คำนำ
เอกสารคู่มือนิเทศการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษา เล่มนี้
ใช้เป็นเครื่องมือสาหรับศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารสถานศึกษา ในการกับติดตาม ส่งเสริมการวัดวัดผล
ประเมินผลการเรียนรู้ควบคู่ไปพร้อมกับการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนในช้ันเรียนให้เป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ ตรงตามมาตรฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พทุ ธศกั ราช 2551 ให้เกดิ ผลสมั ฤทธส์ิ ูงข้ึนตามเปา้ หมาย
ความสาคัญในการนิเทศน้ันมีจุดมุ่งหมายที่จะให้เกิดการเปล่ียนแปลง และพัฒนาให้กับครู ในด้าน
การจัดการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล สู่ตัวผู้เรียนได้พัฒนาท้ังด้านความรู้ เจตคติ สมรรถนะ
ทักษะท่ีสาคัญจาเป็น ซ่ึงจาเป็นต้องมีคู่มือสาหรับผู้นิเทศ ที่มีส่วนองค์ประกอบครบถ้วนท้ังด้านความรู้
ขอบข่ายงานท่ีจะนิเทศ เทคนิควิธีการนิเทศ และเคร่ืองมือการนิเทศ และภายในเล่มนี้ได้บรรจุ
องค์ประกอบสาคัญดังกล่าวไว้ครบถ้วน ซ่ึงหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการนิเทศพัฒนาครู ด้านการวัดผล
ประเมินผลในช้ันเรยี นตอ่ ไป
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกึ ษา ราชบรุ ี เขต 2
สำรบญั
เรื่อง หน้ำ
คำนำ
หน่วยที่ 1 กระบวนกำรนเิ ทศกำรวัดและประเมินผลกำรจดั กำรเรยี นรู้ 1
ความเป็นมา 1
วตั ถุประสงค์ 2
กระบวนการนเิ ทศ 2
กิจกรรมการนเิ ทศ 3
เทคนิคการนทิ ศ 5
หน่วยท่ี 2 ควำมรู้พื้นฐำนเก่ียวกับกำรวัดและประเมนิ ผลกำรจัดกำรเรียนรู้ 13
จุดมุ่งหมายของการวัดและประเมินผลการจดั การเรียนรู้ 13
หลักการดาเนินการวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษา
ขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 13
องค์ประกอบของการวดั และประเมินผลการจัดการเรียนรู้ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษา
ขัน้ พืน้ ฐานพุทธศักราช 2551 14
กระบวนการวดั และประเมินผลการจดั การเรียนรตู้ ามหลักสตู ร 19
หน่วยท่ี 3 กำรวำงแผนกำรวัดและประเมินผลกำรจดั กำรเรยี นรู้ 25
กรอบแนวคิดการออกแบบการวดั และประเมินผลเพอ่ื ยกระดบั คณุ ภาพการศึกษา 25
ใบงาน 29
ใบความรู้ 40
หนว่ ยท่ี 4 กำรออกแบบกำรวดั และประเมนิ ผลกำรจัดกำรเรยี นรู้ 61
การวเิ คราะห์หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้ เพื่อกาหนดพฤติกรรมการเรียนรู้ 64
ตัวอย่างการวเิ คราะหห์ ลักสูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้ 64
ตวั อย่างแผนการจัดการเรียนรู้ 66
สำรบัญ(ตอ่ ) 69
72
บรรณำนกุ รม
ภำคผนวก 74
เครือ่ งมอื นเิ ทศ 75
- แบบบนั ทึกการนเิ ทศ 80
- แบบสอบถามสภาพปัญหาและความต้องการการวดั และประเมินผลการจัดการเรียนรู้
ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 84
- แบบประเมินการปฏบิ ตั งิ านการวดั และประเมนิ ผลการจัดการเรยี นรู้สาหรบั ครูผสู้ อน
- แบบสอบถามความพงึ พอใจของครูตอ่ การรบั การนเิ ทศการวัดและประเมนิ ผลการจัด 85
การเรยี นรู้ 87
- แบบสอบถามความพงึ พอใจของนักเรียนที่มีต่อการปฏิบัติงานการวดั และประเมนิ ผล
การเรยี นร้ขู องขา้ ราชการครู(สาหรับนักเรยี น)
คณะทำงำน
หน่วยที่ 1
กระบวนการนิเทศ
การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ ส่กู ารยกระดับคณุ ภาพการศึกษา
ความเปน็ มา
การนิเทศการวดั และประเมินผลการเรียนรู้สู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษา เปน็ กระบวนการ
ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูผู้สอนสามารถจัดการวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ควบคู่กับการจัดกา รเรียน
การสอน เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้ได้คุณภาพ ตามมาตรฐานหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2551 ดาเนินการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ
การร่วมกิจกรรมและการทดสอบ ควบคู่ไปพร้อมกับกระบวนการเรียนการสอน (กระทรวงศึกษาการ,
2547) จากการติดตามการใช้หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งเป็น
หลักสูตรอิงมาตรฐานเป็นเป้าหมายพัฒนาคุณภาพผู้เรียน พบปัญหาความสับสนของครูผู้ปฏิบัติ
ในระดับชั้นเรียนและสถานศึกษาส่วนใหญ่ดาเนินการวัดผลประเมินผล ไม่สะท้อนมาตรฐาน ส่งผล
ต่อปัญหาการจัดทาเอกสารหลักฐานทางการศึกษา รวมถึงปัญหาคุณภาพของผู้เรียนในด้านความรู้
ทักษะความสามารถ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ยังไม่เป็นที่พอใจ (กระทรวงศึกษาการ, 2551)
ในกระบวนการจัดการศึกษา ซ่ึงมีองค์ประกอบสาคัญ 3 ประการ ประกอบด้วยมาตรฐานหลักสูตร
เป็นเป้าหมาย กิจกรรมการเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผลจึงจะทาให้กระบวนการสมบรู ณ์
โดยเฉพาะ การวัดผลประเมินผล เป็นส่วนสาคัญท่ีจะต้องปรับเปลี่ยนพัฒนา ไปตามสภาพ
(ส. วาสนา ประวาลพฤกษ์, 2544, 12) ตามทิศทางการปฏิรูปการศึกษาหลักสูตรใหม่ที่เน้นผู้เรียน
เป็นสาคัญเพราะเป็นกระบวนการที่มีบทบาทสาคัญต่อการตรวจสอบคุณภาพของผเู้ รยี นอย่างต่อเนอื่ ง
เป็นเครื่องมือกระตุ้นพัฒนาการผู้เรียนช่วยให้ได้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนว่าบรรลุตามมาตรฐาน
การเรียนรู้เพียงใดดังนั้น สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาในเครือข่าย จึงจัดทาคู่มือนิเทศ การวัดผล
ประเมินผลการเรียนรู้สู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพื่อนาไปเป็นแนวทางพัฒนากระบวนการวัด
และประเมนิ ผล ทมี่ ปี ระสิทธภิ าพต่อไป
2
วัตถุประสงค์
1. เพ่ือเปน็ เอกสารประกอบการนิเทศเกย่ี วกับการดาเนนิ การวดั ผลและประเมนิ ผลในชั้นเรยี น
2. เพื่อให้ครูผู้สอนเข้าในแนวทางการดาเนินการวัดผลและประเมินผลในช้ันเรียนตรงตาม
มาตรฐาน
3. เพ่อื ใหค้ รูสามารถวางแผนการวัดผลและประเมนิ ผลไดอ้ ย่างเปน็ ระบบเหมาะสม
4. เพอ่ื ให้การปฏบิ ตั กิ ารวดั ผลและประเมินผลการเรยี นรู้ของครผู สู้ อนในชัน้ เรยี นดาเนินไป
อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
กระบวนการนิเทศ
กระบวนการนเิ ทศ PIDRE (สงดั อุทรานนั ท,์ 2527) ประกอบดว้ ย
1. การวางแผน (Planning : P )
2. การใหค้ วามรู้ความเข้าใจในการทางาน (Informing : I )
3. การลงมอื ปฏิบัตงิ าน ( Doing : D)
4. การสรา้ งเสริมกาลังใจ (Reinforcing :R)
5. การประเมนิ ผลการนเิ ทศ (Evaluating : E)
กระบวนการนิเทศ
PIDRE
PPlanning IInforming DDoing RReinforcing EEvaluating
ให้ความรู้เข้าใจ ลงมือ สร้างเสริม ประเมนิ
วางแผน ในการทางาน ปฏบิ ตั ิงาน กาลงั ใจ การนิเทศ
การนิเทศ
กระบวนการนิเทศของ สงดั อุทรานนั ท์ ซ่งึ เปน็ กระบวนการนเิ ทศท่สี อดคล้องกบั สภาพ
สงั คมไทย 5 ขั้นตอน เรยี กว่า “PIDER” ดงั นี้
(1) การวางแผน (P-Planning) เปน็ ข้นั ตอนทผี่ บู้ ริหาร ผูน้ ิเทศและผรู้ ับการนิเทศ
จะทาการประชมุ ปรกึ ษาหารอื เพื่อใหไ้ ด้มาซงึ่ ปัญหาและความต้องการจาเป็นท่ีต้องมีการนิเทศ
รวมท้ังวางแผนถึงขัน้ ตอนการปฏบิ ตั ิเก่ียวกับการนเิ ทศที่จดั ข้ึน
3
(2) ให้ความรู้ก่อนดาเนินการนิเทศ (Informing-I) เป็นขั้นตอนของการให้ความรู้
ความเข้าใจถึงสิ่งที่จะดาเนินการว่าต้องอาศัยความรู้ ความสามารถอย่างไรบ้าง จะมีขั้นตอน
ในการดาเนินการอยา่ งไร และจะดาเนินการอย่างไรให้ผลงานออกมาอย่างมคี ุณภาพ ขัน้ ตอนน้ีจาเป็น
ทุกคร้ังสาหรับเริ่มการนิเทศที่จัดขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม และเมื่อมีความจาเป็นสาหรับงาน
นิเทศที่ยังเป็นไปไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่ถึงข้ันท่ีพอใจซ่ึงจาเป็นท่ีจะต้องทบทวนให้ความรู้
ในการปฏิบัติงานทถี่ ูกตอ้ งอกี ครงั้ หน่ึง
(3) การดาเนินการนิเทศ (Doing-D) ปะกอบด้วย การปฏิบัติงาน 3 ลักษณะ คือ
การปฏิบัติงานของผู้รับการนิเทศ (ครู) การปฏิบัตงิ านของผใู้ ห้การนิเทศ (ผู้นิเทศ) การปฏิบัติงานของ
ผูส้ นบั สนุนการนเิ ทศ (ผู้บรหิ าร)
(4) การสร้างเสริมขวัญกาลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานนิเทศ (Reinforcing-R) เป็นข้ันตอน
ของการเสริมแรงของผู้บริหาร ซ่ึงให้ผู้รับการนิเทศมีความมั่นใจและบังเกิดความพึงพอใจในการ
ปฏิบัติงานขั้นน้ีอาจดาเนินไปพร้อม ๆ กับผู้รับการนิเทศท่ีกาลังปฏิบัติงานหรือการปฏิบัติงานได้เสร็จ
สน้ิ แล้วกไ็ ด้
(5) การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating-E) เป็นข้ันตอนท่ีผู้นิเทศนาการ
ประเมินผลการดาเนินงานที่ผา่ นไปแล้ววา่ เป็นอย่างไร หลังจากการประเมินผลการนิเทศ หากพบว่ามี
ปัญหาหรือมีอุปสรรคอย่างใดอย่างหนง่ึ ท่ีทาให้การดาเนินงานไม่ได้ผล สมควรทจี่ ะตอ้ งปรบั ปรุง แก้ไข
ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขอาจทาได้โดยการใหค้ วามรู้เพ่ิมเติมในเรื่องทป่ี ฏิบัติใหมอ่ ีกคร้ัง ในกรณีที่ผลงานยังไม่
ถึงขั้นน่าพอใจ หรือได้ดาเนินการปรับปรุงการดาเนินงานทั้งหมดไปแล้ว ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องการ
สมควรทจี่ ะตอ้ งวางแผนรว่ มกนั วิเคราะห์หาจดุ ที่ควรพฒั นา หลงั ใชน้ วัตกรรมดา้ นการเรียนรู้เข้ามานิเทศ
กิจกรรมการนิเทศ
ขั้นตอนการนิเทศ กิจกรรมการนเิ ทศ สอื่ เครือ่ งมอื
1. การวางแผน 1. จดั เตรยี มสอื่ เอกสาร ปฏทิ นิ การนิเทศ
(Planning : P ) คูม่ อื การนิเทศ
2. จัดทาตารางการนิเทศร่วมกันกับทาง
โรงเรียน กาหนดวนั เวลา สถานทีอ่ อก
นเิ ทศ ลาดบั กอ่ นหลัง
3. ประสานงาน และแจ้งทางโรงเรียนทราบ
2.การให้ความรคู้ วามเข้าใจ เพ่มิ พนู ความรู้ทางวิชาการ โดย -เอกสารแนวปฏบิ ตั กิ าร
ในการทางาน (Informing : I) 1. อบรมให้ความรู้ ความเข้า และฝึกทักษะ วดั ผลประเมินผลตาม
2. ประชมุ กลมุ่ เลก็ แบบโรงเรยี นเปน็ ฐาน เพอื่ หลกั สตู รแกนกลาง
-สนทนาเกย่ี วกบั หลักปฏิบัติการวดั ผล การศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน
4
ขน้ั ตอนการนิเทศ กิจกรรมการนเิ ทศ สอ่ื เครอื่ งมือ
3.การลงมอื ปฏบิ ัติงาน -การวัดผลเพอื่ พฒั นาผ้เู รียนใหต้ รงตาม 2551
( Doing : D)
มาตรฐาน -ระเบยี บการวัดผล
4. การสร้างเสริมกาลงั ใจ
(Reinforcing :R) -วิเคราะหภ์ าระงานทีต่ ้องปฏิบตั ิเก่ียวกับ ประเมินผลทาง
การวดั ผลในช้ันเรยี น การศกึ ษาของ
-ทบทวน/ วิเคราะห์สภาพการปฏบิ ัติงาน สถานศึกษาตาม
ตนเองผ่านมา หลักสูตรแกนกลาง
-การเสนองานตัวอยา่ งให้ดูรปู การศกึ ษา
จดั นิทรรศการผลงานตวั อยา่ ง ข้ันพน้ื ฐาน 2551
-ผลงานตัวอย่าง ตาราง
โครงสร้างการวัดผล
ตารางวเิ คราะห์
มาตรฐาน ตาราง
กาหนดสัดสว่ นคะแนน
-ตัวอยา่ งเอกสารงาน
ธุรการด้านการวดั ผล
ประเมินผล แบบ ปพ.
