ศาสนาของโลก
Internet @ GameOnline
ศาสนา
ความหมายของศาสนา
“ศาสนา” เปน็ ศัพท์ในภาษาสันสกฤต บาลีใชว้ ่า สาสนา แปลวา่ คาสง่ั สอน ยอ่ มมีในทุก
ศาสนาในฝ่ายตะวันตก คาว่าศาสนาตามความหมายกวา้ ง ๆ คือ ความเช่ือในสิ่งศักดิส์ ทิ ธิ์ซง่ึ
มีอานาจอยู่เหนือสิ่งธรรมชาติ จะเรยี กว่าพระเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้ากแ็ ล้วแต่ ซ่งึ พระองค์
ทรงปกครองและควบคุมโลกพรอ้ มทงั้ มวลมนุษยชาติดว้ ยทิพยอ์ านาจ มนุษย์มหี นา้ ที่เปน็
พันธกรณี จะต้องมีความเช่ือ ความศรัทธาเคารพบูชาพระองค์และคาสงั่ สอนของพระองค์
ดว้ ยความเกรงกลวั และด้วยความจงรักภักดี รบั ใช้พระองค์ดว้ ยการประพฤตปิ ฏิบตั ิตาม
หลักคาสง่ั สอนอย่างเครง่ ครัด นอกจากนี้คาวา่ ศาสนาอาจจะยังมีความหมายอ่นื ๆ อกี แต่
จะไมน่ ามากล่าวในทน่ี ่ี จะกล่าวเฉพาะในความหมายว่าคาสงั่ สอนเทา่ นน้ั ส่วนประวัตขิ อง
ศาสนาหากนบั รวมเอาศาสนาท้ังหมดท่ีมอี ยใู่ นโลกน้ี ซ่งึ บางศาสนากส็ ูญหายไปแลว้
ไมส่ ามารถช้ลี งไปไดว้ า่ ศาสนาเกิดข้ึนในโลกน้ตี ั้งแตเ่ มื่อไร ท่านศาสตราจารย์ พระยา
อนุมานราชธน ราชบัณฑิตได้กลา่ วไว้ในหนังสือศาสนาเปรียบเทียบภาค ๑ วา่ “มนษุ ยไ์ มว่ ่า
ในชาตใิ ด ภาษาใดจะเป็นมนุษย์ชาวป่า ชาวเขาชาวบา้ น หรอื ชาวเมือง ก็เปน็ คนมีศาสนา
แทบทั้งนัน้ และศาสนาทคี่ นเหล่าน้นั นับถือย่อมจะมกี าหนดไวใ้ หแ้ ลว้ ต้งั แตเ่ กดิ มา พ่อ แม่
ปู่ ย่า ตา ยาย เคยนับถอื ศาสนาอะไรลกู ท่ีเกิดมาในครอบครัวก็นบั ถอื ศาสนาไปตามนน้ั แต่
คาสงั่ สอนเหลา่ นัน้ จะเป็นศาสนาหรือจะเปน็ เพยี งลทั ธคิ วามเชือ่ เทา่ นั้น ข้นึ อยูก่ บั
องค์ประกอบเหล่าน้ี
๑. เป็นคาสง่ั สอนทปี่ ระกอบด้วยความเชื่อถือ
๒. เปน็ คาสั่งสอนทว่ี ่าด้วยศีลธรรมจรรยา พรอ้ มทั้งผลของการปฏิบตั ิตาม
๓. เป็นคาสงั่ สอนทม่ี ผี ตู้ ง้ั หรือมีศาสดา
๔. เปน็ คาสั่งสอนที่มีศาสนทายาทสืบทอดกันมา
๕. เปน็ คาสั่งสอนทกี่ วดขันในเรอื่ งจงรกั ภกั ดี นบั ถือศาสนาน้ีแลว้ จะหันไปนบั ถือศาสนาอื่น
ไม่ได้
๖. เป็นคาสง่ั สอนทีม่ ศี าสนิกมากพอสมควร
สมเดจ็ พระญาณวโรดม กล่าวไว้ในหนังสือศาสนาต่าง ๆ ว่าคาสง่ั สอนทเ่ี รียกวา่ ศาสนาต้อง
ประกอบดว้ ยองค์ประกอบ ๖ ประการนี้ ถา้ มีไมค่ รบจะเรียกวา่ ลัทธบิ า้ ง โอวาทบ้าง ส่วน
~1~
รายละเอียดของแตล่ ะศาสนาเริม่ ต้นจากศาสนาพุทธ ศาสนาอสิ ลาม ศาสนาครสิ ต์ ศาสนา
พราหมณ์ – ฮนิ ดู และศาสนาซกิ ข์ ตามลาดบั ประเทศไทยเปดิ กว้างและใหส้ ิทธใิ นการนบั
ถอื ศาสนามาตง้ั แต่อดีตกาลโดยการนบั ถือธรรมชาตผิ สี าง เทวดา และบรรพบรุ ุษ มาต้งั แต่
สมัยก่อนประวตั ศิ าสตร์ ปรากฏหลักฐานราวพทุ ธศตวรรษที่ ๓หลงั จากการสงั คายนา
พระไตรปิฎกครัง้ ท่ี ๓ พระเจา้ อโศกมหาราช ทรงส่งสมณทูตไปเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา
ยงั ดินแดนต่าง ๆ ๙ สาย รวมถงึ ดินแดนสุวรรณภูมิ ซ่งึ เช่ือว่าคอื ดนิ แดนเอเชียตะวนั ออก
เฉียงใต้ อันเป็นสว่ นหนง่ึ ของไทยในปัจจุบนั จนกระทง่ั ปรากฏหลักฐานชดั เจนวา่
พระพุทธศาสนาได้ประดษิ ฐานอย่างมั่นคงในดนิ แดนประเทศไทยสมยั ทวารวดี และเป็น
ศาสนาหลกั สบื ต่อเน่ืองมาจนปจั จบุ นั อยา่ งไรก็ดี ปรากฏหลักฐานว่าศาสนาพราหมณ์ –
ฮนิ ดู ได้เผยแผม่ าพร้อม ๆ กับพระพุทธศาสนาและเป็นศาสนาทีเ่ จริญรุ่งเรอื งควบค่มู ากบั
พระพุทธศาสนา ส่วนความเช่ือดัง้ เดมิ กผ็ สมผสานกับความเชื่อในพระพุทธศาสนา ต่อมา
ศาสนาอิสลาม ครสิ ต์ ซิกข์ ได้เผยแผเ่ ขา้ มาภายหลัง ผคู้ นส่วนหนึง่ ก็ได้ยอมรับนบั ถอื ใน
ศาสนาดงั กล่าว ดังปรากฏในปัจจบุ นั
๑. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ความรศู้ าสนาเบ้อื งต้น. กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พ์ชุมนุม
สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั . พิมพ์ครงั้ ที่ ๒, ๒๕๕๗.
๒. กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม. ศาสนาในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พช์ มุ นมุ
สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๓, ๒๕๖๑.
พระพทุ ธศาสนา
~2~
ความหมายของพระพุทธศาสนา
“พระพทุ ธศาสนา” คอื คาสง่ั สอนของพระพุทธเจา้ ครั้งพุทธกาล เมอื่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้
พระพุทธศาสนายังไม่ถอื กาเนิดขึ้น จนอีกสองเดือนต่อมาเมื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนาครง้ั
แรก (ธมั มจักกัปปวตั ตนสตู ร)จงึ ทาใหเ้ กิดพระพุทธศาสนาข้ึน และมผี ูฟ้ ัง หรือสาวก
(“สาวก” แปลวา่ ผู้ฟัง ผฟู้ งั คาสัง่ สอน ศิษย์ คาคกู่ บั “สาวิกา” คือ ผู้ฟังหรือศิษย์ฝ่ายหญิง)
กับหม่ชู นท่นี ับถือพระพุทธศาสนา เรียกอกี ช่ือหนึ่งวา่ พุทธบรษิ ทั มี ๔ ชนดิ คือ ภิกษุ
ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อบุ าสิกา ซง่ึ เมอ่ื ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาแล้วก็นาไปปฏบิ ัตติ าม ต่อมาเมื่อมี
ผู้ฟังและผู้ปฏิบัติตามคาสง่ั สอนของพระพทุ ธเจ้าเป็นจานวนมาก ก็มกี ารจดั ตั้งเป็นชมุ ชน
เปน็ สถาบนั เปน็ องค์กรเพอ่ื รับผดิ ชอบดูแลการเรียนและการปฏบิ ตั ิ ตลอดจนมี ศาสนพิธี
ศาสนวตั ถุ ศาสนสถาน และกิจการต่าง ๆความหมายของพระพุทธศาสนาจึงขยายกว้าง
ออกไปครอบคลุมส่ิงตา่ ง ๆ เหล่านีด้ ว้ ย
ความเป็ นมาของพระพุทธศาสนา
ศาสนาพุทธเกิดขน้ึ ในชมพูทวีปซงึ่ ในปจั จบุ นั เป็นดินแดนของประเทศอินเดยี เนปาล
อัฟกานิสถาน
ปากสี ถาน และบงั คลาเทศ แตห่ ลักฐานทางโบราณคดีส่วนใหญ่อยทู่ ปี่ ระเทศอินเดยี เชน่
สังเวชนยี สถานและพุทธสถานตา่ ง ๆ ความเป็นมาของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
~3~
คมั ภีรท์ างพระพทุ ธศาสนาระบุว่า เมือ่ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๓ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๕ หลงั จาก
สงั คายนาพระธรรมวินัยครง้ั ท่ี ๓ พระเจา้ อโศกมหาราชไดท้ รงสง่ สมณทูตไปเผยแผ่
พระพทุ ธศาสนายังดินแดนต่าง ๆรวม ๙ สายดว้ ยกัน ในสว่ นของประเทศไทยเชือ่ กันว่ามี
คณะของสมณทตู ซ่ึงมีพระโสณเถระภาพจิตรกรรมฝาผนังเลา่ เรอ่ื งพุทธประวัติตอน
พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดพุทธบรษิ ัทของวัดราชสทิ ธาราม เขตบางกอกใหญ่
กรงุ เทพมหานครและพระอุตตรเถระเป็นหัวหนา้ คณะเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นคร้งั
แรกและอาจมีคณะสมณทูตชดุ อ่นื ๆ เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกาลต่อ ๆ มา ดงั
ปรากฏหลกั ฐานทางโบราณคดีทง้ั ท่ีเปน็ โบราณสถานและโบราณวตั ถวุ า่ พระพุทธศาสนาได้
เข้ามาเผยแผใ่ นดนิ แดนสุวรรณภูมิ ตั้งแตร่ าวพุทธศตวรรษที่ ๘ – ๙ และประดษิ ฐานอย่าง
มน่ั คงเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ทงั้ ฝา่ ยเถรวาทและฝ่ายมหายาน ซง่ึ ดนิ แดสุวรรณภมู เิ ชื่อ
กนั วา่ คือดนิ แดนในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้บริเวณประเทศไทยแลประเทศพมา่ ในปัจจบุ นั
จึงทาให้คนไทยโดยเฉพาะพระมหากษัตรยิ ไ์ ทยยอมรับนบั ถือพระพุทธศาสนาสืบทอดมา
จนถึงปจั จบุ ันเร่ืองคนไทยกบั พทุ ธศาสนาและพุทธศาสนาในประเทศไทยน้นั ได้ความตาม
ตานานพระพทุ ธเจดยี ์พระนิพนธ์ของสมเดจ็ กรมพระยาดารงราชานุภาพว่า คนไทยได้นบั
ถือพระพุทธศาสนามาก่อนทจ่ี ะอพยพมาต้ังประเทศไทยในปจั จุบนั น้แี ล้ว ซ่ึงเรอ่ื งนี้พระศรีวิ
สทุ ธิโมลี (ประยุท ป.ธ.๙) ปัจจบุ นั พระพรหมคุณาภรณ์)ได้สรุปไวใ้ นคาบรรยาย เรอ่ื ง พุทธ
ศาสนากบั การศึกษาในอดีต ว่ากอ่ นท่ีชนชาตไิ ทยจะไดต้ ้ังอาณาจักร
เป็นประเทศไทยเปน็ ปกึ แผ่นม่นั คง ซึง่ ถอื วา่ เริ่มแต่การตั้งอาณาจักรสโุ ขทัยน้นั ชนชาตไิ ทย
ในภูมิภาคสุวรรณภูมคิ ลุมไปถึงรัฐไทยตา่ ง ๆ ในดนิ แดนตงั้ แตท่ างตอนใตข้ อประเทศจีนน้ัน
ได้รับนับถือพระพุทธศาสนามาแลว้ ท้งั สองนิกาย คอื ยคุ แรก ไดร้ ับนบั ถือพุทธศาสนานิกาย
มหายาน ผ่านทางประเทศจีน สมยั พระเจา้ มงิ่ ต่ี ในตอนตน้
พุทธศตวรรษที่ ๗ รัชสมัยของขนุ หลวงเมา้ แห่งอาณาจกั รอา้ ยลาวยคุ ที่สอง แยกออกเป็น
๒ ระยะ คือระยะแรก สมยั อาณาจกั รศรวี ชิ ัยรงุ่ เรอื ง ราวพทุ ธศักราช ๑๓๐๐ กษตั รยิ แ์ หง่
อาณาจักรศรวี ิชัย
ผูน้ ับถอื พระพทุ ธศาสนานิกายมหายาน มเี มืองหลวงอยู่ที่เกาะสุมาตรา ไดแ้ ผ่อานาจเขา้
มาถงึ แหลมมลายูได้ดินแดนต้ังแตจ่ ังหวดั สุราษฎรธ์ านี ลงไปไว้ครอบครองพระพุทธศาสนา
นิกายมหายานจึงแผเ่ ข้ามาในภาคใต้ของประเทศไทยระยะท่ี ๒ ในสมัยลพบรุ ี เมอื่ ขอมเรือง
~4~
อานาจแผอ่ าณาเขตเข้ามาครอบครองประเทศไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง
ทง้ั หมด ในราวพุทธศกั ราช ๑๕๕๐พระพุทธศาสนาแบบมหายานซ่งึ ขอมรับมาจาก
อาณาจักรศรีวิชัยเช่นกนั แตว่ ่าเจอื ด้วยศาสนาพราหมณ์ จึงแผเ่ ขา้ มาในดินแดนแถบนี้
พรอ้ มด้วยภาษาสนั สกฤต แต่ว่าดนิ แดนทีข่ อมแผ่อาณาเขตเขา้ มาน้นั เดิมทปี ระชาชน
พลเมอื งก็ไดร้ บั นับถือพระพทุ ธศาสนาแบบหินยานอยู่แลว้ แตส่ มยั ท่พี ระโสณะ และพระ
อุตตระ ศาสนทูตสายท่ี ๒ ใน ๙ สาย ของพระเจ้าอโศกมหาราช
นาเขา้ มาสดู่ ินแดนสุวรรณภูมิ ในสมยั ทราวดี ในพุทธศตวรรษที่ ๓ยคุ ที่สาม สมยั พระเจ้าอนุ
รุทธมหาราช หรืออโนรธามังช่อ กษตั ริย์พม่าแห่งอาณาจักรพุกามแผ่อานาจเข้ามาในอาณา
เขตลานนาและล้านชา้ ง ราวพทุ ธศกั ราช ๑๖๐๐ พระพทุ ธศาสนานกิ ายหินยานแบบพุกาม
จงึ ไดแ้ ผเ่ ขา้ มาในดินแดนแถบนพ้ี ระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย เริม่ นับถือแบบหนิ ยานลัทธิ
ลังกาวงศ์อย่างจรงิ จงั ในรชั สมัยของพอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช เมอ่ื พุทธศกั ราช ๑,๘๒๐
เป็นตน้ มา กลา่ วคือเม่ือพ่อขุนได้ขน้ึ ครองราชย์พระองค์ไดท้ รงสดบั กิตติศัพท์ พระสงฆ์ทไี่ ป
ศกึ ษาทีป่ ระเทศลงั กา กลับมาส่งั สอนอยูท่ ่ีเมืองนครศรีธรรมราช
มีความรอบรู้พระธรรมวินยั และมวี ตั รปฏิบัตนิ ่าเลอ่ื มใส จึงได้อาราธนาจากเมือง
นครศรธี รรมราช ข้นึ มาตัง้ สานักและเผยแพร่คาสอน ณ กรุงสุโขทยั เรยี กช่อื ตาม
แหล่งท่มี าวา่ ลังกาวงศ์ พระสงฆใ์ นลทั ธิลังกาวงศ์ที่พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช อาราธนา
จากเมืองนครศรีธรรมราชมาตง้ั สานกั ในกรุงสุโขทัยน้ีพ่อขุนรามคาแหงมหาราชทรง
เลอื่ มใสศรัทธ อยา่ งแรงกล้ามากและโดยท่ีพระสงฆ์คณะ น้ีชอบความวเิ วกจึงโปรดใหอ้ ยู่ ณ
วดั อรัญญิก นอกเมือง และพระองค์ได้เสดจ็ ไปนมสั การท่านเป็นประจาทุกวันกลางเดือน
และส้นิ เดือนสรุปพทุ ธศาสนากบั คนไทย โดยเฉพาะชนเผ่าไทยในสวุ รรณภมู หิ รือในสยาม
ประเทศ ปรากฏว่าคนไทย
นบั ถอื พระพุทธศาสนามาทง้ั ๒ นิกาย คือท้ังมหายาน และหินยาน ก่อนสมัยสุโขทัยดจู ะนับ
ถอื ปะปนกนั
ทั้ง ๒ นกิ าย แถมมศี าสนาพราหมณเ์ ข้ามาระคนด้วย ท่ีเป็นดงั น้ี เพราะชนชาติไทยได้ร่วม
สังคมกบั ชนชาติขอม ซึง่ เป็นใหญอ่ ยูใ่ นภมู ภิ าคน้ีมาก่อน และแมส้ มยั ไทยสถาปนา
ราชอาณาจักรไทยเอกราชขน้ึ ณ กรุงสโุ ขทัยแล้วก็ตามยุคต้นๆ ของสมัยน้ันก็ยังมีการนับถือ
พทุ ธปะปนกันอยู่ ๒ นิกายเช่นกัน ทงั้ นรี้ วมท้ังอาณาจกั รลานนาไทยซึ่งเป็นอาณาจกั รอสิ ระ
~5~
ของไทยตอนเหนืออาณาจกั รหนง่ึ ซงึ่ เกดิ ขนึ้ ในยคุ เดียวกบั อาณาจักรสโุ ขทัย และเปน็
พนั ธมิตรสนิทสนมกับอาณาจักรสโุ ขทัย ก็มลี กั ษณะเชน่ น้นั พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเปน็
ศาสนาหลกั ของชาวทวารวดีพบหลกั ฐานด้านศลิ ปกรรมส่วนใหญ่สร้างข้นึ เน่ืองใน
พระพุทธศาสนาฝา่ ยเถรวาท ได้แก่ประติมากรรมรปู เคารพและจารกึ คาถา “เย ธมมฺ า”
ภาษาบาลีเป็นภาษาในการเขียนคัมภรี ์ทางพระพทุ ธศาสนาฝา่ ยเถรวาทท้ังที่แตง่ ขน้ึ ใน
อินเดียใต้และลงั กาอนงึ่ ในการเขยี นคัมภีรท์ างพระพุทธศาสนาฝา่ ยมหายานและศาสนา
พราหมณ-์ ฮนิ ดู ใช้ภาษาสันสกฤตอาจกล่าวไดว้ ่าในดนิ แดนประเทศไทยนบั ต้ังแต่ศตวรรษท่ี
๑๑ เปน็ ตน้ มาพระพุทธศาสนาทัง้ เถรวาทและมหายานเจริญรุง่ เรอื งสืบเนื่องมาตามลาดับ
โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาเถรวาทไดป้ ระดิษฐานอย่างมัน่ คง
เปน็ ศาสนาหลกั ของบา้ นเมอื งเนื่องมาในสมยั สุโขทยั พระสงฆฝ์ ่ายเถรวาทในสมัยสุโขทัย
สมยั อยุธยา และสมยั รัตนโกสินทร์ตอนต้นแบง่ ออกเปน็ ฝ่ายคามวาสีคือพระที่อยู่ในเมือง
หรอื ใกล้เคียงและฝา่ ยอรญั วาสีหรอื พระป่า นอกจากน้ยี งั มีพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาท รามญั
นิกายซึง่ เปน็ พระมอญ และพระสงฆฝ์ ่ายมหายานทงั้ จีนนิกายและอนัมนกิ ายด้วย
ต่อมาเมือ่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑) ทรงตงั้ คณะ
ธรรมยตุ กิ นกิ ายข้นึ คณะสงฆ์ท่ีมีอย่เู ดิม เรียกวา่ ฝา่ ยมหานกิ ายพระมหากษตั ริยาธิราช
เจ้าของชาวไทยทุกพระองค์ทรงเปน็ พทุ ธมามกะในเวลาเดียวกนั ทรงเป็นอัครศาสนปู ถมั ภก
ศาสนาตา่ ง ๆ ในพระราชอาณาเขตให้เจริญวฒั นาเป็นศูนย์รวมใจและเปน็ ที่พ่งึ ของอาณา
ประชาราษฎรท์ ุกยุคทุกสมยั ตราบปจั จุบัน
ในประเทศไทยมีองค์การทางพระพุทธศาสนาทก่ี รมการศาสนาใหก้ ารสนับสนุน ดงั น้ี
๑. องค์การพุทธศาสนกิ สัมพันธแ์ ห่งโลก (พ.ส.ล.)
