The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือเรียนเล่มนี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการออกแบบและผลิตสื่อการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย(21543602)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pond Kaku, 2023-02-17 01:02:13

รอบรู้หลักภาษาตื่นตาไปกับภาษาไทย

หนังสือเรียนเล่มนี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการออกแบบและผลิตสื่อการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย(21543602)

รอบรู้ห รู้ ลักภาษา ตื่นตาไปกับภาษาไทย ชั้น ชั้ มัธ มั ยมศึก ศึ ษาปีที่ ๓ นางสาวกนกอร คำ พิลพิา นางสาววิลวิาวัลวัย์ สิงสิห์เสนา สาขาวิชวิาภาษาไทย คณะครุศ รุ าสตร์ มหาวิทวิยาลัยราชภัฏสกลนคร


เรียรีบเรียรีงโดย นางสาวกนกอร คำ พิลพิา รหัสหันักศึกษา ๖๓๑๑๕๒๔๕๒๑๖ นาวสาววิลวิาวัลวัย์ สิงห์เสนา รหัสหันักศึกษา ๖๓๑๑๕๒๔๕๑๑๕ สาขาวิชวิาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทวิยาลัยราชภัฏสกลนคร


ภาษาไทยเป็นเครื่องมือสื่อสารของคนในชาติ ความสามารถในการใช้ภาษาเป็นเครื่องมือ สื่อสารของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมีเป็นพื้นฐานคือหลักการใช้ภาษาไทย ทั้งนี้ ต้องอาศัยการศึกษาเรียนรู้และแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่น่าเชื่อถือ หนังสือ รอบรู้หลักภาษา ตื่นตาไปกับภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ เล่มนี้ เหมาะอย่างยิ่ง สำ หรับใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ เนื่องจากมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการ ใช้หลักภาษาตรงตามตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพท้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เนื้อหาแบ่งเป็น ๗ บท เนื้อหามีความกระชับ มีภาพประกอบสวยงามสอดคล้อง มีเกร็ดความรู้เพิ่มเติมเสริมให้ รวมถึงคำ ถามชวนคิด คำ ถาม ท้ายบท และแบบทดสอบหลังเรียนพร้อมเฉลยท้ายเล่ม ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ ๓ ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย (K) ทักษะพิสัย (P) และจิตพิสัย (A) ผุู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือ รอบรู้หลักภาษา ตื่นตาไปกับภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ เล่มนี้ จะช่วยส่งเสริมความรู้และความเข้าใจในเรื่องหลักการใช้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ ได้ตามสมควร คำ นำ กนกอร คำ พิลา วิลาวัลย์ สิงห์เสนา ก


สารบัญ บทที่ ๑ ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย……………………………….๑ การยืมภาษา………………….……………………………..….๑ ภาษาจีนในภาษาไทย………………………………………..๔ ภาษาเขมรในภาษาไทย…………………………….……….๗ ภาษาอังกฤษในภาษาไทย…………………………………..๑๐ แบบทดสอบบทที่ ๑………………………………………….๑๖ บทที่ ๒ คำ ทัพย์ศัพท์และศัพย์บัญญัติ………………………………..๑๘ คำ ทับศัพท์………………….……………………….…….….๑๙ หลักเกณฑ์การทับศัพท์……………………………………….๒๐ ศัพท์บัญญัติ…………….…………………………….……….๒๓ หลักเกณฑ์การบัญญัติศัพท์…………………………………..๒๓ แบบทดสอบบทที่ ๒…………………………………………..๒๖ บทที่ ๓ ระดับภาษา………………….………………………………….๒๘ ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดระดับภาษา.……………….….……..….๓๑ การแบ่งระดับของภาษา……………………………………….๓๒ แบบทดสอบบทที่ ๓…………………………………………..๓๘ บทที่ ๔ คำ ราชาศัพท์………………….……………………….……….๔๐ ความเป็นมาของคำ ราชาศัพท์...……………….….……..….๔๑ ชนิดของคำ ราชาศัพท์……………………………………..….๔๒ แบบทดสอบบทที่ ๔…………………………………………..๔๗ บทที่ ๕ กำ เนิกเกิดโคลง……………….……………………….………๔๙ ความเป็นมาของโคลงสี่สุภาพ...……………….….……..….๕๐ แผนผังโคลงสี่สุภาพ……………………………………….….๕๑ ลักษณะบังคับของโคลงสี่สุภาพ……………………….……..๕๒ แบบทดสอบบทที่ ๕…………………………………………..๕๗ บรรณานุกรม…………..……………….……………………….………๕๙ ข


ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย การยืมภาษา ภาษาจีนในภาษาไทย ภาษาเขมรในภาษาไทย ภาษาอังกฤษในภาษาไทย บทที่ ๑


ความหมายของภาษา ภาษา หมายถึง ถ้อยคำ ที่ใช้พูดหรือเขียนเพื่อสื่อความหมายของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาเขมร เป็นต้น หรือเพื่อสื่อความเฉพาะวงการ เช่น ภาษาราชการ ภาษาพูด ภาษาเขียน เป็นต้น ภาษายังรวมไปถึงการใช้เสียง ตัวหนังสือ หรือกิริยาอาการที่ใช้ สื่อความได้อีกด้วย เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน ภาษาท่าทาง เป็นต้น ราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๕๔, น.๘๖๙) สาเหตุที่ทำ ให้เกิดการยืมภาษา ในอดีตนั้น มนุษย์มีการติดต่อสื่อสารเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับเพื่อนบ้านใน ประเทศต่าง ๆ การใช้ภาษาก็เป็นส่วนหนึ่งของการติดต่อ จึงทำ ให้เกิดการยืมภาษา ของภาษานั้น ๆ มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเสียง คำ ศัพท์ ไวยากรณ์ ด้วยสาเหตุดังต่อไปนี้ ความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติ การติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศย่อมมีการแลกเปลี่ยนภาษาเพื่อให้ใช้ร่วมกับและ เข้าใจซึ่งกันและกันได้ เช่น ภาคอีสานของไทยและเพื่อนบ้านจาก สปป.ลาว การแลกเปลี่ยนเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรม ภาษาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมซึ่งสามารถถ่ายทอดกันได้ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการแลกเปลี่ยน ด้านการศึกษา การแลกเปลี่ยนทางด้านเทคโนโลยี ตลอดจนการแลกเปลี่ยนการทำ ธุรกิจ การติดต่อค้าขาย การเจรจาหรือการทำ ธุรกิจต่าง ๆ ภาษาล้วนมีความจำ เป็นต่อการสื่อสาร ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้ามาตั้งแต่่อดีตจึงทำ ให้ภาษาต่าง ๆ เข้ามาปะปนอยู่ในภาษาไทย อิทธิพลทางศาสนา ในสมัยก่อนการติดต่อสื่อสาร และการเรียนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับศาสนาและการเผยแพร่ต่างๆ การเผยแพร่ ศาสนานั้นผู้สอนและผู้เรียนก็ย่อมมีความความใกล้ชิดกัน เช่่น ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มีการเปิดประเทศและ มีมิชชันนารีเป็นผู้สอนหนังสือ แน่นอนว่าย่อมมีอิทธิพลของภาษาข้องด้วย นอกจากนี้ยังมีอิทธพล ความสัมพันธ์ทางด้านประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยเคยสู้รบกับเพื่อนบ้านเพื่อรักษาดินแดนไทยไว้ อีกประการยังมีการเจริญสัมพันธไมตรีอีกด้วย ๑


การเปลี่ยนแปลงของภาษา ภาษาเป็นสิ่งที่คนเราใช้พูดและติดต่อสื่อสารกันอยู่เป็นประจำ แต่ภาษานี้มีการเปลี่ยนแปลง อยู่ประจำ โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ ทำ ให้ไม่รู้สึกว่าภาษามีการ เปลี่ยนแปลง แต่สามารถเทียบเพื่อดูความเปลี่ยนแปลงได้กับภาษาในยุคต่าง ๆ เช่น สมัยสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา ตลอดจนสมัยรัตนโนสินทร์ตอนต้น และปัจจุบัน โดยอิทธิพลที่มำ ให้ภาษาเกิด การเปลี่ยนแปลง มีดังนี้ ๑. สภาพทางภูมิศาสตร์ สภาพความเป็นอยู่ของมนุษยที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและสภาพทาง ภูมิศาสตร์ สภาพินฟ้าอากาศ ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของภาษาในการสื่อสาร ของมนุษย์ เช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในแถบอากาศที่หนาวจัดนั้นเวลาที่พูดมักจะไม่ค่อย เปิดปากกว้างเวลาพูด หรือผู้ที่อยู่ในสภาพอากาศที่แร้นแค้นเวลาพูดมักจะมีเสียงที่แข็งกระด้าง ในขณะเดียวกันผู้ที่อาศัยอยู่ในแถบที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมักมีการพูดที่มีน้ำ เสียงอ่อนหวาน และไพเราะ ๒. ความสะดวกในการใช้ภาษา สาเหตุที่ภาษามีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลง เรื่องเสียงนั้น มีผลมาจากการออกเสียงที่ผู้พูดรับภาษาอื่นมาแล้วไม่ สามารถออกเสียงได้ จึงอกเสียงด้วยความสะดกวของและความถนัด ของตนเองทำ ให้ภาษาหรือเสียงที่เปล่งออกมานั้นมีความคลาดเคลื่อน จากภาษาแม่ที่เป็นภาษาต้นกำ เนิดนั่นเอง ๓. การเรียนภาษาที่ยังไม่สมบูรณ์ของเด็ก การพูดภาษาของเด็กมี ๕ ระยะ ได้แก่ ๑) ออกเสียงพูดให้เด็กได้ยิน ๒) เกิดเป็นรูปเสียงขึ้นในใจของเด็ก ๓) การเลียนออกเสียงพูดของเด็ก ๔) การจำ รูปเสียงได้ของเด็ก ๕) การรู้จักใช้อวัยวะเสียงเพราะจำ ได้ การพูดของ เด็กทั้ง ๕ ระยะนี้ จะมีลักษณะการพูดที่สมบูรณ์นั้นเป็นไปไม่ได้ การฝึกหัดออกเสียงต่าง ๆ นั้นย่อมมาจากการฝึก จากผู้ใหญ่ ทำ ให้การออกเสียงของเด็กนั้นมีทั้งความชัดเจนและมีสำ เนียงที่เปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งเป็นผลทำ ให้ภาษาเกิดการเแลี่ยนแปลงจากการเลียนเสียงของเด็กจากผู้ใหญ่ได้ ๒