1. จดั ทาตารางวิเคราะหม์ าตรฐานตามกล่มุ -เอกสารหลกั สตู ร
สาระ ท่ีสอน -เอกสารมาตรฐาน/
ตัวชี้วดั กลุม่ สาระการ
2. จดั ทาตารางสัดส่วนคะแนน เรียนรู้ 8 กลมุ่ สาระ
3. จดั ทาเคร่ืองมอื วดั ผลตามมาตรฐาน -ตารางวเิ คราะห์
มาตรฐานตามกลมุ่
ตัวชวี้ ดั สาระ ทสี่ อน
4. ดาเนนิ การวดั ผลประเมนิ ผลตามสภาพ -ตารางสัดส่วนคะแนน
การวดั ประเมนิ ผล
จรงิ ในชั้นเรยี น -ตวั อยา่ งเครื่องมือ
5.การบันทึกผล การวัดประเมินผลการ วัดผลประเมนิ ผลตาม
มาตรฐาน/ ตวั ชีว้ ดั
เรยี นรใู้ นชนั้ เรียน -ปัจจยั ด้านบคุ ลากร
ตัวผู้บริหาร
-บคุ ลากรสานกั งานเขต ฯ เย่ียมยามถามไถ่ -คณะครูผสู้ อนใน
ถงึ โรงเรียน
-การเยี่ยมชนั้ เรียน
5
ขนั้ ตอนการนิเทศ กจิ กรรมการนิเทศ ส่อื เครอ่ื งมือ
-ประสานการนเิ ทศภายในร่วมกบั ผูบ้ รหิ าร โรงเรียน
5.การประเมนิ ผลการนิเทศ สถานศึกษา -ผอู้ านวยการสานักงาน
(Evaluating : E) -โนม้ น้าวจูงใจ ถงึ ประโยชน์ต่อนักเรยี น ตอ่ เขตพื้นท่ีการศึกษา
สถานศกึ ษา ต่อผลงานวิชาชีพตนเอง -รองผอู้ านวยการ
-ชวนใหท้ าด้วยความเชือ่ มน่ั ศรทั ธา ใน สานกั งานเขตพ้นื ที่
ความสามารถตนเอง การศึกษา
-เอาใจใส่ดแู ลสมั พนั ธอ์ ย่างต่อเนอื่ ง แบบ -ศกึ ษานเิ ทศก์ประจา
เย่ยี มยามถามไถ่ กล่มุ เครือขา่ ย
-การประชาสัมพันธใ์ หเ้ ป็นแบบอย่างกับคน
อืน่ ในโอกาสต่าง ๆ เชน่ ในโอกาสประชุม -แบบสังเกต
ผบู้ รหิ ารประจาเดือน -แบบประเมนิ ตนเอง
-การมอบเกียรตบิ ตั รผเู้ ข้าร่วมประชมุ สาหรับครู
-มอบเกยี รตบิ ัตรผู้มผี ลงานดีเดน่ ดา้ น -แบบสอบถามความพงึ
การวัดผล พอใจ
-มอบโล่รางวลั ครูเกยี รติยศดีเดน่
-การสอบถามครู ผู้อานวยการ
-การสังเกตการณจ์ ดั การเรยี นการสอนการ
วดั ผลในชั้นเรียน
-การตรวจผลการปฏบิ ัตงิ านเอกสารด้าน
การวัดผล
-การประเมนิ ตนเองของครู
(Self study report)
เทคนิคการนิเทศ
การนิเทศมีรูปแบบที่หลากหลาย เม่ือพิจารณาจากอดีตมาถึงปัจจุบันจะพบว่ามีนักวิชาการ
แบ่งรูปแบบการนิเทศไว้แตกต่างกันตามยุคสมัยท้ังในประเทศและต่างประเทศ แต่เนื่องจากรูปแบบ
และลักษณะการนิเทศไม่แตกต่างกันนัก คือจะเน้นการนิเทศแบบตรวจตรา และแบบประชาธิปไตย
เป็นส่วนใหญ่ จงึ ไม่ไดแ้ ยกตามยุคสมัย แต่แบง่ การนเิ ทศตามรูปแบบการนาไปใช้แทน
แฮริส (Harris,1985) แบ่งการนเิ ทศตามลกั ษณะทเี่ ดน่ ของการนเิ ทศ ได้ 2 แบบ ดังน้ี
1. การนิเทศแบบเน้นการให้คาแนะนา(Tractive Supervision) แบบน้ีผู้นิเทศจะให้
คาแนะนา ให้ผูไ้ ดร้ ับการนิเทศนาไปปรบั ปรงุ แกไ้ ข
6
2. การนิเทศแบบเน้นความเป็นพลวัต (Dynamic Supervision) แบบนี้ผู้นิเทศจะจุด
ประกายทางด้านความคิดเพ่ือส่งเสริมให้ผู้ได้รับการนิเทศนาไปปฏิบัติ ผู้ได้รับการนิเทศสามารถ
ใช้ความรู้ ความสามารถตลอดจนประสบการณ์ที่ตนเองมีมาปรับปรุงการสอนตามความเหมาะสม
กบั สภาพความเป็นจริง
ดี เทนเนอร์ และ แอล เทนเนอร์ (D. Tanner and L. Tanner, 1987) แบ่งการนิเทศตาม
ลกั ษณะของผูน้ เิ ทศได้ 4 แบบ ดังนี้
1. การนิเทศแบบตรวจตรา (Inspection Supervision) การนิเทศแบบนี้เป็นแบบ
เก่าแก่ที่มีใช้มานาน ผู้นิเทศจะตรวจการทางานของสถานศึกษาให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ระเบียบ
ของหลกั สตู รที่กาหนดไว้
2. การนิเทศแบบเน้นผลงาน (Supervision as Production) การนิเทศแบบนี้จะดู
ผลงานของสถานศึกษาว่าสามารถผลิตผู้เรียนออกสู่สังคมอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพหรือไมม่ ากน้อยเพียงใด
บางคนเรียกการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์ เพราะมีการวางแผนการทางานอย่างเป็นระบบระเบียบ
ตรวจสอบย้อนกลบั ได้อยา่ งเป็นขน้ั ตอนท่ชี ดั เจน
3. การนิเทศแบบคลินิก (Clinical Supervision) การนิเทศแบบนี้เน้นท่ีการปรับปรุง
กระบวนการเรียนการสอนในลักษณะท่ีพิจารณาและแก้ไขตามความเหมาะสมของผู้ได้รับการนิเทศ
แต่ละแห่ง จึงคล้ายกับการรักษาอาการเจ็บป่วยของคนไข้ ให้มีการฟ้ืนฟูสภาพได้ดีขึ้น แต่การนิเทศ
การศึกษาจะมุ่งให้ผู้ได้รับการนิเทศเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการเรียนการสอนให้มีความเหมาะสม
โดยผู้นิ เทศและผู้ได้รับการนิ เทศจะได้พบ ป ะเผ ชิญ ห น้ากันและรับ คา แน ะนาไป ปรับ ใช้ตามความ
เหมาะสมและความจาเป็นเพ่ือประโยชน์ของการใช้งาน
4. การนิเทศแบบเน้นการพัฒนา (Developmental Supervision) การนิเทศแบบน้ี
เน้นพัฒ นาผู้ได้รับการนิเทศ ให้มีความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญ หาของตนเองได้
ตามสถานการณ์ที่เกิดข้ึนในสถานศกึ ษา
กลิคแมน (Glickman, 1981) ได้แบ่งวิธีการนิเทศแบบน้ี เป็น 3 วิธี คือ วิธีที่มีการช้ีนา
ไม่มีการชี้นา และวิธีผสมผสาน โดยพิจารณาตามความสามารถของผู้ได้รับการนิเทศ การนิเทศ
ในประเทศไทยมีการนารูปแบบการนิเทศของต่างประเทศมาใช้ ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนารูปแบบ
การนิเทศของตนเองขึ้นมาเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมของไทย ซ่ึงมีรูปแบบหลายรูปแบบ
ดงั ตอ่ ไปน้ี
การนิเทศการสอนแบบคูส่ ญั ญา
การนิเทศการสอนแบบคู่สัญญา (Buddy Supervision) (บูรชัย ศิริมหาสาคร, 2552,
Online) คือ การนิเทศโดยตรงท่ีเปิดโอกาสให้ครู 2 คน ได้ดึงเอาศักยภาพทางการสอนที่มีอยู่ในตัว
ของแต่ละคนออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน โดยเร่ิมต้นจากการจับคู่สัญญา เพ่ือสร้างมิตรสัมพันธ์อันดี
ต่อกัน และใช้สัมพันธภาพอันดีน้ี เป็นตัวนาไปสู่กิจสัมพันธ์หรือความสาเร็จในการจัดกระบวน
7
การเรียนการสอนแบบน้ีใช้ระบบกระบวนการทางานแบบกลุ่มสัมพันธ์ (Group Process) และใช้
แนวคิดที่มุ่งท้ังการพัฒนาคนและพัฒนางาน คือ เน้นมิตรสัมพันธ์ (Concern for People) และกิจ
สมั พันธ์(Concern for Production)เป็นหลักเพราะทุกคนย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยใู่ นตวั เอง โดย
ถา้ มคี วามชอบท่ีเหมือนกนั จะทาใหเ้ ป็นเพ่ือนกนั ได้งา่ ยข้นึ การนเิ ทศกจ็ ะเป็นไปอย่างราบรน่ื
การนิเทศการสอนแบบกลั ยาณมติ ร
การนิเทศการสอนแบบกัลยาณมิตร (อัญชลี ธรรมะวิธีกุล, 2009, Online) เป็นการช้ีแนะ
และช่วยเหลือด้านการเรียนการสอนในกลุ่มเพ่ือนครูด้วยกัน มีหลักการนิเทศท่ีเน้นประเด็นสาคัญ
4 ประการ คือ
1) การสร้างศรัทธา ผู้นิเทศจะต้องสร้างศรัทธา เพ่ือให้เพ่ือนครูยอมรับและเกิดความสนใจ
ทจี่ ะใฝร่ ู้ที ใฝป่ รับปรุงการจดั กระบวนการเรียนรู้
2) การสาธิตรูปแบบการสอน ผู้ให้การนิเทศจะต้องแสดงให้เป็นท่ีประจักษ์ชัดว่า การสอน
ทีเ่ น้นผู้เรียนเป็นสาคัญน้ันสามารถปฏิบัติและทาได้จริงๆ และเพื่อนครูสามารถนารูปแบบไปประยุกต์
ในช้ันเรยี นได้
3) การร่วมคิดแลกเปล่ียนเรียนรู้ ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ จะต้องมีการพบปะกันอย่าง
สม่าเสมอ มีการรว่ มคิดแกป้ ัญหาและแลกเปลย่ี นเรียนรู้ในการจดั กระบวนการเรยี นรู้ ซงึ่ กันและกนั
4) การติดตามประเมินผลตลอดกระบวนการ ผู้นิเทศจะต้องบันทึกการนิเทศอย่างสม่าเสมอ
สังเกตและรับฟังข้อมูลปอ้ นกลับจากเพื่อนครูผ้รู ับการนิเทศ ศกึ ษาปัญหาและแนวทางแก้ไข เพ่ือสร้าง
สังคมแห่งการเรียนรู้ข้ึนใหม่อย่างเป็นระบบและต่อเนื่องสืบไป จุดประสงค์ของการนิเทศแบบน้ี
(สุมน อมรวิวัฒน์, 2545, หน้า217-220) เพ่ือพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วยการเปิดใจ
การให้ใจ การรว่ มใจ ตง้ั ใจสร้างสรรคค์ ุณภาพ และเงอื่ นไขท่ไี มเ่ น้นปริมาณงานแต่เนน้ คณุ ภาพ
รูปแบบการนิเทศของไทยจะมีลักษณะของความสัมพันธ์ทางใจเข้ามาเกี่ยวของ โดยจะเป็น
การช่วยเหลือกันอย่างจริงใจ เพ่ือให้งานดาเนินไปในทิศทางที่ถูกต้องตามความต้องการของผู้นิเทศ
และผูไ้ ดร้ ับการนิเทศร่วมกัน
การนิเทศแบบร่วมพัฒนา
การนิเทศแบบร่วมพัฒนา(Cooperative Development Supervision) (ศิริวรรณ์ ฉายะ
เกษริน, 2542, Online) เป็นปฏิสัมพนั ธ์ทางการนิเทศระหวา่ งผบู้ ริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์และ
ครูผู้สอน ในกระบวนการนิเทศการศึกษาที่มุ่งแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
โดยใช้เทคนิคการนิเทศการสอนเป็นปัจจัยหลัก บนพื้นฐานของสัมพันธ์ภาพแห่งการร่วมคิด ร่วมทา
พึงพา ช่วยเหลือ ยอมรับซึ่งกันและกัน ให้เกียรติและจริงใจต่อกันระหว่างผู้นิเทศ ผู้สอนและคู่สัญญา
เพื่อร่วมกันพัฒนาทกั ษะวิชาชีพ อันจะส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การนิเทศแบบนี้
8
มุ่งแกป้ ญั หา และพฒั นาการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนของผู้เรยี น
โดยการปรับปรุงการปฏบิ ัติงานของผสู้ อนให้เกิดประสิทธิภาพสงู ข้นึ
การนเิ ทศแบบสอนงาน
การนิเทศสอนงาน (Coaching) (อัญชลี ธรรมะวิธีกุล, 2009, Online) เป็นการนิเทศท่ีเน้น
การพัฒนาผลการปฏิบัติงาน (Individual Performance) และพัฒนาศักยภาพ (Potential) ของครู
การนิเทศแบบนี้จัดเป็นการส่ือสารอย่างหนึ่งซึ่งจะทาอย่างเป็นทางการและ/หรือไม่เป็นทางการก็ได้
โดยมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน เป็นการสื่อสารแบบสองทาง (Two
way Communication) ทาใหผ้ ู้บรหิ ารสถานศึกษา และครูผทู้ าการสอนได้รว่ มกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ที่เกิดข้ึนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การนิเทศแบบนี้จะก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้สอน
งาน (Coach) และผู้ถูกสอนงาน (Coachee) ซ่ึงการสอนงานที่ดีจะเกิดได้ก็ต่อเม่ือมีความพร้อม โดย
เป็นความพร้อมของท้ังผู้สอนงานและผู้ถูกสอนงานร่วมกัน เพ่ือเสริมสร้างและพัฒนาครู ให้มีความรู้
(Knowledge) ทักษะ (Skills) และคุณลักษณะเฉพาะตัว (Personal Attributes) ในการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ให้ประสบผลสาเร็จตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ (Result Oriented) โดยจะต้องมีการตกลง
ยอมรับร่วมกัน (Collaborative) ระหว่างผู้นิเทศและครูผู้ได้รับการนิเทศ โดยการนิเทศการสอนงาน
จะมุ่งเนน้ ไปทีก่ ารพฒั นาผลการปฏบิ ัติงานของครูผูส้ อนเปน็ สาคัญ (Individual Performance)
กระบวนการนเิ ทศ
กระบวนการนิเทศ (Process of Supervision) (ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์, 2548) หมายถึง
ขั้นตอนในการดาเนินงานและการปฏิบัติงานการนิเทศอย่างมีระบบ มีการประเมินสภาพการทางาน
การจดั ลาดบั งานทีต่ อ้ งทา การออกแบบงาน การประสานงาน ตลอดจนการอานวยการใหง้ านลลุ ่วงไป
กระบวนการนิเทศจะมีความสอดคล้องกับรูปแบบของการนิเทศ จึงขอกล่าวถึงกระบวนการท่ีเป็น
สากล ซ่ึงประเทศไทยได้นามาประยุกต์ใช้และพัฒนาเข้ากับกระบวนการการนิเทศของไทยเอง ควบคู่
กบั กระบวนการนิเทศท่ีไทยคดิ และพฒั นาขึน้ ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี้
กระบวนการนิเทศของแฮริส (Harris, 1985) เดิมแฮริสแบ่งกระบวนการไว้ 5 ขั้นคือ
กระบวนการวางแผน, กระบวนการจดั ระเบียบงาน, กระบวนการนา, การควบคุม และการประเมนิ ผล
ต่อมาได้พัฒนาให้มีความสมบูรณ์เหมาะสมกับการนิเทศมากข้ึน โดยเน้นการวางแผนการปฏิบัติงาน
