The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tomtaem.sunprapha, 2024-02-05 03:21:26

วิจัย เรื่องการเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ

Fulltext.

การเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ พรหมจิรา สันประภา รายงานการวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2567


การเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ พรหมจิรา สันประภา รายงานการวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2567


ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับ การจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ ผู้วิจัย นางสาวพรหมจิรา สันประภา อาจารย์ที่ปรึกษา ดร.ศศิธร อมรินทรแสงเพ็ญ ที่ปรึกษาร่วม นางรัชนี ศรีหริ่ง ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต ปีการศึกษา 2567 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลัง ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นเด็กปฐมวัยชาย - หญิง ที่มีอายุระหว่าง 5 - 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนบ้านกุดผึ้ง ตำบลกุดผึ้ง อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู จำนวน 8 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง รูปแบบการวิจัยคือกลุ่มเดียวทดสอบก่อนหลัง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ และแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ มีทักษะทางสมอง EF หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม


34 กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาจาก ดร.ศศิธร อมรินทรแสงเพ็ญ อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย ที่ได้กรุณาให้คำปรึกษา ชี้แนะแนวทางต่าง ๆ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้ง ในความกรุณาเป็นอย่างยิ่ง ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณท่านผู้เชี่ยวชาญ นางรัชนี ศรีหริ่ง โรงเรียนบ้านกุดผึ้ง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาหนองบัวลำภูเขต 2 ที่ปรึกษาร่วมและคอยให้คำแนะนำ และผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ แก้ไข เครื่องมือวิจัยให้มีคุณภาพ ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการสถานศึกษาและคณะครูโรงเรียนบ้านกุดผึ้งทุกท่าน ที่อำนวยความ สะดวก ให้ความร่วมมือช่วยเหลือและเป็นกำลังใจโดยตลอด ขอขอบใจนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านกุดผึ้ง ปีการศึกษา 2566 ทุกคนที่ให้ความร่วมมือในการทดลอง เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา สมาชิกทุกคนในครอบครัวของผู้วิจัย ผู้ที่อยู่เบื้องหลังแห่ง ความสำเร็จครั้งนี้ คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจผู้วิจัย คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีของงานวิจัยในชั้นเรียน ฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบแด่คุณบิดามารดา ผู้เป็นบุพการี ตลอดจนบูรพาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ผู้วิจัยและ ผู้มีพระคุณทุกท่านสืบไป พรหมจิรา สันประภา


สารบัญ บทคัดย่อ …………………………………………………………………………………………………… ก กิตติกรรมประกาศ …………………………………………………………………………………………………… ข สารบัญ …………………………………………………………………………………………………… ค สารบัญภาพ …………………………………………………………………………………………………… ฉ สารบัญตาราง …………………………………………………………………………………………………… ช บทที่ หน้า 1 บทนำ………………………………………………………………………………………….. 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา…………………………………….. 3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย…………………………………………………………. 3 สมมติฐานการวิจัย………………………………………………………………….. 3 ขอบเขตของการวิจัย……………………………………………………………….. 4 นิยามศัพท์เฉพาะ……………………………………………………………………. 4 ประโยชน์ที่จะได้รับ…………………………………………………………………. 5 กรอบแนวคิดการวิจัย………………………………………………………………. 6 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง………………………………………………………. 7 ทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย………………………………………….. 8 ความหมายของทักษะทางสมอง EF…………………………………… 8 ความสำคัญของทักษะทางสมอง EF…………………………………… 9 องค์ประกอบพื้นฐานของทักษะทางสมอง EF……………………… 11 ทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย…………………………………………………………………. 15 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………………. 19


สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า การจัดกิจกรรมการเล่านิทาน…………………………………………………….. 21 ความหมายของนิทาน………………………………………………………… 21 ความสำคัญของนิทาน……………………………………………………….. 22 ประเภทของนิทาน…………………………………………………………….. 23 รูปแบบของการเล่านิทาน…………………………………………………… 26 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………………. 28 ศิลปะแบบร่วมมือ…………………………………………………………………… 29 ความหมายของกิจกรรมศิลปะแบบร่วมมือ…………………………… 29 ความสำคัญของศิลปะแบบร่วมมือ………………………………………. 30 ขั้นตอนการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ…………………........ 33 3 วิธีดำเนินการวิจัย………………………………………………………………………….. 35 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย…..………………………………………………… 35 แบบแผนการวิจัย……………………………………………………………………. 36 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………………………………………………………… 36 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย……………………….. 36 การเก็บรวบรวมข้อมูล…………………………………………………………….. 42 การวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………. 42 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………………….. 43 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………… 44 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล……………………….. 44 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………… 44


สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ…………………………………………………. 47 สรุปผลการวิจัย………………………………………………………………………. 48 อภิปรายผลการวิจัย………………………………………………………………… 48 ข้อเสนอแนะ…………………………………………………………………………… 50 บรรณานุกรม …………………………………………………………………………………………………… 52 ภาคผนวก …………………………………………………………………………………………………… 57 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ…………………………. 58 ภาคผนวก ข ดัชนีความสดคล้อง (IOC) ของแบบประเมิน ทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยค่าอำนาจจำแนก (r) และค่าความเชื่อมั่น…………………………………………………… 60 ภาคผนวก ค ตัวอย่าง แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วย ศิลปะแบบร่วมมือ…………………………………………………….. 63 ภาคผนวก ง ตัวอย่าง แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย.................................................................. 67 ภาคผนวก จ ตัวอย่าง ภาพการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วย ศิลปะแบบร่วมมือ…………………………………………………….. 70 ประวัติย่อผู้วิจัย ……………………………………………………………………………………………………. 73


สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดการวิจัย……………………………………………………………………………….…… 6 2 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ………………………. 34 3 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ…… 39 4 ขั้นตอนการสร้างและหาคุณภาพของแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย………………………………………………………………..…………………………… 41


สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 แบบแผนการวิจัย………………………………………………………………………………………….. 36 2 เนื้อหาสาระที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วย ศิลปะแบบร่วมมือ........................................................................................................... 37 3 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ก่อนและ หลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ……………………………...... 45 4 การเปรียบเทียบคะแนนทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัด กิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ………………………………………………… 46 5 ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย…….. 61 6 ค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย………......… 62


1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา เด็กปฐมวัยเป็นเด็กที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์ คนทั่วไปมักเรียกเด็กวัยนี้ว่า “เด็กเล็ก” “เด็กปฐมวัย” หรือ “เด็กอนุบาล” เป็นวัยแห่งการเรียนรู้และเป็นรากฐานของการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ให้เจริญเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีอย่างมีคุณภาพ ทั้งด้านร่างกาย ด้านสติปัญญา ด้านอารมณ์จิตใจ และ ด้านสังคม (สำนักงานศึกษาธิการภาค17, 2562: 9) ซึ่งการจัดประสบการณ์การ เรียนรู้ในช่วงแรกของชีวิต จึงมีอิทธิพลต่อการเตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาเด็กในขั้นต่อไป อีกทั้งการปลูกฝังให้เด็กมีเจตคติที่ดีต่อ การรับรู้การเรียนรู้และสามารถแสวงหาความรู้ แล้วนำมาใช้ใน สถานการณ์ที่ต้องการได้อย่างเหมาะสมการ จัดการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจึงต้องดำเนินการให้ตอบสนองธรรมชาติและความต้องการของเด็กอย่าง เหมาะสมเพื่อกระตุ้นให้เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการ ครบทุกด้านอย่างสมบูรณ์ (นพรัตน์ นามบุญมี, 2556: 19) ดังนั้นการศึกษาปฐมวัยจึงเป็นรากฐานที่ สำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาบุคคล และตลอดจนการพัฒนาประเทศ เพราะเป็นการปูพื้นฐานชีวิตทั้ง มวลให้แก่เด็กทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เพื่อที่จะเป็น ผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และเป็น ที่ต้องการของสังคม ในวันข้างหน้า (มลทพร พันธ์แก้ว, 2563: 99) ทักษะ EF (Executive Function) คือ ความสามารถของสมองและจิตใจที่จะควบคุม ความคิด อารมณ์ และการกระทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายได้ (ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์, 2561: คำนำ) ซึ่งการพัฒนา สมองของเด็กนอกเหนือจากเรื่อง IQ และ EQ การฝึกทักษะ EF ทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่ สำเร็จเป็นสิ่งจำเป็น และสำคัญที่จะเป็นรากฐานกระบวนการคิดตัดสินใจและการกระทำที่มีส่วนช่วย ให้เด็กในวันนี้เป็นคนที่ ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต (นวลจันทร์ จุฑาภัคดีกุล, 2559: 1) ซึ่งทักษะสมอง EF (Executive Function) ว่า เป็นชุดกระบวนการทางความคิด (Mental Process) ที่ช่วยให้เราวางแผน มุ่งใจจดจ่อ จำคำสั่ง และ จัดการกับงานหลาย ๆ อย่างให้ลุล่วงเรียบร้อยได้ สามารถจัดลำดับความสำคัญของงาน วางเป้าหมาย และทำไปเป็นขั้นตอนจนสำเร็จ รวมทั้งควบคุมแรงอยาก แรงกระตุ้นทั้งหลาย ไม่ให้สนใจไปนอกลู่ นอกทาง และเป็นกระบวนการทำงานของสมองในระดับสูงที่ประมวลประสบการณ์ในอดีต และ สถานการณ์ในปัจจุบัน นั้นนำมาประเมิน วิเคราะห์ ตัดสินใจ วางแผน เริ่มลงมือทำ ตรวจสอบตนเอง และแก้ไขปัญหา ตลอดจน ควบคุมอารมณ์ บริหารเวลา จัดความสำคัญ กำกับตนเอง และมุ่งมั่นทำจน บรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ (GoalDirected Behaviors) หรือกล่าวง่าย ๆ ได้ว่าเป็นทักษะความสามารถที่มนุษย์เราทุกคน ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่


2 ไม่ว่าชนชาติหรือชนชั้นใด ๆ และไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่ในอนาคต เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็จะต้องใช้ สมองเหล่านี้ในการดำเนินชีวิตทุก ๆ วันให้อยู่รอดปลอดภัย และทำกิจการงานต่าง ๆ ให้สำเร็จเรียบร้อย (สุภาวดี หาญเมธี, 2559: 2) ดังนั้นเด็กปฐมวัยจึงเป็นช่วงเวลา สำคัญที่เด็กควรได้รับการพัฒนาทักษะ EF เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการควบคุมตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ต้องพบกับความท้าทาย ปัญหา อุปสรรค หรือความยากลำบาก ต่าง ๆ ในชีวิต ทั้งที่บ้าน โรงเรียน ที่ทำงาน และในสังคมต่อไป (วีระศักดิ์ ชลไชยะ, 2560: 11) การจัดกระบวนการเรียนการสอนโดยการจัดประสบการณ์นิทานเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อ การเรียนรู้เป็นอย่างมาก นิทานเป็นสื่อการสอนที่สามารถให้ความรู้สึกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก ตื่นเต้น เบิกบาน เศร้าใจ กลัว และสนุกสนาน สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้เรียนเรียนรู้เนื้อหาวิชาการต่าง ๆ ได้เร็วมาก ถ้าเนื้อหานั้นมีความหมายที่เป็นรูปธรรมในจินตนาการของผู้เรียนโดยเฉพาะจินตนาการในนิทานที่สนุกสนาน นิทานเป็นกิจกรรมที่มีประสิทธิภาพสูง ในการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน นิทานเป็นเครื่องมือที่ช่วยกล่อม เกลาพฤติกรรมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีโดยมีการสอดแทรกสิ่งที่พึงประสงค์ไว้ในนิทานเชิง คุณธรรม จริยธรรม นิทานคือเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นการผูกเรื่องขึ้นเพื่อให้ผู้ฟังเกิด ความสนุกสนานเพลิดเพลิน และสอดแทรกคติสอนใจลงไป (เกริก ยุ้นพันธ์, 2547: 8) นอกจากกิจกรรมการเล่านิทานแล้วยังมีกิจกรรมที่เด็กชอบและผ่อนคลายเวลาได้ลงมือคือกิจกรรม ศิลปะ โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมศิลปะสำหรับกลุ่มซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กได้แสดงออกอย่าง เหมาะสม ช่วยให้เด็กได้รู้จักตนเองได้แสดงออกถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริง ศิลปะเปรียบเหมือนเครื่องมือที่สื่อ ให้เด็กได้แสดงออกถึงความรู้สึกได้โดยตรงโดยไม่มีสิ่งใดปิดกั้น ศิลปะมีคุณค่าต่อเด็กปฐมวัยทั้งในด้านส่งเสริม พัฒนาการทุก ๆ ด้าน ช่วยบำบัดปัญหาต่าง ๆ ให้แก่เด็ก และช่วยในการเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีงามให้แก่ เด็กด้วย คุณค่าของศิลปะที่มีต่อเด็กทั้งในแง่ของการส่งเสริมพัฒนาการ และแง่ของการบําบัดปัญหา นอกจากนั้นยังทำให้เด็กได้มีโอกาส ทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นการฝึกนิสัยและทักษะทางสังคม ด้านอารมณ์ช่วย สนองความต้องการการ แสดงออกและสร้างสรรค์ทำให้เด็กมีอารมณ์มั่นคง มีความมั่นใจในตนเอง รู้จักหาทาง แก้ปัญหา พึ่งตนเอง และปรับตัวได้กิจกรรมศิลปะที่เน้นการฝึกกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้ระบายอารมณ์เครียด คับข้องใจลงไปในการทำกิจกรรมนั้นแล้ว เมื่อเด็กได้ทำกิจกรรมศิลปะอยู่เสมอจะช่วยให้เกิดความชำนาญเกิด ความคล่องในการคิดและสร้างสมจินตนาการในการแสดงออก การได้ระบายอารมณ์ความรู้สึกของเด็กโดยการ ใช้นิ้วละเลงสีไปมา การใช้กําปั้นทุบ การได้ขยำกระดาษ ดินน้ำมันหรือ ดินเหนียว เป็นการผ่อนคลายอารมณ์ ของเด็กและเกิดความซาบซึ้งในความงาม ศิลปะแบบกลุ่มทำ ให้เด็กได้เรียนรู้หลากหลายจากการทำงาน ร่วมกัน เช่น เรียนรู้การเป็นสมาชิกของกลุ่มภายใน โรงเรียนที่จะช่วยให้พวกเขาเป็นสมาชิกที่ดีในสังคม ภายนอกโรงเรียน ถ้าไม่จัดกิจกรรมให้เด็กมีโอกาสทำงานร่วมกัน เขาจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเคยชินกับ


3 การอยู่คนเดียว ทำงานคนเดียว การไม่เคยรับสิ่งใดจากผู้อื่นย่อมไม่รู้จักการเสียสละ กิจกรรมศิลปะเป็น กิจกรรมหนึ่งที่ดึงดูดใจเด็ก อนุบาลอย่างมาก กิจกรรมนี้นอกจากจะช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์แล้ว ถ้านำมาจัดในรูปแบบให้เด็กมีโอกาสทำร่วมกันในกลุ่มจะช่วยส่งเสริมพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัยได้ การนำกิจกรรมศิลปะแบบร่วมมือมาใช้ในการปรับพฤติกรรมจะทำให้เด็กได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น รู้จัก ร่วมมือกับเพื่อนเพื่อความสำเร็จในการทำงาน (เยาวพา เดชะคุปต์, 2542: 107) จากเหตุผลและความสำคัญดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจศึกษาว่าการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน เสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือมีทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมหรือไม่ โดยผลที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา ทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรม การเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ สมมติฐานการวิจัย เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ มีทักษะทางสมอง EF หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนจัดกิจกรรม ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากร เด็กปฐมวัยชาย - หญิง ที่มีอายุระหว่าง 5 - 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนบ้านกุดผึ้ง ตำบลกุดผึ้ง อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู จำนวน 8 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง เด็กปฐมวัยชาย - หญิง ที่มีอายุระหว่าง 5 - 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนบ้านกุดผึ้ง ตำบลกุดผึ้ง อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู จำนวน 8 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)


4 2. ตัวแปรที่ศึกษาในการวิจัย มีดังนี้ 2.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ 2.2 ตัวแปรตาม คือ ทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย 3. ระยะเวลาในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้ระยะเวลาการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ใช้เวลา ในการทดลอง 6 สัปดาห์สัปดาห์ละ 3 วัน คือ ทุกวันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์แต่ละวันใช้เวลา 40 นาที ในกิจกรรมเสริมประสบการณ์และกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 4. เนื้อหาการวิจัย เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเนื้อหาตามหน่วยการเรียนรู้ 6 หน่วย โดยเนื้อหา แต่ละหน่วยจัดทำแผนการจัดทำแผนการจัดกิจกรรมหน่วยละ 3 แผน รวมแผนการจัดกิจกรรม จำนวน 18 แผน ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมแผนละ 40 นาที นิยามศัพท์เฉพาะ เพื่อให้การดำเนินการวิจัยครั้งนี้มีความชัดเจน ผู้วิจัยได้กำหนดความหมายของคำศัพท์ที่ใช้ ในการวิจัย ดังนี้ 1. การจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ หมายถึง การเล่าเรื่องและ ถ่ายทอดเรื่องราวที่สอดแทรกข้อคิด คติสอนใจ โดยใช้หนังสือนิทานที่แต่งขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะทางสมอง EF จากนั้น ให้เด็กเข้ากลุ่มทำกิจกรรมศิลปะที่ครูเตรียมไว้ ที่เด็กมีโอกาสทำกิจกรรมแบบกลุ่มย่อย ร่วมกันกับ เพื่อนประมาณ 4 คน และเด็กทุกคนต้องร่วมกันคิดแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทำงานร่วมกันให้สำเร็จ และ นำเสนอผลงานร่วมกัน เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้ฝึกทักษะทางสมองทั้ง 3 ด้าน คือ การจดจ่อใส่ใจ และ การริเริ่ม ลงมือทำ การวางแผนและจัดระบบดำเนินการ โดยมีกระบวนการทำกิจกรรม 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1.1 ขั้นนำ 1.1.1 ครูและเด็กร่วมกันร้องเพลง 1.1.2 ครูและเด็กสร้างข้อตกลงร่วมกัน 1.2 ขั้นสอน 1.2.1 ครูเล่านิทานประกอบหนังสือภาพ 1.2.2 ครูและเด็กสนทนาเกี่ยวกับเนื้อหาในนิทาน 1.2.3 ครูให้เด็กเข้ากลุ่ม กลุ่มละ 4 คน เพื่อทำงานศิลปะ


5 1.2.4 ขณะที่เด็กทำกิจกรรมครูคอยให้คำแนะนำ หรือให้ความช่วยเหลือเมื่อเด็ก ต้องการ และคอยสังเกตพฤติกรรมการทำงานของเด็ก 1.2.5 เมื่อทำงานเสร็จแล้ว เด็กช่วยกันเก็บอุปกรณ์ 1.3 ขั้นสรุป 1.3.1 ครูให้เด็กแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน 1.3.2 ครูและเด็กร่วมกันสรุปกิจกรรม 2. ทักษะทางสมอง EF หมายถึง กระบวนการทางความคิดระดับสูงของสมองส่วนหน้าที่ เกี่ยวข้องกับความคิด ความรู้สึก และการกระทำ โดยคำนึงถึงความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมา เพื่อช่วยให้ บุคคลได้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้จำแนกทักษะทางสมอง EF ออกเป็น 3 ทักษะ ดังนี้ 2.1 การจดจ่อใส่ใจ หมายถึง พฤติกรรมที่เด็กตั้งใจจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มุ่งความสนใจ อยู่กับสิ่งที่ทำอย่าง ต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่ง ได้แก่ การตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ การมุ่งความสนใจทำงานโดยไม่วอกแวก การทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างต่อเนื่อง 2.2 การริเริ่มลงมือทำ หมายถึง พฤติกรรมของเด็กในการตัดสินใจ และนำสิ่งที่คิดไปสู่ การลงมือปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ ได้แก่ การตัดสินใจทำงานด้วยตนเอง การตัดสินใจทำงานทันที การชักชวนเพื่อนให้ปฏิบัติงาน 2.3 การวางแผนและจัดระบบดำเนินการ หมายถึง พฤติกรรมการทำงานของเด็กตั้งแต่ การกำหนดเป้าหมาย การวางแผน การจัดลำดับขั้นตอนในการปฏิบัติงานให้สำเร็จ ได้แก่ การวางแผนปฏิบัติ กิจกรรมง่าย ๆ ด้วยตนเอง การบอกลำดับขั้นตอนการทำงาน การวางแผนปฏิบัติกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยประเมินทักษะทางสมอง EF ได้จากการสังเกตและประเมินจาก การทำงานศิลปะแบบร่วมมือของเด็ก ประโยชน์ที่จะได้รับ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้รับประโยชน์จากการวิจัย ดังนี้ 1. ได้ทราบผลการเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังได้รับ การจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ 2. ได้แนวทางในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย


6 กรอบแนวคิดการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย การจัดกิจกรรมการเล่านิทาน เสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ ทักษะทางสมอง EF 1. การใส่ใจจดจ่อในสิ่งที่ทำ 2. การริเริ่มและลงมือทำ 3. การวางแผนและจัดระบบดำเนินการ


7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรม การเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ ในครั้งนี้ผู้วิจัยทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัยและได้เสนอผลงานตามหัวข้อ ดังนี้ 1. ทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย 1.1 ความหมายของทักษะทางสมอง EF 1.2 ความสำคัญของทักษะทางสมอง EF 1.3 องค์ประกอบพื้นฐานของทักษะ EF 1.4 ทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย 1.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.5.1 งานวิจัยในประเทศ 1.5.2 งานวิจัยในต่างประเทศ 2. การจัดกิจกรรมการเล่านิทาน 2.1 ความหมายของนิทาน 2.2 ความสำคัญของนิทาน 2.3 ประเภทของนิทาน 2.4 รูปแบบของการเล่านิทาน 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.5.1 งานวิจัยในประเทศ 2.5.2 งานวิจัยในต่างประเทศ 3. ศิลปะแบบร่วมมือ 3.1 ความหมายของกิจกรรมศิลปะแบบร่วมมือ 3.2 ความสำคัญของศิลปะแบบร่วมมือ 4. ขั้นตอนการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ


8 ทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย การนำเสนอเกี่ยวกับทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ผู้วิจัยได้แบ่งการนำเสนอออกเป็น 5 หัวข้อ คือ 1) ความหมายของทักษะทางสมอง EF 2) ความสำคัญของทักษะทางสมอง EF 3) องค์ประกอบ พื้นฐานของทักษะ EF 4) ทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางสมองของเด็กปฐมวัย และ 5) งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ความหมายของทักษะทางสมอง EF นักการศึกษาได้กล่าวถึงความหมายของทักษะทางสมอง EF เอาไว้ ดังนี้ สุภาวดี หาญเมธี(2560: 22) คือการกระทำที่บุคคลเป็นผู้กำหนดทิศทางเอง (Selfdirected actions) โดยกำหนดเป้าหมาย (Goal) เอง เลือกกระทำ (Select) ลงมือกระทำ (Enact) และดำรง (Sustain) การกระทำนั้น ข้ามช่วงเวลาหนึ่งๆ เพื่อไปให้บรรลุถึงเป้าหมาย โดยคำนึงถึงความเกี่ยวข้องกับคน อื่นๆ (Context of others) รวมทั้งมักจะคำนึงถึงกระบวนวิธีการของสังคมและวัฒนธรรม (Social and cultural means) เพื่อนำไปสู่ประโยชน์สูงสุดในระยะยาวที่บุคคลนั้นวางไว้ การทำงานเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน EF พื้นฐาน 3 ด้าน (Working memory, Inhibitory control และ Cognitive flexibility/shift) ทำให้เกิด การควบคุมพฤติกรรม นำไปสู่การจัดการเพื่อบรรลุเป้าหมายมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ถึงเป้าหมายให้ได้ มีการจัดวางการงาน แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดเสียหาย ใส่ใจต่อเสียงสะท้อน และมีความยืดหยุ่นทั้งทางความคิดและ พฤติกรรม นิตยา พิมพ์ทอง (2564: 14) ทักษะทางสมอง EF (Executive Function) คือ กระบวนการทางความคิดในสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับความคิดความรู้สึกการกระทำเพื่อช่วยให้เด็กคิดเป็น มีเหตุผลยับยั้งชั่งใจได้วางแผนทำงานเป็นเรียนรู้เป็นมุ่งมุ่งใจจดใจจ่อทำอะไรไม่วอกแวกแก้ปัญหาจำคำสั่ง เป็นอยู่ร่วมกับผู้อื่นเป็นรวมทั้งรู้จักริเริ่มลงมือทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นตอน สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท (2566: 1) เสนอว่า ทักษะ Executive Functions หรือ EF คือ กระบวนการทางความคิดระดับสูงของสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับความคิด ความรู้สึก และการกระทำ ทั้งนี้ EF ประกอบไปด้วยองค์ประกอบพื้นฐาน ได้แก่ ความจำขณะทำงานการยับยั้ง ตัวเอง และความยืดหยุ่นในกระบวนการคิด โดยที่ EF (Executive Functions) จะทำหน้าที่ควบคุม กระบวนการเหล่านี้ให้เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง จนกระทั่งทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ กล่าวได้ว่า EF เป็นความสามารถของสมองที่ใช้บริหารจัดการชีวิตในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตการเรียน การงานและการใช้ชีวิต โดยที่เราสามารถฝึกฝนและพัฒนาทักษะ EF ได้อย่างต่อเนื่อง เพราะจะส่งผลช่วยให้ผู้ ที่มีทักษะ EF นั้น คิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหาเป็น และปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ทักษะ Executive Functions (EF) ถือเป็นองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับสมองและการพัฒนาเด็กที่นักวิชาการ


9 ทั่วโลกกำลังสนใจศึกษาค้นคว้าวิจัย ส่งผลให้มีคำนิยามมากมาย แต่เราสามารถสรุปในภาพรวมได้ว่า EF คือ ความสามารถในการกำกับความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ โดยในภาษาไทย นั้นยังอาจเรียกว่า “ทักษะสมองเพื่อจัดการชีวิต” “ทักษะการคิด” “ความสามารถในการจัดการ” หรือ “ทักษะที่จำเป็นในการทำกิจที่มีเป้าหมาย” ปาริชาต ประกอบมาศ (2564: 34-35) กล่าวว่า ทักษะ EF (Executive Function) หมายถึง ความสามารถทางความคิดระดับสูงของสมอง ส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรู้คิด อารมณ์ และ พฤติกรรม เพื่อให้สามารถปฏิบัติกิจกรรมได้สำเร็จ บรรลุผลตามเป้าหมายที่วางไว้ประกอบด้วย ความจำ เพื่อใช้งาน การยับยั้งชั่งใจ และการยืดหยุ่นทางความคิด และจากการวิเคราะห์องค์ประกอบของทักษะ EF (Executive Function) สรุปได้ว่า EF หรือ Executive Function คือ ความสามารถที่เกิดจากการทำงานของ สมองส่วนหน้าที่ช่วยให้คนเราสามารถควบคุม ความคิด อารมณ์ พฤติกรรม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตนต้องการ สำเร็จ 2. ความสำคัญของทักษะทางสมอง EF นักการศึกษาได้กล่าวถึงความสำคัญของทักษะทางสมอง EF เอาไว้ ดังนี้ สุภาวดี หาญเมธี (2559 : 45-48) กล่าวว่า การลงมือทำด้วยตนเองจะช่วยฝึก EF ใน ด้านการคิดริเริ่ม การตัดสินใจ การวางแผนจัดระบบ การบริหารเวลา และทรัพยากรต่างๆ การฝึกความอดทน มุ่งมั่นที่จะต้องบรรลุผลตามที่ตั้งใจไว้ หากไม่ เป็นไปตามแผน เขาจะยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนความคิดและงานของ เขาได้อย่างไร และเมื่อทำเสร็จแล้วเขาก็ จะได้ประเมินความรู้สึก ความคิด ผลดี ผลเสียด้วยตนเองเพื่อพัฒนา ปรับปรุงในครั้งต่อไป รวมทั้งการตั้ง คำถามชวนคิดชวนคุยให้มาก เพื่อให้เด็กได้ลองคิด อย่างหลากหลาย ถ้ากิจกรรมไม่เป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างไรได้บ้าง ทำไมเรื่องนี้จึงเป็นอย่างนี้ ฯลฯ เด็กจะได้ฝึก EF ในด้านของ การยืดหยุ่นความคิด การคิด วิเคราะห์ การคาดการณ์ไปข้างหน้า การคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น กัญญารัตน์ ชูเกลี้ยง และคณะ (2561: 24-25, อ้างใน นิตยา พิมพ์ทอง: 17) กล่าวว่า ความสำคัญของทักษะทางสมองเพื่อ ชีวิตที่สำเร็จ EF ที่แข็งแกร่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อเด็กได้มีโอกาส พัฒนาทักษะทางสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ EF ทั้งตัวเด็ก และสังคมได้รับประโยชน์จะช่วยสร้างพฤติกรรมเชิงบวก และเลือกตัดสินใจในทาง ที่สร้างสรรค์ต่อตนเอง และครอบครัว โดยการมีความจำที่ดี มีสมาธิที่จดจ่อสามารถ ทำงานต่อเนื่องได้จนเสร็จ ฝึกการวิเคราะห์ การวางแผนงานอย่างเป็นระบบ ลงมือทำงาน และจัดการกับ กระบวนการ ทำงานจนเสร็จตามเวลาที่กำหนดนำสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก่อนในประสบการณ์มาใช้ในการทำงาน หรือกิจกรรมใหม่ สามารถปรับเปลี่ยนความคิดเมื่อเงื่อนไขหรือเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ยึดติดจนถึงขั้น มีความคิดสร้างสรรค์ และคิดนอกกรอบรู้จักประเมินตนเอง นำจุดบกพร่องมาปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น


