The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยที่ 11 เรื่อง แสงเชิงรังสี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jackie15.boonket, 2022-10-03 04:32:12

หน่วยที่ 11 เรื่อง แสงเชิงรังสี

หน่วยที่ 11 เรื่อง แสงเชิงรังสี

มาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตัวช้ีวดั
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 11 แสงเชิงรังสี

วิชาเพมิ่ เตมิ คาอธบิ ายรายวชิ า ภาคเรยี นท่ี 1
ฟิสิกส์ 3 ว30203 จานวน 1.5 หนว่ ยกิต
3 ช่วั โมง / สัปดาห์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5
60 ช่ัวโมง / ภาคเรยี น

สาระฟิสิกส์ 2. เข้าใจการเคล่ือนที่แบบฮาร์มอนิกส์อย่างง่าย ธรรมชาติของคล่ืน เสียงและการได้ยิน
ปรากฏการณ์ ท่ีเก่ียวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับแสง รวมท้ังนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์

ทดลองและอธิบายการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของวัตถุ ความถี่ธรรมชาติของวัตถุและการ
เกิดการส่ันพ้อง คลื่น สมบัติของคล่ืน เสียง การเคลื่อนที่ของเสียง อัตราเร็วของเสียง สมบัติของคลื่นเสียง
ความเข้มเสียง ระดับเสียง องค์ประกอบของการได้ยิน คุณภาพเสียง และมลพิษทางเสียง การเกิดการสั่นพ้อง
ของอากาศในท่อปลายเปิดหนึ่งด้าน การเกิดบีต คลื่นน่ิง ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ คล่ืนกระแทกของเสียง นา
ความรู้เร่ืองเสียงไปใชใ้ นชวี ิตประจาวัน แสงและสมบัติของแสง ทดกลองเขยี นรังสีของแสงและคานวณตาแหน่ง
และขนาดภาพของวัตถุเม่ือแสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม การสะท้อนของแสงจาก
กระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม ดรรชนีหักเห มุมตกกระทบ และมุมหักเห ความลึกจริงและความลึก
ปรากฏ มุมวิกฤตและการสะท้อนกลับหมดของแสง ทดลองและเขียนรังสีของแสงแสดงภาพที่เกิดจากเลนส์
บาง หาตาแหน่ง ขนาด ชนิดของภาพ ระยะวัตถุ ระยะภาพและความยาวโฟกัส รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ๆ
ท่ีเกี่ยวข้อง ปรากฏการณ์ธรรมชาติท่ีเก่ียวกับแสง การมองเห็นแสงสี สีของวัตถุ การผสมสารสี และการผสม
แสงสี สาเหตุของการบอดสี

เพ่ือให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้องเหมาะสม เกิดความ
ตระหนักและจิตอาสาในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม เกิดความสามารถในการคิดความสามารถ
ออกแบบเชิงวศิ วกรรม ในการส่ือสาร ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตและ
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ และนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

ผลการเรยี นรู้
1. ทดลองและอธิบายการเคล่ือนท่แี บบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของวัตถุติดปลายสปริงและลูกตุ้มอย่างง่าย

รวมท้งั คานวณปรมิ าณต่าง ๆ ทเ่ี กี่ยวข้อง
2. อธิบายความถธี่ รรมชาตขิ องวัตถแุ ละการเกิดการสนั่ พ้อง
3. อธิบายปรากฏการณ์คล่ืน ชนิดของคลื่น ส่วนประกอบของคล่ืน การแผ่ของหน้าคล่ืนด้วยหลักการ

ของฮอยเกนส์ และการรวมกันของคลื่นตามหลักการซ้อนทับ พร้อมท้ังคานวณอัตราเร็ว ความถี่ และความยาว
คลื่น

4. สังเกตและอธิบายการสะท้อน การหักเห การแทรกสอด และการเล้ียวเบนของคล่ืนผิวน้า รวมท้ัง
คานวณปริมาณต่างๆ ทเี่ กี่ยวขอ้ ง

5. อธิบายการเกิดเสียง การเคล่ือนที่ของเสียง ความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นการกระจัดของอนุภาคกับ
คลื่นความดนั ความสมั พนั ธ์ระหว่างอตั ราเร็วของเสียงในอากาศท่ีขึ้นกับอุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียส สมบัติ
ของคลื่นเสียง ได้แก่ การสะท้อน การหักเห การแทรกสอด การเลี้ยวเบน รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ๆ ท่ี
เกย่ี วข้อง

6. อธิบายความเข้มเสียง ระดับเสียง องค์ประกอบของการได้ยิน คุณภาพเสียง และมลพิษทางเสียง
รวมท้ังคานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง

7. ทดลองและอธิบายการเกิดการส่ันพ้องของอากาศในท่อปลายเปิดหนึ่งด้าน รวมท้ังสังเกตและ
อธิบายการเกดิ บีต คลื่นน่ิง ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ คลื่นกระแทกของเสียง คานวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง
และนาความรเู้ รอ่ื งเสยี งไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั

8. ทดลองและอธบิ ายสมบัตกิ ารแทรกสอดของแสงผ่านสลติ คแู่ ละเกรตตงิ สมบัติการเล้ียวเบนและการ
แทรกสอดของแสงผ่านสลติ เดีย่ ว รวมทงั้ คานวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกีย่ วขอ้ ง

9. ทดลองและอธิบายการสะท้อนของแสงที่ผิววัตถุตามกฎการสะท้อน เขียนรังสีของแสงและคานวณ
ตาแหนง่ และขนาดภาพของวัตถเุ มอื่ แสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม รวมท้ังอธิบายการนา
ความรูเ้ รอ่ื งการสะทอ้ นของแสงจากกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลมไปใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั

10. ทดลองและอธบิ ายความสัมพันธ์ระหว่างดรรชนีหักเห มุมตกกระทบ และมุมหักเห รวมทั้งอธิบาย
ความสัมพันธ์ระหว่างความลึกจริงและความลึกปรากฏ มุมวิกฤตและการสะท้อนกลับหมดของแสง และ
คานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่เี กยี่ วข้อง

11. ทดลองและเขียนรังสีของแสงเพ่ือแสดงภาพท่ีเกิดจากเลนส์บาง หาตาแหน่ง ขนาด ชนิดของภาพ
และความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถุ ระยะภาพและความยาวโฟกัส รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง
และอธิบายการนาความรู้เร่อื งการหักเหของแสงผา่ นเลนสบ์ างไปใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจาวัน

12. อธบิ ายปรากฏการณธ์ รรมชาตทิ เี่ กย่ี วกบั แสง เช่น รุ้ง การทรงกลด มิราจ และการเห็นท้องฟ้าเป็น
สตี า่ ง ๆ ในชว่ งเวลาต่างกัน

13. สังเกตและอธิบายการมองเหน็ แสงสี สีของวัตถุ การผสมสารสี และการผสมแสงสี รวมทั้งอธิบาย
สาเหตุของการบอดสี

รวมท้ังหมด 13 ผลการเรยี นรู้

หน่วยการเรยี นรู้ ตารางกาหนดการสอน จานวนช่วั โมง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 11 แสงเชงิ รังสี
หนว่ ยท่ี 11 24
เรื่อง
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 1 3
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 แสงเชงิ รังสี 3
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 3 3
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 4 การเคลือ่ นท่ีและอตั ราเร็วของแสง 3
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 5 การหักเหของแสง 3
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 6 3
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 7 ความลกึ จริงและความลกึ ปรากฏ 3
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 8 เลนสบ์ าง 3

ปรากฏการณ์เกี่ยวกับแสง
ทศั นอปุ กรณ์
ความสว่าง
สี

แผนการจดั การเรยี นรู้

รายวชิ าฟสิ กิ ส์เพิ่มเติม ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 11
เร่ือง แสงเชิงรงั สี

จดั ทาโดย
นางสาวกนกวรรณ บญุ เกตุ

โรงเรียนศรีสโมสรวิทยา
สานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษามัธยมศกึ ษาเขต 5

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5
รายวชิ าฟิสิกสเ์ พิ่มเติม (ว30203) เวลา 24 ช่วั โมง
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เวลา 3 ชวั่ โมง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 11 แสงเชงิ รังสี
เรื่อง การเคลือ่ นท่ีและอัตราเรว็ ของแสง

สาระสาคัญ
รงั สขี องแสง คือเสน้ ตรงทตี่ ั้งฉากกับหน้าคลน่ื และแสดงทศิ ทางของการเคล่ือนทขี่ องแสง

กฎการสะท้อนของแสง
1. ณ ตาแหนง่ ที่แสงตกกระทบ รังสีตกกระทบ รงั สีสะท้อน และเส้นแนวฉาก อยู่ในระนาบเดยี วกัน
2. มุมตกกระทบเทา่ กับมุมสะทอ้ น

หลักการเกดิ ภาพจากผิวสะทอ้ นราบ
1. ระยะภาพเท่ากับระยะวัตถุ
2. ความยาวของภาพเท่ากบั ความยาวของวัตถุ

หลกั ท่ีใชใ้ นการเขยี นรปู แสดงการเกดิ ภาพจากกระจกเวา้
1. เขียนรังสีตกกระทบจากปลายวัตถุถึงผิวกระจกในแนวซ่ึงขนานกันกับเส้นแกนมุขสาคัญ จะได้รังสี

สะท้อนจากผวิ กระจกผา่ นโฟกัส
2. เขียนรังสตี กกระทบจากปลายวัตถุผ่านโฟกัสถึงผิวกระจก จะได้รังสีสะท้อนจากผิวกระจกขนานกับ

แกนมขุ สาคญั
3. เขียนรังสีตกกระทบจากปลายวัตถุผ่านศูนย์กลางความโค้งถึงผิวกระจก จะได้รังสีสะท้อนจากผิว

กระจกยอ้ นกลับไปทางเดิม
กาลังขยายของภาพหาไดจ้ าก ขนาดภาพ/ขนาดวัตถุ หรือระยะภาพ/ระยะวัตถุ
การหาค่าความยาวโฟกัสหาได้จาก 1/f = 1/s + 1/s’
ภาพมัวท่ีเกิดจากการที่รังสีที่ตกกระทบผิวกระจกเว้าอยู่ไกลแกนมุขสาคัญทาให้เกิดภาพมัวเรียกว่า

ความคลาดทรงกลม

สาระการเรียนรู้
- การเคลือ่ นที่และอตั ราเร็วของแสง

สมรรถนะสาคญั
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
1. มวี นิ ยั
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุง่ มัน่ ในการทางาน
4. มจี ิตสาธารณะ
5. อยูอ่ ย่างพอเพียง

จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธิบายลกั ษณะการสะท้อนแสงท่ีผิววัตถุลกั ษณะตา่ ง ๆ พร้อมท้งั สรุปเป็นกฎการสะท้อนของแสงได้
2. ใช้กฎการสะท้อนของแสงเขียนรังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน เพื่อแสดงและหาตาแหน่งและขนาด

ภาพของวัตถุที่อยู่หนา้ ผวิ สะท้อนราบ พรอ้ มท้งั อธบิ ายไดว้ า่ ภาพทเ่ี กดิ ขน้ึ เป็นภาพเสมอื น
3. อธิบายองค์ประกอบของกระจกผวิ โค้งทรงกลม
4. ใช้กฎการสะท้อนของแสงเขียนรังสีตกกระทบ รังสีสะท้อนของแสงเพ่ือแสดงและหาตาแหน่งภาพ

ของวัตถุท่ีอยู่หนา้ กระจกผิวโคง้ ทรงกลม
5. อธบิ ายการเกดิ ภาพเสมอื นและภาพจรงิ ของวตั ถุท่ีอย่หู นา้ กระจกผิวโคง้ ทรงกลม
6. ยกตัวอย่างและอธิบายประโยชน์ของกระจกเงาราบ กระจกเวา้ และกระจกนูนในชวี ติ ประจาวนั

แนวทางในการบูรณาการ
บรู ณาการกับกลุม่ สาระสงั คมศึกษา เรอ่ื ง ทรพั ยากรธรรมชาติ

กระบวนการจัดการเรยี นรู้
กจิ กรรมนาสู่การเรยี น

1. ข้นั สรา้ งความสนใจ (15 นาท)ี
1.1 ใหน้ กั เรียนดเู งาตนเองในกระจกเงาชนิดตา่ ง ๆ
1.2 นักเรียนทั้งหมดร่วมกันยกตัวอย่างปรากฎการณ์สะท้อนแสง ร่วมกันอภิปรายลักษณะการเกิด

ภาพ รวมทั้งการนาไปใชป้ ระโยชน์
1.3 ให้นักเรยี นร่วมกนั ตัง้ คาถามเกย่ี วกบั สงิ่ ท่ีต้องการรู้ จากเน้ือหาท่ีเกี่ยวกับเรื่องการเคล่ือนที่และ

อัตราเรว็ ของแสงสารวจและคน้ หา (60 นาท)ี
กิจกรรมพฒั นาการเรียนรู้

2. ขน้ั สารวจและคน้ หา (90 นาที)
2.1 แบ่งนักเรียนเป็นกลมุ่ ละ 4 คน
2.2 นักเรียนแต่ละกลมุ่ ร่วมกนั วางแผนสืบคน้ การเคลื่อนท่แี ละอัตราเร็วของแสง
2.3 นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ร่วมกันสบื คน้ การเคล่ือนท่ีและอัตราเร็วของแสง
2.4 นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ อภปิ รายร่วมกนั ถงึ การเคลือ่ นทแี่ ละอัตราเร็วของแสง

