17. วัตถสุ ูง 3.0 cm อยหู่ า่ งเลนสเ์ วา้ 15.0 cm เกดิ ภาพหา่ งจากเลนส์เวา้ 10.0 cm
- จงเขยี นภาพทางเดินแสง
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
- จงหาความยาวโฟกสั ของเลนส์เว้า
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ 5 ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 5
รายวชิ าฟิสกิ สเ์ พมิ่ เติม (ว30203) เวลา 24 ช่วั โมง
กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ เวลา 3 ช่ัวโมง
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 11 แสงเชงิ รังสี
เรื่อง ปรากฏการณ์เกี่ยวกบั แสง
สาระสาคัญ
เมื่อแสงเดินทางผ่านปริซึมจะเกิดการหักเหด้วยมุมเบี่ยงเบนเข้าไปในปริซึมแล้วหักเหออกมาอีกครั้ง
หนึ่งมองเห็นเป็นสเปกตรมั ของแสงขาว
เมื่อให้แสงเดินทางผ่านตัวกลาง 2 ชนิดที่มีค่าดรรชนีหักเหไม่เท่ากัน ถ้ามุมตกกระทบมีค่ามากพอรังสี
ของแสงจะหักเหไปตามแนวรอยต่อระหว่างตวั กลาง เรียกมุมตกกระทบนี้ว่ามุมวิกฤต และถ้ามุมตกกระทบโตก
ว่ามุมวกิ ฤตจะเกิดปรากฏการณ์การสะทอ้ นกลับหมด
การหาคา่ ตา่ ง ๆ ในการสะทอ้ นกลับหมดใชก้ ฎของสเนลล์ได้ ดังน้ี
n1sin1 = n2sin2
การสะท้อนกลับหมดนาไปใชส้ รา้ งเส้นใยนาแสง
รุ้งเกดิ การหกั เหของแสงผา่ นหยดนา้ เล็ก ในอากาศ มี 2 ชนิด คอื รงุ้ ปฐมภูมซิ ่ึงจะเกดิ อย่ใู ตร้ ุง้ ทตุ ยิ ภูมิ
มิราจเกิดจากการหกั เหของแสงในบรรยากาศชั้นต่าง ๆ ที่มีความหนาแน่นแต่ละช้ันไม่เท่ากัน หรือเกิด
กลางทะเลทราย หรือกลางถนนที่รอ้ นจัด
สาระการเรียนรู้
-ปรากฏการณ์เกี่ยวกับแสง
สมรรถนะสาคญั
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
1. มีวนิ ัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. ม่งุ ม่นั ในการทางาน
4. มจี ิตสาธารณะ
5. อยู่อยา่ งพอเพยี ง
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
อธิบายปรากฏการณ์การกระจายแสง การสะทอ้ นกลบั หมดของแสง ร้งุ มิราจ
แนวทางในการบูรณาการ
บูรณาการกบั กลุ่มสาระสงั คมศึกษาเรือ่ งทรพั ยากรธรรมชาติ
กระบวนการจัดการเรยี นรู้
กจิ กรรมนาสู่การเรยี น
1. ขั้นสร้างความสนใจ (15 นาท)ี
1.1 ให้นักเรยี นดแู สงท่ีผา่ นออกมาจากปริซึมมากระทบฉากขาว
1.2 นักเรียนท้ังหมดร่วมกันยกตัวอย่างปรากฏการณ์การเกิดรุ้งกินน้าและมิราจ ร่วมกันอภิปราย
ลกั ษณะการเกิดภาพ รวมท้งั การนาไปใชป้ ระโยชน์
1.3 ให้นักเรียนร่วมกันต้ังคาถามเก่ียวกับสิ่งท่ีต้องการรู้ จากเน้ือหาท่ีเกี่ยวกับเร่ืองปรากฏการณ์
เกี่ยวกบั แสง
กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้
2. ขนั้ สารวจและค้นหา (60 นาท)ี
2.1 แบ่งนกั เรยี นเปน็ กลุม่ ละ 4 คน
2.2 นักเรยี นแต่ละกลมุ่ รว่ มกนั สบื คน้ ปรากฏการณ์เก่ยี วกบั แสง
2.3 นักเรียนแตล่ ะกลุ่มอภิปรายร่วมกันถงึ ปรากฏการณ์เก่ียวกบั แสง
3. ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ (45 นาท)ี
3.1 นักเรยี นแตล่ ะกลุม่ นาเสนอผลการสบื ค้นปรากฏการณ์เก่ยี วกับแสง
3.2 นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ได้ผลการสบื คน้ เหมอื นกนั หรือตา่ งกนั อย่างไร เพราะเหตุใด
3.3 ครูตง้ั คาถามวา่
- เหตุใดแสงแต่ละสจี ึงเบยี่ งเบนต่างกนั เมอื่ ผ่านปรซิ ึม แสงสีใดเบย่ี งเบนน้อยทส่ี ุด
- มมุ วิกฤตและการสะท้อนกลบั หมดเปน็ อยา่ งไร
- จากรูป จงหามุมวกิ ฤตขิ องแทง่ พลาสตกิ ดรรชนีหักเห 1.5
- แสงเดนิ ทางไปตามเส้นใยนาแสงได้อย่างไร
- รุง้ ปฐมภมู กิ บั รงุ้ ทุติยภมู ิแตกต่างกนั อยา่ งไร
- มิราจคอื อะไร
3.4 นกั เรียนทั้งหมดร่วมกนั สรุปผลจากการสืบค้นปรากฏการณ์เก่ยี วกับแสง
กจิ กรรมรวบยอด
4. ขนั้ ขยายความรู้ (90 นาท)ี
4.1 ใหน้ ักเรียนเสนอแนวคิดในการแกป้ ญั หาโจทย์เรอ่ื งปรากฏการณเ์ กีย่ วกับแสง
4.2 ครูถามว่า จงเสนอแนวคิดในการนาความเข้าใจเก่ียวกับปรากฏการณ์เก่ียวกับแสงไปใช้
ประโยชน์
4.3 นักเรียนแตล่ ะกลุม่ ร่วมกันสรปุ เชื่อมโยงความคดิ เกี่ยวกับปรากฏการณเ์ กยี่ วกบั แสง
5. ข้ันประเมินผล (30 นาท)ี
5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอ่านบันทึกประสบการณ์เดิม สิ่งท่ีต้องการรู้ และขอบเขต
เป้าหมาย แลว้ ตรวจสอบว่าได้เรียนรู้ตามที่ตั้งเป้าหมายครบถ้วนหรือไม่เพียงใด ถ้ายังไม่ครบถ้วนจะทาอย่างไร
ตอ่ ไป (อาจสอบถามให้ครูอธิบายเพม่ิ เติม สอบถามใหเ้ พือ่ นอธบิ าย หรือวางแผนสบื คน้ เพ่ิมเติม)
5.2 ใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนด้านพุทธพิ สิ ัย
5.3 ใหน้ ักเรียนบนั ทึกหลงั เรียน
5.4 ครูให้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ
ใหค้ ะแนน สมดุ บันทึก รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมลู ไม่เพียงพอใช้วิธีสมั ภาษณเ์ พมิ่ เตมิ
ส่อื การเรียนรแู้ ละแหล่งการเรยี นรู้
1. ของเล่นทที่ าจากเส้นใยนาแสง
2. หนังสอื แบบเรียนรายวิชาฟิสิกส์ เล่ม 3 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560)
3. ใบงานที่ 18
4. ใบความรู้ เร่ือง ปรากฏการณ์เกีย่ วกบั แสง
การวดั และประเมินผลการเรียนรู้
1. วิธีการวัดและประเมินผล
1.1 สังเกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัติงานทมี่ อบหมาย
1.2 สงั เกตพฤติกรรมในการฝึกปฏบิ ตั งิ านกลุ่ม
1.3 การทาแบบฝกึ ระหวา่ งเรียน
1.4 การทาแบบทดสอบหลงั เรยี น
2. เครือ่ งมอื การวัดและประเมนิ ผล
2.1 แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติงานทม่ี อบหมาย
2.2 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมในการฝึกปฏิบัตงิ านกล่มุ
2.3 แบบบันทึกผลการทาแบบทดสอบหลังเรียน
3. เกณฑ์การวัดและประเมินผล
3.1 กาหนดเกณฑผ์ า่ นการประเมนิ 70 %
การบูรณาการหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง
1. ผู้สอนใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
หลกั พอเพียง พอประมาณ มเี หตผุ ลที่ดี มภี มู ิค้มุ กนั ในตวั ทด่ี ี
ประเดน็
กิจกรรมการเรียนรู้ - มีการวางแผนการจัดกิจ - จัดการเรียนรู้ตรงตาม - มีการวางแผนการจัดกิจ
กรรมด้านต่างๆชัดเจน มีลา มาตรฐานตวั ชวี้ ดั ก ร ร ม อ ย่ า ง ชั ด เ จ น เ ป็ น
ดับขั้นตอน มีการกาหนด ลาดบั
เน้ือหาสาระ จัดกิจกรรม
ผ่านกระบวนการกลมุ่
เวลา - กาหนดเน้ือหาสาระเหมาะ - เพ่ือให้กิจกรรมการเรียน - มีการเผื่อเวลาในการทา
สมกับเวลา กิจกรรมการ การสอนบรรลุตัวชี้วัดได้ตาม กิจกรรมแต่ละข้ันเพื่อให้
เรียนรู้ใช้กระบวนการกลุ่ม เวลาที่กาหนด นักเรียนที่มีความสามารถ
นักเรียนทางานได้ทันตาม ต่างกันสามารถทางานให้
เวลาท่ีกาหนด เสรจ็ ทนั เวลา
สอ่ื - จัดเตรียมและใช้ส่ือในการ - ใช้เคร่ืองมอื เพ่อื ให้นักเรียน - มีลาดับขั้นตอนในการใช้
จัดกิจกรรมการเรียนการ ได้ร่วมอภิปรายในแบบฝึก สอ่ื ตา่ งๆอยา่ งคุ้มคา่
สอนเหมาะสมกับจานวน กิจกรรม
กลมุ่
แหลง่ เรยี นรู้ - กาหนดเนื้อหาสาระและ - เพื่อให้การจัดการเรียนรู้ - มีการสืบค้นทางอินเทอร์
กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะ สอดคล้องกับวิถีชีวิตทาให้ เน็ต การค้นคว้าในห้อง
สมกบั แหล่งเรียนรู้ สามารถนาความรู้มาใช้ใน สมุดก่อนจะออกแบบกิจ
ชีวติ ประจาวนั ได้ กรรมการเรยี นรตู้ ่างๆ
ความรทู้ ่ใี ชใ้ นการจัด - สบื คน้ เทคนคิ วิธีการสอน,รูปแบบการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
กจิ กรรมการเรยี นรู้
- ศึกษาเนื้อหาด้านตา่ งๆให้ชัดเจน
คณุ ธรรม
- ศึกษาคน้ ควา้ และบูรณาการหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งกบั การจัดการเรยี นรู้
- มคี วามรับผดิ ชอบในการปฏิบตั ิหน้าท่ีการสอน ตรงต่อเวลา เตรยี มการสอนล่วงหน้า
- มคี วามเมตตา ให้ความเสมอภาค และยตุ ิธรรมกบั นกั เรียนทุกคน
- มีความเสยี สละ อดทน และใฝร่ ู้
2. ผ้เู รียนมีคุณลกั ษณะ “ อยู่อยา่ งพอเพียง”
พอประมาณ มีเหตผุ ลทดี่ ี มภี มู คิ มุ้ กันทีด่ ี
- แต่ละกลุ่มแบ่งหน้าที่ในกลุ่ม - มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเน้ือ - ฝึกการมีส่วนร่วมในการทางาน
เหมาะสมกับความสามารถและพอ หาในเรื่องท่ีศึกษา สามารถวิเคราะห์ สร้างความสามคั คีในการทางาน
เพียงกับจานวนสมาชกิ ขอ้ มลู ต่างๆได้อย่างถูกต้อง
- วางแผนการทางานอย่างรอบคอบ - รู้จักทางานร่วมกับผู้อ่ืนโดยใช้กระ
โดยกาหนดเวลาในการทากิจกรรม บวนการกลุม่
อย่างเหมาะสม
ความรู้ (วธิ กี าร) - สบื ค้นขอ้ มลู เพื่อเสรมิ สรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจ
- ศึกษา ค้นคว้าวธิ ีการทาแบบฝึกหดั กิจกรรม และใบงาน
- วเิ คราะห์ข้อมลู โดยใช้ทักษะกระบวนการคดิ
คณุ ธรรมท่เี กดิ กบั นักเรยี น - มีความรับผิดชอบในหน้าท่ี ที่ได้รับมอบหมาย ทางานด้วยความเรียบร้อย
ถกู ตอ้ ง และเสรจ็ ทนั เวลา
- มีความสามัคคีในหมู่คณะ มีวินับเป็นผู้นาและผู้ตามที่ดีขณะปฏิบัติงานร่วม
กัน
- ร่วมกจิ กรรมการเรียนรูด้ ้วยความกระตอื รือร้น สนใจ ตั้งใจ และใฝ่เรยี นรู้
3. ผลลพั ธ์ KPA 4 มิติ ท่เี ก่ียวขอ้ งกับการอยอู่ ย่างพอเพียง
ผลลพั ธ์ สมดลุ พร้อมต่อการเปลยี่ นแปลงในด้านต่างๆ
ด้านวัตถุ ด้านสงั คม ดา้ นส่งิ แวดล้อม ดา้ นวัฒนธรรม
ดา้ นความรู้ - มีความรู้ความเข้าใจ - มคี วามรู้เก่ยี วกับการ - มีความรู้ความเข้าใจ -
เกี่ยวกับปรากฏการณ์ ทางานเป็นกลุ่มและ ธรรมชาติของฟิสกิ ส์
เกย่ี วกบั แสง การวางแผนร่วมกับผู้
อน่ื
ด้านทักษะ - มีความสามารถในการ - สามารถทางานร่วม - -
อภิปราย ทาแบบฝึก/ใบ กับผู้ อ่ืน ใน รูป แบ บ
งาน กลุ่มและมีทักษะใน
การสร้างปฏิสัมพันธ์
กบั ผอู้ น่ื
กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนทบทวนโดยค้นคว้าด้วยตนเองและฝึกปฏิบัติเพิ่มเติม พร้อมท้ังแบบฝึกหัดเพ่ิมเติมจาก
หนงั สือแบบเรยี น
บนั ทึกผลหลังการสอน
ผลการเรียนรู้
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ปญั หาและอปุ สรรค
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ......................................................ผู้สอน