10 โดยการรู้จักยับยั้งควบคุมตนเอง จัดการกับอารมณ์ได้ดี และมุ่งมั่นรับผิดชอบหน้าที่ไปสู่ ความสำเร็จ สุภาพร ทองสาดี (2561 : 46-47, อ้างใน นิตยา พิมพ์ทอง: 17) กล่าวว่า ความสำคัญ ของทักษะทางสมอง EF ทำให้เรามีความคิดยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์แทนที่จะคิด และ ตอบสนองแบบเดียวกันช้า ๆ การคิด แบบนี้มีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป EF จะช่วยให้เราปรับ ความคิดกับพฤติกรรมให้เข้ากับบริบทของสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ทำสิ่งต่าง ๆ ได้สำเร็จ ไม่ทำผิดซ้ำ มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นจากการทบทวนสิ่งที่ทำ ไป EF ช่วยให้เรา ควบคุมอารมณ์ ควบคุมพฤติกรรมให้แสดงออกอย่างเหมาะสม เป็นที่ยอมรับของสังคม ไม่ทำในสิ่งที่ จะเสียใจในภายหลัง รู้จักคาดการณ์ผลของการกระทำว่าทำไปแล้วจะเกิดสิ่งใดตามมา รู้จักเลือก ว่าจะ ทำหรือไม่ทำสิ่งใด เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการเรียน และการงาน ฐานของทักษะ EF ที่แข็งแกร่ง มีความสำคัญยิ่งกว่าการรู้จักตัวเลขหรือตัวหนังสือ เมื่อเด็กได้รับโอกาสพัฒนา EF ทั้งตัวเด็กเอง และ สังคม ได้รับประโยชน์จะช่วยสร้างพฤติกรรมเชิงบวก และเลือกตัดสินใจในทางที่สร้างสรรค์ต่อตัวเอง และครอบครัว หากเด็กมีทักษะ EF เขาจะมีความสามารถในการคิด นิตยา พิมพ์ทอง (2564: 17) กล่าวว่า EF (Executive Function) มีความสำคัญต่อ การพัฒนาเด็กเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเด็กเล็กตั้งแต่วัย 3 ขวบขึ้นไปจนถึงวัย 6 ขวบเด็กที่มีEF (Executive Function) ที่ดีจะมีความพร้อมทางการเรียนมากกว่าเด็กที่ไม่มีทำให้เด็กมีความคิดยืดหยุ่นรู้จักควบคุมอารมณ์ แสดงออกได้อย่างเหมาะสมไม่ทำผิดซ้ำไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคตลอดจนประสบความสำเร็จได้ในการเรียน ทุกระดับ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท (2566: 2) เสนอว่า การเข้าใจตนเองและผู้อื่นถือ เป็นทักษะที่สำคัญซึ่งทำให้เด็กมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ต่อไป โดยที่ EF หรือ Executive Functions นั้นก็คือ พื้นฐานที่สำคัญของพัฒนาการด้านการคิด เด็กที่มีพัฒนาการด้าน EF เหมาะสมตามวัย จะสามารถควบคุม อารมณ์และความต้องการ ส่งผลให้สามารถยับยั้งใจตัวเองได้ รวมทั้งกำกับความคิดอารมณ์ และพฤติกรรม เพื่อให้มุ่งมั่นกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ และนำไปสู่ความสำเร็จได้การฝึกทักษะด้าน EF ตั้งแต่ปฐมวัยมีความสำคัญ อย่างยิ่ง เพราะจะเป็นพื้นฐานสำหรับทักษะการคิดที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเด็กเติบโตขึ้น เช่น จะช่วยเสริม ทักษะการตัดสินใจ (Decision Making) ความอดทน มานะพยายาม ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค (Grit = Determination + Perseverance) และความสามารถในการฟื้นตัว เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้ (Resilience) เพื่อให้ก้าวสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ดังนั้น การมีทักษะ EF ที่ดีสามารถช่วยให้สามารถตั้งเป้าหมายใน ชีวิต รู้จักการวางแผน มีความมุ่งมั่น จดจำสิ่งต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ สามารถยั้งคิด ไตร่ตรอง ควบคุม อารมณ์ได้ สามารถยืดหยุ่นความคิด จัดลำดับความสำคัญในชีวิต รวมทั้งรู้จักริเริ่มและลงมือทำสิ่งต่าง ๆ


11 อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทักษะเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องใช้และมีผลต่อความสำเร็จในชีวิต ทั้งการงาน การเรียน และการใช้ชีวิต แม้ว่าปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ตรงกันเรื่องหน้าที่ทั้งหมดของ EF แต่ทฤษฎีที่ได้ จากการศึกษาส่วนใหญ่เชื่อว่า EF ประกอบไปด้วยหน้าที่ 3 อย่าง ได้แก่ 1. ความสามารถในการจดจำ (Working Memory) ความสามารถของคนแต่ละ คนที่จะจำข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับเข้ามาสู่สมอง และสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ออกมาใช้ในเวลาต่อมาได้ ยกตัวอย่าง เช่น เด็กที่อ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบต้องใช้ EF ในการจำเนื้อหาที่อ่านเข้าไปได้ แล้วใช้ EF เพื่อนำเนื้อหาที่จำ นั้นออกมาตอบคำถามข้อสอบถูกต้อง 2. ความยืดหยุ่นทางความคิด (Cognitive Flexibility) ความสามารถที่ทำให้ คนเราคิดเรื่องหนึ่งเรื่องได้ในหลายๆ มุมมองหรือวิธีการ เด็กอาจจะใช้ความสามารถนี้ในการแก้ปัญหา คณิตศาสตร์ข้อหนึ่ง โดยคิดวิธีคำนวณได้หลายวิธี หรือใช้หาความสัมพันธ์ระหว่างของ 2 อย่างได้หลายมุมมอง 3. ความสามารถในการควบคุมและยับยั้งตนเอง (Inhibitory Control) ความสามารถในการเพิกเฉยต่อสิ่งเร้าต่างๆ ที่จะทำให้เราหลุดออกจากการทำงานที่อยู่ตรงหน้าได้ รวมไปถึง ความสามารถในการทนต่อสิ่งยั่วยุทางอารมณ์ เด็กต้องใช้ EF เพื่อควบคุมตนเองระหว่างอยู่ในห้องเรียนไม่ให้ พูดโพล่งระหว่างครูสอน หรือใช้คุมอารมณ์ไม่ให้ทำพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นที่อันตรายได้ สรุปว่า EF สำคัญอย่างมาก เพราะเด็กใช้EFเพื่อจดจำเรื่องราวต่างๆ ทำตามคำสั่งได้ ต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงต่อสิ่งเร้าที่จะทำให้ว่อกแว่กกับการทำงาน ปรับตัวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ แก้ปัญหาต่างๆ ได้เหมาะสม และทำงานที่ได้รับมอบหมายเป็นเวลายาวนานได้ 3. องค์ประกอบพื้นฐานของทักษะ EF นักการศึกษาได้กล่าวถึงองค์ประกอบพื้นฐานของเน้นทักษะ EF เอาไว้ ดังนี้ สุภาวดี หาญเมธี (2558: 24) ได้จัดการความรู้และแยกแยะ EF เป็น 9 ด้าน โดยจัดเป็น 3 กลุ่มทักษะได้แก่ กลุ่มทักษะพื้นฐาน 1. Working Memory = ความจำเพื่อใช้งาน 2. Inhibitory Control = การยั้งคิด ไตร่ตรอง 3. Shift หรือ Cognitive Flexibility = การยืดหยุ่นความคิด กลุ่มทักษะกำกับตนเอง 4. Emotional Control = การควบคุมอารมณ์ 5. Focus หรือ Attention = การใส่ใจจดจ่อในสิ่งที่ทำ 6. Self - Monitoring = การเฝ้าดูและสะท้อนผลจากการกระทำของตนเอง


12 กลุ่มทักษะปฏิบัติ 7. Initiating = การริเริ่มและลงมือทำ 8. Planning and Organizing = การวางแผนและจัดระบบดำเนินการ 9. Goal-directed Persistence = การมุ่งเป้าหมาย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (2559:4-5) เสนอว่า ทักษะ EF ที่ สำคัญมีอยู่ 9 ด้าน ดังนี้ 1. ทักษะความจำที่นำมาใช้งาน (Working Memory) คือ ทักษะความจำหรือ เก็บข้อมูลจากประสบการณ์ที่ผ่านมาและดึงมาใช้ประโยชน์ตามสถานการณ์ที่พบเจอ 2. ทักษะการยับยั้งชั่งใจ-คิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control) คือ ความสามารถ ในการ ควบคุมความต้องการของตนเองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 3. ทักษะการยืดหยุ่นความคิด (Shift Cognitive Flexibility) คือ ความสามารถ ในการ ยืดหยุ่นหรือปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ 4. ทักษะการใส่ใจจดจ่อ (Focus) คือ ความสามารถในการใส่ใจจดจ่อมุ่งความ สนใจอยู่กับสิ่ง ที่ทำอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่ง 5. การควบคุมอารมณ์ (Emotion Control) คือ ความสามารถในการควบคุม การแสดงออกทางอารมณ์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 6. การประเมินตนเอง (Self-Monitoring) คือ การสะท้อนการกระทำของตนเอง รู้จักตนเอง รวมถึงการประเมินการงานเพื่อหาข้อบกพร่อง 7. การริเริ่มและลงมือทำ (Initiating) คือ ความสามารถในการริเริ่มและลงมือทำ ตามที่คิดไม่ กลัวความล้มเหลวและไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง 8. การวางแผนและการจัดระบบดำเนินการ (Planning and Organizing) คือ ทักษะการ ทำงานตั้งแต่การตั้งเป้าหมายการวางแผนการมองเห็นภาพรวม 9. การมุ่งเป้าหมาย (Goal-Directed Persistence) คือ การพากเพียรมุ่งสู่ เป้าหมายเมื่อ ตั้งใจและลงมือทำสิ่งใดแล้วก็มีความมุ่งมั่นอดทนไม่ว่าจะมีอุปสรรคใด ๆ ก็พร้อมฝ่าฟันให้สำเร็จ ดุษฎี อุปการ (2560: 54-55) กล่าวว่า EF คือ กระบวนการทาง สติปัญญาที่ควบคุม และ บริหารจัดการให้บุคคลสามารถดำเนินงานไปสู่เป้าหมายอย่างประสบความสำเร็จ โดยต้องอาศัยทักษะ ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่


13 1. ความจำขณะทำงาน หมายถึง ความสามารถในการจดจำข้อมูลระยะเวลาสั้น ๆ ในขณะที่ทำกิจกรรมหรืองานที่มีความซับซ้อน จดจาเป้าหมายที่ตั้งไว้ตลอดการทำงาน จำลำดับขั้นตอนของ การปฏิบัติงาน รู้ว่าข้อมูลใดสำคัญ และสามารถนาไปใช้ได้ เพื่อให้ดำเนินงานไปสู่เป้าหมายอย่าง ประสบ ความสำเร็จ 2. การยับยั้งชั่งใจ หมายถึง ความสามารถในการควบคุมการกระทำของตนเองต่อ สิ่งที่เข้ามา กระตุ้นให้ไขว้เขว หรือการหยุดเพื่อคิดก่อนลงมือทาได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม พยายามทำตาม กฎระเบียบเมื่อรู้ว่ากฎมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ดำเนินงานไปสู่เป้าหมายอย่างประสบความสำเร็จ 3. ความยืดหยุ่นทางสติปัญญา หมายถึง ความสามารถในการคิดที่ใช้ เปลี่ยนแปลงการกระทำหรือปรับให้เหมาะสมกับความต้องการประยุกต์ใช้กฎเกณฑ์ที่แตกต่างเมื่อบริบท เปลี่ยนแปลงไปปรับเปลี่ยนแผน และวิธีการให้เหมาะสมเมื่อพบอุปสรรค หรือเมื่อได้รับข้อมูลใหม่ หรือรู้ว่ามี ข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เพื่อให้ดำเนินงานไปสู่เป้าหมายอย่างประสบความสำเร็จ นิตยา พิมพ์ทอง (2564: 21) กล่าวว่า EF (Executive Function) มีทั้งหมด 9 ด้าน แต่ที่สำคัญในเด็กวัย 2-6 ปีประกอบด้วย 5 ด้าน คือ ความจำเพื่อใช้ทำงาน การหยุดการยับยั้ง-ไตร่ตรอง การ ยืดหยุ่นความคิด การควบคุมอารมณ์ การวางแผนจัดการ โดยผู้วิจัยสนใจที่จะส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางสมอง EF (Executive Function) 2 ด้าน คือ การยับยั้ง ชั่งใจ-การคิดไตร่ตรอง และการยืดหยุ่นความคิด ดังนี้ 1. การยับยั้งชั่งใจ-การคิดไตร่ตรอง หมายถึง ความสามารถในการควบคุมความ ต้องการของตนเอง หยุดคิดก่อนทำ หยุดพฤติกรรมที่รบกวนผู้อื่น รวมไปถึงการควบคุมความคิดให้มีสมาธิ จดจ่อ ในเรื่องที่กำลังทำ 2. การยืดหยุ่นความคิด หมายถึง ความสามารถในการยืดหยุ่นความคิด ไม่ยึดติด กับความคิดเดิม สามารถคิดนอกกรอบปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดชัยนาท (2566: 5-6) เสนอว่า นักวิชาการแบ่ง องค์ประกอบทักษะของ EF แล้วแบ่งทักษะ EF ออกเป็น 9 ด้าน และแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ 3 ทักษะ ดังนี้ กลุ่มทักษะพื้นฐาน 1. ความจำเพื่อใช้งาน (Working Memory) เป็นการจำข้อมูลและจัดการกับ ข้อมูล คิดเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิม และประมวลผลเพื่อนำไปใช้งานต่อ 2. การยั้งคิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control) เป็นการหยุดคิดและไตร่ตรอง ก่อนทำหรือพูด พิจารณาข้อมูลต่าง ๆ และรู้จักชะลอความอยาก 3. การยืดหยุ่นความคิด (Shift/Cognitive Flexibility) เป็นการปรับความคิด เมื่อเงื่อนไขหรือสถานการณ์เปลี่ยนไป รู้จักคิดนอกกรอบ และเห็นวิธีการรวมทั้งโอกาสใหม่ ๆ