3. ขัน้ อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (45 นาท)ี
3.1 นกั เรยี นแต่ละกลุม่ นาเสนอผลการสบื คน้ การเคลอ่ื นท่ีและอตั ราเรว็ ของแสง
3.2 นกั เรยี นแต่ละกลุม่ ไดผ้ ลการสืบคน้ เหมอื นกันหรือต่างกนั อยา่ งไร เพราะเหตุใด
3.3 ครูตง้ั คาถามว่า
- กฎการสะท้อนแสงเปน็ อย่างไร
- ระยะภาพและขนาดของภาพของวตั ถุที่อยูห่ น้าผิวสะท้อนเปน็ อยา่ งไร
- หลักในการเขยี นรปู แสดงการเกิดภาพจากกระจกเวา้ เป็นอย่างไร
- กาลังขยายของภาพหาไดอ้ ย่างไร
- เทียนไขสูง 20 cm ตั้งอยู่บนแกนมุขสาคัญของกระจกเว้าที่มีความยาวโฟกัส 10 cm ทาให้

เกดิ ภาพหน้ากระจกเว้า ณ ทห่ี ่างจากกระจกเว้า 15 cm จงหาว่าเทียนไขอยู่ห่างจากกระจกเว้าเท่าใด และเกิด
ภาพสูงเท่าใด

- จากขอ้ ถ้าวางห่างกระจกเว้า 5 cm จะเกดิ ภาพชนดิ ใด อยูห่ า่ งกระจกเว้าเทา่ ใด
- วางวัตถุไว้หน้ากระจกนูนรัศมีความโค้ง 24 cm ห่างกระจก 20 cm เกิดภาพที่ใด เป็นภาพ
ชนดิ ใด ขนาดขยายกเี่ ท่า

3.4 นักเรียนท้ังหมดรว่ มกนั สรปุ ผลจากการสบื คน้ การเคล่ือนทแี่ ละอัตราเร็วของแสง
กิจกรรมรวบยอด

4. ขัน้ ขยายความรู้ (90 นาท)ี
4.1 ให้นักเรยี นเสนอแนวคิดในการแกป้ ญั หาโจทยเ์ ร่ืองการเคลื่อนทแ่ี ละอตั ราเร็วของแสง
4.2 ครูถามว่า จงเสนอแนวคิดในการนาความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนท่ีและอัตราเร็วของแสงไป

ใชป้ ระโยชน์
4.3 นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกันสรปุ เชอ่ื มโยงความคิดเกยี่ วกับการเคลื่อนท่ีและอตั ราเรว็ ของแสง

5. ขน้ั ประเมนิ ผล (30 นาท)ี
5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอ่านบันทึกประสบการณ์เดิม ส่ิงท่ีต้องการรู้ และขอบเขต

เป้าหมาย แลว้ ตรวจสอบว่าได้เรียนรู้ตามที่ต้ังเป้าหมายครบถ้วนหรือไม่เพียงใด ถ้ายังไม่ครบถ้วนจะทาอย่างไร
ต่อไป (อาจสอบถามให้ครอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ สอบถามให้เพื่อนอธิบาย หรือวางแผนสืบคน้ เพิ่มเติม)

5.2 ใหน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนดา้ นพทุ ธิพสิ ยั
5.3 ให้นกั เรยี นบนั ทกึ หลงั เรยี น
5.4 ครใู ห้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ
ให้คะแนน สมดุ บันทกึ รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมลู ไมเ่ พยี งพอใช้วิธีสัมภาษณ์เพม่ิ เติม

สือ่ การเรียนรู้และแหลง่ การเรียนรู้
1. เทยี นไขและกระจกเงา
2. หนังสือแบบเรียนรายวิชาฟสิ ิกส์ เลม่ 3 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
3. ใบงานท่ี 14
4. ใบความรู้ เร่อื ง การเคลอื่ นทแี่ ละอัตราเร็วของแสง

การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล
1.1 สังเกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ตั งิ านทมี่ อบหมาย
1.2 สงั เกตพฤตกิ รรมในการฝึกปฏิบตั งิ านกลุม่
1.3 การทาแบบฝกึ ระหวา่ งเรียน
1.4 การทาแบบทดสอบหลังเรยี น
2. เคร่ืองมอื การวัดและประเมนิ ผล
2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมการปฏิบัตงิ านทม่ี อบหมาย
2.2 แบบสังเกตพฤตกิ รรมในการฝึกปฏบิ ตั งิ านกลุ่ม
2.3 แบบบนั ทกึ ผลการทาแบบทดสอบหลังเรยี น
3. เกณฑ์การวดั และประเมินผล
3.1 กาหนดเกณฑ์ผา่ นการประเมนิ 70 %

การบูรณาการหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง

1. ผสู้ อนใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้

หลักพอเพียง พอประมาณ มเี หตผุ ลท่ีดี มีภูมคิ ุ้มกันในตวั ท่ีดี
ประเด็น

กิจกรรมการเรยี นรู้ - มีการวางแผนการจัดกิจ - จัดการเรียนรู้ตรงตาม - มีการวางแผนการจัดกิจ

กรรมด้านต่างๆชัดเจน มีลา มาตรฐานตัวชว้ี ัด ก ร ร ม อ ย่ า ง ชั ด เ จ น เ ป็ น

ดับขั้นตอน มีการกาหนด ลาดบั

เนื้อหาสาระ จัดกิจกรรม

ผ่านกระบวนการกลุ่ม

เวลา - กาหนดเนื้อหาสาระเหมาะ - เพื่อให้กิจกรรมการเรียน - มีการเผื่อเวลาในการทา

สมกับเวลา กิจกรรมการ การสอนบรรลุตัวชี้วัดได้ตาม กิจกรรมแต่ละขั้นเพ่ือให้

เรียนรู้ใช้กระบวนการกลุ่ม เวลาท่กี าหนด นักเรียนที่มีความสามารถ

นักเรียนทางานได้ทันตาม ต่างกันสามารถทางานให้

เวลาที่กาหนด เสรจ็ ทนั เวลา

สอ่ื - จัดเตรียมและใช้ส่ือในการ - ใช้เคร่ืองมือเพ่ือให้นักเรียน - มีลาดับข้ันตอนในการ

จัดกิจกรรมการเรียนการ ได้ร่วมอภิปรายในแบบฝึกกิจ ใชส้ อื่ ตา่ งๆอย่างคุ้มคา่

สอนเหมาะสมกับจานวน กรรม

กลุ่ม

แหล่งเรยี นรู้ - กาหนดเนื้อหาสาระและ - เพื่อให้การจัดการเรียนรู้ - มี กา รสื บค้ นท าง อิ น

กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะ สอดคล้องกับวิถีชีวิตทาให้ เทอร์เน็ต การค้นคว้าใน

สมกบั แหล่งเรยี นรู้ สามารถนาความรู้มาใช้ใน ห้องสมุดกอ่ นจะออกแบบ

ชวี ิตประจาวนั ได้ กิจกรรมการเรียนรูต้ า่ งๆ

ความรู้ทีใ่ ช้ในการจดั - สืบค้นเทคนคิ วิธีการสอน,รปู แบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

กจิ กรรมการเรยี นรู้ - ศึกษาเน้ือหาด้านต่างๆให้ชัดเจน

- ศกึ ษาคน้ ควา้ และบรู ณาการหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงกบั การจดั การเรยี นรู้

คณุ ธรรม - มคี วามรบั ผิดชอบในการปฏบิ ัตหิ นา้ ทก่ี ารสอน ตรงตอ่ เวลา เตรยี มการสอนลว่ งหนา้

- มีความเมตตา ให้ความเสมอภาค และยุตธิ รรมกับนักเรียนทกุ คน

- มีความเสียสละ อดทน และใฝร่ ู้

2. ผเู้ รียนมีคุณลกั ษณะ “ อยอู่ ย่างพอเพียง”

พอประมาณ มเี หตุผลที่ดี มีภมู คิ ุ้มกันท่ดี ี

- แต่ละกลุ่มแบ่งหน้าท่ีในกลุ่ม - มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหา - ฝึกการมีส่วนร่วมในการทางาน

เหมาะ สมกับความสามารถและ ในเรื่องที่ศึกษา สามารถวิเคราะห์ข้อ สรา้ งความสามัคคีในการทางาน

พอเพยี งกับจานวนสมาชิก มลู ตา่ งๆได้อยา่ งถูกตอ้ ง

- วางแผนการทางานอย่างรอบ - รู้จักทางานร่วมกับผู้อื่นโดยใช้กระ

คอบโดยกาหนดเวลาในการทากิจ บวนการกลุ่ม

กรรมอย่างเหมาะสม

ความรู้ (วธิ กี าร) - สบื คน้ ข้อมูล เพือ่ เสริมสร้างความรู้ ความเขา้ ใจ

- ศกึ ษา คน้ คว้าวธิ ีการทาแบบฝึกหัดกจิ กรรม และใบงาน

- วิเคราะหข์ อ้ มูลโดยใชท้ ักษะกระบวนการคดิ

คณุ ธรรมที่เกิดกบั นักเรียน - มีความรับผิดชอบในหน้าที่ ท่ีได้รับมอบหมาย ทางานด้วยความเรียบร้อยถูก
ต้อง และเสร็จทันเวลา
- มีความสามัคคีในหมู่คณะ มีวินับเป็นผู้นาและผู้ตามที่ดีขณะปฏิบัติงานร่วม
กนั
- ร่วมกจิ กรรมการเรียนรู้ด้วยความกระตือรือรน้ สนใจ ตงั้ ใจ และใฝ่เรียนรู้

3. ผลลพั ธ์ KPA 4 มติ ิ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับการอยู่อยา่ งพอเพียง

ผลลพั ธ์ สมดลุ พร้อมต่อการเปลยี่ นแปลงในดา้ นต่างๆ

ด้านวัตถุ ดา้ นสังคม ด้านสง่ิ แวดล้อม ด้านวัฒนธรรม

ดา้ นความรู้ - มีความรู้ความเข้าใจ - มีความรู้เก่ียวกับการ - มีความรู้ความเข้าใจ -

เกี่ยวกับการเคล่ือนท่ี ทางานเป็นกลุ่มและการ ธรรมชาตขิ องฟิสกิ ส์

และอัตราเร็วของแสง วางแผนรว่ มกบั ผู้อ่ืน

ด้านทักษะ - มีความสามารถใน - สามารถทางานร่วมกับ - -

การอภิปราย ทาแบบ ผู้อ่ืนในรูปแบบกลุ่มและ

ฝึก/ใบงาน มีทักษะในการสร้างปฏิ

สัมพันธก์ บั ผู้อนื่

กจิ กรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนทบทวนโดยค้นคว้าด้วยตนเองและฝึกปฏิบัติเพิ่มเติม พร้อมทั้งแบบฝึกหัดเพ่ิมเติมจาก

หนงั สือแบบเรียน

บนั ทึกผลหลังการสอน
ผลการเรียนรู้

………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ปญั หาและอุปสรรค
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ขอ้ เสนอแนะแนวทางแก้ไข
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ......................................................ผสู้ อน
(นางสาวกนกวรรณ บญุ เกตุ)

ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียนศรสี โมสรวทิ ยา
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื …………………………………………
(นายเมธี วฒั นสงิ ห)์

ผอู้ านวยการโรงเรยี นศรีสโมสรวทิ ยา

ใบความรู้
เรอื่ ง การเคลื่อนทแ่ี ละอัตราเรว็

ของแสง
การเคลอื่ นทีแ่ ละอัตราเรว็ ของแสง

คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นเดียวกับไมโครเวฟ อัลตราไวโอเลต ฯลฯ ซึ่งมีช่ือเรียกต่างๆกันรวมทั้งแสง จะ
เดินทางเป็นเส้นตรงด้วยอัตราเร็วเท่ากันคือv299,792,458 เมตรต่อวินาทีหรือประมาณ 300,000,000 เมตร
ตอ่ วนิ าที ในสุญญากาศ แต่ถา้ แสงเดินทางผ่านตวั กลางอ่นื ๆ เช่น แก้ว น้า ฯลฯ อัตราเร็วแสงจะไม่เท่ากันแต่
จะน้อยกว่าในสุญญากาศการทราบอัตราเร็วแสงในสุญญากาศ สามารถนาไปหาระยะทางที่แสงเดินทางได้ใน
เวลา 1 ปี เรียกว่าระยะทาง 1ปีแสง ซึ่งมักใช้กับทางดาราศาสตร์การศึกษาทางเดินของแสง กาหนดให้ทิศ
ทางเดินของแสงเขียนรูปแทนด้วยเส้นตรงท่ีมีหัวศร เรียกว่า "เส้นรังสีของแสง" หรือเรียกสั้นๆว่า"รังสี" ซึ่งเป็น
เสน้ ทต่ี ั้งฉากกบั หนา้ คลื่น(ไดศ้ ึกษามาแลว้ จากบทคล่ืนกล)

รูปแสดงการเขียนเสน้ รงั สีของแสง

ทีม่ า pirun.ku.ac.th/

แสงท่ีกล่าวถึงในที่น้ีคือแสงที่ตามนุษย์สามารถมองเห็นได้เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ซ่ึงเราเรียกว่า แสง
ขาว เป็นต้น แสงขาวดังกล่าวน้ันจะประกอบด้วยแสงสีต่าง ๆ หลายสี ได้แก่ แสงสีม่วง คราม น้าเงิน เขียว
เหลือง แสด แดง ดังรปู 1.1

รปู 1.1 แสดงสเปกตรัมของคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าและแสง

ท่มี า pirun.ku.ac.th/

สมบตั ขิ องแสง (แสงขาว)
1. เคลอ่ื นทใี่ นแนวเสน้ ตรงและจะเขียนแทนดว้ ย รังสขี องแสง
2. แสงเดินทางสุญญากาศด้วยอตั ราเร็ว 300,000,000 เมตรต่อวินาที
3. เปน็ คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ไมต่ อ้ งอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่
4. เป็นคล่นื ตามขวาง เพราะสามารถเกิดโพลาไรซ์ได้
จากการศึกษาคล่ืนแสงท่ีผ่านมาพบว่าเมื่อแสงผ่านสลิตเดี่ยวท่ีแคบแสงจะเล้ียวเบนและถ้าสลิตเดี่ยวมี

