย ๆ ทาง อาทิ อเี มล เว็บบอร์ด และ โซเชยี ล
เน็ตเวร์คิ
แนวโนม้ ลา่ สุดของการใชอ้ ินเทอรเ์ น็ตคือการใชอ้ นิ เทอร์เน็ตเปน็ แหล่งพบปะสังสรรคเ์ พอ่ื สรา้ งเครอื ข่ายสงั คม
ซง่ึ พบวา่ ปัจจบุ ันเว็บไซตท์ ่ีเก่ียวข้องกับกิจกรรมดงั กล่าวกำลังไดร้ ับความนยิ มอยา่ งแพรห่ ลายเช่น Facebook
(เฟซบุ๊ก) Twitter (ทวิตเตอร์) Instragram (อนิ สตราแกรม) และการใชเ้ ริม่ มีการแพรข่ ยายเข้าไปสู่การใช้
อนิ เทอร์เนต็ ผา่ นโทรศัพทม์ อื ถอื (Mobile Internet) มากขน้ึ เนื่องจากเทคโนโลยีปจั จุบันสนับสนนุ ให้การ
เขา้ ถึงเครอื ข่ายผา่ นโทรศัพท์มอื ถือทำได้ง่ายขึ้นมาก และเป็นผลสบื เนื่องมาจากเทคโนโนยี 3 จี และ 4 จี
จำนวนผู้ใช้อนิ เทอร์เน็ตทวั่ โลก

ปัจจุบนั จำนวนผ้ใู ชอ้ นิ เทอร์เน็ตท่ัวโลกโดยประมาณ 2.095 พันลา้ นคน หรอื 30.2 % ของประชากรทว่ั
โลก (ข้อมลู ณ เดือน มีนาคม 2554) โดยเมอ่ื เปรียบเทียบในทวีปตา่ ง ๆ พบว่าทวีปที่มีผู้ใชอ้ ินเทอร์เน็ตมาก
ทสี่ ุดคอื เอเชีย โดยคิดเปน็ 44.0 % ของผู้ใชอ้ ินเทอร์เน็ตทั้งหมด และประเทศทมี่ ีประชากรผใู้ ช้อนิ เทอรเ์ นต็
มากท่สี ดุ คอื ประเทศจีน คดิ เปน็ จำนวน 384 ล้านคน

หากเปรียบเทียบจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกับจำนวนประชากรรวม พบว่าทวีปอเมริกาเหนือมีสัดส่วนผู้ใช้ต่อ
ประชากรสูงที่สุดคือ 78.3 % รองลงมาได้แก่ ทวีปออสเตรเลีย 60.1 % และ ทวีปยุโรป คิดเป็น 58.3 %
ตามลำดบั

ระบบการสบื คน้ ผ่านเครอื ข่ายเพอื่ การเรียนรู้

การสบื คน้ ขอ้ มลู บนอนิ เทอร์เน็ต

ในโลกไซเบอร์สเปซมีขอ้ มูลมากมายมหาศาล การที่จะค้นหาข้อมูลจำนวนมากมายอยา่ งน้ีเราไม่อาจจะ
คลิกเพื่อค้นหาข้อมูลพบได้ง่ายๆ จำเป็นจะต้องอาศัยการค้นหาข้อมูลด้วยเคร่ืองมอื ค้นหาที่เรยี กว่า Search
Engine เข้ามาช่วยเพ่ือความสะดวกและรวดเรว็ เว็บไซต์ทีใ่ ห้บริการค้นหาข้อมูลมีมากมายหลายที่ทัง้ ของคน

26

ไทยและ ถ้าเราเปิดไปทีละหน้าจออาจจะต้องเสียเวลาในการค้นหา และอาจหาข้อมูลที่เราต้องการไม่พบ
การที่เราจะคน้ หาข้อมูลให้พบอย่างรวดเร็วจึงต้องพึง่ พา Search Engine Site ซึ่งจะทำหนา้ ที่รวบรวมรายช่ือ
เว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ ผู้ใช้งานเพียงแต่ทราบหวั ขอ้ ที่ต้องการค้นหาแล้วป้อน คำหรือ
ข้อความของหัวข้อนั้นๆ ลงไปในช่องที่กำหนด คลิกปุ่มค้นหา เท่านั้น รอสักครู่ข้อมูลอย่างย่อๆ และรายช่ือ
เว็บไซต์ทีเ่ กี่ยวข้องจะปรากฏให้เราเข้าไปศึกษาเพ่ิมเตมิ ได้ทนั ทีการคน้ หาข้อมูลมี 2 วธิ ไี ด้แก่

1. การค้นหาในรูปแบบ Index Directory คือวิธีการค้นหาข้อมูลแบบ Index นี้ข้อมูลจะมีความเป็นระเบียบ
เรียบร้อยมากกว่าการค้นหาข้อมูลด้วย วิธีของ Search Engine โดยมันจะถูกคัดแยกข้อมูลออกมาเป็น
หมวดหมู่ และจัดแบง่ แยก Site ตา่ งๆออก เป็นประเภท สำหรบั วิธีใช้งาน คณุ สามารถที่จะ Click เลือกข้อมูล
ท่ตี อ้ งการจะดูไดเ้ ลยใน Web Browser จากน้นั ท่หี นา้ จอก็จะแสดงรายละเอยี ดของหวั ข้อปลกี ย่อยลึกลงมาอีก
ระดับหนึ่ง ปรากฏขึ้นมาให้เราเลือกอีก ส่วนจะแสดงออกมาให้เลือกเยอะแค่ไหนอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของ
ฐานขอ้ มลู ใน Index ว่าในแต่ละประเภท จัดรวบรวมเกบ็ เอาไว้มากน้อยเพียงใด เม่อื คุณเขา้ ไปถงึ ประเภทย่อย
ที่คุณสนใจแล้ว ที่เว็บเพจจะแสดงรายชือ่ ของเอกสารท่ีเกี่ยวข้องกับ ประเภทของข้อมลู น้ันๆออกมา หากคุณ
คดิ ว่าเอกสารใดสนใจหรอื ตอ้ งการอยากท่ีจะดู สามารถ Click ลงไปยัง Link เพอื่ ขอเชื่อตอ่ ทางไซต์ก็จะนำเอา
ผลของขอ้ มูลดังกลา่ วออกมาแสดงผลทันที นอกเหนอื ไปจากนี้ ไซต์ทีแ่ สดงออกมาน้ันทางผูใ้ หบ้ รกิ ารยงั ไดเ้ รียบ
เรยี งโดยนำเอา Site ที่มีความเกย่ี ว ข้องมากทส่ี ุดเอามาไว้ตอนบนสุดของรายช่ือทีแ่ สดง

2. การค้นหาในรูปแบบ Search Engine คือวิธีการอีกอย่างที่นิยมใช้การค้นหาข้อมูลคือการใช้ Search
Engine ซึ่งผูใ้ ชส้ ว่ นใหญก่ ว่า 70% จะใชว้ ธิ ีการค้นหาแบบน้ี หลักการทำงานของ Search Engine จะแตกต่าง
จากการใช้ Indexลักษณะของมันจะเป็นฐานข้อมลู ขนาดใหญ่มหาศาลทีก่ ระจัดกระจายอยู่ทัว่ ไป บน Internet
ไม่มีการแสดงข้อมูลออกมาเป็นลำดับขั้นของความสำคัญ การใช้งานจะเหมือนการสืบค้นฐานข้อมูล อื่นๆคอื
คุณจะต้องพิมพ์คำสำคัญ (Keyword) ซึ่งเป็นการอธิบายถึงข้อมูลที่คุณต้องการจะเข้าไป ค้นหานั้นๆเข้าไป
จากนนั้ Search Engine กจ็ ะแสดงขอ้ มูลและ Site ตา่ งๆทเี่ ก่ียวขอ้ งออกมา

ขอ้ แตกต่างระหวา่ ง Index และ Search Engine

คำตอบก็ คือวิธีในการค้นหาข้อมูลแบบ Index เค้าจะใช้คนเป็นผู้จัดรวบรวมและทำระบบ
ฐานข้อมลู ขนึ้ มา สว่ นแบบ Search Engine นนั้ ระบบฐานข้อมลู ของมันจะไดร้ ับการจัดสร้างโดยใช้ Software
ที่มี หน้าที่เกี่ยวกับงานทางด้านนี้โดยเฉพาะมาเป็นตัวควบคุมและจัดการ ซึ่งเจ้า Software ตัวนี้จะมี ชื่อ
เรยี กวา่ Spiders การทำงานข้องมนั จะใชว้ ธิ ีการเดนิ ลัดเลาะไปตามเครือข่ายต่างๆท่ีเช่ือมโยงถึง กันอยู่เต็มไป
หมดใน Internet เพื่อค้นหา Website ที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ รวมทั้งยังสามารถตรวจสอบหาความเปลี่ยนแปลง
ของ ข้อมูลใน Site เดิมท่มี ีอยู่ วา่ ทใ่ี ดถูกอพั เดตแลว้ บ้าง จากนั้นมนั ก็จะนำเอาข้อมูลทงั้ หมดทสี่ ำรวจเขา้ มา ได้
เก็บใส่เข้าไปในฐานข้อมูลของตนอัตโนมัติ ยกตัวอย่างของผู้ให้บริการประเภทนี้เช่น Excite , Lycos

27

Infoserch เป็นตน้ การคน้ หาดว้ ยวิธี Search Engine นนั้ มกั จะได้ผลลพั ธอ์ อกมากวา้ งๆช้เี ฉพาะเจาะจงได้ยาก
บางคร้ังข้อมูลที่ คน้ หามาได้อาจมถี งึ เป็นร้อยเป็นพนั Site แลว้ มีใครบา้ งหละทอี่ ยากจะมานง้ั คน้ หาและอ่านดูที่
จะเพจ ซึ่งคง ต้องเสียเวลาเป็นวันๆแน่ ซึ่งก็ไม่รับรองด้วยว่าคุณจะได้ข้อมูลที่คุณต้องการหรือไม่ ดังนั้นจิงมี
หลกั ในการคน้ หา เพ่ือใหไ้ ด้ข้อมูลใกล้เคยี งความเป็นจริงมากที่สดุ ซง่ึ จะขอกลา่ วในตอนหลัง

ประเภทของ Search Engine

Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภทของ Search
Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใชเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มูล ดังนั้นการที่คุณจะเข้าไปหาข้อมูลหรือเวบ็ ไซต์ โดยวิธีการ
Search นั้น อย่างน้อยคุณจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ทีค่ ุณเข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search
Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป ที่นี้เราลองมาดูซิว่า
Search Engine ประเภทใดทเ่ี หมาะกับการค้นหาขอ้ มูลของคุณ

1. Keyword Index เป็นการค้นหาข้อมูล โดยการค้นจากข้อความในเว็บเพจที่ได้ผ่านการสำรวจ
มาแลว้ จะอ่านขอ้ ความ ข้อมลู อย่างนอ้ ยๆ ก็ประมาณ 200-300 ตัวอกั ษรแรกของเวบ็ เพจนัน้ ๆ โดยการอา่ นนี้
จะหมายรวมไปถึงอ่านข้อความท่ีอยู่ในโครงสรา้ งภาษา HTML ซึ่งอยู่ในรูปแบบของข้อความทีอ่ ยู่ในคำสั่ง alt
ซึ่งเป็นคำสั่งภายใน TAG คำสังของรูปภาพ แต่จะไม่นำคำสั่งของ TAG อื่นๆ ในภาษา HTML และคำสั่งใน
ภาษา JAVA มาใช้ในการค้นหา วิธีการค้นหาของ Search Engine ประเภทนี้จะให้ความสำคัญกับการ
เรียงลำดับข้อมลู ก่อน-หลงั และความถี่ในการนำเสนอข้อมูลนั้น การค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นนีจ้ ะมีความ
รวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึง
รายละเอยี ดของเนอ้ื หาเท่าที่ควร แตห่ ากว่าคุณต้องการแนวทางด้านกว้างของข้อมูล และความรวดเร็วในการ
คน้ หา วธิ ีการนกี้ ็ใชไ้ ด้ผลดี

2. Subject Directories การจำแนกหมวดหมู่ข้อมูล Search Engine ประเภทนี้ จะจัดแบ่งโดยการ
วิเคราะห์เนื้อหา รายละเอียด ของแต่ละเว็บเพจ ว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยการจัดแบ่งแบบนี้จะใช้
แรงงานคนในการพิจารณาเว็บเพจ ซึ่งทำให้การจดั หมวดหมู่ขึน้ อยู่กับวิจารณญาณของคนจัดหมวดหมูแ่ ต่ละ
คนวา่ จะจัดเก็บข้อมูลน้นั ๆ อยู่ในเครือขา่ ยข้อมูลอะไร ดงั น้นั ฐานข้อมูลของ Search Engine ประเภทน้ีจะถูก
จัดแบ่งตามเนื้อหาก่อน แล้วจึงนำมาเป็นฐานข้อมูลในการค้นหาต่อไป การค้นหาค่อนข้างจะตรงกับความ
ต้องการของผู้ใช้ และมคี วามถกู ตอ้ งในการคน้ หาสงู เปน็ ต้นว่า หากเราตอ้ งการหาข้อมลู เกี่ยวกบั เวบ็ ไซต์ หรือ
เว็บเพจท่ีนำเสนอข้อมูลเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ Search Engine กจ็ ะประมวลผลรายช่อื เว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่
เกยี่ วกบั คอมพิวเตอรล์ ว้ นๆ มาใหค้ ณุ