14 กลุ่มทักษะกำกับตนเอง 4. การจดจ่อใส่ใจ (Focus/Attention) การมีสมาธิต่อเนื่อง จดจ่อในสิ่งที่ทำ 5. การควบคุมอารมณ์ (Emotional Control) การจัดการกับอารมณ์และ แสดงออกได้อย่างเหมาะสม มีความมั่นคงทางอารมณ์ ไม่ใช้อารมณ์แก้ปัญหา 6. การติดตามประเมินตนเอง (Self-Monitoring) การรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ทบทวนการกระทำและสะท้อนผลการกระทำของตัวเองได้ แก้ไขเมื่อพบข้อบกพร่อง กลุ่มทักษะการปฏิบัติ 7. การริเริ่มและลงมือทำ (Initiating) การมีความคิดริเริ่ม คิดนอกกรอบได้ ตัดสินใจลงมือทำด้วยตัวเองไม่ต้องให้ใครเตือน 8. การวางแผนและจัดระบบดำเนินการ (Planning and Organising) – ตั้งเป้าหมาย วางแผนเป็นขั้นตอน จัดลำดับความสำคัญ ดำเนินการอย่างเป็นระบบ รู้จักบริหารเวลาและ ทรัพยากร 9. การมุ่งเป้าหมาย (Goal-Directed Persistence) การมีแรงจูงใจและ ความพยายามเพื่อทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้สำเร็จ มีความมุ่งมั่นอดทน พร้อมฝ่าฟันอุปสรรคโดยไม่ย่อท้อ ทนต่อความยากลำบากได้ สรุปได้ว่า องค์ประกอบพื้นฐานของทักษะ EF มี 3 กลุ่มทักษะ คือ กลุ่มทักษะพื้นฐาน กลุ่มทักษะกำกับตนเอง และกลุ่มทักษะปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วย 9 ด้าน คือ Working Memory : ความจำเพื่อ ใช้งาน, Inhibitory Control : การยั้งคิด ไตร่ตรอง, Shift หรือ Cognitive Flexibility : การยืดหยุ่นความคิด, Emotional Control : การควบคุมอารมณ์, Focus หรือ Attention : การใส่ใจจดจ่อในสิ่งที่ทำ, Self - Monitoring : การเฝ้าดูและสะท้อนผลจากการกระทำของตนเอง, Initiating : การริเริ่มและลงมือทำ, Planning and Organizing : การวางแผนและจัดระบบดำเนินการ, Goal-directed Persistence : การมุ่งเป้าหมาย


15 4. ทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย นักการศึกษาได้กล่าวถึงทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางสมอง EF ของเด็ก ปฐมวัยเอาไว้ ดังนี้ 1. ทฤษฎีการเรียนรู้พื้นที่รอยต่อพัฒนาการของ ไวก็อตกี้ (Vygotsky) ไวก็อตสกี้ (Lev Vygotsky. 1896-1934) กล่าวว่า การเล่นเป็นเหมือนนั่งร้านแห่ง พัฒนาการ (scaffolding of development) เด็กได้พัฒนาทักษะหลากหลายจากง่ายไปหายาก ทุกๆการเล่น จะมีอุปสรรค Zone of Proximal Development [ZPD] เด็กจะเรียนรู้ได้ที่ที่สุดจากการช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ หรือเพื่อนที่มีความสามารถมากกว่า ซึ่งความช่วยเหลือนั้นก็ควรมาในรูปแบบของการเล่น มากกว่า การเรียน หรือมาจากคำสั่งของผู้ใหญ่ ไวก็อตสกี้ อธิบายว่า การจัดการเรียนรู้จะต้องคำนึงถึงระดับพัฒนาการ 2 ระดับ คือ ระดับ พัฒนาการที่เป็นจริง (Actual Development Level) และระดับพัฒนาการที่สามารถจะเป็นไปได้ (Potential Development Level) ระยะห่างระหว่างระดับพัฒนาการที่เป็นจริงและระดับพัฒนาการที่ สามารถจะเป็นไป ได้ เรียกว่า พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ (Zone of Proximal Development) ซึ่งไวก็อตสกี้ เปรียบเทียบการเรียน รู้กับพัฒนาการไว้ดังนี้ Past Learning : Actual Development Level Present Learning : Zone of Proximal Development Future Learning : Potential Development Level พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ คือ บริเวณที่เด็กกำลังจะเข้าใจในบางสิ่งบางอย่าง จากการเป็นครูและนัก วิจัยของเขา เขาตระหนักอยู่เสมอว่าเด็กมีความสามารถที่จะแก้ปัญหาที่เกินกว่าระดับ พัฒนาการทางสติ ปัญญาของเขาที่จะทำได้ หากเขาได้รับคำแนะนำ ถูกกระตุ้น หรือชักจูงโดยใครบางคนที่มี สติปัญญาที่ดีกว่า บุคคลเหล่านี้อาจเป็นเพื่อนที่มีความสามารถ นักเรียนคนอื่นๆ พ่อแม่ ครู หรือใครก็ได้ที่มี ความเชี่ยวชาญ ไวก็อตสกี้ได้ให้คำนิยามพื้นที่รอยต่อพัฒนาการนี้ว่า “ระยะห่างระหว่างระดับพัฒนาการที่ แท้จริง ซึ่งกำหนดโดยลักษณะการแก้ปัญหาของแต่ละบุคคล กับระดับของศักยภาพแห่งพัฒนาการที่กำหนด โดยผ่านการแก้ปัญหาภายใต้คำแนะนำของผู้ใหญ่ หรือในการ ร่วมมือช่วยเหลือกับเพื่อนที่มีความสามารถ เหนือกว่า” และได้กล่าวสนับสนุนอีกว่า “พื้นที่รอยต่อพัฒนาการในวันนี้ จะเป็นระดับของพัฒนาการในวัน พรุ่งนี้ อะไรก็ตามที่เด็กสามารถ ทำได้โดยอยู่ภายใต้ความช่วยเหลือในวันนี้ วันพรุ่งนี้เขาจะสามารถทำได้ด้วย ตัวของเขาเอง เพียงได้รับการ เรียนรู้ที่ดีก็จะนำมาซึ่งพัฒนาการที่เจริญขึ้น" พื้นที่รอยต่อพัฒนาการจะอยู่ระหว่าง ระดับของการแสดงพฤติกรรมโดยได้รับ


16 การช่วยเหลือกับการ ทำงานที่เด็กท้าอย่างอิสระตามลำพัง พื้นที่รอยต่อของพัฒนาการนี้ไม่มีความคงที่ ไม่มี ความแน่นอน แต่จะ แปรเปลี่ยนไป ซึ่งในความแปรเปลี่ยนนั้น ได้ทำให้เด็กกลายมาเป็นผู้ที่มีความสามารถใน การเรียนรู้มากขึ้น และมีความเข้าใจในความซับซ้อนของมโนทัศน์และทักษะต่างๆ มากยิ่งขึ้น อะไรก็ตามที่เด็ก ได้รับการช่วย เหลือในอดีต จะกลายมาเป็นการทำงานอย่างอิสระตามลำพังในปัจจุบัน และเมื่อเผชิญกับ สถานการณ์การ เรียนรู้ใหม่ จากที่เคยทำงานอย่างอิสระตามลำพัง ก็จะกลับกลายมาเป็นการทำงานที่ต้อง ได้รับความช่วยเหลือ จากผู้เชี่ยวชาญกว่า วงจรนี้ก็จะเกิดขึ้นต่อเนื่องซ้ำไปซ้ำมา เพื่อการได้มาซึ่งความรู้ ทักษะ กลวิธี หรือ พฤติกรรมการเรียนรู้อื่นๆ ที่มีคุณภาพสูงขึ้น 2. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) สอนประจันทร์ เสียงเย็น (2559 : 106-107) กล่าวว่า เพียเจต์(Piaget) เป็น ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้รับปริญญาเอกทางสัตว์วิทยาในปี ค.ศ.1918 แต่กลับมาสนใจศึกษาทางจิตวิทยา เป็นผู้สร้างทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา และเน้นว่าระดับสติปัญญา และความคิดริเริ่มพัฒนาการจากการปะทะอย่างต่อเนื่องระหว่างบุคคล และสิ่งแวดล้อมการปะทะ (Interaction) หมายถึง กระบวนการปรับตัวของอินทรีย์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งเป็นกระบวนการที่ ต่อเนื่อง และปรับปรุงอยู่ตลอดเวลาเพื่อจะก่อให้เกิดความสมดุลกับธรรมชาติ การปะทะ และการปรับปรุง จะต้องประกอบด้วย 1. การดูดซึม (Assimilation) หมายถึง การรับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเพื่อเป็น ประสบการณ์ของตน ซึ่งการรับรู้จะได้ผลเพียงใดย่อมขึ้นกับความสามารถในการรับรู้ ได้แก่ ประสาทสัมผัสต่าง ๆ 2. การปรับขยายความรู้ใหม่ให้เข้ากับความรู้เดิม (Accommodation) เป็น กระบวนการรวบรวมแยกแยะสิ่งแวดล้อมเพื่อเปลี่ยนแปลงความคิด และเข้าใจสิ่งแวดล้อมตรงกับสภาพความ เป็นจริงมากขึ้น โดยการนำประสบการณ์เดิมเข้าไปสมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่ได้รับจนกระทั่งเกิดความรู้ใหม่ เพิ่มขึ้น 3. ความสมดุล (Equilibration) ในการที่เด็กมี Interaction กับสิ่งใดก็ตามในครั้ง แรก เด็กจะพยายามทาความเข้าใจประสบการณ์ใหม่ด้วยการใช้ความคิดเก่าหรือประสบการณ์เดิม (Assimilation) แต่เมื่อปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จเด็กจะต้องเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ (Accommodation) จนกระทั่งในที่สุด เด็กสามารถผสมผสานความคิดใหม่นั้นให้กลมกลืนเข้ากับความคิดเก่า สภาพการณ์เช่นนี้ก่อให้เกิดความสมดุล Equilibration ซึ่งทำให้คนสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ขั้น ของพัฒนาการทางสติปัญญา แบ่งเป็น 4 ขั้น


17 1. ขั้นประสาทรับรู้ และการเคลื่อนไหว (แรกเกิด - พูดได้) เด็กจะเรียนรู้ สิ่งแวดล้อมโดยการรับรู้ และการเคลื่อนไหว เป็นจุดเริ่มต้นในการรวบรวมประสบการณ์เพื่อช่วยในการคิด ระยะนี้จะเริ่มสัญลักษณ์ของวัตถุ 2. ขั้นเกิดสังกัป และความคิดแบบใช้การหยั่งรู้ (2 - 7 ปี) เป็นขนของความคิด ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ และการเคลื่อนไหวโดยจะเข้าใจสัญลักษณ์ที่มาแทนวัตถุจริง เข้าใจในสิ่งซับซ้อนได้ บ้างแต่ยังขาดประสบการณ์ในทางความคิด เป็นเหตุให้เรื่องที่คิดผิดพลาดได้ 3. ขั้นปฏิบัติการทางความคิดโดยใช้วัตถุหรือสิ่งที่มีตัวตน (7 - 11 ปี) ขั้นนี้เด็ก จะเข้าใจความคงที่ของปริมาณ ขนาด น้ำหนัก และความสูงโดยไม่คานึงถึงสภาวะแวดล้อม ในขณะเดียวกัน เด็กจะสามารถเปรียบเทียบปริมาณของน้าได้ถูกต้อง ไม่ว่าจะอยู่ในภาชนะลักษณะใด 4. ขั้นปฏิบัติการทางความคิดนามธรรม (12 ปี ขึ้นไป) เด็กจะมีอิสระในทาง ความคิดใช้วิธีคิดแบบอนุมาน และสามารถคิดแบบตั้งสมมติฐาน และคิดหาทางพิสูจน์ได้เป็นพัฒนาการทาง ความคิดขั้นสูงสุด 3. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์ (Bruner) บรูเนอร์ (Bruner. 1968: 1-54 อ้างใน ฉัตรวิไล สุรินทร์ชมพู. 2561: 12-13) กล่าวว่า บรูเนอร์เป็นนักจิตวิทยาที่สนใจ และศึกษาเรื่องของพัฒนาการทางสติปัญญาต่อเนื่องจากเพียเจต์ บรูเนอร์เชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากกระบวนการค้นพบด้วยตัวเอง (Discovery Learning) แนวคิดที่สำคัญ ๆ ของบรูเนอร์ มีดังนี้ ทฤษฎีการเรียนรู้ 1. การจัดโครงสร้างของความรู้ให้มีความสัมพันธ์ และสอดคล้องกับ พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กที่มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก 2. การจัดหลักสูตร และการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความ พร้อมของผู้เรียน และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนจะช่วยให้การเรียนรู้เกิดประสิทธิภาพ 3. การคิดแบบหยั่งรู้ เป็นการคิดหาเหตุผลอย่างอิสระที่สามารถช่วย พัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้ 4. แรงจูงใจภายในเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จใน การเรียนรู้


18 5. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์ แบ่งได้เป็น 3 ข้อใหญ่ๆ ดังนี้ 5.1 ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive Stage) คือ ขั้นของ การเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ การลงมือกระทำช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ดี การเรียนรู้เกิด จากการกระทำ 5.2 ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic Stage) เป็นขั้นที่เด็ก สามารถสร้างมโนภาพในใจได้ และสามารถเรียนรู้จากภาพแทนของจริงได้ 5.3 ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์ และนามธรรม (Symbolic Stage) เป็นขั้นการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อน และเป็นนามธรรมได้ 6. การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการที่คนเราสามารถสร้างความคิดรวบยอด หรือสามารถจัดประเภทของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม 7. การเรียนรู้ที่ได้ผลดีที่สุด คือ การให้ผู้เรียนค้นพบการเรียนรู้ด้วย ตนเอง (Discovery Learning) สถาบัน อาร์แอลจี รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป (2561 : 89-113) กล่าวว่า การที่เด็กได้ลงมือ ทำและมีส่วนร่วมในการเผชิญสถานการณ์ต่างๆ เป็นการสั่งสมประสบการณ์และ เกิดการเรียนรู้เป็นพื้นฐาน ของการฝึกการจำเพื่อใช้งาน การคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ อีกทั้งยังช่วย ให้สมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำ เป็น การเปิดโอกาสให้เด็กได้ค้นพบความสามารถของตนเอง และเมื่อทำซ้ำ ๆ จนเกิดการพัฒนาวิธีการคิด วิธีทำ และเกิดความชำนาญ มีความคล่องแคล่วในการคิดและลงมือทำ ก่อให้เกิดความมั่นใจที่จะลงมือทำและภูมิใจ เมื่อทำสำเร็จ การทำอะไรด้วยตนเองจะทำให้เด็กเชื่อว่า ความสำเร็จเกิดจากความเพียรพยายามทำให้มีความ มุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ ไม่คิดการพึ่งพิง นำไปสู่การพึ่งพาตนเองในระยะยาว นิตยา พิมพ์ทอง (2564: 24) กล่าวว่า แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับทักษะทางสมองของ เด็กปฐมวัย สรุปได้ว่า พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาที่เด็กเจริญเติบโตขึ้น โดยจะ สามารถคิดเป็นลำดับขั้นซึ่งจะเริ่มจากคิดแบบนามธรรมไปสู่รูปธรรม เด็กจะมีพัฒนาการทางสติปัญญาจาก การได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัว ทั้งนี้ พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กสามารถพัฒนาได้ผ่านการใช้ ทฤษฎีทางจิตวิทยาเป็นตัวช่วยในการพัฒนาสติปัญญาของเด็กต่อไป