ความกวา้ งของช่องสลติ มากข้นึ การเล้ยี วเบนจะนอ้ ยลง ในการอธิบายปรากฏการณ์นี้ การเขียนหน้าคลื่นจะทา
ให้เข้าใจดี ในกรณีแสงเคล่อื นทต่ี ัวผ่านตัวกลางในแนวนอนเส้นตรง พบว่าการเขียนเส้นตรงตั้งฉากกับหน้าคล่ืน
แสดงทิศทางของแสงท่ีเคล่ือนออกไปจะง่ายต่อการเข้าใจเรียกเส้นตรงน้ีว่ารังสี ตามปกติการเขียนรังสีจะใช้
ลกู ศรกากับเพอ่ื แสดงทิศทางสามารถใชร้ ังสีกับคล่ืนทุกชนดิ ดังรูป1.2

รปู 1.2 แสดงรังสีและหนา้ คลน่ื ของคลน่ื ตกกระทบและคลน่ื สะทอ้ น

ใบงานท่ี 14

1. ขอบเขตและเปา้ หมายของประเด็นทีจ่ ะเรยี นรู้ ท่ีนักเรียนและครกู าหนดร่วมกัน
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
2. แต่ละกลุม่ ไดผ้ ลการสืบค้นเหมอื นกันหรอื ต่างกันอย่างไร เพราะเหตใุ ด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
3. กฎการสะทอ้ นแสงเป็นอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
4. ระยะภาพและขนาดของภาพของวตั ถทุ ่ีอยหู่ น้าผวิ สะท้อนเปน็ อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
5. หลกั ในการเขียนรูปแสดงการเกิดภาพจากกระจกเวา้ เป็นอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
6. กาลังขยายของภาพหาได้อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
7. เทียนไขสูง 20 cm ตั้งอยู่บนแกนมุขสาคัญของกระจกเว้าท่ีมีความยาวโฟกัส 10 cm ทาให้เกิดภาพหน้า
กระจกเว้า ณ ที่หา่ งจากกระจกเว้า 15 cm จงหาว่าเทยี นไขอยหู่ ่างจากกระจกเวา้ เท่าใด และเกิดภาพสูงเท่าใด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….

8. จากข้อ 11 ถ้าวางหา่ งกระจกเวา้ 5 cm จะเกดิ ภาพชนดิ ใด อย่หู า่ งกระจกเวา้ เท่าใด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
9. วางวัตถุไว้หน้ากระจกนูนรัศมีความโค้ง 24 cm ห่างกระจก 20 cm เกิดภาพที่ใด เป็นภาพชนิดใด ขนาด
ขยายกเี่ ทา่
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
10. เหตุใดภาพของวตั ถุที่วางหนา้ กระจกเงาราบจึงเปน็ ภาพเสมือนเสมอ
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
11. เหตุใดภาพของวัตถทุ ่ีวางหน้ากระจกนูนจึงเป็นภาพเสมอื นเสมอ
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
12. เหตุใดกระจกตดิ รถยนตส์ าหรบั ใชด้ ยู วดยานท่ีอยู่ข้างหลังจึงมักเป็นกระจกนนู มากว่ากระจกเงาราบ
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
13. เหตุใดทันตแพทยจ์ งึ ใช้กระจกเว้าสอ่ งดูฟนั คนไข้
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
14. รัศมีวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์เท่ากับ 1.47 x 1011 เมตร จงหาว่าแสงจากดวงอาทิตย์ต้องใช้
เวลานานเทา่ ใดจงึ จะเคล่อื นท่ถี งึ โลก
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
15. พรอกซมิ า เซนทอรี เป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากท่ีสุด ห่างโลก 4.3 ปีแสง ถ้ายานอวกาศเดินทาง
ไปยงั ดาวนีด้ ้วยอตั ราเรว็ 30 km/s ตอ้ งใชเ้ วลาเดินทางกปี่ ี
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….

16. วัตถุที่สูงกว่ากระจกเงาราบวางอยู่หน้ากระจกเงาราบ จะเห็นภาพของวัตถุทุกส่วนได้หรือไม่ จงเขียนรังสี
ของแสงประกอบ
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
17. ชายคนหน่ึงสูง 1.80 เมตร ต้องการกระจกเงาราบเพื่อใช้ส่องมองเห็นได้ตลอดตัว กระจกเงาราบต้องมี
ความยาวอยา่ งน้อยที่สุดก่ีเซนติเมตร ถ้าวางกระจกเงาราบห่างจากตัวที่ระยะต่างๆกัน เขายังคงมองเห็นตลอด
ตวั ตอ่ ไปหรอื ไม่
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 2 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5
รายวิชาฟสิ ิกส์เพิม่ เติม (ว30203) เวลา 24 ชั่วโมง
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เวลา 3 ช่วั โมง
หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 11 แสงเชงิ รงั สี
เรอื่ ง การหักเหของแสง

สาระสาคัญ
การหกั เหของแสงเกิดจากการทแ่ี สงเดนิ ทางผ่านตัวกลางท่ีมคี า่ ดรรชนีหักเหต่างกัน
กฎของเสนลล์กลา่ ววา่ อตั ราส่วนระหว่างไซน์ของมุมตกกระทบกับไซน์ของมุมหักเหจะมีค่าคงตัว และ

คา่ นจ้ี ะเท่ากับอัตราส่วนระหว่างอัตราเร็วของแสงในตัวกลางทั้งสองน้ัน ซ่ึงก็คือค่าดรรชนีหักเหของแสงนั่นเอง
ดงั สมการ

sin1/sin2 = ค่าคงตวั = v1/v2 = n = c/v = n2/n1
ดรรชนหี กั เหของแสงเปน็ คา่ เฉพาะตัวของตวั กลางแต่ละชนดิ

สาระการเรยี นรู้
- การหกั เหของแสง

สมรรถนะสาคญั
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
1. มวี ินัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มุง่ ม่ันในการทางาน
4. มีจติ สาธารณะ
5. อย่อู ยา่ งพอเพียง

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ทาการทดลองการหกั เหของแสงเพื่อสรปุ เป็นกฎของสเนลล์

แนวทางในการบูรณาการ
บูรณาการกับกลุ่มสาระสังคมศกึ ษาเร่ืองทรัพยากรธรรมชาติ

กระบวนการจัดการเรียนรู้
กิจกรรมนาสู่การเรยี น

1. ขัน้ สรา้ งความสนใจ (15 นาท)ี
1.1 ให้นกั เรยี นดูภาพแท่งดินสอดาในแก้วนา้ ใส

1.2 นักเรียนท้ังหมดร่วมกันยกตัวอย่างปรากฏการณ์หักเหของแสง ร่วมกันอภิปรายลักษณะการ
เกิดภาพ รวมท้ังการนาไปใช้ประโยชน์

1.3 ให้นักเรียนร่วมกันต้ังคาถามเก่ียวกับสิ่งท่ีต้องการรู้ จากเนื้อหาที่เก่ียวกับเร่ืองการหักเหของ
แสง
กจิ กรรมพฒั นาการเรยี นรู้

2. ขั้นสารวจและค้นหา (60 นาท)ี
2.1 แบ่งนกั เรียนเปน็ กลมุ่ ละ 4 คน
2.2 นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มรว่ มกันศึกษาการหักเหของแสง
2.3 นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ อภปิ รายรว่ มกนั ถงึ การหักเหของแสง

3. ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรุป (45 นาท)ี
3.1 นกั เรยี นแต่ละกลุม่ นาเสนอผลการศึกษาการหกั เหของแสง
3.2 นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ได้ผลการศึกษาเหมอื นกันหรือต่างกนั อย่างไร เพราะเหตุใด
3.3 ครูตัง้ คาถามว่า
- อัตราส่วนของค่าไซน์ของมุมตกกระทบกับมุมหักเหในแท่งพลาสติกที่ผิวทั้ง 2 ด้านของ

พลาสตกิ จากการทดลองทั้ง 3 คร้งั เทา่ กนั หรือไม่ อยา่ งไร
- กฎของสเนลล์กลา่ ววา่ อย่างไร
- ดรรชนีหกั เหของตัวกลางหาไดอ้ ยา่ งไร
- กฎการหักเหแสงเป็นอย่างไร
- แสงเดินทางออกจากแก้วคราวน์สู่อากาศ ทามุมตกกระทบ 30 องศา ที่ผิวรอยต่อระหว่าง

แก้วคราวน์กับอากาศ มมุ หกั เหเป็นเทา่ ใด กาหนดดรรชนหี ักเหขอแกว้ คราวน์เทา่ กับ 1.52
- แสงความยาวคล่ืน 589 nm เดินทางจากสุญญากาศเข้าสู่ซิลิกาด้วยอัตราเร็ว 2.06 x 108

m/s ดรรชนีหักเหของซิลกิ าเป็นเท่าใด
3.4 นกั เรียนทั้งหมดรว่ มกันสรุปผลจากการศกึ ษาการหักเหของแสง

กิจกรรมรวบยอด
4. ข้ันขยายความรู้ (90 นาท)ี
4.1 ให้นักเรียนเสนอแนวคิดในการแกป้ ัญหาโจทยเ์ รอื่ งการหักเหของแสง
4.2 ครูถามวา่ จงเสนอแนวคิดในการนาความเข้าใจเกย่ี วกับการหกั เหของแสงไปใช้ประโยชน์
4.3 นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ร่วมกนั สรปุ เชื่อมโยงความคิดเกย่ี วกับการหกั เหของแสง
5. ขั้นประเมินผล (30 นาท)ี
5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอ่านบันทึกประสบการณ์เดิม ส่ิงท่ีต้องการรู้ และขอบเขต

เป้าหมาย แล้วตรวจสอบว่าได้เรียนรู้ตามที่ต้ังเป้าหมายครบถ้วนหรือไม่เพียงใด ถ้ายังไม่ครบถ้วนจะทาอย่างไร
ต่อไป (อาจสอบถามใหค้ รอู ธิบายเพ่มิ เติม สอบถามให้เพอื่ นอธิบาย หรือวางแผนสืบค้นเพม่ิ เติม)

5.2 ให้นกั เรยี นทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นด้านพทุ ธิพสิ ัย
5.3 ใหน้ กั เรยี นบันทึกหลงั เรยี น
5.4 ครูให้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ
ให้คะแนน สมุดบนั ทกึ รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมูลไมเ่ พียงพอใช้วิธสี มั ภาษณเ์ พม่ิ เติม

สื่อการเรียนรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้
1. ชดุ การทดลองการหักเหของแสง
2. หนังสือแบบเรยี นรายวิชาฟสิ กิ ส์ เลม่ 3 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
3. แท่งพลาสตกิ ใส

4. ใบงานที่ 15
5. ใบความรู้ เรื่อง การหักเหของแสง

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
1. วิธกี ารวดั และประเมนิ ผล
1.1 สงั เกตพฤติกรรมการปฏิบัติงานทีม่ อบหมาย
1.2 สังเกตพฤติกรรมในการฝกึ ปฏิบตั ิงานกลุ่ม
1.3 การทาแบบฝกึ ระหว่างเรียน
1.4 การทาแบบทดสอบหลงั เรียน
2. เคร่ืองมอื การวัดและประเมนิ ผล
2.1 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัติงานทมี่ อบหมาย
2.2 แบบสงั เกตพฤติกรรมในการฝกึ ปฏิบตั ิงานกลุม่
2.3 แบบบันทึกผลการทาแบบทดสอบหลงั เรียน
3. เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผล
3.1 กาหนดเกณฑผ์ า่ นการประเมนิ 70 %

การบรู ณาการหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง

1. ผ้สู อนใช้หลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งในการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้

หลกั พอเพียง พอประมาณ มีเหตุผลทด่ี ี มีภูมคิ ุ้มกนั ในตัวท่ดี ี
ประเดน็

กจิ กรรมการเรียนรู้ - มีการวางแผนการจัดกิจ - จัดการเรียนรู้ตรงตาม - มีการวางแผนการจัด

กรรมด้านต่างๆชัดเจน มีลา มาตรฐานตัวชว้ี ดั กิจกรรมอย่างชัดเจนเป็น

ดับข้ันตอน มีการกาหนด ลาดับ

เนื้อหาสาระ จัดกิจกรรม

ผ่านกระบวนการกลมุ่

เวลา - กาหนดเนื้อหาสาระเหมาะ - เพื่อให้กิจกรรมการเรียน - มีการเผ่ือเวลาในการทา

สมกับเวลา กิจกรรมการ การสอนบรรลตุ ัวช้ีวัดได้ตาม กิจกรรมแต่ละขั้นเพ่ือให้

เรียนรู้ใช้กระบวนการกลุ่ม เวลาท่กี าหนด นักเรียนท่ีมีความสามารถ

นักเรียนทางานได้ทันตาม ต่างกันสามารถทางานให้

เวลาทกี่ าหนด เสรจ็ ทันเวลา

สอ่ื - จัดเตรียมและใช้ส่ือในการ - ใช้เคร่ืองมือเพอ่ื ให้นักเรียน - มีลาดับขั้นตอนในการใช้

จัดกิจกรรมการเรียนการ ได้ร่วมอภิปรายในแบบฝึก สือ่ ตา่ งๆอยา่ งคุ้มคา่

สอนเหมาะสมกับจานวน กิจกรรม

กลมุ่

แหลง่ เรยี นรู้ - กาหนดเนื้อหาสาระและ - เพื่อให้การจัดการเรียนรู้ - มีการสืบค้นทางอินเทอร์

กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะ สอดคล้องกับวิถีชีวิตทาให้ เน็ต การค้นคว้าในห้อง

สมกบั แหลง่ เรยี นรู้ สามารถนาความรู้มาใช้ใน สมุดก่อนจะออกแบบกิจ

ชีวิตประจาวันได้ กรรมการเรยี นร้ตู า่ งๆ

ความร้ทู ใ่ี ชใ้ นการจดั - สบื คน้ เทคนคิ วิธกี ารสอน,รูปแบบการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้