(นางสาวกนกวรรณ บุญเกตุ)
ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียนศรีสโมสรวทิ ยา
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื …………………………………………
(นายเมธี วฒั นสิงห์)
ผอู้ านวยการโรงเรยี นศรีสโมสรวทิ ยา
ใบความรู้
เรอ่ื ง ปรากฏการณเ์ ก่ียวกับแสง
ปรากฏการณ์ทเ่ี กย่ี วกบั แสง
1. การกระจายของแสง (Dispersion of light) เมื่อฉายแสงขาวจากหลอดไฟประเภทจุดไส้สว่าง
หรือแสงจากดวงอาทิตย์ให้ผ่านปริซึม แสงขาวจะกระจายออกเป็นแสงสีต่างๆ เรียงตามลาดับความถ่ีมากไป
น้อย คือ ม่วง คราม น้าเงิน เขียว เหลือง ส้ม และ แดง แถบของแสงสีที่กระจายออกจากแสงขาว เรียกว่า
สเปกตรมั ของแสงขาว (Spectrum of white light)
ในการกระจายของแสง แสงสีต่างๆ จะมีมุมหักเหแตกต่างกันโดยแสงสีแดงซึ่งมีพลังงานต่าสุด
ความสามารถในการหกั เหจงึ น้อยมมุ หกั เหจงึ มีคา่ มากสดุ ทาใหม้ มุ เบี่ยงเบนของแสงสีแดงมีคา่ นอ้ ยทส่ี ุด ดงั รปู
ภาพแสดงการกระจายของแสงขาวเปน็ แสงสตี า่ งๆ
2. ร้งุ กนิ น้า (Rainbow)
ภาพแสดงรงุ้ กนิ นา้ ปฐมภูมิ (วงใน) และรุง้ ทตุ ยิ ภมู ิ (วงนอก)
รุ้งปฐมภูมิ เป็นรุ้งตัวล่าง เกิดจากแสงขาวส่องทางด้านบนของละอองน้า เกิดการหักเห สะท้อนกลับ
และหักเหออกส่อู ากาศเข้าสู่นยั น์ตาของผูส้ งั เกต รงุ้ ปฐมภูมิน้ีจะเหน็ สีม่วงอยดู่ า้ นบน สีแดงอยดู่ ้านล่าง
รงุ้ ทุติยภูมิภมู ิ เป็นรุ้งตัวบน เกดิ จากแสงขาวสอ่ งทางดา้ นลา่ งของละอองน้า เกิดการหักเหสะท้อนกลับ
หมด 2 คร้ัง แล้วหักเหออกสู่อากาศเข้าสู่นัยน์ตาของผู้สังเกต รุ้งทุติยภูมินี้จะเห็นสีแดงอยู่ข้างบน สีม่วงอยู่
ข้างล่าง
ภาพแสดงการเกิดรุ้งปฐมภูมิ (ซ้าย) และทุตยิ ภมู ิ (ขวา)
3. พระอาทติ ย์ทรงกลด ( Sun Halo )
ภาพ แสดงพระอาทติ ย์ทรงกลด (Sun halo)
ปรากฏการณ์พระอาทิตยท์ รงกลด เกดิ ขึน้ จากบรรยากาศของโลกในช้ันโทรโพสเฟียร์ (Troposphere)
ซึ่งเป็นบรรยากาศช้ันล่างสุด และเป็นท่ีอยู่ของกลุ่มเมฆจานวนมาก มีอากาศเย็นจัดต้ังแต่ช่วงเช้าตรู่ก่อนดวง
อาทิตย์ข้ึน จนทาให้ละอองน้าในอากาศ ณ เวลานั้นๆ แข็งตัวเป็นเกล็ดน้าแข็งอนุภาคเล็กๆ จานวนมหาศาล
ลอยอยู่บนท้องฟ้า เมื่อพระอาทิตย์ข้ึน และส่องแสงทามุมกับเกล็ดน้าแข็งได้อย่างเหมาะสม จะเกิดการหักเห
และการสะท้อนของแสง ทาให้เกิดเปน็ แถบสีร้งุ (spectrum) คลา้ ยการเกดิ รุ้งกินนา้ หลงั ฝนตกขึ้น
สว่ นแสงสีทต่ี ามองเห็นนนั้ จะข้ึนกบั การทามุมของแสงอาทิตย์และเกล็ดน้าแข็ง แต่โดยทั่วไปเรามักจะ
เหน็ เป็นแสงสีเหลอื งออ่ นๆ มากที่สดุ ถ้าเกิดจากการสะทอ้ นของแสงจะปรากฏเปน็ สีเขียว แต่ถ้าเกิดจากการหัก
เหของแสงจะเป็นสแี ดงเพลิงในตอนกลาง และเปน็ สีนา้ เงินปนแดงตามขอบนอก
ขนาดของพระอาทิตย์ทรงกลดจะมีขนาดแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนมากจะมีขนาดเฉลี่ย 30 องศา
โดยการลากเส้นตรง 2 เส้น มาบรรจบกันที่ดวงตาผู้มอง ได้แก่ เสน้ ตรงที่ลากจากกง่ึ กลางของปรากฏการณ์มาที่
ตาผมู้ อง และเส้นตรงทล่ี ากจากขอบของปรากฏการณ์มาทด่ี วงตาผู้มอง บางคร้ังเกล็ดน้าแข็งของละอองไอน้า
เหล่าน้ี จะทาหน้าท่ีหักเหทางเดินของแสงอาทิตย์ และก่อให้เกิดภาพขยายขึ้น เช่นเดียวกับที่กระจกหรือเลนส์
นนู ทาใหเ้ กดิ ภาพขยาย
4. มริ าจ (Mirage)
ภาพ แสดงการเกดิ มริ าจ (Mirage) บนท้องถนน
มิราจเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากแสงจากท้องฟ้า หักเหและสะท้อนกลับหมดจากช้ันของอากาศร้อน
บนพื้นดิน ท่ีเปน็ เช่นนี้เพราะในขณะทีแ่ สงแดดรอ้ นจัดอากาศทีใ่ กล้ผวิ ถนนจะมีอุณหภูมสิ งู กว่า
- อากาศที่อยสู่ งู จากผวิ ถนนขนึ้ ไป อากาศทอี่ ยใู่ กลผ้ ิวถนนจงึ มีความหนาแน่นน้อยกวา่
- อากาศทอ่ี ยู่สงู จากผวิ ถนนขนึ้ ไป ความหนาแน่นของอากาศทีแ่ ตกตา่ งกัน
จงึ เปรยี บเสมือนตวั กลางที่แตกต่างกันดงั น้ันเมอื่ แสงจากทอ้ งฟ้าเดนิ ทางผ่านความหนาแน่นของอากาศ
ทีแ่ ตกตา่ งกนั แสงจึงเกิดการหักเหได้ และเม่ือมุมตกกระทบโตกว่ามุมวิกฤต จงึ เกิดการสะทอ้ นกลับหมด
ใบงานท่ี 18
1. ขอบเขตและเปา้ หมายของประเดน็ ทจี่ ะเรยี นรู้ ที่นักเรยี นและครูกาหนดรว่ มกัน
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
2. แตล่ ะกลุ่มไดผ้ ลการสืบค้นเหมือนกันหรอื ต่างกันอย่างไร เพราะเหตใุ ด
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
3. เหตใุ ดแสงแตล่ ะสีจงึ เบ่ยี งเบนต่างกันเม่อื ผา่ นปรซิ มึ แสงสีใดเบย่ี งเบนนอ้ ยทีส่ ุด
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
4. มุมวิกฤตและการสะทอ้ นกลบั หมดเป็นอยา่ งไร
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
5. จากรปู จงหามมุ วิกฤติของแทง่ พลาสติก ดรรชนีหกั เห 1.5
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
6. แสงเดนิ ทางไปตามเสน้ ใยนาแสงได้อยา่ งไร
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
7. รุ้งปฐมภูมิกับรงุ้ ทตุ ิยภูมิแตกต่างกนั อย่างไร
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
8. มิราจคอื อะไร
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
9. จงหามุมวิกฤตของเพชร เมอ่ื แสงผา่ นจากเพชรไปยงั น้า กาหนดดรรชนีหักเหของเพชรและน้ามีค่า 2.42 และ
1.33
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
10. จงหามุมวิกฤตในน้าซึ่งมีดรรชนีหักเหเท่ากับ 1.33 ขณะแสงผ่านจากน้าสู่อากาศแสงทามุมตกกระทบบน
ด้านของแท่งปริซึมสามเหล่ียมมุมฉากที่ A แล้วหักเหเข้าไปในแท่งปริซึม และเม่ือแสงกระทบผิวปริซึมที่ B จะ
หกั เหเปน็ มุม 90 องศา
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…….…………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 6 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5
รายวชิ าฟิสกิ ส์เพมิ่ เติม (ว30203) เวลา 24 ช่วั โมง
กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ เวลา 3 ชวั่ โมง
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 11 แสงเชิงรังสี
เร่อื ง ทัศนอุปกรณ์
สาระสาคญั
เครื่องฉายภาพนิ่ง อาศัยหลักการของการรวมแสงไฟกาลังสูงด้วยเลนส์กาบกล้วย แล้วส่องผ่านแผ่น
สไลด์ เพ่อื ส่งผ่านเลนส์นูนไปเกิดภาพบนฉาก
กล้องถา่ ยรูป อาศยั หลักการท่ีเลนส์นูนรับภาพจากวัตถุที่อยู่ไกลกว่าสองเท่าของความยาวโฟกัส ทาให้
เกดิ ภาพจรงิ บนฟิล์ม โดยมีไดอะแฟรมทาหน้าที่ปรับความเข้มของแสง และใช้ชัตเตอร์ควบคุมระยะเวลาท่ีแสง
เขา้
กลอ้ งจลุ ทรรศน์ อาศัยหลกั การรวมแสงของเลนส์นูนที่อยู่ใกล้วัตถุความยาวโฟกัสส้ันกับท่ีอยู่ใกล้ตาซ่ึง
มีความยาวโฟกัสยาวกว่า
กลอ้ งโทรทรรศน์ อาศยั หลักการรวมแสงของเลนส์นูนที่อยูใ่ กล้วัตถุความยาวโฟกัสส้ันกับท่ีอยู่ใกล้ตาซึ่ง
มีความยาวโฟกสั ยาวกวา่
สาระการเรยี นรู้
- ทศั นอุปกรณ์
สมรรถนะสาคัญ
1. ความสามารถในการส่อื สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝเ่ รยี นรู้
3. มงุ่ มั่นในการทางาน
4. มจี ติ สาธารณะ
5. อย่อู ย่างพอเพียง
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. ทาการทดลองเก่ียวกับทัศนอุปกรณ์ ได้แก่ เครื่องฉายภาพนิ่ง กล้องจุลทรรศน์ และกล้อง
โทรทรรศน์ และนาความรเู้ รือ่ งเลนสไ์ ปอธิบายการทางานของทศั นอปุ กรณแ์ ละกลอ้ งถา่ ยรูป
2. ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการให้พลังงานแสงของแหล่งกาเนิดแสงกับความสว่างบนพื้นท่ีท่ีรับ
แสง หาปรมิ าณทเี่ กีย่ วขอ้ งจากสถานการณท์ ่กี าหนดให้
3. นาความร้เู รื่องความสว่างไปอธิบายการจดั แสงสวา่ งใหเ้ หมาะสมในสถานท่ีตา่ ง ๆ
4. นาความรู้เกยี่ วกบั การถนอมสายตาไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั
แนวทางในการบูรณาการ
บรู ณาการกบั กลมุ่ สาระสังคมศึกษาเร่อื งทรัพยากรธรรมชาติ
กระบวนการจัดการเรยี นรู้
กจิ กรรมนาสกู่ ารเรียน
1. ข้ันสรา้ งความสนใจ (15 นาท)ี
1.1 ให้นกั เรยี นดูภาพจากกลอ้ งจุลทรรศน์ กล้องสอ่ งทางไกล และเคร่ืองฉายภาพนิ่ง
1.2 นักเรียนท้ังหมดร่วมกันยกตัวอย่างการเกิดภาพจากทัศนอุปกรณ์ต่าง ๆ ร่วมกันอภิปราย
ลกั ษณะการเกดิ ภาพ รวมทัง้ การนาไปใช้ประโยชน์
1.3 ให้นกั เรียนร่วมกนั ตัง้ คาถามเกีย่ วกับสิง่ ท่ตี อ้ งการรู้ จากเนื้อหาทเ่ี กีย่ วกบั เร่ืองทศั นอปุ กรณ์
กิจกรรมพฒั นาการเรยี นรู้
2. ขั้นสารวจและคน้ หา (60 นาท)ี
2.1 แบง่ นกั เรยี นเป็นกลมุ่ ละ 4 คน
2.2 นักเรยี นแตล่ ะกลุม่ ร่วมกันศึกษาเครื่องฉายภาพนงิ่ กลอ้ งจลุ ทรรศน์ และกลอ้ งโทรทศั น์
2.3 นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มอภปิ รายรว่ มกันถึงเครื่องฉายภาพน่ิง กล้องจุลทรรศน์ และกล้องโทรทศั น์
3. ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ (45 นาท)ี
3.1 นักเรยี นแต่ละกลุ่มนาเสนอผลการศึกษาเคร่อื งฉายภาพน่ิง กลอ้ งจลุ ทรรศน์ และกล้องโทรทศั น์
3.2 นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ไดผ้ ลการศึกษาเหมอื นกันหรือต่างกนั อย่างไร เพราะเหตใุ ด
3.3 ครตู ้ังคาถามว่า
- ขนาดและลกั ษณะของภาพของสไลด์ที่มองผ่านเลนส์นูนทม่ี ีความยาวโฟกสั มากเปน็ อย่างไร
- ระยะระหว่างเลนส์ทั้งสองมีค่าเท่าใด และระยะน้ีแตกต่างจากความยาวโฟกัสของเลนส์นูน
ท้งั สองอยา่ งไร
- ระยะระหวา่ งเลนส์ทัง้ สองขณะเห็นภาพชดั ทีส่ ุดเป็นอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบความยาวโฟกัส
แต่ละอนั
- ภาพท่เี ห็นแตกตา่ งจากวัตถุหรอื ไม่ อย่างไร
3.4 นักเรยี นท้ังหมดร่วมกันสรุปผลจากการศึกษาการหกั เหของแสงผา่ นเลนสน์ ูน
กจิ กรรมรวบยอด
4. ข้ันขยายความรู้ (90 นาท)ี
4.1 ให้นักเรยี นเสนอแนวคดิ ในการแกป้ ัญหาโจทย์เรือ่ งทศั นอุปกรณ์
4.2 ครถู ามวา่ จงเสนอแนวคิดในการนาความเขา้ ใจเก่ยี วกับทศั นอปุ กรณ์ไปใช้ประโยชน์
4.3 นักเรียนแตล่ ะกล่มุ ร่วมกนั สรุปเก่ียวกบั ทัศนอปุ กรณ์
5. ขั้นประเมินผล (30 นาท)ี