มากกว่าการควบคุมงานเหมือนท่ีเคยแบ่งไว้ ทาให้มีข้ันตอนเพิ่มขึ้นเป็น 6 ขั้นตอนดังนี้ (ปรียาพร
วงศ์อนตุ รโรจน์, 2548 )
1. การประเมินสภาพการทางาน (Assessing) เปน็ กระบวนการศึกษาถึงสภาพต่างๆ เพอ่ื ให้
ได้ขอ้ มูลเพือ่ เป็นตวั กาหนดการเปลย่ี นแปลง มีกระบวนการย่อยๆดงั น้ี
- การวเิ คราะห์ข้อมูล เพ่อื จะศกึ ษาถึงธรรมชาตแิ ละความสมั พันธ์ของเรื่องต่างๆ
- การสังเกตเปน็ การมองส่ิงรอบตัวดว้ ยความละเอียดถ่ถี ว้ น
9
- การทบทวนเป็นการตรวจสอบสง่ิ รอบตวั อย่างต้งั ใจ
- การวดั พฤติกรรมการทางาน
- การเปรียบเทียบพฤตกิ รรมการทางาน
2. การจัดลาดับความสาคัญของงาน (Prioritizing) เป็นกระบวนการกาหนดความสาคัญของ
งาน ตามเป้าหมายวัตถุประสงคแ์ ละกิจกรรมตามลาดับความสาคัญ ซง่ึ ประกอบดว้ ยหวั ขอ้ ตอ่ ไปน้ี
- การกาหนดเปา้ หมาย
- การกาหนดวตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะ
- การกาหนดทางเลือก
- การจดั ลาดบั ความสาคัญของงาน
3. การออกแบบวิธีการทางาน (Designing) เป็นกระบวนการวางแผนหรือกาหนดโครงการ
ต่างๆ เพอ่ื กอ่ ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลง โดยประกอบดว้ ยกระบวนการยอ่ ยๆ ดังนี้
- การจัดสายงานเป็นการจัดส่วนประกอบต่างๆของงานให้สัมพนั ธ์กัน
- การหาวิธกี ารนาเอาทฤษฎี หรอื หลักการไปสู่การปฏิบัติ
- การเตรยี มการต่างๆให้พร้อมที่จะทางาน
- การจดั ระบบการทางาน
- การกาหนดแผนในการทางาน
4. การจัดสรรทรัพยากร (Allocating Resources) เป็นกระบวนการกาหนดทรัพยากร
ตา่ งๆ ใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุดในการทางาน ซ่งึ ประกอบด้วยกระบวนการย่อยๆ ดังน้ี
- การกาหนดทรพั ยากร ทตี่ ้องใชค้ วามต้องการของหน่วยงานต่างๆ
- การจดั สรรทรพั ยากรไปให้หนว่ ยงานตา่ งๆ
- การกาหนดทรัพยากร ทจ่ี าเปน็ จะต้องใช้สาหรบั ความม่งุ หมายเฉพาะอย่าง
- การมอบหมายบคุ ลากร ให้ทางานในแตล่ ะโครงการหรือแต่ละเป้าหมาย
5. การประสานงาน (Coordination) เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับงาน เวลา วัสดุ
อุปกรณ์ และส่ิงอานวยความสะดวกทุกๆอย่าง เพ่ือให้การเปล่ียนแปลงบรรลุผล ซ่ึงประกอบด้วย
กระบวนการยอ่ ยๆ ดังน้ี
- การประสานการปฏิบตั ิงานในฝ่ายตา่ งๆให้ดาเนนิ การไปดว้ ยความราบรืน่
- การสร้างความกลมกลนื และความพรอ้ มเพรียงกนั
- การปรบั การทางานในสว่ นตา่ งๆใหม้ ีประสิทธิภาพให้มากทส่ี ุด
- การกาหนดเวลาในการทางานในแต่ละชว่ ง
- การสร้างความสัมพนั ธใ์ หเ้ กดิ ข้นึ
6. การอานวยการ (Directing) เป็นกระบวนการที่มีอิทธิพลต่อการปฏบิ ัติ เพื่อให้เกิดสภาพ
ทีเ่ หมาะสมทจ่ี ะสามารถบรรลผุ ลแหง่ การเปลย่ี นแปลงใหม้ ากท่ีสดุ มกี ระบวนการย่อยๆ ดงั น้ี
- การแตง่ ตัง้ บุคลากร
10
- การกาหนดแนวทางหรอื กฎเกณฑใ์ นการทางาน
- การกาหนดระเบียบแบบแผนเกย่ี วกบั เวลา ปริมาณ หรอื อัตราเรง่ ในการทางาน
- การแนะนาการปฏิบตั งิ าน
- การตัดสินใจเกยี่ วกับทางเลือกในการปฏิบตั งิ าน
เนื่องจากกระบวนการนิเทศของไทยมีลักษณะท่ีคลา้ ยคลึงกันจงึ ขอกล่าวเฉพาะกระบวนการ
ที่มีลักษณะเด่นบางกระบวนการ ดังนี้ กระบวนการนิเทศการสอนแบบคู่สัญญากระบวนการนิเทศ
การสอนแบบคู่สญั ญา (บูรชยั ศริ ิมหาสาคร, 2552, Online) มี 4 ขั้นตอน ดงั นี้
ข้ันที่ 1 การเสนอนแนวคดิ
1. ผู้บริหารสถานศึกษาเสนอแนวคิดเก่ียวกับการนิเทศการสอนแบบคู่สัญญาให้ครู
ในโรงเรียนทดลอง นาไปปฏบิ ัติ ภายใต้การสนับสนนุ ทุกรูปแบบ
2. เม่ือครูยอมรับหลักการแล้ว ให้ครูจับคู่สัญญาท่ีมีปัญหาการเรียนการสอน ในวิชา
เดียวกันหรือชั้นเดียวกัน เพื่อร่วมกันวางแผนการนิเทศ เช่น สังเกตการสอน เขียนแผนการจัดการ
เรียนรูแ้ ละเตรยี มสอื่ การสอน เป็นตน้
3. คู่สัญญาแต่ละคนเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ในวิชาท่ีมีปัญหา โดยต่างฝ่ายต่าง
เขยี นแผนการจัดการเรียนรตู้ ามแนวคดิ ของตน
ข้ันที่ 2 การสาธิต (สมมตวิ ่า ครู A เปน็ คสู่ ัญญากับครู B)
1. ครู A สาธิตการสอนตามแผนการสอนของตน โดยมีครู B เป็นผู้สังเกตการสอน
และบันทกึ จดุ เด่นจุดดอ้ ยของครู A ตามแบบสังเกตการสอน
2. ครู B สาธิตการสอนตามแผนการสอนของตนในวิชาท่ีมีปัญหาเดียวกับครู A
โดยมคี รู A เปน็ ผูส้ งั เกตการสอนและบันทกึ จดุ เด่นจุดดอ้ ยตามแบบสงั เกตการสอนเช่นเดยี วกนั
3. ครู A และครู B ร่วมกันวิเคราะห์วิจารณ์จุดเด่นจุดด้อยของกันและกันเพื่อหา
จดุ เดน่ ของแตล่ ะคนมาพัฒนาให้ดีย่ิงขึน้ และชว่ ยกันปรับปรงุ แกไ้ ขจุดดอ้ ย
4. ครู A และครู B นาจุดเด่นของแต่ละคนมาบูรณาการ เพ่ือสร้างนวัตกรรมหรือ
แนวทางแก้ปญั หาในรปู แบบใหม่ ที่นาเอาสว่ นดขี องแตล่ ะคนมาผสมผสานกัน
ข้นั ท่ี 3 การปฏบิ ัติ
1. ครู A และครู B นาวิธีการสอนที่ได้รับการปรับปรุงตามข้ันที่2 ข้อท่ี4 มาใช้
ปฏบิ ัติการสอนในวิชาเดมิ หรือในบทเรยี นตอ่ ไป
2. ครู A และครู B นิเทศการสอนซึ่งกันและกันอีกครั้งหน่ึง แล้วสรุปผลการนิเทศ
การสอน
ขนั้ ท่ี 4 การวัดและประเมนิ ผล
1. ครู A และครู B รว่ มกันวัดและประเมนิ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของผู้เรียนหากยัง
ไมบ่ รรลุจุดประสงค์การเรยี นรู้ คู่สญั ญาตอ้ งกลบั ไปคน้ คว้าหาความรหู้ รอื แนวคิด ทฤษฎที ี่เกย่ี วข้องกับ
11
ปัญหานั้นเพิ่มเติม เพ่ือนามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และใช้แก้ปัญหาร่วมกันอันจะจาไปสู่วิธีการ
แก้ปญั หาใหม่
2. ถา้ ผ้เู รียนมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนบรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์แล้ว คู่สัญญาควรแสดง
ความยนิ ดีร่วมกัน เพื่อเปน็ ขวญั กาลงั ใจและเป็นแรงจงู ใจใฝส่ มั ฤทธ์ิในการทางาน
สรุป
จากรูปแบบและกระบวนการนิเทศข้างต้นพบว่าการนิเทศจะต้องเปิดใจกว้างและเรียนรู้
ร่วมกันทุกฝ่าย ทุกคน เพ่ือแก้ปัญหาในห้องเรียนและสถานศึกษาให้อยู่ในระดับมาตรฐานที่สังคม
ยอมรับได้ การมีปฏิสัมพันธ์อันดีจะก่อให้เกิดมิตรภาพที่งดงาม สานต่อในการนิเทศ ซึ่งการนิเทศ
การพัฒนาการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาคร้ัง จึงเลือกรูปแบบ
การนิเทศแบบกัลยาณมิตร และรูปแบบกระบวนการนิเทศการสอนแบบร่วมพัฒนา มาใช้
โดยมีขั้นตอนและรายละเอียดดงั น้ี
1. กระบวนการของการนิเทศแบบกัลยาณมิตร
กระบวนการของการนิเทศแบบกัลยาณมิตร มีกระบวนการดังน้ี (อญั ชลี ธรรมะ
วิธีกุล, 2009, Online)
1) ไมม่ ุ่งเน้นปรมิ าณ - เน้นความชดั เจนของขั้นตอน วธิ กี าร
2) สานพลงั อาสา - เรม่ิ ที่ศรัทธา / อาสาสมัคร / ไม่ใช่การส่งั การ
3) เสวนาร่วมกัน - ใช้อปรหิ านิยธรรม 7
ดังนี้ - หมั่นประชุมเป็นเนืองนิตย์ - พร้อมเพรียงทากิจที่พึงทา - ปฏิบัติตาม
หลักการท่ีวางไว้/ส่ิงใดดีอยู่รู้รักษา - ศรัทธา ยอมรับนับถือกันและกัน - ไม่บังคับ /ไม่ห้าหั่น /ลุแก่
อานาจบังคับบัญชา - พัฒนาไปตามสภาพจริงของสถานศึกษาที่เป็นเรื่องชัดแจ้ง - คุ้มครองเสริมแรง
ใหก้ าลงั ใจ
4) สร้างสรรคค์ วามเปน็ มิตร - ชกั ชวนใหร้ ่วมกันพัฒนา
5) ฝึกคิดมุง่ มนั่ - มีความเพียร อดทน รจู้ กั ใชเ้ หตุผล
6) ทุกวันปฏิบตั ิ - ทาอยา่ งต่อเน่ือง
7) จดั ทาบนั ทึกแนวทาง – รู้จักสังเกตแลว้ บนั ทึก
2. กระบวนการนเิ ทศการสอนแบบร่วมพฒั นา
กระบวนการนิเทศการสอนแบบร่วมพฒั นา มลี ักษณะคล้ายกระบวนการของการ
นิเทศแบบอื่นๆแต่มี ขั้นตอนมากกว่าดงั นี้ (ศิรวิ รรณ์ ฉายะเกษริน, 2542, Online)
1) ค่สู ญั ญาตกลงร่วมกัน
2) วเิ คราะห์ปัญหาการเรียนการสอนร่วมกนั
3) กาหนดวตั ถุประสงค์ในการแก้ปญั หาหรอื พฒั นา
4) วางแผนการสอนและผลิตสอ่ื
5) วางแผนการนเิ ทศการสอน
12
6) สอนและสังเกตการณส์ อน
7) วิเคราะห์ผลการสอนและผลการสงั เกตการสอน
8) ใหข้ ้อมลู ป้อนกลับซึ่งกันและกัน
9) วางแผนการสอนและการนเิ ทศการสอนตอ่ เน่ือง
หน่วยท่ี 2
ความรพู้ ้ืนฐานเกย่ี วกับการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้
จดุ มงุ่ หมายของการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนจุดมุ่งหมายพ้ืนฐานสองประการ คือ
เป็นการวัดและประเมินเพ่ือพัฒนาผู้เรียนและเพื่อตัดสินผลการเรียน การท่ีจะบรรลุจุดมุ่งหมายแรกได้
จะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับการเรียนรู้ของผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอนอย่างต่อเน่ือง
บันทึก วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล แล้วนามาใช้ในการส่งเสริมหรือปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้
ของผู้เรียนและการสอนของครู การวัดและประเมินผลกับการสอนจึงเป็นเร่ืองท่ีสัมพันธ์กัน หากขาด
ส่ิงหน่ึงสิ่งใดการเรียนการสอนก็ขาดประสิทธิภาพ การประเมินระหว่างการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาการ
เรียนรู้เช่นนี้เป็นการวัดและประเมินผลย่อย (Formative assessment) ที่เกิดข้ึนในห้องเรียนทุกวัน
เป็นการประเมินเพ่ือให้รู้จุดเด่น จุดท่ีต้องปรับปรุง จึงเป็นข้อมูลเพื่อใช้ในการพัฒนา ซ่ึงในปัจจุบัน
งานวิจัยบ่งช้วี ่าถ้าใช้การประเมินผลย่อยอย่างถูกวิธี การประเมินผลย่อยจะเป็นเครื่องมือท่ีทรงพลังในการ
กาหนดเป้าหมาย การเรียนการสอน แตท่ ้ังนผี้ ู้สอนต้องมีทักษะในการใช้วิธีการและเครื่องมือการประเมิน
ท่ีหลากหลาย เช่น การสังเกต การซักถาม การระดมความคิดเห็นเพื่อให้ได้มติข้อสรุปของประเด็น
ท่ีกาหนด การใช้แฟ้มสะสมงาน การใช้ภาระงานทีเ่ น้นการปฏิบัติ การประเมินความรเู้ ดิม การให้ผเู้ รียน
ประเมินตนเอง การให้เพ่ือนประเมินเพ่ือน การใช้เกณฑ์การให้คะแนน (Rubrics) และท่ีสาคัญ การให้
ข้อมูลย้อนกลับโดยผู้สอนต้องสามารถให้คาแนะนาเพื่อเช่ือมโยงความรู้เดมิ กับความรู้ใหม่ทาให้การเรียนรู้
พอกพูน นอกจากนย้ี ังตอ้ งรู้จักใช้ผลท่ีไดจ้ ากการประเมินมาวางแผนและทบทวนการสอนของตนอีกดว้ ย
สาหรับจุดมุ่งหมายท่ีสองคือ การวัดและประเมินผลเพ่ือตัดสินผลการเรียนรู้ เป็นการประเมิน
สรุปผลการเรียนรู้ (Summative assessment) เมื่อเรียนจบหน่วยการเรียน หรือจบรายวิชาเพ่ือตัดสิน
ให้คะแนนหรือให้ระดับผลการเรียน หรือให้การรับรองความรู้ความสามารถของผู้เรียนว่าผ่านรายวิชา
หรือไม่ ควรได้รับการเล่ือนชั้นหรือไม่ หรือสามารถจบหลักสูตรหรือไม่ โดยสถานศึกษามีหน้าที่ ในการ
อนุมัติและรายงานผลการเรียน งานวิจัยเสนอแนะว่าการประเมินเพอ่ื ตัดสินผลการเรียนที่ดีต้องให้โอกาส
ผู้เรียนแสดงออกซึ่งความรู้ ความสามารถด้วยวิธีการท่ีหลากหลายและพิจารณาตัดสินบนพื้นฐาน
ของเกณฑ์ผลการปฏิบัติมากกว่าใช้เปรียบเทียบระหว่างนักเรียน (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา,
กระทรวงศึกษาการ, 2551, หนา้ 2)
หลกั การดาเนินการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน
พุทธศกั ราช 2551
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551 เป็นกระบวนการเก็บรวบรวม ตรวจสอบ ตีความผลการเรียนรู้ และพัฒนาการด้านต่างๆ ของ
ผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัดของหลักสูตร นาผลไปปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนรู้และใช้
14
เป็นข้อมูลสาหรับการตัดสินผลการเรียน สถานศึกษาต้องมีกระบวนการจัดการที่เป็นระบบ เพื่อให้การ
ดาเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ และให้ผลการประเมิน
ตรงตามความรู้ ความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนถูกต้องตามหลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
รวมทั้งสามารถรองรับการประเมินภายในและการประเมินภายนอก ตามระบบประกันคุณภาพการศึกษาได้
สถานศึกษาจึงควรกาหนดหลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เพ่ือเป็นแนวทางในการตัดสินใจเกี่ยวกับ
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศึกษา (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา,
กระทรวงศึกษาการ, 2551, หนา้ 10) ดงั นี้
1. สถานศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยเปิดโอกาส
ใหผ้ ู้ท่ีเกยี่ วขอ้ งมีสว่ นรว่ ม
2. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงพัฒนาผู้เรียน พัฒนาการ
จดั การเรยี นรแู้ ละตดั สนิ ผลการเรยี น
3. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ต้องสอดคล้องและครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด
ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่กาหนดในหลักสูตรสถานศึกษา และจัดให้มีการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์
และเขียน คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ตลอดจนกจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน
4. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนการสอน
ต้องดาเนินการด้วยเทคนิควิธีการที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถวัดและประเมินผลผู้เรียนได้อย่างรอบด้าน
ท้ังด้านความรู้ ความคิด กระบวนการ พฤติกรรมและเจตคติ เหมาะสมกับส่ิงท่ีต้องการวัด ธรรมชาติวิชา
และระดบั ชนั้ ของผู้เรยี น โดยตัง้ อยู่บนพน้ื ฐานความเที่ยงตรง ยุติธรรม และเชือ่ ถอื ได้
5. การประเมินผู้เรียนพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรม
การเรียนรู้ การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอน ตามความเหมาะสม
ของแต่ละระดับและรปู แบบการศึกษา
6. เปิดโอกาสให้ผู้เรยี นและผ้มู ีส่วนเก่ียวข้องตรวจสอบผลการประเมินผลการเรียนรู้
7. ให้มกี ารเทียบโอนผลการเรียนระหวา่ งสถานศกึ ษาและรูปแบบการศกึ ษาตา่ งๆ
8. ให้สถานศึกษาจัดทาเอกสารหลักฐานการศึกษา เพ่ือเป็นหลักฐานการประเมินผลการเรียนรู้
รายงานผลการเรียน แสดงวุฒิการศึกษาและรับรองผลการเรยี นของผูเ้ รียน
องคป์ ระกอบของการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน
พุทธศักราช 2551
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 กาหนดจดุ หมาย สมรรถนะสาคัญ
ของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางในการ
พัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวที ระดับ
โลก กาหนดให้ผู้เรยี นได้เรยี นรตู้ ามมาตรฐานการเรยี นรู/้ ตัวชี้วดั ทก่ี าหนดในสาระการเรียนรู้ 8 กลมุ่ สาระ
15
มีความสามารถด้านการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และเข้าร่วมกิจกรรม
พัฒนาผู้เรียนองค์ประกอบของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีความสัมพันธ์ (สานักวิชาการและ
มาตรฐานการศึกษา, กระทรวงศึกษาการ, 2551, หน้า 10-11) ดงั แผนภาพที่ 2.1
การเรยี นรู้ การอา่ น
8 กล่มุ สาระ คิดวิเคราะห์และเขยี น
คณุ ภาพผู้เรยี น
คณุ ลักษณะ กิจกรรม
อันพงึ ประสงค์ พฒั นาผ้เู รยี น
แผนภาพที่ 2.1 แสดงความสัมพนั ธ์ขององค์ประกอบการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
1. การวัดและประเมินผลการเรียนรตู้ ามกลุ่มสาระการเรียนรู้
ผู้สอนทาการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ผู้เรียนเป็นรายวิชาตามตัวช้ีวัดในรายวิชาพ้ืนฐาน
และตามผลการเรียนรู้ในรายวิชาเพิ่มเติมตามที่กาหนดในหน่วยการเรียนรู้ ผู้สอนใช้วิธีการที่หลากหลาย
จากแหล่งข้อมูลหลายๆ แหล่งเพ่ือให้ได้ผลการประเมินท่ีสะท้อนความรู้ความสามารถที่แท้จริงของผู้เรยี น
โดยทาการวัดและประเมินการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไปพร้อมกับการจัดการเรียนการสอน โดยสังเกต
พัฒนาการและความประพฤติของผู้เรียน สังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม ผู้สอนควรเน้น
การประเมินตามสภาพจริง เช่น การประเมินการปฏิบัติงาน การประเมินจากโครงงาน หรือการประเมิน
จากแฟ้มสะสมงาน ฯลฯ ควบคูไ่ ปกับการใชก้ ารทดสอบแบบตา่ งๆอย่างสมดุล ต้องให้ความสาคัญกับการ
ประเมินระหว่างเรียน มากกว่าการประเมินปลายปี/ปลายภาค และใชเ้ ป็นข้อมูลเพ่ือประเมินการเล่ือนช้ัน
เรียนและการจบการศึกษาระดับต่างๆ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามรายกลุ่มสาระการเรียนรู้
ความสัมพันธ์ (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, กระทรวงศึกษาการ, 2551, หน้า 11) ดัง
แผนภาพท่ี 2.2
16
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้
ภาษาไทย คณติ ศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้ การวดั และประเมินผลการ กลมุ่ สาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ เรยี นร้ดู ้วยวิธกี ารท่หี ลากหลาย วิทยาศาสตร์
บรู ณาการในการเรียนการสอน
กลุม่ สาระการเรียนรู้ กลุม่ สาระการเรยี นรู้
การงานอาชพี ฯ สังคมศึกษาฯ
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้
ศิลปะ สุขศึกษาและพลศกึ ษา
แผนภาพท่ี 2.2 แสดงการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรตู้ ามรายกลุ่มสาระการเรยี นรู้
2. การประเมินการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขียน
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน เป็นการประเมินศักยภาพของผู้เรียนในการ
อ่านหนังสือ เอกสาร และสื่อต่างๆ เพื่อหาความรู้ เพิ่มพูนประสบการณ์ เพื่อความสุนทรีและประยุกต์ใช้
แล้วนามาคิดวิเคราะห์เนื้อหาสาระที่อ่าน นาไปสู่การแสดงความคิดเห็น การสังเคราะห์ สร้างสรรค์ การแก้ปัญหา
ในเร่ืองต่างๆ และถ่ายทอดความคิดน้ันด้วยการเขียนท่ีมีสานวนภาษาถูกต้อง มีเหตุผลและลาดับขั้นตอน
ในการนาเสนอ สามารถสร้างความเขา้ ใจแกผ่ อู้ ่านได้อย่างชดั เจนตามระดับความสามารถในแต่ละระดับชนั้
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน สถานศึกษาต้องดาเนินการอย่างต่อเน่ืองและ
สรุปผลเป็นรายปี/รายภาค เพื่อวินิจฉัยและใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาผู้เรียนและประเมินการเลื่อนชั้นเรียน
ตลอดจนการจบการศึกษาระดบั ตา่ งๆ
การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนเป็นกระบวนการที่ต่อเน่ือง ความสัมพันธ์ (สานักวิชาการ
และมาตรฐานการศึกษา, กระทรวงศกึ ษาการ, 2551, หน้า 12) ดังแผนภาพท่ี 2.3
17
อ่าน (รบั สาร) หนังสือ เอกสาร โทรทัศน์ อนิ เทอรเ์ นต็ สื่อต่างๆ ฯลฯ
แลว้ สรปุ เปน็ ความรคู้ วามเขา้ ใจของตนเอง
คดิ วเิ คราะห์ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ หาเหตุผล แก้ปัญหาและ
สรา้ งสรรค์
เขียน(ส่ือสาร) ถ่ายทอดความรู้ ความคดิ ส่อื สารให้ผ้อู ่ืนเขา้ ใจ
แผนภาพท่ี 2.3 แสดงการประเมินการอ่าน คดิ วเิ คราะห์และเขยี น
3. การประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เป็นการประเมินคุณลักษณะท่ีต้องการให้เกิดข้ึนกับ
ผู้เรียน อันเป็นคุณลักษณะที่สังคมต้องการในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม จิตสานึก สามารถอยู่
ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ท้ังในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก หลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 คุณลักษณะ ในการประเมิน
ให้ประเมินแต่ละคุณลักษณะ แล้วรวบรวมผลการประเมินจากผู้ประเมินทุกฝ่ายและแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง
เพอ่ื ให้ได้ข้อมลู นามาสูก่ ารสรุปผลเป็นรายป/ี รายภาค และใช้เป็นข้อมูลเพอื่ ประเมินการเลื่อนชน้ั เรียนและ
การจบการศกึ ษาระดบั ต่างๆ การประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ตามหลกั สตู รแกนกลางฯ
(สานักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา, กระทรวงศกึ ษาการ, 2551, หน้า 12) ดงั แผนภาพท่ี 2.4
18
มีจิตสาธารณะ รกั ชาติ ศาสน์
กษตั รยิ ์
รักความ คณุ ลักษณะ ซื่อสตั ย์
เปน็ ไทย อันพงึ ประสงค์ สจุ รติ
ม่งุ ม่ันใน อยูอ่ ยา่ ง มวี ินยั
การทางาน พอเพยี ง ใฝเ่ รียนรู้
แผนภาพที่ 2.4 แสดงการประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
4. การประเมินกจิ กรรมพัฒนาผ้เู รียน
การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นการประเมินการปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของ
ผู้เรียน และเวลาในการเข้าร่วมกิจกรรมตามเกณฑ์ที่กาหนดไว้ในแต่ละกิจกรรมและใช้เป็นข้อมูลประเมิน
การเล่ือนชั้นเรียนและการจบการศึกษาระดับต่างๆ (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, กระทรวง
ศึกษาการ, 2551, หน้า 13) ดังแผนภาพที่ 2.5
กิจกรรมแนะแนว กจิ กรรมนกั เรยี น
- ลูกเสอื เนตรนารี ยุวกาชาด
กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น
ผู้บาเพ็ญประโยชนแ์ ละ
กิจกรรมเพ่อื สงั คมและ นกั ศกึ ษาวิชาทหาร
สาธารณประโยชน์ - ชุมนมุ /ชมรม
แผนภาพท่ี 2.5 แสดงการประเมินกจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน
19
กระบวนการวัดและประเมินผลการเรียนรตู้ ามหลักสูตร
สิ่งที่ผู้สอนต้องทาการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คือ (1) ผลการเรียนรู้ใน 8 กลุ่มสาระ (2) ผลการเรียนรู้ด้านการอ่าน
คิดวิเคราะห์และเขียน (3) ผลการเรียนรู้ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตรอย่างน้อย
8 ประการ และ (4) ผลการเรยี นรทู้ เี่ กดิ จากกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน
ผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร 4 ประการดังกล่าวขา้ งตน้ มีท่ีมาจากองค์ประกอบ 3 ด้านคือ ด้าน
พุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย โดยท้ัง 3 ด้านมีลักษณะสาคัญที่สามารถนามาอธิบาย
โดยสงั เขป(สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, กระทรวงศึกษาการ, 2551, หน้า 74-75) ดงั น้คี อื
1.ผลการเรยี นรู้ด้านพทุ ธพิ ิสยั
ผลการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย หมายถึง ข้อมูล สารสนเทศ หลักฐานต่างๆ ที่แสดงถึง
ความสามารถด้านสติปัญญา 6 ด้าน คือ ความจา ความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การประเมินค่า
และการคิดสร้างสรรค์ โดยพฤติกรรมที่สะท้อนว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย ได้แก่ การบอกเล่า
อธิบาย หรือเขียนแสดงความคิดรวบยอดโดยการตอบคาถาม เขียนแผนภูมิ แผนภาพ นาเสนอแนวคิด
ข้นั ตอนในการแก้ปัญหา การจดั การ การออกแบบประดษิ ฐ์หรอื สร้างสรรค์ช้ินงาน เป็นต้น
2.ผลการเรยี นรดู้ า้ นจติ พสิ ัย
ผลการเรยี นรดู้ ้านจิตพิสัย หมายถงึ ข้อมลู สารสนเทศที่สะท้อนความสามารถด้านการเรียนรู้
