The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยชั้นเรียนเรื่อง ทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นูรูลฮูดา สาและ, 2024-03-11 10:12:16

วิจัยชั้นเรียนเรื่อง ทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ใส่ในgoogle site

วิจัยชั้นเรียนเรื่อง ทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย

การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหาน จังหวัดนราธิวาส Developing Thai reading and spelling skills by using Thai reading and spelling exercises for ๒ nd year primary school students. นางสาวนูรูลฮูดา สาและ รหัสนักศึกษา ๔๐๖๓๑๘๐๒๓ รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ๔ ระดับปริญญาตรี สาขาการประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา ๒๕๖๖


ชื่อวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ผู้วิจัย นางสาวนูรูลฮูดา สาและ สาขาวิชา การประถมศึกษา คณะกรรมการที่ปรึกษา .......................................................กรรมการ (อาจารย์วราห์ เทพณรงค์) (ประธานหลักสูตร) ......................................................กรรมการ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์อุชุพร บถพิบูลย์) (อาจารย์นิเทศประจำหลักสูตร) ........................................................กรรมการ (อาจารย์เนาวรัตน์ มะลีลาเต๊ะ) (อาจารย์ฝ่ายฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู) .......................................................กรรมการ (นางสาวฮายามี กือเต๊ะ) (ครูพี่เลี้ยง) รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ๔ ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา ๒๕๖๖


ก คำนำ การจัดทำรายงานการพัฒนาทักษะการสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกทักษะสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อรายงานผลการ การ พัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารงานวิจัยต่างๆ เพื่อนำความรู้ มาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนของตนเอง และพัฒนาการเรียนรู้ในด้านการอ่านของผู้เรียน โดย พัฒนาสื่อนวัตกรรมมาใช้ให้เหมาะกับนักเรียนโดย ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งได้ดำเนินการพัฒนาในภาค เรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ขอขอบครูผู้เชี่ยวชาญทุกท่านที่กรุณาให้ความรู้ คำปรึกษา คำแนะนำในการพัฒนาทักษะการ อ่านสะกดคำภาษาไทย จนสำเร็จลุล่วงด้วยดี ขอขอบคุณนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่เป็น กลุ่มเป้าหมายในการพัฒนา ผู้วิจัยหวังอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับบนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่ เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยได้อีกทางหนึ่ง และถ้าหากผู้วิจัยผิดพลาด ประการใด ก็ ขออภัย ณ โอกาศนี้ด้วย


ข ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหาน จังหวัดนราธิวาส ผู้วิจัย นางสาวนูรูลฮูดา สาและ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ปีการศึกษา ๒๕๖๖ บทคัดย่อ การวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกด คำภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ มีวัตถุประสงค์หลักคือ ๑.เพื่อ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการอ่านสะกดคำภาษาไทย ๒. เพื่อพัฒนาแบบฝึก ทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มาตรฐาน ๘๐/๘๐ ๓. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านสะกดคําภาษาไทยก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้าน ละหาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหาน จำนวน ๘ คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน ๑๐ แผน แบบฝึกทักษะ การอ่านสะกดคำภาษาไทยจำนวน ๓ แบบฝึก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัยชนิด เลือกตอบ ๓ ตัวเลือก จำนวน ๑๐ ข้อ แบบแผนการทดลองใช้แบบกลุ่มเดียว (One Group Pre-test Post-test Design) สถิติที่ใช้คือ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านสะกดคำภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ มีประสิทธิภาพ ๘๕.๕๕/๘๘.๗๕ ซึ่งสูง กว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ คือ ๘๐/๘๐ และผลที่เกิดกับนักเรียนหลังการพัฒนาทักษะการอ่านสะกด คำภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ พบว่านักเรียนมีทักษะการอ่านดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการอ่าน สะกดคำสูงขึ้น มีค่าเฉลี่ยร้อยละ ๘๕.๕๕ คำสำคัญ แบบฝึกทักษะการอ่าน, การอ่านสะกดคำ,


ค Title Developing Thai reading and spelling skills by using Thai reading and spelling exercises for ๒ nd year primary school students, academic year ๒๐๒๓. Author Miss Nurulhuda Salaeh Degree Elementary Education Year ๒๐๒๓ Abstract The main objective of developing Thai reading and spelling skills by using Thai reading and spelling exercises for ๒nd year primary school students in academic year ๒๐๒๓ is to improve their academic achievement and the ability to read and spell in Thai words, to develop training exercises for reading and spelling Thai words, to compare Thai reading and spelling skills before studying and after studying by using Thai reading and spelling exercises for students in grade ๒ at Ban Lahan School to have efficiency according to the standard criteria ๘๐/๘๐. The sample group used in the research is ๘ people of grade ๒ students at Ban Lahan School in academic year ๒๐๒๓. The educational tools consisted of ๑๐ learning plans, ๓ exercises of Thai reading and spelling skills practice, multiple-choice academic achievement test with ๓ options, ๑๐ questions, and One Group Pre-test and Post-test design. The statistics used are average, percent value and standard deviation. The research results found that developing Thai reading and spelling skills by using Thai reading and spelling exercises for ๒nd year primary school students in academic year ๒๐๒๓ had an efficiency of ๘๕.๕๕/๘๘.๗๕, which is higher than the set standard, which is ๘๐/๘๐. The results for students after developing Thai reading and spelling skills by using Thai reading and spelling exercises was found that the students had better reading skills, which resulted in allowing students to have higher academic achievement in reading skills at an average of ๘๕.๕๕ percen Keywords Reading skill practice, Reading Spelling