5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอ่านบันทึกประสบการณ์เดิม สิ่งท่ีต้องการรู้ และขอบเขต
เปา้ หมาย แลว้ ตรวจสอบว่าได้เรียนรู้ตามท่ีต้ังเป้าหมายครบถ้วนหรือไม่เพียงใด ถ้ายังไม่ครบถ้วนจะทาอย่างไร
ตอ่ ไป (อาจสอบถามให้ครูอธบิ ายเพ่ิมเตมิ สอบถามให้เพื่อนอธบิ าย หรอื วางแผนสืบคน้ เพ่มิ เติม)
5.2 ใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นด้านพุทธพิ สิ ยั
5.3 ใหน้ กั เรียนบันทกึ หลังเรียน
5.4 ครใู ห้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ
ใหค้ ะแนน สมุดบันทึก รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมูลไมเ่ พยี งพอใช้วธิ ีสมั ภาษณเ์ พิม่ เตมิ
สอื่ การเรียนรู้และแหล่งการเรยี นรู้
1. เครอื่ งฉายภาพนิ่ง
2. กลอ้ งจุลทรรศน์
3. กล้องโทรทศั น์
4. หนังสอื แบบเรียนรายวชิ าฟิสิกส์ เลม่ 3 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
5. กลอ้ งถ่ายรปู
6. ใบงานที่ 19
7. ใบความรู้ เรื่อง ทศั นอปุ กรณ์
การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้
1. วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล
1.1 สงั เกตพฤติกรรมการปฏิบัตงิ านทมี่ อบหมาย
1.2 สงั เกตพฤตกิ รรมในการฝึกปฏบิ ตั ิงานกลมุ่
1.3 การทาแบบฝกึ ระหว่างเรยี น
1.4 การทาแบบทดสอบหลังเรียน
2. เคร่ืองมอื การวดั และประเมนิ ผล
2.1 แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ตั งิ านท่ีมอบหมาย
2.2 แบบสังเกตพฤติกรรมในการฝึกปฏบิ ัตงิ านกลุม่
2.3 แบบบนั ทึกผลการทาแบบทดสอบหลังเรียน
3. เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผล
3.1 กาหนดเกณฑผ์ ่านการประเมิน 70 %
การบรู ณาการหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1. ผู้สอนใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
หลักพอเพยี ง พอประมาณ มีเหตุผลทด่ี ี มภี ูมิคุ้มกนั ในตัวท่ดี ี
ประเดน็
กจิ กรรมการเรียนรู้ - มีการวางแผนการจัดกิจ - จัดการเรียนรู้ตรงตาม - มีการวางแผนการจัดกิจ
กรรมด้านต่างๆชัดเจน มีลา มาตรฐานตวั ชวี้ ดั ก ร ร ม อ ย่ า ง ชั ด เ จ น เ ป็ น
ดับข้ันตอน มีการกาหนด ลาดบั
เนื้อหาสาระ จัดกิจกรรม
ผา่ นกระบวนการกลุม่
เวลา - กาหนดเน้ือหาสาระเหมาะ - เพ่ือให้กิจกรรมการเรียน - มีการเผื่อเวลาในการทา
สมกับเวลา กิจกรรมการ การสอนบรรลตุ วั ช้ีวัดได้ตาม กิจกรรมแต่ละขั้นเพ่ือให้
เรียนรู้ใช้กระบวนการกลุ่ม เวลาทีก่ าหนด นักเรียนท่ีมีความสามารถ
นักเรียนทางานได้ทันตาม ต่างกันสามารถทางานให้
เวลาที่กาหนด เสร็จทันเวลา
สอ่ื - จัดเตรียมและใช้สื่อในการ - ใชเ้ ครือ่ งมือเพื่อให้นักเรียน - มีลาดับข้ันตอนในการใช้
จัดกิจกรรมการเรียนการ ได้ร่วมอภิปรายในแบบฝึก สอ่ื ต่างๆอย่างคุ้มคา่
สอนเหมาะสมกับจานวน กิจกรรม
กล่มุ
แหล่งเรยี นรู้ - กาหนดเนื้อหาสาระและ - เพ่ือให้การจัดการเรียนรู้ - มีการสืบค้นทางอินเทอร์
ความร้ทู ่ใี ชใ้ นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะ สอดคล้องกับวิถีชีวิตทาให้ เน็ต การค้นคว้าในห้อง
กิจกรรมการเรียนรู้
สมกบั แหล่งเรียนรู้ สามารถนาความรู้มาใช้ใน สมุดก่อนจะออกแบบกิจ
คณุ ธรรม
ชวี ติ ประจาวนั ได้ กรรมการเรียนรูต้ ่างๆ
- สบื คน้ เทคนคิ วธิ ีการสอน,รูปแบบการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
- ศึกษาเนื้อหาดา้ นตา่ งๆให้ชัดเจน
- ศกึ ษาคน้ คว้าและบูรณาการหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งกับการจดั การเรียนรู้
- มีความรับผิดชอบในการปฏบิ ตั หิ นา้ ท่กี ารสอน ตรงตอ่ เวลา เตรยี มการสอนล่วงหน้า
- มคี วามเมตตา ใหค้ วามเสมอภาค และยุติธรรมกบั นักเรยี นทกุ คน
- มคี วามเสยี สละ อดทน และใฝร่ ู้
2. ผเู้ รยี นมีคณุ ลักษณะ “ อยอู่ ย่างพอเพียง”
พอประมาณ มเี หตุผลที่ดี มีภมู คิ ุม้ กันท่ีดี
- แต่ละกลุ่มแบ่งหน้าที่ในกลุ่ม - มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหา - ฝึกการมีส่วนร่วมในการทางาน
เหมาะสมกับความสามารถและ ในเรื่องที่ศึกษา สามารถวิเคราะห์ข้อ สร้างความสามคั คีในการทางาน
พอเพยี งกบั จานวนสมาชิก มูลตา่ งๆไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
- วางแผนการทางานอย่างรอบ - รู้จักทางานร่วมกับผู้อื่นโดยใช้กระ
คอบโดยกาหนดเวลาในการทา บวนการกลมุ่
กจิ กรรมอยา่ งเหมาะสม
ความรู้ (วิธกี าร) - สบื ค้นข้อมูล เพอื่ เสริมสรา้ งความรู้ ความเข้าใจ
- ศกึ ษา ค้นควา้ วธิ ีการทาแบบฝกึ หดั กจิ กรรม และใบงาน
- วเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยใชท้ ักษะกระบวนการคิด
คณุ ธรรมที่เกิดกับนกั เรยี น - มีความรับผิดชอบในหน้าท่ี ที่ได้รับมอบหมาย ทางานด้วยความเรียบร้อยถูก
ตอ้ ง และเสร็จทนั เวลา
- มีความสามัคคีในหมู่คณะ มีวินับเป็นผู้นาและผู้ตามที่ดีขณะปฏิบัติงานร่วม
กัน
- ร่วมกิจกรรมการเรยี นรู้ดว้ ยความกระตือรือรน้ สนใจ ตง้ั ใจ และใฝ่เรียนรู้
3. ผลลพั ธ์ KPA 4 มติ ิ ที่เก่ียวขอ้ งกับการอยู่อยา่ งพอเพียง
ผลลพั ธ์ สมดลุ พร้อมต่อการเปล่ียนแปลงในดา้ นต่างๆ
ด้านวตั ถุ ด้านสงั คม ดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม ด้านวัฒนธรรม
ด้านความรู้ - มีความรู้ความเข้าใจ - มีความรู้เกี่ยวกับการ - มีความรู้ความเข้าใจ -
เกยี่ วกบั ทศั นอุปกรณ์ ทางานเป็นกลุ่มและการ ธรรมชาตขิ องฟสิ ิกส์
วางแผนร่วมกบั ผู้อ่ืน
ด้านทักษะ - มีความสามารถใน - สามารถทางานร่วมกับ - -
การอภิปราย ทาแบบ ผู้อื่นในรูปแบบกลุ่มและ
ฝกึ /ใบงาน มีทักษะในการสร้างปฏิ
สัมพนั ธก์ ับผู้อืน่
กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนทบทวนโดยค้นคว้าด้วยตนเองและฝึกปฏิบัติเพิ่มเติม พร้อมทั้งแบบฝึกหัดเพิ่มเติมจาก
หนังสอื แบบเรยี น
บนั ทึกผลหลังการสอน
ผลการเรียนรู้
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ปญั หาและอปุ สรรค
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ......................................................ผู้สอน
(นางสาวกนกวรรณ บุญเกตุ)
ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียนศรีสโมสรวทิ ยา
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื …………………………………………
(นายเมธี วัฒนสงิ ห์)
ผูอ้ านวยการโรงเรยี นศรีสโมสรวทิ ยา
ใบความรู้
เร่ือง ทศั นอุปกรณ์
ทศั นอุปกรณ์
มีเครื่องมือทางแสงหลายชนิดที่ช่วยในการเห็นของนัยน์ตา โดยใช้กระจกและเลนส์ประกอบ เช่น
กลอ้ งจุลทรรศน์ชว่ ยใหเ้ ราเห็นรายละเอียดของของเลก็ ๆได้มากกวา่ ใช้เพยี งนัยนต์ า กลอ้ งโทรทรรศน์ช่วยให้เห็น
วตั ถุท่ีอยไู่ กลๆไดช้ ดั เจน กลอ้ งถา่ ยรปู ช่วยให้เราเก็บภาพตา่ งๆไว้ดภู ายหลงั ได้
แว่นขยาย
ที่มา http://kruphysics-satri5.blogspot.com/p/blog-page_986.html
แว่นขยายทา จากเลนสน์ ูน มีความยาวโฟกสั 3-20 cm ในการสอ่ งดูวตั ถุ จะตอ้ งวางวัตถใุ ห้อยู่ห่างจาก
เลนส์เป็นระยะนอ้ ยกว่าความยาวโฟกัสของเลนส์ ซงึ่ จะได้ภาพเสมือนหัวตั้ง ขนาดขยาย ภาพอยู่หน้าเลนส์หรือ
อยู่ข้างเดียวกับวัตถุ แว่นขยายที่มีความยาวโฟกัสมากจะให้ภาพเสมือนหัวตั้ง ท่ีมีขนาดใหญ่กว่าแว่นขยายท่ีมี
ความยาวโฟกัสน้อย ในชว่ งระยะที่นอ้ ยกว่าความยาวโฟกัส ถ้าเล่ือนวัตถุออกห่างจากเลนส์จะได้ภาพเสมือนหัว
ต้ังขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ถ้าเล่ือนวัตถุเข้าหาเลนส์ จะได้ภาพเสมือนหัวต้ังขนาดเล็กลงกว่าเดิมแต่ยังใหญ่กว่า
วตั ถุ และถา้ เลือ่ นวัตถุใหช้ ิดติดกับเลนส์ จะได้ภาพเสมือนหวั ตงั้ ขนาดเทา่ วตั ถุ
กล้องจุลทรรศน์
กล้องจุลทรรศนเ์ ป็นกล้องทีใ่ ชข้ ยายภาพของวัตถเุ ลก็ ๆซึ่งอย่ใู กลป้ ระกอบดว้ ยเลนส์นนู 2อนั คอื
1 .เลนส์ใกลว้ ัตถุ หมายถงึ เลนส์ทีอ่ ย่ใู กล้วัตถเุ ป็นเลนสม์ ขี นาดเลก็ มีความยาวโฟกัสน้อย
2 .เลนส์ใกล้ตาหมายถึงเลนสท์ ่อี ยู่ใกลต้ าเป็นเลนสข์ นาดใหญ่ มีความยาวโฟกัสมาก
หมายเหตุ
เลนส์ใกล้ตาและเลนส์ใกล้วัตถุจะอยู่ห่างกันเป็นระยะคงที่ค่าหน่ึงโดยติดต้ังอยู่ภายในท่อทรงกระบอก
ซ่ึงเปน็ ส่วน ประกอบหน่ึงของกล้องจุลทรรศน์ ถ้าต้องการมองภาพของวัตถุให้ขยายใหญ่ข้ึน อาจทาได้โดยการ
เลื่อนท่อทรงกระบอกขึ้นลงเพ่ือปรับตาแหน่งของเลนส์(ระยะหา่ ง ของเลนสท์ ้ังสองมีค่าคงเดมิ )
ใบงานที่ 19
1. ขอบเขตและเปา้ หมายของประเด็นทจี่ ะเรียนรู้ ทนี่ ักเรยี นและครกู าหนดร่วมกนั
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
2. ผลการศกึ ษาการทางานของเครื่องฉายภาพนิ่ง
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
3. แตล่ ะกลุ่มไดผ้ ลการศึกษาเหมอื นกนั หรือต่างกันอยา่ งไร เพราะเหตใุ ด
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
4. สรุปผลการทดลองการทางานของเครอื่ งฉายภาพน่ิง
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
5. ผลการศึกษาการทางานของกล้องจลุ ทรรศน์
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
6. แตล่ ะกลุ่มไดผ้ ลการศกึ ษาเหมอื นกนั หรือต่างกนั อย่างไร เพราะเหตใุ ด
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
7. ขนาดและลักษณะของภาพของสไลด์ทมี่ องผ่านเลนส์นนู ทีม่ ีความยาวโฟกัสมากเป็นอย่างไร
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
8. ระยะระหว่างเลนสท์ ้ังสองมคี า่ เทา่ ใด และระยะนี้แตกตา่ งจากความยาวโฟกัสของเลนสน์ นู ท้งั สองอย่างไร
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
9. สรุปผลการทดลองหลักการทางานของกลอ้ งจุลทรรศน์
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
10. ผลการศกึ ษาการทางานของกล้องโทรทรรศน์
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
………………………………………………….……………………………………………………..…………………………………………………
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 7 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5