3. Metasearch Engines จุดเด่นของการค้นหาด้วยวิธีการนี้ คือ สามารถเชื่อมโยงไปยัง Search
Engine ประเภทอื่นๆ และยังมีความหลากหลายของข้อมูล แต่การค้นหาด้วยวิธีนี้มีจุดด้อย คือ วิธีการนี้จะ

28

ไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคำประเภท Natural Language (ภาษา
พดู ) ดังนน้ั หากคุณจะใช้ Search Engine แบบนี้ละก็ ขอให้ตระหนกั ถึงขอ้ บกพรอ่ งเหล่าน้ดี ้วย

หลกั การค้นหาข้อมลู ของ Search Enine

สำหรับหลักในการค้นหาขอ้ มูลของ Search Engine แต่ละตวั จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ข้ึนอยู่
กับว่าทางศูนย์บริการตอ้ งการจะเก็บขอ้ มูลแบบไหน แต่โดยส่วนใหญแ่ ลว้ จะมกี ลไกใน การค้นหาทใี่ กลเ้ คียงกัน
หากจะแตกต่างก็คงจะเป็นเรื่องประสิทธภิ าพเสียมากกว่า ว่าจะมีข้อมูล เก็บรวบรวมไว้อยู่ในฐานข้อมูลมาก
น้อยขนาดไหน และพอจะนำเอาออกมาบริการให้กบั ผู้ใช้ ได้ตรงตามความต้องการหรือเปลา่ ซึ่งลักษณะของ
ปัจจยั ที่ใช้ค้นหาโดยหลักๆจะมีดังนี้

1. การค้นหาจากช่ือของตำแหน่ง URL ใน เว็บไซตต์ า่ งๆ

2. การค้นหาจากคำท่ีมีอยู่ใน Title (สว่ นที่ Browser ใชแ้ สดงชือ่ ของเวบ็ เพจอยู่ทางด้าน ซา้ ยบนของหน้าต่าง
ท่ีแสดง

3. การค้นหาจากคำสำคญั หรือคำสง่ั keyword (อยูใ่ น tag คำส่งั ใน html ท่ีมชี ่อื ว่า meta)

4. การค้นหาจากสว่ นทีใ่ ช้อธิบายหรอื บอกลักษณะ site

5. ค้นหาคำในหน้าเว็บเพจด้วย Browser ซึ่งการค้นหาคำในหน้าเว็บเพจนั้นจะใช้สำหรับกรณีที่คุณเข้าไป
ค้นหาข้อมลู ทเ่ี ว็บ เพจใด เว็บเพจหนงึ่ แล้วภายในมีข้อความปรากฏอยู่เต็มไปหมด จะนง่ั ไล่ดทู ลี ะบรรทัดคงไม่
สะดวก ในลกั ษณะน้ีเราใช้ใช้ browser ช่วยค้นหาให้ ขึ้นแรกให้คณุ นำ mouse ไป click ท่ี menu Edit แล้ว
เลือกบรรทดั คำสั่ง Find in Page หรือกดปุ่ม Ctrl + F ที่ keyboard ก็ได้ จากนั้นใส่คำที่ต้องการคน้ หาลงไป
แล้วก็กดปุ่ม Find Next โปรแกรมก็จะวิ่งหาคำดังกล่าว หากพบมันก็จะกระโดดไปแสดงคำนั้นๆ ซึ่งคุณ
สามารถกดปุ่ม Find Next เพื่อคน้ หาต่อได้ อีกจนกว่าคุณจะพบข้อมลู ท่ีต้องการ

เทคนคิ 11 ประการทีค่ วรร้ใู นการคน้ หาข้อมูล

ในการคน้ หาข้อมลู ดว้ ย Search Engine ส่วนใหญแ่ ล้วปญั หาทผี่ ใู้ ช้งานท่ัวไปมกั จะพบเห็น หรือประสบ
อยู่เสมอๆก็คงจะหนีไปไม่พ้นข้อมูลที่คน้ หาได้มขี นาดมากจนเกินไป ดังนั้นเพือ่ ความสะดวกในการใช้งานคุณ
จึงน่าท่จี ะเรียนรู้เทคนคิ ต่างๆเพ่ือชว่ ยลดหรือ จำกดั คำที่ค้น หาใหแ้ คบลงและตรงประเดน็ กบั เรามากทีส่ ุด ดัง
วิธีการต่อไปน้ี

1. เลือกรูปแบบการค้นหาให้ตรงกับสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด(อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่ามีอยู่ 2
แบบ) ส่วนจะเลือกใช้วิธีไหนก็ตามแต่จะเห็นว่า เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการจะค้นหาข้อมูลที่มี

29

ลักษณะทั่วไป ไม่ช้ี เฉพาะเจาะจง กค็ วรเลอื กบรกิ ารสืบค้นขอ้ มูลแบบ Index อยา่ งของ yahoo เพราะ โอกาส
ทีจ่ ะเจอนั้น เปอรเ์ ซ็นต์สงู กวา่ จะมาน่ังสุม่ หาโดยใชว้ ิธแี บบ Search Engine

2. ใช้คำมากกว่า 1 คำที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกันช่วยค้นหา เพราะจะได้ผลลัพท์ที่มีขนาด แคบลงและชี้เฉพาะ
มากขนึ้ (ยอ่ มจะดีกว่าหาคำเดียวโดดๆ)

3. ใช้บริการของผู้ใหบ้ รกิ ารเฉพาะด้าน เช่นการค้นหาขอ้ มูลเกยี่ วกับเร่อื งราวของ ภาพยนตร์ก็น่าที่จะเลือกใช้
Search Engine ที่ใหบ้ ริการใหลเ้ คยี งกับเรื่องพวกน้ี เพราะผลลัพท์ท่ีได้นา่ จะเปน็ ทีน่ า่ พอใจกวา่

4. ใสเ่ ครื่องหมายคำพูดครอบคลุมกลุ่มคำท่ีต้องการ เพอ่ื บอกกับ Search Engine ว่าเรา ต้องการผลการคน้ หา
ทมี่ คี ำในกลมุ่ นั้นครบและตรงตามลำดบั ที่เราพิมพ์ทุกคำ เชน่ "free shareware" เป็นตน้

5. การขึน้ ต้นของตัวอักษรตัวเลก็ เท่ากันหมด Search Engine จะเข้าใจวา่ เราต้องการ ใหม้ ันคน้ หาคำดังกล่าว
แบบไม่ต้องสนใจว่าตัวอักษรที่ได้จะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ดังนั้นหากคุณต้องการอยากท่ีจะใหม้ ันค้นหาคำตรง
ตามแบบทีเ่ ขยี นไว้ก็ใหใ้ ช้ ตัว อักษรใหญ่แทน

6. ใช้ตัวเชื่อมทาง Logic หรือตรรกศาสตร์เขา้ มาชว่ ยคน้ หา มีอยู่ 3 ตวั ด้วยกันคือ - AND ส่ังใหห้ าโดยจะต้องมี
คำนั้นๆมาแสดงด้วยเท่านั้น! โดยไม่จำเปน็ ว่าจะต้องตดิ กัน เช่น phonelink AND pager เป็นต้น - OR สั่งให้
หาโดยจะต้องนำคำใดคำหนึ่งที่พิมพ์ลงไปมาแสดง - NOT สั่งไม่ให้เลือกคำนั้นๆมาแสดง เช่น food and
cheese not butter หมายความว่า ให้ทำการหาเว็บที่เกี่ยวข้องกบั food และ cheese แต่ต้องไม่มี butter
เป็นตน้

7. ใช้เครื่องหมายบวกลบคัดเลือกคำ + หน้าคำที่ต้องการจริงๆ - (ลบ)ใช้นำหน้าคำที่ไม่ต้องการ () ช่วยแยก
กลมุ่ คำ เช่น (pentium+computer)cpu

8. ใช้ * เป็นตัวร่วม เช่น com* เป็นการบอกให้หาคำที่มีคำว่า com ขึ้นหน้าส่วนด้านท้ายเป็น อะไรไม่สนใจ
*tor เปน็ การให้หาคำทล่ี งท้ายดว้ ย tor ดา้ นหนา้ จะเป็นอะไรไมส่ นใจ

9.หลีก เลี่ยงการใช้ตัวเลข พยายามเลี่ยงการใช้คำค้นหาที่เป็นคำเดี่ยวๆ หรือเป็นคำที่มีตัวเลขปน แต่ถ้าเลี่ยง
ไม่ได้ คณุ กอ็ ยา่ ลมื ใสเ่ ครือ่ งหมายคำพูด (" ") ลงไปด้วย เช่น "windows 98"

10. หลีก เลี่ยงภาษาพูด หลีกเลี่ยงคำประเภท Natural Language หรือเรียกง่ายๆ ว่าคำหรือข้อความที่เป็น
ภาษาพูด หรือเป็นประโยค คุณควรสรุปเป็นเพียงกลุ่มคำหรือวลี ที่มีความหมายรวมทั้งหมดไว้ Advanced
Search อย่าลืมที่จะใช้ Advanced Search เพราะจะมีส่วนช่วยคุณได้มาก ในการบีบประเด็นหัวขอ้ ให้แคบ
ลง ซงึ่ จะทำให้คณุ ได้รายชื่อเวบ็ ไซต์ ท่ตี รงกบั ความต้องการของคุณมากข้นึ

30

11. อย่าละเลย Help ซึ่งในแต่ละเว็บ จะมี ปุ่ม help หรือ Site map ไว้คอยช่วยเหลือคุณ แต่คนส่วนใหญ่
มักจะมองข้าม ซ่ึง help/site map จะมีประโยชนม์ ากในการอธบิ าย option หรอื การใชง้ าน/แผนผังปลีกย่อย
ของแต่ละเวบ็ ไซต์

ความหมายของคำว่า ข้อมูล
ข้อมูล (Data) คือ ข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่เกีย่ วข้องกบั สิ่งต่าง ๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของสถานที่ ฯลฯ

โดยอยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมต่อการสื่อสาร การแปลความหมาย และการประมวลผล ซึ่งข้อมูลอาจจะได้มา
จากการสังเกต การรวบรวม การวัดข้อมูล เป็นได้ทั้งข้อมูลตัวเลข ภาพ เสียง หรือสัญญลักษณ์ใด ๆ ที่สำคัญ
จะตอ้ งมคี วามเปน็ จริง และตอ่ เนอื่ ง ซึง่ ตัวอย่างของข้อมูล เชน่ คะแนนสอบ ชือนักเรียน เพศ อายุ เปน็ ต้

ชนิดของข้อมลู
การแบ่งประเภทของข้อมลู ข้ึนอย่กู ับ

- ความต้องการของผ้ใู ช้
- ลักษณะของขอ้ มูลทน่ี ำไปใช้
- เกณฑท์ ่ีนำมาพจิ ารณา
สามารถแบง่ ชนิดและลกั ษณะของขอ้ มลู ไว้ 4 รปู แบบ ดังน้ี
1. การแบง่ ข้อมูลตามลักษณะของข้อมลู
เปน็ การแบง่ ข้อมลู โดยพจิ ารณาจากการรบั ขอ้ มูลของประสาทสมั ผสั ของร่างกาย ไดแ้ ก่
- ขอ้ มลู ภาพท่ีได้รบั จากการมองเหน็ ดว้ ยดวงตา
- ขอ้ มลู เสียงท่ีได้รบั จากการฟังด้วยหู
- ขอ้ มูลกล่ินท่ไี ด้รับจากการสดู ดมดว้ ยจมูก
- ข้อมูลรสชาติทีไ่ ด้รับจากการรับรสชาตดิ ว้ ยลิ้น
- ข้อมูลสัมผัสท่ีได้รบั จากความร้สู กึ ด้วยผวิ หนงั
2. การแบง่ ข้อมูลตามแหลง่ ข้อมูลที่ไดร้ บั
โดยพิจารณาจากลกั ษณะของทม่ี าหรือการได้รับข้อมูล ไดแ้ ก่

31

- ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) คือ ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมหรือบันทึกจาก
แหล่งข้อมูล โดยตรงด้วยวธิ ตี ่างๆ เช่น จากการสอบถามการสัมภาษณ์การสำรวจการจดบันทกึ ตัวอย่างข้อมูล
ปฐมภูมิ ได้แก่ ข้อมูลการมาโรงเรียนสายของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งได้จากการจดบันทึกใน
รอบ 1 เดอื นทีผ่ ่านมา