ง กิตติกรรมประกาศ การวิจัยครั้งนี้สำเร็จได้ด้วยความอนุเคราะห์และความช่วยเหลือเป็นอย่างดีจาก อุชุพร บถพิบูลย์ อาจารย์ที่ปรึกษา ที่คอยให้คำปรึกษา คำแนะนํา และแนวทางในการปรับปรุง แก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ในการวิจัยด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่งมาโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนสำเร็จ ทำให้งานวิจัยมีคุณค่า คณะวิจัยขอขอบพระคุณด้วยความเคารพอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน ที่ให้ความอนุเคราะห์ตรวจแก้ไขเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ขอขอบคุณผู้บริหารสถานศึกษา และคณะครูโรงเรียนบ้านละหาน ที่อนุญาตให้ผู้วิจัยดำเนินการวิจัย ทำให้วิจัยเสร็จสิ้นในเวลาอันจํากัด ขอขอบคุณพ่อแม่ รวมทั้งเพื่อน ๆ ที่เป็นกําลังใจมาโดยตลอด การทำวิจัยในครั้งนี้จนสำเร็จลุล่วง ไปด้วยดี ขอบคุณนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหานทุกคน ที่ให้ความร่วมมือในการ เก็บรวบรวมข้อมูลในการดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ คุณค่าและประโยชน์ของวิจัยฉบับนี้ ขอมอบผู้มีพระคุณทุกท่านทีกรุณาวางรากฐานการศึกษา ให้แก่ผู้วิจัยเสมอมา และทำให้วิจัยฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยดี นางสาวนูรูลฮูดา สาและ


จ สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก บทคัดย่อภาษาไทย ข บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค กติกรรมประกาศ ง สารบัญตาราง ช บทที่ ๑ บทนำ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ๑ ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๓ ๑.๓ สมมติฐานการศึกษา ๓ ๑.๔ ขอบเขตของการศึกษา ๓ ๑.๕ ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา ๔ ๑.๖ นิยามศัพท์เฉพาะ ๔ ๑.๗ ประโยชน์ที่ของการวิจัย ๕ บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ ๗ ๒.๒ การเรียนการสอนภาษาไทย ๙ ๒.๓ การอ่านสะกดคำ ๑๑ ๒.๔ แบบฝึกทักษะ ๒๑ ๒.๕ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒๕ บทที่ ๓ วิธีดำเนินการวิจัย ๓.๑ ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย ๒๙ ๓.๒ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๒๙ ๓.๓ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๓๒ ๓.๔ การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูล ๓๑


ฉ บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๔.๑ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๓๒ ๔.๒ ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๓๒ ๔.๓ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๓๒ ตอนที่ ๑ วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๒ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน ๘๐/๘๐ ตอนที่ ๒ เปรียบเทียบทักษะการอ่านสะกดคำ ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการ อ่านสะกดคำภาษาไทย บทที่ ๕ สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ ๕.๑ สรุปผล ๓๗ ๕.๒ อภิปราย ๓๗ ๕.๓ ข้อเสนอแนะ ๔๐ บรรณานุกรม ๔๒ ภาคผนวก ก ๔๘ ภาคผนวก ข ๕๐ ภาคผนวก ค ๕๗ ประวัติผู้วิจัย ๙๖


ช สารบัญตาราง ตาราง หน้า บทที่ ๓ ตารางที่ ๓.๑ แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pre-test ๓๒ Post-test Design บทที่ ๔ ตารางที่ ๔.๑ ผลการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียน ๓๔ ชั้นประถมศึกษาปีที่๑ ก่อนเรียน และหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะเป็นรายบุคคล บทที่๔ ตารางที่ ๔.๒ แสดงผลการวิเคราะห์การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำของ ๓๕ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะเป็นรายบุคคล บทที่๔ ตารางที่ ๔.๓ ตารางแสดงคะแนนเฉลี่ยและค่าร้อยละประสิทธิภาพของ ๓๕ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกด คำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒


บทที่ ๑ บทนำ ๑. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติไทยที่จำเป็นในการสื่อสารของมนุษย์ การสื่อสารของมนุษย์ใช้ ทักษะที่สำคัญหลายทักษะ เช่น ฟัง พูด อ่าน เขียน การพัฒนาวิชาภาษาไทย เป็นการพัฒนาที่เน้น การสอนเพื่อเพื่อพัฒนาในด้านทักษะและการฝึกประสมคำอ่านสะกดคำเป็นพื้นฐานในการศึกษาหา ความรู้นักเรียนในบางส่วน ยังขาดทักษะในด้านการอ่าน จึงส่งผลมาให้ต้องมีการปรับปรุง แก้ไข และ ต้อง มีการพัฒนาในทักษะนี้อย่างต่อเนื่องและจากการเรียนการสอนของนักเรียนในการพัฒนาวิชา ภาษาไทยในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จำเป็นต้องพัฒนาที่เน้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อ พัฒนา ในด้านทักษะการอ่าน และการสะกดคำให้กับนักเรียนเป็นพื้นฐานในการศึกษาหาความรู้ ดังนั้น การพัฒนาในด้านทักษะอ่านคำ และการสะกดคำเป็นพื้นฐานในการศึกษาหาความรู้ นักเรียน จำเป็นต้อง ได้รับการพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ให้ถูกต้อง เพื่อนักเรียนจะได้นำไปใช้ใน การเรียนรู้ในรายวิชาต่างๆ และสามารถหาความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือ หรือสื่อออนไลน์ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาในทักษะการอ่าน และการสะกดคำให้กับนักเรียนอย่าง ถูกต้อง วิสารัตน์ ทองเพียร (๒๕๖๓ : ๑) การฝึกทักษะในการโยงความหมายสัญลักษณ์ที่ เป็นตัวอักษรเข้าด้วยกัน เป็นการเชื่อมโยง ความหมายของคำกับสัญลักษณ์หรือตัวอักษรเป็นทักษะ เบื้องต้นในการอ่าน ประเทิน มหาขันธ์ (๒๕๕๘ : ๑๘) จากการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนรู้และนวัตกรรมที่นำมาใช้เพื่อพัฒนา ทักษะการอ่าน และการเขียนสะกดคำ มีหลายรูปแบบที่ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการ เรียนรู้ได้เป็นอย่างดี แบบฝึก ทักษะเป็นเทคนิคการสอนที่สนุกอีกวิธีหนึ่ง คือการให้นักเรียน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏ สกลนคร ๔ ทำแบบฝึกทักษะมากๆ สิ่งที่จะช่วยให้นักเรียนมีพัฒนาการทางการเรียนเรียนรู้ใน เนื้อหาวิชาได้ดีขึ้นเพราะนักเรียนได้มีโอกาสนำความรู้ที่ได้เรียนมาแล้ว มาฝึกให้เกิดความ เข้าใจมาก ยิ่งขึ้น แบบฝึกมีความสำคัญต่อการ จัดการเรียนการสอนว่าเป็นสื่อการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้และเข้าใจเร็วขึ้น ทำให้ครูทราบจุดเด่นและจุดด้อยของแบบฝึกและของนักเรียนเพื่อนำไป ปรับปรุงแก้ไขต่อไป พัฒนาความรู้ทักษะและเจตคติด้านต่างๆ ของผู้เรียน ครูได้แนวทางในการ พัฒนาการเรียน การสอนเพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีที่สุดตามความสามารถของตนเอง พร้อมทั้งเป็นการ พัฒนาศักยภาพทางด้านการคิดเชิงวิเคราะห์ คิดอย่างเป็นระบบของผู้เรียนและนำไป ใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ของผู้เรียน ผู้จัดทำควรศึกษาวิธีการทำแบบฝึก