๒. พทุ ธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชปู ถัมภ์
๓. ยวุ พุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชปู ถัมภ์
๔. สภายวุ พุทธกิ สมาคมแห่งชาติ
๕. เปรยี ญธรรมสมาคมแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์
๖. มลู นธิ ภิ ูมพิ โลภิกขุ
๗. องคก์ รเครือข่ายภาคราชการและภาคประชาสงั คม ๘๔ องค์กร
คมั ภีร์ หลกั ความเช่ือ หลกั ธรรมคาสอน
~6~
คมั ภีร์
คมั ภีรท์ างพระพทุ ธศาสนา เรียกว่า พระไตรปิฎก มี ๓ หมวด คือ
๑. พระวินยั ปิฎก วา่ ดว้ ยวินัยหรือศีลของภกิ ษุ ภิกษณุ ี อบุ าสกและอุบาสกิ า
๒. พระสุตตนั ตปฎิ ก วา่ ดว้ ยคาสอนทม่ี ีเรื่องราวเกีย่ วกับบคุ คล สถานท่ี เหตกุ ารณ์ประกอบ
หรือเรยี กว่า “ชาดก”
๓. พระอภธิ มั มปฎิ ก วา่ ด้วยสภาวะธรรมล้วน ๆ เกยี่ วกบั จติ เจตสกิ รปู และนพิ พาน เป็น
ธรรมลึกซึ้งในทางพระพุทธศาสนา
หลกั ความเชื่อ
๑. เชอื่ กรรม กรรม คือการกระทาเป็นคากลาง ๆ ทาดีเรยี กวา่ “กศุ ลกรรม” ทาไม่ดีเรยี กว่า
“อกุศลกรรม”
แบง่ เป็น ๓ ทาง คือทางกาย ทางวาจา และทางใจ
๒. เช่อื ผลแห่งกรรม พระพุทธศาสนาสอนวา่ การกระทาทกุ อยา่ งไมว่ า่ ทางกาย ทางวาจา
หรอื ทางใจ
ย่อมมผี ลตดิ ตามมา ทาดีไดผ้ ลดี ทาชัว่ ไดผ้ ลชวั่ คนจะไดด้ ีหรือไดช้ ว่ั เป็นเพราะตวั เป็นผู้
กระทา
๓. เชอ่ื วา่ ทกุ คนมีกรรมเปน็ ของตนเอง พระพุทธศาสนาสอนวา่ ผลแห่งกรรมเปน็ สมบตั ิ
เฉพาะตัว
ใครทาคนนั้นได้ จะแบ่งปันเผื่อแผ่กันไม่ได้ ผลแหง่ กรรมจะยงั คงดารงอยู่จนกวา่ จะให้ผล
เสรจ็ เรยี บร้อยแล้วเป็นอโหสกิ รรมแล้วจงึ จะยตุ ิ
กฎแห่งกรรมเปน็ กฎธรรมชาตทิ พ่ี ระพทุ ธเจ้าทรงคน้ พบเป็นสง่ิ ทมี่ ีอยู่จรงิ กฎแห่งกรรมใน
พระพุทธศาสนา
ตรงกับกฎของนิวตนั คือ กฎกิรยิ า (Action) และปฏิกริ ยิ า (Reaction) ซึ่งเปน็ กฎทางด้าน
วัตถกุ รรมทเี่ ราทาก็เหมือนกนั ถา้ ทากรรมดี ผลตอบสนองก็เป็นกรรมดี ถา้ ทากรรมไมด่ ี
ผลตอบสนองก็เป็นเร่ืองไมด่ ี
หลกั ธรรมคาสัง่ สอน
๑. หวั ใจของพระพุทธศาสนา พระธรรมคาสง่ั สอนในพระพุทธศาสนาแม้จะมีเป็นจานวน
มากแต่เพ่ือใหง้ ่าย
~7~
ตอ่ ความเขา้ ใจและความจา สรปุ ได้ ๓ หลักการ คือ
๑.๑ ห้ามไมใ่ ห้กระทาความช่วั ทกุ ชนิดทง้ั กาย วาจา และใจ
๑.๒ ให้กระทาความดที กุ อยา่ งทง้ั ทางกาย วาจา และใจ
๑.๓ ชาระจิตใหบ้ รสิ ทุ ธ์ิ เพราะจติ บริสทุ ธจ์ิ ะทาใหก้ ายและวาจาบริสทุ ธ์ดิ ว้ ย
๒. คณุ ธรรม ความดงี ามท่ีเกิดจากการประพฤติดี ปฏิบัตชิ อบตามหลกั พระธรรมคาสั่งสอน
ในพระพุทธศาสนาทาใหผ้ ้ปู ระพฤตปิ ฏบิ ัติมีความเหน็ ท่ีถูกต้อง
๓. จริยธรรม เปน็ หลกั ปฏิบตั ิเพ่ืออย่รู ว่ มกนั ในสังคมอยา่ งเป็นสุข เชน่ ความไม่เบียดเบยี น
กนั การช่วยเหลือเผื่อแผ่ตอ่ กนั ผสู้ ืบทอดศาสนาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดบั ขันธ์
ปรินิพพานไมน่ านนักพระอานนท์มหาเถระผู้เป็นพุทธอปุ ฏั ฐานคือ ผู้ถวายการดูแล
พระพุทธเจ้าไดท้ ูลถามพระพุทธองคว์ ่า เม่ือพระองค์เสดจ็ ดับขนั ธปรินิพพานแลว้ จะมอบ
ภาระ
การดูแลพระพุทธศาสนาไว้ให้กบั ใคร พระพทุ ธเจา้ ตรัสวา่ ให้เป็นภาระของพุทธบรษิ ัท ๔ คือ
๑. พระภกิ ษุ คือ นักบวชชาย
๒. พระภิกษณุ ี คือ นักบวชหญิง
๓. อบุ าสก คอื ผูน้ บั ถือพระพุทธศาสนาชายท่ไี ม่ใชพ่ ระภิกษุ
๔. อบุ าสิกา คือ ผนู้ บั ถือพระพุทธศาสนาหญงิ ที่ไม่ใช่พระภิกษณุ ี
บคุ คลเหล่านจ้ี ะเป็นผรู้ ับภาระหน้าที่ในการดูแลรกั ษาพระพุทธศาสนาเปน็ พุทธศาสน
ทายาท คือ ผู้สบื ทอดอายุ
พระพทุ ธศาสนาต่อไป สว่ นคาถามทีว่ า่ ใครจะมาเป็นพระศาสดาแทนพระองค์น้ัน ผู้ท่ีจะมา
เป็นพระบรมศาสดาแทนพระองค์ไม่มี เนื่องจากความเปน็ พุทธะหรือพระศาสดานัน้
พระองค์ได้มาดว้ ยพระบุญญาบารมขี องพระองคเ์ อง จะมอบให้คนใดคนหนึ่งไม่ได้ แต่ได้
ตรสั ไว้ว่า พระธรรมวินยั หรือพระธรรมคาสง่ั สอนที่พระองค์ตรสั รมู้ ามีความสมบรู ณ์
ครบถว้ นทุกประการ และไดต้ รัสบอกกับพุทธบริษัทครบถ้วนทกุ ประการแล้ว
พระธรรมคาสั่งสอนทั้งหมดน้ันจะเปน็ พระบรมศาสดาแทนพระองค์ ขอให้พทุ ธบริษัทหม่ัน
เพยี รศึกษาประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามอย่าได้ประมาท
ขอ้ พึงปฏิบตั ิของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนามีข้อปฏิบตั ิที่พุทธศาสนิกชนจะนาไปประพฤตปิ ฏิบัติในชีวติ ประจาวัน ดงั น้ี
~8~
๑. การบูชาพระประจาวนั ธรรมดาชาวพุทธยอ่ มมีชีวติ จิตใจเนื่องด้วยพระรตั นตรยั มีพระ
รตั นตรัย
เปน็ ทพี่ ึง่ ทรี่ ะลึกในการดาเนนิ ชีวิตประจาวนั เพอื่ ใหต้ นมคี วามประพฤตดิ ีประพฤติชอบ มี
ความเจริญรุ่งเรอื งก้าวหน้าปราศจากภยั อันตรายต่าง ๆ และอยเู่ ยน็ เป็นสุข จงึ นยิ มเคารพ
สกั การบชู าพระรัตนตรยั เปน็ ประจา
วันละ ๒ คร้ัง เป็นอยา่ งน้อย คอื
๑) ตอนเช้า กอ่ นออกจากบา้ นไปประกอบภารกิจการงานทุกวนั เวลาเชา้ กอ่ นออกจากบา้ น
เมื่อแต่งกายเรยี บร้อยแล้ว ชาวพทุ ธทั้งหลายผู้เคร่งต่อศาสนาย่อมนิยมเข้าห้องพระหรือไปที่
บชู าพระแลว้ น่ังคุกเข่า จดุ เคร่ืองสักการบชู าพระ คอื ๑) จุดเทยี นเลม่ ขวาของพระพทุ ธรปู
ก่อน แลว้ จุดเทยี นเล่มซ้าย
๒) จดุ ธูป ๓ ดอก แลว้ ปกั ทก่ี ระถางธปู แลว้ กราบพระรัตนตรยั แบบเบญจางคประดิษฐ์
(คอื ท้ังหน้าผาก ฝ่ามือท้ังสองและหวั เข่าท้งั สองลงจรดพ้นื ) ๓ ครงั้ แล้วประณมมือกล่าวคา
บูชาพระรัตนตรยั ต่อไป
๒) ตอนกลางคนื ก่อนนอนพักผอ่ นชาวพทุ ธจะนยิ มสวดมนต์เปน็ ภารกจิ สุดท้ายประจาวัน
โดยจดุ เครอ่ื งสกั การบชู าพระรัตนตรัย แล้วกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ประณมมือกล่าว
คาบูชาพระรัตนตรยั แล้วน่ังพับเพียบประณมมือ ต้งั ใจสวดบทไตรสรณคมน์ บทสรรเสริญ
พระพทุ ธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณแลว้ แผเ่ มตตา เพือ่ ต้ังความปรารถนาดใี ห้
สิ่งมชี ีวิตทกุ ชนดิ มีความสุข ปราศจากทุกข์ ไมม่ เี วร ไมค่ ับแค้นใจ รกั ษาตนใหพ้ ้นจากทุกข์
ภัยท้ังปวง นอกจากน้ันยัง นิยมสักการบูชาพระรตั นตรัยเป็นกรณพี ิเศษอีก ๒ คราว คือ
คราวเกิดความไม่สบายใจและคราวจะตัดสินใจเรื่องสาคัญ
๒. การทาบุญใส่บาตร และการกรวดนาอุทิศส่วนกุศล
๒.๑ การทาบุญใส่บาตร ในแตล่ ะวนั พทุ ธศาสนิกชนมีหน้าทที่ าบุญใสบ่ าตร เพ่ือทานุ
บารงุ รักษาพระพุทธศาสนาไว้ เนือ่ งจากพระสงฆ์เปน็ พุทธบุตร เป็นผูค้ วรสักการะ และเป็น
เนอื้ นาบญุ ของโลกท่ไี ม่มีนาบุญอนื่ ย่งิ กว่าจะดารงชีพอยู่ได้กต็ ้องอาศัยความอุปถัมภ์จาก
ญาติโยมโดยการถวายอาหารและปจั จยั อน่ื การใสบ่ าตรเป็นการถวายภัตตาหารเชา้ แก่
พระสงฆ์ซ่งึ อยใู่ นพระธรรมวนิ ัยท่หี ้ามพระฉนั อาหารหลังเท่ียงวัน เพราะฉะน้ัน การใส่บาตร
มักจะเร่ิมต้ังแตร่ ุ่งอรุณถงึ เวลาประมาณ ๘ นาฬิกาของแตล่ ะวนั ใหแ้ ก่พระภกิ ษุ สามเณรที่
~9~
ออกบิณฑบาตภัตตาหารท่ีถวายเปน็ อาหารคาวหวานที่มีความบริสุทธ์ิ คือ ไดม้ าโดยสุจรติ
ถวายด้วยเจตนาอนั เปน็ กุศลผู้ถวายอาหารมีการสารวมกิรยิ าทกุ ประการ เชน่ การแต่งกาย
เรยี บร้อย กรยิ าอ่อนน้อมดว้ ยความเคารพไม่ชวนพระสงฆ์ผู้รับบิณฑบาตพูดคุยหรือสนทนา
เมือ่ ใสบ่ าตรแลว้ ผถู้ วายพงึ ประณมมอื แสดงความเคารพ
พรอ้ มอธิษฐานขอพรตามความตง้ั ใจปรารถนา พระสงฆ์กจ็ ะรบั บณิ ฑบาตดว้ ยกริ ยิ าสารวม
แลว้ จากไปหรอื อาจให้พรเปน็ ภาษาบาลแี ก่ผู้ใสบ่ าตรกอ่ นจากไป หากพระสงฆใ์ ห้พร ผูใ้ ส่
บาตรพึงประณมมอื รับพรจนจบ
๒.๒ การกรวดนาอุทิศส่วนกุศล เป็นพิธที างศาสนาอย่างหน่ึงทป่ี ฏบิ ตั ริ ่วมกบั พธิ ีบุญตา่ ง ๆ
เช่นทาหลังจากการทาบุญใส่บาตร หลงั จากเสร็จพิธีงานมงคล (เช่น งานมงคลสมรส งาน
ทาบุญขน้ึ บ้านใหม่ งานวนั เกิด)และภายหลงั พิธีงานอวมงคล (เช่น พิธศี พ งานทาบุญหลงั
พธิ ีเผาศพแลว้ ๗ วัน ๑๐๐ วนั ใหแ้ กผ่ ู้วายชนม์)สาหรบั พธิ ีกรวดนา้ ทาโดยผกู้ รวดนา้ รนิ น้า
จากภาชนะใสน่ ้าท่ีเหมาะสม หรือจากท่ีกรวดน้าทีจ่ ดั ไว้โดยเฉพาะลงทร่ี องนา้ ขณะท่ี
พระสงฆก์ ลา่ วให้พรเปน็ ภาษาบาลีดว้ ยบท “ยถา วารวิ หา.........” ดว้ ยการนึกถึง และ
อธษิ ฐานส่วนบุญกุศลใหแ้ ก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้ว หรอื เจ้ากรรมนายเวร น้าตอ้ งรนิ ให้หมด
เม่อื พระสงฆส์ วดบท “สัพพี ติโย......”แล้วผูก้ รวดนา้ พงึ ประณมมือรับพรจนสนิ้ สุดการสวด
ใหพ้ ร เปน็ อนั เสร็จพธิ ี
๓. การรักษาศีล การปฏิบตั ิสมถะและวปิ ัสสนาในชีวติ ประจาวนั
~ 10 ~
๓.๑ การสมาทานศีล หมายถึงการรบั เอาศลี มาปฏิบัติ หรอื การถือศีล ซึ่งมีท้งั การสมาทาน
ศลี ๕และการสมาทานศีล ๘ (อุโบสถศีล)
ศีลหา้ เป็นศีลประจาตัวของอุบาสกอบุ าสิกา เป็นศลี ท่ีพงึ รกั ษาเปน็ ประจา จึงเรียกอีกช่อื ว่า
“นิจศลี ” โดยมุ่งควบคุมกาย และวาจาใหล้ ะเว้นสิ่งไมด่ ี ๕ ประการ คือ
(๑) ละเว้นจากการฆา่ สัตว์
(๒) ละเว้นจากการลกั ทรัพย์
(๓) ละเวน้ จากการประพฤติผิดในกาม
(๔) ละเวน้ จากการพูดเทจ็
(๕) ละเว้นจากการด่ืมนา้ เมา
ศลี ห้านบั เปน็ การจดั ระเบยี บสังคมขั้นพ้นื ฐานซงึ่ จะเป็นหลักประกันวา่ แต่ละคนจะไดใ้ ช้ชีวติ
หรือทาความดอี น่ื ให้ก้าวหนา้ ย่ิงขน้ึ ได้อยา่ งสะดวกศลี ๘ (อุโบสถศลี ) ประกอบด้วยข้อ
ปฏบิ ัติ ๘ ประการ ได้แก่
(๑) ละเวน้ จากการฆ่าสัตว์
(๒) ละเวน้ จากการลักทรัพย์
(๓) ละเวน้ จากการประพฤตผิ ิดในกาม
(๔) ละเว้นจากการพูดเท็จ
(๕) ละเว้นจากการด่มื นา้ เมา
(๖) ละเว้นจากการรบั ประทานอาหารยามวิกาล (นับแตเ่ วลาเท่ียงแลว้ เปน็ ต้นไป)
(๗) ละเว้นจากการใชเ้ คร่ืองหอม เคร่ืองประดบั
(๘) ละเว้นจากการนอนบนท่ีนอนอันสงู ใหญ่ (หรือท่ีปดุ ้วยท่ีนอนอันหนาน่มุ )
๓.๒ การปฏิบตั ิสมถะและวปิ ัสสนา สมถะและวปิ ัสสนาเปน็ ๒ วธิ ี ของภาวนา
ภาวนา แปลว่า “การทาให้มีข้ึน เป็นข้ึน หรอื การเจริญ” เมอ่ื ใชใ้ นความหมายของธรรมะ
คือ การฝึกอบรมจิตใจ แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คอื
๑) สมถภาวนา คอื การฝึกอบรมจติ ให้เกิดความสงบ หรอื การฝกึ สมาธิ
๒) วปิ ัสสนาภาวนา คือ การฝึกอบรมเจริญปญั ญาให้เกิดความรู้แจง้ ชดั สิ่งทงั้ หลาย
ตามความเป็นจรงิ หรือเรยี กส้ันๆ วา่ “การเจริญปญั ญา” ในคมั ภรี ส์ มยั หลงั บางทีเรียก
ภาวนาวา่ “กรรมฐาน”
~ 11 ~
ซ่ึงแปลวา่ ที่ตัง้ แหง่ งานทาความเพยี รฝกึ อบรมจติ จึงเกิดคาเรียกวา่ “สมถกรรมฐาน” และ
“วิปัสสนากรรมฐาน”
การปฏบิ ัตสิ มถะหรอื สมาธใิ นชวี ติ ประจาวัน มกั นยิ มทาตอนเช้า หรอื ก่อนนอนหลังจากการ
บชู าพระและการสวดมนตป์ ระจาวนั เพราะสมถะตอ้ งการบรรยากาศที่สงบและต่อเน่ือง
โดยอาจจะฝกึ ปฏิบัติน้อยไปหามากเช่น เรม่ิ จาก ๓ นาที ๕ นาที จนเมื่อชานาญกจ็ ะปฏบิ ัติ
วันละครึง่ ช่ัวโมง หรือหน่ึงชั่วโมง การปฏบิ ตั ทิ าโดยหลังจากสวดมนต์เสรจ็ ก็น่งั ขดั สมาธิ
หรอื ผทู้ ่ไี ม่ถนดั หรือมีปัญหาทางสุขภาพจะน่ังเก้าอี้ก็ได้ แลว้ กาหนดอารมณ์ใดอารมณห์ นงึ่
ให้จิตนิ่ง มคี วามเปน็ หนงึ่ ในการพจิ ารณาอารมณ์น้นั ท่ีใช้กันมาก คือ พทุ ธานุสติ การตาม
ระลกึ ถึงคุณของพระพุทธเจ้า โดยกาหนดเวลาหายใจเขา้ ว่า “พทุ ” เวลาหายใจออกวา่
“โธ” อกี วธิ ีหน่งึ ทีใ่ ชก้ ันมาก คอื อานาปานสติการตามระลึกกาหนดลมหายใจเข้าออก โดย
กาหนดจุดตรงหน้าท้อง หายใจเขา้ วา่ “พองหนอ” หายใจออกวา่
“ยบุ หนอ” เมอื่ ฝกึ สมถะเปน็ ประจาสมา่ เสมอ ตอ่ ไปในชวี ิตประจาวนั เวลาทาการงาน ผนู้ ้นั
จะรวู้ า่ ใจมสี มาธิมีความม่ันคงมากข้นึ ไม่วอกแวกฟุ้งซา่ นมากเหมือนกบั คนทไ่ี มไ่ ด้ฝึกสมถะ
การปฏิบตั วิ ปิ ัสสนาในชีวิตประจาวนั จะปฏิบัตทิ ่ีไหนเมอื่ ไรกไ็ ด้ ขอให้ฝกึ พิจารณาให้เกดิ
ปัญญารเู้ ท่าทันสง่ิ ทัง้ หลายทั้งปวงไม่ว่าวัตถสุ ่งิ ของ (รูป) และความคิดนกึ การรูอ้ ารมณ์ใด ๆ
~ 12 ~
(นาม) ในทางทวาร(ประตู) ทง้ั ๖ ของรา่ งกายเรา คือ ตา หู จมูก ลิน้ กาย และใจ ไมว่ ่าจะ
เป็นการเหน็ ได้ยนิ ได้กลิ่น ลิ้มรส
ถกู ต้องสมั ผสั และจติ ใจท่คี ิดนกึ ทง้ั รปู และนามทุกทวารล้วนแตม่ คี วามเกิดขน้ึ ตง้ั อยู่
ช่วั คราว แล้วก็ดับไปตกอยใู่ ต้กฎไตรลกั ษณ์ หรอื สามัญลกั ษณะ ๓ อย่าง คือ อนิจจงั ทุกขงั
อนตั ตา ดงั กล่าวในตอนต้นแลว้ นนั้ เมอื่ มีสติพิจารณาเช่นนไี้ ด้เนอื ง ๆ กจ็ ะเปน็ ผู้รู้เทา่ ทนั
ความจรงิ ของสิ่งท้งั หลายทัง้ ปวง ซึ่งความรู้น้ี เรียกวา่ “ปญั ญา”อนั ทาให้รู้จกั ปล่อยวาง ไม่
ยึดม่ันมากนัก ใจก็เปน็ อสิ ระและปลอดพ้นจากความทุกขไ์ ด้มากขน้ึ เป็นลาดับ
สรปุ การรักษาศลี การปฏิบัติสมถะและวปิ สั สนา คือ การปฏบิ ัตไิ ตรสิกขา ศลี สมาธิ และ
ปญั ญาหรือเจรญิ มรรคมีองค์ ๘ ในชวี ิตประจาวนั ของแตล่ ะคน ทาใหล้ ดทุกข์ และอยเู่ ป็น
สขุ ไดม้ ากขึ้นตามสัดส่วนที่เราเอาใจใสป่ ฏิบัติ ได้มากน้อยแคไ่ หน
๑. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ความร้ศู าสนาเบอ้ื งตน้ . กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั . พมิ พค์ รั้งที่ ๒, ๒๕๕๗.
๒. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ศาสนาในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั . พิมพค์ ร้งั ที่ ๓, ๒๕๖๑.
๓. กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม. กรมการศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์
ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด, ๒๕๕๑.
๔. กรมการศาสนา และอนุกรรมการสง่ เสรมิ กจิ การศาสนาและศาสนกิ สัมพันธ์
คณะกรรมาธกิ ารการศาสนา คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ศิลปะและวฒั นธรรม วฒุ สิ ภา. วิถชี วี ติ ๕
ศาสนกิ ในประเทศไทย.กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัท ราไทยเพรส จากดั . พิมพ์ครง้ั ท่ี ๕,
๒๕๖๑.