- ข้อมลู ทุตยิ ภมู ิ (Secondary Data) คือ การนำข้อมลู ทผี่ ู้อื่นได้เก็บรวบรวมหรอื บันทึกไว้มาใช้งาน ผู้ใช้
ไม่จำเป็นต้องเก็บรวบรวมและบันทึกด้วยตนเอง จัดเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นในอดีต มักผ่านการประมวลผล
แลว้ ตัวอย่างข้อมูลทุตยิ ภมู ิ ได้แก่ สถติ ิการมาโรงเรยี นสายของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ในปีพ.ศ.2550

3. การแบง่ ขอ้ มลู ตามการจดั เก็บในในส่อื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์

มีลักษณะคล้ายการแบ่งข้อมูลตามลักษณะของข้อมูล แต่มีการแยกลักษณะข้อมูลตามชนิดและ
นามสกุลของข้อมลู นนั้ ๆ ได้แก่

- ข้อมูลตัวอักษร เช่น ตัวหนังสือ ตัวเลข และสัญลักษณ์ ข้อมูลประเภทนี้มักมีนามสกุลต่อท้ายชื่อ
ไฟลเ์ ปน็ .txt และ .doc

- ข้อมูลภาพ เช่น ภาพกราฟิกต่าง ๆ และภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัล ข้อมูลประเภทนี้มักมีนามสกุล
ต่อท้ายชื่อไฟลเ์ ป็น .bmp .gif และ .jpg

- ข้อมูลเสียง เช่น เสียงพูด เสียงดนตรี และเสียงเพลง ข้อมูลประเภทนี้มักมีนามสกุลต่อท้ายชื่อไฟล์
เป็น .wav .mp3 และ .au

- ข้อมูลภาพเคลื่อนไหว เชน่ ภาพเคลือ่ นไหว ภาพมิวสิกวีดโี อ ภาพยนตร์ คลิปวิดโี อ ขอ้ มูลประเภท
นมี้ กั มีนามสกุลต่อท้ายช่ือไฟล์เป็น .avi

4. การแบ่งข้อมลู ตามระบบคอมพวิ เตอร์

มีลักษณะคล้ายและใกล้เคียงกับการแบ่งข้อมูลตามการจัดเก็บในสื่ออิเล็กทรอนิกส์มาก แต่มุ่งเน้น
พจิ ารณาการแบง่ ประเภทตามการนำขอ้ มูลไปใช้งานในระบบคอมพิวเตอร์ ไดแ้ ก่

- ขอ้ มลู เชิงจำนวน มลี กั ษณะเปน็ ตวั เลขท่ีสามารถนำมาคำนวณดว้ ยคอมพิวเตอรไ์ ด้ เช่น จำนวนเงินใน
กระเปา๋ จำนวนค่าโดยสารรถประจำทาง และจำนวนนกั เรียนในหอ้ งเรียน

- ข้อมูลอักขระ มีลักษณะเป็นตวั อักษร ตัวหนังสือ และสัญลักษณ์ ต่างๆ ซึ่งสามารถนำเสนอข้อมูล
และเรียงลำดบั ไดแ้ ต่ไมส่ ามารถนำมาคำนวณได้ เช่น หมายเลขโทรศพั ท์ เลขท่ีบา้ นและชือ่ ของนักเรียน

- ข้อมูลกราฟิก เป็นข้อมูลที่เกิดจากจุดพิกัดทางคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดรูปภาพหรือแผนที่ เช่น
เคร่อื งหมายการคา้ แบบกอ่ สรา้ งอาคาร และกราฟ

32

- ขอ้ มลู ภาพลักษณ์ เปน็ ข้อมลู แสดงความเข้มและสขี องรปู ภาพทเ่ี กิดจากการสแกนของสแกนเนอร์เป็น
หลัก ซึ่งสามารถนำเสนอข้อมูล ย่อหรือขยาย และตัดต่อได้ แต่ไม่สามารถนำมาคำนวณหรือดำเนินการ
อย่างอื่นได้

กรรมวิธกี ารจดั การข้อมลู

การทำข้อมูลให้เป็นสารสนเทศที่จะเป็นประโยชน์ต่อการใชง้ าน จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
ในการดำเนินการ เริ่มตั้งแต่การรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล การดำเนินการประมวลผลข้อมูลให้กลายเป็น
สารสนเทศ และการดแู ลรกั ษาสารสนเทศ เพื่อการใชง้ าน มกี ระบวนการ 3 ข้ันตอน ดงั น้ี

1. การรวบรวมและตรวจสอบข้อมลู

1.1 การรวบรวมข้อมูล เป็นเร่ืองของการเก็บรวบรวมข้อมลู ซ่ึงมจี ำนวนมาก และต้องเก็บให้ได้อย่าง
ทันเวลา เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนเรียนของนักเรียน ข้อมูลประวัติบุคลากร ปัจจุบันมีเทคโนโลยีช่วยในการ
จดั เก็บอย่เู ปน็ จำนวนมาก เชน่ การปอ้ นข้อมูลเข้าเครือ่ งคอมพิวเตอร์ การอา่ นขอ้ มูลจากรหัสแทง่ การตรวจใบ
ลงทะเบียนที่มกี ารฝนดินสอดำในตำแหนง่ ตา่ ง ๆ เปน็ วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเชน่ กัน

1.2 การตรวจสอบข้อมูล เมื่อมีการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วจำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อมูล เพื่อ
ตรวจสอบความถูกต้อง ข้อมูลที่เก็บเข้าในระบบจะต้องมีความน่าเชื่อถือ หากพบที่ผิดพลาดต้องแก้ไข การ
ตรวจสอบข้อมูลมีหลายวิธี เช่น การใช้ผูป้ ้อนข้อมูลสองคนป้อนข้อมูลชุดเดยี วกนั เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว
เปรียบเทียบกนั หรือต้งั กฎเกณฑ์ใหค้ อมพิวเตอร์ตรวจสอบ

2. การประมวลผลข้อมลู ประกอบดว้ ยกิจกรรมดังตอ่ ไปน้ี

2.1 การจัดกลุ่มข้อมูล ข้อมูลที่จัดเก็บจะต้องมีการแบ่งแยกกลุ่ม เพื่อเตรียมไว้สำหรับการ ใช้งาน
การแบ่งแยกกลุ่มมีวิธีการที่ชัดเจน เช่น ข้อมูลในโรงเรียนมีการแบ่งเป็นแฟ้มประวัตินักเรียน และแฟ้ม
ลงทะเบียน เพื่อความสะดวกในการค้นหา

2.2 การจัดเรียงข้อมูล เมื่อจัดแบ่งกลุ่มเป็นแฟ้มแล้ว ควรมีการจัดเรียงข้อมูลตามลำดับ ตัวเลข
หรือตัวอักษร หรือเพื่อให้เรียกใช้งานได้ง่าย ประหยัดเวลา ตัวอย่างการจัดเรียงข้อมูล เช่น การจัดเรียงบัตร
ข้อมูลผู้แต่งหนังสือ ในตู้บัตรรายการของห้องสมุดตามลำดับตัวอักษร การจัดเรียงช่ือคนในสมดุ รายนามผู้ใช้
โทรศพั ท์ตามลำดบั ตวั อกั ษร

2.3 การสรุปผล บางครั้งขอ้ มลู ท่จี ัดเกบ็ มีจำนวนมาก จำเปน็ ต้องมีการสรปุ ผลหรือสรุปรายงาน เพ่ือ
นำไปใช้ประโยชน์ ข้อมูลที่สรุปได้นี้อาจสื่อความหมายได้ดีกว่า เช่น สถิติจำนวนนักเรยี นแยกตามชั้นเรยี นแต่
ละช้ัน

33

2.4 การคำนวณข้อมูล ที่เก็บรวบรวมมีเป็นจำนวนมากข้อมูลบางส่วน เป็นข้อมูลตัวเลขที่สามารถ
นำไปคำนวณ เพอื่ หาผลลัพธ์บางอยา่ งได้ ดังนน้ั การสรา้ งสารสนเทศจากข้อมูลจงึ อาศัยการคำนวณขอ้ มูลท่ีเก็บ
ไว้ดว้ ย เชน่ การคำนวณเกรดเฉล่ียของนกั เรียนแตล่ ะคน

3. การดแู ลรกั ษาขอ้ มูล ประกอบดว้ ยกจิ กรรมต่อไปนี้

3.1 การเก็บรักษาข้อมูล การเกบ็ รักษาข้อมลู หมายถงึ การนำขอ้ มูลมาบันทึกเกบ็ ไว้ในสอ่ื บันทึกต่าง
ๆ เชน่ แผน่ บนั ทึกขอ้ มูล นอกจากนีย้ ังรวมถงึ การดูแล และทำสำเนาขอ้ มูล เพอื่ ใหใ้ ชง้ านต่อไปในอนาคตได้

3.2 การทำสำเนาขอ้ มูล การทำสำเนาเพื่อท่ีจะนำข้อมูลเกบ็ รักษาไว้ หรอื นำไปแจกจา่ ยในภายหลัง
จึงควรคำนึงถึงความจแุ ละความทนทานของส่อื บันทกึ ขอ้ มูล

3.3 การส่อื สารและเผยแพร่ข้อมูล ข้อมูลตอ้ งกระจายหรอื สง่ ต่อไปยงั ผู้ใชง้ านท่ีห่างไกลได้ง่าย การ
สอ่ื สารข้อมลู จงึ เปน็ เร่อื งสำคญั และมีบทบาทท่ีสำคัญยิ่งทจ่ี ะทำให้การสง่ ข่าวสารไปยังผ้ใู ช้ ทำไดร้ วดเร็วและ
ทันเวลา

3.4 การปรบั ปรุงข้อมลู ขอ้ มูลทีจ่ ัดเกบ็ ไว้มจี ดุ ประสงค์ทจ่ี ะเรียกใช้งานได้ต่อไป ดงั นัน้ ขอ้ มลู จึงตอ้ งมี
การปรับปรุงใหท้ ันสมยั อยู่ตลอดเวลา และจดั เกบ็ อยา่ งเป็นระบบเพ่ือการคน้ หาไดอ้ ย่างรวดเรว็

ความหมายของคำวา่ สารสนเทศ

สารสนเทศ (Information) คือเป็นผลลัพธ์ของการประมวลผล การจัดดำเนินการ และการเข้า
ประเภทข้อมูลโดยการรวมความรู้เข้าไปต่อผู้รับสารสนเทศนั้น สารสนเทศมีความหมายหรือแนวคิดที่กว้าง
และหลากหลาย ตั้งแตก่ ารใช้คำว่าสารสนเทศในชีวติ ประจำวัน จนถงึ ความหมายเชิงเทคนคิ ตามปกติในภาษา
พดู แนวคิดของสารสนเทศใกล้เคยี งกับความหมายของการสื่อสาร เงอ่ื นไข การควบคมุ ขอ้ มูล รูปแบบ คำส่ัง
ปฏิบัติการ ความรู้ ความหมาย สอื่ ความคดิ การรบั รู้ และการแทนความหมาย

ปัจจุบันผู้คนพูดเกี่ยวกับยุคสารสนเทศว่าเป็นยุคที่นำไปสู่ยุคแห่งองค์ปัญญา นำไปสู่สังคมอุดมปัญญา หรือ
สงั คมแห่งสารสนเทศ และ เทคโนโลยสี ารสนเทศ แมว้ ่าเม่อื พูดถงึ สารสนเทศ เป็นคำท่เี กี่ยวข้องในศาสตร์สอง
สาขา คอื วทิ ยาการสารสนเทศ และ วิทยาการคอมพิวเตอร์ ซ่ึงคำว่า "สารสนเทศ" ก็ถกู ใชบ้ อ่ ยในความหมายที่
หลากหลายและกว้างขวางออกไป และมีการนำไปใช้ในส่วนของ เทคโนโลยีสารสนเทศ และ การประมวลผล
สารสนเทศสิ่งที่ได้จากการนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาประมวลผล เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ตามจุดประสงค์
สารสนเทศ จึงหมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการเลือกสรรให้เหมาะสมกับการใช้งานใหท้ ันเวลา และอยู่ในรูปที่ใช้ได้
สารสนเทศท่ีดีต้องมาจากข้อมูลที่ดี การจดั เกบ็ ขอ้ มูลและสารสนเทศจะต้องมกี ารควบคมุ ดูแลเปน็ อย่างดี เช่น
อาจจะมีการกำหนดใหผ้ ู้ใดบ้างเป็นผู้มีสิทธ์ิใช้ขอ้ มูลได้ ขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ ความลบั จะต้องมรี ะบบข้ันตอนการควบคุม
กำหนดสิทธ์ิในการแก้ไขหรอื การกระทำกับข้อมลู ว่าจะกระทำได้โดยใครบา้ ง นอกจากนขี้ อ้ มูลที่เก็บไว้แล้วต้อง