19 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5.1 งานวิจัยในประเทศ ศิรินันท์ ทองเงิน และทัศนีย์ บุญเติม (2564: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการทำหน้าที่เชิง บริหาร (Executive Functions–EF) ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการฝึกโดยใช้เกมส่งเสริม EF งานวิจัยนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบ EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการสอนโดยการ จัดกิจกรรมเกมส่งเสริม EF และ เปรียบเทียบ EF ของเด็กปฐมวัยหลังการสอน กับเกณฑ์ร้อยละ 75 ของคะแนนเต็ม กลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรียนชั้นอนุบาล 3 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 21 คน โรงเรียนแห่ง หนึ่งในจังหวัดอุดรธานี ใช้แบบการวิจัย แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง (one group pretest-posttest design) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการสอนประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมเกมส่งเสริม EF ของเด็กปฐมวัย จำนวน 25 แผน 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบประเมินการคิดเชิง บริหารในเด็กปฐมวัย แบบ MU.EF – 101 ของนวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล (2560) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การหา ค่าสถิติพื้นฐาน และสถิติทดสอบ ที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ย EF ของเด็กปฐมวัยหลังได้รับการ จัดกิจกรรมเกมส่งเสริม EF สูง กว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมและสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 ของคะแนนเต็ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ปาริชาต ประกอบมาศ (2564: ค) ได้ศึกษา การพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมทักษะ EF และสมรรถนะการเคลื่อนไหว ของนักเรียนประถมศึกษาตอนปลายโดยใช้แนวคิดการเต้นเชิงสร้างสรรค์ร่วมกับ สตอรี่ไลน์ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาโปรแกรมส่งเสริมทักษะ EF (Executive Function) และ สมรรถนะการเคลื่อนไหวของนักเรียนประถมศึกษาตอนปลายโดยใช้แนวคิดการเต้นเชิงสร้างสรรค์ร่วมกับสตอ รี่ไลน์2) ประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมทักษะ EF (Executive Function) และ สมรรถนะการ เคลื่อนไหวของนักเรียนประถมศึกษาตอนปลายโดยใช้แนวคิดการเต้นเชิงสร้างสรรค์ร่วมกับ สตอรี่ไลน์ที่ พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนประถมศึกษาตอนปลาย จำนวน 48 คน ได้จากการสุ่ม อย่างง่ายใน 1 โรงเรียนที่สมัครใจเข้าร่วมโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นและผ่านเกณฑ์คัดเข้า วิเคราะห์ข้อมูลโดย การหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีผลการวิจัยพบว่า 1) โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยกิจกรรม 8 กิจกรรม คือ (1) โจรสลัด ตะลุยเกาะมหาสมบัติ(2) เงื่อนไขของหมีตัวใหญ่ (3) เพลิงอัคคี(4) แมงมุมยักษ์ผู้ เฝ้าประตู(5) แรดเผือก ริมลำธาร (6) กำแพงเยลลี่ผลไม้(7) สัญลักษณ์วงสีแดง (8) เต้นเฉลิมฉลอง ซึ่งมีความ เหมาะสมอยู่ใน ระดับมากที่สุด 2) ประสิทธิผลของโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของทักษะ EF (Executive Function) และสมรรถนะการเคลื่อนไหวของนักเรียนกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมในระยะหลัง การ ทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


20 ศิรินันท์ ทองเงิน และทัศนีย์ บุญเติม (2564: บทคัดย่อ) ได้ศึกษา การทำหน้าที่เชิง บริหาร (Executive Functions–EF) ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการฝึกโดยใช้เกมส่งเสริม EF ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ย EF ของเด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัดกิจกรรมเกมส่งเสริม EF สูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 ของคะแนนเต็มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นิตยา พิมพ์ทอง (2564: บทคัดย่อ) ได้ศึกษา การส่งเสริมทักษะทางสมอง EF (Executive Function) ของชั้นอนุบาลปีที่ 2/2 โดยการจัดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ผลการวิจัยพบว่า ทักษะทางสมอง EF (Executive Function) ของเด็กปฐมวัย ที่ ได้รับการจัดประสบการณ์การจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองโดยมีค่าเฉลี่ย รวมก่อนการทดลองเท่ากับ 15.13 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.93 และหลังได้รับการจัดกิจกรรม วิทยาศาสตร์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 21.84 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.86 5.2 งานวิจัยในต่างประเทศ Gioia, Espy และ Isquith (2003, อ้างใน ดาริกา ตวงบุ, 2564: 77) ได้สร้างแบบวัด Behavior Rating Inventory of Executive Function–Preschool เป็นแบบวัดมาตรส่วนประมาณค่าที่ สร้างขึ้นเพื่อประเมินทักษะ การคิดเชิงบริหารในเด็กก่อนวัยเรียน อายุระหว่าง 2 ปี ถึง 5 ปี 11 เดือน ประเมิน โดย ผู้ปกครอง ผู้ดูแล ครูก่อนปฐมวัย หรือผู้ที่ทำงานดูแลเด็ก วัดองค์ประกอบหลัก 3 องค์ประกอบ และ 5 องค์ประกอบย่อย องค์ประกอบหลักประการแรกคือ การยับยั้งและควบคุมตนเอง (Inhibitory Self-Control) ประกอบไปด้วย 2 องค์ประกอบย่อย คือ การยับยั้ง (Inhibit) และการควบคุมอารมณ์(Emotional Control) องค์ประกอบหลักประการที่สองคือ การยืดหยุ่น (Flexibility) ประกอบไป ด้วย 2 องค์ประกอบย่อย คือ การปรับเปลี่ยน (Shift) และการควบคุมอารมณ์ (Emotional Control) องค์ประกอบหลักประการที่สาม คือ การใช้อภิปัญญา (Emergent Metacognition) ประกอบไปด้วย 2 องค์ประกอบย่อย คือ ความจำเพื่อใช้งาน (Working Memory) และการการวางแผน และการจัดการ (Plan/Organize) (Elisabeth Sherman and Brian L Brooks, 2012) Flook และคณะ (2008, อ้างใน ดาริกา ตวงบุ, 2564: 76-77) ได้ศึกษาผลของ การปฏิบัติให้ความสำคัญในการรับรู้ถึงหน้าที่ของทักษะการคิดเชิงบริหารในเด็กประถม มีวัตถุประสงค์เพื่อ ประเมินการท างานของทักษะการคิดเชิงบริหารในเด็กก่อนและหลังระยะเวลา 8 สัปดาห์ การวิเคราะห์ความ แปรปรวนหลายตัวแปร เกี่ยวกับรายงานครูและผู้ปกครองของทักษะการคิดเชิงบริหาร (EF) พบว่า มี ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง คะแนนพื้นฐานของ EF กับสถานะกลุ่มในหลักสูตร Posttest EF นั่นคือเด็กที่อยู่ในกลุ่ม MAPs ที่ได้รับการควบคุมน้อยกว่าพบว่า EF มีพัฒนาการดีขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยเฉพาะเด็ก เหล่านี้ เริ่มต้นจาก EF ที่ยากจนซึ่งผ่านการฝึกอบรม MAP พบว่า การควบคุมพฤติกรรมการรับรู้ความสามารถทาง


21 เมตตาและการควบคุมระดับโลกโดยรวม ผลการศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึง ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากแผนที่ เกี่ยวกับเด็กที่มีปัญหาในการทำงานของทักษะการคิดเชิงบริหาร การค้นพบที่ทั้งครูและผู้ปกครองรายงานว่า การเปลี่ยนแปลงแสดงให้เห็นว่าการปรับปรุงกฎเกณฑ์ด้านพฤติกรรมของเด็กทั่วไปในการตั้งค่าการทำงาน ในอนาคตจะได้รับการรับรอง โดยใช้หน้าที่เกี่ยวกับระบบประสาทในการปฏิบัติหน้าที่ของทักษะการคิดเชิง บริหาร การสังเกตพฤติกรรมและ ตัวอย่างห้องเรียนหลายชุดเพื่อทำซ้ำและขยายผลเบื้องต้นเหล่านี้ Monette, Bigras และ Lafreniere (2015, อ้างใน ดาริกา ตวงบุ, 2564: 77) ในขณะ ที่การศึกษาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นการทำงานของทักษะการคิดเชิงบริหาร (EF) ในผู้ใหญ่ที่จะ ตรวจสอบความแตกต่างไป อย่างน้อยสามคอมโพเนนต์หลัก (หน่วยความจ าการท างานให้ยับยั้งและความ ยืดหยุ่นในการท างาน) ในเด็กที่มีโครงสร้าง EF ไกลเกินกว่าที่เข้าใจกันดีแม้จะมีร่างกายที่มีขนาดใหญ่ใน งานวิจัยในเรื่องนั้น จากการศึกษาที่ได้รับการดำเนินการในการทดสอบเชิงโครงสร้างที่แตกต่างกันบางรุ่นของ เอกสาร แฟ็กซ์ผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยการใช้ EFs (CFA) ในตัวอย่างที่มีขนาดใหญ่โดยทั่วไปของการพัฒนา kindergarteners (N = 272) การจัดกิจกรรมการเล่านิทาน การนำเสนอเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน ผู้วิจัยได้แบ่งการนำเสนอออกเป็น 5 หัวข้อ คือ 1) ความหมายของนิทาน 2) ความสำคัญของนิทาน 3) ประเภทของนิทาน 4) รูปแบบของการเล่านิทาน และ 5) งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ความหมายของนิทาน นักการศึกษาได้กล่าวถึงความหมายของนิทานเอาไว้ ดังนี้ นฤมล จิ๋วแพ (2549: 7) กล่าวว่า นิทานคือเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาหรือมีผู้แต่งขึ้น เพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน สร้างสรร์จินตนาการ สอดแทรกความคิดและจริยธรรมอันดีงาม เพื่อ เป็นแนวทางในการปฏิบัติตนที่ถูกที่ควร นอกจากนี้ยังช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่านหนังสือให้กับเด็กอีกด้วย ระกา เอี่ยมสุธี (2557: 22) กล่าวว่า นิทานหมายถึงเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อสืบทอดประสบการณ์ ความรู้ ความคิด ค่านิยม ทำให้ผู้ฟังเกิดความสนุกสนามเพลิดเพลิน ตลอดจนปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ความดี ความงาม ปลูกจิตสำนึกคนให้ประพฤติอยู่ในความดี ศรัญญา พิมเสน (2562: 20) กล่าวว่า นิทาน หมายถึง เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาเพื่อให้ เด็กเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและความ บันเทิง มีการสอดแทรกคติธรรม คุณธรรมและจริยธรรม สามารถนาความรู้มาปรับเปลี่ยนประยุกต์ใช่ในชีวิตประจำวัน และเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตได้


22 จุรีรัตน์ นุรักษ์ (2564: 69) กล่าวว่า นิทาน หมายถึง เรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา หรือ อาจเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา ใหม่เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน ให้ความรู้สอดแทรกคติแนวคิดที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรมที่พึง ประสงค์คติสอนใจ และให้ความรู้สร้างจินตนาการให้กับผู้อ่านและผู้ทีได้ฟังนิทานเป็นสื่อที่ดี ที่สุดอย่าง หนึ่งในการเรียนรู้เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ฟังได้ประพฤติปฏิบัติตามถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่าง หนึ่ง ในหลายอย่างของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีความหมาย มีคุณค่า ซึ่งนิทานจะมีทั้งนิทานที่เล่าปากเปล่าและนิทาน ที่มีการเขียนการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยใช้วิธีการเล่าเรื่อง หรือใช้อุปกรณ์ต่างๆ ประกอบใน การเล่า นิทาน เพื่อความสนุกสนาน ให้คติสอนใจ และง่ายต่อความเข้าใจในเนื้อหาของนิทานที่ต้องการ สื่ออกมา ทั้งนี้ ในการเล่าเรื่องการเลือกนิทานหรือการใช้ภาษา ควรคำนึงถึงวัยของผู้ฟัง นภัสวรรณ สิงหพล (2565: 11) กล่าวว่า นิทานเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาหรือ แต่งขึ้นใหม่เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลินและให้ความรู้มีการสอดแทรกคุณธรรมและคติเตือนใจลงไป เพื่อให้เด็กนำไปเป็นแนวทาง ในการดำรงชีวิต สรุปได้ว่า นิทาน หมายถึง นิทานหมายถึง เรื่องเล่าที่เล่าสืบต่อกันมา เรื่องที่เกิดจาก การแต่งขึ้นมาใหม่ที่อ้างอิงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นการแต่งขึ้นมาใหม่เพื่อจุดประสงค์ใด จุดประสงค์หนึ่ง เช่น เพื่อให้ข้อคิด-คติเตือนใจ เพื่อความบันเทิง เป็นต้น 2. ความสำคัญของนิทาน นักการศึกษาได้กล่าวถึงความสำคัญของนิทานเอาไว้ ดังนี้ วรัญญา ศรีบัว (2560: 9) กล่าวว่า การเล่านิทานมีกันอย่างแพร่หลายในการนิทาน เป็นวิธีการที่สามารถกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนได้ เพราะเรื่องที่นำมาเล่านั้นผู้เรียนสามารถ รับรู้อารมณ์ และเรียนรู้วัฒนธรรมจากเรื่องที่ฟังได้ ตลอดจนได้เรียนรู้ ทักษะการฟัง การพูด และ จดจำคำศัพท์ใหม่ๆที่จะ นำไปช่วยเสริมประสบการณ์ชีวิตของเด็กได้เป็นอย่างดี สุพพัต สกุลดี (2561: 23) กล่าวว่า นิทานให้ความเพลิดเพลิน สนุกสนานและผ่อน คลายความเครียด สร้างเสริมจินตนาการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม กรชับความสัมพันธ์ในครอบครัว สะท้อน ให้เห็นสภาพของสังคมในอดีตในหลายๆด้าน ช่วยพัฒนาเด็กทางคุณลักษณะชีวิต พัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก พัฒนาด้านความรู้และสติปัญญา ทักษะและความสามารถทางภาษา นิภา ดิษฐสุวรรณ (2562: 16) กล่าวว่า การเล่านิทานมีกันอย่างแพร่หลายในการเล่า นิทานเป็นวิธีการที่สามารถกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนได้ เพราะเรื่องที่นำมาเล่านั้นผู้เรียนสามารถรับรู้ อารมณ์ และเรียนรู้วัฒนธรรมจากเรื่องที่ฟังได้ ตลอดจนได้เรียนรู้ ทักษะการฟัง การพูด และจดจำคำศัพท์ ใหม่ๆ ที่จะนำไปช่วยเสริมประสบการณ์ชีวิตของเด็กได้เป็นอย่างดี