ที่ประเทศไทยไม่มีหิมะ เป็นเพราะอยู่ตรงโซน Equator ซึ่งเป็นโซนที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ๔. สังคมทำ ให้ภาษาเปลี่ยน ภาษาที่ใช้อยู่ในสังคมนี้เป็นภาษาที่ใช้ในสังคมเดียวกันแต่มีความแตกต่างกันตามสภาพสังคมและบุคคล การเปลี่ยนแปลงชนิดนี้จะเกิดขึ้น็ต่อเมื่อรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งของหน่วยเสียงกลายเป็นที่นิยมและทำ ให้ ภาษามีการใช้ที่เพิิ่มขึ้น และภาษาที่เคยใช้มาก่อนนั้นมีความนิยมใช้ลดลง ๕. การเปลี่ยนแปลงจากการยืม การยืมสามารถทำ ให้ภาษาเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นเสียง ไวยากรณ์ คำ โครงสร้างต่าง ๆ ประโยค ซึ่งการยืมนับว่าเป็นสาเหตุ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของภาษา รู้หรู้รือรืไม่ ๓ ลักษณะของคำ ยืม คำ ที่ใช้ในภาษาไทยโดยส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เป็นคำ ไทยอย่างแท้จริง เป็นเป็นการใช้ คำ ที่มีการยืมคำ จากภาษาต่างประเทศมาใช้ปะปนอยู่จนเกือบแยกไม่ออกว่าคำ ใดเป็นคำ ไทย แท้และคำ ใดที่เป็นคำ ยืม เพราะคำ ยืมที่ใช้อยู่ในปัจจุยันเป็นคำ ที่มีกรยืมมาใช้เป็นเวลานาน ทำ ให้มีความกลมกลืนกันกับภาษาไทยจนแยกไม่ออก ในการยืมคำ จากภาษาหนึ่งไปใช้กับ อีกภาษาหนึ่งนั้นสามารถทำ ได้ ๓ ลักษณะ ดังนี้ การทับศัพท์ การทับศัพท์ (Phonetic Substitution) เป็นวิธีการยืมคำ จากภาษาหนึ่งไปใช้ ในอีกภาษาหนึ่งโดยตรง ไม่มีการ เปลี่ยนแปลงรูป คือ พยายามรักษา ลักษณะเด่นของภาษาที่ยืมมาเอาไว้ เช่น tennis=เทนนิส kiwi= กีวี suit=สูท bonus=โบนัส การแปลศัพท์คำ ยืม การแปลศัพท์คำ ยืม (Loan word translation) การยืมความมหมายของ อีกภาษาหนึ่งมาใช้โดยการแปลความ หมายของศัพท์ชนิดคำ ต่อคำ ในส่วน ของเรื่องเสียงไม่นับว่าสำ คัญแต่การ แปลมักมีการประสมสำ นวนการพูด เช่น black=แกะดำ star=ดารา standpoint=จุดยืน การยืมความหมาย การยืมความหมาย (Meaning borrowing) เป็นการยมความหมายที่ซึ่งแต่เดิมแล้ว ไม่มีใช้อยู่ในภาษาของตนเอง เป็นการ ยืมและสร้างคำ ใหม่เพื่อใช้กัความหมาย ที่ยืมมา ส่วนมากเป็นคำ ที่ใช้เฉพาะใน วงการวิชาการต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยความรู้ จากต่างประเทศ เช่น วงการแพทย์ การศึกษาการเมือง และคำ ศัพท์ใน วงการเฉพาะต่าง ๆ เช่น seminar=สัมมนา, report=รายงาน


"และให้พระสรัศรัวดีบอกให้เจ้าพระยาหลวงเจ้าราชนิกุลขุนหมื่นนอกกรุง ในหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา ฝ่าฝ่ยทหารพลเรือรืน พม่า ลาว มอญ ขอม ไทยใหญ่ ชองจีน จามคูลา กะลาสี พราหมตะนาว ญี่ปุ่ญี่ปุ่น ญวน ฝ่าฝ่รั่ง รั่อังกอัฤษ วิลัวิลันดา ต่างประเทศทั้งปวง อย่าย่ ได้หลงเลอ ให้ทำ ตามพระราชบัญญัตินี้ทุกประการ" ๒.๑ คำ ซ้อน ภาษาจีน ภาษาไทย เผิงโหย่ว (พวก+เพื่อน) สหาย ไหม่ไหม้ (ซื้อ+ขาย) การซื้อขาย ลักษณะของภาษาจีน ๔ ภาษาจีนในภาษาไทย ประเทศไทยมีการติดต่อกับประเทศจีนมาเป็นเวลาช้านานดังที่ปรากฏใน พระราชกำ หนดของพระเอกาทศรสตอนหนึ่งว่า ภาษาจีนเป็นภาษาคำ โดด ซึ่งไม่มีวิธีการเติมคำ เหมือนภาษาตระกูลทิเบต-พม่า และตระกูล มอญ-เขมร และเป็นคำ พยางคเดียว ระดับเสียงวรรณยุกต์เป็นเครื่องแปลงแปลงเสียงให้มีความหมาย ต่างออกไป โดยภาษาจีนมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาษาไทยทั้งเรื่องเสียงและวากยสัมพันธ์ ดังนี้ เป็นคำ พยางค์เดียวและไม่มีเสียงพยัญชนะควบกล้ำ แต่ละคำ สามารถนำ ไปใช้ได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนรูปคำ เช่น ภาษาจีน "มี่" ความหมายในภาษาไทยคือ ข้าวสาร ภาษาจีน "ฟ่าน" ความหมายในภาษาไทยคือ ข้าวสุก ภาษาจีน "พะ" ความหมายในภาษาไทยคือ ตี สร้างคำ ใหม่โดยใช้ลักษณะของคำ ซ้อน คำ ซ้า และคำ ประสม


๒.๒ คำ ซ้ำ ภาษาจีน ภาษาไทย เหยินเหยิน (คน+คน) ทุกคน เทียนเทียน (วัน+วัน) ทุกวัน ๒.๓ คำ ประสม ภาษาจีน ภาษาไทย หมิงเทียน (สว่าง+วัน) พรุ่งนี้ เาี่ยวซิน (เล็ก+ใจ) ระวัง ๕ ภาษาจีนไม่มีคำ นำ หน้านาม หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Aticle ภาษาจีนมีลักษณะนาม (classifiers) ซึ่งคำ ลักษนะนามข้างล่างนี้จะอยู่หลัง คำ บอกจำ นวนนับแต่อยู่หน้าคำ นาม เช่น ภาษาจีน ภาษาไทย กี แห่ง อัน เตี้ยว สาย เตือ แผ่น คำ เดียวมีหลายความหมายแล้วแต่ว่าจะวางไว้ในส่วนใดของประโยค การเรียงคำ ในประโยคประกอบด้วย ประธาน ตามด้วยบทคำ กริยาและบทกรรม ประธาน+กริยา+กรรม เช่น ฉัน ตี เขา ภาษาจีนมีเสียงสูงต่ำ ตามระดับเสียงของวรรณยุกต์และเป็นผลทำ ให้ความหมายของ ภาษาเปลี่ยนแปลงตามเสียงนั้นด้วย เช่น หม่า=ม้า ม้า=กบ ม่า=ด่า หมา=งา


๖ ในสมัยอยุธยาเริ่มมีการเปิดประเทศและ มีการติดต่อค้าขายกับชาติต่าง ๆ และจีน เป็นประเทศที่ได้เข้ามาค้าขายกับไทยตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา ทำ ให้การยืมคำ ภาษาจีน มาใช้นั้นพบได้มาก รู้หรู้รือรืไม่ ? ลักษณะของภาษาจีนที่แตกต่าง จากภาษาไทย ๑. ตำ แหน่งการวางลักษณะคำ นามต่างกัน ๒. คำ ขยายคำ นามและคำ ขยายคำ กริยาอยู่ ตำ แหน่งต่างกัน ลักษณะเฉพาะของคำ ยืมภาษาจีนในภาษาไทย การยืมคำ ภาษาจีนมาใช้ในภาษาไทย ส่วนมากนั้นจะเป็นการยืมคำ จากภาษาพูดซึ่งการยืมชนิดนี้ทำ ให้ เกิดการเแลี่ยนแปลงของเสียงได้โดยง่าย โดยเฉพาะเสียงของวรรณยุกตืที่เกิดจากการฟังและการพูดที่ไม่ ชัดเจน ซึ่งวิธีการยืม มีดังนี้ ๑. ทับศัพท์ คือ การออกเสียงตรงตามคำ เดิมในภาษาจีน โดยวรรณยุกต์อาจเพี้ยนไปแต่ ความหมายยังคงเดิม เช่น เก้าอี๊ เป็น เก้าอี้ เป็นต้น ๒. ทับศัพท์แล้วเสียงเปลี่ยนไป ลักษณะนี้จะมีการเปลี่ยนมั้งเสียงพยัญชนะ เสียงสระ หรือเสียง วรรณยุกต์ เช่น ฉา เปลี่ยนเป็น ชา ในภาษาไทย เป็นต้น ๓. ใช้คำ ไทยแปลความมหายในภาษาจีน หมายถึง ใช้ภาษาจีนแล้วแปลควมหมายเป็นภาษาไทย ตัวอย่าง ไช้เท้า แปลไทยเป็น หัวผักกาด ๔. ใช้คำ ไทยประสมกับคำ ในภาษาจีนโดยการนำ คำ ภาษาไทยเป็นคำ ต้อง และคำ ในภาษาจีนเป็น คำ ลูก ตัวอย่าง ภาษาไทยคำ ว่า ของ ภาษจีนคำ ว่า ชำ รวมกันเป็น ของชำ ๕. สร้างคำ ใหม่หรือความหมายใหม่ คือการนำ เอาคำ มาใช้ในภาษาไทยเป็นคำ ใหม่แต่ยังบ่ชี้ถึง ความหมายของคำ เดิมอยู่ เช่น เซ้ง แปลว่า รับมรดก ๖. ควาหมายกลาย คือ คำ ในภาษาจีนใข้ในความหมายหนึ่ง แต่ในภาษาไทยกลับนำ มาใช้ ในอีกความหมายหนึ่ง