34

ไมเ่ กดิ การสูญหายหรือถูกทำลายโดยไมไ่ ดต้ ้งั ใจ การจัดเกบ็ ข้อมูลท่ดี ี จะต้องมกี ารกำหนดรูปแบบของข้อมูลให้
มีลักษณะงา่ ยต่อการจัดเก็บ และมีรูปแบบเดียวกันอย่างมรี ะบบ ข้อมูลแต่ละชุดควรมีความหมายและมีความ
เป็นอิสระในตวั เอง นอกจากน้ไี มค่ วรมกี ารเกบ็ ขอ้ มูลซำ้ ซอ้ นเพราะจะเป็นการสิ้นเปลอื งเนื้อทเี่ ก็บข้อมูล

สารสนเทศสามารถหมายถึงคุณภาพของข้อความจากผู้ส่งไปหาผู้รับ สารสนเทศจะประกอบไปด้วย
ขนาด ปริมาณและเหตุการณ์ของสารสนเทศนั้น สารสนเทศสามารถแทนข้อมูลที่มีความถูกต้องและความ
แม่นยำหรือไม่มีก็ได้ ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งข้อเท็จจริงหรือข้อโกหกหรือเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดข้ึน
สารสนเทศจะเกิดขน้ึ เม่ือมีผู้สง่ ข้อความและผู้รับขอ้ ความอย่างน้อยฝ่ายละหนึ่งคนซงึ่ ทำให้เกิดการส่ือสารของ
ข้อความและเข้าใจในข้อความเกิดขึ้น ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับ ความหมาย ความรู้ คำสั่ง การสื่อสาร การ
แสดงออก และการกระตนุ้ ภายใน การสง่ ขอ้ ความทมี่ ีลักษณะเปน็ สารสนเทศ ในขณะเดยี วกันการรบกวนการ
สอ่ื สารสารสนเทศก็ถอื เป็นสารสนเทศเชน่ เดียวกนั

ถึงแม้ว่าคำวา่ "สารสนเทศ" และ "ขอ้ มลู " มีการใช้สลับกนั อยู่บา้ ง แตส่ องคำน้ีมีขอ้ แตกต่างท่ีเด่นชัดคือ
ข้อมูลเป็นกลุ่มของข้อความที่ไม่ได้จัดการรปู แบบ และไม่สามารถนำมาใช้งานได้จนกว่าจะมีการจัดระเบียบ
และดึงออกมาใช้ในรูปแบบสารสนเทศ การแสดงผลลัพธ์ อุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีในการแสดงผลลัพธ์มีมาก
สามารถแสดงเป็นตวั หนังสือ เปน็ รูปภาพหรือคำพูด ตลอดจนพิมพ์ออกมาที่กระดาษ การแสดงผลลัพธ์มีท้ังที่
แสดงเปน็ ภาพ เปน็ เสียง เป็นวีดทิ ัศน์ เปน็ ตน้ และสามารถเก็บรกั ษาไดย้ าวนาน

สาเหตทุ ่ีทำใหเ้ กดิ สารสนเทศ

1. เมอ่ื มวี ิทยาการความรู้ หรอื สิ่งประดิษฐ์ หรอื ผลิตภัณฑใ์ หม่ๆ พรอ้ มกันน้นั กจ็ ะเกิด สารสนเทศมาพร้อมๆ
กนั ด้วย จากนัน้ ก็จะมกี ารเผยแพร่ หรอื กระจายสารสนเทศ เก่ียวกบั วทิ ยาการความรู้ หรือสง่ิ ประดษิ ฐ์
ผลิตภัณฑ์ ชนดิ นนั้ ๆไปยงั แหล่งตา่ งๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง

2. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เป็นเครอ่ื งมอื สำคัญในการผลิตสารสนเทศ เนอ่ื งจากมี ความสะดวกในการปอ้ น
ข้อมลู การปรบั ปรุงแกไ้ ข การทำซำ้ การเพิม่ เตมิ ฯลฯ ทำให้มคี วาม สะดวกและงา่ ยตอ่ การผลิตสารสนเทศ

3. เทคโนโลยีสอ่ื สารยุคใหม่มีความเรว็ ในการส่อื สารสงู ข้ึน สามารถเผยแพร่สารสนเทศ จากแหล่งหนึ่ง ไปยงั
สถานที่ต่างๆ ทัว่ โลกในเวลาเดียวกนั กับเหตกุ ารณ์ที่เกดิ ข้นึ จริง อกี ทงั้ สามารถสง่ ผา่ นขอ้ มลู ไดอ้ ยา่ งหลากหลาย
รปู แบบ พร้อมๆ กันในเวลาเดยี วกัน

4. เทคโนโลยีการพมิ พ์ท่มี ีความสามารถในการผลิตสารสนเทศสูงขึน้ สามารถผลิตสารสนเทศไดค้ รั้งละจำนวน
มากๆ ในเวลาส้ันๆ มีสีสนั เหมือนจริง ทำให้มปี รมิ าณสารสนเทศใหม่ๆ เกิดขึ้นอยตู่ ลอดเวลา

35

5. ผูใ้ ช้มีความจำเป็นต้องใช้สารสนเทศเพอื่ การศึกษา เพอ่ื การค้นคว้าวจิ ยั เพ่อื การ พัฒนาคณุ ภาพชีวติ เพ่อื
การ ตัดสนิ ใจ เพื่อการแก้ไขปัญหา เพ่อื การปฏิบัติงาน หรือปรับปรงุ ประสทิ ธภิ าพการปฏิบตั งิ าน, การ
บริหารงาน ฯลฯ
6. ผู้ใชม้ ีความตอ้ งการใช้สารสนเทศ เพอื่ ตอบสนองความสนใจ ต้องการทราบแหลง่ ทอี่ ยู่ของสารสนเทศ
ตอ้ งการเข้าถงึ สารสนเทศ ต้องการสารสนเทศท่ีมาจากตา่ งประเทศ ต้องการสารสนเทศอย่างหลากหลาย หรือ
ต้องการ สารสนเทศอยา่ งรวดเร็ว เปน็ ต้น

ความสำคัญของสารสนเทศ

สารสนเทศได้กลายมาเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคมปัจจุบัน ในองค์กรต่างๆ
สารสนเทศได้กลายเป็นทรัพย์สินอันมีค่า จนมีคำกล่าวว่าสารสนเทศ คือ อำนาจ (Information is power)
ใครที่มีสารสนเทศมากก็จะสามารถควบคุมหรือต่อรองได้ ฝ่ายที่มีสารสนเทศมากกว่ามักจะได้เปรียบคู่แข่ง
เสมอ จนอาจนำไปส่ยู ุค “ สงครามข้อมลู ขา่ วสาร ” ได้

ดังนั้น สารสนเทศจึงมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยลดความอยากรู้ คลายความสงสัย ช่วยแก้ปัญหา
ช่วยวางแผนและการตัดสนิ ใจได้อย่างถูกต้อง สารสนเทศจึงช่วยพัฒนาบุคคล ช่วยการปฏิบตั ิงาน ช่วยในการ
ดำเนินชีวติ ซงึ่ สง่ ผลต่อการพฒั นาสังคมและประเทศ สารสนเทศจึงมีความสำคัญต่อบุคคล องค์กร และสังคม
ดงั น้ี

1 ความสำคัญของสารสนเทศต่อบคุ คลและตอ่ องค์กร

ในชีวิตประจำวนั ไม่ว่าจะเป็นการศกึ ษา การประกอบอาชีพ หรือการดำรงชพี สารสนเทศมีบทบาท
ตอ่ มนษุ ยม์ ากเกนิ กว่าที่บางคนตระหนักถงึ

ในด้านการปฏิบัติงานและในการจัดการ สารสนเทศที่ถูกต้องนับเป็นองค์ประกอบสำคัญโดยเฉพาะ
การแกป้ ัญหา การตดั สนิ ใจ และการปฏิบัตงิ านให้บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ

2 ความสำคัญของสารสนเทศตอ่ สงั คม

สารสนเทศมคี วามสำคญั ต่อสงั คม 2 ดา้ น คอื ดา้ นการปกครอง และด้านการพัฒนา

ด้านการเมืองการปกครอง สารสนเทศจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและการตัดสินใจของประชาชนอัน
เปน็ พื้นฐานของสังคม ผ้ปู กครองจึงตอ้ งจดั การใหป้ ระชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ตอ้ งการได้ จงึ จะ
เกิดการบริหารที่โปร่งใส เป็นสังคมประชาธิปไตย ไมเ่ กดิ ความว่นุ วาย

36

ในด้านการพัฒนา สารสนเทศมีความสำคัญยิ่งทั้งในการเตรียมแผนพัฒน าและการปฏิบัติตามแผน
เช่น สารสนเทศเกี่ยวกับชุมชน สารสนเทศเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม สารสนเทศเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง
สารสนเทศเกี่ยวกับเทคนิคการแก้ปัญหา สารสนเทศเพื่อสนับสนนุ งานวิจัยหรอื การประดิษฐ์ซ่ึงจะช่วยในการ
พัฒนาต่อไป

บทบาทของสารสนเทศ

ในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทและความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต ของเรามาก
โดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ ท่มี ีอปุ กรณ์การสื่อสารท่ีทนั สมยั เราจงึ จำเป็นต้องศึกษาเรยี นรู้เพอื่ จะได้ใช้งานได้อย่าง
เหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ
แบ่งออกเปน็ ประเภทตา่ งๆ ได้ดังนี้

1. บทบาทต่อการดำเนนิ ชวี ิต เช่น การตดิ ต่อสือ่ สารและการคมนาคมขนสง่

2. บทบาทเกีย่ วกับขอ้ มูล เช่น การจดั เก็บข้อมูลและการสร้างฐานข้อมูล การสอ่ื สารข้อมูล เป็นต้น

3. บทบาทดา้ นธรุ กิจ เช่น งานดา้ นการตลาด การวเิ คราะห์แนวโน้มการเจริญเตบิ โตของบรษิ ัท

4. บทบาทดา้ นการศึกษา เช่น โปรแกรมคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน ซอฟทแ์ วรส์ อ่ื การสอน

5. บทบาทด้านการวิจัย เช่น การวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาประเทศ การวิจัยด้านการเกษตร การ
วิจัยด้านการแพทย์ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ฯลฯ ต้ออาศัยเทคโนโลยีโดยเฉพาะโปรแกรม
คอมพิวเตอรด์ ้านการประมวลผลขอ้ มูล เขา้ มาช่วยเพอ่ื ใช้งานวิจัยเพ่ือต้องการความถูกต้องและความ
แม่นยำสูง

6. บทบาทดา้ นการทหาร เช่น การส่ือสารระหวา่ งหนว่ ยงานทางราชการ งานดา้ นข่าวกรอง

7. บทบาทด้านการแพทย์ เชน่ การรักษาพยาบาล การผา่ ตัด การตรวจโรค

8. บทบาทดา้ นอนื่ ๆ เชน่ ดา้ นการบิน การโรงแรม การกฬี าและการผลิตสนิ ค้าในโรงงานอุตสาหกรรม

โดยสรุป เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทและความสำคัญต่อเราในแทบทุกด้าน ทั้งด้านการประกอบ
อาชีพการงาน การศกึ ษาเลา่ เรยี น การติดต่อสอื่ สาร การรกั ษาพยาบาล

คุณลกั ษณะของสารสนเทศท่ีดี
ในการจัดการเพ่ือใหอ้ งคก์ ารบรรลุถงึ ประสิทธผิ ลและประสิทธิภาพที่องค์การต้ังไว้น้นั ดงั ที่กล่าวมาแล้ววา่

ขอ้ มูลและสารสนเทศเปน็ ปัจจัยหนง่ึ ทมี่ คี วามสำคัญอย่างมากตอ่ ทกุ องค์การ ทงั้ นส้ี ารสนเทศทด่ี ีควรมลี กั ษณะ
ดงั ต่อไปนี้

37

1. ความเท่ยี งตรง (Accuracy) สารสนเทศขององคก์ ารที่ดจี ะต้องมคี วามเท่ียงตรงและเชื่อถอื ได้ โดยไม่ให้
มีความคลาดเคลือ่ นหรือมีความคลาดเคล่ือนน้อยท่ีสุด ดังนน้ั ประสิทธิผลของการตดั สนิ ใจจึงขน้ึ อยกู่ บั ความ
ถูกต้องหรือความเที่ยงตรง ย่อมส่งผลกระทบทำใหก้ ารตดั สินใจมีความผิดพลาดตามไปดว้ ย