23 ศรัญญา พิมเสน (2562: 21) กล่าวว่า นิทานมีความสำคัญต่อเด็กปฐมวัย คือ เป็นวิธีการให้ความรู้ที่จะทำให้เด็กสนใจเรียนรู้ สามารถจดจำและกล้าแสดงออก ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ช่วยพัฒนาเด็กทางด้านลักษณะชีวิต พัฒนาเด็ก ด้านบุคลิกภาพด้านความรู้และสติปัญญา ด้านทักษะและ ความสามารถ และด้านสุขภาพ วีรญา สุวรรณวงศ์ (2564: 60) กล่าวว่า ความสำคัญของนิทาน คือ การให้ความรู้กับ เด็ก โดยผ่านการเล่านิทานเพื่อส่งผลให้เด็กสนใจเรียนรู้ กล้าแสดงออก ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน และแก้ไข พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของเด็กจากตัวแบบในนิทานที่เด็กประทับใจ สร้างสมาธิ ผ่อนคลายอารมณ์ สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างผู้เล่าและผู้ฟัง สรุปได้ว่า นิทานมีความสำคัญ คือ นิทานจะช่วยให้เด็กฉลาดทั้งทางปัญญา และฉลาด ทางอารมณ์ การอ่านหรือเล่านิทานให้เด็กฟังบ่อย ๆ ช่วยปลูกฝังให้เด็กมีนิสัยรักการอ่าน ทำให้เด็กเรียนรู้ ภาษาได้เร็วขึ้น การฟังนิทานเป็นการเสริมสร้างจินตนาการ และฝึกสมาธิให้เด็ก ทั้งทำให้เด็กได้รับการปลูกฝัง คุณธรรมจากเนื้อหาในนิทาน และเพลิดเพลินกับเนื้อหาในนิทานอีกด้วย 3. ประเภทของนิทาน นักการศึกษาได้กล่าวถึงประเภทของนิทานเอาไว้ ดังนี้ บุษนีย์สมญาประเสริฐ (2551: 26) กล่าวว่า นิทานสามารถแบ่งได้หลายประเภท โดยใชเกณฑการแบงที่แตกต่างกันออกไปตามรูปแบบของนิทาน เกริก ท่วมกลาง และจินตนา ท่วมกลาง (2555: 78-81 อ้างใน ศรัญญา พิมเสน, 2562:21-23) กล่าวว่า การแบ่งประเภทของนิทาน โดยใช้เกณฑ์ตามเนื้อหาสาระของนิทานเป็นหลัก สามารถ แบ่งได้ 11 ประเภท ดังนี้ 1. เทวตำนาน เป็นเรื่องราวการอธิบายการกำเนิดเทพ จักรวาล โลก มนุษย์ สัตว์ สรรพสิ่งในโลก โครงสร้างของความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ และกฎเกณฑ์การควบคุมความประพฤติให้อยู่ร่วมกัน อย่างมี ความสุข รูปแบบนิทานเป็นการตัดชุดปฏิบัติที่ผิดศีลธรรม และละเมิดกฎที่วางไว้สาเหตุมาจากความ โลภ ความเห็นแก่ตัวแก่ได้ ความประมาททำให้เกิดความเสียหายผู้เกี่ยวข้องได้รับความเดือดร้อน เทพหรือ เทวดาผู้มีบทบาทดูแลความทุกข์สุขหรือควบคุมกฎเกณฑ์การอยู่ร่วมกัน จึงลงโทษวิธีต่างๆที่เป็นคติ เตือนใจ ไม่ให้มีการปฏิบัติละเมิดกฎข้อบังคับอีก เช่น เรื่องมนูกับน้ำท่วมโลก เรื่องแม่โพสพเทพีแห่งต้นข้าว


24 2. นิทานศาสนา เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับศาสนา ความศรัทธา พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า พระ โพธิสัตว์ บุคคลสำคัญในพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล รวมถึงบุคคลสำคัญด้านศาสนาที่ มีผู้เลื่อมใส ศรัทธาลักษณะนิทาน เป็นเรื่องประวัติพระพุทธเจ้าเสด็จไปในที่ต่างๆการปราบมารการทำกิจที่ สำคัญ ซึ่งเรื่องเล่าที่มักเกี่ยวกับสถานที่สำคัญที่ประชาชนนับถือ และในปัจจุบันยังมีนิทานที่เกี่ยวข้องกับบุคคล สำคัญในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการเล่าถึงประวัติหรือผลงานที่สำคัญของพระสงฆ์ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น องคุลีมาล นางวิสาขา พระธาตุดอยตุง เป็นต้น 3. นิทานคติ เป็นนิทานที่เกี่ยวกับศาสนาเรื่องกฎแห่งกรรมหรือการทำดีได้ดีทำชั่ว ได้ชั่ว ลักษณะ นิทานเป็นการฝึกแบบไม่เหมาะสมกับความโลภ มักง่าย แก้แค้น อิจฉา ต้องการให้ผู้อื่นได้รับ ทุกข์และ ผู้กระทำได้รับความทุกข์ความเสียหายจากการกระทำของตนเอง เรียกว่า ให้ทุกแก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ในตอนท้ายมีแนวคิดสั่งสอนเป็นคติสอนใจแก่ผู้อ่านไม่ให้ประพฤติปฏิบัติตามเนื้อเรื่อง 4. นิทานชีวิต เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก การต่อสู้ การผจญภัยของมนุษย์ สัตว์ สิ่งของ ซึ่งตัว เอกของเรื่องต้องใช้ความอดทน กล้าหาญ เสียสละ การประพฤติดี มีคุณธรรม ความฉลาด กลโกงในการ แก้ปัญหา จึงได้รับผลสำเร็จในการแก้ปัญหาเรื่องราวนั้นได้ ซึ่งนิทานประเภทนี้บางครั้งลักษณะ เหมือนจริง เกี่ยวกับความเชื่อ สถานที่ และเวลาที่มีรายละเอียดแน่นอน เช่น คุณช้างขุนแผน ไกรทอง พระอภัยมณี เป็นต้น 5. นิทานมหัศจรรย์หรือเทพนิยาย เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ความ มหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น จากของวิเศษ รูปแบบนิทานตัวละครมักเป็นกษัตริย์ที่เจ้าหญิง ยักษ์ เกี่ยวข้องกับจักรๆ วงๆ การดำเนิน เรื่องมักเป็นเรื่องความรัก ความอิจฉา การพลัดพราก การผจญภัย การต่อสู้ การค้นหาสิ่งของ ที่สำคัญที่ ตัวเอกของเป็นเรื่องจะต้องเอาชนะให้ได้ ฉากดินแดนที่อาจเป็นแดนมหัศจรรย์ที่แดนในฝัน เช่น ปลาบู่ทอง พระสุทน สังข์ทอง เป็นต้น 6. นิทานประจำถิ่น เป็นเรื่องราวขนบธรรมเนียมประเพณีและบุคคลสำคัญในแต่ ละท้องถิ่น ซึ่งแต่ ละเรื่องมีความเชื่อเกี่ยวข้องกับสถานที่ สิ่งของ บุคคลที่มีชื่อจริงในแต่ละท้องถิ่น รูปแบบ นิทานเล่าประวัติ บุคคลสถานที่ในแต่ละท้องถิ่นที่นำมาเล่าติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน เช่น พญากง พญาพาน กล่องข้าวน้อยฆ่า แม่ เป็นต้น 7. นิทานอธิบายเหตุ เป็นเรื่องราวที่อธิบายความเป็นมาของสรรพสิ่งต่างๆของคน สัตว์ สิ่งของ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ พิธีกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี รูปแบบนิทานมักอธิบาย อะไร เป็นอย่างไร ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น การดำเนินเรื่องเป็นการตอบข้อสงสัยอธิบายคำตอบที่สงสัยของสิ่งต่างๆ อย่าง สมเหตุสมผล หรือหาเหตุผลมาสนับสนุนให้มีความน่าเชื่อ เช่น ทำไมน้ำทะเลจึงเค็ม ทำไมถึงเกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง เป็นต้น


25 8. นิทานสัตว์ เป็นเรื่องราว ที่เกี่ยวกับความฉลาดเจ้าปัญญา ความเก่ง ความโง่ เขลา ความเจ้า เล่ห์ กลโกงของสัตว์ที่มีโครงเรื่องแสดงลักษณะคล้ายมนุษย์ พฤติกรรมชิงความเป็นผู้ชนะใน ด้านการเป็น ผู้นำ เจ้าป่า ไหวพริบ เพื่อให้ได้รับการยกย่องยอมรับจากสัตว์ทั้งหลาย เรื่องมักจบแบบมีคติเตือน ให้ทุก ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เช่น กระต่ายกับเต่า จระเข้กับลิง แม่ครัวกับแม่เสือ เป็นต้น 9. นิทานผี เป็นเรื่องราวลึกลับที่เกี่ยวกับภูตผีปีศาจ ที่มีประวัติยาวนานเป็นที่ชื่น ชอบของผู้ฟังที่พิเศษได้อิทธิฤทธิ์กระทำให้เกิดความกลัวต่อมนุษย์ตามลักษณะของผีแต่ละประเภทที่มีลักษณะ การแสดง หลอก การแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ตลอดทั้งมีรูปร่างหน้าตาอาการแสดงให้เกิดความน่าตื่นเต้น ขยาด กลัว ตามธรรมชาติของผีประเภทนั้นๆ เช่น ผีปอบ เสือสมิง แม่นาคพระโขนง ผีกระสือ ผีตานี ผีนาง ตะเคียน เป็นต้น 10. นิทานตลก อาจเป็นเรื่องราวตลกขบขัน ลักษณะนิทานที่น ามาเล่าแสดงถึง ความฉลาด ความ โง่ กลลวง กลโกง มีความฉลาดเกมโกง การดำเนินเรื่องจะสนุกสนานอยู่ที่ความไม่น่าจะ เป็นไปได้แต่ เพราะพฤติกรรมของตัวละครที่แสดงความฉลาดความโง่ออกมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทำให้เกิดมุก ตลก ขบขันขึ้น บางเรื่องนำมาเสนอเกี่ยวกับการชิงไหวพริบของพ่อตากับลูกเขยความผิดการของบุคคล และ แสดงความเปิ่น ความเซ่อออกมาจนเป็นมุขให้สนุกสนานและนิทานประกอบประเภทตลกหยาบโลน เกี่ยวกับ พฤติกรรมทางเพศของพระ แม่ชี สามเณร นักบวช จะเป็นเรื่องที่นำมาเล่าเฉพาะกลุ่มเพื่อความ สนุกสนานบาง ทีเรียกว่า นิทานก้อม นิทานตลกมีมากมาย เช่น พ่อตากับลูกเขย ไอ้ขาติดกับไอ้ตาบอด หลวงพ่อกับสามเณร 11. นิทานเข้าแบบ เป็นเรื่องราวที่สร้างแล้ววางโครงเรื่องเป็นพิเศษเฉพาะตัวใน การเล่าให้มีความคล้องจอง สามารถพูดหรือเล่าได้ง่ายในรูปประโยคที่ใช้ภาษาเรียบง่ายเพื่อให้เล่าง่ายๆได้ ถูกต้อง นิทาน ประเภทนี้มีการแต่งไว้น้อยเพราะต้องใช้รูปแบบเฉพาะ เช่น นิทานเรื่องตากับยาย ปลูกถั่วปลูก งาให้หลานเฝ้า เป็นต้น วิไล เวียงวีระ (2562: 68-89) ได้แบ่งประเภทนิทานที่แตกต่างจากที่ กล่าวมาซึ่งเป็น ประเภทนิทานที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย ไว้ดังนี้ 1. เรื่องจริงเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวเด็ก 2. เทพนิยายต่าง ๆ 3. ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา 4. ปัญหาเกี่ยวกับศาสนา กลอน 5. นิทานแต่งเป็นโคลงกลอน 6. นิทานประเภทส่งเสริมจินตนาการ 7. นิทานให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กจะเรียนรู้


26 สุพพัต สกุลดี (2561: 9) กล่าวว่า ในการแบ่งประเภทของนิทานนั้นสามารถแบ่งได้ หลาย ประเภท โดยใช้หลักเกณฑ์การแบ่งที่แตกต่างกันตามรูปแบบและเนื้อหาของการเล่านิทาน ศรัญญา พิมเสน (2562: 21) กล่าวว่า ประเภทของนิทานสามารถแบ่งได้หลาย ประเภทคือ เทวตำนาน นิทานศาสนา นิทานคติ นิทานชีวิต นิทานมหัศจรรย์หรือเทพ นิทานประจำ นิทาน อธิบาย นิทานสัตว์ นิทานผี นิทานตลก นิทานเข้าแบบ สรุปได้ว่า นิทานมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์หรือเงื่อนไข ในการแยกประเภท เช่น การใช้งาน ความเป็นมา วัตถุประสงค์ เป็นต้น 4. รูปแบบของการเล่านิทาน นักการศึกษาได้กล่าวถึงรูปแบบของการเล่านิทานเอาไว้ ดังนี้ เกริก ยุ้นพันธ์ (2539: 36-55 อ้างใน นภัสวรรณ สิงหพล, 2565: 14) กล่าวว่า รูปแบบ และกระบวนการเล่านิทานไว้หลากหลาย แยกตามลักษณะการเล่าได้ ดังนี้ 1. การเล่านิทานแบบปากเปล่า เป็นนิทานที่ผู้เล่าเรื่องจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม ตั้งแต่ เลือกเรื่องให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกลุ่มผู้ฟัง นิทานปากเปล่าเป็นนิทานที่สามารถดึงดูดและเร้า ความสนใจของผู้ฟัง ด้วยน้ำเสียงแววตาและลีลาท่าทางประกอบของผู้เล่าที่สง่าและพอเหมาะพอดี 2. การเล่านิทานแบบเล่าไปวาดไป เป็นนิทานที่ผู้เล่าจะต้องมีประสบการณ์การ เล่าแบบ ปากเปล่ายังคงใช้ศิลปะการเล่าอย่างมีชั้นเชิงในการเล่าอย่างเดิมแต่จะต้องเพิ่มการวาดรูปในขณะที่ เล่าเรื่องราวด้วยรูปที่เล่า ขณะเล่าเรื่องนี้ภาพที่วาดออกมาอาจจะสอดคล้องกับเรื่องราวหรือบางครั้ง เมื่อเล่า เรื่องจบ รูปที่วาดจะไม่สอดคล้องกับเรื่องที่เล่าเลยก็ได้ คือจะได้ภาพใหม่เกิดขึ้น 3. การเล่านิทานแบบใช้สื่ออุปกรณ์ประกอบ เป็นนิทานที่เล่าโดยใช้สื่อหรือ อุปกรณ์ในขณะเล่า เป็นนิทานที่ผู้เล่านิทานจะต้องใช้สื่อที่จัดเตรียมหรือหามาเพื่อประกอบการเล่า เช่น การ เล่านิทานโดยใช้สื่อหนังสือ นิทานหุ่นนิ้วมือ นิทานหุ่นมือ นิทานหุ่นเชิด นิทานหุ่นกระบอก นิทานหุ่น กระดาษ นิทานเชือก นิทานผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น และในขณะที่เล่าอาจจะมีดนตรีให้สนุกสนานยิ่งขึ้น สื่อหรือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบช่วยให้ผู้ฟังเกิดรูปธรรมชัดเจนยิ่งขึ้น สื่อนิทานช่วยกระตุ้นเร้า ความสนใจของผู้ฟัง ให้เกิดความสนใจนิทานมากด้วย ดังนั้นผู้เล่านิทานประกอบสื่อ ผู้เล่าเองจะต้อง เตรียมผลิตสื่อจัดหาสื่อให้ พร้อม และทดลองการใช้สื่อเพื่อความเหมาะสมทางการเล่านิทานด้วยสื่อ นอกจากนี้นักเล่านิทานด้วยสื่อที่ดี จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องพัฒนาปรับปรุงสื่อให้เหมาะสมและดียิ่งขึ้น