กจิ กรรมการเรียนรู้ - ศึกษาเนอ้ื หาดา้ นต่างๆใหช้ ดั เจน

คณุ ธรรม - ศกึ ษาคน้ ควา้ และบูรณาการหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งกบั การจัดการเรยี นรู้

- มคี วามรบั ผิดชอบในการปฏิบตั ิหนา้ ท่กี ารสอน ตรงตอ่ เวลา เตรียมการสอนล่วงหน้า
- มีความเมตตา ให้ความเสมอภาค และยุตธิ รรมกบั นักเรียนทกุ คน
- มคี วามเสยี สละ อดทน และใฝ่รู้

2. ผเู้ รียนมีคณุ ลกั ษณะ “ อยอู่ ย่างพอเพียง”

พอประมาณ มเี หตผุ ลท่ีดี มีภมู คิ ้มุ กันทด่ี ี

- แต่ละกลุ่มแบ่งหน้าที่ในกลุ่ม - มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเน้ือหา - ฝึกการมีส่วนร่วมในการทางาน

เหมาะสมกับความสามารถและ ในเรื่องที่ศึกษา สามารถวิเคราะห์ สร้างความสามัคคีในการทางาน

พอเพยี งกับจานวนสมาชิก ข้อมลู ต่างๆไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง

- วางแผนการทางานอย่างรอบ - รู้จักทางานร่วมกับผู้อ่ืนโดยใช้กระ

คอบโดยกาหนดเวลาในการทา บวนการกลุ่ม

กิจกรรมอยา่ งเหมาะสม

ความรู้ (วิธีการ) - สบื ค้นข้อมูล เพือ่ เสรมิ สร้างความรู้ ความเข้าใจ

- ศึกษา คน้ คว้าวธิ กี ารทาแบบฝึกหดั กจิ กรรม และใบงาน

- วิเคราะหข์ ้อมูลโดยใชท้ กั ษะกระบวนการคดิ

คณุ ธรรมท่เี กดิ กบั นกั เรียน - มีความรับผิดชอบในหน้าท่ี ที่ได้รับมอบหมาย ทางานด้วยความเรียบร้อยถูก

ตอ้ ง และเสรจ็ ทนั เวลา

- มีความสามัคคีในหมู่คณะ มีวินับเป็นผู้นาและผู้ตามที่ดีขณะปฏิบัติงานร่วม

กนั

- รว่ มกจิ กรรมการเรียนรดู้ ้วยความกระตือรือร้น สนใจ ตง้ั ใจ และใฝ่เรยี นรู้

3. ผลลพั ธ์ KPA 4 มติ ิ ท่เี กยี่ วข้องกบั การอย่อู ย่างพอเพียง

ผลลัพธ์ สมดุลพร้อมต่อการเปล่ยี นแปลงในด้านต่างๆ

ด้านวตั ถุ ดา้ นสงั คม ด้านส่ิงแวดลอ้ ม ดา้ นวฒั นธรรม

ดา้ นความรู้ - มีความรู้ความเข้าใจ - มีความรู้เกี่ยวกับการ - มีความรู้ความเข้าใจ -

เกี่ยวกับการหักเหของ ทางานเป็นกลุ่มและการ ธรรมชาตขิ องฟิสกิ ส์

แสง วางแผนรว่ มกบั ผอู้ น่ื

ด้านทักษะ - มีความสามารถใน - สามารถทางานร่วมกับ - -

การอภิปราย ทาแบบ ผู้อ่ืนในรูปแบบกลุ่มและ

ฝกึ /ใบงาน มีทักษะในการสร้างปฏิ

สมั พันธก์ บั ผอู้ ่นื

กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนทบทวนโดยค้นคว้าด้วยตนเองและฝึกปฏิบัติเพิ่มเติม พร้อมทั้งแบบฝึกหัดเพิ่มเติมจาก

หนงั สือแบบเรียน

บนั ทึกผลหลังการสอน
ผลการเรียนรู้

………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ปญั หาและอปุ สรรค
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ......................................................ผู้สอน
(นางสาวกนกวรรณ บุญเกตุ)

ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียนศรีสโมสรวทิ ยา
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื …………………………………………
(นายเมธี วฒั นสิงห์)

ผอู้ านวยการโรงเรยี นศรีสโมสรวทิ ยา

ใบความรู้
เรอ่ื ง การหักเหของแสง

การหกั เหของแสง
การมองวัตถุท่ีอยู่ในน้า โดยผู้มองอยู่ในอากาศ แสงจากวัตถุเคลื่อนท่ีผ่านน้า หักเหสู่อากาศ แล้วเข้าสู่

นัยน์ตา เม่ือต่อแนวรังสีหักเหไปตัดกันท่ีจุดหนึ่ง จุดน้ีเป็นตาแหน่งภาพที่ตาเรามองเห็น ด้วยเหตุนี้เอง จึงทาให้
เรามองเห็นภาพวัตถุอยู่ตนื้ กวา่ วตั ถจุ รงิ

จากความรูน้ ้ี คงจะอธบิ ายได้ว่า " เหตใุ ดเมอื่ เรามองพ้ืนสระว่ายนา้ จึงมองเห็นว่าพืน้ สระวา่ ยน้าต้ืนกว่า
ความเปน็ จริง"

การหักเหของแสง เปน็ สมบัติอย่างหนงึ่ ของแสง โดยปกตแิ สงจะเดินทางเป็นเส้นตรง เมื่อเดินทางผ่าน
วัตถุโปร่งใสชนิดเดียวกัน แต่บางคร้ังการเดินทางของแสงผ่านวัตถุ 2 ชนิด เช่น แสงเดินทางผ่านอากาศแล้ว
ผ่านไปในน้า การเดินทางของแสงในวัตถุทั้งสองจะเป็นเส้นตรง แต่ไม่อยู่ในแนวเดียวกัน นั่นคือแสงจะเกิดการ
หักเหไปจากแนวเดิม ตรงรอยต่อระหวา่ งผวิ ของวัตถทุ ้ัง 2 ชนดิ นนั้ เราเรยี กว่า การหักเหของแสง

เม่ือแสงเดินทางผ่านวัตถุต่างชนิดกัน จะเกิดการหักเหของแสง โดยการหักเหของแสงจะเบนเข้าหา
เส้นแนวฉาก หรือเบนออกจากเส้นแนวฉากนั้น ขึ้นอยูก่ ับวตั ถทุ แี่ สงเดนิ ทางผา่ น จึงควรพจิ ารณาดงั นี้

( 1 ) ถ้าแสงเดินทางจากวัตถุท่ีแสงมคี วามเร็วมากกว่า ไปยังวัตถทุ แ่ี สงมคี วามเร็วน้อยกว่า เช่น จากน้า
ไปสแู่ ก้ว จากอากาศไปสนู่ า้ หรอื จากนา้ ไปส่พู ลาสติก ลาแสงจะเบนเขา้ หาเสน้ แนวฉาก ดงั ภาพที่ 1

( 2 ) ถ้าแสงเดินทางจากวัตถุที่แสงมีความเร็วน้อยกว่า ไปยังวัตถุท่ีแสงมีความเร็วมากกว่า เช่น จาก
แก้วไปสนู่ ้า จากน้าไปสู่อากาศ หรอื จากพลาสติกไปสอู่ ากาศ ลาแสงจะเบนออกจากเส้นแนวฉาก ดังภาพท่ี 2

ปรากฏการณท์ เ่ี กดิ จากการหกั เหของแสง
( 1 ) การมองเห็นวัตถุท่ีอยู่ในน้าหักงอ เช่น เห็นหลอดหรือช้อนที่อยู่ในแก้วซึ่งมีน้าอยู่มีลักษณะหักงอ

ผดิ ความจรงิ
( 2 ) การมองเหน็ สิ่งตา่ งๆ ที่อยใู่ นนา้ อย่ตู นื้ กว่าความเป็นจริง เช่นเวลามองปลาท่ีอยู่ในน้า จะมองเห็น

วา่ ปลาอยตู่ ืน้ กวา่ ความเปน็ จริง
( 3 ) เมื่อมองวัตถผุ ่านนา้ ไปยงั อากาศ จะเห็นวตั ถอุ ยู่ไกลกวา่ ความเปน็ จริง

การเคลอ่ื นที่ของแสงผา่ นวัตถุต่างๆ
จะเกิดอะไรขึน้ เม่ือแสงเคล่ือนทผี่ า่ นวตั ถุต่างชนิดกัน นักเรียนเคยมองปลาหรือวัตถุต่างๆ ท่ีอยู่ในน้าใส

บา้ งหรือไม่ และเคยคดิ ว่าปลาหรือวตั ถุเหลา่ น้นั อยูต่ รงตาแหนง่ ทม่ี องเห็นหรือไม่ เพราะเหตใุ ด

นาดนิ สอใส่ลงในแกว้ เปล่า แล้วมองแท่งดินสอในแนวต่างๆ กัน (ตาแหน่งของตาอยู่เหนือถ้วย) สังเกต
ลักษณะที่เห็น จากนั้นนาดินสอใส่ในแก้วที่บรรจุน้า สังเกตลักษณะท่ีเห็น และลองทาซ้าโดยเปล่ียนจากดินสอ
เป็นไม้บรรทัด สังเกตลักษณะท่ีเห็นเช่นกัน เราจะเห็นว่าลักษณะดินสอท้ังแท่งในแก้วท้ังสอง จากการมองเห็น
แตกต่างกัน ดินสอส่วนที่อยู่ในน้าจะอยู่ ตื้นกว่าท่ีเป็นจริง จะเห็นดินสอท้ังส่วนท่ีอยู่ในน้า และเหนือน้าไม่ตรง
เหมือนเดิม จะเหน็ หักเป็นมมุ ทผ่ี ิวนา้

เมื่อเปล่ียนดินสอเป็นไม้บรรทัด จะสังเกตเห็นไม้บรรทัดไม่ตรง จะเห็นหักเป็นมุมท่ีผิวน้า ไม้บรรทัด
ส่วนทีอ่ ยใู่ นนา้ จะมองเหน็ อยตู่ น้ื กว่าทเี่ ปน็ จริง

เม่ือแสงผ่านวตั ถุตา่ งกนั แสงจะเบนไปจากแนวเดิมตรงผิวรอยต่อของน้าและอากาศ เรียกแสงที่เบนไป
จากแนวเดมิ น้วี า่ รงั สหี ักเห

สรุปว่า การท่ีเราเห็นวัตถุได้ เพราะแสงจากวัตถุมาเข้าตาเรา แสงจากวัตถุในน้าท่ีมาเข้าตาเรา มีการ
เบนไปเมอ่ื ผา่ นจากนา้ ออกส่อู ากาศ ดงั แผนภาพ

ใบงานที่ 15

1. ขอบเขตและเปา้ หมายของประเดน็ ที่จะเรียนรู้ ที่นกั เรียนและครูกาหนดร่วมกัน
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
2. ผลการทดลองการหกั เหของแสง
ปัญหา……………………………………………………………………………………………….........................................................
สมมตฐิ าน…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตัวแปรต้น…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตวั แปรตาม………………………………………………………………………………………….......................................................
ตัวแปรควบคุม………………………………………………………………………………………………………………………………………
วิธีทดลอง……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
ผลการทดลอง

3. แตล่ ะกลมุ่ ได้ผลการศึกษาเหมือนกันหรอื ตา่ งกนั อย่างไร เพราะเหตุใด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
4. อัตราส่วนของค่าไซน์ของมุมตกกระทบกับมุมหักเหในแท่งพลาสติกท่ีผิวท้ัง 2 ด้านของพลาสติก จากการ
ทดลองทง้ั 3 ครงั้ เทา่ กนั หรอื ไม่ อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
5. สรปุ ผลการทดลองการหกั เหของแสง
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….

6. กฎของสเนลลก์ ล่าววา่ อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
7. ดรรชนหี กั เหของตวั กลางหาได้อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
8. กฎการหกั เหแสงเปน็ อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
9. แสงเดินทางออกจากแก้วคราวน์สู่อากาศ ทามุมตกกระทบ 30 องศา ที่ผิวรอยต่อระหว่างแก้วคราวน์กับ
อากาศ มมุ หักเหเป็นเท่าใด กาหนดดรรชนีหักเหขอแกว้ คราวน์เท่ากบั 1.52
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
10. แสงความยาวคล่นื 589 nm เดนิ ทางจากสุญญากาศเขา้ สซู่ ิลิกาด้วยอัตราเร็ว 2.06 x 108 m/s ดรรชนีหัก
เหของซลิ ิกาเป็นเท่าใด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
11. เมื่อแสงผ่านละอองฝนและแท่งปริซึมจะเกิดสเปคตรัมของแสง การเกิดสเปกตรัมท้ัง 2 กรณีเป็นเพราะ
สมบัติใดของแสง
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….

แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 3 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 5
รายวชิ าฟิสิกสเ์ พ่ิมเติม (ว30203) เวลา 24 ชว่ั โมง
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เวลา 3 ชั่วโมง
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 11 แสงเชงิ รังสี
เร่ือง ความลึกจรงิ และความลึกปรากฏ

สาระสาคัญ
ระยะจากผิวของเหลวไปถงึ วัตถเุ รียกวา่ ความลึกจริง
ระยะท่ีเหน็ วตั ถใุ ต้ผวิ ของเหลวเรยี กวา่ ความลึกปรากฎ
การหาค่าความบกึ จริงและความลกึ ปรากฎอาศยั หลักการของการหักเหแสง ดังสมการ

ความลึกจรงิ /ความลกึ ปรากฎ = sin1/sin2 = v1/v2 = n2/n1

สาระการเรยี นรู้
- ความลกึ จริงและความลกึ ปรากฏ

สมรรถนะสาคัญ
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุง่ มัน่ ในการทางาน
4. มจี ิตสาธารณะ
5. อยู่อย่างพอเพียง

จดุ ประสงค์การเรียนรู้
หาความสมั พันธร์ ะหวา่ งกฎของสเนลล์กบั ดรรชนหี กั เหของวัตถุ เพื่อสรปุ เป็นกฎของสเนลลอ์ ีกรปู หน่ึง

แนวทางในการบรู ณาการ
บรู ณาการกับกลุ่มสาระสังคมศกึ ษาเร่อื งทรัพยากรธรรมชาติ

กระบวนการจดั การเรียนรู้
กิจกรรมนาส่กู ารเรยี น

1. ข้นั สรา้ งความสนใจ (15 นาท)ี
1.1 ให้นกั เรยี นดปู ลาในตปู้ ลาจากดา้ นบน
1.2 นักเรียนท้ังหมดร่วมกันยกตัวอย่างปรากฎการณ์การเกิดภาพในแนวลึก ร่วมกันอภิปราย

ลกั ษณะการเกิดภาพ รวมทง้ั การนาไปใช้ประโยชน์

1.3 ใหน้ ักเรียนร่วมกันต้ังคาถามเก่ียวกับส่ิงที่ต้องการรู้ จากเน้ือหาที่เกี่ยวกับเรื่องความลึกจริงและ
ความลกึ ปรากฎ
กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้

2. ข้ันสารวจและคน้ หา (60 นาท)ี
2.1 แบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่มละ 4 คน
2.2 นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มรว่ มกนั วางแผนสบื ค้นความลกึ จริงและความลึกปรากฏ
2.3 นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกันสืบคน้ ความลึกจริงและความลึกปรากฏ
2.4 นักเรยี นแต่ละกลุ่มอภิปรายร่วมกันถึงความลกึ จริงและความลกึ ปรากฏ

3. ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรปุ (45 นาท)ี
3.1 นกั เรียนแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลการสืบคน้ ความลึกจริงและความลึกปรากฎ
3.2 นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ไดผ้ ลการสบื ค้นเหมอื นกนั หรอื ตา่ งกนั อยา่ งไร เพราะเหตุใด
3.3 ครูต้งั คาถามวา่
- ตาแหนง่ ภาพหรือความลึกปรากฏหาไดอ้ ยา่ งไร
- ความลึกปรากฏเก่ียวข้องกบั กฎของสเนลล์และดรรชนหี ักเหของแสงอยา่ งไร
- ปลาอยู่ในน้าที่ระดับลึกจากผิวน้า 2 เมตร ความลึกปรากฎของปลาเป็นเท่าใด เมื่อผู้สังเกต

มองปลาในแนวด่งิ ตรงตัวปลา กาหนดดรรชนัหักเหของน้าเทา่ กบั 1
3.4 นกั เรยี นทงั้ หมดรว่ มกนั สรปุ ผลจากการสืบคน้ ความลึกจรงิ และความลึกปรากฎ

กจิ กรรมรวบยอด
4. ขน้ั ขยายความรู้ (90 นาท)ี
4.1 ให้นกั เรียนเสนอแนวคดิ ในการแก้ปญั หาโจทย์เรื่องความลึกจรงิ และความลกึ ปรากฎ
4.2 ครูถามว่า จงเสนอแนวคิดในการนาความเข้าใจเกี่ยวกับความลึกจริงและความลึกปรากฎไปใช้

ประโยชน์
4.3 นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกนั สรปุ เช่อื มโยงความคดิ เก่ยี วกบั ความลกึ จรงิ และความลึกปรากฏ

5. ขั้นประเมินผล (30 นาท)ี
5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอ่านบันทึกประสบการณ์เดิม ส่ิงท่ีต้องการรู้ และขอบเขต

เปา้ หมาย แลว้ ตรวจสอบว่าได้เรียนรู้ตามที่ต้ังเป้าหมายครบถ้วนหรือไม่เพียงใด ถ้ายังไม่ครบถ้วนจะทาอย่างไร
ต่อไป (อาจสอบถามให้ครูอธิบายเพิม่ เตมิ สอบถามให้เพอื่ นอธิบาย หรอื วางแผนสบื คน้ เพมิ่ เตมิ )

5.2 ใหน้ ักเรียนทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นดา้ นพทุ ธพิ ิสยั
5.3 ใหน้ กั เรยี นบนั ทึกหลังเรียน
5.4 ครใู ห้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ
ให้คะแนน สมุดบันทึก รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมูลไม่เพยี งพอใช้วิธสี ัมภาษณเ์ พ่ิมเตมิ

สื่อการเรยี นร้แู ละแหลง่ การเรียนรู้
1. แก้วนา้ และดินสอ
2. หนังสอื แบบเรยี นรายวชิ าฟสิ กิ ส์ เลม่ 3 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
3. ใบงานท่ี 16
4. ใบความรู้ เรือ่ ง ความลกึ จรงิ และความลกึ ปรากฏ

การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้
1. วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล
1.1 สงั เกตพฤติกรรมการปฏิบตั งิ านทีม่ อบหมาย

1.2 สังเกตพฤตกิ รรมในการฝกึ ปฏบิ ัติงานกลุม่
1.3 การทาแบบฝกึ ระหว่างเรียน
1.4 การทาแบบทดสอบหลงั เรียน
2. เครื่องมอื การวัดและประเมินผล
2.1 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏิบัติงานท่ีมอบหมาย
2.2 แบบสังเกตพฤติกรรมในการฝกึ ปฏบิ ัตงิ านกลุ่ม
2.3 แบบบนั ทึกผลการทาแบบทดสอบหลงั เรียน
3. เกณฑ์การวัดและประเมินผล
3.1 กาหนดเกณฑ์ผา่ นการประเมนิ 70 %

การบูรณาการหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

1. ผูส้ อนใช้หลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้

หลักพอเพยี ง พอประมาณ มเี หตุผลที่ดี มภี มู ิค้มุ กนั ในตวั ท่ดี ี
ประเดน็

กิจกรรมการเรยี นรู้ - มีการวางแผนการจัดกิจ - จัดการเรียนรู้ตรงตาม - มีการวางแผนการจัด

กรรมด้านต่างๆชัดเจน มีลา มาตรฐานตัวช้วี ัด กิจกรรมอย่างชัดเจนเป็น

ดับข้ันตอน มีการกาหนด ลาดับ

เนื้อหาสาระ จัดกิจกรรมผ่าน

กระบวนการกลมุ่

เวลา - กาหนดเน้ือหาสาระเหมาะ - เพื่อให้กิจกรรมการเรียน - มีการเผ่ือเวลาในการทา

สมกับเวลา กิจกรรมการเรียน การสอนบรรลุตัวช้ีวัดได้ กิจกรรมแต่ละข้ันเพ่ือให้

รู้ใช้กระบวนการกลุ่มนักเรียน ตามเวลาที่กาหนด นักเรียนที่มีความสามารถ

ทางานได้ทันตามเวลาท่ีกา ต่างกันสามารถทางานให้

หนด เสรจ็ ทันเวลา

สอ่ื - จัดเตรียมและใช้ส่ือในการ - ใช้เคร่ืองมือเพ่ือให้นัก - มีลาดับข้ันตอนในการใช้

จัดกิจกรรมการเรียนการสอน เรียนได้ร่วมอภิปรายใน สอื่ ต่างๆอย่างคุ้มคา่

เหมาะสมกบั จานวนกลมุ่ แบบฝกึ กจิ กรรม

แหลง่ เรยี นรู้ - กาหนดเน้ือหาสาระและ - เพ่ือให้การจัดการเรียนรู้ - มีการสืบค้นทางอินเทอร์

กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะสม สอดคล้องกับวิถีชีวิตทาให้ เน็ต การค้นคว้าในห้อง

กับแหล่งเรยี นรู้ สามารถนาความรู้มาใช้ใน สมุดก่อนจะออกแบบกิจ

ชวี ติ ประจาวันได้ กรรมการเรียนรตู้ ่างๆ

ความร้ทู ีใ่ ชใ้ นการจดั - สืบคน้ เทคนคิ วธิ ีการสอน,รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

กจิ กรรมการเรียนรู้ - ศึกษาเนอื้ หาด้านต่างๆใหช้ ดั เจน

- ศึกษาค้นควา้ และบรู ณาการหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการจัดการเรียนรู้

คุณธรรม - มีความรบั ผดิ ชอบในการปฏบิ ตั หิ น้าที่การสอน ตรงต่อเวลา เตรยี มการสอนล่วงหน้า

- มคี วามเมตตา ใหค้ วามเสมอภาค และยุติธรรมกบั นกั เรียนทกุ คน

- มคี วามเสียสละ อดทน และใฝร่ ู้

2. ผู้เรยี นมคี ณุ ลกั ษณะ “ อยู่อย่างพอเพียง”

พอประมาณ มเี หตผุ ลท่ดี ี มภี มู คิ ้มุ กนั ทีด่ ี

- แต่ละกลุ่มแบ่งหน้าที่ในกลุ่ม - มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเนื้อหา - ฝึกการมีส่วนร่วมในการทางาน

เหมาะสมกับความสามารถและ ในเร่ืองที่ศึกษา สามารถวิเคราะห์ข้อ สรา้ งความสามัคคใี นการทางาน

พอเพยี งกับจานวนสมาชิก มูลต่างๆได้อยา่ งถูกต้อง

- วางแผนการทางานอย่างรอบ - รู้จักทางานร่วมกับผู้อ่ืนโดยใช้กระ

คอบโดยกาหนดเวลาในการทากิจ บวนการกลุม่

กรรมอย่างเหมาะสม

ความรู้ (วธิ กี าร) - สืบค้นข้อมลู เพอ่ื เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ

- ศกึ ษา คน้ ควา้ วธิ ีการทาแบบฝึกหดั กจิ กรรม และใบงาน

- วเิ คราะหข์ ้อมูลโดยใชท้ กั ษะกระบวนการคิด

คณุ ธรรมทเ่ี กดิ กบั นักเรียน - มีความรับผิดชอบในหน้าท่ี ที่ได้รับมอบหมาย ทางานด้วยความเรียบร้อยถูก

ต้อง และเสร็จทันเวลา

- มีความสามัคคีในหมู่คณะ มีวินับเป็นผู้นาและผู้ตามท่ีดีขณะปฏิบัติงานร่วม

กนั

- ร่วมกจิ กรรมการเรยี นร้ดู ว้ ยความกระตือรอื รน้ สนใจ ตัง้ ใจ และใฝเ่ รียนรู้

3. ผลลัพธ์ KPA 4 มิติ ที่เก่ียวขอ้ งกับการอยอู่ ยา่ งพอเพียง

ผลลัพธ์ สมดุลพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในดา้ นตา่ งๆ

ดา้ นวตั ถุ ด้านสงั คม ด้านสิง่ แวดลอ้ ม ดา้ นวัฒนธรรม

ดา้ นความรู้ - มีความรู้ความเข้าใจ -มีคว ามรู้เกี่ยว กับการ - มีความรู้ความเข้า -

เกี่ยวกับความลึกจริง ทางานเป็นกลุ่มและการ ใจธรรมชาติของ

และความลกึ ปรากฏ วางแผนร่วมกับผู้อนื่ ฟสิ ิกส์

ดา้ นทักษะ - มีความสามารถในการ - สามารถทางานร่วมกับ - -

อภิปราย ทาแบบฝึก/ใบ ผู้อ่ืนในรูปแบบกลุ่มและมี

งาน ทักษะในการสร้างปฏิสัม

พันธ์กับผ้อู ่นื

กจิ กรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนทบทวนโดยค้นคว้าด้วยตนเองและฝึกปฏิบัติเพิ่มเติม พร้อมทั้งแบบฝึกหัดเพ่ิมเติมจาก

หนังสอื แบบเรยี น

บนั ทึกผลหลังการสอน
ผลการเรียนรู้

………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ปญั หาและอปุ สรรค
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ......................................................ผู้สอน
(นางสาวกนกวรรณ บุญเกตุ)

ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียนศรีสโมสรวทิ ยา
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื …………………………………………
(นายเมธี วฒั นสิงห์)

ผอู้ านวยการโรงเรยี นศรีสโมสรวทิ ยา

ใบความรู้
เร่อื ง ความลึกจริงและความลกึ ปรากฏ
ความลึกจริง ความลกึ ปรากฏ
เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้สังเกต มองดูวัตถุซ่ึงอยู่ในตัวกลางที่ต่างจากตาของผู้สังเกต แล้วทาให้มองเห็น
ภาพท่ปี รากฏอยคู่ นละตาแหนง่ กบั วัตถจุ รงิ ซ่ึงเกดิ จากการหกั เหของแสง
การทีต่ าของคนจะมองเหน็ ภาพได้ จะต้องมรี ังสีของแสงออกจากวัตถุเดินทางเข้าสู่ตาคน แต่เน่ืองจาก
แสงเดินทางผ่านตัวกลางท่ีต่างกันจึงทาให้เกิดมุมหักเห ทาให้ทางเดินแสงเปลี่ยนไป เม่ือแสงเข้าสู่ตาทาให้ผู้
มองเห็นภาพท่ีปรากฏไมไ่ ด้อยู่ท่ีตาแหนง่ เดียวกบั วตั ถจุ รงิ ทาให้เกิดปรากฏการณ์ความลึกจรงิ และลึกปรากฏ

ทีม่ า http://ikaen2520.wordpress.com

การคานวณ ความลกึ จรงิ ความลึกปรากฏ
1. การมองเอยี ง

2. การมองตรง

ท่ีมา http://ikaen2520.wordpress.com/1-ฟิสิกส์ ม-4/7-การหักเหของแสง/

ถ้าวตั ถุอยูใ่ นตวั กลาง( nว) ที่มีค่าคา่ ดรรชนีหกั เหแสงมาก ตาผู้สังเกตอยู่ในตวั กลาง( nต) ท่ีมีดรรชนีหัก
เหแสงน้อย ผลคือจะเห็นภาพอยู่ใกล้ผิวรอยต่อตัวกลาง(ถ้าคนอยู่ในอากาศ มองวัตถุที่อยู่ในน้า จะเห็นภาพอยู่
ตื้นกว่าปกติ) ถ้าในทางกลับกันวัตถุอยู่ในตัวกลาง( nว) ท่ีมีค่าค่าดรรชนีหักเหแสงน้อย ตาผู้สังเกตอยู่ใน
ตัวกลาง( nต) ที่มีดรรชนีหักเหแสงมาก ผลคือจะเห็นภาพอยู่ใกลผิวรอยต่อตัวกลางมากขึ้น(ถ้าคนดาน้า มอง
วัตถทุ ่ีอยู่ในอากาศ จะเหน็ ภาพอยสู่ ูงจากผิวน้ามากกวา่ ปกติ)