2. ทนั ต่อความตอ้ งการใช้ (Timeliness) นอกเหนอื จากสารสนเทศขององคก์ ารจะต้องมคี วามเท่ียงตรง
หรือความถกู ตอ้ งแลว้ ยงั จะต้องมคี ุณสมบตั ิของการท่ีสามารถนำสารสนเทศมาใช้ได้ทนั ทีเมอื่ ตอ้ งการใชข้ ้อมลู
หรอื เพอ่ื การตัดสินใจ ทัง้ น้ีเนอื่ งจากเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ทางการบรหิ ารทั้งภายในและภายนอกองค์การมกี าร
เคล่ือนไหวเปลีย่ นแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสารสนเทศด้านการขาย การผลิต ตลอดจนดา้ นการเงนิ ถ้า
ผ้บู ริหารได้รับมาล่าช้า ก็จะสง่ ผลกระทบต่อ ประสิทธภิ าพและประสิทธิผลของการตัดสินใจ หรอื การ
ดำเนนิ งานของผู้บริหารท่จี ะลดลงตามไปด้วย

3. ความสมบูรณ์ (Completeness) สารสนเทศขององคก์ ารทดี่ ี จะตอ้ งมีความสมบูรณ์ทีจ่ ะชว่ ยทำใหก้ าร
ตัดสินใจเป็นไปด้วยความถูกต้อง การมสี ารสนเทศท่ีมปี รมิ าณมาก ไมไ่ ดห้ มายถึงการทีจ่ ะช่วยเพ่มิ ประสิทธิผล
ของการดำเนนิ งาน สารสนเทศทม่ี มี ากเกินไปอาจเปน็ สารสนเทศทไ่ี ม่มีความสำคัญ เชน่ เดยี วกับการมี
สารสนเทศที่มปี รมิ าณน้อยเกนิ ไป กอ็ าจทำให้ไมไ่ ดส้ ารสนเทศที่สำคญั ครบเพยี งพอทุกดา้ นทจี่ ะนำไปใช้ได้
อยา่ งมีประสิทธผิ ล และมีประสิทธภิ าพ แต่ทง้ั น้มี ไิ ดห้ มายความว่าจะต้องรอใหม้ สี ารสนเทศครบถ้วน 100
เปอร์เซน็ ต์ก่อนจงึ จะทำการตดั สินใจได้ เช่น จะตัดสนิ ใจเกย่ี วกับอตั ราการใช้สนิ ค้า ปริมาณสินค้าคงเหลือ
ราคาตอ่ หนว่ ย แหลง่ ผผู้ ลติ ค่าใช้จา่ ยในการสั่งซอื้ ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา ระยะเวลารอคอยของสินค้าแตล่ ะ
ชนิด ดงั น้ันจะตัดสินใจเกี่ยวกับการบรหิ ารสนิ ค้าคงเหลือให้มีประสทิ ธภิ าพ ก็จำเปน็ ท่ีจะตอ้ งได้รบั สารสนเทศ
ในทุกเรอื่ ง การขาดไปเพยี งบางเร่อื งจะสง่ ผลกระทบต่อการตัดสินใจอยา่ งมากเปน็ ต้น จากตวั อย่างจะเหน็ ได้ว่า
ไมไ่ ด้หมายความวา่ มสี ารสนเทศมากเฉพาะในบางด้าน ขณะที่สารสนเทศในบางด้านไม่มีหรอื มไี ม่เพยี งพอตอ่
การตัดสนิ ใจ แตจ่ ะตอ้ งได้รับสารสนเทศที่สำคญั ครบในทกุ ด้านทที่ ำการตดั สนิ ใจ

4. การสอดคล้องกบั ความต้องการของผู้ใช้ (Relevance) สารสนเทศขององคก์ ารทด่ี ีจะตอ้ งมีคณุ ลักษณะ
ที่สำคญั อีกประการหนึง่ กค็ ือ จะต้องตอบสนองต่อความต้องการของผใู้ ช้ท่ีจะนำไปใช้ในการตดั สินใจได้ ดงั น้นั
ในการทีอ่ งคก์ ารจะออกแบบและพฒั นาระบบสารสนเทศในองค์การนน้ั การสอบถามความต้องการของ
สารสนเทศท่ีผใู้ ช้ตอ้ งการเปน็ ปัจจยั ท่ีมีความสำคัญอยา่ งมาก เชน่ สนเทศในการบรหิ ารการผลิต การตลาด
และการบรหิ ารทรัพยากรมนุษย์ เปน็ ตน้

5. ตรวจสอบได้ (Verifiability) สารสนเทศท่ีดคี วรมคี ณุ ลักษณะทส่ี ามารถจะตรวจสอบไดโ้ ดยเฉพาะ
แหลง่ ทม่ี า การจดั รูปแบบการวิเคราะหข์ ้อมลู ทใ่ี ช้ ทัง้ น้เี พอ่ื ใหก้ ารตัดสินใจไดเ้ กิดความรอบครอบ การที่
ผู้บรหิ ารมองเหน็ สารสนเทศบางเรอ่ื งแล้วพบว่าทำไมจงึ มีค่าท่ตี ่ำเกนิ ไป หรอื สงู เกินไป อาจต้องตรวจสอบความ
ถูกต้องของสารสนเทศท่ไี ดม้ า ทง้ั นี้กเ็ พื่อมิใหก้ ารติดสินใจเกิดความผิดพลาด

คณุ ลักษณะดงั กล่าวขา้ งต้น มีความสำคญั อย่างยงิ่ ทผี่ ู้บริหารงานบคุ คลจะตอ้ งพยายามจัดระบบใหม้ คี วาม
พรอ้ มครบถว้ นและพร้อมทีจ่ ะใช้งานได้ ปญั หาสำคัญท่อี งคก์ ารสว่ นมากมักจะต้องเผชญิ คือ การไม่สามารถ
สนองขอ้ มลู ทเ่ี กย่ี วกบั บคุ คลให้ทนั กบั ความจำเป็นใชใ้ นการทจี่ ะต้องดำเนนิ การหรือตัดสนิ ปัญหาบางประการ
ดงั เช่น ถา้ หากมีเหตุเฉพาะหนา้ ท่ีตอ้ งการบุคคลท่ีมี คุณสมบัตอิ ย่างหนึ่งในการบรรจุเข้าตำแหน่งหนง่ึ

38

อยา่ งรวดเร็วในเวลาอันส้นั ซ่ึงหากผู้จดั เตรยี ม ข้อมูลจะต้องใชเ้ วลาประมวลข้ึนมานานเป็นเดือนกย็ ่อมถือได้
วา่ ข้อมลู ท่ีสนองใหน้ น้ั ช้ากว่าเหตุการณ์ หรือในอีกทางหนงึ่ บางครงั้ แมจ้ ะเสนอขอ้ มูลได้อย่างรวดเรว็ แตเ่ ปน็
ข้อมูลทีเ่ ปน็ รายละเอยี ดมากเกนิ ไปทไี่ ม่อาจพจิ ารณาแยกแยะคณุ สมบัติทีส่ ำคญั หรือขอ้ มลู ที่สำคญั ทเ่ี กี่ยวข้อง
กบั บคุ คลอยา่ งเด่นชัด ก็ยอ่ มทำให้การใช้ข้อมลู นั้นเป็นไปดว้ ยความยากลำบาก

นอกจากลักษณะทดี่ ีของสารสนเทศดงั กล่าวข้างต้นแลว้ ยังมีคุณสมบัติท่แี อบแฝงของสารสนเทศอกี บาง
ลักษณะท่สี มั พันธก์ ับระบบสารสนเทศ และวธิ ีการดำเนินงานของระบบ สารสนเทศ ซึ่งจะมีความสำคญั
แตกต่างกนั ไปตามลักษณะงานเฉพาะอย่าง ซง่ึ ไดแ้ ก่

1. ความละเอยี ดแม่นยำ คือ สารสนเทศจะตอ้ งมีความละเอยี ดแม่นยำในการวดั ข้อมูล ใหค้ วามเช่ือถอื ได้
สูง มีรายละเอยี ดของขอ้ มลู และแหลง่ ท่มี าของข้อมลู ทีถ่ กู ต้อง

2. คุณสมบัติเชิงปริมาณ คอื ความสามารถทีจ่ ะแสดงออกมาในรปู ของตวั เลขได้ และสามารถเปรียบเทียบ
ในเชิงปรมิ าณได้

3. ความยอมรบั ได้ คือ ระดบั ความยอมรบั ได้ของกลุม่ ผใู้ ช้สารสนเทศอย่างเดยี วกนั สารสนเทศควรมี
ลักษณะเดียวกันในกลุ่มผใู้ ชง้ าน หรือใกลเ้ คียงกนั โดยสามารถใชร้ ว่ มกันได้ เช่น การใช้เครอ่ื งมือเพ่อื วดั คณุ ภาพ
การผลิตสินค้า เครอ่ื งมือดงั กลา่ วจะต้องเป็นที่ยอมรับไดว้ ่าสามารถวดั ค่าของคณุ ภาพไดอ้ ยา่ งถูกต้อง

4. การใชไ้ ดง้ า่ ย คอื ความสามารถนำไปใชง้ านไดง้ า่ ย สะดวกและรวดเร็ว ทง้ั ในสว่ นของผบู้ ริหารและ
ผู้ปฏิบัตงิ าน

5. ความไม่ลำเอียง ซง่ึ หมายถงึ ไม่เป็นสารสนเทศที่มีจุดประสงค์ทีจ่ ะปกปิดขอ้ เท็จจริงบางอย่าง ซึ่งทำให้
ผใู้ ช้เขา้ ใจผดิ ไปจากความเปน็ จรงิ หรอื แสดงข้อมูลท่ีผิดจากความเป็นจรงิ

6. ชัดเจน ซ่งึ หมายถงึ สารสนเทศจะต้องมีความคลุมเครอื น้อยที่สุด สามารถทำความเขา้ ใจได้ง่าย

การสืบค้น และรบั สง่ ขอ้ มลู แฟม้ ข้อมลู และสารสนเทศเพื่อใชใ้ นการจดั การเรียนรู้

การรับ-ส่งขอ้ มูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยใช้จดหมายอิเล็กทรอนกิ ส์ (Electronic Mail) หรือที่
นิยมเรยี กกันวา่ อเี มล (E-Mail) หมายถึง การสื่อสารหรอื การส่งขอ้ ความจากคอมพวิ เตอรเ์ ครื่องหนึ่งผ่านไปเข้า
เครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งโดยส่งผ่านทางระบบเครือข่าย (Network) ผู้ส่งจะต้องมีเลขที่อยู่ (E-mail
Address) ของผู้รบั และผู้รบั สามารถเปดิ คอมพิวเตอร์เรียกข่าวสารนนั้ ออกมาดูเม่ือใดกไ็ ด้ โดยทวั่ ไปจัดว่าเป็น
งานสว่ นหนง่ึ ของสำนักงานอัตโนมัติ (Office Automatic) ซึ่งปจั จบุ ันไดร้ ับความนิยมเป็นอยา่ งมาก

ประโยชนข์ องการรบั -สง่ ข้อมูลทางจดหมายอเิ ล็กทรอนกิ ส์

การรับ-ส่งข้อมูลทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการสื่อสารบนเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตที่นิยมใชม้ ากท่สี ดุ เพราะมีประโยชนม์ ากมาย ดงั นี้

39

1. ทำให้การติดต่อสื่อสารทั่วโลกเป็นไปอยา่ งรวดเร็ว ระยะทางไม่เป็นอุปสรรคสำหรับอีเมลในทกุ
แหง่ ท่วั โลกทม่ี เี ครือข่ายคอมพวิ เตอร์เชื่อมตอ่ ถงึ กันได้ สามารถเขา้ ไปสถานท่เี หลา่ นนั้ ไดท้ ุกที่ ทำให้ผ้คู นท่ัวโลก
ติดต่อถึงกนั ได้ทนั ที ผ้รู ับสามารถจะรับข่าวสารจากอีเมลได้ทันทีที่ผู้ส่งจดหมายส่งข้อมูลผ่านทางคอมพิวเตอร์
เสร็จสนิ้

2. สามารถส่งจดหมายถึงผูร้ ับที่ต้องการได้ทุกเวลา แม้ผู้รับจะไม่ได้อยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ตาม
จดหมายจะถกู เกบ็ ไว้ในตู้จดหมายของคอมพวิ เตอร์และเป็นส่วนตัว จนกว่าเจา้ ของจดหมายทีม่ ีรหัสผา่ นจะเปิด
ตจู้ ดหมายของตนเองอ่าน

3. สามารถสง่ จดหมายถึงผรู้ ับหลายๆคนไดใ้ นเวลาเดียวกัน โดยไมต่ อ้ งเสยี เวลาส่งใหท้ ลี ะคน กรณีน้ี
จะใช้กับจดหมายที่เป็นข้อความเดียวกัน เช่น หนังสือเวียนแจ้งข่าวให้สมาชิกในกลุ่มทราบหรือเป็นการนัด
หมายระหวา่ งสมาชกิ ในกลมุ่ เปน็ ตน้

4. ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปส่งจดหมายที่ตู้ไปรษณีย์หรือที่ทำการไปรษณีย์ ทำให้
ประหยดั คา่ ใช้จ่ายในการสง่ เน่อื งจากไมต่ ้องคำนงึ ถึงปริมาณนำ้ หนักและระยะทางของจดหมายเหมือนกับการ
สง่ ทางไปรษณยี ธ์ รรมดา

5. ผู้รับจดหมายสามารถเรียกอ่านจดหมายได้ทกุ เวลาตามสะดวก ซึ่งจะทำให้ทราบว่าในตู้จดหมาย
ของผรู้ บั มีจดหมายกีฉ่ บบั มีจดหมายทอ่ี า่ นแล้วหรือยงั ไมไ่ ดเ้ รียกอ่านก่ฉี บับ เม่ืออา่ นจดหมายฉบบั ใดแลว้ หาก
ตอ้ งการลบทิง้ ก็สามารถเก็บขอ้ ความไวใ้ นรูปของแฟม้ ขอ้ มลู ได้ หรือจะพิมพอ์ อกมาลงกระดาษก็ได้เช่นกนั

6. สามารถถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล (Transferring Flies) แนบไปกับจดหมายถึงผู้รับได้ ทำให้การ
แลกเปลี่ยนข่าวสารเป็นไปได้โดยสะดวก รวดเร็ว ทันเวลาและทันเหตุการณ์ จากความสำคัญของอีเมลท่ี
สามารถอำนวยประโยชน์ใหก้ บั ผ้ใู ช้อย่างค้มุ คา่ น้ี ทำใหใ้ นปัจจบุ ันอเี มลกลายเปน็ ส่วนหน่งึ ของสำนักงานทกุ แห่ง
ท่ัวโลก ที่ทำใหส้ มาชิกในชมุ ชนโลกสามารถติดต่อกันผา่ นทางคอมพวิ เตอร์ได้ในทุกที่ทุกเวลา

หลักเกณฑ์การประเมินผลลัพธ์ หรือผลผลติ

ข้อมูลของบางคนอาจเป็นสารสนเทศสำหรับอกี คนหนง่ึ (Nickerson 1998 : 11) การท่จี ะบ่งบอกว่า
ผลผลิต หรอื ผลลพั ธ์มีคุณค่า หรือสถานภาพเปน็ สารสนเทศ หรอื ไม่นัน้ เราใชห้ ลักเกณฑ์ต่อไปน้ีประกอบการ
พิจารณา
1. ความถกู ตอ้ ง (Accuracy) ของผลผลติ หรือผลลัพธ์
2. ตรงกบั ความต้องการ (Relevance/pertinent)
3. ทนั กับความตอ้ งการ (Timeliness)
การพิจารณาความถกู ตอ้ งดทู ่ีเนอ้ื หา (Content) ของผลผลิต โดยพิจารณาจากขน้ั ตอนของการประมวลผล

40

(Process; verifying, calculating) ข้อมลู สำหรับการตรงกบั ความตอ้ งการ หรือทนั กบั ความต้องการ มผี ้ใู ช้
ผลผลติ เปน็ เกณฑ์ในการพิจารณา หากผใู้ ชเ้ ห็นวา่ ผลผลติ ตรงกบั ความต้องการ หรือผลผลิตสามารถตอบ
ปญั หา หรือแก้ไขปญั หา ของผใู้ ชไ้ ด้ และสามารถเรียกมาใช้ได้ในเวลาท่เี ขาต้องการ (ทันต่อความต้องการใช้)
เราจึงจะสรุปไดว้ ่า ผลผลติ หรือ ผลลพั ธ์นนั้ มสี ถานภาพ เป็นสารสนเทศ คุณภาพ หรอื คุณค่าของสารสนเทศ
ขึ้นอยู่กบั ข้อมูล (Data) ทีน่ ำเขา้ มา (Input) หากข้อมลู ท่นี ำเข้ามาประมวลผล เป็นข้อมูลทดี่ ี ผลลพั ธ์ทไ่ี ด้ก็จะมี
คณุ ภาพดี หรือมีคณุ คา่ ผู้ใช้ หรอื ผู้บรโิ ภคสามารถนำมาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ แตห่ ากข้อมูลท่ี นำเขา้ มาประมวลผล
ไม่ดี ผลผลิต หรอื ผลลัพธ์กจ็ ะมีคณุ ภาพไม่ดี หรือไม่มคี ุณค่า สมดงั่ กับวลที ่วี า่ GIGO (Garbage In Garbage
Out) หมายความว่า ถ้านำขยะเขา้ มา ผลผลิต (ส่ิงทไ่ี ดอ้ อกไป) ก็คือขยะนัน่ เอง

คุณภาพของสารสนเทศ

คุณภาพของสารสนเทศ จะมีคุณภาพสูงมาก หรือน้อย พิจารณาที่ 3 ประเด็น ดังนี้
1. ตรงกับความต้องการ (Relevant) หรือไม่ โดยดูว่าสารสนเทศนั้นผู้ใช้สามารถนำไปใชเ้ พิ่มประสิทธิภาพได้
มากกว่าไมใ่ ชส้ ารสนเทศ หรือไม่ คณุ ภาพของสารสนเทศ อาจจะดทู ี่มันมีผลกระทบต่อกิจกรรมของผ้ใู ช้ หรอื ไม่
อยา่ งไร

2. น่าเชื่อถือ (Reliable) เพียงใด ความนา่ เชอื่ ถือมหี ัวข้อท่จี ะใช้พิจารณา เชน่ ความทันเวลา (Timely) กับผู้ใช้
เมื่อ ผู้ใช้จำเป็นต้องใช้มีสารสนเทศนัน้ หรือไม่ สารสนเทศที่นำมาใชต้ ้องมคี วามถกู ต้อง (Accurate) สามารถ
พ ิสูจน ์ ( Verifiable) ไ ด้ว ่าเป็น คว ามจร ิง ด้ว ยก าร ว ิเคร าะ ห์ข้อ ม ูล ที ่เก ี ่ยว ข้อ ง เป็น ต้ น
3. สารสนเทศนนั้ เขม้ แขง็ (Robust) เพยี งใด พจิ ารณาจากการที่สารสนเทศสามารถเคลื่อนตัวเองไปพร้อมกับ
กาลเวลาที่เปลี่ยนไป (Rigorous of Time) หรือพิจารณาจากความอ่อนแอของมนุษย์ (Human Frailty)
เพราะมนุษย์ อาจทำความผิดพลาดในการป้อนข้อมูล หรือการประมวลผลข้อมูล เพราะฉะนั้นจะต้องมีการ
ควบคุม หรือตรวจสอบ ไมใ่ ห้มีความผิดพลาดเกิดข้นึ หรือพิจารณาจากความผิดพลาด หรอื ล้มเหลวของระบบ
(System Failure) ที่จะส่งผล เสียหายต่อสารสนเทศได้ ดังนั้นจึงต้องมีการป้องกันความผิดพลาด (ที่เนื้อหา
และไม่ทันเวลา) ที่อาจเกิดขึ้นได้ หรือ พิจารณาจากการเปลี่ยนแปลง การจัดการ (ข้อมูล) (Organizational
Changes) ที่อาจจะส่งผลกระทบ (สร้างความเสียหาย) ต่อสารสนเทศ เช่น โครงสร้าง แฟ้ม ข้อมูล วิธีการ
เขา้ ถงึ ข้อมลู การรายงาน จกั ต้องมกี ารปอ้ งกนั หากมีการ เปลยี่ นแปลงในเรอ่ื งดงั กล่าว

นอกจากนน้ั ซวาสส์ (Zwass 1998) กลา่ วถงึ คณุ ภาพของสารสนเทศจะมมี ากน้อยเพียงใดขน้ึ อย่กู บั การ
ทันเวลา ความสมบรู ณ์ ความกะทดั รดั ตรงกบั ความตอ้ งการ ความถกู ตอ้ ง ความเทยี่ งตรง (Precision) และ
รปู แบบท่เี หมาะสม ในเรื่องเดยี วกัน โอไบร์อนั (O’Brien 2001) กล่าววา่ คุณภาพของสารสนเทศ พิจารณาใน
3 มิติ ดงั น้ี
1. มิติด้านเวลา (Time Dimension)

41

1. สารสนเทศควรจะมกี ารเตรียมไวใ้ ห้ทันเวลา (Timeliness) กับความต้องการของผู้ใช้
2. สารสนเทศควรจะตอ้ งมคี วามทนั สมยั หรอื เป็นปจั จบุ ัน (Currency)
3. สารสนเทศควรจะตอ้ งมคี วามถ่ี (Frequency) หรือบ่อย เทา่ ท่ีผู้ใชต้ อ้ งการ
4. สารสนเทศควรมเี รือ่ งเกย่ี วกบั ช่วงเวลา (Time Period) ตง้ั แต่อดีต ปจั จุบนั และอนาคต

2. มติ ิด้านเนือ้ หา (Content Dimension)

• ความถูกตอ้ ง ปราศจากข้อผดิ พลาด
• ตรงกบั ความต้องการใชส้ ารสนเทศ
• สมบูรณ์ สิ่งท่ีจำเป็นจะตอ้ งมใี นสารสนเทศ
• กะทดั รัด เฉพาะท่ีจำเปน็ เท่าน้ัน
• ครอบคลมุ (Scope) ทั้งด้านกวา้ งและด้านแคบ (ดา้ นลกึ ) หรอื มีจดุ เน้นท้งั ภายในและภายนอก
• มีความสามารถ/ศักยภาพ (Performance) ที่แสดงให้เห็นได้จากการวัดค่าได้ การบ่งบอกถึงการ

พัฒนา หรอื สามารถเพมิ่ พนู ทรพั ยากร

3. มติ ดิ ้านรูปแบบ (Form Dimension)

• ชัดเจน ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
• มีทงั้ แบบรายละเอยี ด (Detail) และแบบสรุปยอ่ (Summary)
• มกี ารเรยี บเรียง ตามลำดบั (Order)
• การนำเสนอ (Presentation) ทห่ี ลากหลาย เชน่ พรรณนา/บรรยาย ตวั เลข กราฟกิ และอนื่ ๆ
• รูปแบบของสื่อ (Media) ประเภทต่าง ๆ เชน่ กระดาษ วดี ทิ ศั น์ ฯลฯ

ส่วนสแตร์และเรยโ์ นลด์ (Stair and Reynolds 2001) กล่าวถงึ คณุ ค่าของสารสนเทศขึ้นอยู่กับการที่
สารสนเทศนั้น สามารถช่วยให้ผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินใจทำให้เปา้ หมายขององค์การสัมฤทธิ์ผลได้มากน้อยเพยี งใด
หาก สารสนเทศ สามารถทำให้บรรลุเป้าหมายขององค์การได้ สารสนเทศนั้นก็จะมคี ุณคา่ สงู ตามไปด้วย

ววิ ัฒนาการของสารสนเทศ

ในสังคมปจั จุบนั ข้อมูล ข่าวสาร และสารสนเทศ ถอื ว่าเปน็ สิง่ ทม่ี ีคา่ มากในการดำเนินชีวติ ในปัจจุบัน
และเน่อื งจากเทคโนโลยตี ่างๆ ในปัจจุบนั ไดพ้ ฒั นาไปมากและราคาไม่แพง ทำให้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ใชไ้ ดง้ า่ ยขน้ึ และทุกคนสามารถหานำมาใช้ได้ระบบสารสนเทศนั้นอาจมองงา่ ยๆวา่ เป็นการนำขอ้ มูลต่างๆ
มาประมวลผลใหเ้ ป็นประโยชนต์ อ่ ผ้ใู ชแ้ ละเทคโนโลยีที่ชว่ ยในการประมวลผลข้อมลู กห็ นีไม่พน้ เทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์ เม่ือคอมพวิ เตอร์พฒั นาไปมากขนึ้ ก็ทำให้ระบบสารสนเทศตา่ งๆ พัฒนามากข้ึนไปด้วย

42

ววิ ฒั นาการของสารสนเทศ ในระบบสารสนเทศนั้นจะมกี ารนำเสนอข้อมลู ต่างๆ มาประมวลผลใหข้ ้อมลู น้ัน
เปน็ ประโยชนต์ ่อการนำไปใชง้ านในอดีตทีย่ ังไมม่ ี คอมพวิ เตอร์ ก็ยงั มเี ครือ่ งมอื อน่ื มาช่วยในการประมวลผล
ข้อมลู และชว่ ยในการสร้างผลผลติ ได้ จนถึงปจั จุบันไดม้ กี ารนำเอาคอมพิวเตอรม์ าชว่ ยในการประมวลผลข้อมลู
กท็ ำให้ระบบสารสนเทศนพี้ ฒั นาไปได้มากขนึ้ ช่วยให้การดำรงชวี ติ ของมนษุ ย์ดีข้นึ ในโลกของเราไดม้ ีการ
นำเสนอเคร่ืองมือมา ช่วยในการดำรงชวี ติ มากมาย จนปัจจุบันนนั้ ถอื ไดว้ ่าเปน็ ยคุ ของเทคโนโลยสี ารสนเทศ
หากแบ่งวิวัฒนาการของยุคสารสนเทศจะแบง่ ไดด้ ังน้ี