รายวชิ าฟสิ กิ สเ์ พมิ่ เติม (ว30203) เวลา 24 ชว่ั โมง
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เวลา 3 ชั่วโมง
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 11 แสงเชิงรงั สี
เรอื่ ง ความสวา่ ง
สาระสาคัญ
ความสว่างหาได้จากอตั ราสว่ นระหว่างฟลักซ์ส่องสวา่ งที่ตกตัง้ ฉากกับพนื้ กับพน้ื ทร่ี บั แสง ตามสมการ
E = F/A
เราต้องระมัดระวังไม่ดูวัตถุที่มีความสว่างมากเกินไป เพราเรตินาอาจถูกทาลายได้ แต่ถ้าดูวัตถุท่ีมี
ความสว่างน้อยเกินไปบอ่ ยครงั้ กลา้ มเน้อื ตาอาจเสือ่ มสภาพเร็วได้
สายตาสั้นเกิดจากการท่ีตาแหน่งของภาพอยู่ไม่ถึงเรตินา แก้ไขโดยใช้เลนส์เว้าช่วยหักเหแสงเพื่อให้
ภาพไปเกดิ ท่ีเรตินาพอดี
สายตายาวเกิดจากการท่ีตาแหน่งของภาพอยู่เลยเรตินาไปแล้ว แก้ไขโดยใช้เลนส์นูนช่วยหักเหแสง
เพอื่ ใหภ้ าพมาเกิดทเ่ี รตินาพอดี
สาระการเรียนรู้
- ความสว่าง
สมรรถนะสาคัญ
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มวี นิ ยั
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มงุ่ ม่ันในการทางาน
4. มจี ิตสาธารณะ
5. อยู่อย่างพอเพยี ง
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. ทาการทดลองเกี่ยวกับทัศนอุปกรณ์ ได้แก่ เครื่องฉายภาพนิ่ง กล้องจุลทรรศน์ และกล้อง
โทรทรรศน์ และนาความรู้เร่ืองเลนสไ์ ปอธิบายการทางานของทศั นอปุ กรณแ์ ละกล้องถา่ ยรปู
2. ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการให้พลังงานแสงของแหล่งกาเนิดแสงกับความสว่างบนพ้ืนท่ีที่รับ
แสงหาปริมาณทเ่ี กี่ยวข้องจากสถานการณท์ ี่กาหนดให้
3. นาความร้เู ร่ืองความสว่างไปอธิบายการจดั แสงสวา่ งให้เหมาะสมในสถานที่ตา่ ง ๆ
4. นาความร้เู กีย่ วกับการถนอมสายตาไปใชใ้ นชวี ิตประจาวัน
แนวทางในการบูรณาการ
บูรณาการกับกลุม่ สาระสงั คมศึกษาเรอื่ งทรพั ยากรธรรมชาติ
กระบวนการจดั การเรยี นรู้
กจิ กรรมนาสกู่ ารเรยี น
1. ขน้ั สร้างความสนใจ (15 นาท)ี
1.1 ใหน้ ักเรียนทดลองอา่ นหนงั สือในท่สี วา่ งมากกับทีส่ วา่ งนอ้ ย
1.2 นักเรียนทั้งหมดร่วมกันยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ต้องมองวัตถุในท่ีสว่างมากและสว่างน้อย
รว่ มกนั อภิปรายถึงความสวา่ งและความสบายของสายตารวมท้ังการนาไปใช้ประโยชน์
1.3 ใหน้ กั เรยี นร่วมกันคาถามเก่ยี วกบั ส่ิงทต่ี อ้ งการรู้ จากเนอ้ื หาทเ่ี ก่ียวกับเรื่องความสว่าง
กิจกรรมพฒั นาการเรียนรู้
2. ขน้ั สารวจและคน้ หา (60 นาท)ี
2.1 แบ่งนักเรยี นเปน็ กลุ่มละ 4 คน
2.2 นกั เรียนแต่ละกลุ่มรว่ มกันวางแผนสบื ค้นความสว่าง
2.3 นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกนั สืบคน้ ความสว่าง
2.4 นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มอภิปรายรว่ มกันถึงความสว่าง
3. ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรุป (45 นาท)ี
3.1 นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มนาเสนอผลการสืบคน้ ความสวา่ ง
3.2 นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ไดผ้ ลการสืบค้นเหมือนกนั หรอื ต่างกนั อย่างไร เพราะเหตุใด
3.3 ครตู ้งั คาถามวา่
- ความสวา่ งบนพนื้ ที่หาได้อย่างไร
- ติดหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ 40 วัตต์ 3 หลอด โดยมีตัวสะท้อนแสงให้พลังงานแสง
ทั้งหมดตกบนพื้นโต๊ะท่มี ีพ้ืนท่ี 10 ตารางเมตร จงหาความสวา่ งบนพน้ื โตะ๊
- ติดหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ 40 วัตต์ ท่ีมีฟลักซ์ส่องสว่าง 2,700 ลูเมน ในห้องส่ีเหล่ียม
ขนาด 3 x 2 x 2 เมตร ความสว่างของห้องนี้โดยเฉล่ียมีค่าเท่าไร ให้ฟลักซ์ส่องสว่างท่ีสูญเสียไปเนื่องจากตัว
สะท้อนแสงเทา่ กับ 500 ลเู มน และแสงกระทบเพดานห้องนอ้ ยมาก
- จดุ ใกลแ้ ละจุดไกลของสายตาเปน็ อยา่ งไร
- ตามองเหน็ แสงสไี ด้อยา่ งไร
- คนสายตาสั้นไม่สามารถมองเห็นวัตถุท่ีอยู่ไกลเกิน 2.8 เมตรได้ชัดเจน เขาควรแก้ปัญหาน้ี
โดยใช้เลนส์ชนิดใด และเลนส์มคี วามยาวโฟกสั เท่าใด
3.4 นกั เรยี นทงั้ หมดรว่ มกนั สรุปผลจากการสืบคน้ ความสว่าง
กจิ กรรมรวบยอด
4. ข้นั ขยายความรู้ (90 นาท)ี
4.1 ครูถามว่า
- เราจะถนอมสายตาได้อย่างไร
- แว่นสายตาส่นั และแวน่ สายตายาวแตกต่างกันอยา่ งไร
4.2 ให้นกั เรียนเสนอแนวคดิ ในการแกป้ ัญหาโจทย์เรือ่ งความสว่าง
4.3 ครถู ามวา่ จงเสนอแนวคิดในการนาความเขา้ ใจเกยี่ วกับความสว่างเก่ยี วกบั แสงไปใช้ประโยชน์
4.4 นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ รว่ มกนั สรปุ เช่อื มโยงความคดิ เกี่ยวกับความสว่าง
5. ขัน้ ประเมนิ ผล (30 นาท)ี
5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอ่านบันทึกประสบการณ์เดิม ส่ิงท่ีต้องการรู้ และขอบเขต
เป้าหมาย แลว้ ตรวจสอบว่าได้เรียนรู้ตามที่ต้ังเป้าหมายครบถ้วนหรือไม่เพียงใด ถ้ายังไม่ครบถ้วนจะทาอย่างไร
ต่อไป (อาจสอบถามใหค้ รูอธบิ ายเพ่ิมเตมิ สอบถามให้เพ่ือนอธบิ าย หรือวางแผนสืบค้นเพ่ิมเติม)
5.2 ให้นักเรียนทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนด้านพุทธพิ สิ ยั
5.3 ให้นกั เรียนบันทึกหลังเรียน
5.4 ครูให้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ
ให้คะแนน สมุดบนั ทึก รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมลู ไมเ่ พียงพอใช้วิธสี ัมภาษณ์เพมิ่ เติม
สื่อการเรียนร้แู ละแหลง่ การเรยี นรู้
1. หลอดไฟฟ้า
2. หนังสอื แบบเรยี นรายวชิ าฟิสิกส์ เลม่ 3 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
3. ใบงานท่ี 20
4. ใบความรู้ เร่อื ง ความสวา่ ง
การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้
1. วิธีการวดั และประเมนิ ผล
1.1 สังเกตพฤติกรรมการปฏิบตั งิ านท่ีมอบหมาย
1.2 สงั เกตพฤตกิ รรมในการฝึกปฏบิ ัตงิ านกลุม่
1.3 การทาแบบฝึกระหว่างเรียน
1.4 การทาแบบทดสอบหลังเรียน
2. เครื่องมอื การวัดและประเมนิ ผล
2.1 แบบสังเกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ตั งิ านที่มอบหมาย
2.2 แบบสังเกตพฤติกรรมในการฝึกปฏิบัติงานกลุ่ม
2.3 แบบบันทึกผลการทาแบบทดสอบหลงั เรยี น
3. เกณฑ์การวัดและประเมนิ ผล
3.1 กาหนดเกณฑ์ผา่ นการประเมิน 70 %
การบรู ณาการหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง
1. ผ้สู อนใช้หลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
หลักพอเพยี ง พอประมาณ มีเหตผุ ลทด่ี ี มีภูมคิ มุ้ กนั ในตัวทดี่ ี
ประเด็น
กิจกรรมการเรียนรู้ - มีการวางแผนการจัดกิจ - จัดการเรียนรู้ตรงตาม - มีการวางแผนการจัดกิจ
กรรมด้านต่างๆชัดเจน มีลา มาตรฐานตัวช้วี ดั ก ร ร ม อ ย่ า ง ชั ด เ จ น เ ป็ น
ดับขั้นตอน มีการกาหนด ลาดับ
เน้ือหาสาระ จัดกิจกรรม
ผา่ นกระบวนการกลุ่ม
เวลา - กาหนดเนื้อหาสาระเหมาะ - เพ่ือให้กิจกรรมการเรียน - มีการเผ่ือเวลาในการทา
สมกับเวลา กิจกรรมการ การสอนบรรลุตัวช้ีวัดได้ตาม กิจกรรมแต่ละขั้นเพ่ือให้
เรียนรู้ใช้กระบวนการกลุ่ม เวลาทก่ี าหนด นักเรียนท่ีมีความสามารถ
นักเรียนทางานได้ทันตาม ต่างกันสามารถทางานให้
เวลาที่กาหนด เสรจ็ ทันเวลา
สอ่ื - จัดเตรียมและใช้ส่ือในการ - ใช้เครื่องมือเพ่ือให้นักเรียน - มีลาดับขั้นตอนในการ
แหล่งเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนการ ได้ร่วมอภิปรายในแบบฝึกกิจ ใชส้ อ่ื ต่างๆอยา่ งคมุ้ ค่า
ความรทู้ ใ่ี ช้ในการจดั สอนเหมาะสมกับจานวน กรรม
กิจกรรมการเรยี นรู้
กลุ่ม
คุณธรรม
- กาหนดเนื้อหาสาระและ - เพ่ือให้การจัดการเรียนรู้ - มี กา รสื บค้ นท าง อิ น
กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะ สอดคล้องกับวิถีชีวิตทาให้ เทอร์ เน็ต การค้นคว้าใน
สมกบั แหลง่ เรยี นรู้ สามารถนาความรู้มาใช้ใน หอ้ งสมุดก่อนจะออกแบบ
ชีวติ ประจาวนั ได้ กิจกรรมการเรียนรูต้ า่ งๆ
- สบื ค้นเทคนิควิธีการสอน,รปู แบบการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
- ศึกษาเน้ือหาดา้ นตา่ งๆใหช้ ดั เจน
- ศึกษาคน้ ควา้ และบรู ณาการหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งกับการจัดการเรยี นรู้
- มคี วามรบั ผดิ ชอบในการปฏิบตั หิ นา้ ทกี่ ารสอน ตรงตอ่ เวลา เตรียมการสอนลว่ งหน้า
- มคี วามเมตตา ให้ความเสมอภาค และยุติธรรมกับนักเรียนทุกคน
- มีความเสียสละ อดทน และใฝ่รู้
2. ผู้เรยี นมีคุณลกั ษณะ “ อยู่อย่างพอเพยี ง”
พอประมาณ มีเหตผุ ลท่ีดี มภี ูมคิ ุม้ กนั ที่ดี
- แต่ละกลุ่มแบ่งหน้าท่ีในกลุ่ม - มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเนื้อหา - ฝึกการมีส่วนร่วมในการทางาน
เหมาะสมกับความสามารถและ ในเรื่องท่ีศึกษา สามารถวิเคราะห์ข้อ สรา้ งความสามัคคีในการทางาน
พอเพยี งกบั จานวนสมาชิก มูลตา่ งๆได้อย่างถูกตอ้ ง
- วางแผนการทางานอย่างรอบ - รู้จักทางานร่วมกับผู้อื่นโดยใช้กระ
คอบโดยกาหนดเวลาในการทา บวนการกล่มุ
กิจกรรมอย่างเหมาะสม
ความรู้ (วธิ กี าร) - สืบค้นข้อมลู เพื่อเสริมสรา้ งความรู้ ความเข้าใจ
- ศึกษา คน้ ควา้ วธิ กี ารทาแบบฝกึ หัดกจิ กรรม และใบงาน
- วิเคราะห์ขอ้ มลู โดยใชท้ กั ษะกระบวนการคดิ
คุณธรรมท่เี กดิ กบั นกั เรยี น - มีความรับผิดชอบในหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย ทางานด้วยความเรียบร้อยถูก
ต้อง และเสร็จทันเวลา
- มีความสามัคคีในหมู่คณะ มีวินับเป็นผู้นาและผู้ตามท่ีดีขณะปฏิบัติงานร่วม
กัน
- รว่ มกิจกรรมการเรยี นรู้ด้วยความกระตอื รอื รน้ สนใจ ตั้งใจ และใฝ่เรยี นรู้
3. ผลลัพธ์ KPA 4 มิติ ทเ่ี กย่ี วข้องกับการอย่อู ย่างพอเพียง
ผลลัพธ์ สมดุลพร้อมต่อการเปลยี่ นแปลงในด้านตา่ งๆ
ด้านวัตถุ ด้านสงั คม ดา้ นสิ่งแวดล้อม ดา้ นวัฒนธรรม
-
ดา้ นความรู้ - มีความรู้ความเข้า - มีความรู้เก่ียวกับการ - มีความรู้ความเข้าใจ
-
ใจเกย่ี วกบั ความสว่าง ทางานเป็นกลุ่มและการ ธรรมชาติของฟิสิกส์
วางแผนรว่ มกบั ผ้อู นื่
ดา้ นทักษะ - มีความสามารถใน - สามารถทางานร่วมกับ -