ในการจัดการอารมณ์ ความรูส้ ึก ค่านิยม คุณธรรม จรยิ ธรรมและเจตคติ โดยพฤตกิ รรมที่สะทอ้ นว่าผู้เรยี น
สามารถเกิดการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย คือ ผู้เรียนมีการแสดงอารมณ์ ความรู้สึกในสถานการณ์ต่างๆ อย่าง
เหมาะสมตามบรรทัดฐานของสังคม มีความสามารถในการตัดสินใจเชิงจริยธรรมและมีค่านิยมพ้ืนฐาน
ท่ีได้รับการปลูกฝังโดยแสดงพฤติกรรมที่สะท้อนให้เห็นคุณลักษณะที่พึงประสงค์อย่างน้อย 8 ประการ
ตามหลกั สตู ร
3.ผลการเรียนรู้ด้านทักษะพิสยั
ผลการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย หมายถึง ข้อมูล สารสนเทศท่ีแสดงถึงทักษะการปฏิบัติงาน
เกี่ยวกับการเคล่ือนไหวกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย ท่ีเกิดจากการประสานงานของสมองและ
กลา้ มเนอ้ื ที่ใชง้ านอยา่ งคล่องแคลว่ ประสานสัมพนั ธ์กนั
ผลการเรียนรู้ท้ัง 3 ด้านที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาในกระบวนการจัดการเรียนการสอนตาม
หลักสูตรและกิจกรรมเสริมหลักสูตร ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตจริงท่ีผู้เรียนได้รับการพัฒนา
เป็นผลการเรียนรูท้ ่ีเกิดข้ึนพร้อมกับการเจริญเติบโตในแต่ละช่วงวัยของผู้เรียน ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ครูต้อง
แสวงหาหรือคิดค้นเทคนิค วิธีการและเครื่องมือต่างๆ เพื่อใช้วัดและประเมินผลโดยคานึงถึง
ความสอดคล้องและเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลการวัดและประเมินที่มีคุณภาพ สามารถนาไปใช้ในการพัฒนา
ผู้เรียนและกระบวนการจัดการเรยี นการสอนของครูได้อยา่ งแท้จริง
20
การประเมนิ ผลการเรียนรู้ท่กี าหนดในหลกั สตู ร มีขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ิ (สานกั วิชาการและ
มาตรฐานการศึกษา, กระทรวงศึกษาการ, 2551, หน้า 75-78) ดังแผนภาพที่ 2.6
ศกึ ษา/วเิ คราะห์ มาตรฐาน/ตวั ช้ีวัด
จากหลกั สูตรสถานศกึ ษา
- เลอื กวธิ ีการประเมิน จัดทาโครงสร้างรายวิชา
- สร้าง/จดั หาเคร่ืองมือ/ และแผนการประเมิน
เกณฑ์การประเมนิ
การจัดการเรียนรู้
ช้แี จงรายละเอยี ดของแผนการประเมินแก่ผเู้ รยี น
ประเมินวิเคราะห์ผ้เู รียน กลุม่ สาระการเรียนรู้ 8
กลมุ่
สอนซอ่ มเสริม ประเมนิ ความก้าวหน้าระหวา่ งเรียน การอา่ น คดิ วเิ คราะห์
ไม่ ประเมินความสาเรจ็ หลังเรียน และเขยี น
หน่วยที่ 1 ผ่ การประเมนิ คุณลักษณะ
ผา่ น
หน่วยท่ี 2 อันพงึ ประสงค์
หนว่ ยที่ … การประเมนิ กิจกรรม
ประเมนิ ผลปลายปี/ปลายภาค ไมผ่ ่าน พัฒนาผเู้ รียน
ตดั สนิ ผลการเรียน สอนซ่อม สอบแกต้ ัว
เม ดาเนินการ
ส่งผลการเรียนให้ ตามระเบยี บ
- ครปู ระจาชนั้ /ครทู ่ปี รกึ ษา ผา่ น สถานศึกษา
- คณะอนกุ รรมการกลมุ่ สาระ เรยี นซา้ รายวชิ าตาม
- ฝา่ ยทะเบียนวัดผล ระเบยี บสถานศกึ ษา
อนมุ ัติผลการเรียน
รายงานผลการเรยี นตอ่
ผ้เู กยี่ วข้อง
แผนภาพที่ 2.6 การประเมินผลการเรยี นรู้ท่กี าหนดในหลกั สูตร มีขั้นตอนการปฏบิ ตั ิ
21
1.ศึกษา วิเคราะห์มาตรฐานและตัวชี้วัดจากหลักสตู รสถานศึกษา สัดส่วนคะแนนระหว่างเรียน
กบั คะแนนปลายปี/ปลายภาค เกณฑ์ต่างๆ ท่ีสถานศึกษากาหนด ตลอดจนต้องคานึงถึงคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน รวมทั้งสมรรถนะต่างๆ ที่ต้องการให้
เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน เพ่ือนาไปบูรณาการ สอดแทรกในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดย
คานึงถึงธรรมชาติรายวิชา รวมถงึ จุดเน้นของสถานศกึ ษา
2.จัดทาโครงสร้างรายวชิ าและแผนการประเมิน
2.1 วิเคราะห์ตัวชี้วัดในแต่ละมาตรฐานการเรียนรู้แล้วจัดกลุ่มตัวชี้วัด เน่ืองจาก การวิเคราะห์
ตัวชี้วัดจะช่วยผู้สอนในการกาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือพัฒนาผู้เรียนและประเมินให้ครอบคลุม
ทกุ ดา้ นทต่ี ัวชีว้ ัดกาหนด หากเป็นรายวชิ าเพ่มิ เตมิ ให้วิเคราะห์ผลการเรียนร้ตู ามทสี่ ถานศกึ ษากาหนด
2.2 กาหนดหน่วยการเรียนรู้โดยเลือกมาตรฐาน/ตัวชี้วัดที่สอดคล้องสัมพันธ์กันหรือประเด็น
ปัญหาที่อยู่ในความสนใจของผู้เรียน ซ่ึงอาจจัดเป็นหน่วยเฉพาะวิชา (Subject unit) หรือหน่วยบูรณาการ
(Integrated unit) แต่ละหน่วยการเรียนรู้อาจนา การอ่าน คิดวิเคราะห์ และ เขียน คุณลักษณะ
อันพึงประสงค์ มาพัฒนาในหน่วยการเรียนรู้ด้วยก็ได้ ในขณะเดียวกันผู้สอนควรวางแผนการประเมิน
ท่ีสอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้ด้วย กรณีที่ตัวชี้วัดใดปรากฏอยู่หลายหน่วยการเรียนรู้ ควรพัฒนา
ตวั ช้ีวัดนั้นในทุกหนว่ ยการเรียนรู้ ด้วยวิธกี ารและเครื่องมอื ทีห่ ลากหลาย ก่อนบันทกึ สรุปผล เพื่อสามารถ
ประเมนิ ผเู้ รยี นไดอ้ ย่างครอบคลุม
2.3 กาหนดสัดส่วนเวลาเรียนในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ ตามโครงสร้างรายวิชา โดยคานึงถึง
ความสาคญั ของมาตรฐานการเรยี นรู/้ ตวั ชว้ี ัด หรอื ผลการเรียนรู้ และสาระการเรยี นรู้ ในหนว่ ยการเรยี นรู้
2.4 กาหนดภาระงานหรือช้ินงานหรอื กิจกรรมท่ีเป็นหลกั ฐานแสดงออกซ่ึงความรู้ความสามารถ
ทีส่ ะท้อนตวั ชวี้ ัด หรือผลการเรียนรู้ การกาหนดภาระงาน หรือชน้ิ งาน อาจมลี ักษณะดังนี้
2.4.1 บูรณาการหลายสาระการเรียนรู้และครอบคลุมหลายมาตรฐานการเรียนรู้ หรือ
หลายตวั ช้ีวดั
2.4.2 สาระการเรยี นรูเ้ ดียวแต่ครอบคลุมหลายมาตรฐานการเรยี นรู้ หรอื หลายตัวชี้วัด
2.5 กาหนดเกณฑ์สาหรับประเมินภาระงาน/ชิ้นงาน/กิจกรรม โดยใช้เกณฑ์การประเมิน
(Rubrics) หรือกาหนดเป็นรอ้ ยละ หรือตามที่สถานศกึ ษากาหนด
2.6 สาหรับตัวช้ีวัดที่ยังไม่ได้รับการประเมินโดยภาระงานให้เลือกวิธีการวัดและ ประเมินผล
ด้วยวิธีการและเครอ่ื งมอื ที่เหมาะสม
3. ชี้แจงรายละเอียดของการวดั และประเมนิ ผลให้ผูเ้ รยี นเขา้ ใจถึงวัตถุประสงค์ วธิ ีการ เคร่ืองมือ
ภาระงาน เกณฑ์ คะแนน ตามแผนการประเมนิ ที่กาหนดไว้
4.การวัดผลการเรียนรูข้ องแตล่ ะหน่วยการเรียนรู้ ควรวดั และประเมินผลการเรยี นร้เู ป็น
3 ระยะ ได้แก่ ประเมินวิเคราะห์ผู้เรียนก่อนการเรียนการสอน ประเมินความก้าวหน้าระหว่างเรียน
และการประเมนิ ความสาเรจ็ หลงั เรียน โดยมรี ายละเอียดดังนี้
22
4.1 ประเมนิ วิเคราะหผ์ ู้เรยี น
การประเมินวิเคราะห์ผู้เรียน เป็นหน้าที่ของครูผู้สอนในแต่ละรายวิชา ทุกกลุ่มสาระ
การเรียนรู้ เพื่อตรวจสอบความรู้ ทักษะและความพร้อมด้านต่างๆ ของผู้เรียนโดยใช้วิธีการที่เหมาะสม
แล้วนาผลการประเมินมาปรับปรุง ซ่อมเสริม หรือเตรียมผู้เรียนทุกคน ให้มีความพร้อมและมีความรู้
พ้ืนฐาน ซ่ึงจะช่วยให้การจัดกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนประสบความสาเร็จในการเรียนได้เป็นอย่างดี
แตจ่ ะไม่นาผลการประเมินนไ้ี ปใชใ้ นการพจิ ารณาตัดสนิ ผลการเรียน มแี นวปฏิบตั ดิ งั น้ี
4.1.1 วเิ คราะห์ความรู้และทักษะทีเ่ ป็นพืน้ ฐานของเรื่องท่ีจะเรียนรู้
4.1.2 เลือกวิธีการและเคร่ืองมือสาหรับประเมินความรู้และทักษะพื้นฐาน
อย่างเหมาะสม เช่น การใช้แบบทดสอบ การซักถามผู้เรียน การสอบถามผู้สอน การพิจารณา ผลการ
เรยี นเดมิ หรอื พิจารณาแฟม้ สะสมงาน (Portfolio) ที่ผ่านมา เป็นตน้
4.1.3 ดาเนนิ การประเมินความรแู้ ละทกั ษะพนื้ ฐานของผู้เรียน
4.1.4 นาผลการประเมินไปพฒั นาผู้เรียนให้มีความพร้อมที่จะเรยี น เชน่ จดั การเรยี นรู้
พ้ืนฐานสาหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และเตรียมแผน จัดการเรียนรู้เพื่อสนับสนุนผู้เรียน
ทม่ี ีความสามารถพเิ ศษ เปน็ ต้น
4.2 การประเมนิ ความก้าวหน้าระหวา่ งเรียน
การประเมินความก้าวหน้าระหว่างเรียน เป็นการประเมินท่ีมุ่งตรวจสอบพัฒนาการ
ของผู้เรียนในการบรรลุมาตรฐาน/ตัวช้ีวัด ผลการเรียนรู้ ตามหน่วยการเรียนรู้ท่ีผู้สอนได้วางแผนไว้
เพ่ือให้ได้ข้อมูลสารสนเทศไปพัฒนา ปรับปรุง แก้ไขข้อบกพร่อง และส่งเสริมผู้เรียนให้มีความรู้
ความสามารถและเกิดพัฒนาการสูงสุดตามศักยภาพ นอกจากน้ียังใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุง
กระบวนการจัดการเรียนรู้ของผู้สอน การประเมินความก้าวหน้าระหว่างเรียนที่ดาเนินการอย่างถูก
หลักวิชาและต่อเนื่องจะให้ผลการประเมินที่สะท้อนความก้าวหน้าในการเรียนรู้และศักยภาพของผู้เรียน
อย่างถูกต้อง น่าเช่ือถือ โดยผู้สอนเลือกวิธีการวัดและประเมินผลท่ีสอดคล้องกับภาระงานหรือกิจกรรม
ที่กาหนดให้ผู้เรียนปฏิบัติวิธีการประเมินที่เหมาะสม สาหรับการประเมินความก้าวหน้าระหว่างเรียน
ได้แก่ การประเมินจากสิ่งท่ีผู้เรียนได้แสดงให้เห็นว่ามีการพัฒนาด้านความรู้ความสามารถ ทักษะ
ตลอดจนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ท่ีเป็นผลจากการเรียนรู้ ซ่ึงผู้สอนสามารถเลือกใช้วิธีการวัดและ
ประเมนิ ผลไดห้ ลากหลาย ดังนี้
4.2.1 เลือกวิธีและเครื่องมือการประเมินให้สอดคล้องกับตัวชี้วัด หรือผลการเรียนรู้
เชน่ การประเมินด้วยการสังเกต การซกั ถาม การตรวจแบบฝกึ หัด การประเมินตามสภาพจริงการประเมิน
การปฏบิ ัติ เป็นตน้
4.2.2 สร้างเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนให้สอดคล้องกับวิธีการประเมิน
ทีก่ าหนด
4.2.3 ดาเนินการวัดและประเมินผลการเรยี นควบคู่ไปกบั การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
4.2.4 นาผลไปพัฒนาผเู้ รยี น
23
4.3 การประเมนิ ความสาเร็จหลงั เรียน
การประเมินความสาเร็จหลังเรียน เป็นการประเมินเพื่อมุ่งตรวจสอบความสาเร็จ
ของผเู้ รยี น ใน 2 ลกั ษณะ คือ
4.3.1 การประเมินเมื่อจบหน่วยการเรียนรู้ เป็นการประเมินผู้เรียนในหน่วย
การเรียนรู้ท่ีได้เรียนจบแล้ว เพื่อตรวจสอบผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามตัวช้ีวัดหรือผลการเรียนรู้
พัฒนาการของผู้เรียนเมื่อนาไปเปรียบเทียบกับผลการประเมินวิเคราะห์ผู้เรียน ทาให้สามารถประเมิน
ศักยภาพในการเรียนรู้ของผู้เรียน และประสิทธิภาพในการจัดการเรียนรู้ของผู้สอน ข้อมูลท่ีได้จากการ
ประเมินความสาเร็จภายหลังการเรียนสามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุง แก้ไข วิธีการเรี ยน
ของผู้เรียน การพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ของผู้สอน หรือซ่อมเสริมผู้เรียนให้บรรลุตัวชี้วัด
หรือผลการเรียนรู้
การประเมินความสาเร็จหลงั เรยี นน้ี จะสอดคล้องกับการประเมินวิเคราะห์ผู้เรยี น
ก่อนการเรียนการสอน หากใช้วิธีการและเครื่องมือประเมินชุดเดียวกันหรือคู่ขนานกัน เพ่ือดูพัฒนาการ
ของผเู้ รียนไดช้ ัดเจน
4.3.2 การประเมินปลายปี/ปลายภาค เป็นการประเมินผลเพื่อตรวจสอบผลสัมฤทธิ์
ของผู้เรียนในการเรียนรู้ตามตัวช้ีวัดหรือผลการเรียนรู้ และใช้เป็นข้อมูลสาหรับปรับปรุงแก้ไข ซ่อมเสริม
ผู้เรียนที่ไม่ผ่านการประเมินตัวช้ีวัด การประเมินปลายปี/ปลายภาคสามารถใช้วิธีการและเคร่ืองมือ
ประเมินได้อย่างหลากหลายและเลือกใช้ให้สอดคล้องกับตัวช้ีวัด อาจใช้แบบทดสอบชนิดต่างๆ หรือ
ประเมินโดยใช้ภาระงานหรอื กิจกรรม โดยมขี ัน้ ตอนหรือวิธีการดงั นี้
1) เลอื กวธิ ีการและเครอื่ งมอื ท่ีจะใชใ้ นการวัดและประเมินผล
2) สร้างเครอ่ื งมือประเมนิ
3) ดาเนินการประเมิน
4) นาผลการประเมินไปใช้ตัดสนิ ผลการเรยี น ส่งผลการเรียนซอ่ มเสริม แก้ไขผล
การเรยี น