~ 13 ~
ศาสนาคริสต์
ความสาคัญของศาสนา
ศาสนาทาให้มนุษย์อยรู่ ว่ มกันอย่างสงบสขุ เพราะทุกศาสนาล้วนมุง่ หวังให้ศาสนกิ ชนของ
ตนเปน็ คนดี และเม่ือศาสนิกชนเปน็ คนดแี ล้ว สังคมก็ย่อมจะปราศจากความเดือดร้อน
ศาสนาช่วยให้มนษุ ย์รูว้ ่า...สง่ิ ใดชว่ั ...ถูกผดิ ในศาสนาคริสต์สอนว่าพระเจา้ ทรงประทาน
ศลี ธรรมประจาใจมนุษย์ ให้มนุษย์รู้จักดีชว่ั
มนุษยจ์ งึ จาเปน็ ต้องมีศาสนาเป็นแนวทางในการดาเนนิ ชีวิตเพ่อื เลือกกระทาแต่ส่ิงท่ีเปน็ คุณ
งามความดี
ความหมายของศาสนา
~ 14 ~
คาว่า “ศาสนา” ตรงกบั คาในภาษาอังกฤษที่มาจากภาษาลาตนิ อกี ทีหน่งึ ซงึ่ แปลว่า
“ความสัมพันธ์”หรือ “ผูกพัน” หมายถึง ความสัมพันธร์ ะหว่างมนษุ ย์กบั พระเจ้า ตรงกบั คา
ภาษาบาลี “สาสนา” แปลวา่ คาสงั่ สอน
“คาสั่ง” หมายถงึ ข้อหา้ มทาความชว่ั ท่ีเรยี กว่าวนิ ยั และเปน็ “คาสอน” หมายถงึ คาแนะ
นาให้ทาความดีทเี่ รียกธรรมะ รวมเรยี กว่า ศลี ธรรม
ความเป็นมาของศาสนาคริสตศ์ าสนาคริสต์มตี น้ กาเนิดในเอเชียตะวันตก (อิสราเอลใน
ปัจจบุ ัน) และแผ่ขยายไปตามทวีปตา่ ง ๆ ท่ัวโลกในเอเชียตะวนั ออกไกลนน้ั ครสิ ต์ศาสนาได้
ถูกนามาเผยแพร่โดยคณะผ้สู อนศาสนา (Missionary) ทีต่ ิดตามมาพรอ้ มกบั การคา้ ขายการ
ลา่ อาณานิคม เพ่ือเหตผุ ลบางประการในทางการเมืองและการปกครองในแถบเอเชีย
ตะวันออกเฉยี งใต้ ได้แก่ โปรตเุ กส สเปน และเนเธอร์แลนด์ โปรตเุ กสและสเปนไดน้ าเอา
คริสต์ศาสนามาเผยแผบ่ รเิ วณลานโบสถ์ของอาสนวิหารแม่พระปฏสิ นธินริ มล จงั หวัด
จนั ทบุรใี ห้กับดินแดนที่เข้าครอบครองมากท่สี ุด ทาให้ประเทศที่เดิมเคยถูกสเปนและ
โปรตุเกสปกครองมานัน้ มผี ู้นบั ถือครสิ ต์ศาสนามาก และมวี ัตถุก่อสรา้ งโบราณซงึ่ เป็นโบสถ์
และศาสนสถานหลงเหลือเปน็ ร่องรอยของประวตั ิศาสตร์เหลา่ นน้ั มากมาย เช่น ใน
ฟิลิปปินส์ มาเก๊า ติมอร์ ฯลฯ นอกจากนน้ั ในสมัยต่อมาฝรั่งเศสก็ไดเ้ ดนิ ทางมาหาอาณา
นิคมในดนิ แดนแถบนี้ดว้ ยจนได้เวยี ดนาม กัมพชู า และลาวเปน็ เมอื งขน้ึ นอกจากน้ฝี รง่ั เศส
ยังไดน้ าครสิ ต์ศาสนา (นกิ ายโรมนั คาทอลกิ ) ไปเผยแพรใ่ นโปรตเุ กสและสเปน แต่ไม่ได้รบั
การตอ้ นรบั เทา่ ไรนัก มผี นู้ บั ถือไม่มากเหมอื นดินแดนท่ีเคยอยใู่ นการปกครองของโปรตเุ กส
และสเปนความเป็ นมาของศาสนาคริสตใ์ นประเทศไทยศาสนาครสิ ตเ์ ขา้ มาในประเทศไทย
ตง้ั แตค่ รสิ ต์ศตวรรษท่ี ๑๖ เริ่มแรกคือศาสนาครสิ ต์นิกายโรมนั คาทอลิก การเข้ามาของ
ศาสนาครสิ ตไ์ ม่ได้เข้ามาในรปู แบบของเหล่าอาณานคิ ม แต่เข้ามา
ในรูปแบบของการเผยแพร่ศาสนาแกค่ นทั่ว ๆ ไป และในรูปของผู้สอนศาสนาให้กบั บรรดา
ชาวตา่ งชาตซิ ง่ึ สว่ นใหญ่เปน็ ชาวโปรตุเกสทม่ี าค้าขายและตั้งหลักแหล่งอยู่ในกรุงศรอี ยุธยา
เสยี ส่วนใหญ่ ซงึ่ ในสมัยน้นั เม่ือสมเดจ็ พระรามาธิบดที ี่ ๒ ทรงทาสัญญาทางพระราชไมตรี
กับโปรตุเกสท่ีเข้ามายึดครองเกาะมะละกาชาวโปรตเุ กสเดนิ ทางเขา้ มาประกอบกิจการต่าง
ๆ ในกรุงศรีอยุธยาในแผน่ ดนิ สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิท่ีทางสร้างความสมั พันธอ์ ันดีกบั
ชาวโปรตเุ กส คณะมชิ ชนั นารี
~ 15 ~
มายังสยามในชว่ งระหว่าง พ.ศ. ๒๑๐๗ – ๒๑๑๐ คณะนกั บวชท่ีตอบรับและเดินทางเขา้
มายังสยามประเทศ
รุน่ แรก พ.ศ. ๒๑๑๐ ได้แก่ คณะนักบวชโดมนิ ิกันโดยบาทหลวงเฟอร์นนั โด เอด ซงั ตา มารี
อา อธกิ ารเจ้าคณะแห่งเมืองมะละกา ได้สง่ บาทหลวงเยโรมนิ า ดา ครูส้ และบาทหลวงเซ
บาสตดิ อ โด กันโต มาจากมะละกานัน้ ได้รับพระราชทานบ้านพกั และเรมิ่ งานเผยแผ่ศาสนา
ถอื เป็นครั้งแรกของการเผยแผ่ครสิ ตศ์ าสนาอย่างเป็นทางการในกรงุ สยาม
คณะมิชชนั นารชี าวตะวนั ตกท่ีเขา้ รุ่นแรกคอื ชาวโปรตุเกสและสเปนมากกว่าชาตอิ ื่น ๆ
ตอ่ มาในแผ่นดนิ สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช กรุงวาติกันไดต้ ัง้ สมณกระทรวงเผยแพร่ความ
เชื่อ เน่อื งจากแตเ่ ดิมอาศัยพระราชอานาจของกษัตริย์โปรตุเกสและสเปนท่ีบัญชาให้ออกไป
คน้ หาดนิ แดนใหมแ่ ละถอื โอกาสนาเอาคาสอนศาสนาครสิ ต์ไปเผยแผ่ดว้ ย ซง่ึ ต่อมามีความ
ขดั แย้งในแนวทางปฏิบัตทิ ่ีต้องอยภู่ ายใต้การอุปถมั ภข์ องโปรตเุ กสและสเปน จึงเป็นเหตุ
ใหศ้ าสนจกั รโดยพระสันตะปาปาต้องหาทางเผยแผศ่ าสนาตามแนวทาง
ของศาสนจกั รเอง และเมอ่ื ถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คริสตศ์ าสนานิกายโปรเตสแตนท์กไ็ ด้
เข้ามามบี ทบาทในประเทศไทย นอกจากจะไดเ้ ผยแพร่ศาสนาแลว้ ยังไดท้ าคุณประโยชน์แก่
ประเทศไทยเป็นอนั มาก เชน่ การศกึ ษา การแพทย์ และการสงั คมสงเคราะห์ เป็นต้น
ปจั จบุ ันประเทศไทยรบั รองฐานะองค์การทางศาสนาคริสต์ ๒ นิกาย คอื โรมนั คาทอลิกและ
โปรเตสแตนท์
ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
๑. นกิ ายโรมนั คาทอลิก มสี ภาประมขุ แห่งบาทหลวงโรมนั คาทอลิกเป็นศนู ย์กลาง แบ่งการ
ปกครองเป็น ๑๐ เขตมิซซงั คือมซิ ซังกรุงเทพ ราชบรุ ี สุราษฎร์ธานี จันทบุรี เชยี งใหม่
นครสวรรค์ อบุ ลราชธานที ่าแร่-หนองแสง อดุ รธานแี ละนครราชสีมา
~ 16 ~
๒. นกิ ายโปรเตสแตนท์ มี ๔ องค์การ คือ
๒.๑ สภาครสิ ตจักรในประเทศไทย ปกครองคณะเพสไบเทเรียน คณะครสิ เตยี นเชริ ช์ (ดสิ
ไซเปิลส์ออฟไครส์) คณะลูเทอแรนเชิร์ชออฟอเมริกาในประเทศไทย เปน็ ตน้
๒.๒ สหกิจครสิ เตียนแหง่ ประเทศไทย ปกครองคณะครสิ เตียนแอนด์มัชชนั นารอี ลั ไลแอนซ์
คณะเวิร์ลด์ไวด์อีแวนเจไลเซช่ันครูเสด นอกจากน้ียงั มีกลุม่ อื่น ๆ เช่น นกิ ายลูเธอรแ์ รน เป็น
ตน้
๒.๓ มลู นิธคิ ริสตจักรคณะแบ๊บติสต์ ปกครองครสิ ตจกั รแบ๊บติสตใ์ นประเทศไทย
๒.๔ มูลนธิ ิครสิ ตจกั รเซเว่นธ์เดย์แอด๊ เวนตสี แหง่ ประเทศไทย
~ 17 ~
โบสถ์วัดนกั บญุ ยอเซฟ จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา ภายในโบสถว์ ดั นกั บญุ ยอเซฟ จงั หวัด
พระนครศรีอยธุ ยาคริสตจักรท่ี ๑ สาเหร่ เปน็ คริสตจกั รแห่งแรกของนิกายโปรเตสแตนท์
กอ่ ตัง้ โดยคณะเพรสไบเทีเรยี น ใน พ.ศ. ๒๔๐๐คมั ภีร์ หลกั ความเชื่อ หลกั ธรรมคาสอน
และหลกั ปฏิบตั ิของศาสนาหลกั ธรรมคาสอน คาสอนของพระพระเยซเู จา้ จากอปุ มา หรือ
การเล่านิทานเปรยี บเทยี บ...
ในพระคัมภรี ์...ภาคพระธรรมใหม่ โดยเฉพาะในพระวรสาร เราจะพบวา่ พระเยซเู จ้าทรง
สอนพระธรรมคาสอนของพระองคด์ ้วยคาอุปมาอย่บู ่อย ๆ ทรงแปลงเรือ่ งยาก ๆ ทเ่ี ป็น
นามธรรมใหก้ ลายเป็นเรื่องที่ฟังได้แบบสบายๆถ้าหากต้องการให้คาอุปมาของพระองค์เกิด
ประโยชน์และมีคุณค่ากบั ชีวิตอยา่ งเต็มเปีย่ มจรงิ ๆ ต้องหม่ันนาคาอุปมาของพระองค์มาคดิ
ทบทวนไตร่ตรองอยเู่ สมอ ๆ และนาไปปฏบิ ตั ิในชีวิตจรงิ คาเทศนส์ อนเรื่องแรกหรอื ปฐม
เทศนาของพระเยซเู จ้า เรอ่ื งความสุขแท้จรงิ หรอื บุญลาภ ๘ ประการ คือ
๑. ความสุขแก่ ... ผู้มีใจยากจน คือ ผู้ทีม่ ีใจสุภาพถ่อมตน มีความเป็นเดก็ ทางจติ ใจ เป็น
จิตใจท่ีพงึ พาพระเจา้ เสมอ
๒. ความสขุ แก่ ... ผูเ้ ปน็ ทุกขโ์ ศกเศร้า คือ ผ้ทู ่เี ปน็ ทุกข์เศรา้ โศกเพราะความบาป การถูกกด
ขจ่ี ากกฎของศาสนา สงั คม และการเมือง
๓. ความสขุ แก่... ผู้ทมี่ ใี จอ่อนโย คอื ผู้ทีม่ ใี จสภุ าพออ่ นโยน ไมใ่ ชค้ วามรุนแรงปฏิรูปความ
ไมถ่ ูกต้องของสังคม แตอ่ ุทศิ ตนเพ่ืองานของพระเจา้
๔. ความสขุ แก่... ผมู้ ใี จกระหายความชอบธรรม คือ เปรยี บเหมือนคนจนทป่ี รารถนาจะเห็น
ความยุตธิ รรมในสังคมต้องการให้เกิดความดีในสงั คม
๕. ความสุขแก่...ผู้มีใจเมตตากรุณา คือผทู้ ป่ี รารถนาดีต่อผู้อ่ืน รู้จักให้อภัย อยากใหผ้ ูอ้ ื่นได้
ดมี คี วามสุข เช่น คิดหาทางช่วย/อยากใหค้ นจน คนเจบ็ ป่วย คนชรา คนพกิ าร มีความสุข
พ้นทุกข์
๖. ความสุขแก่... ผู้มีใจบรสิ ุทธิ์ คือ ผู้ที่มีใจสะอาด บรสิ ุทธ์ิ ปราศจากสงิ่ ไมด่ ที ั้งทางกาย
วาจา ใจโดยเฉพาะอย่างยง่ิ ความรู้สึกนึกคิดและจิตใจ
๗. ความสุขแก่... ผทู้ ่สี ร้างสนั ติ คอื ผ้ทู ี่สร้างสนั ติ ความปรองดอง ผูน้ าการประสาน
กลมกลนื การคืนดแี ละการให้อภยั
~ 18 ~
๘. ความสขุ แก่...ผทู้ ีถ่ กู ข่มเหงเพราะความชอบธรรม คือ ผู้ทมี่ ใี จยดึ ม่ันในความดี เห็น
คณุ คา่ แห่งความดยี ึดม่ันในจิตตารมณ์แหง่ ความรัก ตามแบบพระวรสาร ใหอ้ ภยั แกผ่ ู้
เบียดเบียนขม่ เหงบัญญัตริ ัก เป็นหลกั ปฏิบตั ขิ องคริสต์ศาสนาซึง่ เป็นบทบญั ญตั สิ าคัญใน
การนาไปปฏิบตั ิมี ๒ ขอ้ คือ
ขอ้ ที่ ๑ ท่านต้องรักองค์พระผู้เป็นเจา้ พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สดุ สตปิ ัญญา
และสดุ กาลังของทา่ น ซึ่งความหมายของคาว่า “รกั พระเจา้ ” หมายถึง จงเชอื่ ฟังพระเจ้า
ดว้ ยความเคารพนบนอบต่อพระองค์ คือถ้าเราทาตามคาสอนของพระเจ้าในพระคัมภรี ด์ ว้ ย
สดุ จิตสดุ ใจ สดุ ความคดิ คือได้ผ่านกระบวนการศกึ ษามาอย่างถอ่ งแทแ้ ลว้ นามาปฏบิ ตั อิ ย่าง
สดุ กาลังไม่ท้อถอย ผลลพั ธค์ ือ เราจะมที ัศนคติท่ีดที า่ ทีท่ีดีต่อผอู้ ่นื เราจะอยู่ร่วมกับผู้อน่ื
ด้วยความเขา้ ใจ
ขอ้ ที่ ๒ ทา่ นจะต้องรกั เพ่ือนมนุษย์เหมือนรักตนเอง
ขอ้ ปฏิบตั ิของศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์มีข้อปฏบิ ัตสิ าหรับคริสตชนปฏิบตั ใิ นชวี ิตประจาวันดงั นี้
๑. การภาวนา (Prayer) : เปน็ รปู แบบความผูกพันระหวา่ งมนุษย์กับพระเป็นเจา้ เป็นการ
สะท้อนใหเ้ ห็นถึงความสมั พนั ธ์ ท่ลี ึกซง้ึ ตามประสามนุษย์วา่ “เราจะบอกว่าเรารักกันได้
อย่างไร หากเราไมเ่ คยคดิ ถงึ กันไม่เคยสนทนากนั ไมเ่ คยมีปฏสิ ัมพันธก์ ัน ไม่เคยคิดทีจ่ ะทา
ส่ิงดีดีให้แก่กนั และกัน หรือเมื่อคิด ถึงแลว้ กไ็ มเ่ คยปฏิบัตสิ งิ่ ทดี่ ตี อ่ กัน” การภาวนาสาหรับ
ครสิ ตศ์ าสนกิ ชน จึงเป็นสง่ิ ท่ีมนษุ ยแ์ สดงออกถึงความสัมพนั ธ์ดังกลา่ ว
โดยมีบทภาวนาที่คริสต์ศาสนิกชนทกุ คนสามารถอธษิ ฐานภาวนารว่ มกันได้ เปน็ บทภาวนา
ทใี่ ชใ้ นการอธษิ ฐานสาธารณะ เพอ่ื แสดงความเป็นนา้ หนง่ึ ใจเดยี วกนั เป็นบทภาวนาจาก
คัมภีรไ์ บเบลิ เช่น บทเพลงสดุดบี ทข้าแต่พระบิดา หรือบทภาวนาท่ีพระศาสนจักรได้
ประพันธ์ข้ึน แต่ในเวลาเดียวกันการภาวนาดว้ ยบทภาวนาทแ่ี ตล่ ะคนอธษิ ฐานแบบเงยี บๆ
ภายในใจ หรอื ด้วยวาจา ก็เป็นการภาวนาเชน่ กนั นอกจากน้นั คริสต์ศาสนกิ ชน
สามารถภาวนาได้แม้ขณะท่ีกาลังทางาน หรือทากจิ การต่าง ๆ ในชีวติ หากคิดถึงพระเจ้าใน
กิจการทุกอยา่ งทท่ี ากล็ ว้ นแตเ่ ป็นการภาวนาทัง้ สนิ้ บทภาวนา “ขา้ แต่พระบิดา”
(มทั ธวิ ๖: ๙-๑๓)ข้าแตพ่ ระบิดาของข้าพเจา้ ทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนาม
พระองค์จงเป็นทสี่ กั การะพระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงคจ์ งสาเรจ็ ในแผ่นดนิ เหมือนใน
~ 19 ~
สวรรค์ โปรดประทานอาหารประจาวันแก่ข้าพเจ้าทงั้ หลายในวันน้ี โปรดประทานอภัยแก่
ข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้าใหอ้ ภัยแก่ผู้อ่ืน โป รดชว่ ยขา้ พเจ้าไม่ให้แพ้การผจญ แต่โปรดช่วยให้
พ้นจากความชั่วรา้ ยเทอญ อาแมน
๒. การร่วมในพธิ ีมิสซา:
"มิสซา" (Missal) หมายถึง "การถูกสง่ ไป" เพื่อประกาศข่าวดแี ละเปน็ แบบอย่าง รวมท้ัง
มอบตนเองและชีวิตใหม้ คี ุณค่าตอ่ คนอ่ืน ๆ เชน่ เดียวกันกับทเ่ี ราได้รบั จากพระเจา้
ความหมายที่แทจ้ ริงของคาว่า “มสิ ซา”จงึ ไม่ถูกต้องตรงกบั ทีเ่ ปน็ อยใู่ นเวลาน้ี เราจึงควร
เรยี กพธิ ีกรรมในปจั จุบันวา่ "พิธีบชู าขอบพระคุณ โดยเนน้ ที่ความหมายของพธิ ีกรรมว่าเป็น
การขอบพระคุณอย่างแทจ้ รงิ คือ พระเยซเู จ้าเป็นทั้งผู้ถวายและเป็นเคร่ืองบูชาเอง
โดยผ่านทางพธิ ีการหักปงั บนพระแท่นเพื่อขอบพระคุณพระบดิ า ในพิธมี สิ ซาฯ
คริสต์ศาสนกิ ชนเชื่อวา่
องค์พระเยซูเจ้าประทับอยู่อย่างแทจ้ รงิ ใน ๓ วธิ ีการ คือ
๑. จากพระวาจาของพระองค์ในบทอา่ นจากพระคมั ภรี ์
๒. ระหวา่ งการเสกปัง และเหลา้ อง่นุ
๓. การรับศลี มหาสนิท ซึง่ เป็น "ปังทรงชีวติ "
“พธิ ีมิสซา” คอื พิธีบูชาขอบพระคุณพระเป็นเจา้ (Eucharistic Celebration) เปน็ การ
แสดงออกซึง่ ความเปน็ หนึ่งเดียวกนั ของคริสต์ศาสนิกชน โดยมีองค์พระเยซูเจ้าเป็นเครือ่ ง
บูชาเพอื่ ไถบ่ าปมนุษย์อาศยั พระกายและพระโลหิตท่พี ระองคท์ รงยอมสละและพลชี วี ิต
ดังนน้ั การร่วมในพธิ ีมสิ ซา จึงหมายถึงความเป็นน้าหนึ่งใจเดียวกันที่คริสตศ์ าสนิกชนจะ
ขอบพระคุณพระเจ้าท่ีได้ทรงประทานพระบุตรของพระองค์
ลงมาไถ่บาปของมนุษยท์ กุ คน
๓. การพลีกรรม:
“การพลีกรรม” คือ การยอมรับความทกุ ข์ยากลาบาก ความเจบ็ ปวด หรือการปฏเิ สธ
ตนเองที่จะละเว้นกจิ กรรมทนี่ าความสขุ หรือความสนกุ สว่ นตัว หรือต้ังใจ ลด-ละ-เลกิ
กิจการท่ีไมด่ ี ซึ่งอาจจะเปน็ การยึดติดในบาปตา่ ง ๆ หรือนิสัยทไ่ี ม่ดีของตนเอง โดยเป็นการ
กระทาทีเ่ กดิ ข้นึ จากความตัง้ ใจ ความจริงใจ และดว้ ยใจเสรีโดยมีจดุ ประสงคเ์ พ่ือจะได้ทา
ตัวเองใหใ้ กล้ชิดพระเจ้ามากยิ่งขน้ึ การพลกี รรมเป็นการกระทาเพื่อจะทาใหผ้ ้ปู ฏบิ ตั นิ นั้ ได้
~ 20 ~
"หนั หลงั " ให้กบั ความโนม้ เอยี งไปในทางบาปและในเวลาเดียวกัน การพลีกรรมทาใหเ้ ราได้
"หนั หน้า"เข้าหาพระเจา้ การพลีกรรมเปน็ วัตรปฏบิ ัตปิ ระการหน่งึ ในวถิ ีชีวิตของ