๗ ภาษาเขมรในภาษาไทย เขมรหรือกัมพูชา มีความสัมพันธกับไทยมาช้านานเนื่องจากเป็นเพื่อนบ้านที่มีสัมพันะไมตรีที่ดีต่อกัน ไทยได้มีการยืมคำ เขมรมาใช้ในภาษาไทย นอกจากการยืมคำ แล้วยังมีได้รับอิทธิพลหลายอย่างมาด้วย คือการปกครองแบบพ่อปกครองลูกที่กลายมาเป็นแบบราชาธิิปไตยหรือพระราชาเป็นดั่งสมมติเทพ ซึ่งไทยก็ได้ยึดถือและปฏิบัติการปกครองในสมัยสุโขทัยเป็นระยะเวลานาน ลัก ลั ษณะภาษาของภาษาเขมร ภาษาเขมรจัดอยู่ในประเภทคำ โดด เป็นภาษาตะกูลมอญ-เขมร (Mon-Khamar Language) ซึ่งมีลักษณะสำ คัญดังนี้ ๑) เสียงและตัวเขียนของภาษาเขมร ๒) การสร้างคำ ๓) ประโยคและการเรียงลำ ดับคำ ๔) การยืมคำ ของภาษาเขมรมาใช้ในภาษาไทย


๘ ๑) เสียงและตัวเขียนของภาษาเขมร ในภาษาเขมรมีตัวอักษรอยู่ ๒ แบบ ได้แก่ อักษรมูลหรืออักษรกลม กับอักษรเชฺรียงหรืออักษรเอน อักษรมูลใช้สำ หรับเขียนหนังสือธรรม เช่น พระคัมภีร์ พระไตรปิฎก หรือหนังสือเทศน์ ส่วนอักษรเชฺรียง มักใช้ในการเขียนภาษาเขมรโดยทั่วไป พยัญชนะ - เขมรมีพยัญชนะ ๓๓ ตัว สระ - สระลอย ๑๘ รูป ใช้เขียนเมื่อไม่ได้ประสมกับพยัญชนะ - สระจม ๒๑ รูป ใช้เขียนประสมกับพยัญชนะ ๒) การสร้างคำ ภาษาเขมรมีการสร้างคำ เหมือนกับภาษาคำ ติิดต่อ คือ มีการเติมหน้าคำ ที่รียกว่าคำ อุปสรรค และมีการเติมคำ กลางคำ ที่เรียกว่าคำ อาคม แต่ไม่มีการเติมท้ายคำ หรือตำ แหน่งที่เรียกว่าคำ ปัจจัย ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างคำ ที่มีความแตกต่างจากภาษาตระกูลคำ โดดอื่น เรียกคำ ลักษณะนี้ว่า คำ แผลง คำ ประเภทนี้พบมากในคำ สองพยางค์ โดยมีการสร้างคำ ดังนี้ ๒.๑ การเติมคำ ข้างหน้าหรือการลงอุปสรรค อุปสรรคคือคำ ข้างหน้าคำ นามหรือคำ กริยา เมื่อเติมคำ ลงไปแล้วทำ ให้คำ เดิมเปลี่ยนหน้าที่ จากเดิมไปเป็นอย่างอื่น ซึ่งคำ อุปสรรคของเขมรนั้นมีหลายตัว ๒.๒ การเติมคำ กลางคำ หรือการลงอาคม การลงอาคม (Infix) คือ การแทรกเสียงกลางคำ ศัพท์ ในภาษาเขมรนั้นมีอาคมอยู่หลายตัว ๒.๓ การซ้อนคำ การซ้อนคำ คือการนำ เอาคำ ที่มีความหมายใกล้เตียงกันมาเข้าคู่กัน เช่น เกฺรียมกฺร็อม แปลว่า แห่วแห้ง แจกจาย แปลว่า แจกจ่าย ลฺเมียดไลฺม แปลว่า พูดช้า ๆ ๒.๔ การประสมคำ การเรียงคำ ในประโยคของภาษาเขมรมีโครงสร้างการเรียงคำ คล้ายกับการเรียงลำ ดับคำ ในภาษาไทย ประกอบด้วย ประธาน+กริยา+กรรม


๓.๑ มีการนำ ตัวเขียนมาใช้ คือ นำ ตัวเขียนในภาษาเขมรมาดัดแปลงใช้เขียนในภาษาไทย ๓.๒ มีการยืมโดยใช้เสียงอ่านตามภาษาเขมรแบบเดิม ๓.๓ เปลี่ยนตัวเขียนและเปลี่ยนเสียงที่ยืมมา ๓.๔ เปลี่ยนเสียงตัวสะกด ข้อสังเกต ๑) เขมรออกเสียง จ ญ ล เป็นตัวสะกดได้ ยกเว้นที่สะกดด้วย ร ซึ่งมีรูปเขียนแต่ไม่ออกเสียง ตัวสะกด ๒) " ่ "เรียกว่า รัสสัญญา จะใส่ไว้เหนือพยัญชนะตัสวสะกดที่มีหน้าที่เปลี่ยนเสียงสระเสียงยาว ให้เป็นสระเสียงสั้นในสระออและสระอาเท่านั้น เช่น จาก่ เปลี่ยนเป็น จัก, กาน่ เปลี่ยนเป็น กัน เป็นต้น ๒.๔.๑ การเรียงคำ ก. ประธานอยู่หน้าคำ กริยาและคำ กริยาอยู่หน้ากรรม เช่น ฉันกำ ลังกินข้าว, ฉันจะกินข้าว ข. คำ คุณศัพท์อยู่หลังนามแะคำ กริยาที่ขยาย เช่น ดอกไม้สวย, บ้านเล็ก, เมืองใหญ่ ค. คำ ลักษณนามอยู่หลังคำ บอกจำ นวน เช่น แปดใบ, ลูกชาย ๑ คน ๒.๔.๒ คำ สำ เร็จในรูปตัว คำ ในภาษาเขมรไม่มีการเปลี่ยนรูปเพื่อแสดงหน้าที่และความเกี่ยวข้องในประโยค ก. คำ นาม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อแสดงเพศ พจน์ การก แต่ใช้คำ อื่นประกอบ เพื่อบอกลักษณะของสิ่งนั้น ข. คำ กริยา ไม่มีการเปลี่ยนรูปเพื่อบอกกาล, มาลา, วาจก แต่ใช้คำ อื่นประกอบเพื่อบอก ๙ ๓) การยืมคำ ภาษาเขมรมาใช้ในภาษาไทย รู้หรือไม่ ? เขมรหรือกัมพูชาในปัจจุบันเคยเป็นเมืองขึ้น ของสยามเมื่อสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๑๐ เมขรก็ตกเป็นเมืองขึ้น ของฝรั่งเศส นับ ที่ ว่ ที่ ค ว่า ว เป็นข้อมูล แก่ รค่า ก่ารศึกษา


๑๐ ภาษาอังกฤษในภาษาไทย อังกฤษได้มีการเข้ามาติดต่อกับไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย โดยการค้าขายสินค้าต่าง ๆ อีกทั้งยังนำ วัฒนธรรมและความเจริญทางด้านเทคโนโลยีเข้ามาเผยแพร่ ในประเทศไทย ทำ ให้เกิดการรับคำ ศัพท์และภาษาเข้ามาในไทยอีกด้วย โดยในช่วงแรกภาษาเหล่านี้ ได้เผยแพร่ในตระกูลช้นสูง แต่ในเวลาต่อมาก็ได้มีการใช้โดยแพร่หลายจนมาถึงปัจจุบัน รูปลักษณะภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็นคำ ที่มีโครงสร้างเดียวกันกับภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต คือ จัดอยู่ในภาษษตระกูลเดียวกัน (indo-Euro]ean) แต่มีรูปลักษณะหลายอย่าง ที่ไม่เหมือนกัน โดยทั่วไปภาษาอังกฤมีรูปลักษณะ ดังนี้ ๑. โครงสร้างพยางค์ มี ๔ แบบ ดังนี้ ๑.๑ มีโครงสร้างพยางค์เดียว เช่น boy cat man girl เป็นต้น ๑.๒ มีโครงสร้างพยางค์ ๒ พยางค์ เช่น father bonus hotel เป็นต้น ๑.๓ มีโครงสร้างสามพยางค์ เช่น computer professor เป็นต้น ๑.๓ มีโครงสร้ามากพยางค์ เช่น dictionary education university ๒. การเน้นเสียง (Stress) สำ หรับคำ ภาษาอังกฤษที่มีสองพยางค์ขึ้นไป การพูดต้องลงเสียงหนักหรือเบาให้ถูกที่ หากลงผิดจะทำ ให้ ความหมายเปลี่ยน เช่น present ลงเสียงหนักที่พยางค์หลัง


๑๑ การสร้างคำ การสร้างคำ ในภาษาอังกฤษมี ๒ วิธีใหญ่ ๆ คือ การนำ เอาคำ ที่มีอยู่มาตกแต่งขึ้นและอีก วิธีคือการประสมคำ ซึ่งมีกระบวนการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ ๑. การสร้างคำ แบบตกแต่งคำ เดิม (Derivative) คือการนำ เอาคำ ที่ใช้อยู่หรือมีอยู่เดิมมา ตกแต่งขึ้น อาจทำ ได้โดยการเปลี่ยนแปลงคำ ศัพท์ เปลี่ยนแปลงสระ เปลี่ยนแปลงตัวสะกด หรือเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่กล่าวมาก็เป็นได้ เช่น การทำ คำ กริยาหรือทำ คุณศัพท์ให้เป็นคำ นาม การทำ คำ นามหรือคุณศัพท์ให้เป็นกริยา การแสดงพจน์ของคำ นาม การแสดงกาลของคำ กริยา การใช้วิธีการเปลี่ยนแปลงโดยเติมคำ อุปสรรคเข้าหน้าคำ ศพท์และเติมปัจจัยเข้าหลังคำ ศัพท์ เป็นต้น ๒. การสร้างคำ แบบคำ ประสม (Compounds) คือการนำ เอาคำ สองคำ ขึ้นไปมาเรียงกันเข้า ให้เป็นคำ เดียวกัน ทำ หน้าที่ได้เหมือนคำ นาม คำ กริยา คำ คุณศัพท์ และคำ กริยาวิเศษณ์ ประโยคและการเรียงคำ ในประโยค ประโยคในภาษาอังกฤษมีโครงสร้างแบบเดียวกับภาษาไทย คือ ประธาน+กริยา+กรรม (S+V+O) แต่ส่วนที่แตกต่างคือการเรียงลำ ดับคำ ที่ขยายคำ นาม ขยายคำ กริยา และขยายคำ วิเศษณ์ ซึ่งต่างจากภาษาไทยที่เรียงคำ ขยายไว้หลังคำ นามหรือคำ ที่ขยาย คำ ยืมภาษาอังกฤษในภาษาไทย การยืมคำ ในภาษาอังฤษมาใช้ในภาษาไทยนั้นมีวิธีการเปลี่ยนแปลงคำ อย่างหลากหลาย ดังนี้ ๑. การแปลงเสียงและแปลงคำ มาใช้เพื่อควาสะดวก และอีกประการหนึ่งคือเปลี่ยนเพื่อ ให้เข้ากับเสียงในภาษาไทย เนื่องจากบางเสียงที่ใช้นั้นไม่มีในภาษาไทย เช่น เสียง sh ch v z จึงทำ ให้เสียงพวกนี้นั้นเปลี่ยนไปจากเดิม ตัวอย่าง sign ออกเสียงเป็น เซ็น statistic ออกเสียงเป็น สถิติ