-โลกยุคกสกิ รรม (Agriculture Age) ยุคนนี้ บั ตงั้ แต่ก่อนปี ค.ศ. 1800 ถอื วา่ เป็นยุคท่กี ารดำเนิน
ชวี ิตของมนุษย์ขึน้ อยกู่ ับการทำนา ทำสวน ทำไร่ โลกในยุคน้ียังมกี ารซอ้ื ขายสนิ ค้าระหวา่ งกนั แตก่ ็ถอื ว่าเปน็
สนิ ค้าเกษตรกรเปน็ หลัก มีการนำเคร่ืองมอื เครอ่ื งทุ่นแรงมาใชใ้ ห้ได้ผลผลติ ดีขึ้น ในระบบหนึง่ ๆ จะมีผู้ร่วมงาน
เปน็ ชาวนา ชาวไรเ่ ปน็ หลกั

- ยุคอุตสาหกรรม (Industrial Age) ยุคนน้ี ับต้ังแต่ปี ค.ศ. 1800 เปน็ ตน้ มา โดยในประเทศ
องั กฤษได้นำเคร่อื งจักรกลมาช่วยงานทางดา้ นการเกษตร ทำใหม้ ผี ลผลติ มากขนึ้ และมผี ู้ร่วมงานในระบบมาก
ขึน้ เรม่ิ มีโรงงานอตุ สาหกรรม เรมิ่ มีคนงานในโรงงาน ต่อมาการนำเครอ่ื งจักรมาใช้งานน้ไี ด้ขยายไปสู่ประเทศ
ต่างๆ และได้มีการแปรรูปผลิตผลทางดา้ นการเกษตรออกมามากขนึ้ และเครอื่ งจกั รกลกเ็ ปน็ เคร่อื งมอื ทท่ี ำงาน
ร่วมกับมนษุ ย์ และเร่มิ มีโรงงานอุตสาหกรรมมากขนึ้ ซ่งึ ทำให้โลกของเรามที ง้ั ภาคอตุ สาหกรรม และภาค
เกษตรกรรมควบคกู่ ันไป

-ยุคสารสนเทศ (Information Ago) ยุคนีน้ บั ต้ังแตป่ ระมาณปี ค.ศ.1957 จากทก่ี ารทำงานของ
มนุษยม์ ที งั้ ด้านการเกษตรและดา้ นอุตสาหกรรมรม ทำให้คนงานต้องมีการสื่อสารกันมากขน้ึ ต้องมคี วามรใู้ น
การใชเ้ ครื่องจักรกล ต้องมีการจัดการขอ้ มูลเอกสาร ข้อมูลสำนกั งาน งานดา้ นบัญชี จึงทำใหม้ คี นงานสว่ นหนึ่ง
มาทำงานในสำนกั งาน คนงานเหล่านถ้ี ือว่าเป็นผู้ท่ีมคี วามรู้และตอ้ งทำหน้าท่ีประสานงานระหวา่ ง ฝา่ ยผลิต
และลูกค้า ทำใหม้ กี ารพฒั นาเครอื่ งมือตา่ งๆ มาช่วยในการประมวลผล จัดการใหร้ ะบบงานมปี ระสิทธิภาพดขี ้นึ
ทำใหเ้ กิดการใช้เครอ่ื งมือทางสารสนเทศขึน้ มา ซึง่ ถือวา่ เป็นจุดเริม่ ต้นของเทคโนโลยสี ารสนเทศ

เมอ่ื เข้าสู่ยุคสารสนเทศ องคก์ รตา่ งๆ ทนี่ ำเทคโนโลยีส่ือสารมาใช้ในการจดั การงานประจำวนั จะ
ทำงานได้สำเรจ็ เร็วขน้ึ การผลิตทำได้เร็วข้นึ เน่อื งจากผู้ผลติ สามารถประมวลผลข้อมูลตา่ งๆได้รวดเรว็ ข้ึน มี
การนำระบบอตั โนมัตดิ า้ นการผลติ มาใช้ มีระบบบัญชี และมีโปรแกรมทที่ ำงานเฉพาะดา้ นมากขึ้น

ประโยชนข์ องระบบสารสนเทศ

การนำเทคโนโลยีสารนเิ ทศมาใชก้ ับสังคมสารนเิ ทศใน ปัจจบุ นั ก่อให้เกิดการส่อื สารและการใช้
ประโยชน์ จากสารนเิ ทศได้อย่างเต็มที่ และมีประสิทธภิ าพ ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารนิเทศมดี ังต่อไปน้ี คอื

1. ช่วยให้ตดิ ตอ่ สื่อสารระหวา่ งกันอยา่ งสะดวกรวดเร็ว โดยใชโ้ ทรศัพท์ คอมพวิ เตอรห์ รอื ในรูปของ

43

สิง่ พมิ พ์ตา่ ง ๆ
2. ชว่ ยในการจดั ระบบข่าวสารจำนวนมหาศาล ซึ่งผลติ ออกมาในแต่ละวนั
3. ช่วยให้เก็บสารนเิ ทศไวใ้ นรูปทส่ี ามารถเรียกใชไ้ ดค้ ร้ังแล้วครั้งเล่าอย่างสะดวก
4. ชว่ ยเพิ่มประสิทธิภาพการผลติ สารนเิ ทศ เช่น ช่วยนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร ด้วยการช่วยคำนวณ

ตวั เลขทีย่ งุ่ ยาก ซับซ้อนซ่งึ ไมส่ ามารถทำใหส้ ำเร็จไดด้ ว้ ยมือ

5. ช่วยให้สามารถจดั ระบบอัตโนมตั เิ พอื่ การเก็บ เรยี กใช้และประมวลผลสารนเิ ทศ
6. สามารถจำลองแบบระบบการวางแผนและทำนาย เพือ่ ทดลองกบั สิง่ ท่ียงั ไมเ่ กดิ ขนึ้
7. อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงสารนิเทศดกี วา่ สมยั กอ่ น ทำให้ผ้ใู ชส้ ารนเิ ทศมี ทางเลือกทด่ี ีกวา่
มปี ระสิทธิภาพกวา่ และสามารถแข่งขนั กับผูอ้ ืน่ ไดด้ ีกวา่
8. ลดอุปสรรคเกย่ี วกบั เวลาและระยะทางระหว่างประเทศ
เทคโนโลยีสารนิเทศเบ้อื งต้นท่คี วรนำมาใช้ในการดำเนนิ งานทัว่ ๆไป คือการใช้เคร่ืองไมโครคอมพิวเตอรใ์ นการ
จดั การขอ้ มูล

ในบรรดาองค์ประกอบของเทคโนโลยีสารนเิ ทศทง้ั หมดคอมพิวเตอรน์ ับว่ามบี ทบาทมากท่ีสุดตอ่ การ
เป็นองค์ประกอบทีส่ ำคญั คอมพวิ เตอร์เปน็ อปุ กรณ์สื่อสารนเิ ทศท่มี ีบทบาทอยา่ งมากตอ่ สงั คมสารนิเทศ
คอมพวิ เตอร์เปลย่ี นแปลงสภาพการให้บรกิ ารสารนเิ ทศในห้องสมุดจากการเสยี เวลาสืบค้นสารนิเทศหลาย ๆ
นาทีหรือหลายชว่ั โมงมาเปน็ เสยี เวลาเพยี งไมก่ ่วี นิ าที คอมพิวเตอร์เปล่ียนแปลงสภาพความเป็นอยู่ของคนใน
สงั คมเป็นเครอื่ งมือในการดำรงชีวิตท่ีมีบทบาทยง่ิ กวา่ เครอ่ื งมือหรืออุปกรณ์ใด ๆ ท่ีมนุษย์ได้ผลิตขน้ึ ใช้ในโลก
มาก่อน คนในสังคมสมยั สงั คมสารนเิ ทศจะเห็นพัฒนาการด้านนไี้ ดอ้ ยา่ งเด่นชดั นบั ต้งั แต่มีการประดิษฐเ์ คร่ือง
คอมพิวเตอร์ขึน้ ใช้เป็นครง้ั แรก คอมพวิ เตอร์ไมใ่ ช่เพยี งส่ิงประดษิ ฐ์ทางวิทยาศาสตรเ์ ทา่ นัน้ แตก่ ลบั เป็นส่ิงที่
คนในสังคมสารนิเทศต้องรูจ้ ักและมีส่วนเกี่ยวขอ้ งด้วยอย่างหลกี เลี่ยงไม่ได้ เปน็ อุปกรณแ์ ละองค์ประกอบท่ี
สำคญั ของเทคโนโลยสี ารนิเทศท่ีบรรณารกั ษ์จะตอ้ งนำมาใช้อยตู่ ลอดเวลา เคร่อื งคอมพิวเตอรไ์ ดร้ บั การพัฒนา
มาโดยลำดบั ตง้ั แต่ยุคแรก (พ.ศ. 2487-2501) จนถงึ ยุคปัจจบุ ัน (พ.ศ. 2531 เปน็ ต้นมา) ไดม้ ีการนำ
เครื่อง คอมพิวเตอร์มาใช้งานกนั อย่างแพรห่ ลาย เชน่ งานจดั การเอกสารข้อมูลแบบ ต่าง ๆ งานระบบ
สารนเิ ทศเพ่อื การจัดการและงานดา้ นระบบสนบั สนุนการตดั สนิ ใจ (Decision Support System) เป็นตน้
และจากการแขง่ ขัน ในการผลิตเคร่อื งคอมพวิ เตอร์ขนาดเลก็ ทำใหเ้ ครอ่ื งคอมพิวเตอร์มรี าคาถกู และสามารถ
ใชก้ นั อยา่ งแพร่หลายเปน็ สง่ิ หน่งึ ทจ่ี ำเปน็ ในสังคมสารนิเทศปัจจบุ ัน

ในสงั คมสารนิเทศปจั จบุ ัน กลา่ วไดว้ ่า คอมพวิ เตอร์เข้ามามีบทบาท ในชีวติ ประจำวันของคนในสังคม
มากยิ่งขึ้น บทบาทของคอมพิวเตอร์มีมากยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการสารนิเทศ และสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการ

44

สารนิเทศเพอื่ ใช้ประโยชน์ กบั ตนเองก็หลกี เลยี่ งการ ใช้คอมพิวเตอร์เพ่ือประโยชนด์ ้านอืน่ ๆ ไม่ไดบ้ ทบาทของ
คอมพวิ เตอร์ทีม่ ตี ่อการใชส้ ารนเิ ทศในสังคมมีดังต่อไปน้ี

ด้านการศึกษา การใช้คอมพิวเตอร์ในด้านการศึกษา แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ใช้เป็นเครื่องมือใน
การศกึ ษา และใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื ในการสอน การใชเ้ ปน็ เคร่อื งมือในการศึกษาเกย่ี วขอ้ งกับการบรหิ ารการศึกษา
ซึ่งผู้บริหารการศึกษา จำเป็นต้องทราบสารนิเทศต่าง ๆ ทางด้าน นักศึกษา ด้านแผนการเรยี น ด้านบุคลากร
ด้านการเงิน และด้านอาคารสถานที่และอุปกรณ์ ข้อมูลแต่ละด้านที่ได้จากคอมพิวเตอร์ ผู้บริหารการศึกษา
สามารถนำมาใชช้ ่วย ในการตัดสนิ ใจได้ การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นเคร่อื งมอื ในการสอน เป็นการช่วยให้ครูใช้
ความรู้ ความสามารถพิเศษให้เปน็ ประโยชนแ์ ก่ระบบการศกึ ษาได้มากขึน้ การนำคอมพิวเตอร์เข้า มามีส่วน
ชว่ ยในการสอน และการศึกษามีประโยชนใ์ นเร่ืองดังตอ่ ไปนี้ คอื