ท่มี า http://ikaen2520.wordpress.com/1-ฟสิ กิ สม์ -4/7-การหักเหของแสง/

เลนสบ์ าง
เลนส์ ลาแสงขนานอาจทาใหม้ ารวมกันทจี่ ุดรวมแสงได้โดยการหักเห ถ้าหากผิวตัวกลางน้ันมีความโค้ง

ดังรูป เมื่อมีแสงขนานมาตกกระทบผิวโค้งของแท่งแก้วจะมีการหักเหไปรวมกันท่ีจุด F จุด F นี้เรียกว่า จุด
โฟกสั เมอ่ื แทง่ แกว้ มีผิวโคง้ ทั้งสองด้านเรยี กวา่ เลนส์ ( lens ) โดยการใช้กฎของสเนลล์ เราอาจหามุมท่ีเบน ไป
ของทัง้ สองผวิ ได้ แตเ่ พื่อความสะดวกจะพูดถงึ ในกรณขี องเลนสบ์ าง ซึ่งมีที่ใช้ประโยชน์มากมาย

เลนส์บางน้ัน ความหนาของเลนส์น้อยมากเม่ือเทียบกับรัศมีความโค้งและ ทางยาวโฟกัสของเลนส์นั้น
เลนส์จะมีรูปร่างต่างๆกัน เลนส์ท่ีตรงกลางหนากว่าด้านริมเป็น เลนส์นูน รวมแสง และเลนส์ท่ีตรงส่วนกลาง
บางกวา่ ส่วนรมิ เป็น เลนส์เว้า กระจายแสง

ท่มี า http://pirun.ku.ac.th/~fscijsw/Light&device/light/html/body3-5.htm

การเกดิ ภาพของเลนส์บาง –เลนส์บางเม่ือแสงเดินทางผ่านเลนส์จะหักเหน้อยมาก เราจึงคิดเสมือนว่า
ไม่มีการหกั เห
เลนส์เว้า

เลนส์เว้า คือเลนส์ที่มีความหนาขอบเลนส์มากกว่าความหนาตรงกลางอาจทาด้วยแก้วหรือพลาสติกก็
ได้ มีหลายชนิดในตัวกลางหน่ึงๆความยาวโฟกัสของเลนส์เว้ามีค่าเดียวไม่ว่าจะทา ด้านใดของเลนส์รับแสงก็
ตามแต่เมื่อวางเลนส์เว้าไว้ในตัวกลาง ชนิดต่างกัน ความยาวของโฟกัสของเลนส์เว้าจะเปล่ียนไปด้วย คือ ถ้า
ตวั กลางมดี รรชนีหกั เหมากความยาวโฟกัสของเลนส์จะ มากถ้าตัวกลางมีดรรชนีหักเหน้อยความยาวโฟกัสของ
เลนส์ จะมีค่าน้อย เช่น วางเลนส์ในน้าจะมีความยาวโฟกัสมากกว่า เม่ือวางในอากาศ หน้าท่ีของเลนส์เว้า-ทา
หนา้ ทก่ี ระจาย(แสงคลา้ ยกระจกนูน)

ส่วนประกอบของเลนสเ์ ว้า ตามภาพด้านลา่ ง
F1 และ F2 คอื จุดโฟกัสอยู่ด้านหนา้ และหลงั ของเลนส์
เสน้ ท่ลี ากผ่านเลนสใ์ นแนวจุดโฟกัสทงั้ 2 ( F1และF2 ) คือ แกนมขุ สาคัญ
C หรือ2Fเป็นจดุ ศนู ย์กลางความโค้งของผวิ ทัง้ 2เลนส์เว้า
O คือ ตาแหนง่ ของวตั ถุ วางไว้หน้าเลนส์ I คือ ตาแหน่งของภาพท่เี กิดจากวตั ถุ

ที่มา http://pirun.ku.ac.th/~fscijsw/Light&device/light/html/body3-6.htm

ในกรณีท่ีรังสีตกขนานแนวแกนมุขสาคัญ รังสีจะเบนออกแต่เมื่อต่อแนวรังสีเสมือนจะผ่านจุดโฟกัส
หนา้ เลนส์ ( ตามภาพคอื รังสเี ส้นท่ี 1)

กรณีแนวรังสตี กกระทบผ่านจดุ ศนู ยก์ ลางเลนส์ แนวรังสีหักเหจะอยู่แนวเดียวกับรังสีตกกระทบ ( ตาม
ภาพคอื รงั สีเสน้ ท่ี 2 )

กรณีท่ีแนวรังสีตกกระทบผ่านจุดโฟกัสพอดี แนวรังสีหักเหจะขนานแกนมุขสาคัญ ( ตามภาพคือ รังสี
เสน้ ท่ี 3 )
เลนส์นูน

เลนสน์ ูน เป็นตัวกลางโปร่งใสอาจทาดว้ ยแก้วหรือพลาสติกก็ได้โดยความหนาแน่นตรงกลางของเลนส์
นนู จะมากกวา่ ความหนาทีข่ อบมีหลายชนดิ ตามรูป

ในตัวกลางหน่ึงความยาวโฟกัสของเลนส์นูนจะมีเพียงค่าเดียวไม่ว่าในด้านใดรับแสงก็ตาม แต่เม่ือวาง
เลนส์นูนในตัวกลางต่างชนิดกัน ความยาวโฟกัสของเลนส์นูนจะเปลี่ยนไปด้วยคือตัวกลางท่ีมีดรรชนีหักเหมาก
ความยาวโฟกัสของเลนส์จะมคี า่ มาก ถ้าตัวกลางท่ีมีดรรชนีหักเหน้อยความยาวโฟกัส ของเลนส์นูนจะมีค่าน้อย
( เหมอื นกบั กรณีของเลนส์เวา้ ) สาหรับส่วนประกอบของเลนส์นูนก็เชน่ เดียวกับเลนส์เวา้

ทีม่ า http://pirun.ku.ac.th/~fscijsw/Light&device/light/html/body3-7.htm

ในตัวกลางหน่ึงความยาวโฟกัสของเลนส์นูนจะมีเพียงค่าเดียวไม่ว่าในด้านใดรับแสงก็ตาม แต่เมื่อวาง
เลนส์นูนในตัวกลางต่างชนิดกัน ความยาวโฟกัสของเลนส์นูนจะเปล่ียนไปด้วยคือตัวกลางท่ีมีดรรชนีหักเหมาก
ความยาวโฟกัสของเลนส์จะมีคา่ มาก ถ้าตัวกลางท่ีมีดรรชนีหักเหน้อยความยาวโฟกัส ของเลนส์นูนจะมีค่าน้อย
( เหมอื นกบั กรณีของเลนส์เวา้ ) สาหรับส่วนประกอบของเลนส์นูนก็เชน่ เดียวกับเลนสเ์ ว้า

ทมี่ า http://pirun.ku.ac.th/~fscijsw/Light&device/light/html/body3-7.htm

ในกรณีทแี่ นวรงั สีตกขนานแกนมุขสาคัญ แนวรังสีหักเหจริงจะผ่านจุดโฟกัสหลังเลนส์พอดี (รังสีเส้นที่
1) กรณีแนวรังสตี กกระทบผ่านจดุ ศูนยก์ ลางเลนส์ แนวรังสหี ักเหจะอยู่แนวเดยี วกบั รงั สตี กกระทบ(รงั สีเส้นท2ี่ )
กรณแี นวรงั สีตกกระทบผ่านจุดโฟกสั แนวรังสีจะหกั เหขนานแกนมุขสาคัญ(รังสเี ส้นที่3)

การหาตาแหนง่ ชนดิ และลักษณะภาพจากสูตรคานวณ

สูตรความยาวโฟกัส

โดย โฟกัส f เปน็ + สาหรบั เลนส์นูน - สาหรบั เลนส์เว้า

ระยะวัตถุ s เป็น + ท้งั เลนส์นูนและเลนสเ์ วา้

ระยะภาพ s’ เป็น + สาหรับภาพจริง เป็น - สาหรับภาพเสมือน

สูตรกาลงั ขยาย

สรปุ การเกดิ ภาพจากเลนส์บาง

ตารางสรปุ เลนส์นนู

ตาแหน่งของวัตถุ (s) ตาแหนง่ ของภาพ(s') ลกั ษณะของภาพ

s= infinity s'=f ภาพจรงิ เปน็ จุดเลก็ ๆอยหู่ ลงั เลนส์
s>2f s'<f ภาพจริง หัวกลับ ขนาดเล็กกว่าวัตถุ อยู่หลงั เลนส์
s=2f s'<f ภาพจริง หัวกลับ ขนาดเท่าวตั ถุ อยหู่ ลงั เลนส์
2f>s>f s'<f ภาพจรงิ หวั กลบั ขนาดใหญก่ ว่าวัตถุ อยู่หลงั เลนส์
s=f s'<f ระบุภาพไม่ได้
s<f s'<f ภาพเสมือน หัวตั้ง ขนาดใหญ่กว่าวัตถุ อยู่หน้าเลนส์

ภาพจาก เลนส์เว้าจะเป็นภาพเสมือนหัวตั้ง ขนาดเล็กกว่าวัตถุอยู่หน้าเลนส์เสมอ ไม่ว่าระยะวัตถุจะ
เป็นเท่าไรก็ตาม

เลนส์นนู และกระจกเวา้
1. เกดิ ภาพจริงหรือเสมือนก็ได้
2. ภาพจริงหัวกลับอยหู่ ลังเลนส์นนู หรือหน้าเลนสเ์ ว้า
3. ภาพเสมอื นหัวต้ังอยูห่ นา้ เลนสน์ ูนหรอื หลังกระจกเวา้
4. ภาพจริงอาจมีขนาดใหญก่ ว่าวัตถุ เท่ากบั วัตถุหรือเลก็ กว่าวตั ถุกไ็ ด้
5. ภาพเสมอื นมขี นาดใหญก่ วา่ วัตถุ

เลนส์เว้าและกระจกนูน
1. เกิดภาพเสมือน หวั ตั้งอยู่หนา้ เลนสเ์ วา้ หรืออยหู่ ลงั กระจกนนู
2. ภาพเสมือน หวั ตัง้ อยหู่ น้าเลนสเ์ ว้าหรอื อยู่หลงั กระจกนนู
3. ภาพเสมอื นมีขนาดเล็กกวา่ วัตถุ

ใบงานท่ี 16

1. ขอบเขตและเป้าหมายของประเดน็ ทีจ่ ะเรียนรู้ ทนี่ กั เรียนและครกู าหนดร่วมกัน
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
2. แต่ละกลุม่ ไดผ้ ลการสืบค้นเหมอื นกนั หรอื ตา่ งกันอย่างไร เพราะเหตุใด
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
3. ตาแหน่งภาพหรือความลึกปรากฏหาไดอ้ ย่างไร
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
4. ความลึกปรากฏเกีย่ วข้องกบั กฎของสเนลลแ์ ละดรรชนหี ักเหของแสงอยา่ งไร
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
5. ปลาอยู่ในน้าที่ระดับลึกจากผิวน้า 2 เมตร ความลึกปรากฏของปลาเป็นเท่าใด เม่ือผู้สังเกตมองปลาใน
แนวดง่ิ ตรงตัวปลา กาหนดดรรชนีหักเหของน้าเท่ากบั 1
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
6. ในตอนเช้าขณะดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจากขอบฟ้า และตอนเย็นเม่ือดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าไปแล้ว เราก็ยัง
มองไม่เหน็ ดวงอาทิตย์ เพราะเหตุใด
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..

7. ที่ทับกระดาษรูปทรงกลมทาด้วยอาพัน รัศมี 4 cm ดรรชนีหักเหของแสง 1.6 มีดอกไม้เล็ก ๆ สีม่วงอยู่ใน
ทรงกลมบนแนวแกนและหา่ งจากผิวทรงกลม 3 cm เมอื่ มองดดู อกไม้
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
8. ตามแนวแกนของทรงกลม จะมองเห็นภาพดอกไม้อยู่ลึกจากผิวทรงกลมด้านท่ีมองเท่าใด นักกระโดดน้ายืน
บนท่ีกระโดดมองตรงลงไปในสระน้าในแนวดิ่ง เพื่อมองหานาฬิกาอยู่ลึกจากผิวน้า h แต่สระน้าลึก H ถ้าน้ามี
ดรรชนีหกั เห n จงแสดงใหเ้ หน็ ว่า h = H/n
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
9. แนวคิดในการนาความเข้าใจเกี่ยวกบั ความลึกจริงและความลึกปรากฏไปใชป้ ระโยชน์
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
10. สรปุ เกยี่ วกบั ความลึกจริงและความลกึ ปรากฏ
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………..