๒. การลากเข้าความ เป็นวิธีการเปลี่ยนแปลงเสียงของคำ ในภาษาอังกฤษเพื่อลากเข้าหา คำ ไทยที่คุ้นเคย ๓. การทับศัพท์ เป็นการยืมคำ ภาษาอังกฤษมาใช้โดยตรง ไม่มีการเปลี่ยนรูปหรือ เปลี่ยนเสียง เช่น กีวี มาจาก kiwi สูท มาจาก suit เทอม มาจาก term แฟชั่น มาจาก fashion ๔. การบัญญัติศัพท์ เป็นวิธีการยืมคำ ภาษาอังกฤษมาใช้โดยกำ หนดคำ ให้มีความหมาย ตามศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยส่วนมากแล้วคำ ศัพท์จะเป็นคำ เฉพาะ เช่น มหาวิทยาลัย มาจาก University วัฒนธรรม มาจาก Cuture ศีลธรรม มาจาก marals ๕. การตัดคำ เมื่อยืมคำ ภาาาอังกาฤษมาใช้แล้ว ตัดคำ ให้สั้นลงเพื่อสะดวกในการอกเสียง เช่น เบอร์ มาจาก number กิโล มาจาก kilometre, kilogramme ๖. ความหมายของคำ เปลี่ยน ซึ่งการที่ยมคำ มาใช้นั้นทำ ให้ความหมายของภาษา เปลี่ยนแปลงไป โดยจำ แนกได้ ดังนี้ ๖.๑ ความหมายกว้างออก หมายถึง เมื่อภาษาไทยยืมมาแล้ว คำ น้นมีความหมายได้ หลายอย่างจากที่ภาษาเดิมมีแค่ความหมายเดียว ๖.๒ ความหมายแคบเข้า หมายถึง เมื่อคำ เดิมน้นมีความหาายหลยอย่างแต่เมื่อภาษา ไทยยืมคำ มาใช้ทำ ให้มีความหมายอยู่ในขอบเขตที่จำ กัด ๖.๓ ความหมายย้ายที่ หมายถึง ภาษาไทยยืมคในภาษาอังกฤษมาใช้ในความหมาย ใหม่ที่แตกต่างไปจกเดิม เช่น Fit ภาษาอังกฤษหมายถึง เหมาะ, พร้อม, สุขภาพอนามัยดี, ขนาด พอดีตัว แต่เมื่อภาษาไทยยืมมาใช้แล้ว ภาษาไทยใช้ Fit หมายถึง คับ คามหมายจึงเกิดการย้ายที่ ๑๒ รู้หรือไม่ ? ประเทศอังกฤษ มีชื่อประเทศว่า England ส่วนภาษาที่เราเรียนอยู่นี้ คือ English


อิทธิพลของภาษาอังกฤษที่มีต่อภาษาไทย ๑๓ การยืมคำ ภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทยนั้นย่อมมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงจาก เดิมไปหลายอย่างซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นทั้งผลดีและผลเสีย ดังนี้ ๑. ทำ ให้ภาษาไทยกลายสภาพจากคำ โดดมาเป็นคำ หลายพยางค์ เช่น เทคโนโลยี ไอศกรีม สัมมนา พลาสติก เป็นต้น ๒. ทำ ให้ภาษาไทยมีคำ ควบกล้ำ ใช้มากขึ้น เช่น ฟรี บล็อก บลู เป็นต้น ๓. ทำ ให้ภาษาไทยมีการสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา เช่น เทนนิส เฟซบุ๊ก ๔. ทำ ให้โครวสร้างของประโยคเปลี่ยนแปลงไป เช่น สองนักมวย เขาจับไข้หลายวัน หนังสือถูกเขียนโดย ดิฉันไม่ mind เรื่องนี้ คำ ถามชวนคิด ?? ทำ ไมประเทศไทยต้องมีการยืม ภาษาอื่นมาใช้ในภาษาของตนเอง และทำ ไมภาษาไทยไม่ใช้ภาษา ของตนเองทั้งหมด


ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ลักษณะของภาษาจีน ที่แตกต่างจากภาษาไทย ๑๔ ภาษาต่างประเทศ ใน ภาษาไทย คำ ยืม ความหมายของคำ ยืม สาเหตุการยืมคำ การเปลี่ยนแปลง ของภาษา ลักษณะของคำ ยืม ภาษาเขมร ลักษณะของ ภาษาเขมร เสียงและตัวอักษร การสร้างคำ การยืมคำ ภาษาเขมร มาใช้ในภาษาไทย ลักษณะของ ภาษาอังกฤษ การสร้างคำ การยืมภาษาอังกฤษ ใช้มนภาษาไทย ประโยคและการ เรียงคำ ในประโยค อิทธิพลภาษาอังกฤษ ในภาษาไทย ลักษณะของภาษาจีน ลักษณะเฉพาะ ของภาษาจีน สรุปท้ายบท การที่ภาษาไทยยืมคำ จากภาษาต่างประเทศมานั้น ทำ ให้เกิดความหลากหลาย ทางภาษา อีกทั้งยังรู้ถึงวัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ จากภาษาที่ยืมมาอีกด้วย


๑๕ คำ ถามท้ายบทที่ ๑ คำ ชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำ ถามต่อไปนี้ ๑. ภาษาต่างประเทศมีความสำ คัญต่อภาษาไทยมากน้อยเพียงใด อธิบาย ตามความเข้าใจมาพอสังเขป ๒. จงยกตัวอย่างภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และภาษาเขมรที่พบเห็นในชีวิต ประจำ วันมาภาษาละไม่ต่ำ กว่า ๕ คำ ๓. จงบอกความสำ คัญของภาษาในการสื่อสารในชีวิตประจำ วันมาไม่น้อยกว่า ๕ บรรทัด


แบบทดสอบบทที่ ๑ ๑) เหตุใดจึงมีการยืมคำ มาใช้ในภาษาไทย ก. เพราะมีความสัมพันธ์ทางการค้า การทูต ข. เพราะในปัจจุบันมนุษย์มีความหลากหลาย ค. เพราะมีการประชาสัมพันธ์อย่างสม่ำ เสมอ ง. เพราะภาษาต่างประเทศมีมากจึงต้องนำ มาใช้ในประเทศไทยบ้าง ๒) “อาม่าชอบกินบะหมี่เกี๊ยว เฉาก๊วย และโอเลี้ยง” ชื่ออาหาร ที่กล่าวถึงมาจากภาษาใด ก. ไทยแท้ ข. เขมร ค. ชวา ง. จีน ๓) ข้อใดเป็นคำ ที่มาจากภาษาอังกฤษทุกคำ ก. ฮิปโป ซุป ไอศกรีม ข. เทนนิส คิว บุฟเฟต์ ค. ฟิวส์ เรดาร์ โชเฟอร์ ง. จับกัง กอล์ฟ ลิตร ๔) ข้อใดมีคำ ที่มาจากภาษาจีนทุกคำ ก. ขิม เตียง เก้าอี้ ข. สุกียากี้ เฉาก๊วย ยี่ห้อ ค. กงสี โอเลี้ยง ปิ่นโต ง. จับกัง สาเก กากี ๕) ชื่อกีฬาชนิดใดที่ไม่ได้มาจากภาษาอังกฤษ ก. กอล์ฟ ข. เคนโด ค. เทนนิส ง. สนุกเกอร์ ๑๖


๑๗ ๖) “โปโล รักบี้ เทนนิส ปิงปอง” เป็นชื่อกีฬาที่มาจากภาษาใด ก. โปรตุเกส ข. ฝรั่งเศส ค. อังกฤษ ง. จีน ๗) “ ตรัส เจริญ ตำ รวจ ดล ” เป็นคำ ที่มาจากภาษาใด ก. จีน ข. เขมร ค. บาลี ง. ไทย ๘) ข้อใดเป็นคำ ที่มาจากภาษาต่างประเทศทุกคำ ก. สมัคร กีตาร์ ข. บันได แก้วน้ำ ค. ทุเรียน มะขาม ง. เกาเหลา ข้าวเปล่า ๙) ภาษาอังกฤษมีการจำ แนกคำ กี่ลักษณะ ก. ๓ ข. ๔ ค. ๕ ง. ๖ ๑๐) ภาษาเขมรเป็นภาษาที่จัดอยู่ในตระกูลใด ก. มอญ-เขมร ข. อินโด-จีน ค. จีน-ทิเบต ง. อินโด-ยูโรเปียน


บทที่ ๒ คำ ทับศัพท์ และศัพท์บัญญัติ


คำ ทับศัพท์ คือ คำ ที่ถ่ายเสียงมาจากรูปคำ ในภาษาอื่น และนำ มาเขียนในรูปแบบของภาษาไทย เพื่อให้คนที่ใช้ภาษาสามารถออกเสียงได้อย่างถูกต้อง หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับภาษาเดิม บางคำ ก็ใช้ ตามความสะดวกปากในการออกเสียง จนแทบจะกลมกลืนกับภาษาไทย คำ ทับศัพท์นั้นยืมมาจากภาษา ต่างประเทศหลายภาษา เช่น ทมิฬ เปอร์เซียร์ อาหรับ ญี่ปุ่น โปรตุเกส ฝรั่งเศส ฮินดี พม่า มอญ คำ ทับศัพท์ เนื่องจากไทยมีความสัมพันธ์กับต่างชาติ จากการติดต่อทำ การค้า การทูต การสอนศาสนา ศิลปวัฒนธรรมมาช้านาน จึงมีการยืมคำ ภาษาต่างประเทศมาใช้ อาจด้วยวิธีการทับศัพท์หรือสร้างคำ ศัพท์ใหม่ขึ้นมาใช้ ทั้งในวงวิชาการและทั่วไป การยืมคำ ภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทยมี ๒ วิธีคือ ใช้คำ ในภาษานั้นเลย ที่เรียกว่า “คำ ทับศัพท์” และการบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่ ที่เรียกว่า “ศัพท์บัญญัติ” ๑๙