1. เพอ่ื การสอนแบบตัวต่อตัว

2. เพื่อฝกึ ทักษะตา่ ง ๆ ในการเรียน

3. เพือ่ การสาธิต

4. เพอื่ การเล่นเกมและสถานการณจ์ ำลอง

5. เพอ่ื สอนงานด้านการเขยี น

6. เพ่อื การเกบ็ รวบรวมข้อมลู เกยี่ วกบั การเรียนการสอน

7. เพอ่ื ช่วยผู้เรยี นทมี่ ีปัญหาเฉพาะตัว

ปจั จบุ ัน คอมพวิ เตอรก์ ำลงั มบี ทบาทตอ่ การศกึ ษาด้านภาษาเปน็ เพราะว่าแต่เดิมมานนั้ คอมพิวเตอร์
มีบทบาทเฉพาะการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ ทั้งนี้เพราะคอมพิวเตอร์ได้รับการประดิษฐ์ขึ้นใน
ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษแต่ในขณะนี้สังคมข่าวสารไม่ได้สกัดกั้นในการรับรู้สารนิเทศในภาษาอื่น ๆ มีการ
สร้างโปรแกรมภาษาต่าง ๆ เช่น ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาเลียน รัสเซีย สเปน และแม้แต่ภาษาทางด้าน
ตะวนั ออก เชน่ ภาษาอารบิค จนี ฮิบรู ญี่ปนุ่ เกาหลี การสร้างโปรแกรมภาษาต่าง ๆ จดั ทำโดยผู้ท่ีรู้ภาษาน้ัน
ๆ โดยตรงหรือผู้ที่สนใจในการสร้างโปรแกรมภาษาต่าง ๆ เช่น การสร้างโปรแกรม การใช้ภาษาไทย หรือ
ภาษาลาว ตลอดจนการใชโ้ ปรแกรมภาษาพม่า ซึง่ ประดษิ ฐ์ข้ึนโดยวศิ วกรไทย คอมพิวเตอรจ์ ะเปน็ ตัวกลางใน
การขจัดปญั หาเร่อื งความไม่เข้าใจภาษาระหว่างชนชาติในอนาคต ในประเทศสหรฐั อเมริกา คอมพวิ เตอร์ส่วน
บุคคลมีบทบาทในด้านการศึกษามีการใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้นในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษามีการ
คาดหมายวา่ จะมกี ารนำคอมพวิ เตอร์มาใช้ในชนั้ เรยี น จาก 1:40 ในปี พ.ศ. 2529 เปน็ 1 ต่อ 20 ภายในปี พ.ศ.
2533 คอมพิวเตอร์มีบทบาทต่อการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร ทางด้านการศึกษาได้ เป็นอย่างดีไม่เฉพาะแต่

45

ภายในสถานศึกษาเท่านั้น บริษัทเอกชนตา่ ง ๆ สามารถนำคอมพิวเตอร์ มาใช้ฝึกอบรมเจ้าหนา้ ที่ของตนให้
ได้รับการศึกษาหรือฝึกอบรมในงานหน้าที่ได้เป็นอย่างดีด้วย การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาจะเป็นเรื่อง
ธรรมดาในระบบการศกึ ษาต่อไป

ด้านการแพทย์และสาธารณะสุข คอมพิวเตอร์มีบทบาทอย่างสูงทางด้านการแพทย์และ
สาธารณสุข คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกอย่างยิ่งในด้านการแพทย์ เริ่มตั้งแต่การ
รกั ษาพยาบาลท่ัว ๆไป โรงพยาบาลบางแหง่ ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำทะเบียนคนไข้ตลอดจนการวินจิ ฉัย และ
รักษาโรคต่าง ๆจากการใช้ประโยชน์ของสารนิเทศที่ได้ จากเครื่องคอมพิวเตอร์การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้าน
การแพทย์และสาธารณสุขอาจเกี่ยวข้องในด้านต่อไปนี้ คือ ด้านการ รักษาพยาบาลทั่วไป ด้านการบริหาร
การแพทย์ ด้านห้องทดลอง ด้านตรวจวินิจฉัยโรค และด้านการศึกษา และวิจัยทางการแพทย์ การใช้ข้อมูล
จากคอมพิวเตอร์ด้านการแพทย์และสาธารณสุขท่ีสำคัญในปัจจุบันคือดา้ นวินิจฉยั โรคและด้านการศึกษาและ
วิจัยทางการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์สามารถค้นคว้าข้อมูลทางการแพทย์เพิ่มเติมได้ตลอดเวลาเปน็
การพัฒนาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์และการสาธารณสุขอย่างไม่หยุดยั้ง คอมพิวเตอร์มี
บทบาทต่อการให้ข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยโรคสำหรับทำการรักษาได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำขึ้น ในวงการ
แพทย์เริ่มรู้จักใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ เรียกว่า อีเอ็มไอสแกนเนอร์ (EMI Scanner) เมื่อปี พ.ศ.
2515 เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ใช้ถ่ายภาพสมองมนุษย์เพื่อตรวจดูเนื้องอก พยาธิ เลือดออกใน
สมองและความผดิ ปกติอน่ื ๆ ในสมอง ต่อมาได้พัฒนาใหถ้ า่ ยภาพหน้าตัดไดท้ ่ัวร่างกาย เรียกช่อื วา่ ซีเอที (CAT-
Computerized Axial Tomographic Scanner) มวี ธิ ีการฉายแสงเปน็ จังหวะไปรอบ ๆ รา่ งกายของมนุษย์ที่
ตอ้ งการ ถา่ ยเอกซเรยแ์ ละเคร่อื งรับแสงเอก็ ซเรย์ที่อยู่ตรงขา้ มจะเปล่ียนแสงเอกซเรย์ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าไป
เก็บไว้ในจานหรือแถบแม่เหล็กแล้ว นำสัญญาณไฟฟ้าเหล่านี้เข้าไปวิเคราะห์ในเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ซึ่งเมื่อได้
ผลลัพธ์ออกมาก็นำไปเก็บในส่วนความจำ และพิมพ์ภาพออกมาหรือแสดงเป็นภาพทางจอโทรทัศน์
เครื่องเอกซเรยค์ อมพิวเตอร์จึงเปน็ ตวั อย่างของการใช้คอมพวิ เตอรใ์ นการวนิ ิจฉยั และรักษาโรค

ด้านอตุ สาหกรรม คอมพิวเตอร์มสี ว่ นช่วยพัฒนาความกา้ วหนา้ ทางด้านอุตสาหกรรม โดยนักวทิ ยาศาสตร์ได้
ประดิษฐ์หุ่นยนตเ์ พื่อใช้ในบ้านและหุ่นยนตอ์ ุตสาหกรรม ท้งั น้ีหนุ่ ยนต์จะเป็นอุปกรณ์ที่สร้างข้ึนเพื่อเลียนแบบ
การทำงานของอวัยวะ ส่วนบนของมนุษย์ประกอบด้วยระบบทางกลของหุ่นยนต์และระบบควบคุมหุ่นยนต์
ประกอบด้วยอุปกรณ์ควบคุมซึ่งควบคุมการทำงานของหุ่นยนต์โดยอัตโนมัติด้วยคอมพิวเตอร์ นับเป็นส่วน
สำคัญที่สุดของหุ่นยนต์ ระบบควบคุมนี้ทำหน้าที่เป็นสมองเก็บข้อมูลสั่งหุ่นยนต์ให้ทำงานตรวจสอบและ
ควบคุมรายละเอยี ดของการทำงานใหถ้ ูกต้อง การประดษิ ฐ์หุ่นยนต์อุตสาหกรรมอำนวยประโยชน์ในการชว่ ย
ทำงานในอุตสาหกรรมที่สำคัญคืองานที่ต้องเสี่ยงภัยและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น โรงงานยา ฆ่าแมลง
โรงงานสารเคมี งานท่ตี อ้ งการความละเอียดถูกต้อง และรวดเร็ว เชน่ โรงงาน ทำฟันเฟืองนาฬกิ า โรงงานทำ
เลนส์กล้องถ่ายรูป และงานที่ตอ้ งทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ และ น่าเบื่อหน่าย เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ โรงงาน

46

ประกอบวงจรเบ็ดเสรจ็ หรือไอซี และโรงงานทำแบตเตอรี่ เปน็ ต้น การประดิษฐส์ ง่ิ ของหรือผลิตภณั ฑบ์ างอยา่ ง
ในโรงงานอุตสาหกรรม คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทอย่างสูงต่อการ ควบคุม การผลิตสินค้าโดยไม่ต้องใช้
แรงงานคนมาก เป็นการประหยดั แรงงาน นอกจากดา้ นการผลิตสินค้าแล้ว คอมพิวเตอรย์ ังมีสว่ นช่วยต่อการ
จัดสง่ สนิ ค้าตามใบสั่งสินคา้ การควบคุมวสั ดคุ งคลงั และการคิดราคาตน้ ทนุ สินค้า เป็นตน้

ด้านเกษตรกรรม การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ประโยชน์ในด้านเกษตรกรรม ได้แก่ การจัดทำระบบข้อมูลเพ่ือ
การเกษตร ซึ่งอาจมีทั้งระดับท้องถิน่ ระดับชาติ และระดับนานาชาติสำหรับระดับนานาชาตินั้น อาจจะเริ่ม
ด้วยสำมะโนเกษตรนานาชาติ ซึ่งสถาบันการเกษต รระหว่างประเทศ (International Institute of
Agriculture) ไดเ้ รม่ิ ต้นต้งั แต่ พ.ศ. 2473โดยมีประเทศตา่ ง ๆ ร่วมเก็บขอ้ มูลรวม 46 ประเทศ ต่อมาองค์การ
อาหารและเกษตร(FAO) ได้ดำเนินงานต่อในปี พ.ศ. 2493 และมีประเทศต่าง ๆ ร่วมโครงการเพิ่มเติมมาก
ขึ้น ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ข้อมูลเพื่อเกษตรกรรมทางด้านสำมะโนเกษตร นอกจากนี้ยังใช้
คอมพิวเตอร์ช่วยทำแบบจำลอง พยากรณ์ความตอ้ งการพยากรณ์ผลผลิตด้านการเกษตร เป็นต้น

ด้านการเงินการธนาคาร การใช้คอมพิวเตอร์ในด้านการเงินและการธนาคาร เป็นการนำคอมพวิ เตอร์มาช่วย
ในงานดา้ นการบัญชี และด้านการบริหาร การฝากถอนเงิน การรบั จา่ ย การโอนเงิน แบบอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ การ
หักบัญชีอัตโนมัติ ด้านสินเชื่อ ด้านแลกเปลี่ยนเงินตรา บริการข่าว สารการธนาคาร บริการฝากถอนเงินนอก
เวลาและบริการอื่น ๆ การใช้คอมพิวเตอร์ด้านการเงินการธนาคารที่ประชาชนรู้จักและใช้กันอย่าง
แพรห่ ลาย ไดแ้ ก่ บริการฝากถอนเงินนอกเวลา ซ่ึงมีใชก้ นั ทง้ั ในตา่ งประเทศและในประเทศไทย ซ่ึงเรียกชื่อ
ว่า บริการเงนิ ด่วน หรือบริการเอทีเอ็ม ( Automatic Teller Machine - ATM ) ที่ธนาคารต่าง ๆ สามารถ
ให้บรกิ ารเงนิ ดว่ นแกล่ กู ค้าได้ ทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วต่อการใช้เงินในการดำเนนิ งานทางธุรกิจต่างๆได้

ด้านธุรกิจการบิน ธุรกิจสายการบินมีความจำเป็นต้องนำคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อให้สามารถให้บริการได้
รวดเรว็ เพ่อื การแข่งขนั กบั สายการบินอ่ืน ๆ และเพื่อรกั ษาความปลอดภยั ในการบนิ โดยช่วยตรวจสอบสภาพ
เคร่ืองและอุปกรณ์ได้ อยา่ งถูกต้องแน่นอนและสม่ำเสมอ ธุรกจิ ท่มี ีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ด้านการบิน อาจ
แบ่งเปน็ 3 ประเภท คือ ผ้โู ดยสาร สินค้าพสั ดุภณั ฑ์ และ บรกิ ารอน่ื ๆของสายการบิน ตวั อยา่ งที่เห็นได้ชัดเจน
คือระบบบริการผู้โดยสาร อาจจะเริ่มด้วยระบบบันทึกตารางการบิน ซึ่งบันทึกและเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูล
เทย่ี วบิน เสน้ ทางบนิ เวลาออกและเวลาถงึ จำนวนทีน่ ัง่ สารนิเทศดา้ นการบรกิ ารผู้โดยสารมีความสำคัญอย่าง
มาก และจำเป็นต้องไดร้ ับข้อมูลอย่างรวดเรว็ โดยปราศจากปัญหาทางดา้ นเวลา และสถานท่ี รายการบนิ
ตา่ ง ๆ จงึ ไดแ้ ข่งขันในการสร้างฐานขอ้ มูล ทางด้านน้ี บางสายการบินได้รวมตัวกันเพ่อื ใหเ้ กิดความคล่องตัวใน
การใชส้ ารนิเทศรว่ มกัน

ด้านกฎหมายและการปกครอง ทางด้านกฎหมายและการปกครอง มีการใช้คอมพิวเตอร์แก้ปัญหาด้าน
กฎหมาย คืองานระบบข้อมูลทางกฎหมายมีการนำสารนิเทศที่เกี่ยวข้องกับตัวบทกฎหมายทุกฉบับ


Click to View FlipBook Version