27 วไลพร เมฆไตรรัตน์ (2549: 222-223 อ้างใน นภัสวรรณ สิงหพล, 2565: 14-15) กล่าวว่ารูปแบบของการเล่านิทานมี ดังนี้ 1. อ่านจากหนังสือนิทานโดยตรง 2. การเล่านิทานประกอบสื่อและอุปกรณ์ เช่น หุ่นเชือก ผ้าเช็ดหน้า ฯลฯ 3. การเล่าโดยใช้หุ่นสวมหัวหรือหน้ากาก 4. การเล่าปากเปล่าโดยใช้น้ำเสียง ลีลาท่าทางประกอบการเล่า 5. การเล่าโดยใช้เสียงเพลงหรือเสียงดนตรีประกอบ 6. การเล่าโดยการฉายสไลด์ประกอบ 7. การเล่าประกอบแผ่นป้ายสำลี 8. การเล่าประกอบการพับ หรือฉีกกระดาษ 9. การเล่านิทานประกอบการวาดภาพ 10. การเล่าโดยใช้เทปนิทาน 11. การเล่าโดยใช้นิ้วมือ/มือประกอบใช้สำหรับนิทานเรื่องสั้นหรือกลอนสั้นๆ ระกา เอี่ยมสุธี (2557: 26) กล่าวว่า การเล่านิทานมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การเล่านิทานด้วยปากเปล่า การเล่านิทานประกอบท่าทาง การเล่านิทานประกอบภาพ การเล่านิทาน ประกอบเสียง การเล่านิทานแบบวาดไปเล่าไป และการเล่านิทานประกอบอุปกรณ์หรือสิ่งประดิษฐ์ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นความสนใจของเด็ก ศรัญญา พิมเสน (2562: 24) กล่าวว่า รูปแบบการเล่านิทานมีดังนี้การเล่านิทานแบบ ปากเปล่า นิทานที่เล่าโดยใช้สื่ออุปกรณ์ใน ขณะที่เล่า การเล่านิทานประกอบ การเล่านิทานประกอบภาพ นิทานวาดไปเล่าไป นิทานพับกระดาษและ ฉีกกระดาษ การเล่านิทานประกอบเส้นเชือก นภัสวรรณ สิงหพล (2565: 15) กล่าวว่า รูปแบบของการเล่านิทานนั้นมีหลายรูปแบบ เช่น การเล่านิทานปากเปล่า การเล่า ประกอบท่าทาง การเล่าไปวาดไป การเล่านิทานประกอบเสียง การเล่า นิทานประกอบอุปกรณ์ สรุปได้ว่า รูปแบบของการเล่านิทาน มีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับวิธีการเล่า ได้แก่ การอ่านนิทานให้เด็กฟัง การเล่านิทานแบบปากเปล่า การเล่านิทานโดยร้องเพลงประกอบ การเล่านิทานโดย ใช้ภาพประกอบ การเล่านิทานทานโดยใช้สื่อใกล้ตัว การเล่านิทานโดยใช้ศิลปะ (เล่าไปพับไป, เล่าไปตัดไป, วาดไปเล่าไป) การเล่านิทานโดยใช้หุ่นประกอบ การเล่านิทานโดยใช้นิ้วมือประกอบ และ การเล่านิทาน โดยใช้คนจริง (บทบาทสมมติ)


28 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5.1 วิจัยในประเทศ นภัสวรรณ สิงหพล (2565, ก) ได้ศึกษา การส่งเสริมพฤติกรรมความกล้าแสดงออก ผ่านการเล่านิทานของเด็ก ระดับชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนแจ้งวิทยา การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา พฤติกรรมความกล้าแสดงออกในเด็กชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนแจ้งวิทยา ผ่านกิจกรรมการเล่านิทาน ประชากรที่ ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้น อนุบาลปีที่ 3/2 ประจำปีการศึกษา 2565 โรงเรียนแจ้งวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา จำนวน 35 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 ประจำปีการศึกษา 2565 โรงเรียนแจ้งวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา จำนวน 15 คนได้มาโดย การเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) แผนการจัดประสบการณ์กิจกรรม การเล่านิทาน 2) หนังสือนิทานที่มีเนื้อหาเป็นรูปภาพประกอบคำบรรยาย จำนวน 4 เรื่อง ได้แก่ ช้างน้อยคอย ได้กระต่ายน้อยรู้จักปรับตัว หนูนิดเด็กดีไม่ดื้อรั้น เพื่อนรักในป่าใหญ่ 3) แบบสังเกตพฤติกรรมความกล้า แสดงออกของเด็กปฐมวัย ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมการเล่า นิทานหน้าชั้นเรียน 4 สัปดาห์ การวิเคราะห์ ข้อมูลทำได้โดยการวิเคราะห์หาค่าร้อยละ และการ วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (̅ ) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. พฤติกรรมการกล้าแสดงออกมากขึ้นคิดเป็นร้อยละดังนี้ สัปดาห์ที่ 1 คิดเป็น ร้อยละ 37.83 สัปดาห์ที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 51 สัปดาห์ที่ 3 คิดเป็นร้อยละ 71.33 และ สัปดาห์ที่ 4 คิดเป็น ร้อยละ 90.67 2. พฤติกรรมการกล้าแสดงออกมากขึ้นมีค่าเฉลี่ยดังนี้ สัปดาห์ที่ 1 ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 22.7 สัปดาห์ที่ 2 ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 30.6 สัปดาห์ที่ 3 ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 42.8 และสัปดาห์ที่ 4 ค่าเฉลี่ยเท่ากับ54.4 แสดงให้เห็นว่าหลังจากมีการใช้กิจกรรมการเล่านิทานหน้าชั้นเรียน ทำให้นักเรียน มีความกล้า แสดงออกเพิ่มมากขึ้น ศรัญญา พิมเสน (2562: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ การพัฒนาความคิด สร้างสรรค์โดยการเล่านิทานแบบเล่าไปวาดไป ระดับชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนบ้านคลองนามิตรภาพที่201 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานีเขต 1 ผลการวิจัยพบว่า 1.การเปรียบเทียบความ แตกต่างระหว่างพฤติกรรมก่อนการจัดประสบการณ์และหลังการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์โดยการเล่านิทาน แบบเล่าไปวาดไปของเด็กปฐมวัย ที่ผู้วิจัยได้สร้างและพัฒนาขึ้นพบว่าคะแนนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 โดยคะแนนเฉลี่ยหลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์


29 2. ประสิทธิภาพของแผนการจัดประสบการณ์กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ปฐมวัย ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 ตัวแรก (E1) รวมทั้ง 5 แผนการจัดกิจกรรม เท่ากับ 91.25 ส่วนประสิทธิภาพ ของแผนการจัดประสบการณ์กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัย ตามเกณฑ์ มาตรฐาน 80 ตัวหลัง (E2) เท่ากับ 87.10 5.2 วิจัยในต่างประเทศ ดิกสัน จอห์นสัน และซอลซ์ (Dixon, Johnson; & salts. 1977: 367-379 อ้างใน นฤมล จิ๋วแพ,2549: 17) ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมให้กับเด็กอนุบาล อายุ 3 - 4 ปีที่โรงเรียนใน เมืองดีทรอยด์ เด็กในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 146 คน แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มแรก เล่านิทานให้ฟัง แล้วให้เด็กแสดง บทบาทประกอบตามเรื่อง กลุ่มที่สอง เล่านิทานให้ฟังพร้อมพาไปดูของจริงนอกสถานที่ เช่น ไปซื้อของ ไปสวน สัตว์ กลุ่มที่สนทนากับเด็กเกี่ยวกับเรื่องที่เล่าให้ฟัง กลุมที่สี่เป็นกลุ่มควบคุม ผลการทดลองปรากฏว่าถ้าเด็กได้ แสดงบทบาทเลียนแบบตัวละครในเรื่องไปด้วยจะพัฒนาจิตลักษณะต่าง ๆ ได้ดีที่สุดแสดงว่าเมื่อเด็กฟังนิทาน แล้วเด็กย่อมมีความต้องการที่จะเลียนแบบตัวละครที่ตัวชอบหรือตัวละครที่ได้รับความสำเร็จจากพฤติกรรม นั้นๆนอกจากนี้ยังพบว่า เนื้อหานิทานถ้าเป็นเรื่องไกลความจริง เช่น เทพนิยาย จะให้ผลดีต่อจิตลักษณะของ เด็กดีกว่านิทานที่มีเนื้อหาใกล้ชีวิตเด็กจริงๆ ซิมป์สัน (Simpson. 1989: 3262-A อ้างใน นภัสวรรณ สิงหพล, 2565: 23) ได้ศึกษา ลักษณะภาษาพูดของเด็กปฐมวัย 4 ปีที่ได้รับ การจัดประสบการณ์การเล่านิทานแบบเล่าซ้ำ ๆ ผลการวิจัย พบว่าการเล่าเรื่องซ้ำ ๆ ช่วยส่งเสริม ความสามารถด้านการสื่อสารมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ ช่วยให้ เด็กพัฒนาความสามารถในการ ถ่ายทอดภาษาให้ชัดเจนละเอียดลออครอบคลุมความหมายที่ต้องการสื่อให้ ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจ ซึ่ง ความสามารถนี้วัดได้เป็นจำนวนคำต่อประโยค (Length of a T-Unit) ไม่ได้วัด ปริมาณคำ ศิลปะแบบร่วมมือ การนำเสนอเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมศิลปะแบบร่วมมือ ผู้วิจัยได้แบ่งการนำเสนอออกเป็น 4 หัวข้อ คือ 1) ความหมายของกิจกรรมศิลปะแบบร่วมมือ 2) ความสำคัญของศิลปะแบบร่วมมือ 3) ประเภทของ ศิลปะแบบร่วมมือ และ 4) แนวทางการจัดกิจกรรมศิลปะแบบร่วมมือสำหรับเด็กปฐมวัย มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ความหมายของกิจกรรมศิลปะแบบร่วมมือ จันทนี บุญคลัง (2542: 48, อ้างใน จิราภรณ์ แจ่มใส 2568:15) ให้ความหมายของศิลปะ แบบร่วมมือว่าหมายถึงกิจกรรมศิลปะที่ครูจัดขึ้นเพื่อให้เด็กได้ทำงานร่วมกัน กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์นั้น ได้แก่ การวาดภาพระบายสี เล่นสี การพิมพ์ภาพ การตัด ฉีก ปะ การปั้น การประดิษฐ์เศษวัสดุ เพื่อมุ่งฝึก


30 กล้ามเนื้อประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา ฝึกให้เด็กมีความอดทน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความรับผิดชอบ รู้จักชื่น ชมความสวยงาม พัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ วิธีการจัดกิจกรรมประเภทนี้ทำได้โดยจัดเด็กเป็น กลุ่มประมาณ 2-4 คน ให้เด็กทำนและคิดคนเดียวหลังจากนั้นครูจะให้เด็กจับคู่กันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้ ประสบการณ์ ช่วยกันแก้ปัญหา และรับผิดชอบการทำงานร่วมกันในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายให้ สำเร็จและจบลงด้วยการออกมานําเสนอผลงานหน้าชั้นหรือระหว่างกลุ่ม จิราภรณ์ แจ่มใส (2558: 18) กล่าวว่า ความหมายของศิลปะแบบร่วมมือว่า เป็นกิจกรรม ศิลปะที่ครูตระเตรียมอุปกรณ์ให้และแบ่งเด็กออกเป็นกลุ่มละ 3 - 5 คน ในการทำการทำกิจกรรมประเภท ปั้น ฉีก ปะ ติด ประดิษฐ์เศษวัสดุ เพื่อให้เด็กได้มีโอกาส แลกเปลี่ยนเรียนรู้ แสดงความคิดเห็น ช่วยเหลือกันและ กันในการแก้ปัญหาและรับผิดชอบงานที่ ได้รับมอบหมายร่วมกัน ส่วนความสำคัญของศิลปะแบบร่วมมือทำให้ เด็กปฐมวัยเกิดพัฒนาการ ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา พัฒนาเด็กเป็น รายบุคคลและราย กลุ่มทำให้เด็กเกิดพฤติกรรมความร่วมมือ มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และยอมรับ ความคิดเห็นที่แตกต่าง ซึ่งเป็นทักษะทางสังคมที่จะช่วยให้เด็กอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ได้อย่างมีความสุข บุษบา ดวงจันทร์ทิพย์ (2558: 38) กล่าวว่า ศิลปะแบบร่วมมือหมายถึง กิจกรรมทางด้าน ศิลปะต่าง ๆ ที่ครูเป็นผู้จัดเตรียมกิจกรรม เช่น การวาคภาพ การเล่นสี การปั้น การพิมพ์กาพ การตัด ที่ให้เด็ก มีโอกาสเลือกทำกิจกรรมร่ามกันกับเพื่อนเป็นกลุ่มย่อย ประมาณ 2 - 5 คน เด็กทุกคนต้องร่วมกันคิด มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รับผิดชอบและร่วมกันสร้างงานให้สำเร็จร่วมกัน ตุลา แฉ่งฉายา (2559: 38) กล่าวว่า เป็นการทำงานเป็นกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนความคิด แสดงความคิดเห็นกันภายในกลุ่ม ได้ฝึกความกล้าที่จะแสดงออกอย่างถูกต้อง ใช้เหตุผล รู้ จักขอมรับเหตุผล ของเพื่อน รู้จักการช่วยเหลือแบ่งปันซึ่งกันและกัน รับผิดชอบร่วมกัน และทำให้สมาชิกภายในกลุ่มเกิดการ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เป็นการเปิดโอกาสตนเองได้เรียนรู้ความคิด รูปแบบ หรือสภาพแวดล้อมที่ต่างไป ซึ่งนั้น จะเป็นประสบการณ์ที่ดีในการทำงาน และสามารถเป็นประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมได้ดี สรุปได้ว่า ศิลปะแบบร่วมมือหมายถึง การทำงานศิลปะแบบกลุ่มที่สมาชิกทุกคนในกลุ่ม ร่วมมือร่วมใจกันทำงานตามเป้าหมาย หรืองานที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ โดยสมาชิกทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วม และหน้าที่ในการทำงานศิลปะชิ้นนั้นๆ 2. ความสำคัญของศิลปะแบบร่วมมือ สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต (2539, อ้างใน บุษบา ดวงจันทร์ทิพย์, 2558: 39) กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนเป็นตัวทำนายที่ดีต่อการปรับตัวของบุคคลทั้งในด้านจิตใจ และสังคม กล่าวคือ ผู้ที่ มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเพื่อนมักจะมีปัญหาในการปรับตัวในอนาคต