๒ ให้มีความแตกต่างระหว่างบุคคล เรียงลำดับจากง่ายไปหายาก เข้าใจง่ายมีความน่าสนใจและมีความ เหมาะสมกับระดับสติปัญญาและสามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับผลการวิจัยของ ไพวรรณ ชาติผาและคณะ, (๒๕๕๖ : ๑๓๕-๑๓๖) การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยแบบ ฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๐ ประไทย ศุภวิทยาเจริญกุล (๒๕๕๗ : ๙๙) การอ่านเป็นทักษะทางภาษาที่สำคัญและจำเป็นอย่างมากในการดำรงชีวิตของคนในยุค ปัจจุบัน ยิ่งกว่าทุกสมัยที่ผ่านมา เพราะขณะนี้วิทยาการและเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้เปลี่ยนแปลง เจริญก้าวหน้า มากและเป็นไปอย่างรวดเร็ว การติดต่อสื่อสารก็ยิ่งเพิ่มความสำคัญในธุรกิจการงานเพิ่ม มากขึ้น จน สภาพของสังคมกลายเป็นสังคมข่าวสาร (Information society) รวมทั้งข้อมูลต่างๆ ใน ชีวิตประจำวันจะต้องอาศัยการอ่าน จึงสามารถเข้าใจและสื่อความหมายกันได้ถูกต้อง แม้จะมีการนำ เทคโนโลยีมาใช้ในการติดต่อสื่อสาร แต่ก็ไม่สามารถทดแทนการอ่านได้ ตรงกันข้ามคนยุคนี้จะต้อง อ่านเพิ่มขึ้นเสียอีก ฉะนั้นคนเราจำเป็นต้องมีทักษะในการอ่านด้วย (วรรณี โสมประยูร ๒๕๕๓ : ๑๒๗) การอ่านจะช่วยส่งเสริมให้คนแสวงหาข้อมูลเพื่อเพิ่มพูนความรู้ และพัฒนาสติปัญญาอย่าง ต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากความคิดเห็นของนักวิชาการหลายท่านที่มีต่อความสำคัญของการอ่าน ดังที่ จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (๒๕๕๖ : ๒) กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านว่า การอ่านมี ความสำคัญ เพราะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจสังคม และสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว ส่งเสริมให้ผู้อ่านมี พัฒนาการในความรู้และความคิด มองโลกที่กว้างไกล เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม สอดคล้องกับ สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (๒๕๕๑: ๗-๘) กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านว่า การอ่านมีความสำคัญ เพราะ จะช่วยสร้างความคิดให้เกิดกับผู้อ่าน ส่งเสริมและพัฒนาความรู้ให้กับผู้อ่าน ทำให้เกิดทักษะ การสรุป ข้อมูลที่ได้จากการอ่าน ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจสารแต่ละประเภทที่มีรูปแบบของการนำเสนอที่ แตกต่างกัน การอ่านสารหลายประเภทย่อมเห็นข้อที่แตกต่างกัน อันจะนำไปสู่การพัฒนาในการอ่าน ให้สูงขึ้น ผู้วิจัยได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการจัดการเรียนการสอนเสริมวิชาอ่านคล่องพร้อมทั้งวัด และประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกลุ่มอ่อน โรงเรียนบ้านละหานพบว่า นักเรียนมี ปัญหาทางด้านการสะกดคำไม่ถูกต้องและอ่านไม่ออก ซึ่งข้อมูลการรายงานผลการประเมิน ความสามารถด้านการอ่านออกเขียนได้ของผู้เรียน (Reading Tast :RT) กลุ่มอ่อนโรงเรียนบ้าน ละหาน ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ในด้านการอ่านออกเสียง การอ่านรู้เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๕๘.๙๘ และ ๖๒.๔๒ ตามลำดับ


๓ (ฝ่ายวิชากาโรงเรียนบ้านละหาน: ๒๕๕๙ -๒๕๖๐) และจากการรายงานผลการประเมิน ความสามารถด้านการอ่านของผู้เรียน ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนบ้านละหาน ด้านการอ่าน นักเรียนควรได้รับการพัฒนาปรับปรุง จากการศึกษาหลักการและเหตุผลดังกล่าวแล้ว ผู้วิจัยได้เห็นความสำคัญของการอ่าน และได้คิด หาแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว จึงได้ศึกษาหานวัตกรรมทั้งเก่าและใหม่นำมา แก้ปัญหา จึงพบว่าการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะจะทำให้สามารถ แก้ปัญหาดังกล่าวได้ ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและ การสะกดคำของนักเรียนและพัฒนาการเรียนการสอนภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒. วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๒.๑ เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคําภาษาไทย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน ๘๐/๘๐ ๒.๒ เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านสะกดคําภาษาไทยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหาน ๓. สมมุติฐานการศึกษา ๑. นักเรียนที่มีความสามารถในการอ่านภาษาไทยต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน ๘ คน มีทักษะ การอ่านสะกดคำภาษาไทย และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยที่ดีขึ้น หลังจากใช้แบบฝึกทักษะ การอ่าน ๒. แบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ร้อยละ ๘๐/๘๐ ๔. ขอบเขตของการศึกษา ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย สำหรับนักเรียน ซึ่งมีขอบเขต การศึกษา ดังนี้ ๓.๑ ประชากร ที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหาน อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ จำนวน ๒๑ คน ๓.๒ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ กลุ่มนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้าน ละหาน อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ปีการศึกษา ๒๕๖๖ จำนวน ๘ คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือก แบบเจาะจง เนื่องจากมีนักเรียนร้อยละ ๒๑ ของนักเรียนทั้งชั้นเรียนอ่านออกเสียงสะกดคำไม่ได้ ๓.๓ ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา คือ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ จำนวน ๑๐ ชั่วโมง ทั้งนี้ไม่รวมเวลาที่ใช้ในการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน


๔ ๓.๔ เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย พยัญชนะ สาระ การอ่าน สะกดในมาตรา ตัวสะกด และมาตราตัวสะกดตรงตามมาตรา มาตราแม่ ก กา มาตราแม่กน มาตรา แม่กง มาตราแม่ กม มาตราแม่เกย มาตราแม่เกอว มาตราแม่กบ มาตราแม่กก และมาตราแม่กด จำนวน ๑๐ ชั่วโมง เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะ จำนวน ๓ แบบฝึก ๕. ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา - ตัวแปรต้น ได้แก่ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคําภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่๒ - ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ หลังใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ทั้ง ๓ แบบฝึก ๖. นิยามศัพท์เฉพาะ ๕.๑ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคําภาษาไทย หมายถึง แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการฝึกปฏิบัติด้าน การอ่าน จำนวน ๓ แบบฝึก แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย เล่มที่ ๑ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย เล่มที่ ๒ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย เล่มที่ ๓ ๕.๒ ประสิทธิภาพของแบบฝึก หมายถึง แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคําภาษาไทย กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๘๐ ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละของนักเรียนที่ได้จากการทำแบบทดสอบ ท้ายบทเรียน ของแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ๘๐ ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละที่ได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการ อ่านหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ๕.๓ ทักษะการอ่านสะกดคำ หมายถึง การอ่านโดยนำพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ และ ตัวสะกดมาประสมเป็นคำอ่าน ซึ่งต้องให้นักเรียนสังเกตรูปคำพร้อมกับการอ่านการเขียน เมื่อสะกดคำ ได้แล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องใช้วิธีการสะกดคำ ให้อ่านเป็นคำได้เลย จะทำให้นักเรียนอ่าน จับใจความได้และ อ่านได้เร็ว เช่น กา สะกดว่า กอ-อา-กา ๕.๔ นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหาน อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ปีการศึกษา๒๕๖๖ จำนวน ๘ คน


๕ ๗. ประโยชน์ของการวิจัย ๑. นักเรียนสามารถอ่านออกเสียงได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และอ่านได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้น ๒. ครูผู้สอนใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคําภาษาไทย เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง สะกดคําสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ๓. ได้แบบฝึกทักษะที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้จัดการเรียนรู้ กับนักเรียนชั้นอื่นๆ ที่มีปัญหา หรือใช้กับนักเรียนชั้นรปะถมศึกษาปีที่ ๒ ในปีการศึกษาต่อไป


บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการศึกษาครั้งนี้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคําภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหาน จังหวัดนราธิวาส ผู้วิจัย ได้ศึกษาเอกสารวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้ ๑. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ๑.๑ ทำไมต้องเรียนภาษาไทย ๑.๒ เรียนรู้อะไรในภาษาไทย ๑.๓ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ๑.๔ คุณภาพผู้เรียน ๒. การเรียนการสอนภาษาไทย ๒.๑ แนวการจัดกิจกรรมการเรียน ๓. การอ่านสะกดคำ ๓.๑ ความหมายของการอ่าน ๓.๒ ความสำคัญของการอ่าน ๓.๓ จุดมุ่งหมายในการอ่าน ๓.๔ การอ่านแจกลูกสะกดคำ ๔. แบบฝึกทักษะ ๔.๑ ความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทักษะ ๔.๒ ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดี ๔.๓ ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ ๕. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๕.๑ งานวิจัยในประเทศ ๕.๒ งานวิจัยต่างประเทศ


๗ ๑. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ทำไม ต้องเรียนภาษาไทย ๑.๑ ทำไมต้องเรียนภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้าง บุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อ สร้างความเข้าใจและ ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิต ร่วมกันในสังคม ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูล สารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และ สร้างสรรค์ให้ทันต่อการ เปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนา อาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิ ปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กำหนดให้สาระการเรียนรู้ ภาษาไทยเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การ เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง โดยประกอบด้วย ๕ สาระ ได้แก่ สาระการ อ่าน สาระการเขียน สาระการฟัง การดูและการพูดสาระหลักการใช้ภาษา สาระวรรณคดีและ วรรณกรรม ซึ่งในการจัดการเรียนการสอน ตามหลักสูตรนอกจากจะมุ่งเน้นพัฒนาทักษะทั้ง คือ การ ฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ยังมีจุดเน้นสำคัญหลายประการ เช่น การสื่อสารกับผู้อื่นอย่างมี ประสิทธิภาพ การใช้ภาษาในการแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน การใช้ภาษาเพื่อทำความเข้าใจ เรื่องราว ความคิด ความรู้สึกความต้องการของผู้อื่น เป็นต้น ดังนั้นการเรียนรู้ภาษาไทยจึงเป็นทักษะ การใช้ภาษาที่ต้องฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ ทักษะของการรับรู้เรื่องราว ความรู้ ประสบการณ์ หาก ผู้เรียนมีทักษะใช้ภาษาดังกล่าว จะช่วยให้สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างพินิจพิเคราะห์ สามารถ เลือกใช้คำเพื่อเรียบเรียงความคิด ความรู้ได้เหมาะสม ตลอดจนเลือกใช้ภาษาได้ถูกต้องและมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ (กระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๕๑ : ๒-๒๙) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยได้กำหนด มาตรฐานการเรียนรู้ตามสาระมาตรฐานการเรียนรู้ไว้ ๕ สาระการเรียนรู้ และ ๕ มาตรฐานการเรียนรู้ ในส่วนสาระ การอ่าน มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดไปตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน การอ่านกับการพูด การเขียน เป็นการใช้ทักษะทาง ภาษาที่แตกต่างกันแต่มีส่วนที่สัมพันธ์กัน การอ่านที่ถูกต้อง ทำให้พูดได้ถูกต้องเขียนได้ถูกต้อง การอ่าน ที่ชัดเจน ทำให้สามารถพูดได้ชัดเจน การอ่านได้แตกฉานจะทำให้การพูดฉะฉานและความคิด ปราดเปรื่อง การอ่านเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาความรู้พัฒนาชีวิตซึ่งนอกจากจะทำให้