คริสต์ศาสนิกชน ทั้งน้ีเพ่อื จะไดเ้ ขา้ มสี ว่ นรว่ มกับพระมหาทรมานของพระเยซูครสิ ต์ ตามที่
พระองค์ทรงสอนว่า "ถ้าผ้ใู ดอยากตดิ ตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไมก้ างเขนของตน
ทุกวนั และติดตามเรา" (ลกู า ๙:๒๓)การพลกี รรมจะชว่ ยทาใหผ้ ูป้ ฏิบัตไิ ด้มจี ติ ใจทีเ่ ตม็ เปยี่ ม
ไปดว้ ยความสุข เป็นความสขุ ทส่ี บื เนอื่ งมาจากความรกั ความเปน็ พี่เป็นน้อง และการเปน็
สานศุ ษิ ย์ท่แี ท้จรงิ ของพระเยซูเจา้
๔. การทาบุญใหท้ าน:
คาสอนสาคัญของครสิ ตศ์ าสนา คอื “จงรกั พระเปน็ เจา้ และจงรกั เพื่อนมนุษย์” (เทียบ
มัทธวิ ๒๒:๓๗-๓๙, ยอหน์ ๓:๑๖) ดังนั้น การทาบญุ ให้ทานจึงเป็นกจิ การท่ี
ครสิ ต์ศาสนิกชนแสดงออกซ่งึ ความรักท่ีมตี ่อพระเปน็ เจ้า ด้วยการช่วยเหลอื เพ่อื นมนุษย์ท่ี
พระเปน็ เจา้ ทรงสร้างมาตามพระฉายาลกั ษณข์ องพระองค์ “การทาบุญ” หมายถงึ การ
กระทากิจกรรมอันดตี ่อพระเป็นเจา้ และต่อเพื่อนมนุษย์ โดยมวี ัตถปุ ระสงค์และความตง้ั ใจ
อนั ดีทีจ่ ะทาให้ผู้อน่ื มีความสขุ ด้วยนา้ ใจอสิ ระของตนเอง “การใหท้ าน” หมายถงึ การให้
หรือการบริจาคทรพั ยส์ นิ หรือส่ิงของเพอ่ื ผู้อน่ื โดยมีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อการทานุบารุงพระศา
สนจกั ร เพ่ือการสังคมสงเคราะห์ เพ่ือการชว่ ยเหลือผทู้ ่ตี กทุกขไ์ ด้ยาก และเพ่ือการ
เสริมสร้างความดีของสว่ นรวม
๕. การแตง่ กาย:
การแตง่ กายเป็นสว่ นหนึง่ ของวัฒนธรรมของคนแตล่ ะชาติ แตล่ ะท้องถนิ่ ซึ่งมีความดงี าม
ความเหมาะสมตามแต่ละบริบทของตน ดังนั้น ครสิ ต์ศาสนาจงึ ปรบั ตนเองให้เข้ากบั แต่ละ
วฒั นธรรมโดยคริสต์ศาสนกิ ชนสามารถแต่งกายได้ตามจารีตประเพณี เชน่ การแต่งกายไป
รว่ มในพิธีมสิ ซากจ็ ะเปน็ การแตง่ กายสุภาพเรียบร้อยตามประเพณนี ยิ ม การแต่งกายไปรว่ ม
ในพธิ ีแต่งงานหรืองานศพกจ็ ะเปน็ การแตง่ กายด้วยสเี สอ้ื ทเี่ หมาะสม
กบั กาลเทศะ มีเพยี งการแต่งกายในพิธีกรรมเทา่ น้นั ท่ยี ังคงรักษาเอกลักษณ์ตามจารีต
ประเพณีของแต่ละนิกายเชน่ นิกายโรมนั คาทอลิก นิกายกรีกออร์โธด็อกซ์ และนิกายโป
รแตสแตนท์ โดยผ้ปู ระกอบพิธกี รรมจะมีการแต่งกายทีเ่ ฉพาะเจาะจง นอกจากนั้นในบาง
~ 21 ~
นิกาย เชน่ นิกายโรมันคาทอลกิ ยงั มสี ัญลักษณ์เคร่ืองแต่งกายอนั แสดงถึงความเป็นนาย
ชมุ พาบาล และความเป็นผ้นู ากลุ่มครสิ ต์ศาสนิกชน เชน่ หมวก และไม้เท้า
๖. อาหารการกิน:
คริสตศ์ าสนกิ ชนนิกายโรมนั คาทอลิก จะอดเนื้อในวันศุกรท์ ุกสัปดาห์ตลอดท้ังปี เพราะถือ
วา่ เปน็ วันพลกี รรมทวั่ ไป แตใ่ นเทศกาลมหาพรต (ระยะเวลาประมาณ ๔๐ วัน ก่อนวนั
ระลกึ ถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า หรือวันศุกร์ศกั ดิ์สทิ ธิ์ (Good Friday)
คริสต์ศาสนกิ ชนจะอดอาหารในวนั พธุ รบั เถ้า (วันแรกของเทศกาลมหาพรต) และวันศุกร์
ศักดส์ิ ทิ ธิ์ (วนั ทร่ี ะลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจา้ )"การอดเนื้อ" ในที่นี่หมายถงึ การ
ละเว้นจากการรบั ประทานเน้ือสตั วส์ ี่เท้า สตั ว์ปกี เพราะถือวา่ เป็นสตั ว์ใหญ่
เชน่ หมู ววั ไก่ นก ฯลฯ อกี ทั้งเนื้อเหล่านใี้ นอดตี มีราคาแพง จดุ ประสงค์ของการอดเนื้อ ก็
เพื่อละเว้นจากการเสพสุขและเขา้ ร่วมทุกข์กับองค์พระเยซูเจา้ เป็นการอดอาหารที่มรี าคา
แพง หรอื อร่อยลิ้น เพราะเน้ือนามาปรงุ อาหารได้หลากหลาย แต่จะกนิ อาหารเรยี บงา่ ยไม่
ฟมุ่ เฟอื ย เชน่ ผัก เต้าหู้ หรือแป้งแทน เม่ือเป็นเชน่ น้จี ึงไม่กินความไปถึงสตั วน์ า้ เชน่ กุง้
หอย ปู ปลา ฯลฯ เพราะสตั ว์เหลา่ น้แี ตเ่ ดิมเปน็ สตั ว์เลก็ ราคาไมแ่ พงทอดแหหาตามริม
คลอง ตล่ิงหนา้ บา้ น ฯลฯ คล้ายๆ เดด็ ยอดผกั ริมร้ัวมาทาอาหารกนิ ไม่ได้ฟุ่มเฟือยอะไรแต่
ในปัจจบุ ัน แมจ้ ะมไิ ด้หา้ มอาหารทะเล หรอื สัตวน์ า้ ก็จริง แตเ่ พื่อรว่ มทุกข์กบั พระเยซูเจ้า จึง
ไม่สมควรทจ่ี ะทานอาหารทะเล (sea food) ราคาแพงๆ ซงึ่ เป็นการไมม่ ัธยัสถต์ ามขอ้ บังคับ
ของพระศาสนจกั รคริสต์ศาสนิกชนคาทอลกิ ที่มอี ายุ ต้งั แต่ ๑๔ ปี ข้ึนไป จนถึง ๖๐ ปี ตอ้ ง
อดอาหารและอดเน้ือ (ในวันพุธรับเถา้ และวนั ศกุ รศ์ ักดสิ์ ทิ ธิ์) ยกเวน้ ผู้ป่วย แตห่ ากไม่มี
ทางเลือก อาจจะเขย่ี เน้ือออกไปหรือไม่ตักเนื้อรบั ประทานแต่ถ้าจาเปน็ ถึงท่สี ุดก็
รับประทานได้ เพราะไมม่ ีตวั เลอื ก แตต่ ้องไปทากจิ ศรัทธาอื่นชดเชย เช่น สวดภาวนาสวด
สายประคา หรือไปเฝา้ ศลี มหาสนิทในโบสถ์
๗. การทักทาย:
เรามักจะได้พบการทักทายหรือคาบอกลาทีแ่ สดงถึงความเป็นคริสตศ์ าสนิกชนอย่บู ่อย ๆ
~ 22 ~
ทัง้ ในภาพยนตรห์ รือในการเข้าสงั คม อาทิ “ขอพระเจ้าสถิตกบั ท่าน” “ขอพระเจา้
คุม้ ครอง” “รกั ในพระครสิ ต์” “สุขสนั ต์วนั คริสต์มาส” (Merry Christmas) “สุขสนั ต์
วันปัสกา” (Happy Easter) “สนั ตสิ ุขจงอยู่กับทา่ น”
(Peace be with you) จนบางครง้ั อดสงสยั ไม่ได้วา่ คาทักทาย การจบั มือ การกอด การเอา
แก้มสมั ผัสกันหรือคากลา่ วลา เป็นส่วนหน่งึ ของวธิ ปี ฏิบัติที่แสดงออกถึงความ
ครสิ ต์ศาสนกิ ชนดว้ ยหรือไม่ หรือเป็นวัฒนธรรมของแต่ละท้องถ่ิน จริง ๆ แลว้ การทกั ทาย
เป็นส่วนหนึง่ ของคาอวยพรที่คริสตศ์ าสนกิ ชนมใี ห้แก่กนั ในทกุ วันเวลาของชวี ติ ในการ
พบปะกันท่ามกลางผมู้ ีความเชอื่ เดยี วกัน คริสต์ชนตระหนักดีวา่ พระพรต่าง ๆ มไิ ด้มาจาก
ตนเองมนุษยจ์ งึ ออ้ นวอนขอพระเจ้าไดโ้ ปรดประทานพระพร เพื่อให้ทุกสิง่ เป็นไปตามพระ
ประสงคด์ ังนน้ั ครสิ ต์ชนจึงมีการนาความเชอื่ ดังกล่าวมาประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวันตาม
วฒั นธรรมของตนแต่มไิ ด้เปน็ สัญลักษณ์ภายนอกของการแสดงตนเป็นคริสตชนแต่ประการ
ใด
๑. กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม. ความรูศ้ าสนาเบอื้ งต้น. กรุงเทพมหานคร : โรง
พิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั . พมิ พค์ รั้งท่ี ๒, ๒๕๕๗.
๒. กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม. ศาสนาในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พช์ ุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั . พมิ พ์ครงั้ ที่ ๓, ๒๕๖๑.
๓. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. กรมการศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั , ๒๕๕๑.
๔. กรมการศาสนา และอนุกรรมการส่งเสริมกิจการศาสนาและศาสนิกสัมพนั ธ์
คณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จรยิ ธรรม ศลิ ปะและวัฒนธรรม วุฒสิ ภา. วิถชี วี ติ ๕
ศาสนิกในประเทศไทย.
กรุงเทพมหานคร : บริษทั ราไทยเพรส จากัด. พิมพ์ครั้งที่ ๕, ๒๕๖๑.
~ 23 ~
ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู
กาเนิดศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
ในสมัยโบราณแรกเริ่มเดิมทีศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เรียกกันวา่ “สนาตนธรรม” แปลว่า
“ศาสนาสนาตน”คาวา่ “สนาตน” หมายถึง “เปน็ นติ ย์” คือไม่มสี นิ้ สุด ไม่รจู้ ักตายเร่ือย ๆ
เสมอ ๆ นอกจากนน้ั ยังแปลได้อีกอยา่ งหนึง่ เมอ่ื แยกพยางค์ออกแล้ว คอื “สนา” แปลวา่
ไม่รจู้ ักตาย หรือเปน็ นิตย์ กบั “ตน” แปลว่า กายเมื่อรว่ มกันเขา้ แลว้ แปลตามศพั ท์หรือ
แปลโดยพยญั ชนะว่า กายอนั ไม่รจู้ ักตาย แปลเอาความหมายถงึ พระวษิ ณุ
หรือกายอันไม่รู้จกั ตายกล่าวคือพระวิษณุ เพราะฉะน้ันสนาตนธรรมจงึ เรยี กได้อีกอย่างหน่งึ
วา่ วษิ ณุธรรม คอื คาสง่ั สอนของพระวษิ ณุเป็นเจา้ น้นั เอง คร้นั เวลาล่วงเลยมาหลายพนั ปี
ศาสนานไี้ ดม้ ชี ่ือเรียกกนั ในหลายชอ่ื ว่า “ไวทิกธรรม” “อารยธรรม” “พราหมณธรรม”
“ฮินดธู รรม” หรอื “หินทูธรรม” ปญั หาชือ่ วา่ “สนาตนธรรม”
~ 24 ~
เกดิ ข้นึ มาต้ังแตส่ มัยไหนนนั้ ความจรงิ ในโลกนก้ี ็ยงั ไม่เคยมใี ครสามารถตอบไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง
ถ่องแท้เลยได้แตส่ นั นษิ ฐานและอภปิ รายให้ความเหน็ กันไปตา่ ง ๆ ตามทรรศนานทุ รรศนะ
แห่งตนๆ ในคัมภีรพ์ ระเวทตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “สนาตนธรรม” เป็นธรรมท้ังอนาทแิ ละเนติ
แปลว่าไมม่ ีต้นหรือไม่สามารถหาตอนปลายได้หรือไม่ร้จู บ กลา่ วสรปุ ใหง้ า่ ย สนาตนธรรม
คือธรรมะอนั ไม่มตี ้นและไม่มีปลายดว้ ย แต่อย่างไรก็ตามศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู เชือ่ ถือ
กนั ว่า “สนาตนธรรม” เกดิ ขึ้นตั้งแตเ่ มื่อแรกเริ่มต้นสร้างโลกแล้ว ซึ่งนบั วา่ เปน็ วดั พระศรี
มหาอุมาเทวี หรอื วดั แขกสีลม กรงุ เทพมหานครเวลาท่ีนานแต่กระนนั้ กย็ งั นบั จานวนปีได้ถึง
เลข ๑๕ ตวั คอื ๑๕๕, ๕๒๘, ๖๔๓, ๘๙๓, ๐๘๕ (หน่งึ ร้อยหา้ สิบห้าล้านห้าแสนสองหม่นื
แปดพนั หกร้อยสส่ี ิบสามลา้ นแปดแสนเก้าหมื่นสามพันแปดสบิ หา้ ) ตามหลักในคัมภีร์
โหราศาสตร์ “สุรยิ สทิ ธานตะ” การนัน้ เชน่ น้ใี นภาษาฮินดเี ป็นภาษาราษฎรภาษา คือ
ภาษากลางแห่งชาติของประเทศอนิ เดยี
ความเป็ นมาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ศาสนาฮินดูมีจุดเรม่ิ ตน้ เมื่อชาวอารยะอพยพเข้ามาตัง้ ถนิ่ ฐานในอนิ เดยี บริเวณลมุ่ แมน่ ้าสินธุ
ซ่ึงเป็นทีม่ าของคาวา่ “ฮินดู”เมือ่ ราว ๓,๕๐๐ กวา่ ปีมาแล้ว แมน่ า้ สินธปุ ัจจุบันมีต้นนา้ เกิด
จากภเู ขาหิมาลัยในเขตประเทศอินเดยี ไหลผา่ นประเทศปากสี ถานไปลงทะเลอาหรบั ชาว
อารยะมคี ัมภีรท์ างศาสนาที่เก่าแกท่ ี่สดุ ในโลกเรยี กวา่ เวทะ หรอื พระเวท แรกทเี ดยี วมเี พียง
๓ คมั ภรี ์ คือ ฤคเวท สามเวท และยชรุ เวท ต่อมามีคัมภีร์อถรรพเวทเพ่ิมอีกคัมภรี ์ เชอื่ กนั
ว่าคัมภีรพ์ ระเวทไม่ใช่คมั ภีร์ท่ีมนษุ ย์แตง่ ขน้ึ แตเ่ ป็นคัมภรี ์ที่พวกฤาษไี ดย้ ินมาโดยตรงจาก
พระเป็นเจา้ คัมภรี ์น้จี งึ มชี ื่อเรียกรวมๆ วา่ ศรุติ “การไดย้ นิ ” ผู้ทไ่ี ด้ยนิ คือฤาษีผมู้ ญี าณ
วิเศษเหนอื มนุษยธ์ รรมดา ศาสนาฮินดเู ป็นศาสนาทสี่ ืบทอดมาจากศาสนาท่นี ับถือคัมภรี ์
พระเวทเปน็ คัมภีรศ์ ักดส์ิ ิทธ์ทิ างศาสนา จึงเปน็ ศาสนาที่ไม่มีศาสดาเป็นผู้ก่อต้งั ศาสนา
เหมือนศาสนาอนื่ ๆ ทั่วไป บางครง้ั ชาวฮนิ ดจู ะเรยี กศาสนาของตนว่า สนาตนธรรม แปลวา่
ศาสนาทมี่ ีมาแต่นริ ันดร์กาล คอื มีมาแต่ดง้ั เดมิ ไมม่ ีใครรูว้ า่ เริม่ ต้นเม่ือไรซง่ึ ศาสนาฮินดเู ป็น
ศาสนาทป่ี ระชาชนสว่ นใหญ่ของอนิ เดียนบั ถือความเป็ นมาของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ใน
ประเทศไทยในประเทศไทยคนร้จู ักศาสนาฮนิ ดูในชือ่ ศาสนาพราหมณ์ ดังนั้นชือ่ ทาง
ราชการของศาสนาฮนิ ดู
~ 25 ~
ในประเทศไทย คือ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู สมยั กอ่ นกรุงรัตนโกสินทร์ ศาสนาพราหมณ์ -
ฮนิ ดู ได้เขา้ มาสู่
ดนิ แดนสุวรรณภมู กิ อ่ นสมัยทวารวดีคัมภีร์ชาดกในพระพุทธศาสนา เชน่ พระมหาชนก
คมั ภีรร์ ามายณะก็กลา่ วถงึ ดนิ แดนในสุวรรณภูมิและสุวรรณทวปี ไว้ เมือ่ พ.ศ. ๓๐๓
คณาจารย์พราหมณ์ทีต่ ิดตามพระโสณะเถระกับพระอตุ รเถระ ศาสนทูตของพระเจ้าอโศก
มหาราช เข้ามายงั สุวรรณภูมิ จดุ แรกท่ที ้ังสององค์มาประดิษฐานพระพุทธศาสนาคือ
นครปฐม ตอนน้นี ับเป็นยุคแรก ๆ ของพราหมณใ์ นประเทศไทย ประจักษ์พยานในการ
เผยแพรศ่ าสนาพราหมณค์ ือแหลง่ โบราณสถานซ่งึ เปน็ ร่องรอยความเจรญิ ของบรรพชนใน
อดตี เป็นประวัติศาสตรข์ องบ้านเมอื ง มีโบราณวัตถุ สิ่งเคารพสกั การะ ประติมากรรมและปู
ชนียวัตถขุ องศาสนาเช่น เทวรปู เทวาลยั พบทจ่ี งั หวัดนครปฐม ราชบรุ ี เพชรบุรี และ
กาญจนบุรี ซึ่งประจักษ์พยานนเ้ี ป็นการยืนยนั การนับถือศาสนา ดงั ไดป้ รากฏความเจรญิ
ของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู อนั แสดงถึงวัฒนธรรม ศรทั ธา ความเช่อื ในแผ่นดินไทยท่ีมมี า
แตโ่ บราณกาล โดยเฉพาะเมอื่ กลา่ วถงึ เมืองสุวรรณภูมิท่มี ีอายยุ าวนานกวา่ ๒,๐๐๐ ปพี ้นื ที่
ราบระหวา่ งภเู ขาในภาคใตแ้ ละอาณาบริเวณอนื่ ๆ มกี ลมุ่ ชุมชนโบราณที่นับถือศาสนา
พราหมณ์ – ฮนิ ดู หลายกลมุ่ กระจายเปน็ บริเวณกว้างบง่ บอกวัฒนธรรมอินเดียตอนใต้แพร่
เขา้ มาสู่ดินแดนประเทศไทยด้วยเสน้ ทางการคา้ ทางเรือหลายเส้นทาง ระหว่างปลายพุทธ
ศตวรรษท่ี ๑๐ – ๑๔ ปรากฏหลักฐานประตมิ ากรรมเกา่ ทส่ี ุดในลัทธไิ ศวนิกายและไวษณพ
นกิ ายในท้องทจี่ ังหวัดนครศรีธรรมราชอาเภอสชิ ล ท่าศาลารอ่ นพิบูลย์ และอาเภอเมือง
นครศรธี รรมราช โดยเฉพาะเทวสถาน เขาคา เรียกวา่ วมิ านแห่งพระศิวะมหาเทพหรือไศว
ภมู มิ ณฑลเป็นการจาลองจักรวาลคือเขาพระสเุ มรุ (ไกรลาส) ทส่ี ถติ ของพระศิวะ พระผู้เป็น
เจ้ายง่ิ ใหญ่พระองคห์ นงึ่ ของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู นอกจากนย้ี ังปรากฏประตมิ ากรรมรูป
เคารพทว่ั ผนื แผน่ ดนิ ไทยท้ังภาคตะวันออก ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ
ตอนล่าง ชาวไทยตั้งอาณาจักรสโุ ขทัยเปน็ ราชธานเี มื่อ พ.ศ. ๑๘๐๐ ศาสนาพราหมณ์ -
ฮนิ ดเู จรญิ คู่อยกู่ บั พระพุทธศาสนาแล้ว แมพ้ ระพทุ ธศาสนาลัทธลิ งั กาวงศ์จะแพรเ่ ข้ามาอีก