หลักเกณฑ์การทับศัพท์ รู้หรือไม่? เมื่อถ่ายเสียงคำ ภาษาอังกฤษ ตามหลักราชบัณฑิตยสถาน คำ ถ่ายเสียงจะไม่ใช้รูปวรรณยุกต์ คำ ถามชวนคิด คำ ทับศัพท์กับศัพท์บัญยัติเหมือน หรือแตกต่างกันหรืิอไม่?? ๑. การทับศัพท์ให้ถอดอักษรในภาษาเดิมพอควรแก่การแสดงที่มา ของรูปศัพท์ และให้เขียนในรูปที่อ่านได้สะดวกในภาษาไทย ๒. การวางหลักเกณฑ์ได้แยกกำ หนดหลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาต่าง ๆ แต่ละภาษาไป ๓. คำ ทับศัพท์ที่ใช้กันมานานจนถือเป็นภาษาไทย และปรากฏในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานแล้ว ให้ใช้ต่อไปตามเดิม เช่น ช็อกโกเลต, เชิ้ต, ก๊าซ, แก๊ส ๔. คำ วิสามานยนามที่ใช้กันมานานแล้ว อาจใช้ต่อไปตามเดิม เช่น ๕. ศัพท์วิชาการซึ่งใช้เฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่ศัพท์ทั่วไป อาจเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ขึ้น ตามความจำ เป็น Victoria = วิกตอเรีย Louis = หลุยส์ Cologne = โคโลญ (สำ นักงานราชบัณฑิตยสภา) ๒๐


หากใครต้องการศึกษาข้อมูลโดยละเอียด สามารถเข้าไปอ่านต่อได้ในเอกสาร หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาต่าง ๆ ของราชบัณฑิตยสถานตาม QR Code ดังนี้ หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษาอินโดนีเซีย ๒๑ หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษาฝรั่งเศษ หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษารัสเซีย หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษาอังกฤษ หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษาเยอรมัน สเปน ญี่ปุ่น และมลายู


๒๒ หลักเกณฑ์การทับศัพย์ ภาษาเกาหลีและภาษาเวียดนาม หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษาอาหรับ หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษาอิตาลี หลักเกณฑ์การทับศัพย์ ภาษาจีนและภาษาฮินดี หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษาพม่า (เมียนมา)


๒. ถ้าหาคำ ไทยที่เหมาะสมไม่ได้ ก็สร้างคำ ใหม่โดยใช้คำ ภาษาบาลีและสันสกฤต บางคำ อาจ ใช้วิธีผูกคำ แบบคำ สมาสก็ได้ ซึ่งต้องเป็นคำ ที่มีใช้มาก่อน และสามารถออกเสียงได้ง่าย เช่น Theory หมายถึง ทฤษฎี Activity หมายถึง กิจกรรม Science หมายถึง วิทยาศาสตร์ Radioactive หมายถึง กัมมันตรังสี University หมายถึง มหาวิทยาลัย ๑. สร้างคำ ขึ้นมาใหม่ อาจจะใช้การแปลความหมายจากศัพท์เดิม หรือหาคำ ใหม่มาแทน เช่น Frost หมายถึง น้ำ ค้างแข็ง Network หมายถึง เครือข่าย Submarine หมายถึง เรือดำ น้ำ Boy scout หมายถึง ลูกเสือ Acid rain หมายถึง ฝนกรด ศัพท์บัญญัติ คือ คำ ที่บัญญัติขึ้นใหม่ในภาษาไทย โดยราชบัณฑิตยสถานเป็นผู้รับรอง เพื่อรองรับ ศัพท์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตามเทคโนโลยีและความก้าวหน้าด้านต่างๆ ของโลก ซึ่งมักจะเป็นคำ ที่มาจากภาษา ต่างประเทศ การบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่มีหลัก ๒ ประการ คือ คำ ทับศัพท์และคำ ศัพท์บัญญัตินั้น มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ คำ ทับศัพท์เป็นคำ ที่ถ่ายเสียงมาจากรูปคำ ในภาษาอื่นและนำ มาเขียนในรูปแบบของภาษาไทย เพื่อให้คนที่ใช้ภาษาสามารถออกเสียงได้อย่างถูกต้อง ส่วนคำ ศัพท์บัญญัติเป็นคำ ที่บัญญัติขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้แทนคำ ต่างประเทศ ศัพท์บัญญัติ หลักเกณฑ์การบัญญัติศัพท์ ๒๓


คำ ทับศัพท์ และ ศัพย์บัญญัติ ศัพย์บัญญัติ คำ ทับศัพท์ หลักเกณฑ์ การทับศัพย์ หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษาอินโดนีเซีย ความหมายของ คำ ทับศัพท์ ความหมายของ ศัพย์บัญญัติ หลักเกณฑ์การ บัญญัติศัพย์ หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษาอังกฤษ หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษาเยอรมัน สเปน ญี่ปุ่น และมลายู หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษาฝรั่งเศษ หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษารัสเซีย หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษาอาหรับ หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษาอิตาลี หลักเกณฑ์การทับศัพย์ ภาษาเกาหลีและภาษาเวียดนาม หลักเกณฑ์การทับศัพย์ ภาษาจีนและภาษาฮินดี หลักเกณฑ์การทับศัพย์ภาษาพม่า ๒๔


คำ ถามท้ายบท คำ ชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำ ถามต่อไปนี้ ๑. คำ ทับศัพท์และคำ บัญญัติศัพท์คืออะไร อธิบายตามความเข้าใจ มาพอสังเขป ๒. จงยกตัวอย่างคำ ทับศัพท์และคำ บัญญัติศัพท์ที่พบเห็นในชีวิตประจำ วันมาภาษา ละไม่ต่ำ กว่า ๕ คำ ๓. จงบอกความแตกต่างระหว่างคำ ทับศัพท์และคำ บัญญัติศัพท์ตามความเข้าใจ ๒๕


๑ ) ข้ อ ใ ด จำ เ ป็ น ต้ อ ง ใ ช้ คำ ทั บ ศั พ ท์ ก . ร ถ คั น นี้ ใ ช้ น้ำ มั น ดี เ ซ ล ใ น ก า ร ขั บ เ ค ลื่ อ น ข . ช่ ว ย ชั ท ด า ว น์ เ ค รื่ อ ง ข้ า ง ๆ ห น่ อ ย ค . เ ข า ถู ก ดี ลี ท ค ว า ม ท ร ง จำ บ า ง ส่ ว น ง . นั ก เ รี ย น โ อ เ พ่ น ห นั ง สื อ ห น้ า 1 9 ๒ ) ข้ อ ใ ด จั บ คู่ ศั พ ท์ บั ญ ญั ติ ไ ด้ ถู ก ต้ อ ง ก . S c a n - ต ร ว จ จั บ ข . C P U - ห น่ ว ย ป ร ะ ม ว ล ผ ล ก ล า ง ค . K e y b o a r d - แ ป้ น พิ ม พ์ ง . M o u s e - ตั ว จิ๋ ว ๓ ) ข้ อ ใ ด ใ ช้ คำ ทั บ ศั พ ท์ ถู ก ต้ อ ง ทุ ก คำ ก . เ ฟ ส บุ ค ไ ล น์ อิ น ส ต ร า แ ก ม ข . อั ป โ ห ล ด อั ป เ ด ต ท วิ ต เ ต อ ร์ ค . เ ซ พ ดิ จิ ทั ล โ ป ร แ ก ร ม ง . ไ ล ค์ แ อ พ พ ลิ เ ค ชั น ค ร า ว น์ ๔ ) ข้ อ ใ ด จำ เ ป็ น ต้ อ ง ใ ช้ คำ ทั บ ศั พ ท์ ก . น้ อ ง ช า ย ช อ บ ไ ป ก า ง เ ต็ น ท์ กั บ เ พื่ อ น ๆ ข . เ บ อ ร์ โ ท ร ศั พ ท์ นี ไ ม่ ส า ม า ร ถ ติ ด ต่ อ ไ ด้ ชั่ ว ค ร า ว ค . ช่ ว ย บ อ ก แ อ ค เ ค า ท์ ข อ ง เ ธ อ อี ก ค รั้ ง ง . ห้ า ม ใ ส่ ก า ง เ ก ง ยี น ส์ เ ข้ า โ ร ง เ รี ย น ๕ ) ข้ อ ใ ด จำ เ ป็ น ต้ อ ง ใ ช้ คำ ทั บ ศั พ ท์ ก . เ ข า ช อ บ เ ปิ ด ยู ทู ป ฟั ง เ พ ล ง เ ก า ห ลี ข . ส ง ก ร า น ต์ ใ ห้ ฉั น ไ ป เ ที่ ย ว ต่ า ง ป ร ะ เ ท ศ ฟ รี ค . เ ฌ อ ป ร า ง ส่ ง อี เ ม ล ม า ห า ปั น ทุ ก วั น ง . ที วี ช่ ว ง นี้ มี แ ต่ ข่ า ว ด า ร า เ ลิ ก กั น แ บ บ ท ด ส อ บ บ ท ที่ ๒ ๒ ๖