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 5
รายวิชาฟสิ กิ ส์เพ่มิ เติม (ว30203) เวลา 24 ชัว่ โมง
กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เวลา 3 ชว่ั โมง
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 11 แสงเชิงรงั สี
เร่ือง เลนสบ์ าง

สาระสาคัญ
เลนส์บางทั้งเลนส์นูนและเลนสเ์ วา้ ใช้หลักการของการหักเหแสง
หลกั ทีใ่ ชใ้ นการเขยี นรปู แสดงการเกิดภาพจากเลนสน์ นู
1. เขยี นรงั สีตกกระทบจากปลายวัตถขุ นานกบั แกนมุขสาคญั จะไดร้ ังสหี ักเหผา่ นโฟกสั
2. เขยี นรังสีตกกระทบผ่านศนู ยก์ ลางเลนส์ จะได้รงั สผี ่านเลนส์ออกไปในแนวเดิม
3. เขียนรังสตี กกระทบผ่านโฟกสั รังสจี ะขนานไปกับแกนมขุ สาคัญ
จุดตัดของรงั สีทง้ั สามจะเป็นตาแหนง่ ภาพ
ถา้ รังสีตัดกันจริงหลังเลนสเ์ รียกวา่ ภาพจริงซ่งึ จะเปน็ ภาพหัวกลบั
ถา้ ภาพไมต่ ัดกนั จรงิ แตต่ อ้ งต่อออกมาตัดกนั หนา้ เลนส์เรยี กว่าภาพเสมือนซง่ึ จะเปน็ ภาพหัวต้งั
กาลังขยายของภาพหาได้จาก ขนาดภาพ/ขนาดวตั ถุ หรือระยะภาพ/ระยะวัตถุ
การหาคา่ ความยาวโฟกัสหาไดจ้ าก 1/f = 1/s + 1/s’

สาระการเรยี นรู้
- เลนสบ์ าง

สมรรถนะสาคัญ
1. ความสามารถในการสือ่ สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
1. มวี ินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มงุ่ ม่นั ในการทางาน
4. มีจิตสาธารณะ
5. อย่อู ย่างพอเพียง

จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. ใช้กฎของสเนลล์หาตาแหน่งภาพของวัตถุท่ีเกิดจากการหักเหของแสงท่ีผิวโค้งทรงกลมและผิว

ระนาบ
2. อธบิ ายสว่ นสาคญั ของเลนสแ์ ละรงั สที ่ีผา่ นเลนส์นนู และเลนสเ์ วา้
3.เขียนรังสีของแสงเพื่อหาตาแหนง่ ของภาพท่ีเกดิ จากเลนส์นนู และเลนส์เว้า พร้อมท้ังหาความสัมพันธ์

ระหว่าง ระยะวัตถุ ระยะภาพและความยาวโฟกสั

แนวทางในการบรู ณาการ
บรู ณาการกบั กลมุ่ สาระสงั คมศกึ ษาเรอ่ื งทรพั ยากรธรรมชาติ

กระบวนการจัดการเรยี นรู้
กจิ กรรมนาส่กู ารเรียน

1. ข้นั สรา้ งความสนใจ (15 นาท)ี
1.1 ให้นักเรียนอา่ นหนังสือโดยใช้แว่นสายตาสน้ั และแว่นสายตายาว
1.2 นักเรียนทั้งหมดร่วมกันยกตัวอย่างการเกิดภาพจากเลนส์ต่าง ๆ ร่วมกันอภิปรายลักษณะการ

เกิดภาพ รวมท้ังการนาไปใชป้ ระโยชน์
1.3 ใหน้ กั เรียนร่วมกนั ตัง้ คาถามเกยี่ วกบั สิง่ ทีต่ อ้ งการรู้ จากเน้อื หาทเี่ กี่ยวกับเรื่องเลนสบ์ าง

กจิ กรรมพัฒนาการเรียนรู้
2. ขั้นสารวจและคน้ หา (60 นาท)ี
2.1 แบง่ นกั เรยี นเป็นกลมุ่ ละ 4 คน
2.2 นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ร่วมกนั ศกึ ษาการหักเหของแสงผา่ นเลนส์นนู
2.3 นักเรียนแตล่ ะกล่มุ อภปิ รายร่วมกนั ถงึ การหกั เหของแสงผ่านเลนส์นนู
3. ข้ันอธิบายและลงขอ้ สรปุ (45 นาท)ี
3.1 นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลการศกึ ษาการหักเหของแสงผ่านเลนสน์ ูน
3.2 นกั เรยี นแต่ละกลุ่มได้ผลการศกึ ษาเหมือนกนั หรือตา่ งกนั อย่างไร เพราะเหตใุ ด
3.3 ครูตัง้ คาถามวา่
- กราฟของสว่ นกลบั ของระยะวัตถแุ ละสว่ นกลับของระยะภาพเป็นอย่างไร
- ความชันของกราฟมีค่าเทา่ ใด
- จุดตัดบนแกนต้ังมคี า่ เท่ากับส่วนกลบั ของความยาวโฟกัสหรอื ไม่
- จงสรปุ ความสมั พันธ์ของระยะวัตถุ ระยะภาพ และ ความยาวโฟกัส
- การเขียนรังสีเพอื่ หาตาแหนง่ ภาพจากเลนส์นูนทาอยา่ งไร
- การเขยี นรงั สเี พ่อื หาตาแหน่งภาพจากเลนสน์ ูนทาอยา่ งไร
- เลนส์นูนความยาวโฟกัส 10 cm เม่ือวางวัตถุห่างเลนส์นูน 30 cm ภาพท่ีเกิดขึ้นเป็นภาพ

ชนดิ ใดและอย่ทู ใ่ี ด และถ้าวตั ถอุ ยู่หา่ งเลนสน์ ูน 6 cm ภาพที่เกิดขึน้ เปน็ ภาพชนดิ ใด
- วางวตั ถุที่ยาว 1.4 cm ในแนวตัง้ ฉากกบั แกนมุขสาคัญหน้าเลนส์เว้าความยาวโฟกัส 20 cm

โดยอยหู่ ่างเลนส์ 20 cm ภาพทเี่ กดิ ขึน้ เปน็ ภาพชนิดใด อยู่ห่างเลนส์เท่าใด และมขี นาดเทา่ ใด
- เลนสน์ ูน L1 และ L2 มีความยาวโฟกัส 15 cm และ 30 cm ตามลาดับ อยู่ห่างกัน 20 cm

วางวตั ถุไว้หนา้ เลนส์ L1 หา่ งจากเลนส์ 20 cm จงหาตาแหน่งของภาพสุดท้าย
3.4 นกั เรียนทงั้ หมดร่วมกนั สรุปผลจากการศึกษาการหักเหของแสงผา่ นเลนส์นูน

กจิ กรรมรวบยอด
4. ขน้ั ขยายความรู้ (90 นาท)ี
4.1 ใหน้ กั เรียนเสนอแนวคิดในการแกป้ ญั หาโจทย์เร่ืองเลนส์บาง
4.2 ครถู ามวา่ จงเสนอแนวคิดในการนาความเข้าใจเกย่ี วกับเลนส์บางไปใช้ประโยชน์ 4.3 นักเรียน

แตล่ ะกลุม่ รว่ มกนั สรปุ เชอื่ มโยงความคิดเกยี่ วกับเลนส์บาง
5. ขั้นประเมนิ ผล (30 นาท)ี
5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอ่านบันทึกประสบการณ์เดิม สิ่งที่ต้องการรู้ และขอบเขต

เป้าหมาย แล้วตรวจสอบว่าได้เรียนรู้ตามที่ตั้งเป้าหมายครบถ้วนหรือไม่เพียงใด ถ้ายังไม่ครบถ้วนจะทาอย่างไร
ต่อไป (อาจสอบถามใหค้ รอู ธิบายเพ่ิมเติม สอบถามให้เพอ่ื นอธบิ าย หรอื วางแผนสืบค้นเพิ่มเติม)

5.2 ให้นักเรยี นทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนดา้ นพทุ ธพิ สิ ยั
5.3 ให้นกั เรียนบันทกึ หลังเรียน
5.4 ครใู ห้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ
ใหค้ ะแนน สมดุ บันทกึ รายงานการทดลอง และผลงาน หากขอ้ มลู ไม่เพยี งพอใช้วธิ ีสมั ภาษณเ์ พิม่ เติม

สอ่ื การเรียนรูแ้ ละแหลง่ การเรยี นรู้
1. ชดุ การทดลองการหกั เหของแสงผา่ นเลนส์นูน
2. หนงั สอื แบบเรียนรายวิชาฟิสิกส์ เลม่ 3 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
3. แว่นขยาย
4. ใบงานท่ี 17
4. ใบความรู้ เรือ่ ง เลนส์บาง

การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
1. วิธกี ารวดั และประเมินผล
1.1 สังเกตพฤตกิ รรมการปฏิบัติงานทม่ี อบหมาย
1.2 สังเกตพฤตกิ รรมในการฝึกปฏบิ ัติงานกลุ่ม
1.3 การทาแบบฝึกระหวา่ งเรยี น
1.4 การทาแบบทดสอบหลังเรยี น
2. เคร่อื งมอื การวดั และประเมนิ ผล
2.1 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ตั งิ านทม่ี อบหมาย
2.2 แบบสังเกตพฤติกรรมในการฝกึ ปฏบิ ัตงิ านกล่มุ
2.3 แบบบนั ทึกผลการทาแบบทดสอบหลงั เรียน
3. เกณฑก์ ารวดั และประเมนิ ผล
3.1 กาหนดเกณฑ์ผา่ นการประเมิน 70 %

การบรู ณาการหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง

1. ผสู้ อนใชห้ ลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้

หลักพอเพยี ง พอประมาณ มเี หตุผลทด่ี ี มีภมู คิ มุ้ กันในตวั ทีด่ ี
ประเดน็

กจิ กรรมการเรียนรู้ - มีการวางแผนการจัดกิจ - จัดการเรียนรู้ตรงตาม - มีการวางแผนการจัดกิจ

กรรมด้านต่างๆชัดเจน มีลา มาตรฐานตวั ชีว้ ัด ก ร ร ม อ ย่ า ง ชั ด เ จ น เ ป็ น

ดับข้ันตอน มีการกาหนด ลาดับ

เน้ือหาสาระ จัดกิจกรรม

ผ่านกระบวนการกลมุ่

เวลา - กาหนดเนื้อหาสาระเหมาะ - เพื่อให้กิจกรรมการเรียน - มีการเผ่ือเวลาในการทา

สมกับเวลา กิจกรรมการ การสอนบรรลตุ ัวชี้วัดได้ตาม กิจกรรมแต่ละขั้นเพื่อให้

เรียนรู้ใช้กระบวนการกลุ่ม เวลาท่กี าหนด นักเรียนท่ีมีความสามารถ

นักเรียนทางานได้ทันตาม ต่างกันสามารถทางานให้

เวลาที่กาหนด เสรจ็ ทนั เวลา

สอ่ื - จัดเตรียมและใช้ส่ือในการ - ใชเ้ ครื่องมอื เพ่ือให้นักเรียน - มีลาดับขั้นตอนในการใช้

แหลง่ เรยี นรู้ จัดกิจกรรมการเรียนการ ได้ร่วมอภิปรายในแบบฝึก ส่ือตา่ งๆอยา่ งคมุ้ ค่า

ความรทู้ ่ใี ชใ้ นการจดั สอนเหมาะสมกับจานวน กิจกรรม
กิจกรรมการเรยี นรู้
กลมุ่
คณุ ธรรม
- กาหนดเนื้อหาสาระและ - เพื่อให้การจัดการเรียนรู้ - มีการสืบค้นทางอินเทอร์

กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะ สอดคล้องกับวิถีชีวิตทาให้ เน็ต การค้นคว้าในห้อง

สมกับแหลง่ เรียนรู้ สามารถนาความรู้มาใช้ใน สมุดก่อนจะออกแบบกิจ

ชีวติ ประจาวันได้ กรรมการเรียนรู้ตา่ งๆ

- สืบค้นเทคนิควิธกี ารสอน,รปู แบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

- ศึกษาเนอื้ หาดา้ นตา่ งๆใหช้ ดั เจน

- ศึกษาค้นควา้ และบรู ณาการหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งกับการจัดการเรยี นรู้

- มีความรบั ผดิ ชอบในการปฏบิ ตั ิหน้าทก่ี ารสอน ตรงต่อเวลา เตรียมการสอนลว่ งหน้า

- มีความเมตตา ให้ความเสมอภาค และยตุ ธิ รรมกบั นกั เรียนทกุ คน

- มีความเสียสละ อดทน และใฝ่รู้

2. ผเู้ รยี นมีคุณลกั ษณะ “ อยู่อยา่ งพอเพียง”

พอประมาณ มเี หตุผลที่ดี มีภูมคิ มุ้ กนั ทด่ี ี

- แต่ละกลุ่มแบ่งหน้าท่ีในกลุ่ม - มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเน้ือหา - ฝึกการมีส่วนร่วมในการทางาน

เหมาะสมกับความสามารถและพอ ในเร่ืองท่ีศึกษา สามารถวิเคราะห์ข้อ สรา้ งความสามัคคีในการทางาน

เพียงกบั จานวนสมาชิก มลู ตา่ งๆได้อย่างถูกต้อง

- วางแผนการทางานอยา่ งรอบคอบ - รู้จักทางานร่วมกับผู้อ่ืนโดยใช้กระ

โดยกาหนดเวลาในการทากิจกรรม บวนการกลุ่ม

อยา่ งเหมาะสม

ความรู้ (วิธกี าร) - สบื ค้นขอ้ มูล เพือ่ เสรมิ สร้างความรู้ ความเขา้ ใจ

- ศกึ ษา ค้นควา้ วิธกี ารทาแบบฝึกหดั กิจกรรม และใบงาน

- วิเคราะหข์ อ้ มลู โดยใชท้ ักษะกระบวนการคิด

คณุ ธรรมท่เี กดิ กบั นักเรียน - มีความรับผิดชอบในหน้าท่ี ท่ีได้รับมอบหมาย ทางานด้วยความเรียบร้อย

ถูกต้อง และเสรจ็ ทนั เวลา

- มีความสามัคคีในหมู่คณะ มีวินับเป็นผู้นาและผู้ตามท่ีดีขณะปฏิบัติงานร่วม

กัน

- ร่วมกจิ กรรมการเรยี นรูด้ ว้ ยความกระตือรอื ร้น สนใจ ตง้ั ใจ และใฝเ่ รยี นรู้

3. ผลลพั ธ์ KPA 4 มติ ิ ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับการอยู่อยา่ งพอเพียง