๘ เกิดความรู้แล้วยังก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและส่งเสริมให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้ ดำเนินแนวคิดใน การดำเนินชีวิต การอ่านจึงเป็นหัวใจของการศึกษาทุกระดับ และเป็นเครื่องมือใน การแสวงหาความรู้ต่างๆ (กระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๕๑ : ๑-๙) ๑.๒ เรียนรู้อะไรในภาษาไทย ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การ เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง • การอ่าน การอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพันธ์ชนิดต่างๆ การ อ่านในใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่าน เพื่อนำไป ปรับใช้ ในชีวิตประจำวัน • การเขียน การเขียนสะกดคำตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำและรูปแบบต่างๆ ของการเขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่างๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์วิจารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์ • การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก พูดลำดับเรื่องราวต่างๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่างๆ ทั้งเป็นทางการและ ไม่เป็นทางการ และการพูดเพื่อโน้มน้าวใจ • หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้อง เหมาะสมกับโอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่างๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศ ใน ภาษาไทย • วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่าของงานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทำความเข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของ เด็ก เพลงพื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความ ซาบซึ้งและภูมิใจในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ๑.๓ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสสาระการเรียนร็วิชาภาษาไทย สาระที่ ๑ การอ่าน มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ ๒ การเขียน มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน เรื่องราวในรูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ


๙ สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ ความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา และพลังของ ภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง เห็นคุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ๑.๔ คุณภาพผู้เรียน จบชั้นประถมศึกษาปี ที่ ๓ อ่านออกเสียงคำ คำคล้องจอง เรื่องสั้นๆ และบทร้อยกรองง่ายๆ ได้ถูกต้อคล่องแคล่ว เข้าใจความหมายของคา และข้อความที่อ่าน ตั้งคำถามเชิงเหตุผล ลำดับ เหตุการณ์ คาดคะเน เหตุการณ์ สรุปความรู้ขอ้คิดจากเรื่องที่อ่าน ปฏิบัติตามคำสั่ง คำอธิบายจากเรื่อง ที่อ่านได้ เข้าใจ ความหมายของข้อมูลจากแผนภาพ แผนที่ และแผนภูมิ อ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ และมีมารยาท ในการอ่าน มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด เขียนบรรยาย บันทึก ประจำวัน เขียนจดหมาย ลาครู เขียนเรื่องเกี่ยวกบั ประสบการณ์ เขียนเรื่องตามจินตนาการและมี มารยาทในการเขียน เล่ารายละเอียดและบอกสาระสำคัญ ตั้งคำถาม ตอบคำถาม รวมทั้งพูดแสดง ความคิดความรู้สึก เกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและดูพูดสื่อสารเล่าประสบการณ์และพูดแนะนา หรือพูดเชิญ ชวนให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม และมีมารยาทในการฟัง ดู และพูด สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ ความแตกต่างของคำ และพยางค์หน้าที่ของคำในประโยค มีทักษะการใช้พจนานุกรมในการค้นหา ความหมายของคำ แต่งประโยคง่ายๆแต่งคำคล้องจอง แต่งคำขวัญ และเลือกใช้ภาษาไทยมาตรฐาน และภาษาถิ่นได้เหมาะสมกับกาลเทศะ เข้าใจและสามารถสรุปข้อคิดที่ได้จากการอ่านวรรณคดีและ วรรณกรรมเพื่อนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันแสดงความคิดเห็นจากวรรณคดีที่อ่าน รู้จักเพลงพื้นบ้าน เพลงกล่อมเด็ก ซึ่งเป็น วัฒนธรรมของท้อถิ่น ร้องบทร้องเล่นสำหรับเด็กในท้องถิ่น ท่องจำ บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจได้ ๒. การเรียนการสอนภาษาไทย ๒.๑ แนวการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย อัมพร อังศรีพวง (อ้างในวิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. ๒๕๔๙ : ๙๔-๙๕) ได้ให้แนวการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนภาษาไทยไว้ดังนี้