๖) ข้อใดเป็นคำ ศัพท์บัญญัติทุกคำ ก. คอมพิวเตอร์ อนันต์ ซีพียู ข. ฮาร์ดดิส ก้านควบคุม ปริ้นเตอร์ ค. บล็อก ภูมิแพ้ แผงแป้นอักขระ ง. เครื่องพิมพ์ ธนาคาร วัคซีน ๗) ข้อใดมีศัพท์บัญญัติปรากฏอยู่ ก. วิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาเกี่ยวกับอดีต ข. ประเทศไทยจัดอยู่ในทวีปเอเชีย ค. ไอคอนสยามเปิดตัววันศุกร์นี้ ง. ฉันชอบร้องเพลงคาราโอเกะ ๘) “เฟซบุ๊กประกาศโอ๊ตเลิกรากับแฟนเป็นเรื่องเซนซิทีฟมาก” ประโยคข้างต้นไม่ปรากฎคำ ชนิดใด ก. คำ ทับศัพท์จำ เป็น ข. คำ ทับศัพท์ไม่จำ เป็น ค. ศัพท์บัญญัติ ง. ไม่มีข้อถูก ๙) ข้อใดใช้คำ ทับศัพท์โดยไม่จำ เป็น ก. เด็ก ๆ ชอบทานไอศกรีมแก้ระหาย ข. ช็อกโกแลตจากญี่ปุ่นอร่อยมาก ค. แม่ให้ฉันฝากเงินที่แบงค์ทุกเดือน ง. นักกีฬาบาสเกตบอลได้รับรางวัล ๑๐) ข้อใดเขียนคำ ทับศัพท์ไม่ถูกต้อง ก. ฟังก์ชัน อินเทอร์เน็ต ลิงก์ ข. โพสต์ คอมเมนต์ แพ็กเกจ ค. โปรแกรม โปรเจกต์ โปสการ์ด ง. เวอร์ชั่น เว็ปไซต์ กราฟฟิก ๒๗


ระดับภาษา บทที่ ๓ ระดับภาษาพิธีการ ระดับภาษาทางการ ระดับภาษากึ่งทางการ ระดับภาษาสนทนา ระดับภาษากันเอง


ภาษานอกจากจะใช้เป็น เครื่องมือในการสื่อสาร ความรู้ ความคิด ความรู้สึก ทัศนคติแล้ว ยังใช้สร้างความ สัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ มนุษย์ใช้ภาษาโดยคำ นึง ถึงความสัมพันธ์ระหว่างโอกาส กาลเทศะและบุคคล ภาษาจึงมีลักษณะแตก ต่างกันเป็นหลายระดับเพื่อให้ สัมฤทธิ์ผลสมความมุ่งหมาย ๒๙


ความหมายของระดับภาษา ระดับภาษา คือ รูปแบบการใช้ภาษาที่มีความลดหลั่น ของถ้อยคำ ตามโอกาส กาลเทศะและความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคล เช่น การใช้คำ สรรพนามว่า ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้า กระผม ดิฉัน ผม ฉัน หนู ข้า คำ ที่ใช้แทนตัวผู้พูดเหล่านี้ แสดงถึงระดับของภาษาว่ามีความแตกต่างกันถึงแม้ผู้ใช้ภาษา จะเป็นบุคคลเดียวกัน คำ ถามชวนคิด นักเรียนทราบหรือไม่ ระดับภาษามีกี่ระดับ?? ๓๐


ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดระดับภาษา ๑. โอกาสและสถานที่ เป็นปัจจัยที่ทำ ให้ใช้ภาษาต่าง ระดับกัน ถ้าสื่อสารกับบุคคลกลุ่มใหญ่ในที่ประชุมก็ใช้ ภาษาระดับหนึ่ง ถ้าพูดกันในตลาด ร้านค้า หรือที่บ้าน ก็จะใช้ภาษาต่างระดับกันออกไป ๒. สัมพันธภาพระหว่างบุคคล บุคคลมีสัมพันธภาพต่อกัน หลายลักษณะ จึงเป็นปัจจัยกำ หนดให้ระดับภาษาต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องยึดหลัก โอกาสและสถานที่ด้วย เพื่อนสนิทเมื่อพูดกันในที่ประชุมย่อมไม่สามารถใช้ภาษา ระดับสนทนากันได้ ๓. ลักษณะของเนื้อหา เนื้อหาของสารย่อมขึ้นอยู่กับ โอกาสไม่น้อย เช่น เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่อส่วนตัว เป็นต้น ก็ไม่นำ ไปใช้ ท่วงทำ นองเดียวกัน อาจใช้ภาษาให้ต่างกัน ไปได้ แต่เนื้อหาบางชนิด ถ้าใช้ภาษาไม่เหมาะสมก็จะ ทำ ให้การสื่อสารไม่ประสบผลสำ เร็จดังที่ต้องการได้ ๔. สื่อที่ใช้ สื่อที่ใช้ในการส่งสารก็ทำ ให้เปลี่ยนระดับภาษาได้ เช่น จดหมายปิดผนึกกับไปรษณียบัตร ระดับภาษาที่ใช้ก็ต้อง ต่างกัน หรือเมื่อพูดด้วยปากกับพูดด้วยเครื่องขยายเสียง ย่อมต่างจากภาษาที่พูดทางวิทยุกระจายเสียงหรือทางโทรทัศน์ ๓๑


๑. ระดับภาษาพิธีการ ภาษาระดับนี้จะมีลักษณะเป็นแบบแผน ลีลางามสง่า ภูมิฐาน หรือศักดิ์สิทธิ์น่าคร้ามเกรง ใช้ถ้อยคำ ที่เลือกสรรอย่างประณีตบรรเจิดบรรจง มุ่งให้ผู้ฟัง รับสารโดยอาการสำ รวม ไม่รับรู้ว่าผู้รับสารเป็นใคร ระดับภาษาชนิดนี้ใช้ในบทสดุดี คำ กล่าวบวงสรวง คำ กล่าวในพิธี เช่น ขอพระบรมเดชานุภาพมหึมาแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชจงคุ้มครอง ประเทศชาติ และประชาชนชาวไทยให้ผ่านพ้นสรรพอุปัทว์พิบัติภัยทั้งปวง อริราชศัตรู ภายนอกอย่าล่วงเข้าทำ อันตรายได้ ศัตรูหมู่พาลภายในให้วอดวายพ่ายแพ้ภัยตัว บันดาล ความสุขมั่นคงให้บังเกิดทั่วภูมิมณฑล บันดาลความร่มเย็นแก่อเนกนิกรชน ครบคามเขตขอบ ขัณฑสีมา... ดังนี้ (ภาวาส บุนนาค, ราชาภิสดุดี) การใช้ภาษาให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคลนั้นเกี่ยวข้องกับระดับของภาษา ซึ่งระดับของภาษาแบ่งได้หลายแบบ ดังนี้ การแบ่งระดับของภาษา แบบแรก แบ่งเป็น ๕ ระดับ ตามแนวการแบ่งวัจนลีลาของ มาร์ติน โจส์ วัจนลีลาแบบตายตัว วัจนลีลาแบบทางการ วัจนลีลาแบบปรึกษาหารือ วัจนลีลา แบบเป็นกันเอง วัจนลีลาแบบสนิทสนม วัจนลีลาในที่นี้คือระดับภาษาต่างๆ ได้แก่ ๒. ระดับภาษาทางการ ภาษาระดับนี้มีการใช้ถ้อยคำ ตามแบบแผน กะทัดรัด ชัดเจน สละสลวย และเคร่งครัดไวยากรณ์ สื่อสารอย่างเป็นทางการสู่สาธารณชน มิได้มุ่งให้ผู้รับ สารมีร่วมในการสื่อสารโดยตรง ใช้ในการเสนอข่าวสาร หนังสือราชการ เอกสารราชการ งานทางวิชาการ การแสดงปาฐกถา เช่น ถ้าท่านทั้งหลายเห็นว่าถึงเวลาแล้ว ท่านต้องเตรียมตัวที่จะเสียสละ คือ สละ ความมักใหญ่ใฝ่สูงส่วนตัว ความริษยาโกรธแค้นส่วนตัวเสียให้สิ้น แล้วรวมกันตัดแต่ง ดวงจิตซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นเป็นของพลีที่บูชาแห่งความรักชาติ ให้สมควรที่ เราทั้งหลายได้ ชื่อว่าเป็นไทย อันเป็นนามซึ่งให้ความภูมิใจแก่เราทั้งหลาย (อัศวพาหุ, ลัทธิเอาอย่าง) ๓๒


๔. ระดับภาษาสนทนา ภาษาระดับนี้มีการใช้ถ้อยคำ เป็นกันเองมากขึ้น ระยะห่างทางการ สื่อสารระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารลดลงมาก เป็นระดับภาษาเพื่อการสื่อสารอย่างมีไมตรี ใช้ในการพูดคุยสนทนากับบุคคลทั่วไปที่รู้จักกันในวงสนทนา หรือคุ้นเคยกันในระดับหนึ่ง มีภาษาปากหรือภาษพูดปนอยู่มาก แม้ในงานเขียนก็อาจเลือกใช้ลีลาภาษาระดับนี้ได้ เช่น เด็กรุ่นผมถ้าไปโรงเรียนถูกครูเฆี่ยน รู้ถึงหูพ่อแม่ต้องเจอไม้เรียวอีกรอบ โทษฐาน ไปทำ เกเร ขายหน้าพ่อแม่ ภาษาขาไพ่เรียกว่าโดนสองเด้ง แต่เด็กรุ่นนี้ถูกครูเฆี่ยน พ่อแม่เอาเรื่องกับครูให้เห็นดำ เห็นแดงไปข้างเลย (ชัย ราชวัตร, "ระหว่างคนสองวุ่น" ตามประสาการ์ตูนนิสต์) ๕. ระดับภาษากันเอง ภาษาระดับนี้มีการใช้ถ้อยคำ เป็นกันเอง ใช้ในการสื่อสร ระหว่างผู้ที่ รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกัน ใช้ถ้อยคำ ที่เข้าใจกันเป็นส่วนตัว ภาษามีชีวิตซีวา ไม่ใส่ง ความ ถูกต้องทางไวยากรณ์ เช่น ลูก : ผู้ชายผมหยิก มีหนวดในรูปนี้ใครนะแม่ แม่ : นั่นแหละพ่อแก ลูก : เอีะ แล้วงั้นอีตาหัวล้านพุงพลุ้ยที่อยู่กับเราเดี๋ยวนี้ล่ะใคร (อาจินต์ ปัญจพรรค์, ลูกฝรั่งช่างพูด) ๓. ระดับภาษากึ่งทางการ ภาษาระดับนี้มีการใช้ถ้อยคำ อย่างสุภาพคล้ายภาษาทางการ แต่มีลักษณะความเป็นทางการน้อยกว่า ปรากฏความรู้สึกใกล้ชิดระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร ผู้รับสารมีส่วนร่วมไม่มีความห่างเหินอย่าง 2 ระดับแรก ความเคร่งครัดทางไวยากรณ์ลดลง อาจมีข้อบกพร่องทางภาษาบ้าง ใช้ในการสื่อสารที่หวังปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร ในระดับหนึ่ง เช่น การอภิปราย การประชุม การบรรยายในชั้นเรียน เช่น อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ประหลาดอะรนะครับ วัฒนธรรมมีชีวิตของตนเอง เมื่อถอนเอามา ปลูกในอีกสังคมหนึ่งก็เป็นธรรมดาที่วัฒนธรรมจะปรับเปลี่ยนตัวเองให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต ใหม่ในสังคมใหม่ ด้วยเหตุดังนั้น อะไรที่ถูกตั้งยี่ห้อว่าเป็นจีน เป็นแขก เป็นฝรั่งในเมือง ไทยนั้น เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่จีน ไม่ใช่แขก และไมใช่ฝรั่ง เพราะถูกทำ ให้มีลักษณะเฉพาะ ของท้องถิ่นในเมืองไทยไปแล้วทั้งนั้น (นิซิ เอียวศรีวงศ์, "ความเป็นอินเดียของวัฒนธรรมไทย," วัฒนธรรมคมจน) ๓๓