ระลอกก็ตาม คติความเช่ือศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มีอิทธิพลมากขึ้นในการปกครองของ
ชาวไทยสมยั กรุงศรีอยุธยายดึ ถือว่าพระมหากษัตรยิ ์คอื สมมุตเิ ทวราช การพระราชพิธแี ละ
พิธกี รรมท้ังปวงเพื่อความม่นั คงและความอุดมสมบรู ณ์ จงึ ขอ้ งอยใู่ นธรรมเนียมจารีตของ
~ 26 ~
ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ในลัทธิไวษณพซ่ึงนบั ถือพระนารายณ์เป็นเจ้า ดังนั้นสถานะของ
พระมหากษัตริย์จงึ ประดุจพระนารายณ์อวตาร สืบเน่ืองต่อถึงสมยั กรุงธนบุรีและการ
สถาปนากรงุ รตั นโกสนิ ทรเ์ ป็นราชธานี พ.ศ. ๒๓๒๕ เมือ่ พระมหากษตั รยิ ท์ รงสรา้ งบ้าน
สร้างเมืองแลว้ เสร็จจงึ สรา้ งเทวสถานสาหรับบชู าพระผเู้ ปน็ เจ้าสาหรบั พระนครในบรเิ วณท่ี
เปน็ พนื้ ท่ศี ักด์ิสิทธใิ์ จกลางพระนครเพอื่ ประกอบพิธกี รรมสาคัญของบา้ นเมอื งตามราช
ประเพณี อนั จะนาความมัน่ คง มัง่ คั่งย่ังยืนในพระราชอาณาจักรดังปรากฏรปู เคารพคือพระ
ผูเ้ ป็นเจา้ ในศาสนาเป็นศลิ า สารดิ ในศิลปกรรมหลายสมัย ลักษณะที่แสดงพลานุภาพสง่า
งาม แฝงไวด้ ว้ ยศรทั ธาความเชอื่ ทม่ี ่ังคง ไดแ้ ก่ ศวิ ลึงค์ พระปรเมศวร พระพรหมธาดา พระ
นารายณพ์ ระเทวกรรม พระพิฆเนศวร พระอมุ าเทวี พระลกั ษมี เปน็ อาทิ
ประวตั ศิ าสตร์และวัฒนธรรมของไทยทป่ี รากฏถึงการเกีย่ วข้องกบั ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู
จะเห็นได้จากชอ่ื สถานท่ี เชน่ อโยธยา ลพบรุ ี ทรวารวดี ฯลฯ ในวรรณคดี ได้แก่ รามเกียรต์ิ
อนิรุทธิ์คาฉนั ท์ พาลีสอนน้องกฤษณาสอนน้องคาฉนั ท์ แมใ้ นเทศกาลตา่ ง ๆ เชน่ สงกรานต์
ลอยกระทง โดยเฉพาะการพระราชพธิ ี
ทีป่ ระกอบข้ึนเกี่ยวกบั สถาบันพระมหากษัตรยิ ์และความสวสั ดิมงคลของบ้านเมอื ง เชน่
พระราชพธิ ีบรมราชาภิเษกภายในสถานสักการะ วดั เทพมณเฑียร ณ สมาคมฮนิ ดูสมาช
พระนารายณ์และพระลักษมอี ยู่กลาง พระพิฆเนศวร อย่ดู ้านซา้ ย และหนุมานอยู่ด้านขวา
พระราชพธิ ฉี ัตรมงคล พระราชพิธโี สกนั ต์ พระราชพิธีจรดพระนังคลั แรกนาขวญั พระราช
พธิ ีตรยี ัมปวาย -ตรีปวาย เป็นต้น ประเทศไทยไดใ้ ห้การรบั รองฐานะองค์การทางศาสนา
~ 27 ~
พราหมณ์ – ฮินดู ได้แก่ สานักพราหมณ์พระราชครูในสานักพระราชวัง สมาคมฮนิ ดู
ธรรมสภา และสมาคมฮินดสู มาชคมั ภีร์ หลกั ความเช่ือ หลกั ธรรมคาสอน
คมั ภรี ์ท่ผี ู้นับถือศาสนาฮนิ ดูนับถอื มจี านวนมากมายไมส่ ามารถจะกล่าวได้ทัง้ หมด ดังน้ัน
เพื่อใหเ้ กดิ การรับร้อู ย่างกว้าง ๆ จงึ ขอกล่าวเฉพาะคมั ภรี ์ท่ีสาคัญใน ๓ สมัย คือ
๑. สมยั พระเวท คมั ภีรท์ สี่ าคัญ คือ ฤคเวท สามเวท ยชุรเวท อถรรพเวท พราหมณะ
อารัณยกะและอุปนษิ ัท
๒. สมัยอิตหิ าสะ มีคัมภรี ์ ๒ คมั ภรี ์ คือ รามายณะและมหาภารตะ แตใ่ นคัมภรี ม์ หาภารตะ
มคี าสอนของพระกฤษณะแทรกอยู่ คาสอนดงั กลา่ วมชี ื่อว่า “ภควัทคตี า” เป็นคาสอนท่ีชาว
ฮินดูไมว่ า่ จะอยูน่ กิ ายใดใหค้ วามนบั ถืออยา่ งสูง
๓. สมยั ปรุ าณะ มคี วามสาคญั ที่สุดสาหรับศาสนาฮินดู ซ่ึงคัมภรี ์ปรุ ณะแบ่งเปน็ มหาปุราณะ
และอปุ ปรุ าณะมหาปุราณะมีทัง้ หมด ๑๘ คมั ภีร์ คือ วษิ ณุปุราณ ศวิ ปรุ าณ มตั สยปุราณ
ภาควตปรุ าณ ครฑุ ปุราณ สกันทปุราณพรหมาณฑปุราณ พรหมไววรตปรุ าณ ภวิษยปุราณ
มารกณั เฑยปุราณ อัคนปิ รุ าณ วายุปุราณ ปทั มปุราณกูรมปุราณ พรหมปรุ าณ ลิงคปุราณ
วราหปรุ าณ และวามนปรุ าณและคัมภรี ์อุปปรุ าณะ ซงึ่ มเี ป็นจานวนนับร้อย ในยุคน้ีศาสนา
ฮนิ ดูแบง่ ออกเปน็ สองนิกายอยา่ งชดั เจน คอื นกิ ายท่ีนับถือพระศวิ ะวา่ เปน็ พระเจ้าสูงสดุ
เรียกว่าไศวะ และนกิ ายทีน่ ับถือวา่ พระวิษณุเป็นพระเจา้ สูงสุดเรยี กว่า ไวษณวะขอ้ แตกต่าง
ระหว่างสองนิกายคือฝ่ายไศวะบูชาศวิ ลึงค์ (ศิวลิงฺคหรอื ศวิ ลึงค์ เปน็ วัตถุทรงกลมอาจจะทา
ด้วยหิน โลหะ หินมคี า่ ไม้ ดนิ ตง้ั อยู่บนฐานท่ีเรยี กวา่ “โยนิ” ศวิ ลึงคเ์ ป็นวตั ถสุ ญั ลกั ษณท์ ี่
ชาวฮินดไู ศวนิกายถือว่าเป็นสิ่งศกั ดิส์ ทิ ธิ์ทส่ี ุด จะประดิษฐาน
ไว้ในเทวาลยั ตรงส่วนทเี่ รยี กว่า ครรภคฤหะ อนั เปน็ ที่ประดิษฐานรปู เคารพหรอื สญั ลักษณ์
ทางศาสนาทีส่ าคญั ทีส่ ุด)สว่ นฝา่ ยไวษณวะบูชาอวตารปางต่าง ๆ ของพระวิษณุ ปางทไ่ี ดร้ ับ
การเคารพนบั ถือมากทสี่ ดุ คือ พระรามและพระกฤษณะ ชาวไทยสว่ นใหญร่ จู้ ักพระองคใ์ น
นามวา่ “พระนารายณ์” ผนู้ บั ถือศาสนาฮนิ ดูไวษณวนิกายถือว่า
พระองคเ์ ป็นพระเจา้ สงู สุด แต่พระวษิ ณใุ นรูปที่ตอ้ งเก่ียวข้องกับโลกเป็นหน่ึงในตริมูลรติ
(วษิ ณุ ศวิ ะ พรหมา)มหี นา้ ทีร่ ักษาจกั รวาลท่ีพระพรหมาได้สรา้ งขน้ึ ก่อนท่จี ะถกู พระศิวะทา
ลายในท่สี ดุ คมั ภรี ์ใน ๓ สมัยน้ี เปน็ คมั ภรี ์ทีใ่ ชภ้ าษาสนั สกฤตทง้ั ส้นิ ผ้ทู ี่รภู้ าษาสนั สกฤตและ
สามารถประกอบพธิ ที างศาสนาฮินดคู ือพราหมณ์เท่านนั้ ต่อมามีการเปลย่ี นแปลงเกิดข้นึ
~ 28 ~
ได้มีการแตง่ คัมภรี แ์ ละบทสวดบชู าพระเป็นเจ้าและเทพเจา้ ดว้ ยภาษาท้องถนิ่ เพื่อให้คนใน
ทอ้ งถนิ่ น้นั ๆ มคี วามเขา้ ใจศาสนาทตี่ นนบั ถือไดง้ ่ายข้ึน
คัมภรี ท์ ีส่ าคญั หลักยุคปรุ าณะคอื คัมภีร์รามจรติ มานสั ซึ่งเป็นเร่อื งรามเกยี รติ์ที่แตง่ ดว้ ย
ภาษาอวธี ผู้ทน่ี ับถอื ศาสนาฮินดูนิกายไวษณวะจะให้ความเคารพนบั ถอื คมั ภีรน์ ้ีมาก
หลักความเชอื่ ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่เช่อื ในพระเจ้า พระเจ้ามีชอื่ เปน็ ภาษาสันสกฤตว่า
พฺรหมฺหลกั ธรรมคาสอน หลักปฏิบตั ิพืน้ ฐานจุดมุ่งหมายของชวี ิตตามแนวทางของศาสนา
ฮนิ ดูมี ๔ ประการ คือ
๑. อรถะ หรอื อรรถะ การแสวงหาทรัพย์เพื่อการดารงชีวติ ภายใตก้ รอบคาสอนทางศาสนา
๒. ธรมะ หรอื ธรรมะ การดารงชวี ติ ภายใต้กรอบคาสอนทางศาสนา
๓. กามะ การแสวงหาความสุขทางโลก ภายใต้กรอบคาสอนทางศาสนา
๔. โมกษะ ในที่สดุ ต้องแสวงหาความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกดิ
จุดมงุ่ หมาย ๓ ข้อแรก ต้องการใหศ้ าสนิกดารงชวี ิตทางโลกเต็มศักยภาพของแตล่ ะบุคคล
แตต่ ้องอยภู่ ายใต้กรอบคาสอนทางศาสนาของตนแตเ่ ม่ือมีความสุขอยา่ งมศี ีลธรรมในระดับ
โลกแลว้ ศาสนิกจะต้องแสวงหาเปา้ หมายอนั สงู สดุ ของชีวิตคอื ความพ้นไปจากการตายแลว้
เกิด ซง่ึ เปน็ ผลของกรรมหรือการกระทาทุกอย่างในโลกต้องคานงึ อยเู่ สมอวา่ ทุกอย่างในโลก
เปน็ สิ่งไม่คงอยชู่ ่วั นริ นั ดร อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติท่วี ่าเกิดขึ้นคงอย่ชู ่ัวระยะหนง่ึ ในท่สี ดุ ก็สูญ
สลายไป ส่งิ ทีเ่ ป็นนิรันดรคือความเจริญสงู สุดหรอื พระเป็นเจ้า
หลักธรรมคาสอน คาวา่ “หลกั ธรรม” แปลได้หลายอยา่ ง ธรรม แปลวา่ หน้าทกี่ ไ็ ด้ สง่ิ ท่ี
ควรทาก็ไดล้ กั ษณะธรรมในพระธรรมศาสตร์ ๑๐ ประการในพระธรรมศาสตรข์ องศาสนา
พราหมณ์ - ฮินดู บัญญตั ไิ ว้วา่ ธรรมะย่อมมลี ักษณะ ๑๐ ประการคือ ธฤติกฺษมา ทมอสเฺ ตย
เศาจ อนิ ฺทรยิ นิคฺรหธี วทิ ยา สตฺย และ อโกรฺธ ผใู้ ดปฏบิ ตั ธิ รรมทง้ั ๑๐ ประการนี้ผูน้ ้ันกไ็ ด้
ชอื่ ว่า “ธรฺมาตมา” ลกั ษณะท้ัง ๑๐ ประการของธรรมะน้ัน มคี วามหมายดังน้ี
๑. ธฤติ แปลวา่ ความพอใจ คลา้ ย ๆ กับคาวา่ สันโดษ ความจรงิ ยังแปลได้อีกหลายอย่าง
เช่น ความถือ ความมี ความมั่นคง ความกลา้ ความสุข เป็นต้น การถอื ธรรมะตามลักษณะ
นกี้ ็คือ มีความพยายามอย่ดู ้วยความมัน่ คงเสมอ แม้วา่ ยงั ไม่ไดส้ าเร็จประโยชน์ตามความ
ประสงคจ์ ากสิง่ ไร ก็ไม่มีความหวน่ั วติ กประการใด ยังมคี วามพยายามอยู่ต่อไปเสมอ และก็
มีความรู้สกึ ยนิ ดี และพอใจในสิง่ ทต่ี นมีอยู่ โดยปราศจากความโลภ
~ 29 ~
๒. กฺษมา แปลว่า ความอดกลั้น หรือความอดโทษ พูดโดยสรปุ กค็ อื มีความพากเพยี ร
พยายามและอดทนโดยถือเอาความเมตตากรณุ าเปน็ ทีต่ ั้ง
๓. ทม แปลวา่ การระงับจิตใจ คอื รู้จักข่มจติ ใจของตนเองดว้ ยความสานึกในเมตตาและมี
สตอิ ยู่เสมอรู้จักอดจิตอดใจ ไมป่ ล่อยให้หว่ันไหวไปตามอารมณ์ได้ง่าย
๔. อสฺเตย แปลวา่ ไมล่ กั ไมข่ โมย ไม่กระทาโจรกรรม
๕. เศาจ แปลว่า ความบริสุทธ์ิ หมายถงึ การทาตนเองใหม้ ีความบริสุทธ์ทิ ง้ั จิตใจและร่างกาย
๖. อนิ ทฺ รนิ คฺรห นิคฺรห แปลว่า การปราบปราม เพราะฉะนั้น อนิ ฺทรยิ นคิ ฺรห จึงหมายถึง
การปราบปรามอินทรียท์ ั้งสิบ ไดแ้ ก่
ก. พวกชญาเนนฺทริย ๕ ได้แก่ อนิ ทรยี ค์ ือประสาทความรู้สึกทางความรู้ มี ตา หู จมูก ลิ้น
และผิวหนงั
ข. พวกกฺรเมนทริย ๕ ไดแ้ ก่ อนิ ทรยี ์คือประสาทความรสู้ ึกทางการกระทา มีมือ เทา้ ทวาร
หนกั
ทวารเบา และลาคอ
ค. พวกอนฺตรเรนทริย (อนฺตร+อินทริย) ไดแ้ ก่ อนิ ทรยี ์คอื ประสาทความรู้สึกภายในซึ่ง
นบั แยก
ออกไปต่างหาก มี จติ ใจ และอหงั การ รวม ๓ อย่างเพมิ่ เข้ามา (ภาษาสนั สกฤตเรียกวา่
จติ ตฺ มน อหงฺการ)
ทวี่ า่ ปราบปรามหรือระงับอินทรียน์ ้ันกห็ มายถึงใหห้ มน่ั สารวจตรวจดเู สมอดว้ ยตนเองว่า
อนิ ทรียท์ ั้ง ๑๐ นัน้
ได้รับการบรหิ ารไปในทางที่ถูกต้องดหี รอื ไม่ประการใด เพราะธรรมศาสตรข์ องศาสนา
พราหมณ์ - ฮนิ ดูไม่ต้องการใหค้ นเราปล่อยอนิ ทรีย์ไปในด้านมัวเมาอยา่ งไม่มีขอบเขต
ต้องการให้คนเรารจู้ ักมคี วามพอเช่น ใหแ้ สวงหาความสขุ ทางอินทรยี ์ทีม่ ีขอบเขต ดงั
ตัวอยา่ ง อินทฺ รฺ ยชิหฺวา (ประสาทความรู้สึกทางลิ้น) ชอบรสหวานแตถ่ า้ ปล่อยตัวเองให้กิน
แต่ของหวานมากเกนิ ไปอาจกลายเปน็ โรคเบาหวานได้ ตรงกันข้ามถา้ บุคคลกนิ ของหวาน
ให้อยู่ในมาตรฐานหรือภายในขอบเขตจากดั ย่อมจะไดผ้ ลดีแก่ร่างกายของบคุ คลนั้น ดังนี้
เปน็ ตน้
~ 30 ~
๗. ธี แปลเหมอื นกับ ธิติ หรอื ธีร หรือพุทธิ หมายถงึ ปัญญา สติ มติ ความคดิ ความมนั่ คง
ยนื นานเปน็ ลกั ษณะหน่ึงใน ๑๐ ประการของ “ธรรมาตมา” กลา่ วคอื ควรจะมีความรู้ทั่วไป
มีปญั ญา และรู้จักระเบยี บวธิ กี ารต่าง ๆ ทงั้ ทางขนบธรรมเนยี มประเพณี ธรรมสงั คม และ
วัฒนธรรม
๘. วทิ ยา แปลเหมือนกับญาณ ในภาษาบาลหี รอื ชญาณ ในภาษาสนั สกฤต หมายถึงความรู้
ทางปรชั ญาศาสตร์คอื รลู้ ึกซ้ึง และมีความรู้เกี่ยวข้องกบั ชีวะกบั มายา และกับพระพรหม
อย่างไรบ้าง
๙. สตฺย แปลวา่ จรงิ หรอื ความจรงิ หรอื ศทุ ธมติ (ความเห็นอันบริสุทธ์ิ) ความเหน็ อันสุจริต
กลา่ วคอื การแสดงความซื่อสัตย์ตอ่ กันและกัน จนถึงทาใหเ้ ป็นทีไ่ วว้ างใจและเช่ือถือได้ โดย
ไมค่ ิดคดทรยศต่อกัน
๑๐. อโกรฺธ แปลว่า ไม่โกรธ คนทจี่ ะมีความไมโ่ กรธนั้นก็คือต้องมีขนั ติและโสรัจจะ นยั หน่ึง
มีความอดทนมีความสงบเสง่ยี ม และรู้จกั ทาจิตใจให้สงบ ที่สาคัญท่ีสดุ ก็คอื ใหเ้ อาชนะ
ความโกรธไดด้ ้วยความไมโ่ กรธธรรม อรรถ กาม และโมกษ ทงั้ ๔ น้รี วมกัน เรียกวา่ “ปุ
รุษารฺถ” หรือ “ปรุ ุษารถฺ จตรุ วฺ ิธ” (อรรถสาหรบั ปรุ ุษรวม ๔ ประการ) ผู้ใดได้ปฏิบัติตน
สาเรจ็ ขน้ั ปรุ ษุ ารฺถนแ้ี ลว้ ก็เรยี กว่าสาเรจ็ ขนั้ กรรมโยค กรมฺ โยค คือ หลกั กรรม
กรรม แปลว่า การกระทา หรือการงาน สว่ นโยค แปลว่า ประกอบร่วมการรวม หรอื อาจจะ
แปลวา่ ทพิ ย์ หรือนิโรธแหง่ พฤติการณ์ของจิตก็ได้ เพราะฉะนน้ั เม่ือคาทั้งสองน้ีมารวมกัน
เข้าแล้ว จงึ หมายความว่ากรรมทิพย์ หรือทิพยกรรม คือการกระทาดี กรรมโยค แปลไดอ้ ีก
นยั หน่ึงว่า การนิโรธแหง่ พฤติการณ์ของจิตแต่การท่จี ะทาให้พฤติการณ์ของจิตนโิ รธไปได้
น้นั เราตอ้ งละเว้นกรรมชว่ั เสียให้ไดโ้ ดยสิ้นเชงิ และทาแตก่ รรมดีโดยเฉพาะสว่ นเดยี ว ใน
ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูพระคัมภีรท์ กุ เล่มอา้ งไว้วา่ กรรมเป็นสง่ิ ท่สี าคญั ที่สดุ ในชีวิตของ
คนเรา ชวี ของคนแต่ละคนลว้ นเวยี นวา่ ยตายเกดิ ลว้ นประสบทุกข์ประสบสุขก็แตโ่ ดยอาศัย
กรรมทัง้ สนิ้ ในทานองเดียวกัน คนเราจะหลดุ พน้ จากการเวียนวา่ ยตายเกิดได้ก็ต้องอาศัย
แรงกรรมอยอู่ ีกน่นั เองศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ได้กล่าวไวว้ ่า กรรมใดท่ีได้เลอื กกระทาโดย
ใชช้ าฺ ณ และโดยถอื เอาภกฺติเป็นทางเลือกกรรมน้นั ย่อมเป็นเหตุแหง่ ความสุข แห่งยศ และ
แห่งเกียรตใิ นยามท่บี ุคคลนัน้ ยงั มชี วี ติ อยู่ และทั้งจะได้
~ 31 ~
ประสบความสุขในชีวิตหนา้ ตอ่ ไปอีกดว้ ย ไม่วา่ จะไปเกดิ ในภพไหน ตรงกนั ข้าม กรรมใดที่
ได้เลอื กทาโดยปราศจากชฺาณ และไม่ถอื เอาภกฺติเป็นเกณฑ์เสยี เลย กรรมนั้นก็ย่อมเป็นเหตุ
แห่งความทุกข์ ความเสอ่ื มยศและความเสื่อมเกยี รติ ไม่ว่าจะเปน็ ในภพนห้ี รือในภพหน้า จึง
ถือไดว้ ่ากรรมท่ีเลือกกระทาโดยใช้ชาฺ ณเป็นเกณฑแ์ ละโดยถือเอาภกฺติเปน็ ท่ีตง้ั อย่างมิได้มี
ความประสงคจ์ ะขอรบั ส่ิงใดเป็นเครื่องตอบแทน กรรมนั้นจึงจะเปน็ เหตุแหง่ โมกษะ“กรรม
ทิพย”์ คอื ทิพยกรรม หรือกรรมโยค ดงั ได้กลา่ วมาแลว้ น้ี แบง่ ออกเปน็ ๒ อย่าง คือ
๑. สกามกรรมโยค ได้แก่ การกระทาท่ที าไปโดยปรารถนาสิ่งตอบแทน แบง่ ออกเป็น ๒
อย่าง คือ
ก. สกามกรรมทป่ี ฏิบัติตามหลักทีถ่ กู ต้องโดยใชช้ ฺาณและภกฺติเปน็ หลกั
ข. สกามกรรมท่ีปฏิบัติอยา่ งไม่เปน็ ไปตามหลัก คือมิไดใ้ ช้ชาฺ ณและภกตฺ ิ หรือขาดอย่างใด
อย่างหน่ึง
๒. นษิ กามกรรมโยค ไดแ้ ก่ การกระทาท่ีมิไดป้ รารถนาผลตอบแทนแต่ปฏบิ ตั ไิ ปตามหลัก