๑๐ ๑. ฝึกทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนให้ถูกต้อง คล่องแคล่ว โดยการฝึก ทักษะแต่ละอย่าง ให้แม่นยำแล้วจึงฝึกทักษะทั้ง ๕ ให้สัมพันธ์กันและส่งเสริมการคิด ตลอดจนความคิด สร้างสรรค์ ๒. ฝึกทักษะทางภาษาซ้ำๆ และบ่อยๆ จนเกิดความชำนาญ และหมั่นฝึกฝน ทบทวนอยู่เสมอ ครูผู้สอนต้องส่งเสริมให้นักเรียนฝึกทักษะเป็นรายบุคคลอย่างทั่วถึง ๓. ฝึกให้ผู้เรียนรู้หลักเกณฑ์ทางภาษาควบคู่ไปกับการใช้ภาษาและรู้จัก วัฒนธรรมทางภาษา ๔. ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ และทักษะที่ได้จากการเรียนภาษาไทยไปใช้เป็นเครื่องมือ สื่อสารในชีวิตประจำวัน และใช้เป็นพื้นฐานในการเรียนกลุ่มประสบการณ์อื่นๆ ๕. ปลูกฝังเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาไทย โดยสอนให้เห็นคุณค่าและ ตระหนักใน ความสำคัญของภาษาไทย ทั้งในส่วนที่จำเป็นต้องใช้เพื่อการสื่อสาร และในด้านการอนุรักษ์มรดกทาง วัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ ๖. ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจความงดงามของภาษาเพื่อให้เกิดความ จรรโลงใจ โดย ใช้ธรรมชาติ บทร้อยแก้ว และร้อยกรองที่เหมาะสมกับวัยและระดับชั้นมาเป็นสื่อการ เรียนการสอน ๗. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน ใฝ่หาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ใน การดำรงชีวิต ๘. สอดแทรกคุณธรรมต่างๆ เช่น ความมีระเบียบวินัย ความขยัน ความอดทน ความ รับผิดชอบ ๙. ฝึกให้ผู้เรียนเป็นคนช่างสังเกต จดจำ และจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้าง ประสบการณ์ ทางภาษา ได้รับความรู้ ความเพลิดเพลิน และเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ๑๐. นำภาษาที่ใช้ในสังคมแวดล้อมมาเป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนเพื่อให้สัมพันธ์กับ การเรียนและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจำวัน ๑๑. ให้แบบอย่างที่ดีแก่นักเรียน โดยเฉพาะเรื่องการใช้ภาษาและการสื่อสารของ ครูผู้สอน ๑๒. วัดและประเมินผล โดยคำนึงถึงวัย ระดับชั้นและพัฒนาการทางภาษาของนักเรียน ๑๓. ส่งเสริมให้นักเรียนประเมินผลการเรียนภาษาของตน เพื่อให้นักเรียนพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ตามลำดับ ๑๔. ศึกษา ติดตามและแก้ไขข้อบกพร่องทางภาษาของนักเรียนอย่างสม่ำเสมอและ ต่อเนื่อง ๑๕. จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนภาษาไทยด้วยความสนุกสนาน น่าสนใจ โดยใช้ โปรแกรม เพลง รูปแบบการสอนอื่นๆ และสื่อการสอนที่หลากหลาย เพื่อให้นักเรียนเกิดความรักใน การเรียนภาษาไทย ๑๖. จัดทำหนังสือที่เหมาะสมให้ผู้เรียนอ่านมากๆ หรือส่งเสริมการอ่านหนังสือใน ห้องสมุด เพื่อให้นักเรียนมีความรู้กว้างขวางขึ้น


๑๑ ๓. การอ่านสะกดคำ ๓.๑ ความหมายของการอ่าน ๑. การอ่านเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ช่วยพัฒนาสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาจิตใจมนุษย์ให้สูงขึ้น ยิ่งในยุคปัจจุบันมีข้อมูลข่าวสารต่างๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้การ ติดต่อสื่อสารและรับข้อมูลข่าวสารได้หลากหลายรูปแบบ ผู้คนต้องขวนขวายหาความรู้เพื่อให้ก้าวทัน เหตุการณ์โดยอาศัยการอ่านเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องผู้ที่มีทักษะการ อ่านที่ดีจะสามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนเองสังคมและประเทศชาติได้ (อุษาวดี ชูกลิ่นหอม ๒๕๖๐ : ๑๓) สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์ (๒๕๕๐ : ๗๕) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า หมายถึงการแปล ความหมายของตัวอักษรที่อ่านออกมาเป็นความรู้ความคิดและเกิดความเข้าใจเรื่องราวที่อ่านตรงกับ เรื่องราวที่ผู้เขียนเขียน ผู้อ่านสามารถนำความรู้ความคิดหรือสาระเรื่องราวที่อ่านไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ได้ ธนู ทดแทนคุณ และกานต์รวี แพทย์พิทักษ์ (๒๕๕๒ : ๕๓) กล่าวว่าการอ่าน หมายถึงการ รับรู้และแปลความหมายของตัวอักษร เครื่องหมาย สัญลักษณ์ที่สื่อความหมายต่าง ๆ มาเป็น ความคิด ๑๙ ความรู้และความเข้าใจระหว่างผู้เรียนและผู้อ่าน เพื่อที่ผู้อ่านสามารถนำความรู้จากสาร นั้นไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ ทิพย์วิมล พัวเจริญสิน (๒๕๕๒ : ๑๕) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า หมายถึง ทักษะ พื้นฐานสำคัญ ในกระบวนการสื่อสารระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน โดยผู้อ่านต้องแปลความหมาย ทำ ความเข้าใจความหมายของคำหรือสัญลักษณ์ โดยแปลออกมาเป็นความหมายที่ใช้สื่อความคิด และ ความรู้ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้เข้าใจตรงกันและผู้อ่านสามารถนำ เอาความหมายนั้น ๆ ไปใช้ให้ เกิดประโยชน์ได้ ศุภรณ์ ภูวัด (๒๕๕๓ : ๘) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่านเป็นกระบวนการทาง สมองในการแปลสัญลักษณ์น้ัน แล้วก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เกิดความคิดอย่างมีเหตุผล ถ่ายทอด ความหมายของอักษร หรือสัญลักษณ์นั้น ออกมาในรูปของความคิด แล้วจึงน าความคิด เหล่านี้ไปใช ให้ เกิดประโยชน์ต่อไป จรัสกร เล็กตระกูล (๒๕๕๓ : ๒๒) กล่าวว่า การอ่าน หมายถึงกระบวนการทางความคิด การ ทำความเข้าใจภาษาเขียน เพื่อสื่อสารกัน ระหว่างผู้สั่งสารกับผู้รับสารผู้อ่านจะใช้การสังเกต การจำรูป คำและประสบการณ์เดิมที่สำคัญ จะต้องเข้าใจความหมายของคำ เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ จาก เรื่องที่อ่าน ผู้อ่านต้องมีความสามารถในการจัดระบบข้อมูลความรู้ต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตีความ เรื่อง ที่อ่าน ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้เจตคติและทักษะ ทั้งนี้แล้วแต่จุดประสงค์ของการอ่านแต่ละคน