แบบที่สอง แบ่งเป็น ๓ ระดับ ตามแนวการแบ่งลีลาภาษาของชิเซโร วัจนลีลาแบบตายตัว วัจนลีลาแบบทางการ วัจนลีลาแบบปรึกษาหารือ วัจนลีลา แบบเป็นกันเอง วัจนลีลาแบบสนิทสนม วัจนลีลาในที่นี้คือระดับภาษาต่างๆ ได้แก่ ๓๔ ๑. ระดับภาษาทางการหรือแบบแผน เป็นภาษาที่ใช้ถ้อยคำ ตาม แบบแผนของภาษาเขียน น้ำ เสียงเคร่งขรึม จริงจัง ไม่เป็นกันเอง ระดับภาษาแบบแผนจะใช้ในการสื่อสารอย่างเป็นทางการทุกชนิด เช่น ใช้ในเอกสารของทางราชการ ตำ รา งานเขียนวิชาการ คำ กล่าวเพื่อใช้อ่านในพิธีการ ลักษณะเด่นของระดับภาษาแบบแผน คือ ความเคร่งครัดด้านความ สมบูรณ์ของประโยค การใช้ศัพท์ และความถูกต้องด้านไวยากรณ์อันได้แก่ ระเบียบการใช้คำ ระเบียบโครงสร้างประโยค เป็นต้น ๒. ระดับภาษากึ่งทางการหรือกึ่งแบบแผน เป็นภาษา เขียนปนภาษาพูดเพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นกันเองกว่าภาษา ระดับแรก ผู้ส่งสารมีความสัมพันธ์กับผู้ส่งสาร ลักษณะเด่นของระดับภาษากึ่งแบบแผน คือ ความลดหย่อนไม่สู้ เคร่งครัดด้านความสมบูรณ์ของประโยค และความถูกต้องด้านไวยากรณ์ ใช้ในการสื่อสารทั้งการพูดและการเขียนโดยจะสื่อบรรยากาศที่ทำ ให้ผู้รับส่งสาร มีสัมพันธภาพใกล้ชิดกันมากกว่าระดับภาษาแบบแผน เช่น การพูดอภิปราย บรรยาย การเขียนเชิงสนทนา


๓๕ ๓. ระดับภาษาไม่เป็นทางการหรือไม่เป็นแบบแผน เป็นภาษาที่ใช้ภาษาพูด มีน้ำ เสียงเป็นกันเอง ลักษณะเด่นของระดับภาษาไม่เป็นแบบแผน คือ ไม่เคร่งครัดด้าน ความสมบูรณ์ของประโยค และความถูกต้องด้านไวยากรณ์ ใช้สื่อสารในชีวิต ประจำ วันกับบุคคลใกล้ชิด บางทีเรียกภาษาปาก มักประกอบด้วย คำ /สำ นวนสมัยนิยม (slang) คำ ตัด คำ ที่สะดวกในการออกเสียงพูด คำ ภาษาต่างประเทศ คำ ภาษาถิ่น ฯลฯ เช่น รับประทาน = กิน เดินทาง = ไป อย่างไร = ยังไง กรุงเทพมหานคร = กรุงเทพ รู้หรือไม่? ในชีวิตประจำ วันคนเรามักใช้ภาษา พูดปนกับภาษาทางการหรือภาษาแบบแผน แม้จะมีภาษาพูดปะปนเพียงเล็กน้อย ก็จัดอยู่ ในภาษาระดับกึ่งทางการ


คำ ถามท้ายบท คำ ชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำ ถามต่อไปนี้ ๑. ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลให้เกิดระดับภาษา อธิบายตามความ เข้าใจมาพอสังเขป ๒. จงเปรียบเทียบระหว่างระดับภาษาแบบพิธีการกับระดับภาษา ทางการ อธิบายตามความเข้าใจมาพอสังเขป ๓. จงบอกความแตกต่างระหว่างระดับภาษากึ่งทางการกับ ระดับภาษาไม่เป็นทางการ ๓๖


ระดับภาษา ๓๗ ความหมาย ระดับภาษา การแบ่งระดับภาษา ปัจจัยที่ส่งผล ให้เกิดระดับภาษา โอกาสและสถานที่ สัมพันธภาพระหว่างบุคคล สื่อที่ใช้ ลักษณะของ เนื้อหา ระดับภาษา พิธีการ ระดับภาษา ทางการ ระดับภาษา กึ่งทางการ ระดับภาษา กันเอง ระดับภาษา สนทนา สรุปท้ายบท ระดับภาษาสามารถแบ่งได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับโอกาส สถานที่ สื่อ กษณะของเนื้อหา และสัมพันธภาพระหว่างบุคคลว่าสนิทกันมากน้อยเพียงใด


๓๘ ๑) ข้อ ข้ใดแสดงถึงถึความหมายของภาษาที่สที่ มบูร บู ณ์ที่ ณ์ สุที่ ด สุ ก. การใช้ภ ช้ าษาที่เ ที่ ป็น ป็ แบบแผน และเกิดกิสัมสัฤทธิ์ผ ธิ์ ลในการสื่อ สื่ สาร ข. การใช้ภ ช้ าษาให้เ ห้ หมาะสมตามสัมสัพันพัธภาพของบุค บุ คล โดยคำ นึงนึถึงถึกาลเทศะ ค. การใช้ภ ช้ าษาโดยคำ นึงนึถึงถึสัมสัพันพัธภาพระหว่าว่งบุค บุ คล โอกาส สถานที่ และเกิดกิสัมสัฤทธิ์ผ ธิ์ ลในการสื่อ สื่ สาร ง. การใช้ภ ช้ าษาโดยคำ นึงนึถึงถึความรู้สึรู้กสึนึกนึคิดคิของตนเอง ๒) ถ้า ถ้ หากส่งส่สารผิดผิระดับดัจะเกิดกิผลเสียสีในข้อ ข้ใดมากที่สุที่ ด สุ ก. ความในสารไม่ชัม่ดชัเจน ข. การสื่อ สื่ สารไม่สัม่มสัฤทธิ์ผ ธิ์ ล ค. สื่อ สื่ ความหมายไม่ถูม่ก ถู ต้อ ต้ ง ง. ภาษาไม่ไม่พเราะ สละสลวย ๓) หนังนัสือสืที่ใที่ ช้ติ ช้ ดติต่อต่กับกัหน่วน่ยงานราชการหรือรืติดติต่อต่ ในวงการธุร ธุ กิจกิควรใช้ภ ช้ าษาในระดับดัใด ก. ภาษาระดับดัพิธีพิกธีาร ข. ภาษาระดับดัทางการ ค. ภาษาระดับดักึ่ง กึ่ ทางการ ง. ภาษาระดับดัไม่เม่ป็น ป็ ทางการ ๔) การบรรยายในชั้น ชั้ เรียรีน การประชุม ชุ ในบริษัริทษัการบรรยายข่าข่ว นิยนิมใช้ภ ช้ าษาระดับดัใด ก. ภาษาระดับดักันกัเอง ข. ภาษาระดับดัไม่เม่ป็น ป็ ทางการ ค. ภาษาระดับดักึ่ง กึ่ ทางการ ง. ภาษาระดับดัทางการ ๕) การเขียขีนจดหมายระหว่าว่งเพื่อ พื่ น การรายงายข่าข่ว การเสนอบทความในหนังนัสือสืพิมพิพ์ ควรใช้ภ ช้ าษาระดับดัใดมากที่สุที่ ด สุ ก. ภาษาระดับดักันกัเอง ข. ภาษาระดับดักึ่ง กึ่ ทางการ ค. ภาษาระดับดัไม่เม่ป็น ป็ ทางการ ง. ภาษาระดับดัทางการ แบบทดสอบบทที่ ๓