ส าห รับ กิจ ก รรม พั ฒ น าผู้ เรี ย น ซ่ึงเป็น กิจ ก รรม ท่ี ส ถาน ศึก ษ าต้อ งจั ดให้ ผู้ เรีย น
ทุกระดับช้ัน นั้น ผู้สอนท่ีรับผิดชอบต้องดาเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนอย่างมีเป้าหมาย มีรูปแบบและ
วธิ ีการตามบริบทที่เหมาะสมของสถานศกึ ษานั้นๆ ผู้เรียนต้องผา่ นเกณฑ์การประเมินกิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน
ตามที่สถานศึกษากาหนด จึงจะผา่ นเกณฑ์การจบแต่ละระดบั การศึกษา มีขน้ั ตอนการดาเนินการดังนี้
1.ศึกษากิจกรรมและเกณฑ์การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามท่ีคณะกรรมการ
ประเมินกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียนของสถานศึกษากาหนด
2.ออกแบบการจัดกจิ กรรมพัฒนาผ้เู รยี นตามลักษณะของกิจกรรมนั้น
3.ดาเนินการจัดกจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน และพัฒนาตามรปู แบบ วิธีการทีก่ าหนด
4.เลือกวิธีการ เคร่ืองมือให้สอดคล้องกับกิจกรรมการประเมินให้เหมาะกับลักษณะ
ของกิจกรรม
24
สถานศึกษากาหนด 5.สร้างเครอ่ื งมอื และกาหนดวธิ ีการประเมิน
6.ดาเนนิ การประเมนิ กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น โดยคานงึ ถึงต่อไปนี้
6.1 เวลาในการเข้ารว่ มกิจกรรมของผเู้ รยี นตามเกณฑ์ทส่ี ถานศึกษากาหนด
6.2 ผลการปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียนให้เป็นไปตามเกณฑ์ท่ี
7.สรุปผลประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน
8.ส่งผลการประเมนิ
หนว่ ยที่ 3
การวางแผนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
กรอบแนวคิดการวางแผนการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้
กรอบแนวคิดการวางแผนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีขั้นตอน (สานักวิชาการและมาตรฐาน
การศกึ ษา, กระทรวงศึกษาการ, 2551, หนา้ 32-35) ดงั แผนภาพท่ี 3.1
ใบงาน 1. วเิ คราะห์เปา้ หมาย
การเรยี นรแู้ ละประเมนิ ผล
เป้าหมายการเรียนรู้และ วิเคราะห์เป้าหมาย ใบงาน 2. การกาหนดค่า
การประเมินผล การเรียนรู้และประเมินผล นา้ หนักคะแนนตวั ช้วี ัด
ใบงาน 3. การกาหนดกาหนด
ภาระงานตามตวั ชี้วัด
การวัดและประเมินผล การเลือกเครอื่ งมือ ใบงาน 4. การเลอื กเครื่องมอื
การเรียนรู้ ประเมินผลการเรียนรู้ ใหส้ อดคล้องกับเป้าหมาย
การสรา้ งเคร่ืองมือ ใบงาน 5. สรา้ งเครอื่ งมือ
ประเมินผล ประเมินผลดา้ นความรู้ความคิด
ใบงาน 6. สรา้ งเครอ่ื งมอื
ประเมินผลด้านความสามารถ
การายงานผลการประเมิน การออกแบบการายงาน ใบงาน 7. การออกแบบการตดั
ผลการประเมิน เกรดและรายงานผล
ใบงาน 8. การออกแบบการ
ประเมินและรายงาน
คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ /
สมรรถนะท่สี าคญั
แผนภาพที่ 3.1 กรอบแนวคดิ การวางแผนการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้
26
การออกแบบการวัดและประเมินผลเพื่อยกระดบั คณุ ภาพการศกึ ษา
การออกแบบการวัดและประเมินผลเพอ่ื ยกระดับคุณภาพการศกึ ษา มีช้ันตอน (สานักวิชาการและ
มาตรฐานการศึกษา, กระทรวงศึกษาการ, 2551, หน้า 32-35) ดังต่อไปน้ี
1.การวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด เป็นการศึกษาตัวชี้วัด ตามมาตรฐานการเรียนรู้
เพื่อให้เห็นเป้าหมายการเรียนรู้ ด้านความรู้ความคิด ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์
และสามารถออกแบบการประเมินผลให้เหมาะสม สอดคลอ้ งกับตัวช้ีวัด ดงั กล่าว
2.การกาหนดสัดส่วนคะแนนแต่ละตัวช้ีวัด พิจารณาจากความยาก ความใหญ่ของตัวชี้วัด
เมอื่ ตวั ชี้วัดมีความยากหรือมีขนาดใหญ่ ตอ้ งใช้เวลาในการสอนมาก คะแนนประจาตัวชี้วัดน้ันต้องมากไปด้วย
3.การกาหนดภาระงานตามตัวช้ีวัด ภาระงานที่กาหนดนั้นต้องต้องตอบคาถามได้ว่านักเรียน
รอู้ ะไรและทาอะไรได้ตรงตามตัวชี้วัด ตวั ชี้วดั หนง่ึ อาจมีหนึ่งภาระงานหรือมากกวา่ หน่งึ ภาระงานก็ได้
4.การเลือกเคร่ืองมือให้สอดคล้องกับตัวช้ีวัด ตัวชี้วัดซ่ึงเป็นเป้าหมายการเรียนรู้ บางตัวชี้วัด
อาจมีเป้าหมายเดียว เช่น ความรู้ความคิดหรือความสามารถหรือคุณลักษณะอันพึงประสงค์ แต่ใน
บางตัวชวี้ ัดมีทัง้ ความรูค้ วามคิดและความสามารถ จะต้องเลือกเครื่องมือให้ตรงตามเป้าหมาย ซ่งึ เครอื่ งมือ
อาจจะมที ้ังแบบทดสอบท่ีเป็นปรนัย และแบบทดสอบภาคปฏิบัติ
5. ตวั ชีว้ ดั ที่เป็นเป้าหมายด้านความรูค้ วามคิดอย่างเดียว ครูต้องเลือกเครื่องมือท่ีเป็น
แบบทดสอบให้เหมาะสม โดยในระดับการเรียนการสอนควรใช้แบบทดสอบที่ให้เด็กสร้างคาตอบ เช่น
การตอบส้นั หรอื การเขยี นตอบที่ยาว หรอื อาจใช้เครอ่ื งมอื มากกวา่ หน่ึงชนิดก็ได้
6. ตัวช้ีวัดที่เป็นเป้าหมายด้านความสามารถ ไม่มีวิธีการใดที่จะรู้ว่านักเรียนบรรลุมาตรฐาน
ด้านความสามารถ นอกจากให้นักเรียนปฏิบัติงานให้ดู หรือดูผลงานของนักเรียน การเลือกเครื่องมือ
ในการประเมินควรเลือกวิธีการประเมินการปฏิบัติงาน หรือเพื่อให้สอดคล้องกับชีวิตจริง นักเรียนได้ใช้
ความคิดชั้นสูงในการแก้ปัญหา กเ็ ลือกวิธีการประเมินสภาพจรงิ
27
วตั ถุประสงค์
เพอ่ื ให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ความเขา้ ใจ สามารถออกแบบการวัดและประเมินผล
ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ
สอ่ื อปุ กรณ์
1. ใบกจิ กรรม
ใบงานที่ เรอ่ื ง เวลา (นาที)
1. การวเิ คราะหม์ าตรฐานและตัวช้วี ัด 60
2. การกาหนดค่าน้าหนักสัดส่วนคะแนน 60
3. การวเิ คราะห์ภาระงานตามตัวช้ีวัด 60
4. การเลอื กเคร่อื งมือให้สอดคลอ้ งกับตัวชี้วัด 60
5. การสรา้ งเครอ่ื งมือวัดและประเมินผลดา้ นความรู้ความคิด 60
6. การสรา้ งเครอ่ื งมอื วัดและประเมินผลวัดดา้ นความสามารถ 60
7. แผนการจดั การเรียนรู้และประเมินผล 60
8. ประเมนิ แผนการจัดการเรียนรู้ 60
2. ใบความรู้
ใบความร้ทู ่ี 1 การประเมนิ สภาพจริง
ใบความรู้ที่ 2 การออกแบบภาระงานสภาพจรงิ
ใบความรทู้ ่ี 3 เกณฑก์ ารประเมินสภาพจริง
ใบความรู้ที่ 4 เคร่ืองมือวัดและประเมินผลดา้ นความรู้ความคิด
ใชเ้ วลาทัง้ หมด
เวลา 7 ช่ัวโมง
28
กจิ กรรมปฏิบัติ
1. บรรยายกรอบแนวคิด การออกแบบการวัดและประเมินผลเพ่ือยกระดับผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 โดยใช้ สื่อมัลติมีเดียคอมพิวเตอร์
โปรแกรม Power point ประกอบการบรรยาย (30 นาท)ี
2. แต่ละกลุ่มศึกษาเอกสารหลักสูตรสถานศึกษา วิเคราะห์โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา
แลว้ ฝึกปฏิบัติตามใบกิจกรรมท่ี 1 (60 นาท)ี
3. แตล่ ะกลุ่มนาตัวช้ีวัดและเป้าหมายการเรียนรู้มากาหนดสัดสว่ นคะแนนการประเมินผลระหว่าง
เรยี นและปลายปี ฝึกปฏบิ ัติตามใบกิจกรรมท่ี 2 (60 นาที)
4. แต่ละกลุ่มศกึ ษาศึกษาการประเมินผล แลว้ กาหนดภาระงานให้สอดคล้องกับตัวช้ีวัด ฝึกปฏิบัติ
ตามใบกิจกรรมท่ี 3 (60 นาท)ี
5. แต่ละกลุ่มเลือกตัวชี้วัดที่มีเป้าหมายด้านความรู้ความคิดมา 1 ตัวช้ีวัด เลือกเครื่องมือ และ
ช่วยกันสร้างเครื่องมือ ฝกึ ปฏิบตั ิตามใบกิจกรรมที่ 4 (60 นาท)ี
6. แต่ละกลุ่มเลือกตัวชี้วัดท่ีมีเป้าหมายด้านความสามารถมา 1 ตัวชี้วัด ให้ทาแผนประเมินสภาพจริง
ฝึกปฏิบตั ิตามใบกิจกรรมท่ี 5 (60 นาท)ี
7. แต่ละกลุ่มนาแผนประเมินผลจากใบกิจกรรมที่ 5 มาหลอมรวมกับแผนการจัดการเรียนรู้
กจ็ ะได้ แผนจดั การเรียนรู้และประเมินผล ซ่งึ เป็นแผนที่จัดการเรียนรคู้ วบคู่กับการประเมินผล
ฝกึ ปฏิบัติตามใบกิจกรรมที่ 7 (130 นาท)ี
การประเมนิ ผล
ประเมนิ ผลงานตามใบกิจกรรมท่ี 1 ถงึ 7
29
ใบงานท่ี 1
เรือ่ ง การวิเคราะห์มาตรฐานและตัวชว้ี ดั
คาชแ้ี จง
ให้แต่ละกลุ่ม ศึกษามาตรฐานและตัวชี้วัดกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่รับผิดชอบ ว่ามีเป้าหมาย
ให้ผู้เรียนรู้อะไร และสามารถทาอะไรได้ เม่ือฝึกปฏิบัติบ่อยข้ึนนักเรียนจะมีสมรรถนะอะไร และมี
คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์อะไร แลว้ บนั ทึกลงในใบงานท่ี 1 ใหส้ มบูรณ์
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ...................................................รหสั วิชา...........ช้ัน...................จานวน...........ชว่ั โมง
ตัวช้ีวัด ผู้เรียนรู้อะไร/ทาอะไรได้ นาไปสู่
สมรรถนะท่ีสาคัญ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
30
ใบงานท่ี 2
เร่ือง การกาหนดเวลา สัดส่วนน้าหนักคะแนน
คาชแี้ จง ใหแ้ ตล่ ะกลุ่ม วเิ คราะห์กาหนดสัดส่วนคะแนนในแต่ละมาตรฐานและตัวชี้วัด โดยใช้หลัก
คณิตศาสตร์ในการคานวณ เช่น เวลาเรยี น ในกลมุ่ สาระน้ี 200 ช่ัวโมง เวลาสอนตัวชี้วัดนี้
5 ช่วั โมง สดั คะแนนระหวา่ งเรียน : ปลายปี เท่ากับ 70 : 20 คานวณระหวา่ งเรียน
27000× 5 = 1.7 = 2 คะแนน เปน็ ตน้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ........................................................รหสั วิชา...........ชั้น.............จานวน.........ชัว่ โมง
ประเมินผลระหวา่ งเรียน ปลายปี
มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด เวลา คะแนน รวม คะแนน รวม
(ชั่วโมง)
31
ใบงานที่ 3
เรอ่ื ง การกาหนดภาระงานตามตัวชี้วดั
คาช้แี จง ใหแ้ ต่ละคน นามาตรฐาน ตัวช้วี ัด มาศึกษา วิเคราะห์ แล้วบันทึกผล ตามใบงานท่ีกาหนด
นาไปสู่ ภาระงาน
ตัวช้ีวัด ผู้เรียนรูอ้ ะไร/ทาอะไรได้ สมรรถนะ คุณลกั ษณะ
ท่ีสาคัญ อันพึงประสงค์
32
ใบงานท่ี 4
เรื่อง การเลอื กเคร่ืองมือการประเมินผลใหส้ อดคล้องกับเปา้ มายการเรียนรู้
คาช้ีแจง
ให้แต่ละกลุ่ม นาภาระงานตามใบกิจกรรมท่ี 3 มาวิเคราะห์ความสัมพันธ์กับวิธีการประเมินผล
ชนดิ ใด แล้วอภิปรายวา่ ตัวชี้วัดนี้เลือกวิธีการประเมินแบบใด แลว้ บนั ทกึ ตัวช้วี ัดลงในแบบฝกึ ปฏิบัติที่ 4
ประเภท วธิ ีการประเมินผล ตัวชี้วัด
การเลือกตอบ ปรนัยเลือกตอบ
(selected response) จบั คู่
ถกู ผิด
การสร้างคาตอบ เขยี นคาหรอื ข้อความลงในช่องว่าง
(constructed เขียนความเรียง
response) เขยี นคาตอบสั้นๆ
เขียนแผนภูมิ
การสร้างคาตอบ (ตอ่ ) เขยี นขอบขา่ ยงาน
(constructed เขยี นแผนผังความคิดรอบยอด
response) เขยี นแผนภูมสิ ายงาน/ผงั งาน
เขยี นกราฟ
เขยี นตาราง
เขยี นตารางแสดงความสมั พันธ์ 2ทาง
เขียนภาพประกอบการอธิบาย
แฟม้ สะสมผลงาน
การนาเสนอ
การเคลือ่ นไหว
ปฏบิ ัตกิ ารทางวิทยาศาสตร์
ทักษะพละศึกษา
การแสดงละคร
การทาโครงงาน
ประเภท วิธีการประเมินผล 33
การโตว้ าที ตัวช้ีวัด
การประเมินไม่เป็น การจัดนทิ รรศการ
ทางการ (Informal การเล่นดนตรีเด่ียว,การบรรยาย
Assessment) การอ่านออกเสียง
/การประเมินตนเอง การเขียนประกาศ/ข้อบังคับ
(Self-Assessment) ตอบคาถามปากเปลา่
การสังเกต
การสมั ภาษณ์
การประชมุ
การกาหนดรายละเอียดของ
กระบวนการ
แบบสารวจรายการ
34
ใบงานท่ี 5
เรอ่ื ง การสรา้ งเครือ่ งมือวดั ผล ด้านความร้คู วามคิด
คาชแี้ จง ให้แต่ละกลุ่ม นาตัวชี้วดั ด้านความรูค้ วามคิดมา 1 ตัวช้ีวัด พร้อมทงั้ จดั สร้างเคร่อื งมือวัด
และประเมนิ ผล
ตัวชี้วดั กลมุ่ สาระการเรยี นรูช้ ้นั
............................................................................................................................. .........................................