การอภิปราย ทาแบบ ผู้อื่นในรูปแบบกลุ่มและ
ฝึก/ใบงาน มีทักษะในการสร้างปฏิ
สัมพันธ์กบั ผู้อื่น
กจิ กรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนทบทวนโดยค้นคว้าด้วยตนเองและฝึกปฏิบัติเพิ่มเติม พร้อมท้ังแบบฝึกหัดเพิ่มเติมจาก
หนงั สือแบบเรียน
บนั ทึกผลหลังการสอน
ผลการเรียนรู้
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ปญั หาและอปุ สรรค
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ......................................................ผู้สอน
(นางสาวกนกวรรณ บุญเกตุ)
ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียนศรีสโมสรวทิ ยา
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื …………………………………………
(นายเมธี วัฒนสงิ ห์)
ผูอ้ านวยการโรงเรยี นศรีสโมสรวทิ ยา
ใบความรู้
เรือ่ ง ความสว่าง
ความสวา่ ง
1. อัตราการให้พลงั งานแสงของแหล่งกาเนดิ แสง
แสงเป็นพลังงานรูปหนึ่ง และทาให้เกิดความสว่างบนพื้นที่ที่แสงตกกระทบ วัตถุท่ีผลิตแสงได้ด้วย
ตัวเอง เรียกว่า แหล่งกาเนิดแสง เช่น ดวงอาทิตย์ เทียนไข และหลอดไฟฟ้า และปริมาณพลังงานแสงที่ส่อง
ออกมาจากแหล่งกาเนิดแสงใดๆ ต่อ หน่ึงหน่วยเวลา เรียกว่า อัตราการให้พลังงานแสงของแหล่งกาเนิด
แสง มีหน่วยเป็น ลูเมน (lumen:lm)
2. ความสว่าง
พลังงานแสงที่ทาให้เกิดความสว่างบนพื้นท่ีที่รับแสง ถ้าพิจารณาพื้นท่ีใดๆ ท่ีรับแสง ความสว่างบน
พ้ืนที่นัน้ หาไดจ้ าก เคร่อื งวดั ความสวา่ ง เรียกวา่ ลกั ซม์ เิ ตอร์
E=F/A
F เป็น อัตราพลงั งานแสงท่ีตกบนพื้น มีหน่วยเป็นลเู มน (lumen : lm)
A เป็น พืน้ ที่รับแสง มหี น่วยเปน็ ตารางเมตร m2
E เป็น ความสวา่ ง มีหนว่ ยเปน็ ลกั ซ์ (lux : lx)
ตัวอย่าง ติดหลอดไฟฟา้ ฟลอู อเรสเซนต์ 40 วัตต์ จานวน 2 หลอด มีตวั สะท้อนแสง ให้พลังงานแสงทั้งหมดตก
ลงบนพื้นห้อง 20 ตารางเมตรถ้าหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ 40 วัตต์ มีอัตราการให้พลังงานแสง 2700 ลูเมน
ให้หาความสวา่ งบนพืน้ ห้องนี้
วิธที า ความสว่างบนพน้ื ห้อง = อตั ราการให้พลังงานแสงของหลอดไฟฟ้า / พ้ืนทข่ี องหอ้ ง
= 2700 x 2 / 20
= 270 ลักซ์
ดงั น้นั ความสว่างบนพนื้ ห้องเท่ากบั 270 ลกั ซ์
3. ประโยชนจ์ ากความรู้เก่ียวกบั ความสว่าง
ความรู้เร่อื งความสวา่ งช่วยในการจดั ไฟตามอาคารบ้านเรือนและหอ้ ง ทางานต่างๆได้อย่างเหมาะสม มี
มาตรฐานกาหนดความสวา่ งท่พี อเหมาะดังน้ี
สถานที่ กจิ กรรม ความสว่าง (ลักซ์)
สานักงาน บนั ไดฉกุ เฉนิ 30 – 75
บา้ น ทางเดนิ ในอาคาร 75 – 200
โรงเรยี น ห้องประชุม ห้องรับรอง 200 – 750
โรงพยาบาล
หอ้ งนง่ั เล่น หอ้ งครวั หอ้ งอาหาร 150 – 300
ห้องอ่านหนังสอื หอ้ งทางาน 500 – 1000
โรงพลศึกษา หอประชุม 75 – 300
หอ้ งเรียน 300 – 750
ห้องสมุด หอ้ งปฏิบตั ิการ ห้องเขียนแบบ 750 – 1500
หอ้ งตรวจโรค หอ้ งผา่ ตดั 5000 – 10000
การมองเห็น
1. อวัยวะรบั แสง
ดวงตาช่วยให้เราได้รับรู้สิ่งต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนบนโลก เม่ือแสงไปกระทบส่ิงต่างๆ จะสะท้อนวัตถุหรือ
สิ่งของนั้นมาเข้าตาเราและผ่านเข้าในลูกตาไปทาให้เกิดภาพท่ีจอตา (retina) ซึ่งอยู่ด้านหลังของลูกตา ข้อมูล
ของวัตถุที่มองเห็นจะถูกส่งข้ึนไปสู่สมองตามเส้นประสาทตา (optic nerve) สมองจะแปลข้อมูลเป็นภาพของ
วัตถุนั้น ดวงตาของมนุษย์หรือสัตว์เป็นอวัยวะท่ีทาหน้าที่รับสัมผัสภาพของ ส่ิงต่างๆ ท่ีมีเซลล์รับภาพที่ไวต่อ
แสง อยดู่ ้านซา้ ยของลกู ตา ดังนน้ั ตาจึงต้องมีกระบวนการปรับให้แสงเข้าให้พอเหมาะ เพราะถ้าแสงมีความเข้ม
มากไปอาจเปน็ อันตรายตอ่ เซลล์รบั แสงได้
2. การตอบสนองของนยั น์ตาต่อความเข้มของแสง
เน่ืองจากนัยน์ตาเป็นอวัยวะท่ีมีความไวต่อแสงมาก สามารถรับรู้ได้เม่ือมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย เช่น
แสงจากดวงดาวท่ีอยู่ไกลในคืนเดือนมืดจนถึงแสงสว่างที่มีปริมาณมาก ทั้งน้ี เน่ืองจากเรตินาจะมีเซลล์รับ
แสง 2 ชนิด คอื
1. เซลล์รูปแท่ง (Rod Cell) ทาหน้าที่รับแสงสว่าง (สลัว) ท่ีไวมาก สามารถมองเห็นภาพ
ขาว-ดา เซลล์ รปู แทง่ จะไวเฉพาะต่อแสงท่มี คี วามเขม้ น้อย โดยจะไมส่ ามารถจาแนกสขี องแสงนน้ั ได้
2. เซลลร์ ปู กรวย (Cone Cell) จะไวเฉพาะต่อแสงทม่ี ีความเขม้ สูงถดั จากความไวของเซลล์รูป
แท่ง และสามารถจาแนกแสงแต่ละสีได้ด้วย เซลล์รูปกรวยมี 3 ชนิด แต่ละชนิดจะมีความไวต่อแสงสีปฐมภูมิ
ต่างกัน ชนิดที่หน่ึงมีความไวสูงสุดต่อแสงสีน้าเงิน ชนิดท่ีสองมีความไวสูงสุดต่อแสงสีเขียว และชนิดท่ีสามมี
ความไวสูงสุดต่อแสงสีแดง เม่ือมีแสงสีต่างๆ ผ่านเข้าตามากระทบเรตินา เซลล์รับแสงรูปกรวยจะถูกกระตุ้น
และสญั ญาณกระต้นุ น้จี ะถูกส่งผ่านประสาทตาไปยังสมอง เพื่อแปรความหมายออกมาเป็นความรู้สึกเห็นเป็นสี
ของแสงน้ัน ๆ
ความเขม้ ของแสงต่อนัยนต์ ามนษุ ย์
ดวงตาของมนุษย์เราสามารถรับแสงท่ีมีความเข้มน้อยมากๆ เช่น แสงริบหร่ีในห้องมืดๆ ไปจนถึงแสง
สว่างจ้าของแสงแดดตอนเที่ยงวัน ซ่ึงมีความเข้มของแสงมากกว่าถึง 10 เท่า นอกจากน้ีดวงตายังสามารถปรับ
ให้มองเห็นได้แม้แต่ตัวอักษรที่เป็นตัวพิมพ์เล็กๆ สามารถบอกรูปร่างและทรวดทรงท่ีแตกต่างกันในที่ท่ีมีความ
เข้มของแสงตา่ งกันมากๆได้ โดยการปรับของรูมา่ นตา
ความเข้มของแสงตอ่ นยั น์ตาของสิ่งมีชีวติ อ่ืน
การตอบสนองตอ่ ความเขม้ แสงต่อนยั น์ตาสิ่งมชี ีวิตแตล่ ะชนิดจะแตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อม
และพฤตกิ รรมการดารงชีวติ
- ยูกลนี า ซึง่ เป็นสัตว์ขนาดเล็ก จะมี eyespot เปน็ จดุ ทาหนา้ ท่รี ับแสงสวา่ ง
- ไส้เดือนดนิ มเี ซลลท์ ่ไี วต่อความเขม้ ของแสงอย่ทู ่ีผิวหนัง ทาใหม้ ันสามารถรูว้ า่ แสงสวา่ งอยู่ทใ่ี ด
- หอย ปลาหมกึ ก้งุ ปู แมลง มีอวัยวะรบั แสงเจริญดีข้ึน คือ นอกจากรับแสงแล้ว ยังสร้างภาพได้
อีกด้วย นัยน์ตาของสัตว์พวกนี้ (ยกเว้นหอย) จัดเป็นตาประกอบ (Compound eyes) ซึ่งประกอบด้วยหน่วย
รับแสงเล็กๆ เปน็ เลนสจ์ านวนมาก (แมลงเหน็ ภาพท่กี าลงั เคลือ่ นไหวได้ชัดกว่าภาพที่อยู่น่ิงๆ ) สัตว์พวกนี้ถ้าอยู่
ในท่ีมีแสงสว่างน้อยหรือความเข้มของแสงมีน้อย การมองเห็นจะไม่ชัด ดังนั้น พวกกุ้งและปูท่ีอาศัยหากินในที่
มืด จึงต้องมีการดัดแปลงให้สว่ น pigment มารวมกันอยใู่ นตอนใดตอนหน่ึง เพื่อให้สามารถรับแสงสว่างได้มาก
ขน้ึ
- สัตว์ท่ีหากินในเวลากลางคืน เช่น แมว เสือ กระต่าย นกเค้าแมว สามารถออกล่าเหย่ือในคืนที่
เกือบมืดสนิท เพราะว่าใน เรตินาของสัตว์พวกนี้มีเซลล์ประสาทรูปแท่งมาก ซึ่งเซลล์เหล่าน้ีจะทางานได้ดีใน
เวลาท่มี แี สงสลวั หรอื ความเขม้ ของแสงน้อย ซึ่งภาพท่ีเห็นจะเป็นภาพเทาหรือดาท่ีไม่มีรายละเอียด (สัตว์พวกน้ี
ตาบอดสี)
นัยนต์ าของมนุษยแ์ ละความบกพรอ่ งในการมองเห็น
1. นัยน์ตา ( The human eye) มีรปู รา่ งเกอื บทรงกลม ประกอบด้วยสว่ นสาคญั ตา่ ง ๆ ดงั นี้
1. กระจกตา (Cornea ) อยภู่ ายนอกเลนส์ตา มีลกั ษณะเป็นเยื่อเหนียวใสและบาง
2. ม่านตา (Iris ) เป็นเนื้อเย่ือส่วนที่มีสีของนัยน์ตา ซึ่งอาจมีสีดา สีน้าตาล หรือสีฟ้าแล้วแต่เช้ือ
ชาติ ทาหน้าที่เป็นม่านเปิดรูรับแสงให้ใหญ่หรือเล็ก เพื่อช่วยให้แสงผ่านไปยังเลนส์ได้พอเหมาะ ถ้าแสงสว่าง
มาก ม่านตาจะเปิดช่องเป็นรูเล็ก และถ้าแสงสว่างน้อย ม่านตาจะเปิดช่องเป็นรูกว้าง เพ่ือไม่ให้เป็นอันตราย
ตอ่ เรตินา
3. รูม่านตา (Pupil ) มีลักษณะเป็นช่องกลมเล็กๆ กลางม่านตา เป็นส่วนท่ีมีสีเข้มกลางนัยน์ตา
ทาหน้าท่เี ปน็ ชอ่ งใหแ้ สงผา่ นไปส่เู ลนส์ตา ขนาดของรูม่านตาจะเปลย่ี นแปลงไปตามการเปิดปดิ ของม่านตา
4. เลนส์ตา (Lens) มีลักษณะเป็นเลนส์นูน ทาหน้าที่รับแสงและหักเหแสง เลนส์ตาสามารถปรับ
ความยาวโฟกัสได้
5. กล้ามเนื้อตาหรือกล้ามเน้ือยึดเลนส์ตา (Ciliary muscle ) สามารถคลายตัวหรือหดตัว เพ่ือ
ปรบั ความยาวโฟกัสของเลนสต์ าให้สามารถมองเห็นวัตถุได้ชัดเจนท่รี ะยะตา่ ง ๆ
6. เรตินา (Retina ) เป็นเนื้อเยื่อชั้นในสุด ทาหน้าที่เป็นฉากรับภาพท่ีเกิดจากการหักเหแสงผ่าน
เลนสต์ า ซง่ึ ประกอบดว้ ยเซลลป์ ระสาท 2 ชนดิ คอื
- เซลล์ประสาทรูปแท่ง (Rod Cell) ทาให้เกิดความรู้สึกเก่ียวกับความมืดและความสว่าง
ทางานได้ดใี นทมี่ ีแสงสว่างนอ้ ย
- เซลล์ประสาทรูปกรวย (Cone Cell) ทาให้เกิดความรู้สึกเก่ียวกับสี ทางานได้ดีในท่ีมีแสง
สว่างมาก เซลล์ประสาทเหล่านี้จะรวมกันเป็นประสาทตา (Optic Nerve) ทาหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณแสงเป็น
สญั ญาณไฟฟา้ ไปสสู่ มองเพื่อแปลความหมายออกมาเปน็ ภาพที่มองเห็น
2. ความบกพรอ่ งของการมองเห็น
คนสายตาปกติ
สามารถมองเห็นวัตถุได้ชัดในระยะใกล้สุดท่ีระยะ 25 เซนติเมตรจากนัยน์ตา เรียกว่า ระยะใกล้ตา
และสามารถมองเห็นวัตถุไกลสุดได้ชัดอยู่ท่ีระยะอนันต์ ( µ ) เรียกว่า ระยะไกลตา ทั้งน้ีเพราะภาพที่ได้ จะ
ปรากฏบน เรตนิ าพอดี
คนสายตาสน้ั
จะมองเห็นวัตถุที่อยู่ใกล้ได้ชัดเจน แต่มองวัตถุที่อยู่ไกลไม่ชัดเจน โดยจุดใกล้ตาจะน้อยกว่า < 25
เซนติเมตร">25 เซนติเมตรแต่จุดไกลตาไม่ถึงระยะอนันต์ ท้ังน้ีเป็นเพราะภาพของวัตถุเกิดอยู่หน้าเรตินา ซ่ึงมี
สาเหตุมาจากเลนสต์ าของคนสายตาสัน้ หนามาก แมว้ ่ากลา้ มเนอ้ื ตาจะผอ่ นคลายแลว้ กต็ าม
การแกไ้ ข จะต้องสวมแว่นตาที่ทาจากเลนส์เว้า เพื่อช่วยถ่างลาแสงก่อนหักเหผ่านเลนส์ตา เพื่อทาให้
เกิดภาพทเี่ รตินาพอดี
คนสายตายาว
จะมองเห็นวัตถุที่อยู่ไกลได้ชัดเจน แต่มองวัตถุที่อยู่ใกล้ไม่ชัดเจน โดยจุดใกล้ตาจะ
มากกวา่ 25 เซนติเมตรจุดไกลตาอยู่ทร่ี ะยะอนันต์ ทง้ั น้เี ปน็ เพราะภาพของวตั ถุเกดิ อย่หู ลงั เรตินา ซึ่งมีสาเหตุมา
จากเลนส์ตาของคนสายตายาวจะบางมาก แมว้ า่ กลา้ มเนื้อตาจะพยายามบีบเตม็ ทีแ่ ล้ว
การแก้ไข จะต้องสวมแว่นตาที่ทาจากเลนส์นูน เพ่ือช่วยบีบลาแสงก่อนหักเหผ่านเลนส์ตา เพ่ือทาให้
เกิดภาพที่เรตินาพอดี
สายตาคนชรา
จะมองเห็นวัตถทุ ี่อยู่ใกล้ไม่ชดั เจนเหมอื นกบั เปน็ คนสายตายาว แตเ่ มือ่ มองวัตถุที่อยู่ไกลๆ ก็มองเห็นไม่