๓๙ ๖) ข้อ ข้ ความต่อต่ ไปนี้เ นี้ป็น ป็ ภาษาระดับดัใด "ผมชอบวาดรูป รู มาแต่เต่ด็ก ด็ และคลุก ลุ คลีกัลีบกัตำ ราเรียรีนที่มี ที่ รูมีป รู ภาพประกอบมาตั้ง ตั้ แต่เต่ด็ก ด็ เช่นช่กันกั" ก. ทางการ ข. กึ่ง กึ่ ทางการ ค. สนทนา ง. กันกัเอง ๗) ข้อ ข้ใดมีรมีะดับดัภาษาแตกต่าต่งจากข้อ ข้ อื่น อื่ ก. การตัดตัสินสิใจซื้อ ซื้ ของคนกลุ่มลุ่ นี้ ยังยัง่าง่ยสะดวกเหมือมืนเดิมดิ ข. รถเราดิ่ง ดิ่ ไปที่ใที่ จกลางเมือมืง ซึ่ง ซึ่ ดูเ ดู หมือมืนว่าว่จะเป็น ป็ เป้า ป้ หมายของรถทุก ทุ คันคั ค. มนุษ นุ ยสัมสัพันพัธ์คื ธ์ อคืความสัมสัพันพัธ์ร ธ์ ะหว่าว่งมนุษ นุ ย์ ซึ่ง ซึ่ จะก่อก่ ให้เ ห้ กิดกิความเข้า ข้ใจอันอัดีต่ดีอต่กันกั ง. สินสิค้า ค้ ที่อ ที่ ยู่รยู่ ะดับดัครึ่ง รึ่ ๆ กลาง ๆ มีโมีอกาสเจ็บ จ็ ตัวตัจากสภาวะเศรษฐกิจกิที่เ ที่ ลวร้า ร้ ยอยู่มยู่ าก ๘) ข้อ ข้ใดเป็น ป็ ภาษาระดับดัทางการ ก. คุณ คุ ก็รู้ก็ ดีรู้ว่ดีาว่ต้อ ต้ งร่วร่มมือมืกันกั ข. เขาก็เ ก็ป็น ป็ คนมีน้ำมีน้ำใจคนหนึ่ง นึ่ ทีเทีดียดีว ค. ข้า ข้ ราชการต้อ ต้ งปฏิบัฏิติบัตติามคำ สั่ง สั่ เจ้า จ้ นาย ง. บรรดาชายและหญิงญิล้ว ล้ นอุทิ อุ ศทิตนเพื่อ พื่ สังสัคม ๙) สถานการณ์ใณ์ นข้อ ข้ใดควรใช้ภ ช้ าษาระดับดัพิธีพิกธีาร ก. ไปซื้อ ซื้ ของที่ห้ ที่ า ห้ งสรรพสินสิค้า ค้ ข. กล่าล่วถวายพระพรสมเด็จ ด็ พระเจ้า จ้ อยู่หัยู่ วหั ค. สัมสัภาษณ์ผู้ ณ์ อำผู้อำนวยการโรงเรียรีน ง. เปิดปิงานกีฬกีาสีโสีรงเรียรีน ๑๐) ข้อ ข้ ความต่อต่ ไปนี้เ นี้ป็น ป็ ภาษาระดับดัใด “สำ นึกนึในพระมหากรุณ รุ าธิคุธิณ คุ อันอัหาที่สุที่ ด สุ มิไมิด้ที่ ด้ สที่ มเด็จ ด็ พระเจ้า จ้ อยู่หัยู่ วหัทรงพระกรุณ รุ าโปรดฯ ให้ให้ ต้ฝ่ ต้ าฝ่ละอองพระบาทเสด็จ ด็ พระราชดำ เนินนิมาในการพระราชทานปริญริญาบัตบัรแก่ผู้ก่สำผู้สำเร็จ ร็ การศึกศึษา จากมหาวิทวิยาลัยลัขอนแก่นก่ประจำ ปีพุปีท พุ ธศักศัราช ๒๕๖๐” ก. สนทนา ข. กึ่ง กึ่ ทางการ ค. ทางการ ง. พิธีพิกธีาร


คำ ราชาศัพท์ บทที่ ๔


ประวัติความเป็นมา การใช้คำ ราชาศัพท์ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ามีการใช้มาตั้งแต่สมัยใด จวบจนกระทั่งมีการบันทึก ในกฎมณเฑียรบาลในสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งเป็นพระราชกำ หนดมห้มีการใช้ เรียกชือิ่งของเครืองใชเและการใช้กราบบังคมทูลสำ หรับกษัตริย์หรือพระบรมวงานุวงศ์ และได้มี การเผยแพร่ใช้โดยทั่วกัน ความหมายของคำ ราชาศัพท์ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ ให้ความมหายของคำ ว่า ราชาศัพท์ไว้ ดังนี้ คำ ราชาศัพท์ หมายถึง คำ ใช้สำ หรับเพ็ดทูลพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านาย ต่อ มาหมายรวมถึงคำ ที่ใช้กับพระสงฆ์ ข้าราชการแะสุภาพชนด้วย ได้แก่ ๑. พระบามสมเด็กพระเจ้าอยู่หวและพระราชินี ๒. พระบรมวงศานุวงศ์ ๓. พระภิกษุสงฆ์ ๔. ข้าราชการ ๕. สุภาพชนทั่วไป ที่มาของราชาศัพท์ เนื่องจากการกำ หนดใช้ในสมันก่อนได้กำ หนดใช้สำ หรับพระมหากษัตริย์และบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งมีวรรณะชั้นสูง ดังนั้นการที่จะใช้เป็นคำ ไทยแท้อย่างเดียวจึงไม่เหมาะสมยิ่ง เหตุเพราะเป็น รากศัพท์พยางค์เดียว จึงได้นำ คำ ภาษาอื่นเข้ามาเป็นคำ ราชาศัพท์ ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีการผสมผสานระหว่างคำ ไทยแท้กับคำ ภาษาอื่นอยูาด้วยกันเพื่อเป็น คำ ราชาศัพท์ ดังนั้น คำ ราชาศัพท์จึงมีภาษาที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ คำ ราชาศัพท์จากภาษา บาลี คำ ราชาศัพท์จากภาษาสันสกฤต คำ ราชาศัพท์จากภาษาเขมร คำ ราชาศัพท์จากภาษาไทย และคำ ราชาศัพท์จากภาษาอื่น ๆ ที่พบเห็นได้น้อย ๔๑


ช คำ นามราชาศัพท์คือ คำ เฉพาะสำ หรับเรียกชือ คน สัตว์ สิ่งของ โดยทั่วไปคำ นามนั้น เป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว สามานำ ไปใช้ได้เลย เช่น คันฉ่อง วัง ธาร เอราวัณ ยานุมาศ เป็นต้น แต่หากคำ นั้นเป็นตำ นามสามัญ เมื่อต้องการนำ มาใช้เป็นคำ ราชาศัพท์จะต้องแปลงคำ นามเหล่านั้นด้วยการเติมคำ เฉพาะในตำ แหน่งหน้าหรือหลังคำ นามนั้น ๆ ก่อน เช่น โองการ ให้เติม พระบรมราช ข้างหน้า จะได้เป็น พระบรมราชโองการ ครู ให้เติม พระบรม ข้างหน้า จะได้เป็น พระรมครู ม้า ให้เติม ทรง ข้างหลัง จะได้เป็น ทรงม้า ๔๒ นิดของคำ ราชาศัพท์ คำ ราชาศัพท์แบ่งออกเป็น ๕ ชนิด ได้แก่ ๑. คำ นามราชาศัพท์ ๒. คำ สรรพนามราชาศัพท์ ๓. คำ กริยาราชาศัพท์ ๔. คำ ลักษณะนามราชาศพท์ ๕. คำ วิเศษณ์ราชาศัพท์ ๑. คำ นามราชาศัพท์ ๒. คำ สรรพนามราชาศัพท์ คำ สรรพนามราชาศัพท์คือ คำ ราชาศัพท์ที่กำ หนดใช้เรียกแทนชื่อบุคคล สัตว์ สิ่งของ ให้เหมาะสมตามลำ ดับขั้น ซึ่งประกอบไปด้วย สรรพนามบุรุษที่ ๑ แทนผู้พูด เช่น ข้าพระพุทธเจ้า เกล้ากระหม่อม กระหม่อม ผม กระผม ดิฉัน ข้าพเจ้า เป็นต้น สรรพนามบุรุษที่ ๒ แทนผู้ฟัง เช่น ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ใต้ฝ่าพระบาท ใต้พระบาท ฝ่าพระบาท ท่าน คุณ เธอ สรรพนามบุรุษที่ ๓ แทนผู้ที่กล่าวถึง เช่น พระองค์ พระองค์ท่าน เธอ เขา หล่อน


๓. คำ กริยาราชาศัพท์ คำ กริยาราชาศัพท์คือ คำ ที่แสดงบ่งบอกการแสดงอาการหรือการกระทำ ซึ่งคำ กริยาราชาศัพท์จะ เป็นคำ ที่บ่งบอกคำ ความเป็นคำ กริยาแล้ว ยังสามารถนำ คำ สามัญมาใช้เป็นคำ กริยาได้อีกด้วย โดยมีหลักการใช้ ดังนี้ ๑. คำ ที่เป็นกริยาราชาศัพท์โดยตรง สามารถใช้เป็นคำ ราชาศัพท์ได้โดยไม่ต้องเติมคำ อื่น เช่น กริ้ว ประชวร ตรัส เสด็จ เสวย เป็นต้น ๒. หากคำ นั้นเป็นคำ สามัญ เมื่อต้องการใช้เป็นคำ ราชาศัพท์ ต้องเปลี่ยนรูป ดังนี้ ๑) ปรับแต่งรูปคำ ให้เหมาะสมกับลำ ดับชั้นของบุคคล เช่น โกนจุก ปรับแต่งรูปเป็น โสกันต์ ใช้สำ หรับพระมหากษัตริย์ โกนจุก ปรับแต่งรูปเป็น เกศากันต์ ใช้สำ หรับหม่อมเจ้า ๓. ใช้ "เสด็จ" นำ หน้าคำ กริยาเพื่อให้เป็นคำ ราชาศัพท์ เช่น เสด็จออก เสด็จขึ้น เสด็จ กลับ เป็นต้น ๔. ใช้ "ทรง" นำ หน้าคำ กริยาหรือคำ นามที่เป็นคำ สามัญ โดยมีข้อกำ หนด ๓ ข้อ ดังนี้ ๑) ใช้ "ทรง" นำ หน้าคำ กริยาสามัญเพื่อใช้เป็นคำ กริยาราชาศัพท์ ตัวอย่าง คำ กริยาราชาศัพท์ที่เกิดจาการเติม "ทรง" นำ หน้าคำ กริยา เช่น ทรงฟัง ทรงยินดี ทรงขอบใจ ทรงวิ่ง ทรงเจิม เป็ต้น ๒) ใช้ "ทรง" นำ หน้าคำ สามัญบางคำ เพื่อใช้เป็นคำ กริยาราชาศัพท์ ตัวอย่าง คำ กริยาราชาศัพท์ที่เกิดจากการเติม "ทรง" นำ หน้าคำ สามัญ เช่น ทรงม้า ทรงดนตรี ทรงศีล เป็นต้น ๓) ใช้ "ทรง" นำ หน้าคำ นามราชาศัพท์เพื่อใช้เป็นคำ กริยาราชาศัพท์ ตัวอย่าง คำ กริยาราชาษัพท์ที่เกิดจาการเติม "ทรง" นำ หน้าคำ นามราชาศัพท์ เช่น ทรงสำ ราญ ทรงดำ เนิน ทรงพระรานิพนธ์ ทรงพระราชดำ รอ เป็นต้น ***หมายเหตุ*** ห้ามใช้ ทรง นำ หน้าคำ ที่เป็นคำ กริยาราชาศัพท์อยู่แล้ว เช่น เสด็จ เสวย โปรด กริ้ว ประทับ ยกเว้นคำ ว่า "ผนวช" สามารถใช้ ทรงผนวช ได้ ๔๓


Click to View FlipBook Version