อันถูกตอ้ งเทา่ น้นั แบง่ ออกเป็น ๒ อยา่ ง คือ
ก. นิษกามกรรม โดยถือเอาหนา้ ทเี่ ปน็ หลกั คือถือว่าเมอื่ เกิดมาเป็นมนษุ ย์ไม่วา่ จะกระทา
การใด ๆ
ก็ตอ้ งทาไปโดยถือชาฺ ณและภกตฺ ิเป็นเกณฑ์
ข. นษิ กามกรรม โดยถอื เอาพระพรหม หรืออาตฺมาเป็นหลัก คือ ถือว่าในโลกน้ี ชีวทั้งปวง
เปน็ รูปพระพรหม เพราะอาตฺมาของตน เป็นอังศะ ของปรมาตมฺ า (พระพรหม) และดงั ได้
กล่าวแลว้ ว่า อาตฺมามีอยใู่ นชีวท้งั ปวง โดยทานองนแี้ หละ ในโลกนถ้ี า้ ปราศจากพระพรหม
ยอ่ มจะไม่มีอะไรเปน็ แกน่ สารเลยดว้ ยเหตนุ ี้ เราจึงควรมคี วามเหน็ ชอบไวเ้ ปน็ หลัก และมี
การปฏบิ ตั ิตอ่ สงิ่ ทั้งปวงโดยเสมอภาคกันเพราะว่าทุกสิ่งทกุ อย่างในโลกน้ีก็คือสง่ิ เดียวกนั
นนั่ เอง จะทาการอะไรลงไป จึงควรปฏิบัตโิ ดยถอื หลักชญฺ าณแลภกฺตไิ ว้ดว้ ยกนั
เป็นเบอ้ื งตน้ ชฺญานโยค ชาฺ น แปลว่า ความรู้ ความเห็น ความชอบ ความถกู ต้อง ความวิเวก
เป็น เพราะฉะนนั้ ชฺาณโยค ก็คอื ความเห็นชอบท่ีเป็นผลมาจากการพจิ ารณาโดยบรสิ ุทธ์ใิ จ
หรือการลงมตโิ ดยศุทธพุทธิ คือ พทุ ธหิ รอื ความรู้อันบริสุทธ์ทิ ่ีไม่สร้างความทุกข์ทรมาน
ใหแ้ ก่บรรดาชวี ทงั้ หลาย หากคดิ แต่จะสรา้ งผลประโยชน์ความดงี ามใหแ้ ก่ส่วนรวมเพียงฝา่ ย
เดยี ว ในคัมภรี ์ของศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู บง่ ไวว้ า่ ผใู้ ดทตี่ ้องการจะปฏบิ ตั ิเพอ่ื “ศุทธ
~ 32 ~
พุทธิ” ผนู้ ัน้ ควรจะปฏบิ ตั ิตามหลักธรรม ๘ ประการทเี่ รยี กวา่ “อัษฏางคโยค” ได้แก่ ยม
นยิ ม อาสนปรฺ าณายาม ปรฺ ตยฺ าหาร ธารณา ธฺยาน และสมาธิ หลักธรรมท้ัง ๘ ประการนั้น
มีความหมายดังน้ี
๑. ยม แบ่งออกเปน็ ๑๐ อย่าง คอื
(๑) พฺรหมฺ จรยฺ ได้แก่ ภาวะของพรหมจารี ซงึ่ หมายถึงว่าควรสงวนรักษานา้ กามอนั เป็น
สาระสาคัญของรา่ งกายไว้ มใิ ห้หล่ังออกมา คาว่าพรหมจรรยน์ แี้ ปลได้อีกนยั หน่งึ ว่า
อนุสรณ์ของพรหมมารฺค
(๒) ทยา ได้แก่ ความเมตตากรุณาต่อชีวทง้ั หลาย
(๓) กษานติ ได้แก่ ขนั ติ คือความเพยี ร ความอดกลั้น หรือความอดทน
(๔) ธฺยาน ได้แก่ ความเพ่งเล็งให้แน่วแน่อยทู่ ่ีจุดเดียว เพราะธรรมดาแล้วจิตใจท่ีพะวัง
วนเวียนอย่เู สมอนน้ั ยากท่จี ะสกดั กน้ั ให้แนว่ แน่อยู่เป็นจดุ เดยี วไดเ้ พราะฉะนั้น ตอ้ ง
พยายามรวบรวมให้เข้ามาเป็นจดุ เดียวกนั
(๕) สตฺย ได้แก่ ความจรงิ หรอื ศทุ ธมติ คือความบริสทุ ธิ์
(๖) อกลฺกตา กลฺกตา แปลว่า ความชว่ั หรอื ความบาป เพราะฉะน้นั อกลกฺ ตาก็หมายถึง
ความปราศจากความชัว่ ไม่มีความช่ัวหรือไม่มบี าปดว้ ยประการใด ๆ
(๗) อหิงสา ได้แก่ ความไม่เบียดเบียน ไมฆ่ ่าสัตว์ ไมฆ่ ่ามนุษย์ตลอดจนกระทั่งไม่ใหค้ วาม
ทุกข์เวทนาแก่บรรดาชวี ท้ังปวง
(๘) อสเฺ ตย ได้แก่ ไม่ลกั ไม่ขโมย
(๙) มาธุรย ไดแ้ ก่ การปฏิบัติตามวนิ ยั และเคารพเชื่อฟังตามคาส่ังสอนของบดิ ามารดา ครู
บาอาจารย์และผู้มีอาวโุ สทัง้ ปวง รวมทง้ั รจู้ ักทาจิตใจให้สงบ กล่าวคือ ไมโ่ กรธตอบเมื่อถูก
บริภาษ สามารถหักหา้ มกิริยาอันนา่ เกลียดมิใหเ้ กิดขึน้ ไดท้ ้งั ทางกายและทางวาจา
(๑๐) ทม ได้แก่ การระงับจิตใจ ดว้ ยสานกึ ในเมตตา และมสี ติอยเู่ สมอ
๒. นิยม ขอ้ ปฏิบัตแิ บง่ ออกได้เป็น ๑๐ ประการ คือ
(๑) สนาน ไดแ้ ก่ การอาบน้าชาระรา่ งกายให้สะอาด
(๒) เมาน ได้แก่ ความเงยี บ หมายถึง มูคภฺ าพ (ความใบ)้ หรือนโิ รธวาจา(การไม่ออกเสยี ง)
จะออกเสียงกใ็ ห้ออกเสียงอย่างปิยวาจา คอื ให้มีความสารวมในการออกเสียง
~ 33 ~
(๓) อปุ วาส ไดแ้ ก่ การอดอาหาร คือใหร้ ้จู กั อดกลั้นต่อความหิวต่าง ๆ โดยตง้ั กตกิ าให้แก่
ตนเองไว้
เปน็ ต้นวา่ จะอดอาหารสัปดาห์ละ ๑ วนั หรอื จะอดอาหารทุกวนั อาทติ ย์ เป็นต้น
(๔) ชยา ได้แก่ การเคารพบชู า เช่น ควรเคารพบชู ามารดา บิดา ครูบาอาจารย์ พระธรรม
คมั ภีรพ์ ระเวท พระพรหม (ปรมาตมฺ า) หรืออะไรอนื่ ที่ควรเคารพด้วยท้ังหมด
(๕) สวาธฺยาย ได้แก่ การอ่าน หรอื การฟังพระเวท และคัมภีร์ต่าง ๆ เพือ่ เป็นการเพิม่ พนู
ความร้แู ละเพือ่ ให้เกดิ ความเข้าใจแจ่มแจง้ ยงิ่ ข้ึน
(๖) อปุ สถนิครฺ ห ได้แก่ การเว้นจากความประพฤติผิดทางกามารมณ์
(๗) คุรสุ ศุ รฺ ูษา ได้แก่ การปฏิบัตติ อ่ ครูบาอาจารย์ หรือศาสนา ดว้ ยความเชือ่ ถือและคารวะ
ด้วยความจงรักภักดี
(๘) เศาจ ได้แก่ ความบริสุทธ์ิ ทาตนเองใหม้ ีความบริสุทธ์ทิ ้ังจติ ใจและรา่ งกาย
(๙) อโกรฺธ ได้แก่ความไม่โกรธ ต้องมขี นั ติและโสรัจจะ
(๑๐) อปรมาท ไดแ้ ก่ ความไมป่ ระมาท ทั้งทางกาย วาจา และใจ
๑. อาสน แปลตามตัวว่า น่ัง ที่นง่ั หรือวิธนี ง่ั ตา่ ง ๆ ท่าทางทีน่ ง่ั เปน็ อยา่ งไรก็มีชือ่ เรยี กต่าง
เชน่ ทา่ ภทั ราสน สขุ าสน ปทั มาสน ภชุ งคาสน วกาสน วีราสน ศีรษาสน เปน็ ต้น แต่ละ
อาสนกม็ ีประโยชน์ในทางสมาธิ และมปี ระโยชนต์ ่อร่างกายดว้ ย
๒. ปราณายาม หมายถงึ การระบายลมหายใจอยา่ งวิเศษทางจมูกด้วยการระงับ
หรอื บังคบั ลมปราณ (ลมแห่งการหายใจ) กลา่ วคือเม่ือหายใจเขา้ ไปลมปราณท่หี ายใจเขา้ ไป
นน่ั เรยี กว่า “ปรูก”ครนั้ หายในเข้าไปเพ่มิ แล้วก็กักก้ันลมภายในเสีย เวลาที่กกั กัน้ ลมนี้ใน
ขณะเดยี วกนั ก็คอยเพ่ิมการหายใจให้มากขนึ้ แต่ให้สะดวกขึน้ ดว้ ย การกนั้ ลมเชน่ นี้เรียกว่า
“กุมภก” ส่วนการระบายลมหายใจออกเรยี กว่า “เรจก”
๓. ปรตยฺ าหาร หมายถงึ การสกัดจิต หรือการระงับจิต ได้แก่การบังคบั มิใหจ้ ิตใจ
มีความนึกคิดในสิ่งท่ไี ม่ต้องการคดิ กลา่ วคือ การบงั คบั ข่มจิตใจของตนเอง หรอื อีกนัยหน่ึง
การระงับองเคนทรยี ห์ รอื อินทรยิ ารถของตนเอง ซ่งึ เปน็ เรื่องทีต่ ้องใชก้ าลงั ใจอย่างมากมาย
๔. ธารณา หมายถงึ การทรงไว้ การถอื ไว้ การมีไว้ จะแปลว่าความมั่นใจ ความต้งั ใจ หรอื
การทาจติ ใจให้ตรงกับสงิ่ ทต่ี ้องการคิด หรือให้เปน็ ไปตามที่คดิ ก็ได้
~ 34 ~
๕. ธฺยาน คือการทาจิตใจให้แน่วแนอ่ ย่เู ฉพาะทีจ่ ดุ เดยี วกนั และเป็นเวลานานเทา่ ทต่ี อ้ งการ
ได้
๖. สมาธิ ไดแ้ กก่ ารทาใหจ้ ิตใจและสมองคือความรู้ ความเฉลียวฉลาดมาสมานกนั เข้า
เป็นอนั หนงึ่ อันเดียวกัน ด้วยการเพง่ มนสั พิจารณาสภาพแห่งความเปน็ จรงิ (สัตยชาติ) ของ
ปราณหรอื อศวะเมือ่ ผูใ้ ดก็ตามได้ทาจิตใจให้ถึงสภาพเช่นนี้แลว้ ก็แสดงว่าผู้นั้นมไิ ด้มเิ จตนา
หรือไม่มสี ติปัญญาทางภายนอกหลงเหลอื อยแู่ ลว้ จะรูส้ ึกก็แต่ความปติ ิสุขภายในจิตใจของ
ตนเองเท่านน้ั แม้ความหิวความกระหาย หรือความทกุ ขเวทนาใด ๆเขาก็จะไม่มคี วามรู้สึก
เลยคติหรือหนทางไปอนั นี้เองที่เรยี กว่า “ปรมคติ” คอื หนทางอันเลอเลิศหรือเรยี กอีกชอ่ื
หนึง่ วา่ “ปรมานนฺท”หรือ “พรหมานนั ท์” ก็ได้ ในภาพเช่นนี้จะมีการพจิ ารณาและการลง
ความเห็นเกิดข้นึ การพิจารณานัน้ ก็ยอ่ มจะเปน็ ประโยชน์แก่ผู้สาธก คือ ผู้ที่ไดก้ ระทาลุล่วง
หรือผ้กู ระทาสาเรจ็ และแกผ่ ูอ้ ่ืนโดยทวั่ ไปด้วย และเพราะเหตนุ ี้เอง
ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู จึงได้สง่ั สอนว่าคนเราควรทาจิตใจให้บริสทุ ธ์ิด้วยอัษฎางคโยคน้ี
แลว้ ใช้ความพจิ ารณาหรือไตร่ตรองปฏิบตั ดิ ดู ว้ ย โดยถือภกฺตโิ ยคเป็นเคร่ืองสนบั สนุนอีก
ช้ันหนง่ึ ภกฺตโิ ยค คอื ความจงรักภกั ดี หรอื ความตัง้ ใจรับใช้ เมือ่ มารวมกบั คาว่าโยค เป็นภกฺ
ตโิ ยคจงึ หมายถึงการบาเรอรับใชก้ รรมด้วยความมนั่ ใจ ความจงรกั ภกั ดตี ่อการกระทาที่กา
ลังปฏบิ ตั ริ ับผดิ ชอบอยกู่ ล่าวได้ว่า ภกตฺ นเ้ี องเปน็ เหตุให้พบปะกลา่ วคือมีท้ังความสนใจและ
ภควานกบั ภกฺต กลา่ วคือระหวา่ งพระผ้เู ปน็ เจา้ กับสาวกผู้ภกั ดี
ภควาน คอื พระปรมาตมนั หมายถึงชวี ทั้งหลาย เพราะสรรพส่งิ ทุกอย่างทกุ ประการลว้ น
เป็น “รปู ” ของพระปรมาตมันน้ันเอง ส่วนภกตฺ คอื ชีว เฉพาะที่ประพฤตปิ ฏบิ ตั ภิ กตฺ ิต่อภกตฺ ิ
ภควาน เพราะฉะนน้ั จงึ กลา่ วไดอ้ ีกอยา่ งหน่ึงว่าผใู้ ดมีความปรารถนาจะไดป้ ระสบพบพระ
ปรมาตมนั ผู้นนั้ ควรจะปฏิบัติตนโดยการใหค้ วามเหน็ ให้คาแนะนาปรกึ ษา ตลอดจนใหค้ วาม
ช่วยเหลอื ในทางทดี่ ีงามแก่ชวี ทงั้ ปวง ภกฺตโิ ยค จาแนกการบาเรอรับใช้ออกได้เป็น ๙
ประการ คือ
๑. ศรุ วณ ไดแ้ ก่ การฟงั เป็นธรรมดาสาหรับคนเรา ถ้าหากมคี วามประสงค์จะไดท้ ราบเรื่อง
อนั เปน็ ความรูเ้ ก่ียวกบั สงิ่ ใดส่ิงหนง่ึ แลว้ กค็ วรที่จะพยายามฟงั เก่ยี วกับสิง่ น้ัน หรอื เร่อื งน้ัน
ให้มาก ๆ ไว้ การศกึ ษาหรอื การเล่าเรยี นกส็ รปุ รวมอย่ใู นขอ้ การฟงั น้ีด้วยเหมือนกนั
~ 35 ~
๒. กีรตน เป็นการย่อยในลาดับต่อมา คือหลังจากท่ีไดฟ้ งั มาแลว้ กค็ วรจะบอกกลา่ วหรอื
ประกาศเกียรติใหเ้ ป็นทปี่ รากฏท่ัวไป หรอื มิฉะนั้นก็พจิ ารณาตรวจสอบอภิปรายหาข้อยุติใน
ส่ิงทีไ่ ด้ยินไดฟ้ ังมาแลว้ ใหเ้ ปน็ ท่ีเข้าใจกนั อย่างแจม่ แจ้งโดยปราศจากข้อสงสยั
๓. สฺมาณ ได้แก่ การหมั่นคิดพจิ ารณาไตร่ตรองในส่ิงท่ีได้ฟังมาแลว้ และฝกึ ฝนจดจาไวโ้ ดย
ใช้จินตนาการบ่อย ๆ เพ่อื ให้ความรู้ความคิดน้ันแตกฉานมากย่งิ ขนึ้
๔. จรณเสวา หรอื บางทีเรียกสั้น ๆ วา่ “เสวา” จรณ แปลวา่ เท้าหรือฝ่าเท้า เสวา แปลว่า
การรับใชเ้ มื่อรวม ๒ คาเขา้ ด้วยกันแลว้ หมายถึงประพฤตปิ ฏิบตั ติ ามคาส่ังสอนโดยอยทู่ ีใ่ กล้
ๆ ฝา่ เท้า หรืออยู่แทบเท้าของพระเป็นเจ้า
๕. ปชู า คอื การทาสักการบชู าตอ่ ส่งิ ศักดิ์สิทธิ์ เชน่ พระปรมาตมัน (พระพรหม) หรือ
กระทาการใด ๆกไ็ ดท้ ่ีได้ต้ังใจไว้แลว้ ด้วยความนับถือและเคารพบชู า
๖. วนทฺ นา คือ การนอบน้อมกราบไหว้
๗. ทาสย คอื ภาวะแห่งความเป็นทาส คนเราควรถือว่าตนเป็นทาสของพระเปน็ เจ้าเสมอ
เพราะฉะนั้น ก็ควรปฏบิ ตั ติ ามคาสง่ั สอนของพระปรมาตมนั ไมว่ า่ จะอยู่ใกล้ไกลขนาดไหนก็
ตาม มิบังควรจะให้ขัดคาสง่ั สอนของพระเปน็ เจ้าแม้แต่ประการหนึง่ ประการใด
๘. สขฺย คือ ภาวะแหง่ ความเปน็ เพ่อื นให้ถือว่าพระปรมาตมนั เปน็ มิตรทีด่ ีท่สี ดุ เพราะฉะน้นั
เราควรปฏบิ ตั ิต่อพระพรหมเสมอื นเปน็ มิตรท่ดี ี และเปน็ เพื่อนทีอ่ ยู่ใกลช้ ดิ ตวั เราตลอดเวลา
ดว้ ยเหตทุ ่ีพระปรมาตมันอย่ใู กล้ชดิ ตวั เราตลอดเวลานีเ่ อง เราจึงควรพยายามกระทาแต่
ความดีเทา่ นัน้ เมื่อใดทเ่ี ราทาความช่วั เม่ือนั้นก็อาจเป็นสาเหตใุ ห้มิตรทีด่ ีของเราคือ พระ
พรหมต้องจากเราไปได้ และใครจะเชือ่ ได้วา่ ในอนาคตเราอาจจะต้องไปเกดิ เปน็ สัตว์อืน่ ใน
ภพอ่ืน แล้วเราจะมีอาสามาปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมดงั กล่าวนี้ได้หรือไม่
ในกรณดี งั กลา่ วจึงตอ้ งต้งั อยใู่ นความไมป่ ระมาทเสมอ
๙. อาตมสมรปณ คือ ภาวะอันมีแล้วหรอื เจริญแลว้ เปน็ ของตนเอง ได้แก่ กายของตน
ทรพั ยส์ มบตั ิของตน ลูกหลานของตน เป็นตน้ สงิ่ ท้งั หลายนี้ถือวา่ เปน็ พระปรมาตมนั พระ
ปรมาตมนั ท่านย่อมมีสทิ ธ์ิเตม็ ท่ีเมื่อใดที่ท่านตอ้ งการจะเอาคืนก็ยอมคนื ให้ทา่ นไปได้ หรอื
หากทา่ นจะยกให้แก่ผอู้ ืน่ ท่านก็ยอมยกให้ได้ สาหรับตวั เราก็ไม่ต้องวิตกหรือเศร้าหมอง
หากควรจะแสดงความยินดีท่ีทา่ นไดโ้ ปรดชว่ ยให้ภาระของเราลดน้อยลงไป
~ 36 ~
ให้กระทาความแยบคายไว้ในใจวา่ สิง่ ของท้ังหมดเป็นของพระปรมาตมัน ไม่ถอื เป็นของเรา
เลยแมส้ กั อย่างเดียวกรรมทีบ่ ุคคลได้กระทาไป โดยมีทง้ั ชาฺ ณและภกฺตเิ ขา้ ช่วยนัน้ ลว้ นแต่
เป็นกรรมดที ้งั สน้ิ แตใ่ นคัมภรี ์พระเวทคาว่า ชาฺ น มคี วามหมายถึงทง้ั ชฺานแลวิชฺานรวมเขา้
ดว้ ยกนั ชาฺ น หมายถึงความรู้ทางปรชั ญา ส่วนวชิ ฺานหมายถงึ ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์
เพราะฉะนัน้ ในการปฏบิ ตั ทิ างกรรมโยคถ้าจะให้ได้ผลดีจรงิ ๆ ควรใชท้ ั้งชฺาน วิชฺาและภกฺติ
รวมเขา้ ดว้ ยกันทัง้ ๓ ประการ จะขาดอนั ใดอนั หนึง่ ไปเสยี มิได้ หากจะใช้อุปมาอุปไมย
สมมุตวิ ่าเราจะต้องรกั ษาคนเจ็บสักคนหนง่ึ ใหห้ ายปลอดภัยอย่างเรยี บร้อยดี ในขน้ั แรกเรา
ก็ควรจะมีความรู้เกี่ยวกบั โรคหรอื เกย่ี วกับชีววทิ ยาและรู้ตลอดแมจ้ นกระทัง่ วิธีปฏบิ ตั ติ อ่ ตัว
คนเจ็บผูน้ นั้ น่แี หละคือ ชาฺ น สว่ นข้ันต่อไปเรากต็ ้องมเี ครอ่ื งอุปกรณเ์ พ่ือตรวจโรค และมียา
เพอื่ รักษาโรคดว้ ยจะฉีดหรอื จะกนิ กแ็ ลว้ แต่ความเ หมาะสม
ขัน้ ทสี่ องน้ีอุปมาไดด้ ังวชิ ฺาน ครน้ั ในขน้ั สดุ ท้ายเราก็ควรมีคนพยาบาลหรือคนรบั ใช้ทม่ี ี
ความเหน็ อกเหน็ ใจต่อผ้ปู ่วย คนจาพวกนี้จะเปน็ นายแพทย์ผูบ้ ริการทางโรงพยาบาลหรือ
เปน็ พนี่ ้องกนั มาอยูช่ ่วยดแู ลก็สดุ แลว้ แตอ่ ุปมาได้ดังภกฺติ เชน่ นจี้ งึ จะบรบิ รู ณ์ หากขาดไป
เพยี งประการใดประการหนึ่ง ก็อาจทาให้ไมไ่ ด้ประโยชน์ตามความประสงค์ หรอื ได้
ประโยชน์ไม่เตม็ ทีด่ ้วยเหตุน้ี จึงกลา่ วเป็นหลกั ได้ว่า การกระทาทุกสง่ิ ทุกอยา่ ง ถา้ จะให้
ไดผ้ ลดสี าเร็จตามความประสงค์แลว้ ก็ควรต้องประกอบพร้อมดว้ ยองค์ ๓ น้ี คอื ชาฺ น วิชาฺ น
และภกตฺ ิ หากมีแตช่ ฺาน ส่วนวชิ าฺ นและภกฺตไิ มม่ ชี ฺานนัน้ ก็เพียงเป็นไปเพอื่ การเจรจาพูดคยุ
กันเล่น ๆ เท่านั้น หรือถ้ามแี ต่วิชาฺ น สว่ นชฺานและภกฺติไม่มี วิชาฺ นก็รงั แตจ่ ะกลายเป็นเคร่ือง
ยงั ความพนิ าศหรือภยานฺกใหเ้ กิดขึน้ เท่านั้นเอง ถ้าหากจะมีแตภ่ กตฺ ิ สว่ นชฺานและวิชฺานไม่มี