ชัดเจนอีกเหมือนกับคนสายตาส้ัน โดยจุดใกล้ตาของคนชราจะมากกว่า 25 เซนติเมตรส่วนจุดไกลตาจะน้อย
กว่าระยะอนันต์ เนื่องจากกล้ามเนื้อตาทางานผิดปกติ คือ บังคับให้เลนส์ตาปรับความยาวโฟกัสยาวสั้นต่างๆ
กันมากไมไ่ ด้
การแก้ไข ต้องใช้แว่นตาสองอัน คือ ใช้แว่นตาท่ีทาด้วยเลนส์นูน เมื่อจะมองวัตถุที่อยู่ใกล้ และใช้
แวน่ ตาท่ีทาด้วยเลนสเ์ วา้ เมื่อจะมองวตั ถทุ ่อี ยู่ไกล
คนสายตาเอียง
จะมองเห็นวัตไม่คมชัดบริเวณรอบๆ โดยจะมองเห็นวัตถุในแนวระดับไม่ชัด แต่ในแนวด่ิงชัดและ
บริเวณตรงกลางชัดเจน สาเหตุเกิดจากความโค้งผิวของเลนส์ตาในระนาบทั้งสองไมเ่ ทา่ กัน
การแก้ไข โดยการสวมแว่นตาท่ีทาดว้ ยเลนสก์ าบกล้วยชนิดเวา้ และชนดิ นนู
ใบงานท่ี 20
1. ขอบเขตและเป้าหมายของประเดน็ ท่จี ะเรียนรู้ ที่นกั เรียนและครูกาหนดรว่ มกัน
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
2. แต่ละกลุ่มไดผ้ ลการสืบค้นเหมือนกนั หรอื ตา่ งกันอย่างไร เพราะเหตุใด
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
3. ความสวา่ งบนพ้ืนทีห่ าได้อยา่ งไร
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
4. ติดหลอดไฟฟา้ ฟลอู อเรสเซนต์ 40 วตั ต์ 3 หลอด โดยมีตัวสะท้อนแสงให้พลังงานแสงทั้งหมดตกบนพื้นโต๊ะที่
มีพน้ื ที่ 10 ตารางเมตร จงหาความสวา่ งบนพน้ื โตะ๊
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
5. ติดหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ 40 วัตต์ ที่มีฟลักซ์ส่องสว่าง 2,700 ลูเมน ในห้องสี่เหลี่ยม ขนาด 3 x 2 x 2
เมตร ความสว่างของห้องน้ีโดยเฉลี่ยมีค่าเท่าไร ให้ฟลักซ์ส่องสว่างที่สูญเสียไปเนื่องจากตัวสะท้อนแสงเท่ากับ
500 ลูเมน และแสงกระทบเพดานหอ้ งนอ้ ยมาก
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
6. จดุ ใกล้และจุดไกลของสายตาเปน็ อยา่ งไร
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
7. ตามองเหน็ แสงสไี ดอ้ ย่างไร
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
8. คนสายตาสัน้ ไม่สามารถมองเหน็ วัตถทุ อ่ี ยไู่ กลเกิน 2.8 เมตรได้ชัดเจน เขาควรแก้ปัญหานี้โดยใช้เลนส์ชนิดใด
และเลนสม์ ีความยาวโฟกัสเท่าใด
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
9. เราจะถนอมสายตาไดอ้ ยา่ งไร
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
10. แวน่ สายตาสน่ั และแว่นสายตายาวแตกตา่ งกันอยา่ งไร
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
11. หลอดไฟฟ้าท่ีมีตัวสะท้อนแสงท่ีดีบรรจุภายใน ให้แสงสว่างตกกระทบพ้ืนโต๊ะเป็นรูปวงกลมรัศมี 20
เซนติเมตร ถา้ หลอดไฟมฟี ลักซส์ ่องสวา่ ง 500 ลูเมน ความสวา่ งบนพ้นื โตะ๊ เป็นเท่าใด
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
12. หอประชุมมีพ้ืนท่ี 800 ตารางเมตร ต้องการความสว่างเฉล่ียที่พ้ืน 200 ลักซ์ ต้องใช้หลอดไฟฟ้า 40 วัตต์
แบบไส้ และแบบฟลูออเรสเซนต์อย่างน้อยกี่หลอดหลอดฉายภาพยนต์มีฟลักซ์ส่องสว่าง 1,020 ลูเมน จะ
สามารถฉายภาพได้ขนาดใหญ่ท่ีสุดเท่าใด ถ้าการสูญเสียพลังงานแสงเน่ืองจากตัวสะท้อนและอุปกรณ์ต่าง ๆ
18 % และให้ ความสว่างเฉลย่ี บนจอ 250 ลกั ซ์
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
13. ภาพเสมือนในกล้องจุลทรรศน์กาลังขยาย 600 เท่า ความสว่าง 300 ลักซ์ และมีพ้ืนท่ีภาพ 0.005 ตาราง
เมตร
- ฟลักซ์สอ่ งสวา่ งของวัตถุมีคา่ เท่าไร
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
- ความสวา่ งของวัตถมุ คี ่าเทา่ ไร
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
14. ต้องการให้ความสว่างบนโต๊ะผ่าตัดพื้นที่ 1 ตารางเมตร มีค่าเพียงพอ จะต้องใช้หลอดไฟฟ้าท่ีมีฟลักซ์ ส่อง
สวา่ งเทา่ ใด ถ้ามกี ารสูญเสยี พลงั งานในตัวสะท้อนแสง 20 %
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
………….……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 8 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5
รายวชิ าฟสิ กิ ส์เพม่ิ เติม (ว30203) เวลา 24 ชั่วโมง
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เวลา 3 ชวั่ โมง
หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 11 แสงเชิงรงั สี
เร่อื ง สี
สาระสาคญั
เมื่อแสงเดินทางผา่ นแผน่ กรองแสงสี บางแสงสีจะถกู ดดู กลืนไว้
เราจาแนกวัตถตุ ามปริมาณและลักษณะของแสงท่ีผ่านไดเ้ ป็น 3 ชนิดคือ
1.วัตถโุ ปร่งใส เป็นวัตถุทีแ่ สงสามารถผ่านไปไดเ้ กือบทัง้ หมดอยา่ งเป็นระเบียบ เชน่ อากาศ นา้ ใส
2.วัตถุโปร่งแสง เป็นวัตถุท่ีแสงผ่านได้บางส่วน และไม่ค่อยเป็นระเบียบ เช่น น้าขุ่น กระจกฝ้า
กระดาษชบุ ไข
3.วัตถุทกึ แสง เป็นวตั ถุท่ไี ม่ใหแ้ สงผา่ นได้เลย ดูดกลนื ไวท้ งั้ หมด เช่น ผนงั ตกึ กระจกเงา
แม่สีของสารสีได้แก่น้าเงินเขียว เหลือง และแดงม่วง ซึ่งเมื่อรวมกันจะได้สีทุติยภูมิได้แก่สี เขียว แดง
และ นา้ เงนิ แต่ถา้ นาสปี ฐมภูมิ 3 สี รวมกนั หรอื นาสที ตุ ิภูมิ 3 สีรวมกนั จะไดส้ ีดา
แมส่ ีของแสงสคี ือ แดง เขยี ว เหลอื ง ซง่ึ เมือ่ รวมกันจะไดแ้ สงสีทุติยภูมิคือ น้าเงินเขียว เหลือง และแดง
ม่วง แต่ถา้ นาแสงสีปฐมภูมิ 3 สี รวมกนั หรือนาแสงสที ตุ ิภมู ิ 3 สรี วมกัน จะได้แสงสขี าว
สาระการเรยี นรู้
- สี
สมรรถนะสาคัญ
1. ความสามารถในการสือ่ สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. มวี นิ ยั
2. ใฝเ่ รยี นรู้
3. มุ่งมน่ั ในการทางาน
4. มีจติ สาธารณะ
5. อยอู่ ย่างพอเพียง
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. เปรยี บเทียบการทางานของตาคนและกล้องถา่ ยรปู
2. อธบิ ายการใช้เลนส์เพ่ือชว่ ยในการมองเห็นของคนสายตาสน้ั และสายตายาว
3. อธบิ ายการมองเห็นสตี ่าง ๆ ของตา
4. ทาการทดลองเพอ่ื สงั เกตการณ์ดูดกลืนแสงของแผน่ กรองแสงสี
5. อธบิ ายความหมายของวตั ถโุ ปร่งใส วตั ถโุ ปรง่ แสง และวัตถุทบึ แสง
6. อธิบายสารสีปฐมภมู ิ
7. ทาการทดลองเพ่อื สังเกตการณ์ผสมแสงสปี ฐมภูมิ และอธบิ ายความหมายของแสงสีปฐมภมู ิ
แนวทางในการบูรณาการ
บรู ณาการกบั กลุม่ สาระสังคมศกึ ษาเร่ืองทรัพยากรธรรมชาติ
กระบวนการจัดการเรียนรู้
กิจกรรมนาสกู่ ารเรียน
1. ขน้ั สร้างความสนใจ (15 นาท)ี
1.1 ใหน้ กั เรียนทดลองหมนุ กระดาษสแี ผ่นวงกลม
1.2 นักเรียนท้ังหมดร่วมกันยกตัวอย่างการมองเห็นสีของวัตถุ ร่วมกันอภิปรายถึง แผ่นกรองแสงสี
การผสมสารสี และการผสมแสงสี รวมท้งั การนาไปใช้ประโยชน์
1.3 ให้นกั เรียนร่วมกนั ต้ังคาถามเกี่ยวกับสง่ิ ท่ตี อ้ งการรู้ จากเนือ้ หาทเี่ กี่ยวกบั เรื่องสี
กิจกรรมพฒั นาการเรียนรู้
2. ข้ันสารวจและค้นหา (60 นาท)ี
2.1 แบง่ นักเรยี นเปน็ กลุ่มละ 4 คน
2.2 นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มร่วมกันวางแผนสืบค้นเร่ืองสี
2.3 นกั เรยี นแต่ละกลุ่มรว่ มกนั สืบค้นเรอ่ื งสี
2.4 นกั เรียนแตล่ ะกลุม่ อภิปรายร่วมกนั ถึงเรื่องสี
3. ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรปุ (45 นาท)ี
3.1 นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลการสืบค้นเร่ืองสี
3.2 นกั เรียนแต่ละกล่มุ ได้ผลการสบื คน้ เหมอื นกันหรอื ตา่ งกันอย่างไร เพราะเหตุใด
3.3 ครูตั้งคาถามวา่
- แผ่นกรองแสงสมี บี ทบาทตอ่ การมองเห็นแสงสีอย่างไร
- การผสมสารสีเป็นอย่างไร
- การผสมแสงสีเปน็ อย่างไร
3.4 นกั เรยี นทัง้ หมดร่วมกนั สรุปผลจากการสืบคน้ เรอ่ื งสี
กจิ กรรมรวบยอด
4. ขั้นขยายความรู้ (90 นาท)ี
4.1 ให้นกั เรียนเสนอแนวคดิ ในการแกป้ ญั หาโจทย์เรอ่ื งสี
4.2 ครูถามวา่ จงเสนอแนวคดิ ในการนาความเข้าใจเกย่ี วกบั เรอื่ งสีเกยี่ วกับแสงไปใชป้ ระโยชน์
4.3 นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ รว่ มกนั สรุปเชือ่ มโยงความคดิ เกีย่ วกบั ความสวา่ ง
5. ขัน้ ประเมินผล (30 นาท)ี
5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอ่านบันทึกประสบการณ์เดิม สิ่งท่ีต้องการรู้ และขอบเขต
เปา้ หมาย แลว้ ตรวจสอบว่าได้เรียนรู้ตามท่ีต้ังเป้าหมายครบถ้วนหรือไม่เพียงใด ถ้ายังไม่ครบถ้วนจะทาอย่างไร
ตอ่ ไป (อาจสอบถามใหค้ รูอธิบายเพ่ิมเติม สอบถามใหเ้ พ่ือนอธิบาย หรอื วางแผนสบื คน้ เพม่ิ เติม)
5.2 ใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดา้ นพทุ ธิพสิ ัย
5.3 ให้นักเรยี นบันทึกหลงั เรียน
5.4 ครใู ห้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ
ให้คะแนน สมดุ บันทกึ รายงานการทดลอง และผลงาน หากขอ้ มลู ไม่เพียงพอใช้วิธีสมั ภาษณเ์ พิ่มเตมิ
สือ่ การเรียนรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้
1. ชดุ การทดลองสีของวตั ถุ
2. ชดุ การทดลองการผสมแสงสบี นฉากขาว
3. หนงั สอื แบบเรยี นรายวิชาฟิสิกส์ เลม่ 3 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
4. แผ่นกรองแสงสี
5. ใบงานท่ี 21
6. ใบความรู้ เรื่อง สี
การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้
1. วิธกี ารวดั และประเมินผล
1.1 สังเกตพฤติกรรมการปฏิบตั งิ านท่มี อบหมาย
1.2 สังเกตพฤตกิ รรมในการฝกึ ปฏิบตั ิงานกลุ่ม
1.3 การทาแบบฝกึ ระหว่างเรยี น
1.4 การทาแบบทดสอบหลังเรียน
2. เคร่อื งมือการวดั และประเมินผล
2.1 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัตงิ านทมี่ อบหมาย
2.2 แบบสังเกตพฤติกรรมในการฝกึ ปฏบิ ัตงิ านกล่มุ
2.3 แบบบนั ทกึ ผลการทาแบบทดสอบหลังเรียน
3. เกณฑ์การวดั และประเมินผล
3.1 กาหนดเกณฑผ์ ่านการประเมิน 70 %
การบูรณาการหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
1. ผูส้ อนใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
หลักพอเพยี ง พอประมาณ มีเหตผุ ลท่ดี ี มภี ูมคิ มุ้ กนั ในตวั ท่ดี ี
ประเด็น
กิจกรรมการเรยี นรู้ - มีการวางแผนการจัดกิจ - จัดการเรียนรู้ตรงตาม - มีการวางแผนการจัดกิจ