ผลลัพธ์ สมดุลพร้อมต่อการเปลย่ี นแปลงในด้านตา่ งๆ

ด้านวตั ถุ ด้านสงั คม ด้านส่ิงแวดล้อม ดา้ นวัฒนธรรม

ด้านความรู้ - มีความรู้ความเข้าใจ - มีความรู้เก่ียวกับการ - มีความรู้ความเข้าใจ -

เก่ยี วกบั เลนส์บาง ทางานเป็นกลุ่มและการ ธรรมชาติของฟสิ ิกส์

วางแผนร่วมกับผูอ้ ่นื

ด้านทักษะ - มีความสามารถใน - สามารถทางานร่วมกับ - -

การอภิปราย ทาแบบ ผู้อื่นในรูปแบบกลุ่มและ

ฝกึ /ใบงาน มีทักษะในการสร้างปฏิ
สัมพันธก์ บั ผ้อู น่ื

กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนทบทวนโดยค้นคว้าด้วยตนเองและฝึกปฏิบัติเพ่ิมเติม พร้อมทั้งแบบฝึกหัดเพ่ิมเติมจาก

หนังสอื แบบเรยี น

บนั ทึกผลหลังการสอน
ผลการเรียนรู้

………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ปญั หาและอปุ สรรค
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ......................................................ผ้สู อน
(นางสาวกนกวรรณ บุญเกตุ)

ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียนศรีสโมสรวทิ ยา
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื …………………………………………
(นายเมธี วฒั นสิงห์)

ผอู้ านวยการโรงเรยี นศรีสโมสรวทิ ยา

ใบความรู้
เรอ่ื ง เลนส์บาง

เลนสบ์ าง และปรากฏการณข์ องแสง
เลนสบ์ าง

กล้องจุลทรรศน์ กล้องดูดาว และกล้องถ่ายรูป ล้วนเป็นอุปกรณ์ท่ีใช้เลนส์ช่วยในการทาให้เกิดภาพ
โดยใช้หลักการหกั เหของแสง

เลนส์ คอื ตวั กลางโปรง่ ใสทีม่ ีผวิ หน้าเปน็ ผวิ โคง้ ผวิ โค้งของเลนสอ์ าจจะมีรูปร่างเป็นพื้นผิวโค้งทรงกลม
ทรงกระบอก หรอื พาราโบลากไ็ ด้ เลนส์แบบง่ายสดุ เป็นเลนสบ์ างท่ีมีผิวโค้งทรงกลม โดยส่วนหนาสุดของเลนส์
จะมีค่าน้อยเม่ือเทียบกับรัศมีความโค้ง เลนส์แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ เลนส์นูน (Convex lens )กับเลนส์เว้า
(Concave lens )

เลนส์นูน คือ เลนส์ท่ีมีตรงกลางหนากว่าตรงขอบเสมอ เมื่อผ่านลาแสงขนานเข้าหาเลนส์จะทาให้รังสี
ตบี เข้าหากัน และไปตดั กันจริงทีจ่ ดุ โฟกัสจรงิ ( Real focus ) ดงั รูป

เลนสน์ นู สองด้าน ( Double Convex Lens) ดงั รูป a
เลนส์นูนแกมราบ ( Plano Convex Lens) ดังรูป b
เลนส์นูนแกมเวา้ ( Concavo Convex Lens) ดงั รปู c

เลนส์เว้า คือ เลนส์ที่มีตรงกลางบางกว่าตรงขอบเสมอ เม่ือผ่านลาแสงขนานเข้าหาเลนส์จะทาให้รังสี
ถา่ งออกจากกันและ ถา้ ตอ่ แนวรงั สี จะพบวา่ รงั สีจะไปตัดกันทีจ่ ุดโฟกัสเสมือน ( Virtual focus ) ดงั รปู

เลนสเ์ วา้ 2 ด้าน ( Double Concave Lens ) ดงั รูป a
เลนส์เวา้ แกมราบ ( Plano Concave Lens) ดังรูป b
เลนสเ์ วา้ แกมนูน ( Convexo Concave Lens ) ดังรูป c

ส่วนประกอบทสี่ าคญั ของเลนส์
เลนสน์ ูน ดังรปู

– แกนมุขสาคญั ( Principle Axis ) ของเลนส์ ( C1C2 ) คือเส้นตรงที่ลากผ่านจดุ ศนู ยก์ ลางความโคง้
– จุดโฟกสั ของเลนสน์ ูน ( Principle Focus ,จดุ F) คือ จุดที่รังสีขนานเดิมตบี ไปตดั กนั
– Optical Center ของเลนส์ ( จดุ O) คือ จดุ ที่อยบู่ นแกนมขุ สาคัญ ซึ่งรังสีเม่ือผ่านเข้าเลนส์และผ่าน
จุดน้ีแลว้ แสงทผี่ า่ นออกมาจะมีแนวขนานกบั รังสเี ดิม
– จุดโฟกัสจริง เป็นจุดท่ีอยู่บนแกนมุขสาคัญของเลนส์นูน ลาแสงขนานเม่ือผ่านเลนส์นูนจะหักเหไป
ตัดกันจรงิ ที่จุดโฟกสั ซงึ่ อยูใ่ นดา้ นตรงขา้ มกบั วตั ถุ
– จุดโฟกัสเสมือน เป็นจุดท่ีอยู่บนแกนมุขสาคัญของเลนส์เว้า ลาแสงขนานเมื่อผ่านเลนส์เว้าจะหักเห
ออกจากกนั โดยมแี นวรงั สีเสมอื นไปตดั กันท่ีจุดโฟกัสเสมอื น ซึง่ อยดู่ ้านเดียวกับวัตถุ
– ความยาวโฟกัส (f ) คือ ระยะจากจดุ โฟกัสถงึ จดุ Optical Center ดังรูปดา้ นบน

วิธีเขยี นทางเดินแสงเพอ่ื หาตาแหน่งภาพของวตั ถุ ของเลนสท์ ั้งสอง มีข้นั ตอนดังนี้
– จากวัตถุลากรังสีขนานกับแกนมุขสาคัญ ตกกระทบกับเลนส์ แล้วหักเหผ่านจุดโฟกัส
– จากวตั ถลุ ากรังสผี า่ นจุด Optical Center แล้วต่อรังสีให้ตัดกับรังสีในขั้นตอนแรกตาแหน่งที่รังสีตัด

กัน คือ ตาแหน่งภาพ ดังรปู

ภาพท่เี กิดจากเลนส์นนู ภาพทเี่ กดิ จากเลนสเ์ วา้

สงั เกตไดว้ ่า ภาพท่เี กิดจากเลนส์นูนเป็นได้ทั้งภาพจริงและภาพเสมือน ส่วนภาพท่ีเกิดข้ึนจากเลนส์เว้า

เป็นภาพเสมอื นเท่านัน้

สูตรท่ใี ช้ในการคานวณ

ปรากฏการณท์ เ่ี กยี่ วกับแสง
การกระจายแสง (dispersion of light)

1. เมื่อแสงขาว สอ่ งผา่ นปรซิ มึ สามเหล่ียม แสงจะเกิดการหักเห 2 ครั้ง
1) หักเหจากอากาศไปปริซึม
2) หักเหจากปรซิ ึมไปอากาศ

2. เม่ือแสงขาวเกดิ การหักเห
1) แสงขาวจะแยกออกเป็นแถบสี 7 สี คือ ม่วง คราม น้าเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เรียกแถบ

ท้ัง 7 สีวา่ สเปกตรมั ของแสงขาว (spectrum of white light)
2) ปรากฏการณ์ท่เี กดิ ข้ึนเรียกวา่ การกระจายแสง
3. การที่แสงแต่ละสีมีการหักเหท่ีผิวรอยต่อระหว่างคู่เดียวกันไม่เท่ากัน แสดงว่า มีดัชนีของ

ตัวกลางเน้ือเดียวกนั ของแสงแต่ละสีไม่เท่ากนั
4. มุมทีร่ ังสีหกั เหออกจากปริซมึ ทากับรงั สีตกกระทบทีผ่ วิ แรกของปริซึม เรียกวา่ มมุ เบ่ียงเบน (n)

รุ้ง
รุ้ง คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดจากการกระจายของแสง ซึ่งอาจจะเห็นก่อนหรือหลังฝนตก เกิดจากการท่ี

แสงส่องผ่านละอองแล้วเปิดการกระจายแสงและสะท้อนกลับหมด ทาให้ได้สเปกตรัมของแสงขาวแล้วหักเห
ออกส่อู ากาศเขา้ ส่ตู าคน แบง่ ได้ 2 ชนิด

1. รุ้งปฐมภูมิ (primary rainbow) เกิดจากแสงตกกระทบหยดน้า ทางขอบบน เกิดการหักเห 2 คร้ัง
สะท้อนกลับหมด 1 ครัง้ โดยจะเหน็ เปน็ สตี ่าง ๆ กนั มีสแี ดงอยูบ่ นและมสี ี มว่ งอยู่ล่างสดุ

2. รุ้งทุติยภูมิ (secondary rainbow) เกิดจากแสงตกกระทบหยด น้าทางขอบล่าง เกิดการหักเห 2
คร้งั สะท้อนกลบั หมด 2 คร้งั โดยจะเห็นเป็นสีตา่ ง ๆ กนั มสี มี ่วงอยู่บนและมี สีแดงอยูล่ า่ งสุด

มริ าจ
มิราจ คือ ปรากฏการณ์ท่ีเกิดจากการหักเหของแสงในบรรยากาศช้ันต่างๆ เนื่องจากความหนาแน่น

ของอากาศในชน้ั ต่างๆไม่เทา่ กัน และแตกตา่ งกันมาก เช่น การเห็นต้นไม้อยู่ใต้พ้ืนทราย การเห็นน้าท่วมบนพ้ืน
ถนนในขณะอากาศรอ้ นท้ังๆที่พืน้ ถนนแห้ง

ใบงานท่ี 17

1. ขอบเขตและเป้าหมายของประเด็นท่ีจะเรียนรู้ ท่นี ักเรียนและครกู าหนดรว่ มกัน
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
2. ผลการทดลองการหักเหของแสงผา่ นเลนสน์ ูน
ปญั หา………………………………………………………………………………………………..........................................................
สมมติฐาน…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตัวแปรตน้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตัวแปรตาม…………………………………………………………………………………………........................................................
ตัวแปรควบคมุ ………………………………………………………………………………………………………………………………………
วิธที ดลอง…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
ผลการทดลอง

3. แตล่ ะกลุ่มได้ผลการศกึ ษาเหมือนกนั หรือตา่ งกนั อย่างไร เพราะเหตใุ ด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
4. กราฟของส่วนกลับของระยะวัตถแุ ละส่วนกลับของระยะภาพเปน็ อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….

5. ความชนั ของกราฟมีคา่ เท่าใด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
6. จดุ ตัดบนแกนต้งั มีค่าเทา่ กบั สว่ นกลับของความยาวโฟกัสหรอื ไม่
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
7. สรุปผลการทดลองการหักเหของแสงผ่านเลนส์นูน ด้านความสัมพันธ์ของระยะวัตถุ ระยะภาพ และ ความ
ยาวโฟกัส
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
8. การเขียนรังสเี พือ่ หาตาแหนง่ ภาพจากเลนส์นนู ทาอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
9. การเขยี นรังสเี พือ่ หาตาแหน่งภาพจากเลนสน์ นู ทาอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
10. เลนส์นูนความยาวโฟกัส 10 cm เมื่อวางวัตถุห่างเลนส์นูน 30 cm ภาพที่เกิดข้ึนเป็นภาพชนิดใดและอยู่ท่ี
ใด และถา้ วตั ถุอยูห่ า่ งเลนสน์ นู 6 cm ภาพที่เกิดข้นึ เปน็ ภาพชนิดใด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
11. วางวัตถุท่ียาว 1.4 cm ในแนวต้ังฉากกับแกนมุขสาคัญหน้าเลนส์เว้าความยาวโฟกัส 20 cm โดยอยู่ห่าง
เลนส์ 20 cm ภาพท่ีเกดิ ขึน้ เปน็ ภาพชนดิ ใด อยหู่ า่ งเลนส์เท่าใด และมีขนาดเทา่ ใด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….

12. เลนส์นนู L1 และ L2 มีความยาวโฟกสั 15 cm และ 30 cm ตามลาดับ อยู่หา่ งกนั 20 cm วางวัตถุไว้หน้า
เลนส์ L1 หา่ งจากเลนส์ 20 cm จงหาตาแหน่งของภาพสุดทา้ ย
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
13. รงั สีของแสงเบนเขา้ หากนั ทีจ่ ุด A ถา้ นาเลน์วางทจ่ี ุด B รังสีของแสงคู่น้ีจะเบนไปพบกันท่ีจุด C ดังรูป เลนส์
ทนี่ าไปวางเป็นเลนสช์ นิดใด จงเขียนทางเดินของแสงประกอบ
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
14. ลาแสงสีเดียวส่องขนานเข้าไปในกล่องดังรูป จงหาเลนส์ไปวางในกล่องเพื่อให้เกิดผลดังรูป อาจใช้มากกว่า
1 อนั กไ็ ด้
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
15. จงเขยี นแผนภาพแสดงการเกดิ ภาพ เม่อื วัตถุอยหู่ นา้ เลนสน์ นู และเลนสเ์ วา้ ที่ระยะตา่ ง ๆ

- s > 2f
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….

- s = 2f
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….

- s< 2f
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….

- f < s < 2f
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….

-s=f
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….

-s<f
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
16. วัตถุสูง 2.0 cm อยหู่ า่ งเลนส์นนู 20.0 cm เกิดภาพจริงห่างจากเลนส์ 10.0 cm

- จงเขียนภาพทางเดนิ แสง
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….

- จงหาความยาวโฟกัสของเลนสน์ นู
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….

- จงหาขนาดภาพ
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….


Click to View FlipBook Version