ภกฺตินนั้ ก็จะต้องกลายเปน็ อัมพาต ทาอะไรไม่ได้แม้แตจ่ ะเคลอ่ื นไหว จะทาได้ก็แค่การนั่ง
ร้องไหเ้ ท่านั้นแต่โลกน้ยี ังมีอะไรแปลกประหลาดมหศั จรรย์อยมู่ ากเหมือนกัน บางทีการน่ัง
ร้องไห้นี้อาจไดผ้ ลอยา่ งท่ีไม่มใี ครคาดคิดก็เปน็ ได้ นน่ั เป็นเพราะทฤษฎีแห่งอวตารวาท คอื
การทจุ ริตของเทพดาหรือการกาเนิดมาในร่างของพระวิษณุอันเปน็ เร่อื งเก่ยี วกับเทพเจ้า ยงั
มอี ยแู่ ละเปน็ ทีเ่ ชือ่ ถอื กันอยู่อย่างแนน่ แฟ้นว่าสามารถชว่ ยปกปักรักษาผทู้ ุพพลภาพได้
มนษุ ยชาติจะพบความสาเร็จอย่างย่งิ ใหญไ่ ด้ ถ้าสามารถนาเอาชาฺ น วิชาฺ น และภกฺติ มาใช้
ในชวี ติ จริงทา่ นจะพ้นจากความเศร้าใจ และความยากลาบากนานปั การ การตดิ ต่อสมั พันธ์
กันระหวา่ งมนุษย์ กจ็ ะมี
~ 37 ~
แตค่ วามเจรญิ กา้ วหนา้ ทงั้ ในส่วนตัว ครอบครวั สมาคมหรือสงั คม และกวา้ งขวางออกไต
ลอดถงึ ระหวา่ งประเทศชาติ และทวั่ โลกด้วยเทพเจา้ ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู มเี ทพเจ้าเปน็ จานวนมากและเพิม่ ขนึ้ เรอ่ื ย ๆ เพราะศาสนกิ ชนมี
อิสรภาพเสรีเต็มท่ีในการนบั ถือและการจนิ ตนาการทางเทวรปู แตท่ ิ้งหลกั ท่วี ่า เทพเจ้าที่เรา
ได้รู้แล้วหรือจะได้รใู้ นอนาคตเปน็ ส่วนของพระปรมาตมนั จึงถอื กันวา่ มเี อกภาพในพหุภาพ
คือมเี ทพเจา้ องค์เดยี วในรปู ร่างต่าง ๆ กัน แตล่ ะสถานท่ีมเี ทพเจา้ แตล่ ะองค์ดูไมอ่ อกวา่ องค์
ไหนสาคัญกวา่ หรือสูงกว่าแต่ละกลุ่มนบั ถือแตล่ ะองค์ บางทใี นครอบครัวเดยี วกนั แตล่ ะคน
ในครอบครัวก็นับถือเทพเจ้าต่าง ๆ กนั ตรีมรู ติ เทพเจ้าสามองคใ์ นร่างเดียวกัน พระศิวะ
หรือพระอิศวร เทพเจา้ ผูท้ าลาย
สัญลกั ษณ์ทางศาสนา
สญั ลักษณส์ าคัญทีส่ ุดคือ ตัวอักษรท่ีอา่ นว่า “โอม” มาจาก อ + อุ + มะ เป็นแทนพระ
ตรีมรู ตีเทพคอื อ แทนพระนารายณ์หรือพระวษิ ณุ อุ แทนพระพรหมา ม แทนพระศวิ ะหรือ
พระอิศวร เมื่อรวมกนั เข้าเปน็ อกั ษรเดยี วกลายเปน็ อักษร “โอม”แทนพระปรมาตมนั พระ
เจ้าสูงสุด ไมม่ ีตัวตน สญั ลักษณน์ ้ีทกุ นิกาย ทุกลัทธิในศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู ต้องใชเ้ ป็น
ประจาพระวิษณหุ รือพระนารายณ์เทพเจา้ ผู้รักษาโลกกับพระลักษมีพระพรหมเทพเจ้า
ผูส้ ร้างโลกและสรรพสิ่งขอ้ ปฏิบตั ิของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูคนทจี่ ะเรยี กวา่ เป็นผู้นบั ถือ
ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู อย่างแท้จริงต้องทาหน้าทีแ่ ละมีความรบั ผิดชอบตามขั้นตอนของ
~ 38 ~
ชีวิตทเ่ี รียกว่า “อาศรม” ท่ีคัมภรี ท์ างศาสนากาหนดไว้ นอกเหนอื จากหน้าท่แี ละความ
รบั ผดิ ชอบตามอาชีพปกตธิ รรมดาของตนแลว้ จะต้องทาหน้าท่ี ๗ ขอ้ ต่อไปนี้
๑. บชู าเทพประจาครอบครวั (อษิ ฏเทวดา) โดยใชบ้ ทสวดบูชาทีใ่ ช้ประจาทุกวนั ทาสมาธิ
ไปไหว้พระทเ่ี ทวาลยั เดนิ ทางไปแสวงบุญยังสถานที่ศักดิส์ ิทธ์ิ การกระทาอย่างน้ีมี
ความสาคัญเพราะจะช่วยใหศ้ าสนิกมใี จจดจ่อกบั พระเจ้าตลอดเวลาไม่วา่ จะทากจิ กรรมใด
ๆ
๒. ศึกษาคัมภรี ท์ างศาสนา แลว้ ดาเนนิ ชวี ติ สว่ นตัวและชีวติ ท่ีเกี่ยวกับสงั คมภายนอกให้
เป็นไปตามคาสอนของคมั ภีร์ทางศาสนา จดจาให้ได้เสมอวา่ มนษุ ย์มีจุดมงุ่ หมายของชีวิต ๔
ประการ มหี นี้ท่ตี อ้ งชาระ ๓ ประการและมีชว่ งชีวติ ซึ่งเรียกว่า อาศรม ๔ ช่วง ต้องใช้หลัก
ศลี ธรรมทางศาสนากากับการดาเนนิ ไปสู่จดุ มงุ่ หมายของชวี ติ ๔ ประการ คือ ธรรมะ อรร
ถะ กามะ และโมกษะ
๓. เชอ่ื ในคาสอนที่สบื ทอดกันต่อ ๆ มา
๔. เช่อื ว่าเทพจานวนหลายองค์ท้ังท่เี ป็นบุรุษและสตรีทีแ่ ทจ้ ริงคอื รปู หลายรปู ของพระเป็น
เจ้าสูงสุดองคเ์ ดยี ว และเช่อื วา่ แนวทางปฏิบัตทิ างศาสนาทแ่ี ตกต่างกันแตก่ ็มุ่งไปยงั จดุ หมาย
เดียวกันคือพระเปน็ เจา้ สูงสดุ องค์เดยี ว เหมือนกบั เส้นรัศมีของวงกลมทท่ี ุกเสน้ มุ่งไปที่จดุ
ศนู ยก์ ลางจุดเดยี ว
๕. ให้ความเคารพนับถือมนุ ี ผ้บู รรลธุ รรม นกั พรต ท้ังที่เปน็ บุรุษและสตรี ให้ความเคารพ
นับถือครู พอ่ แม่ และคนสูงอายุ
๖. ให้ความชว่ ยเหลือคนท่ขี าดแคลนสิ่งของจาเปน็ ในชวี ิตคนพิการที่ชว่ ยตัวเองไม่ได้ คน
ปว่ ยคนยากจน คนทีด่ ้อยโอกาส
๗. ตอ้ นรบั แขกด้วยความรัก ความนับถือ และพร้อมท่ีจะบรกิ ารให้ความสะดวก
ผนู้ บั ถอื ศาสนาทีเ่ คร่งจะต้องทากิจทางศาสนาประจาวันท่ีเรียกว่า “ปัญจมหายัชญะ” คอื
การบชู าที่ย่งิ ใหญ่ ๕ ประการ ไดแ้ ก่
๑. พรหมยัชญะ จะต้องท่องคัมภีร์พระเวทและคัมภรี ์ทางศาสนาอนื่ ๆ ทุกวนั การปฏิบัติ
เช่นนีจ้ ะชว่ ยให้ไม่ลมื สิง่ ทร่ี ่าเรียนมาช่วงเป็นพรหมจารนิ (ช่วงทเ่ี ปน็ นกั เรียน) เปน็ การรกั ษา
ความรู้เกา่ และเพิ่มความรู้ใหม่
~ 39 ~
๒. ปติ ฤยชั ญะ นึกถึงบรรพบรุ ุษผลู้ ่วงลบั ไปแล้วทกุ วัน เพ่ือใหค้ นเราแตล่ ะคนรวู้ า่ ตนเองมี
หนา้ ท่ีรักษาทานุบารุง และสืบตอ่ มรดกทางวัฒนธรรมท่ีบรรพบุรุษได้สรา้ งไว้
๓. เทวยชั ญะ ระลกึ ถงึ พระเป็นเจ้าโดยการสวดมนตท์ กุ วันและทาสมาธิ
๔. ภตู ยชั ญะ ใหอ้ าหารแกค่ นทหี่ ิวโหย ขอ้ น้มี งุ่ ท่จี ะใหท้ ุกคนพฒั นาความมนี ้าใจในการท่ีจะ
แบ่งปนั ผ้อู นื่ ธรรมข้อนีเ้ ปน็ ธรรมท่สี งู สุดสาหรบั ทุกอาศรม หรือข้ันตอนของการดาเนินชีวติ
ภตู ยชั ญะ รวมการเอาใจใส่ดแู ลสตั ว์และพืชไว้ดว้ ย ถ้าปฏบิ ัติข้อน้ีไดท้ ุกวนั กจ็ ะเปน็ การ
รักษาส่ิงแวดล้อมได้เป็นอย่างดี
๕. นรยชั ญะ ให้ความรกั ความเคารพ นบั ถอื แขกผมู้ าเยือน ขอ้ นถ้ี ือวา่ เปน็ หลกั ปฏิบตั ทิ ผี่ ู้
นบั ถือศาสนาฮนิ ดูและเป็นเจา้ ของบ้านจะต้องทาคอื จะต้องให้การต้อนรบั แขกผู้มาเยือน
อยา่ งดีทีส่ ดุ ถอื ว่าแขกผมู้ าเยือนเปรยี บเหมือนเทพขนบธรรมเนียมบางอยา่ งของชาวฮินดู
นมสั การ เปน็ ประเพณีการทักทายแบบฮนิ ดูเม่ือพบปะกัน เปน็ การสะท้อนใหเ้ ห็นความเชือ่
ท่อี ยู่ลกึ ๆในใจของชาวฮินดู ในทศั นะของผ้นู บั ถือศาสนาฮินดู พรหม (พระเปน็ เจ้า) การที่
เราประนมมือไหวผ้ ู้หน่ึงผ้ใู ดเปน็ การแสดงสญั ลกั ษณ์วา่ อาตมันได้พบตนเองในสงิ่ มชี ีวิตอ่ืน
การประนมมอื ไหว้เป็นการแสดงออกถึงความร้สู ึกวา่ ตัวเราเองไม่ไดส้ ูงส่งไปกวา่ ผ้หู นงึ่ ผใู้ ด
ดงั น้ันเมอื่ ผู้ทีน่ ับถือศาสนาฮินดูประนมมือไหวผ้ ้หู น่ึงผู้ใดพร้อมกบั กล่าวคาวา่ “นมัสการ
แสดงวา่ เขามีความรูส้ ึกวา่ ตวั เองไม่ไดส้ ูงสง่ ไปกวา่ ผู้ท่เี ขาไหว้ แตท่ ่จี ริงแลว้ เขาต้องการจะ
กล่าวว่า “ข้าพเจา้ ขอนอบน้อมต่อพระเปน็ เจ้าในตวั ทา่ น ข้าพเจา้ รักทา่ นและเคารพทา่ น
เนอ่ื งจากวา่ ไมม่ ีใครเหมือนทา่ นอกี แล้ว”
๑. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ความรู้ศาสนาเบอ้ื งตน้ . กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั . พมิ พ์คร้งั ที่ ๒, ๒๕๕๗.
๒. กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม. ศาสนาในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากัด. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓, ๒๕๖๑.
๓. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. กรมการศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
ชมุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั , ๒๕๕๑.
๔. กรมการศาสนา และอนุกรรมการสง่ เสรมิ กิจการศาสนาและศาสนิกสัมพันธ์
คณะกรรมาธิการการศาสนา คณุ ธรรม จริยธรรม ศลิ ปะและวฒั นธรรม วุฒิสภา. วถิ ีชวี ติ ๕
~ 40 ~
ศาสนิกในประเทศไทย.กรุงเทพมหานคร : บริษทั ราไทยเพรส จากดั . พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๕,
๒๕๖๑.
ศาสนาซิกข์
ความเป็ นมาของศาสนาซิกข์
ศาสนาซิกขเ์ ปน็ ศาสนาประเภทเอกเทวนยิ ม หมายถึง ศาสนาของผูเ้ ชือ่ ถอื ยดึ มน่ั ในความ
เป็นหน่ึงเดียวของพระผเู้ ป็นเจ้า ผู้เปน็ เอกเพยี งพระองคเ์ ดียว เป็นศาสนาทเ่ี น้นในหลกั ของ
การปฏิบัติเปน็ ศาสนาแห่งความเชอ่ื ม่ันและศรัทธา การมองโลกในแงด่ ีอย่างมีความหวังด้วย
เหตแุ ละผล สนบั สนุนดว้ ยปรัชญาศาสตรเ์ พื่อความกา้ วหนา้ ของมนษุ ย์ ศาสนาซิกข์แนะ
แนวแห่งการดารงชีวิตอย่างมีคณุ ค่าในรูปของฆราวาส ผู้ครองเรอื นเป็นหลักและการอทุ ศิ
ตนใหเ้ ป็นประโยชนต์ อ่ สงั คมสว่ นรวม รับใช้ชว่ ยเหลือเพ่อื นมนษุ ยด์ ้วยกันโดยไม่ถือรงั เกียจ
เช้อื ชาตศิ าสนา วรรณะ และภาษาศาสนาซกิ ขถ์ ือกาเนดิ ขึ้นในแควน้ ปัญจาบทางตอนเหนอื
ของประเทศอนิ เดยี เมือ่ พ.ศ. ๒๐๑๒๑มีศาสดาในร่างของมนษุ ย์ รวม ๑๐ พระองค์ คือ
๑. พระศาสดา คุรุนานักเทพ องค์ปฐมบรมศาสดา
๒. พระศาสดา คุรุองั คัตเดว
๓. พระศาสดา ครุ ุอามรั ดาส
๔. พระศาสดา ครุ ุรามดาส
๕. พระศาสดา คุรุอรยันเดว
๖. พระศาสดา ครุ ุฮัรโควินท์
๗. พระศาสดา ครุ ุฮัรราย
๘. พระศาสดา ครุ ุฮรั กฤษณ
~ 41 ~
๙. พระศาสดา ครุ ุเตคบฮาดัร
๑๐. พระศาสดา ครุ โุ ควินทส์ งิ ห์
๑ นับตามปเี กิดของครุ นุ านักเทพ พระศาสดาองค์แรกของศาสนาซิกข์
ครุ ดุ วาราฮรั มนั ดิรซาฮิบ (สวุ รรณวหิ าร-Golden Temple)
ในนครอมฤตสระ รัฐปัญจาบ ประเทศอนิ เดยี เปน็ การสบื ตาแหนง่ โดย “ธรรมะ” ในปัจจุบนั
ชาวซิกข์นับถือพระธรรมจากพระมหาคมั ภรี ์คุรุครันถ์ชาฮบิ เปน็ พระศาสดา
นริ นั ดร์กาลสบื ตลอดมาตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๒๕๑ พระศาสดาคุรุโควนิ ท์สงิ หไ์ ด้บญั ญตั ิใหช้ าว
ซกิ ขย์ ดึ ถอื ในพระธรรมคาสง่ั สอน(ครุ ุ ซาบัด-พระวัจนะของพระศาสดา) แตเ่ พียงอย่างเดียว
เป็นการยตุ กิ ารสบื ทอดศาสนาโดยบุคคลในขณะทพ่ี ระองค์มีพระชนมช์ ีพอยู่ไดส้ งั คายนา
“พระมหาคัมภีรอ์ าทิครันถ์” ซึ่งรวบรวมบทสวดของพระศาสดา
๕ พระองค์แรก และบทสวดของนกั บุญ นกั บวช จากศาสนาฮนิ ดูและอิสลามที่มี
แนวความคดิ เดียวกันโดยพระศาสดาคุรุอรยนั เดว (พระศาสดาพระองค์ท่ี ๕ ) และไดผ้ นวก
บทสวดของพระศาสดาพระองคท์ ่ี ๙ แลว้ สถาปนาเป็นพระศาสดานิรันดรก์ าลของซิกข์ ทรง
ใหน้ ามวา่ “พระศาสดาศรคี รุ ุครันถซ์ าฮบิ ” จากเวลาน้นั มาจนถงึ ปจั จุบันนี้
ความหมายของศาสนาซิกข์
คาว่า “ซิกข”์ เป็นภาษาปัญจาบ ตรงกับคาว่า “สกิ ข์” หรอื “สกิ ขา” ในภาษาบาลี และตรง
กับคาวา่ “ศิษย์” ซง่ึ แปลวา่ ผ้ศู ึกษา โดยถือวา่ ผทู้ ี่นบั ถือศาสนาซิกข์ทุกคนเป็นศิษย์ของคุรุ
หรอื ครู คาวา่ “ครุ ”ุ เปน็ คาเรียก
พระศาสดาของชาวซิกข์
นิกายของศาสนาซิกข์
นิกายของศาสนาซิกข์ที่สาคัญแบง่ ออกเป็น ๒ นกิ าย คือ
๑. นกิ ายขาลสาหรอื สิงหน์ กิ าย จะเน้นตามคาสอนของพระศาสดาคุรุโควินทสิงหเ์ ป็นหลัก
ชาวซกิ ข์ในนิกายน้ีต้องผา่ นพิธรี ับนา้ อมฤตและรบั ศาสนสัญลักษณ์ ๕ ประการ คือ
(๑) เกศา คือ ผม ชาวซิกขจ์ ะไมป่ ลงผมจากสว่ นหนึ่งสว่ นใดของร่างกายเนื่องจากผมเปน็ สิ่ง
ทพี่ ระเจา้ ทรงประทานให้ตามหลักแห่งธรรมชาติซ่ึงเป็นสจั ธรรมอนั ย่งิ ใหญ่ ดังนนั้ ชาวซกิ ข์ที่
เป็นผูช้ ายจึงไวผ้ มและหนวดเคราโดยไมต่ ัดหรือโกนตลอดชวี ติ
~ 42 ~
(๒) กงั ฆะ คือ หวีไม้ ชาวซกิ ข์จะใชห้ วีดงั กล่าวสางผมเพื่อใหเ้ กศาดเู รียบร้อยและงดงาม
(๓) กาซา่ คือ กางเกงในขาสั้น เพ่ือความสันทัดและความกระฉบั กระเฉงโดยไมป่ ระเจิด
ประเจ้อ
ยามทางาน ยามออกศกึ และยามสงบบรุ ษุ ซิกข์พร้อมเกศา (เกศา) หวไี ม้ (กงั ฆะ) กางเกงใน
ขายาว (กาช่า)
(๔) กิรปาน คือดาบสัน้ ทาด้วยเหล็กกล้าเพื่อปกปอ้ งผู้ท่ีถกู รงั แก ถูกลดิ รอนสิทธคิ วามเป็น
มนษุ ยแ์ ละเพ่ือปกป้องตนเองโดยไม่ใชเ้ ปน็ อาวธุ ในการรุกรานผู้อื่นโดยเด็ดขาด
(๕) การ่า คือกาไรเหลก็ กลา้ เปน็ สัญลกั ษณ์แห่งความอดทนและเขม้ แขง็ ดจุ เหล็กกลา้
เป็นเคร่อื งเตือนสติและเตือนใจใหล้ ะเวน้ จากการกระทาบาปและใหต้ ั้งสติอยใู่ นความชอบ
ธรรม
๒. นกิ ายสหชั ธรี มีผ้สู นั นษิ ฐานวา่ อาจเป็นนกิ ายเดียวกับนามธารี ซึ่งหมายถงึ การเทดิ ทนู
พระผศู้ ักด์สิ ิทธหิ์ รือพระผเู้ ปน็ เจ้าความเชื่อของศาสนาซิกข์
ศาสนาซกิ ขเ์ ชอ่ื วา่ มีพระผูเ้ ป็นเจ้า (วาเฮ่ครุ ุ) ทแ่ี ทจ้ รงิ เพยี งพระองค์เดียว ไมเ่ ชื่อวา่ การ
ทรมานตนจะทาให้บรรลุถงึ สัจธรรมได้ แต่ถือวา่ การครองเรือนอยใู่ นคฤหสั ถเ์ พศกส็ ามารถ
จะหลดุ พน้ จากหว้ งแหง่ กรรมได้การประกอบกิจกรรมในชีวิตประจาวันโดยมขี นั ตแิ ละมี
เมตตาต่อเพ่ือนมนุษย์ บาเพ็ญภาวนาชาระล้างจติ ใจใหส้ ะอาดอยู่เสมอ ดงั นัน้ ศาสนาซิกข์
จึงไมส่ นับสนุนการบาเพญ็ พรตหรอื การสละครอบครัว พระศาสดาของศาสนาซิกข์ทุก
พระองค์ทรงครองเรือนและมีครอบครัวตามปกติ
ความเป็นมาของศาสนาซิกขใ์ นประเทศไทยชาวซกิ ข์เดินทางเขา้ มาสู่ดินแดนไทยครั้งแรก
เมื่อใดนน้ั ยังไม่ปรากฏหลกั ฐานระบแุ นช่ ัดแต่ส ามารถอนุมานไดว้ ่า ชาว ซกิ ข์เรม่ิ เดิน
ทางเข้ามาตั้งถ่นิ ฐานในประเทศไทยต้ังแตร่ ชั ส มยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้
เจา้ อยู่หวั การเข้ามาต้ังถนิ่ ฐานของชาวซิกข์ ในกรงุ เทพมหานครสว่ นใหญ่เรม่ิ ตบ้ั า้ นเรือนอยู่
บรเิ วณพาหรุ ดั กระจายออกไปตลอด แนวตัง้ แต่ถนนบา้ นหมอ้ มาจนจดถนนพาหรุ ดั
จนกระทง้ั พ.ศ. ๒๔๔๑ พระบาทสมเดจ็ จลุ จอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั มพี ระราชดาริใหป้ ลูกสรา้ ง