กรรมด้านต่างๆชัดเจน มีลา มาตรฐานตวั ชว้ี ัด ก ร ร ม อ ย่ า ง ชั ด เ จ น เ ป็ น
ดับข้ันตอน มีการกาหนด ลาดบั
เน้ือหาสาระ จัดกิจกรรม
ผ่านกระบวนการกลุ่ม
เวลา - กาหนดเน้ือหาสาระเหมาะ - เพื่อให้กิจกรรมการเรียน - มีการเผ่ือเวลาในการทา
สมกับเวลา กิจกรรมการ การสอนบรรลุตัวช้ีวัดได้ตาม กิจกรรมแต่ละขั้นเพื่อให้
เรียนรู้ใช้กระบวนการกลุ่ม เวลาท่กี าหนด นักเรียนที่มีความสามารถ
นักเรียนทางานได้ทันตาม ต่างกันสามารถทางานให้
เวลาทกี่ าหนด เสรจ็ ทนั เวลา
สอ่ื - จัดเตรียมและใช้ส่ือในการ - ใช้เคร่ืองมือเพ่ือให้นักเรียน - มีลาดับข้ันตอนในการ
จัดกิจกรรมการเรียนการ ได้ร่วมอภิปรายในแบบฝึก ใชส้ ่อื ตา่ งๆอย่างคุม้ คา่
สอนเหมาะสมกับจานวน กิจกรรม
กลุ่ม
แหล่งเรยี นรู้ - กาหนดเน้ือหาสาระและ - เพื่อให้การจัดการเรียนรู้ - มี กา รสื บค้ นท าง อิ น
กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะ สอดคล้องกับวิถีชีวิตทาให้ เทอร์เน็ต การค้นคว้าใน
สมกับแหล่งเรียนรู้ สามารถนาความรู้มาใช้ใน หอ้ งสมดุ กอ่ นจะออกแบบ
ชีวิตประจาวันได้ กิจกรรมการเรยี นร้ตู า่ งๆ
ความรู้ทีใ่ ช้ในการจดั - สบื ค้นเทคนคิ วธิ ีการสอน,รปู แบบการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
กิจกรรมการเรยี นรู้
- ศึกษาเน้ือหาด้านต่างๆให้ชดั เจน
คณุ ธรรม
- ศึกษาค้นควา้ และบรู ณาการหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งกบั การจัดการเรียนรู้
- มคี วามรบั ผดิ ชอบในการปฏิบตั ิหน้าทก่ี ารสอน ตรงต่อเวลา เตรียมการสอนล่วงหน้า
- มีความเมตตา ให้ความเสมอภาค และยุติธรรมกับนกั เรยี นทกุ คน
- มคี วามเสียสละ อดทน และใฝ่รู้
2. ผเู้ รยี นมคี ุณลักษณะ “ อยูอ่ ย่างพอเพียง”
พอประมาณ มีเหตุผลทดี่ ี มีภมู ิคมุ้ กันทด่ี ี
- แต่ละกลุ่มแบ่งหน้าที่ในกลุ่ม - มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเน้ือหา - ฝึกการมีส่วนร่วมในการทางาน
เหมาะสมกับความสามารถและ ในเร่ืองที่ศึกษา สามารถวิเคราะห์ข้อ สรา้ งความสามคั คใี นการทางาน
พอเพียงกบั จานวนสมาชกิ มลู ตา่ งๆไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง
- วางแผนการทางานอย่างรอบ - รู้จักทางานร่วมกับผู้อ่ืนโดยใช้กระ
คอบโดยกาหนดเวลาในการทา บวนการกลมุ่
กจิ กรรมอย่างเหมาะสม
ความรู้ (วธิ กี าร) - สืบค้นข้อมลู เพือ่ เสริมสรา้ งความรู้ ความเข้าใจ
- ศึกษา ค้นควา้ วธิ ีการทาแบบฝกึ หัดกิจกรรม และใบงาน
- วิเคราะห์ข้อมลู โดยใช้ทกั ษะกระบวนการคิด
คุณธรรมทีเ่ กิดกับนักเรยี น - มีความรับผิดชอบในหน้าท่ี ท่ีได้รับมอบหมาย ทางานด้วยความเรียบร้อยถูก
ต้อง และเสรจ็ ทันเวลา
- มีความสามัคคีในหมู่คณะ มีวินับเป็นผู้นาและผู้ตามที่ดีขณะปฏิบัติงานร่วม
กัน
- ร่วมกจิ กรรมการเรียนรู้ดว้ ยความกระตือรอื ร้น สนใจ ตั้งใจ และใฝ่เรยี นรู้
3. ผลลพั ธ์ KPA 4 มติ ิ ท่ีเก่ยี วขอ้ งกับการอยู่อยา่ งพอเพียง
ผลลัพธ์ สมดุลพร้อมต่อการเปล่ยี นแปลงในด้านตา่ งๆ
ดา้ นวตั ถุ ดา้ นสงั คม ดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม ด้านวัฒนธรรม
-
ดา้ นความรู้ - มีความรู้ความเข้าใจ - มีความรู้เก่ียวกับการ - มีความรู้ความเข้าใจ
-
เกีย่ วกบั สี ทางานเป็นกลุ่มและ ธรรมชาติของฟสิ ิกส์
การวางแผนร่วมกับผู้
อน่ื
ด้านทักษะ - มีความสามารถใน - สามารถทางานร่วม -
การอภิปราย ทาแบบ กับผู้อื่นในรูปแบบกลุ่ม
ฝกึ /ใบงาน และมีทัก ษะในกา ร
สร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้
อืน่
กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนทบทวนโดยค้นคว้าด้วยตนเองและฝึกปฏิบัติเพิ่มเติม พร้อมทั้งแบบฝึกหัดเพิ่มเติมจาก
หนังสอื แบบเรยี น
บนั ทึกผลหลังการสอน
ผลการเรียนรู้
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ปญั หาและอปุ สรรค
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ......................................................ผู้สอน
(นางสาวกนกวรรณ บุญเกตุ)
ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียนศรีสโมสรวทิ ยา
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื …………………………………………
(นายเมธี วฒั นสิงห์)
ผอู้ านวยการโรงเรยี นศรีสโมสรวทิ ยา
ใบความรู้
เรื่อง สี
แสงและทัศนอปุ กรณ์ สี
1. แสงและทัศนอปุ กรณ์
2. สี เมือ่ ใหแ้ สงสีขาวซึ่งประกอบด้วยแสงหลายสีตกกระทบแผ่นพลาสติกใสจะเป็นสี ใดก็ตามก็จะเห็น
พลาสติกใสเป็นสีนั้น แต่ถ้าใช้ปริซึมสามเหลี่ยมกระจายแสงผ่านแผ่น พลาสติกใสสีต่างๆ จะพบว่ามีแสงสีอ่ืน
ทะลผุ า่ นไปบา้ งแต่แสงบางสจี ะถกู ดดู กลืนไว้ เช่น ถา้ ใช้แผ่นพลาสติกใสสีแดงกั้นจะเห็นเป็นแถบสีแดง ซ่ึงอาจมี
สีส้มปน ส่วนแสงสมี ว่ ง สี น้าเงิน สเี ขยี ว จะถกู กลนื โดยปรมิ าณของแสงสีแดงที ออกมาจะมากท่ีสุด เราจึงเห็น
แผ่น พลาสติกมสี แี ดง
3. จากการให้แสงตกกระทบวัตถุ จะพบว่าเราอาจแบ่งชนิดวัตถุตามปริมาณ และลักษณะที่แสงผ่าน
วัตถุดังน้ี
1.วัตถโุ ปรง่ แสง หมายถงึ วัตถุทใี่ ห้แสงผ่านไปได้อย่างไม่เป็นระเบียบดังนั้น เราจึงไม่สามารถมอง
ผ่านวตั ถนุ ไ้ี ดช้ ดั เจน ตัวอยา่ งวัตถุชนดิ นีไ้ ด้แก่ น้าขุ่น กระจกฝ้า และกระดาษชบุ ไข
2.วัตถโุ ปร่งใส หมายถึง วัตถุที่ให้แสงผ่านไปได้เกือบท้ังหมดอย่างเป็นระเบียบเราจึงสามารถมอง
ผา่ นวตั ถนุ ไี้ ดช้ ัดเจน ตวั อยา่ งวตั ถชุ นดิ นี้ไดแ้ ก่ กระจกใส และแกว้ ใส เป็นต้น
3.วตั ถุทบึ แสง หมายถงึ วัตถุทีไ่ ม่ใหแ้ สงผา่ นเลย แสงทงั้ หมดจะถกู ดดู กลืนไว้หรือสะท้อนกลับ เรา
จึง ไม่สามารถมองผ่านวัตถุชนดิ นีไ้ ดต้ ัวอย่างขงวตั ถชุ นดิ นีไ้ ดแ้ ก่ ไมผ้ นังตึก และกรจกเงา
4. กระบวนการผสมสี (Additive process) กระบวนการเกิดสีโดยการผสมแสงสีต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
ลาแสงของสีปฐมภูมิซ่ึงได้แก่ สีแดง สีเขียว และสีน้าเงิน สามารถผสม กันเพ่ือให้ได้สีอื่นดังแสดงในภาพ
กระบวนการน้ีเราเรียกว่า การผสมแสงสี ตัวอย่างเช่น สีแดง รวมกับสีเขียว จะให้สีเหลือง ในขณะท่ีสีท้ังสาม
(แดง เขียว น้าเงิน) ผสมกันจะให้สีขาว สีเฉดเช่นสีชมพูหรือสีน้าตาล มีสีปฐมภูมิท้ังสามปนอยู่ในระดับ ต่าง ๆ
กัน จอโทรทัศน์สีมีจุดเล็ก ๆ นับพัน ๆ จุด หรือแถบนับพัน ๆ แถบ ที่จะสว่าง ขึ้นเป็นสีแดง สีเขียว และสีน้า
เงนิ นยั น์ตาของเราจะผสมสเี หลา่ นจ้ี นเรามองเหน็ ภาพ ได้ครบถ้วนทุกสี
5. สีของวัตถุ สีของวัตถุท่ีมองเห็นแสดงได้ด้วยสมบัติ 3 อย่าง คือ ก. ฮิว(Hue) คือ แถบแสงสีแต่ละ
แสงสีในสเปคตรัม เช่น แถบแสงสีแดง สีส้ม สี เหลือง สีเขียว สีน้าเงิน และสีม่วง ข. ความสว่างของแสงสี
(Lightness) คอื ปริมาณแสงสะทอ้ นออกจากแถบแสงสแี ต่ จะแสงสี ทาให้เกิดความรู้สึกว่ามีแสงผ่านเข้าตามาก
หรือน้อย ค. ความอ่ิมตัวของสี (Color Saturation) คือจานวนหรือขนาดท่ีบอกให้ทราบว่าแถบ สีน้ัน อยู่ห่าง
จากท่ีไม่มีสี (Achromatic Color) สีที่อิ่มตัวคือสีท่ีไม่มีสีขาวปนอยู่เลย เช่น สีแดง สีน้าเงิน เขียว ส่วนสีท่ีมีสี
ขาวปนมากเท่าใด ความอ่มิ ตัวกย็ ิง่ น้อยลงเท่านน้ั เรยี กว่า สีไมอ่ ิม่ ตวั เช่น สีชมพู สีฟา้ เทา เปน็ ต้น
6. การมองเห็นสี (Color Vision) ในปี ค.ศ. 1801 Thomas Young ได้กล่าวว่าการผสมสีของแสงจะ
ทา ให้เกิดความรู้สึกในการเห็นแสงสีใหม่ โดยสามารถเห็นได้เพราะนัยน์ตามี เซลล์ประสาทรับแสงสี (Cones)
3 ชดุ คือชดุ ทม่ี คี วามไวสูงสดุ กับแสงสีแดง ชุดที่มีความไวสงู สดุ กับแสงสีเขียว และชุดท่ีมีความไวสูงสุดกับแสงสี
น้า เงิน เซลล์ประสาทรับแสงสีทั้ง 3 ชุดนี้ จะมีความไวต่อแถบแสงสีใน สเปคตรัมที่ตามองเห็นได้แสงสีแดง
แสงสีนา้ เงิน และแสงสีเขียว เรียกว่า เป็น แม่สี หรือ สีปฐมภูม (primary Color) ซึ่งถือว่าเป็นแสงสีบริสุทธิ์ ท่ี
ไม่ สามารถจะแยกออกเปน็ แสงสอี ่ืน ๆ ได้
7. (กระบวนการเกดิ สโี ดยการผสมแสง) การผสมแสงสี เม่ือฉายแสงสีแดง สีเขียว และสีน้าเงิน ซ่ึงเป็น
สีปฐมภูมิไป รวมกันบนฉากขาว ความรู้สึกในการมองเห็นสีบนฉากจะผสม กัน ทาให้เห็นเป็นสีต่าง ๆ ดังนี้ •
แสงสีแดง + แสงสีน้าเงิน= แสงสีม่วงแดง (Magenta) • แสงสีแดง + แสงสีเขียว = แสงสีเหลือง (Yellow or
lemon) • แสงสนี า้ เงนิ + แสงสเี ขียว = แสงสีไซแอนหรือน้าเงิน-เขียว (Cyan or Blue-Green) • แสงสีแดง +
แสงสีน้าเงิน+ แสงสีเขียว = แสงสีขาว(White) ส่วนสีสองสีที่รวมกันแล้วได้สีขาว สีท้ังสองเป็นสีเติมเต็ม
(complementary colors) ของกันและกัน เช่น สีเหลือง เป็นสีเติม เต็มของสีน้าเงินและในขณะเดียวกันสีน้า
เงินก็เป็นสีเตมิ เต็มของ สีเหลอื งด้วย
ใบงานท่ี 21
1. ขอบเขตและเป้าหมายของประเดน็ ทจ่ี ะเรียนรู้ ทน่ี ักเรยี นและครกู าหนดร่วมกัน
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
2. ผลการทดลองสขี องวตั ถุ
ปัญหา………………………………………………………………………………………………....................................................
สมมติฐาน…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตัวแปรตน้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตัวแปรตาม…………………………………………………………………………………………..................................................
ตัวแปรควบคุม………………………………………………………………………………………………………………………………………
วธิ ที ดลอง…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
ผลการทดลอง
3. แต่ละกลุม่ ได้ผลการทดลองเหมอื นกันหรอื ตา่ งกนั อย่างไร เพราะเหตุใด
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
4. เมอื่ กั้นแสงหนา้ ชอ่ งแสงดว้ ยแผน่ พลาสติกใสแต่ละสี เปรียบเทียบกับแถบสีท่ีเห็นกรณีที่ไม่มีแผ่นพลาสติกใส
ก้ัน แตกต่างกนั อยา่ งไร
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
5. สรปุ ผลการทดลองสขี องวตั ถุ
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
6. ผลการทดลองการผสมแสงสีบนฉากขาว
ปญั หา………………………………………………………………………………………………....................................................