31 รัตนวดีรอดภิรมย์(2542, อ้างใน บุษบา ดวงจันทร์ทิพย์, 2558: 39-40) กล่าวว่า ความสำคัญของศิลปะแบบร่วมมือ มีดังนี้ 1. การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ก่อให้เกิดพัฒนาการทางความรู้และการคิดสูงขึ้น มีแรงจูงใจเนื่องจากทุกคนมีโอกาสประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้ 2. ใด้รับความคิดเห็นหลากหลายจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันจาก ปัญหาใหม่ จากหลาย ๆ ความคิดเห็นและเลือกแนวทางในการแก้ปัญหา 3. รู้สึกสบายใจสนุกสนานได้แสดงออกอย่างอิสระ เด็กพึงพอใจในการที่จะเรียนรู้ ความคิดของตนเองจะพบการช่วยเหลือในการทำงาน ขณะเดียวกันเด็กก็สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของ ตนเอง กับผู้อื่นด้วย 4. พัฒนาทักษะความเป็นผู้นำมีความสามารถในการเข้าสังคม 5. มีความเสมอภากในการทำกิจกรรมแม้ว่าจะมีความแตกต่างกันทางด้านต่าง ๆ 6. ส่งเสริมให้เด็กเห็ นคุณค่าของคนเองและมีความภาคภูมิใจในตนเองเพราะช่วยกัน แก้ไขปัญหาของกลุ่ม 7. ได้มีการเรียนรู้ภายในกลุ่มพร้อมกันูรู้จักแบ่งบทบาทหน้าที่และแก้ปัญหาร่วมกัน 8. ช่วยเหลือกันภายในกลุ่มและให้ความใว้วางใจกัน มุ่งให้งานบรรลุเป้าหมายจนเกิด ความรู้สึกว่างานของคนคืองานของกลุ่ม 9. มีประสบการณ์ร่วมกันในกลุ่มซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่น ในสังคมแวดล้อมอย่างมีความสุข 10. มีทักษะในการสื่อสาร การอภิปราย การใช้ภาย 11. มีความคิดสร้างสรรค์กล้าแสดงออก มีความคิดเป็นตัวของตัวเองไม่ ลอกเลียนแบบมีความเชื่อมั่นในตนเองและกล้าตัดสินใจ 12. ส่งเสริมให้เป็นคนมีเหตุผลรู้จักสังเกต 13. ให้ผลทางด้านจิตวิทยาคือ เด็กรู้สึกว่าได้รับการยอมรับในความสามารถของ ตนเองรู้จักการควบคุมอารมณ์ลดอกติและความลำเอียงยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น 14. ยอมรับวัฒนธรรมประเพณีของบุกคลอื่นและยอมรับความเดกต่างระหว่างบุคคล


32 จันทนี บุญคลัง (2542: 49-50 อ้างใน จิราภรณ์ แจ่มใส, 2558: 17) ได้กล่าวถึง ความสำคัญของศิลปะแบบร่วมมือว่า 1. การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ก่อให้เกิดพัฒนาการทางความรู้และการคิดสูงขึ้น มี แรงจูงใจ เนื่องจากทุกคนมีโอกาสประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ 2. ได้รับความคิดเห็นหลากหลาย จากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน จากปัญหาใหม่ จากหลายๆ ความคิดเห็นและเลือกแนวทางในการแก้ปัญหา 3. รู้สึกสบายใจ สนุกสนาน ได้แสดงออกอย่างอิสระ เด็กพึงพอใจในการที่จะเรียนรู้ ความคิดของตนเอง จะพบการช่วยเหลือในการทำงาน ขณะเดียวกันเด็กก็สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ของตนเองกับผู้อื่นด้วย 4. พัฒนาทักษะความเป็นผู้นํา มีความสามารถในการเข้าสังคม 5. มีความเสมอภาคในการทำกิจกรรม แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันทางด้านต่าง ๆ 6. ส่งเสริมให้เด็กได้เห็นคุณค่าของตนเอง และมีความภาคภูมิในในตนเอง เพราะ ช่วยกันแก้ปัญหาของกลุ่ม 7. ได้มีการเรียนรู้ภายในกลุ่ม พร้อมทั้งรู้จักแบ่งบทบาทหน้าที่และแก้ปัญหาร่วมกัน 8. ช่วยเหลือกันภายในกลุ่ม และให้ความไว้วางใจกัน มุ่งให้งานบรรลุเป้าหมาย จนเกิด ความรู้สึกว่างานของตนคืองานกลุ่ม 9. มีประสบการณ์ร่วมกันในกลุ่มจะมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นใน สังคมแวดล้อมอย่างมีความสุข 10. มีทักษะทางการสื่อสาร การอภิปราย การใช้ภาษา 11. มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าแสดงออก มีความคิดเป็นตัวของตัวเองมีความคิดที่จะ มาลอกเลียนแบบใคร มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าตัดสินใจ 12. ส่งเสริมให้เป็นคนมีเหตุผล รู้จักสังเกต 13. ให้ผลทางด้านจิตวิทยา คือ เด็กรู้สึกว่าได้รับการยอมรับในความสามารถของ ตนเอง รู้จักควบคุมอารมณ์ ลดอคติและความลำเอียง ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น 14. ยอมรับวัฒนธรรมประเพณีของบุคคลอื่น และยอมรับความแตกต่างระหว่าง บุคคล


33 บุษบา ดวงจันทร์ทิพย์ (2558: 40) กล่าวว่า การจัดศิลปะแบบร่วมมือให้เด็กปฐมวัยนั้น มีความสำคัญต่อการพัฒนาเด็กทุกค้าน ส่งเสริมการพัฒนาต่อเด็กรายบุคคลและกลุ่มทำให้เกิดพฤดิกรรม การร่วมมือ การมีปฏิสัมพันธ์ การยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น การยอมรับจากเพื่อนรู้จักการทำงานร่วมกับ ผู้อื่น ได้แสดงความสามารถของตนให้ผู้อื่นขอมรับตามที่ต้องการ ซึ่งเป็นผลดีต่อการพัฒนาส่งเสริมความรู้สึกที่ ดีต่อตนเองและรู้จักปรับตัวเข้าหาผู้อื่น สรุปได้ว่า การทำงานศิลปะแบบร่วมมือ มีความสำคัญคือช่วยให้เด็กมีโอกาสแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และพัฒนาในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และจิตใจ ทำให้เด็กเกิดพฤติกรรมการร่วมมือ ยอมรับ ความเห็นต่าง และสามารถปรับตัวกับผู้อื่นได้ง่ายขึ้น ขั้นตอนการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้จัดประสบการณ์การเล่านิทานเสริมด้วย ศิลปะแบบร่วมมือ โดยสร้างขั้นตอนในการจัดปรสบการณ์การเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ มีทั้งหมด 3 ขั้นตอน ซึ่งผู้วิจัยได้ประยุกต์ใช้ในขั้นการสอนของกระทรวงศึกษาธิการ (กระทรวงศึกษาธิการ คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้, 2543: 22) มีขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นนำ 1.1 ครูและเด็กร่วมกันร้องเพลง 1.2 ครูและเด็กสร้างข้อตกลงร่วมกัน 2. ขั้นสอน 2.1 ครูเล่านิทานประกอบหนังสือภาพ 2.2 ครูและเด็กสนทนาเกี่ยวกับเนื้อหาในนิทาน 2.3 ครูให้เด็กเข้ากลุ่ม กลุ่มละ 4 คน เพื่อทำงานศิลปะ 2.4 ขณะที่เด็กทำกิจกรรมครูคอยให้คำแนะนำ หรือให้ความช่วยเหลือเมื่อเด็กต้องการ และคอยสังเกตพฤติกรรมการทำงานของเด็ก 2.5 เมื่อทำงานเสร็จแล้ว เด็กช่วยกันเก็บอุปกรณ์ 3. ขั้นสรุป 3.1 ครูให้เด็กแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน 3.2 ครูและเด็กร่วมกันสรุปกิจกรรม


34 ขั้นที่ 1 ขั้นนำ 1.1 ครูและเด็กร่วมกันร้องเพลง 1.2 ครูและเด็กสร้างข้อตกลงร่วมกัน 2.1 ครูเล่านิทานประกอบหนังสือภาพ 2.2 ครูและเด็กสนทนาเกี่ยวกับเนื้อหาในนิทาน 2.3 ครูให้เด็กเข้ากลุ่ม กลุ่มละ 4 คน เพื่อทำงานศิลปะ 2.4 ขณะที่เด็กทำกิจกรรมครูคอยให้คำแนะนำ หรือให้ความ ช่วยเหลือเมื่อเด็กต้องการ และคอยสังเกตพฤติกรรมการทำงาน ของเด็ก 2.5 เมื่อทำงานเสร็จแล้ว เด็กช่วยกันเก็บอุปกรณ์ ขั้นที่ 2 ขั้นสอน ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป 3.1 ครูให้เด็กแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน 3.2 ครูและเด็กร่วมกันสรุปกิจกรรม ภาพที่ 2 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ กิจกรรมศิลปะ แบบร่วมมือ


35 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลัง ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ ผู้วิจัยได้นำเสนอวิธีการดำเนินการวิจัยตาม หัวข้อ ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย 2. แบบแผนการทดลอง 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. สถิติที่ใช้ในการวิจัย ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย 1. ประชากร เด็กปฐมวัยชาย - หญิง ที่มีอายุระหว่าง 5 - 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนบ้านกุดผึ้ง อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู จำนวน 8 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง เด็กปฐมวัยชาย - หญิง ที่มีอายุระหว่าง 5 - 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนบ้านกุดผึ้ง อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู จำนวน 8 คน ซึ่งได้มาโดยเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)


36 แบบแผนการวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีแบบแผนการวิจัย (Experimental Design) กลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการ จัดกิจกรรม (One Group Pretest – Posttest Design) (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540: 60 - 62) ดังแสดงในตารางที่ 1 ดังนี้ ตารางที่ 1 แบบแผนการวิจัย ก่อน ทดลอง หลัง 2 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง 1 แทน การประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ก่อนการจัดกิจกรรมเล่านิทาน เสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ แทน การจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ 2 แทน การประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ก่อนการจัดกิจกรรมเล่านิทาน เสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ 2. แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ดังนี้ 1. การสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ 1.1 ศึกษาเอกสารคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 (อายุ 3 – 6 ปี) ของกระทรวงศึกษาธิการ 1.2 ศึกษาแนวคิดทฤษฎี เอกสาร เอกสารและตำราที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเล่า นิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ


37 1.3 ดำเนินการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ จำนวน 18 แผน โดยมีระยะเวลาในการจัดกิจกรรม 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน ทุกวันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ โดยใช้เวลาวันละ 40 นาที ในกิจกรรมเสริมประสบการณ์และกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 เนื้อหาสาระที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ สัปดาห์ ชื่อหน่วย วัน ชื่อนิทาน 1 กลางวัน กลางคืน วันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ 1. กลางวัน กลางคืน 2. ดวงดาว ดวงเดือน 3. หนูไม่อยากนอน 2 ลอยกระทง วันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ 1. วันลอยกระทง 2. กระทงสุขสันต์ 3. ลอย ลอยกระทง 3 เศรฐกิจพอเพียง วันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ 1. พอเพียง เพียงพอ 2. บ้านพอเพียง 3. ครอบครัวพอเพียง 4 ฤดูหนาว วันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ 1. ฤดูหนาว 2. มนุษย์หิมะ 3. หนูนิด หนาวจัง 5 ผีเสื้อแสนสวย วันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ 1. หนอนผีเสื้อ 2. ผีเสื้อแสนสวย 3. ผีเสื้อสามตัว 6 เทคโนโลยีและการสื่อสาร วันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ 1. หุ่นยนต์เพื่อนรัก 2. คิดถึงจัง 3. เพื่อนทางไกล


38 1.4 นำแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ เสนอต่อ อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย เพื่อปรับปรุงแก้ไข 1.5 นำแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ เสนอผู้เชี่ยวชาญด้าน ปฐมวัยจำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสม 1.6 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ ตามข้อ สนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ 1.7 นำแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปทดลองกับเด็กที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย (Try out) แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข 1.8 นำแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ ที่ได้ทดลอง (Try out) มาปรับปรุงเกี่ยวกับเวลา สื่อ แล้วพิมพ์เป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย โดยขั้นตอนการ สร้างแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามลำดับ ดัง แสดงในภาพที่ 3


39 ศึกษาเอกสารคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 (อายุ 3 – 6 ปี) ของกระทรวงศึกษาธิการ ศึกษาแนวคิดทฤษฎี เอกสาร เอกสารและตำราที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะ แบบร่วมมือ ดำเนินการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ จำนวน 18 แผน โดยมีระยะเวลาในการจัดกิจกรรม 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน ทุกวันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ โดยใช้เวลา วันละ 40 นาที ในกิจกรรมเสริมประสบการณ์และกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ นำแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย เพื่อปรับปรุงแก้ไข นำแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย เสนอผู้เชี่ยวชาญด้านปฐมวัย จำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา นำแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ เสนอผู้เชี่ยวชาญด้านปฐมวัยจำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสม แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองกับ เด็กที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย (Try out) แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข นำแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ ที่ได้ทดลอง (Try out) มาปรับปรุง เกี่ยวกับเวลา สื่อ แล้วพิมพ์เป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย โดยขั้นตอนการสร้างแผน การจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ ภาพที่ 3 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ


40 2. การสร้างและหาคุณภาพของแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ผู้วิจัยดำเนินการสร้างและหาคุณภาพของแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ดังนี้ 2.1 ศึกษาเอกสารคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 (อายุ 3 – 6 ปี) ของกระทรวงศึกษาธิการ 2.2 ศึกษาแนวคิดทฤษฎี เอกสาร เอกสารและตำราที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย 2.3 ผู้วิจัยสร้างแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นแบบ ประมาณค่า (Rating Scale) ทั้ง 3 ด้าน ด้านละ 3 ข้อ รวมทั้งหมด 9 ข้อ ดังนี้ 2.3.1 ด้านการจดจ่อใส่ใจ จำนวน 3 ข้อ 2.3.2 ด้านการริเริ่มลงมือทำ จำนวน 3 ข้อ 2.3.3 การวางแผนและจัดระบบดำเนินการ จำนวน 3 ข้อ 2.4 นำเสนอแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยให้อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย 2.5 แบบสังเกตพฤติกรรมทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) โดยมี เกณฑ์การพิจารณาให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย มีความเหมาะสมและสอดคล้อง ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย มีความเหมาะสมและสอดคล้อง ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ไม่มีความเหมาะสมและไม่สอดคล้อง 2.6 นำผลการประเมินของผู้เชียวชาญวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบ ประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย โดยค่า IOC ซึ่งมีค่าเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ 2.7 นำแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย (Try out) จำนวน 50 คน แล้วนำคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์ หาค่าอำนาจจำแนกมีค่าอยู่ ระหว่าง 0.32 – 0.54 และนำไปหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสังเกตทั้งฉบับ โดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.74 2.8 นำแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ที่ผ่านการหาคุณภาพแล้ว ไปจัดพิมพ์เป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย


Click to View FlipBook Version