อาคารตึกแถวริมถนนพาหรุ ดั ขนึ้ เพอ่ื ใชป้ ระโยชน์ในกิจการต่าง ๆ พ่อค้าชาวซิกขจ์ งึ เรม่ิ เขา้
ไปจบั จองเพ่ือเปดิ รา้ นค้าขายผา้ และสนิ ค้านาเข้าจากประเทศอนิ เดีย ทาให้พาหุรัด
กลายเป็นย่านการค้าท่ีสาคัญจนปจั จบุ ันปัจจบุ นั ประเทศไทยรับรองฐานะองค์การทาง
~ 43 ~
ศาสนาซิกข์ จานวน ๒ องค์การ คอื สมาคมศรคี ุรุสงิ หส์ ภาและสมาคมนามธารีสังคตั แหง่
ประเทศไทยกรชี (กีรปาน) กาไลมอื (การ่า)คมั ภีร์ หลกั ธรรมคาสอน
คมั ภีร์ของศาสนาซิกข์ คัมภรี ์ทส่ี าคัญของศาสนาซิกข์คือ “พระมหาคัมภรี ค์ รุ ุครันถ์ ซาฮิบ”
ซ่ึงไดร้ บั การสถาปนาให้เป็นพระศาสดานริ นั ดร์กาลของศาสนาซกิ ข์ ศาสนิกชนชาวซิกขจ์ ึง
ปฏิบตั ติ อ่ พระมหาคมั ภรี ด์ ุจพระศาสดาที่แทจ้ ริง คาว่า “ครันถซ์ าฮิบ” แปลวา่ พระคมั ภรี ์
มาจากคาว่า “ครนั ถ” เปน็ คาสันสกฤตแปลว่า “คัมภรี ์” ส่วน “ซาฮบิ ”
พระมหาคัมภรี ์ ครุ คุ รนั ถ์ ซาฮิบคุรุดวาราท่กี รงุ เทพมหานคร
เป็นคาพนื้ เมอื งทีใ่ ช้แสดงความเคารพ แปลว่า “พระ” ซึ่งชาวซกิ ขจ์ ะเรียกโดยเตมิ คาว่า
“ครุ ุ” ไวข้ า้ งหน้าเปน็
“คุรุครนั ถ์ซาฮบิ ”อันมมี ยั ถึงการแสดงความเคารพอยา่ งสูง พระมหาคัมภีร์แบ่งออกเป็น ๒
เลม่ คอื
๑. “อาทคิ รนั ถ์” แปลว่า “คมั ภรี แ์ รก” พระศาสดาคุรุอรชุนเทพ พระศาสดาพระองค์ท่ี ๕
เปน็ ผู้สถาปนาข้ึนใน พ.ศ. ๒๑๔๗ โดยรวบรวมจากบทนพิ นธข์ องพระศาสดาพระองค์ท่ี ๑
– ๕ และมบี ทประพนั ธข์ องนักบญุ นักบวชจากศาสนาฮินดูและอสิ ลามผนวกรวมอยดู่ ้วย
๒. “ทสมครนั ถ์” แปลวา่ “คัมภรี ์ของพระศาสดาพระองค์ท่ี ๑๐” เป็นชุมนุมบทนิพนธข์ อง
พระศาสดาครุ โุ ควินทสงิ ห์ พระศาสดาพระองคท์ ี่ ๑๐ ซึง่ รวบรวมข้ึนในสมยั หลงั จากพระ
คัมภรี แ์ รกประมาณร้อยปีข้อความในพระคมั ภีร์น้ันเป็นบทกวรี วมทัง้ สิ้น ๒๙,๔๘๐ โศลก
จัดเปน็ คาฉนั ท์ ๓๑ ประเภทท้ังนี้ การสวดเจรญิ ธรรมพระมหาคัมภีร์ แบ่งเปน็ ๒ ลกั ษณะ
คือ
๑. “อคนั ด์ปาธ” คอื การสวดเจริญธรรมพระมหาคมั ภรี ค์ ุรุครนั ถ์ซาฮบิ อยา่ งตอ่ เนื่องจน
สมบูรณไ์ ม่มีการหยุดพัก ซ่ึงจะใชเ้ วลาประมาณ ๔๘ ช่วั โมง
๒. “ซาดารนั ปาธ” คอื การสวดภาวนาเจรญิ ธรรมพระมหาคัมภีรค์ รุ คุ รนั ถ์ซาฮบิ โดยไม่
ต่อเน่ืองตามแตโ่ อกาสอานวย จะเป็นการสวดในเคหสถานของตนหรือในศาสนสถานก็ได้
หลกั คาสอนของศาสนาซิกขห์ ลักคาสอนท่สี าคัญของศาสนาซกิ ข์ เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมาย
สูงสดุ คือการเข้าถึงสขุ อันเปน็ นิรนั ด์หรือนิรวาณ ประกอบด้วยหลกั ๕ ประการไดแ้ ก่
๑. ธรมั ขัณฑ์ คือ การประกอบกรรมดี
๒. คอิ านขณั ฑ์ คือ การมปี ญั ญา
~ 44 ~
๓. สรันขัณฑ์ คอื ความปตี อิ ิ่มเอบิ ใจในธรรม
๔. กรมั ขณั ฑ์ คือ การมกี าลังจติ แน่วแนม่ ่ันคงไมห่ วาดกลวั
๕. สจั ขณั ฑ์ คอื การเข้าถึงสจั จะ หรือการหลอมรวมเป็นอันหน่งึ อนั เดียวกบั พระผู้เปน็ เจา้
ศาสนาซิกขย์ งั ได้กาหนดระเบียบวนิ ยั ในการปฏิบัตติ น ดังนี้
๑. วนิ ยั ทางกาย คอื การให้บริการผอู้ น่ื ทางกายและวาจา เชน่ การใหท้ าน
๒. วินัยทางศลี ธรรม คือ การเลยี้ งชพี โดยชอบธรรม ไมม่ ีความเหน็ แกต่ ัว
๓. วนิ ยั ทางจิตใจ คือ ความเชื่อมั่นในพระเจ้าองค์เดยี ว ซงึ่ อยู่เหนอื กาลเทศะและเทพ
ทัง้ หลาย
อนงึ่ ชาวซกิ ข์ได้นาคาสอนเรื่องตา่ ง ๆ มาเป็นหลักปรัชญาในการดาเนินชีวติ ที่สาคัญหลาย
ประการ อาทิ
๑. การบรรลถุ ึงพระเจ้า (อกาลปุรัข) จดุ ม่งุ หมายสาคัญในการดาเนินชีวติ ชองชาวซกิ ข์คือ
การบรรลุถึงพระผเู้ ป็นเจ้า ซงึ่ จะเกิดข้ึนได้ดว้ ยการปฏบิ ัตธิ รรม การสรรเสรญิ และภาวนา
นาม “วาเฮค่ รุ ุ” ของพระผู้เป็นเจา้ เหตุที่ตอ้ งปฏบิ ตั เิ ชน่ นี้ เพราะโดยทั่วไปจิตใจของมนุษย์
จะมีความชั่ว ๕ ประการ ประกอบดว้ ย ตณั หาความโกรธ ความโลภ ความยดึ ติดหรอื ความ
หลง และความอหงั การ เปน็ สิ่งทขี่ ัดขวางทาให้มนษุ ยไ์ ม่สามารถเขา้ ถึงพระผเู้ ปน็ เจ้าได้ การ
สรรเสริญและสวดภาวนานามของพระผ้เู ป็นเจ้าจึงทาให้บุคคลสามารถดาเนินชีวิตไดโ้ ดยไม่
ตกอยภู่ ายใต้อานาจของความชว่ั เหล่านั้น
๒. การทาเขว่า เปน็ หลักปฏบิ ัตทิ ี่สาคัญในการดาเนนิ ชีวติ ของชาวซิกข์ หมายถงึ การรบั ใช้
และบริการต่อชมุ ชน สงั คม ด้วยทางกาย วาจา และใจ โดยไม่หวงั ผลตอบแทน ควบคู่กบั
การราลกึ ถงึ พระผ้เู ป็นเจ้าด้วยการสวดภาวนาสรรเสริญคุณความดขี องพระผู้เปน็ เจ้า การ
ทาเขวา่ จงึ เป็นการสอนใหช้ าวซิกข์เสยี สละเพือ่ ชมุ ชนและสงั คมในฐานะท่ีตนเป็นสว่ นหนึง่
ของสงั คม และเป็นการแสดงออกถงึ ความอ่อนน้อมถ่อมตนตามคาสัง่ สอนของพระศาสดา
ครุ นุ านักเทพทีว่ า่ “ความอ่อนหวานและการถ่อมตนน้ันเปน็ แกน่ แหง่ ความดี
และคุณธรรมทัง้ ปวง”
๓. ความเชอื่ ม่ันในความเท่าเทยี มกนั ของมนษุ ย์ ดังปรากฏในคาสอนของพระศาสดาครุ ุนา
นกั เทพท่วี ่า “มนษุ ยท์ ้งั หลายมีพระบดิ าองค์เดียวกนั เราทั้งหลายเปน็ บตุ รของพระองค์ เรา
จึงเป็นพน่ี อ้ งกัน มนุษยชาติท้ังหลายเป็นหน่งึ เดียวกนั ทกุ คนมีเกยี รตเิ ทา่ กัน เพราะเขาเป็น
~ 45 ~
คนมาจากพระผู้เปน็ เจา้ ” ศาสนาซิกขจ์ งึ ยดึ มนั่ ในความเท่าเทียมและเสมอภาคกนั ของ
มนษุ ยท์ ุกคน พร้อมท้ังปฏเิ สธระบบการถือวรรณะและการแบ่งแยกมนุษย์ตามเพศ ศาสนา
ฐานะ เช้อื ชาติ หรอื สีผวิ
๔. ความเชอ่ื วา่ ชีวติ ไม่ใชส่ ่ิงช่วั ร้ายโดยกาเนิด แต่ถือกาเนิดจากความเมตตาของพระผเู้ ปน็
เจา้ พระองค์ทรงสร้างและประทานคาสอนใหแ้ ก่มนุษย์ เพื่อให้มนุษย์เข้าใจจดุ ประสงค์ที่
แท้จรงิ ในโลกนี้
และนามนุษย์กลับสูจ่ ุดกาเนิดเดิม คือ พระผู้เป็นเจา้ ดังน้ัน คาสอนในศาสนาซิกขจ์ ึง
ส่งเสริมให้เช่ือในความหวังและการมองโลกในดา้ นดี ผสู้ ืบทอดศาสนา
ศาสนาซกิ ข์ไม่มพี ระหรอื นักบวช นกั บุญ เนอ่ื งจากพระศาสดาทรงเลง็ เหน็ ว่า ศาสนกิ ชน
โดยท่วั ไปมักจะไมส่ นใจท่ีจะศึกษาและปฏิบัตติ ามพระธรรม จะมอบหนา้ ที่การผดงุ รักษา
ศาสนาไว้แก่พระหรือนักบวชของตนการประกอบพธิ กี รรมต่าง ๆ จาต้องพึง่ นักบวช ทาใหม้ ี
การถือชั้น วรรณะ และฐานะทางสงั คมต่างกนั เมอื่ มีภยั มาถึงไมม่ ีศาสนกิ ชนใดจะออกมา
ปกป้องศาสนาและความเช่อื ของตน พระศาสดาจงึ มอบหมายให้ศาสนิกชนแมว้ า่ จะดารง
ชีวิตในรูปของฆราวาส ใหศ้ ึกษาธรรม ปฏบิ ตั ิธรรม ทาหน้าท่เี ผยแพรศ่ าสนา
และความเชื่อถือของตน ในปัจจุบนั เนื่องจากศาสนิกชนมจี านวนมาก มีภารกิจหน้าที่
มากมาย จงึ มอบหน้าทก่ี ารอบรมสอนพระธรรมศาสนวนิ ัยแก่ผู้ทไี่ ด้ร่าเรียนศาสนกิจมา
โดยเฉพาะ เรยี กว่า “ศาสนาจารย์-ครนั ธี”เป็นผู้ทาหนา้ ท่ีนีแ้ ทน เขาจะดารงชวี ติ ในรูปของ
ฆราวาสทวั่ ไป ด้วยเหตผุ ลน้ชี าวซิกขท์ ุกคนจะเรียนภาษา “ปัญจาบี-ครุ ุมขุ คี” เพื่อทจี่ ะ
สามารถอ่านและเขา้ ใจพระธรรมในพระมหาคัมภรี ศ์ รคี รุ ุครันถซ์ าฮบิ ได้
ขอ้ ปฏิบตั ิของศาสนาซิกข์
ศาสนาซกิ ขม์ ีข้อปฏิบัติในชีวติ ประจาวนั ดังนี้
๑. การสวดมนต์
ดว้ ยพระเมตตาและดว้ ยพระประสงคข์ องวาเฮค่ ุรุ และดว้ ยหลกั แห่งสัจธรรมวา่ ด้วยการตื่น
นอนตามปรกติวสิ ัยของมนุษย์ ซิกข์ผนู้ อนหลบั ยามราตรจี ะลุกขนึ้ ตน่ื ก่อนพระอาทติ ย์ข้นึ
พร้อมยกมือพนมเปลง่ สานวนวาเฮ่ครุ ุ อนั หมายถึงการยกย่องขอบคุณพระองค์ท่ีได้ประทาน
ความสขุ ยามราตรี และใหโ้ อกาสตืน่ ขึ้นมาอกี วันหน่งึ เพื่อจะระลกึ ถึงพระองคแ์ ละดาเนนิ
ชีวิตตามแนวทางของพระองค์ชาวซกิ ขจ์ ะอาบนา้ ชาระกาย แตง่ ตัวสุภาพพร้อมคลุมศรี ษะ
~ 46 ~
ดว้ ยผ้าโพกศีรษะในเพศชายและดว้ ยผา้ บาง ๆในเพศหญงิ จากนน้ั จะเขา้ ไปห้องประดษิ ฐาน
พระคมั ภีรพ์ ร้อมสวดขอพรซึ่งเราเรยี กว่า “อัรดาส” (Ardas)
การสวดขอพรคร้งั น้ีเป็นการสวดขออนุญาตที่จะอัญเชญิ เปิดพระมหาคัมภีร์ซ่ึงเราเรยี กวา่
ประกาช (Parkash)ศาสนิกชนทป่ี ระสงคจ์ ะสวดคุรมุ นต์ต่างหากเอกเทศ ทุกท่านที่อ่าน
อักษรทล่ี ขิ ิตไว้ในพระมหาคมั ภีรค์ รุ ุครนั ถ์ซาฮิบสามารถขึ้นนัง่ บนทป่ี ระทบั สวดไดไ้ มจ่ ากัด
ถงึ เพศหรอื วรรณะจากนั้นจะน่ังบนแทน่ พร้อมเปดิ พระมหาคัมภีร์ดว้ ยความเคารพและดว้ ย
ความสารวม พระมหาคัมภรี จ์ ะถกู สุ่มเปดิ เพ่ือนาพระวจนะจากยอ่ หนา้ สดุ ทา้ ยทางหน้า
ขวามือมาอา่ นจนถงึ ย่อหนา้ ถัดไปของหน้าทางซา้ ยมือ เหตุผลก็เพอื่
ให้ผู้อ่านและผู้ฟังสามารถเข้าใจพระวจนะคติทุกวันวนั ละเลก็ วันละนอ้ ย และให้นาไป
ประยุกต์ในชีวิตประจาวนั พร้อมบอกกล่าวใหค้ นในครอบครวั มติ รสหายไดร้ ู้ไดเ้ ข้าใจด้วยคา
อธิบายทเี่ รียบง่ายชาวซิกข์ต้องสวดมนตจ์ ากพระมหาคมั ภีร์ทกุ ๆ วนั วนั ละห้าบท คือ ยัปยี
ซาฮบิ (Japji Sahib)ยาป ซาฮิบ (Jap Sahib) สวยั ยะ (Saviya) เจาวปี ซาฮิบ (Chaupi
Sahib) และ อนนั ท ซาฮบิ (Anand Sahib)ซ่ึงจะใชเ้ วลาท้งั หมดประมาณ ๓๐ – ๔๐ นาที
จากนน้ั ชาวซกิ ข์จะสวดขอพรหรอื อัรดาสอกี ครงั้ หนึ่ง
๒. อรั ดาส (Ardas)
ก่อนจะดาเนนิ การใด ๆ ไม่ว่าทางศาสนาหรือทางสังคมประเพณี ชาวซกิ ข์จะสวดขอพรจาก
พระศาสดาซ่งึ มีเนื้อหาหมายความดังตอ่ ไปน้ี “ขา้ แต่พระศาสดานานกั องคป์ ฐมบรมศาสดา
~ 47 ~
แห่งศาสนาซิกข์ และพระศาสดาอนื่ ๆท้ังหลายจวบถึงพระศาสดาคุรโุ คบนิ ดซ์ งิ ห์ ผสู้ ถาปนา
พระมหาคมั ภีร์ ศริ ิคุรุครนั ถ์ ซาฮิบ เป็นพระศาสดานริ ันดรก์ าลแหง่ ศาสนาซิกข์ ขอพระองค์
ได้โปรดเมตตาประทานพรให้....... (พร้อมกล่าวกจิ กรรมหรือการรอ้ งขอทต่ี ้องการ)
ท้ายทสี่ ดุ บทอรั ดาสจะจบลงด้วยศาสนสานวนท่วี ่า “นานกั นาม จัรดี กาลา เตเร่ ปาเน่
ซารบธั ดา ปารา่ ”อนั หมายถึงวา่ ในนามของพระศาสดานานักขอความรกั และสนั ติสขุ จง
ประสบแด่มนุษยชาตทิ ั้งหลาย จะเห็นไดว้ า่ บทสวดขอพรของศาสนาซิกข์ไม่ใช้เปน็ การขอ
พรเพ่ือชาวซกิ ขเ์ ทา่ นั้น หากแตเ่ ปน็ การร้องขอให้พระองค์ทรงประทานพรและเมตตาแดช่ น
ทุกชน้ั ทุกวรรณะ ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา โดยเท่าเทยี มกนั
๓. การแบง่ ปัน
ชาวซกิ ข์เชื่อในกฎแหง่ กรรม เชือ่ วา่ ผู้ใดท่ไี ด้กระทาความดจี ะได้รับผลบุญในรูปของความสขุ
ผ้ใู ดท่กี ระทากรรมช่ัวจะเปน็ ทุกขไ์ ร้ซ่งึ ความสุข การทาบุญทากศุ ลไมส่ ามารถจะหกั ลา้ งบาป
ที่ตัวเองได้ก่อไวแ้ ต่จะสะสมบุญท่ตี ัวเองได้สรา้ งไว้ ฉะนน้ั ตามความเช่อื แห่งศาสนาซิกข์ บุญ
อยสู่ ่วนบุญ บาปอยู่ส่วนบาปไม่สามารถหกั ล้างกันได้ ดว้ ยเหตผุ ลนมี้ นุษย์ทกุ คนจงึ มีชีวิตท่ี
ลุม่ ๆ ดอนๆ กล่าวคือมีทกุ ข์บ้างมสี ขุ บา้ งสลับกนั ไปตามกรรมของตนเอง การทาบุญท่สี ูง
~ 48 ~
ท่สี ุดของชาวซิกขค์ ือการแบง่ ปันเพื่อผู้อ่นื ท่ีขาดแคลนและเพอื่ สงั คมที่ถูกลิดรอนโอกาส ใน
ศาสนาซิกขไ์ ม่มผี ดู้ ้อยโอกาส มีแต่ผทู้ ีโ่ อกาสยงั มาไมถ่ ึง ฉะน้ันการแบง่ ปันจงึ เป็นการ
ชว่ ยเหลือเพ่ือนมนุษย์ท่โี อกาสยังไมอ่ านวย สาหรับชาวซิกขน์ บั เป็น ศาสนวินยั และเป็นศา
สนบญั ญตั ิที่ตอ้ งบริจาคสิบเปอร์เซ็นตข์ องรายไดห้ ลงั จุนเจือครอบครัวของตนเองแลว้
เพื่อจรรโลงไวซ้ ่ึงสงั คม ไมใ่ ช่ศาสนา เราเรียกการแบง่ ปันนี้ว่า “ดสั วันต์” หรือ รอ้ ยชักสิบ
ทง้ั นก้ี ารแบ่งปันจะไม่มีการบังคับเรยี กร้องแต่อย่างใด ให้เป็นไปตามดลุ พนิ ิจและศรทั ธาของ
แต่ละบุคคล ตวั อยา่ งหนง่ึ ของการแบ่งปนั จะเหน็ ได้ในครุ ดุ วาราหรอื ศาสนสถานวัดซิกข์ทุก
แหง่ ท่วั โลก แม้กระทงั่ ในศาสนสถานวดั ซกิ ขใ์ นกรงุ เทพมหานครคอื ลงั การหรือครวั พระ
ศาสดา จะมีการแจกจา่ ยอาหารใหศ้ าสนิกชนทุกคนทุกศาสนาไมจ่ ากัดเพศ วัย เช้ือชาติ
หรอื วรรณะ แม้คราวใดทีเ่ พื่อนมนษุ ย์ได้รบั ความเดือดร้อนจากภัยพบิ ตั ิทางธรรมชาติ หรอื
ภัยพบิ ตั ดิ ว้ ยน้ามอื ของมนษุ ย์เอง องค์กรทางศาสนาซกิ ขจ์ ะร่วมมือกับศาสนิกชนชาวซิกข์
และศาสนาอ่ืน ๆ ในการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยหลงั จากประกอบพิธีกรรม
ทางศาสนาสน้ิ สดุ ลงอยา่ งสมบูรณ์ ศาสนาจารย์และศาสนิกชนลกุ ขน้ึ ยนื สวดอรั ดาส ซึ่งจะ
กระทาการอัรดาสในทุกครั้งท่ีสวดครุ ุมนต์จบโดยสมบรู ณก์ ารบริจาคโลหิตเพ่ือช่วยชีวิต
เพอื่ นมนษุ ย์เปน็ ตวั อย่างของการแบ่งปนั อกี ประเภทหนง่ึ ที่ชาวไทยซิกขร์ ว่ มมอื กบั
สภากาชาดไทยดาเนนิ การด้วยดีตลอดมาจวบจนทุกวนั นี้
๔. การแต่งกาย
ชาวซิกข์ทัง้ หญงิ ชาย จะแต่งกายแบบไหนก็ได้เพียงแต่การแตง่ กายนัน้ จะต้องสุภาพไมอ่ จุ าด
สายตาแก่ผพู้ บเห็น สิ่งท่ีสาคัญชายชาวซิกข์จะต้องโพกผา้ ศีรษะทเี่ ราเรียกวา่ “ดสั ตาร”
(Dastar) สว่ นหญงิ การแต่งกายแบบสากลนิยม ถงึ แม้ไมใ่ ช่ต้องห้ามแต่มักปรากฏว่าสตรีชาว
ซิกข์มักจะไมน่ ยิ มสวมใส่นอกจากเวลาทจ่ี ะต้องไปทางานต่างสานักงานตามความจาเป็น
โดยปรกติสตรชี าวซิกขจ์ ะแตง่ กายดว้ ยชุดซลั วาร์-กามซี (Salwar-Kameez) คอื เสอื้ มแี ขน
ความยาวของเส้ือถึงเขา่ หรือยาวกว่าและกางเกงหรู ดู ขายาว สีสันและเน้อื ผ้าให้เปน็ ไปตาม
สมยั นยิ มและรสนิยมของผสู้ วมใส่ แตส่ ิง่ ท่ีจะขาดไม่ได้คือดูบัดตา (Dubatta) ซ่ึงหมายถึงผ้า
คลุมศีรษะ สีสนั และแพรพรรณก็เช่นเดียวกันให้เปน็ ไปตามความชอบของผู้สวมใส่ แต่
จะต้องกวา้ งยาวพอทจี่ ะคลุมศีรษะได้มิดชิด ดูบัดตาที่ไดก้ ล่าวข้างต้นนีไ้ มใ่ ชเ่ ป็นผา้ คลุม
~ 49 ~