สมมตฐิ าน…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตวั แปรตน้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตัวแปรตาม…………………………………………………………………………………………..................................................
ตวั แปรควบคมุ ………………………………………………………………………………………………………………………………………
วิธีทดลอง…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
ผลการทดลอง
7. แตล่ ะกลุม่ ไดผ้ ลการทดลองเหมอื นกันหรือต่างกันอยา่ งไร เพราะเหตใุ ด
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
8. สที ี่ปรากฏบนฉาก ณ บริเวณที่วงสซี ้อนกัน เหมือนกับสีของแสงท่ีมาซอ้ นสใี ดสีหนึง่ หรือไม่ อยา่ งไร
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
9. สรปุ ผลการทดลองการผสมแสงสบี นฉากขาว
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
10. แผน่ กรองแสงสมี ีบทบาทต่อการมองเห็นแสงสีอยา่ งไร
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
11. การผสมสารสเี ปน็ อยา่ งไร
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
12. การผสมแสงสเี ปน็ อยา่ งไร
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
13. แผน่ กรองแสงมีอิทธพิ ลตอ่ ความสวา่ งอยา่ งไร
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
14. เม่ือฉายวัตถดุ ว้ ยแสงขาว เห็นวตั ถโุ ปร่งแสง ก สีขาว และเห็นวัตถุโปร่งแสง ข สีเขียว ถ้าฉายด้วยแสงสีแดง
จะเหน็ วตั ถุ ก และวัตถุ ข เปน็ สอี ะไร
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
15. แนวคดิ ในการนาความเขา้ ใจเกย่ี วกับเร่ืองสเี กี่ยวกับแสงไปใช้ประโยชน์
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
.………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
แบบทดสอบก่อนเรยี น – หลังเรียน
รายวชิ า ฟิสกิ ส์ รหสั วิชา ว30203
เรื่อง แสงเชิงรงั สี
1. ในการทดลองการเกิดเงาของวัตถุ ถ้าแหล่งกาเนิดแสงมีขนาดเล็กมากๆ เสมือนเป็นจุดเงาที่เกิดขึ้นบนฉาก
จะมลี ักษณะเชน่ ไร
ก. เงามดื อยา่ งเดยี ว ข. เงามัวอยา่ งเดยี ว
ค. เงามวั ล้อมเงามืด ง. เงามดื ลอ้ มเงามวั
2. แหลง่ กาเนิดแสงทรงกลมรัศมี 5 เซนตเิ มตร วางห่างจากทรงกลมทึบแสง โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่แนวเดียวกัน
ท่ีระยะ 40 เซนติเมตร ด้านหลังทรงกลมทึบแสง พบจุดที่มีเงามืดเล็กสุดอยู่ไกลจากจุดศูนย์กลางของทรงกลม
10 เซนตเิ มตร จงหาว่าเงามวั ซง่ึ ล้อมรอบเงามดื ท่เี ล็กสุดนั้นมีเสน้ ผา่ นศนู ย์กลางกีเ่ ซนติเมตร
ก. 2.5 เซนติเมตร ข. 5 เซนติเมตร
ค. 10 เซนติเมตร ง. 20 เซนติเมตร
3. แหล่งกาเนดิ แสงทรงกลมเสน้ ผ่านศูนย์กลาง 5 เซนติเมตรวางห่างจากแกนออกมาระยะหนึ่งเม่ือนาวัตถุแบน
วงกลมขนาดเสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง 15 เซนติเมตร วางไว้ท่ีก่ึงกลางระหว่างแหล่งกาเนิดกับฉาก โดยใช้ระนาบของ
วตั ถุขนานกับฉาก จงหาความกว้างของเงามัวท่ีปรากฏบนฉาก
ก. 5 cm ข. 7.5 cm ค. 10 cm ง. 12.5 cm
4. แหล่งกาเนิดแสงเป็นจุด อยู่ห่างจากฉากเป็นระยะ 120 เซนติเมตร นาแผ่นไม้ขนาด 10 × 15 เซนติเมตร
วางห่างจากแหล่งกาเนิดแสงเป็นระยะ 75 เซนติเมตร ขนานกับฉาก โดยแหล่งกาเนิดแสง จุดกึ่งกลางแผ่นไม้
และจุดกง่ึ กลางของฉากอยใู่ นแนวเส้นตรงเดียวกัน ดงั รูป จงหาวา่ จะเกิดเงามืดบนฉากขนาดกต่ี ารางเซนติเมตร
ก. 150 ตารางเซนติเมตร ข. 256 ตารางเซนตเิ มตร
ค. 384 ตารางเซนตเิ มตร ง. 576 ตารางเซนติเมตร
5. เมอ่ื แสงตกกระทบท่พี ืน้ ผวิ ขรุขระจะเป็นอยา่ งไร
ก. มุมตกกระทบโตกวา่ มุมสะท้อน ข. มมุ ตกกระทบเทา่ กบั มมุ สะท้อน
ค. มมุ สะทอ้ นโตกวา่ มมุ ตกกระทบ ง. รงั สีสะทอ้ นเทา่ กบั รังสีตกกระทบ
6. ภาพของวัตถุที่สะท้อนจากกระจกเงาราบเปน็ อยา่ งไร
(1) ภาพจรงิ (2) ภาพเสมอื น (3) มขี นาดเท่ากบั วัตถุ
(4) มีขนาดเล็กกวา่ วตั ถุ (5) มีขนาดใหญ่กว่าวตั ถุ
ก. ขอ้ (1) และ (3) ข. ขอ้ (1) และ (5)
ค. ขอ้ (2) และ (3) ง. ขอ้ (2) และ (4)
7. กระจกเงาราบ AB และ BC วางเอียงทามุม 45o กับพื้นราบ รังสีของแสงตกกระทบด้าน AB ดังรูป จง
พจิ ารณาว่าขอ้ ความใดต่อไปนถี้ กู ต้อง
ก. รังสีสะท้อนดา้ น BC ทามมุ สะทอ้ น 30o
ข. รังสีสะท้อนจากด้าน AB ไปยงั BC ขนานกบั พ้นื ราบ
ค. รงั สีตกกระทบด้าน AB และรงั สีสะทอ้ นดา้ น BC ขนานกนั
ง. รงั สีสะท้อนดา้ น BC ทามุม 60o กับเส้นแนวฉาก
8. ผู้หญิงคนหน่ึงสูง 160 เซนติเมตร และมีดวงตาอยู่ต่ากว่าส่วนท่ีสูงที่สุดในร่างกาย 10 เซนติเมตร หากต้อง
สองกระจกเงาราบ โดยให้มองเห็นได้ตลอดท้ังตัว กระจกต้องมีความยาวอย่างน้อยที่สุดเท่าไร และต้องติดตั้ง
กระจกใหส้ งู จากพนื้ เป็นระยะเท่าใด
ก. กระจกตอ้ งมีความยาว 75 เซนติเมตร และอย่สู ูงจากพ้ืน 80 เซนตเิ มตร
ข. กระจกตอ้ งมคี วามยาว 80 เซนตเิ มตร และอยู่สูงจากพ้ืน 75 เซนตเิ มตร
ค. กระจกตอ้ งมีความยาว 150 เซนติเมตร และอยู่สงู จากพื้น 75 เซนตเิ มตร
ง. กระจกต้องมคี วามยาว 160 เซนติเมตร และอย่สู ูงจากพ้นื 80 เซนตเิ มตร
9. C เป็นจดุ ศนู ย์กลางความโคง้ F เปน็ จุดโฟกัส ถ้า XY เป็นรงั สตี กกระทบ รงั สสี ะท้อนจะเป็นไปตามหมายเลข
ใด
ก. เลข 1 ข. เลข 2 ค. เลข 3 ง. เลข 4
10. เมือ่ วางวัตถุหนา้ กระจกโคง้ นนู บานหนงึ่ ขอ้ ใดต่อไปนี้เป็นภาพของวัตถุท่เี กิดข้นึ
(1) เปน็ ภาพเสมอื น (2) มขี นาดเล็กกวา่ วตั ถุ
(3) เกดิ ข้นึ หลงั กระจกทรี่ ะยะห่างจากกระจกนอ้ ยกวา่ ระยะความยาวโฟกสั ของกระจก
ก. (1) และ (2) เทา่ นั้น ข. (2) และ (3) เทา่ นั้น
ค. (1) และ (3) เทา่ น้ัน ง. (1) , (2) และ (3)
11. ต้องวางวตั ถหุ ่างจากกระจกเว้าอยา่ งไร จงึ มองเห็นภาพเสมือนในกระจก
ก. วัตถุอย่ทู ่จี ดุ กึ่งกลางความโคง้
ข. วัตถอุ ยหู่ ่างจากกระจกเท่ากบั ความยาวโฟกสั
ค. วตั ถอุ ย่หู า่ งจากกระจกน้อยกว่าความยาวโฟกสั
ง. วตั ถอุ ยู่ระหว่างจุดโฟกัสกับจุกศูนย์กลางความโคง้
12. ถ้าต้องการภาพท่ีเกิดจากกระจกเงาโค้ง เป็นภาพเสมือน ขนาดใหญ่กว่าวัตถุ ควรใช้กระจกชนิดใด และ
ความยาวโฟกัสเป็นอยา่ งไร ถ้าวัตถอุ ยู่หา่ งจากกระจกเปน็ คา่ คงที่คา่ หน่งึ
ก. กระจกนนู ทม่ี ีความยาวโฟกสั มากกว่าระยะวตั ถุ
ข. กระจกนนู ทีม่ ีความยาวโฟกสั น้อยกวา่ ระยะวัตถุ
ค. กระจกเวา้ ที่มคี วามยาวโฟกัสมากกวา่ ระยะวตั ถุ
ง. คลื่นสะทอ้ นจะมีองคป์ ระกอบของคล่นื เปล่ียนแปลงไปเมื่อเทยี บกบั คลนื่ ตกกระทบ
13. ถ้าต้องการภาพท่ีเกิดจากกระจก เกิดขึ้นท่ีหน้ากระจกและมีขนาดเท่ากับวัตถุ กระจกน้ันควรเป็นกระจก
ชนดิ ใด
ก. กระจกนนู ข. กระจกเวา้
ค. กระจกระนาบ ง. เลนส์นนู และกระจกเว้า
14. ภาพเสมอื นท่ีได้จากกระจกนูนตา่ งจากภาพเสมอื นท่ไี ด้จากกระจกเว้าอยา่ งไร
กระจกนนู กระจกเวา้
1. หัวต้งั หวั กลับ
2. หวั กลับ หัวต้งั
3. ขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก
4. ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่
15. ถ้าเลื่อนวตั ถจุ ากระยะซงึ่ ห่างจากกระจกเวา้ f ไปยงั ระยะ 2f ภาพของวตั ถจุ ะเคลื่อนท่ีอยา่ งไร
ก. จากระยะ f ไปยัง 2f ข. จากระยะ 2f ไปยัง f
ค. จากระยะอนนั ตไ์ ปยงั 2f ง. จากระยะ 2f ไปยังระยะอนนั ต์
16. จากรปู กระจก A, B, C และ D ควรเป็นกระจกชนดิ ใดตามลาดับ
ก. กระจกเวา้ กระจกเวา้ กระจกราบ กระจกนนู
ข. กระจกนนู กระจกนูน กระจกนนู กระจกเว้า
ค. กระจกนนู กระจกนูน กระจกราบ กระจกเว้า
ง. กระจกเวา้ กระจกนูน กระจกราบ กระจกเวา้
17. วางวัตถุสูง 8 เซนติเมตร หน้ากระจกโค้งทาให้เกิดภาพจริงหน้ากระจกขนาด 4 เซนติเมตร ห่างจากวัตถุ
12 เซนติเมตร จงหาความยาวโฟกสั ของกระจกโคง้
ก. 2 เซนติเมตร ข. 2.5 เซนตเิ มตร
ค. 8 เซนตเิ มตร ง. 8.5 เซนตเิ มตร
18. เด็กคนหน่ึงสูง 100 เซนติเมตร ยืนห่างจากกระจกนูน 50 เซนติเมตร มองเห็นภาพตัวเองในกระจกสูง 60
เซนติเมตร กระจกนูนมรี ศั มคี วามโค้งกเี่ ซนตเิ มตร
ก. 30 เซนตเิ มตร ข. 75 เซนติเมตร
ค. 150 เซนตเิ มตร ง. 300 เซนตเิ มตร
19. เมื่อวางวัตถุไว้หน้ากระโค้งบานหน่ึงเป็นระยะทาง 10 และ 30 เซนติเมตร ปรากฏว่าได้ภาพเสมือนขนาด
เทา่ กันพอดี ความยาวโฟกัสของกระจกมีขนาดเท่าไร
ก. 10 เซนตเิ มตร ข. 20 เซนตเิ มตร
ค. 30 เซนติเมตร ง. 40 เซนตเิ มตร
20. ดัชนีหักเหของเพชรมากกว่าน้า และดัชนีหักเหของน้ามากกว่าอากาศ จากรูป ตัวกลาง X, Y และ Z คือ
ข้อใด
X YZ
ก. น้า อากาศ เพชร
ข. นา้ เพชร อากาศ
ค. อากาศ
ง. เพชร นา้ เพชร
น้า อากาศ
เฉลย
แบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน
เร่ือง แสงเชงิ รังสี
1. ก 11. ค
2. ข 12. ค
3. ก 13. ข
4. ค 14. ง
5. ข 15. ค
6. ค 16. ค
7. ค 17. ค
8. ข 18. ค
9. ง 19. ข
10. ง 20. ก
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏิบัตงิ านที่มอบหมาย
ที่ ช่อื -สกลุ พฤติกรรมการปฏบิ ตั ิงาน รวม
1 สนใจ มสี ว่ นร่วม ตรงเวลา ถูกต้อง (20 คะแนน)
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 5 คะแนน
1) นกั เรียนมีพฤตกิ รรมการปฏบิ ตั งิ านที่มอบหมายอย่างสมา่ เสมอ ให้ 4 คะแนน
2) นักเรยี นมีพฤติกรรมการปฏบิ ัตงิ านทม่ี อบหมายบอ่ ยคร้งั ให้ 3 คะแนน
3) นักเรยี นมพี ฤติกรรมการปฏิบตั งิ านทมี่ อบหมายบางครง้ั ให้ 2 คะแนน
4) นกั เรยี นมพี ฤติกรรมการปฏิบตั งิ านทมี่ อบหมายนอ้ ยคร้ัง ให้ 1 คะแนน
5) นักเรยี นมพี ฤตกิ รรมการปฏบิ ัตงิ านทม่ี อบหมายนอ้ ยครง้ั
การประเมนิ คุณภาพของการปฏบิ ตั งิ าน ผลการประเมนิ
ช่วงคะแนน ดีมาก
18-20 ดี
14-17 พอใช้
10-13 ปรบั ปรุง
ตา่ กว่า 10