ชนิดของเครื่องมือวัดผล ..........................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
................................................................................................................................. .....................................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................ ..........................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................... ...............................
......................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................... ...............................
35
ใบงานท่ี 6
เรื่อง การสรา้ งเครื่องมือวดั ผล การปฏิบัติงาน
คาชแ้ี จง ให้แตล่ ะคน นาตัวชว้ี ัดด้านความสามารถมา 1 ตัวช้ีวัด พร้อมทั้งจดั สร้างเครอื่ งมือประเมินผล
สภาพจรงิ ซ่งึ เปน็ การประเมินประเภทปฏิบัติงาน แต่มคี วามแตดต่างกัน คือ ประเมนิ สภาพ
จริงจะมีบริบทจริง สอดคล้องกับสภาพปัญหาในชวี ิตจริง
ชอื่ รายวชิ า.........................รหสั วิชา..............ช้ัน...........จานวนเวลา........ ชว่ั โมง คะแนน..............คะแนน
เปา้ หมายการเรยี นรู้ ตัวชว้ี ัดกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ชน้ั
...................................................................................................................................... ................................
................................................................................................... ...................................................................
ช่อื ภาระงาน...........................................................
นักเรียนเป็น…………………………………………………………………………………………………………………….
......................................................................................................................................................................
มีหนา้ ท่ตี ้อง…………………………………………………………………………………………………………...…………
......................................................................................................................................................................
โดยผลงานตอ้ งมีลกั ษณะ…………………………………………………………………………..………..……………
............................................................................................................................. .........................................
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เมื่อจดั ทาและพัฒนาผลงานสมบรู ณแ์ ล้วนาไปเสนอ(ให)้ ..........................................................................
…………………………….……………………………………………………………………………………………………………..……..
....................................................................................................................................... ...............................
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เป็นผู้ประเมินและเนอแนะเพอ่ื ปรับปรุงงาน/ผลงานให้ดีขึ้น
..................................................................................................................................... .................................
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
หมายเหตุ ถา้ เปน็ การประเมินผลการปฏิบัติงานท่ัวไป ครจู ะเป็นผูก้ าหนดภาระงานให้ทาไม่มีบริบทจริง
36
เกณฑก์ ารประเมนิ
ส่งิ ท่ตี อ้ งประเมนิ (ด้าน)..................................................................................................
ประเด็น 4 ระดับคะแนน/ลักษณะของงาน นา้ หนัก คะแนน
การประเมิน 32 1 ความสาคัญ รวม
37
ใบงานท่ี 7
เรือ่ ง แผนการเรียนรูแ้ ละประเมินผล
คาชีแ้ จง
ให้แตล่ ะกลุ่มนาแผนการประเมินจากใบงานที่ 5 มารวมกับแผนการจัดการเรียนรู้ เปน็
แผนการจัดการเรียนร้แู ละประเมินผล การออกแบบการจัดการเรียนร้กู ็จะสอดคล้องกับ พ.ร.บ. การศึกษา
2542 แก้ไขเพ่ิมเตมิ (ฉบับท่ี 2) 2545
แผนการจัดการเรียนรูแ้ ละประเมนิ ผล
กล่มุ สาระการเรยี นรู้ ...............................รายวชิ า..............รหัส.............. ช้ัน............................หน่วย
การเรยี นรู.้ ......................แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 1 .............................เวลา.........ชั่วโมง
มาตรฐาน…………………………………………………………………………………….…………………………………
......................................................................................................................................................................
ตวั ช้ีวัด…………………………………………………………………………………………………………………………….
......................................................................................................................................................................
สาระสาคญั ..................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................. ....
ภาระงาน/ชิน้ งาน………………………………………………….………………………………………………………….
ความรแู้ ละทักษะพ้นื ฐานทเี่ ปน็ ……………………………..………..…………………………………………………
........................................................................................................................................................ ..............
......................................................................................................................................................................
สื่อ/แหลง่ เรียนรู้..............................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
กิจกรรมการเรียนรู้ ........................................................................................................................
......................................................................................................................................................................
การประเมนิ ผล
สง่ิ ท่ตี อ้ งประเมิน................................................................................................................
……………………………………………………………………………………………………………….……………………………………
เครอ่ื งมือที่ใช้ในการประเมิน……………………………………………………………………………………
เกณฑก์ ารประเมิน (รายละเอียดแนบ)
38
สรุปผลการจัดการเรยี นรู้ ………………………………………………………………….……………………………..
....................................................................................................................................... ...............................
......................................................................................................................................................................
แนวทางในการแกป้ ญั หาและพฒั นา
............................................................................................................................. .........................................
......................................................................................................................................................................
เกณฑก์ ารประเมิน
สิ่งทีต่ ้องประเมิน (ดา้ น).......................................................................................................................
ประเด็น 4 ระดับคะแนน/ลกั ษณะของงาน นา้ หนัก คะแนน
การประเมิน 32 1 ความสาคัญ รวม
รวม ดีมาก
ดี
เกณฑก์ ารประเมินผลรวม พอใช้
คะแนน - หมายถึง ปรับปรุง
คะแนน - หมายถงึ
คะแนน - หมายถึง
คะแนน - หมายถงึ
39
ใบงานท่ี 8
เร่ือง แผนการเรยี นรู้และประเมนิ ผล
คาชีแ้ จง
เมื่ออกแบบแผนการจัดการเรียนร้แู ลว้ พจิ ารณาวา่ แผนการจัดการเรียนรมู้ ีลักษณะนี้หรือไม่
ลกั ษณะกิจกรรม ใช่ ไม่ใช่
1. กิจกรรมการประเมินรวมอยู่กับกิจกรรมการเรียนอย่างเหมาะสม
2. กจิ กรรมพัฒนาตรงตามตวั ชี้วัด
3. กิจกรรมนาไปสู่การสร้างผลงาน/การปฏิบัติจริง
4. ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง
5. ผูเ้ รียนมสี ่วนรว่ มในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
6. ผเู้ รียนมีส่วนรว่ มในการออกแบบการประเมินผล
7. กิจกรรมการเรียนรู้หลากหลายสอดคล้องกับสาระการเรียนรู้
8. กจิ กรรมการเรยี นรู้หลากหลายสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้
9. ผู้เรยี นได้เรียนรู้จากกแหล่งเรียนรู้หรือเครือขา่ ยการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย
10. สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมและคา่ นิยมที่พงึ ประสงค์
40
ใบความรูท้ ี่ 1
เรือ่ ง เครอื่ งมอื วดั และประเมนิ ผล
เครอ่ื งมอื ประเมินผลการศกึ ษา มหี ลากหลาย แตส่ ามารถจัดเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 4 ประเภท ดงั นี้
1. การเลอื กตอบ (selected response)
2. การสรา้ งคาตอบ (Constructed Response)
3. การประเมินความสามารถ (Performance Assessment)
4. การประเมินไม่เป็นทางการ (Informal Assessment) /การประเมินตนเอง (Self-
Assessment)
1. การเลอื กตอบ (selected response)
1.1 เคร่ืองมือประเภทเลอื กตอบ
1) ปรนยั เลือกตอบ
เป็นการสร้างข้อสอบเพ่ือวัด จุดประสงค์การเรียนรู้ เริ่มต้นจากการวิเคราะห์จุดประสงค์การ
เรียนรู้กับสาระการเรียนรู้ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างข้อสอบวัดผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้หรือ
ตัวชวี้ ดั มี 4 แบบ ดงั น้ี
1.1) แบบที่เป็นคาถามเดี่ยว
1.2) แบบที่ใชข้ ้อมูลชุดเดียวกันเพือ่ การถามหลายข้อ
1.3) แบบเลือกตอบ 2 ตอน
1.4) มีตัวเลอื กถูกต้องมากกวา่ 1 ข้อ
1.5) แบบผสานวิธีมีทั้งเลอื กตอบและเขียนตอบ
2) แบบถูกผดิ
เป็นข้อสอบเลือกตอบอีกรูปแบบหน่ึง ที่นาเสนอข้อความเก่ียวกับความรู้ ความเข้าใจใน
แนวคิดหลัก หลักการ ทฤษฎี การแปลความหมาย หรือการกาหนดตัวแปร โดยผู้เรียนพิจารณาตัดสินใจ
เลอื กตอบโดยการเลือกถูก หรอื ผิด
3) ข้อสอบแบบจบั คู่
เป็นขอ้ สอบเลือกตอบอกี รูปแบบหนงึ่ มลี กั ษณะการนาเสนอคาหรือข้อความ 2 ส่วนให้เลือก
เพื่อจับคู่ ส่วนท่ี 1 คือ ปัญหาท่ีเขียนเป็นคาหรือข้อความซ่ึงเป็นแนวคิดหลัก เขียนไว้เป็นแนวตั้ง 1 แถว
ส่วนที่ 2 คือ คาตอบซึ่งเป็นคาหรือข้อความหรือข้อความท่ีสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับเนื้อหา เขียนเรียงกัน
เป็นแนวตง้ั อกี 1 แถว โดยทวั่ ไปมีจานวนข้อประมาณ 8-12 ขอ้ และจานวนของข้อตอบมมี ากกว่าคาถาม
41
1.2 ข้อดี
- เหมาะในการประเมินความรู้เกี่ยวกับ ขอ้ เทจ็ จริง แนวคิดพ้นื ฐาน ทกั ษะท่ีไม่ซับซ้อน
- ตรวจใหค้ ะแนนรวดเร็ว
1.3 ข้อจากัด
- ไมเ่ หมาะในการประเมินทักษะการคิดระดับสูง การประเมนิ สภาพจริง
2. การสร้างคาตอบ (Constructed Response)
2.1 เคร่อื งมือประเภทสรา้ งคาตอบ
- การพดู นาเสนอ
- การอ่านออกเสียง
- การอ่านทานองเสนาะ
- การโตว้ าที การอภิปราย
- กจิ กรรมทีแ่ สดงออก
- การแสดงดนตรี กฬี า
- การวาดภาพ การสาธติ
2.2 ขอ้ ดี
- ประเมนิ ความสามารถในการนาความรู้และทักษะ ไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ
- เหมาะในการประเมินสภาพจรงิ
2.3 ข้อจากดั
- การตรวจมีความซับซ้อน ต้องใชเ้ กณฑ์ที่ชัดเจน เจาะจง และวดั ได้ เพือ่ ระบุระดับคุณภาพ
3. การประเมนิ ความสามารถ (Performance Assessment)
3.1 เครือ่ งมือประเภทการประเมนิ ความสามารถ
- การพดู นาเสนอ
- การอ่านออกเสียง
- การอ่านทานองเสนาะ
- การโตว้ าที การอภปิ ราย
- กิจกรรมทแี่ สดงออก
- การแสดงดนตรี กฬี า
- การวาดภาพ การสาธิต
42
3.2 ขอ้ ดี
- ประเมินความสามารถในการนาความรู้และทักษะ ไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ
- เหมาะในการประเมินสภาพจริง
3.3 ขอ้ จากัด
- การตรวจมีความซับซ้อน ตอ้ งใชเ้ กณฑ์ที่ชัดเจน เจาะจง และวัดได้ เพอ่ื ระบุระดับคุณภาพ
4. การประเมินไม่เปน็ ทางการ (Informal Assessment) /การประเมนิ ตนเอง (Self-Assessment)
การประเมินผลแบบไม่เป็นทางการเกิดข้ึนในทุก ๆ หอ้ งเรียนและทกุ ๆ วัน เม่ือครูผู้สอนสังเกต
นักเรียนเป็นรายบุคคล หรือรายกลุ่ม พวกเขาก็กาลังถูกประเมินผลอย่างไม่เป็นทางการ เม่ือครูผู้สอน
สังเกตการณ์ทางานของนักเรียนในการแก้ปัญหาหรือการอ่านตาราเรียนพวกนักเรียนกาลงั ถูกประเมินผล
อยา่ งไม่เป็นทางการ เม่ือนักเรยี นถามหรือตอบคาถาม หรือสนทนาโต้ตอบกับครูผู้สอน หรอื กับเพ่ือนๆ
ในช้ันเรียน หรือทางานในกลุ่มเล็กๆ ครูผสู้ อนก็ประเมินผล องค์ความรแู้ ละความเขา้ ใจอย่างไม่เป็น
ทางการ การประเมินผลอย่างไม่เป็นทางการเป็นการกระทาประจาปกติ อัตวิสัยของแต่ละบุคคล
ตลอดเวลาครูผู้สอนจะใช้เกณฑ์เฉพาะ (specific criteria) ระหวา่ งการสังเกตอย่าไม่เป็นทางการหรือ
การอภิปรายโต้แย้งหาเหตุผลอยู่เป็นประจา การประเมินตนเองเป็นตัวอย่างชนิดหน่ึงด้วยเช่นกันของการ
ประเมินผลอย่างไม่เป็นทางการ พวกนักเรียนหรือครูผู้สอนอาจใชแ้ บบสารวจรายการ (Checklists) เป็น
แบบไม่เป็นทางการ หรือประเมินผลด้วยตนเอง การประเมินผลตนเองของนักเรียนเมื่อพวกเขามาเป็นผู้
ติชมวพิ ากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ ในการทางานของเขาเอง หรือประเมินผลความเจริญกา้ วหน้าในส่ิง
นั้นๆ หรือความกา้ วหนา้ ไปสู่เปา้ หมายการเรียนรู้เหลา่ น้ัน การประเมินผลการทางานของตนเองเป็น
ทักษะอย่างหนึง่ ที่จะต้องไปรับการส่ังสอน แต่เม่ือนักเรียนเรยี นรกู้ ารประเมินตนเอง พวกเขาสามารถจะ
ดูแลรับผิดชอบการเรียนรู้ตนเองเหลา่ น้ัน และการพัฒนาความก้าวหนา้ ผลสัมฤทธ์ิเหล่านั้น
43
ใบความรู้ที่ 2
เรือ่ ง การออกแบบภาระงานสภาพจรงิ และเกณฑ์การประเมิน
การออกแบบภาระงานสภาพจริง(Authentic Task) การประเมินจากการสังเกตกระบวนการ
ทางานของผู้เรียนตามเกณฑ์การประเมิน(Rubrics) ที่ได้ออกแบบไว้อย่างสอดคล้องมาตรฐานหลักสูตร
สถานศึกษา เพื่อนาไปใช้พัฒนาผู้เรียน โดยมาตรฐานหรือเกณฑ์ 5 ประการ สาหรับใช้ในการประเมิน
ว่ารูปแบบการเรียนการสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนมี ความเป็นสภาพจริง (Authenticity)
ดังต่อไปน้ี
1) กระบวนการคิดข้ันสูง (High-Order Thinking) ผู้เรียนได้ใช้ทักษะการคิดข้ันสูง มากน้อย
เพียงไร เช่นการประยุกต์ใช้แนวคิดหรือหลักวิชาในการจาแนกประเด็นการต้ังข้อสมมุติฐานที่สมเหตุสมผล
การประเมนิ ความนา่ เช่ือถือของข้อมูลและแหลง่ ข้อมูล เปน็ ตัน
2) ความลึกซึ้งขององค์ความรู้ (Depth of Knowledge) ภาระงานหรือกิจกรรมท่ีทาเกยี่ วขอ้ งกัน
หรือนาไปสู่การเรียนรู้และเขา้ ใจความคิดรวบยอดกหลกั การและสาระสาคัญของวิชามากน้อยเพียงใด
3) ความสัมพันธ์กับโลกภายนอก (Connectedness to the World) คาถามหรือประเด็นปัญหา
ในกจิ กรรมท่ีทาเกี่ยวข้องกับสงั คมภายนอกหรือชวี ิตประจาวันมากน้อยเพียงใด
4) กระบวนการปฏิสัมพันธ์ (Interaction) มีการสื่อสาร สนทนาปรึกษาหารือ แลกเปล่ียน
ข้อมลู ความรู้ ช่วยเหลอื และร่วมมือ ระหว่างผูเ้ รียนด้วยกัน และผเู้ รยี นกับผู้สอนมากนอ้ ยเพียงใด
5) การสนับสนุนทางสงั คมเพ่ือผลสมั ฤทธิ์ผู้เรียน (Social Support for Student
Achievement) ผู้สอน โรงเรียน และชุมชน เช่อื ในหลักการว่าผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนได้และพัฒนา
ได้มากน้อยเพียงใด และตัง้ ความคาดหวังในความสาเร็จตามมาตรฐานการศึกษาสงู ต่าเพียงใด
การออกแบบภาระงานเพ่ือการเรยี นการสอนและการประเมินสภาพจริง
การออกแบบภาระงานเพ่ือใช้เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนและการ ประเมินสภาพจริง
ประกอบด้วยข้ันตอนใหญ่ 3 ขนั้ ตอน ซึ่งดเู หมอื นไมม่ ีอะไรที่ยุ่งยากซับซอ้ น แตใ่ นความเป็นจริงแล้ว
การออกแบบและพัฒนาภาระงานเพื่อการประเมินสภาพจริงท่ีมีคุณภาพตามมาตรฐาน 5 ประการ
ตามกล่าวข้างต้นต้องอาศัยหลักวิชา การวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์และความเชี่ยวชาญในเน้ือหาสาระ
ในระดับมืออาชีพ ขัน้ ตอนการสร้างภาระงานมีดังตอ่ ไปนี้
44
ขั้นตอนท่ี 1 การกาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ การระบุความรู้และทักษะที่ผู้เรียนจะเรียนรู้
จากการปฏิบัติงานข้ันตอนแรกของการออกแบบภาระงาน ผู้ออกแบบต้องพิจารณาและวิเคราะห์
มาตรฐานการเรียนรู้ในหลกั สูตร ผลการเรียนที่คาดหวัง หรือวตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ เพ่ือที่จะสามารถระบุ
ขอบเขตและประเภทของความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ที่ผู้เรียนจะได้ฝึกฝน เรียนรู้ และ
พฒั นาจากการปฏิบัตงิ านท่ีออกแบบ
Hengen (1997) ได้เสนอว่า ในขั้นนี้ผู้สอนหรือผู้ออกแบบภาระงานควรต้ังปัญหาถามตนเอง
5 ขอ้ เพื่อที่จะระบุหรือกาหนดความรแู้ ละความสามารถท่ีผู้เรียนจะไดร้ ับจากการปฏิบัติ ภาระงาน คอื
1) ทักษะทางปัญญาและคุณลักษณะทางวิชาการท่ีสาคัญท่ีต้องการให้ผู้เรียนได้ฝึกและ
พัฒนาคืออะไร เช่น การส่ือสารด้วยการเขียนอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์ประเด็น
ปัญหาโดยใช้ข้อมูลขั้นปฐมภูมิและจากเอกสารอ้างอิง การใช้หลักพีชคณิตเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน
เปน็ ตน้
2) ทักษะและคุณลักษณะทางสังคมและ จิตตพิสัยที่สาคัญที่ต้องการให้ผู้เรียนได้ เกิดการ
พัฒนา) คืออะไร เช่น การทางานโดยอิสระ การปฏิบัติโดยร่วมมือกับผู้อื่น ความมั่นใจในความสามารถ
ของตน และการร้จู กั รบั ผิดชอบ เป็นต้น
3) ทักษะความคิดระดับสูงและอภิปัญญา (Metacognition) ท่ีต้องการให้ผู้เรียน
พัฒนาคืออะไร เช่น การใคร่ครวญ ตรึกตรอง ทบทวนกระบวนการทางานของตน การประเมิน
ประสิทธภิ าพของยุทธวธิ ีท่ีตนใช้ การพิจารณาและประเมินความก้าวหนา้ ของตนเองเป็นระยะ ๆ เปน็ ต้น
4) ประเภทของปัญหาที่ต้องการให้ผู้เรียนสามารถแก้คืออะไร เช่นความสามารถในการ
วางแผนศึกษาค้นเพ่ือหาคาตอบให้กับประเด็นปัญหาที่กาหนดให้ ความสามารถจาแนกประเภทปัญหา
ทส่ี ามารถ ใชห้ ลกั การทางเรขาคณิตแก้ได้ การแก้ปัญหาท่ีไม่มคี าตอบท่ีถูกต้องแน่ชัด เปน็ ต้น
5) ความคิดรวบยอดและหลักการทางวิชาการที่ต้องการให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้
คืออะไร เช่น การใช้หลักการทางนิเวศวิทยากาหนดแนวปฏิบัติในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การใช้หลัก
คณติ ศาสตร์ ไตรยางค์ในการแก้ปัญหาเรื่องการซ้อื ขาย เป็นต้น
ข้ันตอนที่ 2 ออกแบบภาระงาน การออกแบบภาระงานที่ผู้เรียนต้องใช้ความรู้และทักษะ
ในขั้นตอนที่ 1 ลักษณะสาคัญของงานที่ออกแบบคือ ต้องกระตุ้นหรือสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียน มีความ
ท้าทายแต่ไม่ยากเกินไปจนผู้เรียนทาไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันต้องครอบคลุมสาระสาคัญทางวิชาและ
ทักษะที่ลึกซึ้ง เพื่อให้สามารถนาผลการประเมินไปใช้ได้อย่างสมเหตุสมผลและน่าเชื่อถือ Hengen
(1997) ไดเ้ สนอประเด็นคาถามสาคัญเพ่ือให้ผูอ้ อกแบบภาระงานและผู้สอนพิจารณาในขั้นตอนน้ี คือ
45
1) จะต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะเหมาะสมสาหรับผู้เรียนที่จะพัฒนาความรู้และทักษะ ท่ีเป็น
เป้าหมายของการปฏิบัติงาน เนื่องจากการเรียนการสอนและการประเมินสภาพจริงเน้นการพัฒนา
ความคิดรวบยอดที่สาคัญและทักษะ กระบวนการคิดระดับสูง ความรู้ทักษะเหล่าน้ีมีอยู่ไม่มากนัก
แต่มักจะใช้ระยะเวลาในการเรียนรู้ยาวนานพอสมควร ผู้ออกแบบควรจะกาหนดเวลาท่ีเหมาะสม
ตามประเภทของสาระสาคัญและความลึกซึ้งของทักษะ และวัยระดับช้ันเรียนหรือพัฒนาการ
ดา้ นสติปัญญาของผู้เรียน
2) ในกรณีที่มีความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์จานวนมากและหลากหลาย จะมี
หลักในการเลือกอย่างไร เพ่ือให้เหมาะสมกับระยะเวลาท่ีกาหนด หลักการสาคัญ คือให้ความสาคัญ
อันดับต้นๆ ได้แก่ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ท่ีสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้
ตามหลักสูตรสถานศึกษา และความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ท่ีมีขอบเขตการใช้ประโยชน์
ทก่ี ว้างขวาง และใช้ได้ในสถานการณ์ท่ีหลากหลาย
3) ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะท่ีกาหนดเป็นสิ่งที่ผู้เรียนสามารถบรรลุหรือเรียนรู้
ได้หรือไม่ ผู้ออกแบบและผู้สอนควรให้ความสาคัญต่อความรู้ ทักษะและคุณลักษณะที่สอดคล้อง
กบั ความเป็นจรงิ ไมค่ วรใหค้ วามสนใจกับสิง่ ที่ เปน็ เพียงอุดมคตแิ ต่ไม่สามารถบรรลุได้ในความเป็นจริง
ข้นั ตอนที่ 3 การกาหนดเกณฑ์การประเมินหรอื การให้คะแนน (Rubrics) ท่ีชัดเจน เป็นปรนัย
เป็นท่ียอมรับ และสามารถสะท้อนให้เห็นถึงระดับของผลสัมฤทธ์ิทางด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ
ท่ีพึงประสงค์ท่ีกาหนดเกณฑ์การประเมิน (Rubrics) ส่วนมากมักจะอยู่ในรูปตาราง 2 มิติ ประกอบด้วย
หลาย สดมภ์ (Column) และแถว (Rows) หัวสดมภ์จะแสดงความรู้ ทักษะ หรือความสามารถ
ท่ีจะประเมิน โดยจะนามาจากผลของขั้นตอนที่ 1 ส่วนหัวของแถวจะแสดงระดับคุณภาพของความรู้
ทักษะหรือความสามารถของแต่ละสดมภ์ จานวนแถวจะข้ึนอยู่กับจานวนของระดับคุณภาพที่ต้องการใช้
และส่วนมากจะอยู่ระหว่าง 2 – 3 ระดับ ช่องแต่ละช่องในตารางจะมีคาบรรยายถึงระดับคุณภาพแต่ละ
ระดับของความรู้ ทักษะ หรือความสามารถที่ประเมินภาระงานแต่ละชิ้นควรจะมีเกณฑ์การประเมิน
เฉพาะตัว เกณฑ์การประเมินท่ีออกแบบมาอย่างดีจะให้ข้อมูลแก่ผู้เรียนว่าจะต้องแสดงความสามารถ
ด้านใดออกมาในระดับใดจึงจะได้คะแนนเท่าไร เกณฑ์การประเมินยังเป็นเครื่องมือให้ผู้สอนสามารถ
ประเมินผู้เรียนอย่างเป็นปรนัยและได้ผลการประเมินที่นา่ เช่ือถือ
นอกจากนี้ ควรจะมีตัวอย่างผลงานพร้อมทั้งระดับคะแนนแต่ละด้านให้นักเรียนได้ศึกษา
ประกอบด้วยนอกจาก 3 ข้ันตอนดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผู้ออกแบบควรจะนาภาระงานไปทาการตรวจสอบ
ทบทวน แล้วทดลองใช้ในภาคสนาม นาผลกลับมาศึกษาวิเคราะห์ และทาการปรับปรุงแก้ไข ก่อนจะ
นาไปใช้ในสถานการณ์จริงต่อไป
46
เกณฑ์การประเมิน (Rubrics Assessment)
คาว่า “Rubrics” หมายถึง กฎ หรือ กติกา (Rule) ส่วนคาว่า Rubrics Assessment น้ัน หมายถึง
แนวทางในการให้คะแนน (Scoring Guide) ซึ่งสามารถท่ีจะแยกแยะระดับต่าง ๆ ของความสาเร็จ
ในการเรียน หรือการปฏบิ ัตขิ องนักเรียนได้อย่างชัดเจนจากดีมากไปจนถึงต้องปรับปรุงแก้ไข
การกาหนดเกณฑก์ ารประเมนิ
การกาหนดเกณฑ์การประเมินน้ัน ผู้สอนและนักเรียนควรจะกาหนดเกณฑ์การประเมินด้วยกัน
ซ่งึ ควรจะจัดทาให้เสร็จก่อนท่ีนักเรียนจะได้ลงมือปฏิบัติงานช้ินงาน เกณฑ์การประเมินนั้น นอกจากใช้เป็น
เครื่องมือในการประเมินแล้ว ยังสามารถใช้เป็นเคร่ืองมือในการสอนอีกด้วย เพราะเกณฑ์การประเมิน
นั้นเปรียบเสมือนเป้าหมายในการเรียนท่ีนักเรียนจะต้องทราบ ซ่ึงแนวคิดน้ี สอดคล้องกับ แนวคิดของ
Marzano ท่ีกล่าวไว้สรุปได้ว่า การประเมินการปฏิบัติน้ันต้องกาหนดเกณฑ์ให้ชัดเจน ซึ่งเกณฑ์ ในการให้
คะแนนจะต้องมีระดับสเกลท่ีแน่นอน และมีการบรรยายถึงคุณลักษณะของการปฏิบัติตามระดับของสเกล
นั้น ๆ เนื่องจากระดับของเกณฑ์การวัดได้บอกถึงคุณลักษณะที่สาคัญให้แก่ครู ผู้ปกครอง และบุคคลอ่ืน ๆ
ทสี่ นใจ ทาใหม้ กี ารเรียนรู้วา่ นักเรียนทาอะไรได้บ้าง และยังช่วยนกั เรยี นเกิดการเรียนรู้ตามเปา้ หมาย
1.รปู แบบของเกณฑก์ ารประเมนิ
Glickman (1981) ไดแ้ บ่งเกณฑ์การประเมินออก เปน็ 2 ประเภท ดังนี้
1.1 เกณฑ์การประเมินในภาพรวม (Holistic Rubric) คอื แนวทางการให้คะแนน โดย
พิจารณาจากภาพรวมของช้ินงาน จะมีคาอธิบายลักษณะของงานในแต่ละระดับไว้อย่างชัดเจน เกณฑ์การ
ประเมินในภาพรวมนี้เหมาะที่จะใช้ในการประเมินความสามารถท่ีมีความต่อเนื่องมีลักษณะเป็นองค์รวม
เช่น ทกั ษะการเขยี น ความคิดสร้างสรรค์ และความสละสลวยของภาษาท่ีเขียน ดังตัวอยา่ งต่อไปนี้