๑๒ สรุปได้ว่าการอ่าน หมายถึงกระบวนการทางสมองที่ใช้สายตาสัมผัสตัวอักษรเพื่อแปล ความหมายของ คำ ข้อความ เรื่องราวและความคิดของผู้เขียนเพื่อใหผู้อ่านเข้าใจ สรุปได้ว่า การอ่านเป็นกระบวนการทางสมองที่ต้องใช้สายตาสัมผัสตัวหนังสือหรือสิ่งพิมพ์ อื่นๆ รับรู้และเข้าใจความหมายของคํา ที่ใช้สื่อความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน ให้เข้าใจตรงกันและผู้อ่านสามารถนําเอาความหมายนั้นๆ ไปใช้ประโยชน์ได้ ๒. แบบฝึกทักษะการอ่าน คือ แบบฝึกเสริมทักษะจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาทักษะในเรื่อง ที่เรียนรู้ให้มากขึ้น โดยอาศัยการฝึกฝนหรือปฏิบัติด้วยตนเองของผู้เรียน ลักษณะปัญหาในแบบฝึก ทักษะจะเป็นปัญหาที่เสริมทักษะพื้นฐานโดยกำหนดขึ้นให้ผู้เรียนตอบเรียงลำดับจากง่ายไปยาก ปริมาณของปัญหาต้องเพียงพอที่สามารถตรวจสอบและพัฒนาทักษะ กระบวนการคิด กระบวนการ เรียนรู้ของผู้เรียน ที่เรียนไปแล้ว เพื่อนําไปใช้ในการแก้ปัญหา รวมทั้งในแบบฝึกทักษะจะทำให้ผู้เรียน สามารถตรวจสอบความเข้าใจบทเรียนด้วยตนเองได้ เพื่อให้เกิดทักษะ เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความ ชํานาญในเนื้อหาที่ผู้เรียนได้เรียนไปในเรื่องนั้นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ทักษะการอ่านสะกดคําภาษาไทย คือ ความรู้ ความเข้าใจและ ความสามารถในการอ่าน โดยนําพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด ในภาษาไทยมาประสมเป็นคําอ่าน เป็นเครื่องมือการ อ่านคําใหม่ อ่านเป็นคํา อ่านเป็นประโยค ทำให้นักเรียนอ่านจับใจความได้และอ่านได้เร็ว ๓.๒ ความสำคัญของการอ่าน สมชาย หอมยก(๒๕๕๐ : ๓๘) สรุปความสำคัญของการอ่านว่า อยู่ที่ผู้อ่านมีความสามารถ หรือไม่ในด้านต่าง ๆ การอ่านช่วยพัฒนาความคิด และจิตใจ การอ่านมากจะทำให้รู้จักนำความรู้ ความคิด ประสบการณ์จากการอ่านมาพิจารณาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี การอ่านเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมความรู้ และความเข้าใจระหว่างมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา ความสำคัญของการอ่านมีดังนี้ ๑. การอ่านช่วยเพิ่มเติมความรู้ ความคิด และประสบการณ์ ทำให้มีความงอกงามทั้ง สติปัญญา อารมณ์ เป็นการพัฒนาจิตใจได้เป็นอย่างดี ๒. การอ่านช่วยส่งเสริมวิจารณญาณในการรับสาร ๓. สามารถติดตามความเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ของสังคมโลกได้ ๔. ช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด ได้รับความเพลิดเพลิน ๕. ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพ การอ่านมากทำให้มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล การที่เรารู้จักรับ ข้อคิดเห็นจากผู้อื่นจะทำให้เรากลายเป็นผู้ที่มีเสน่ห์ คนรอบ ๆ ข้างก็อยากอยู่ใกล้ ทิพย์วิมล พัวเจริญสิน (๒๕๕๒ : ๑๗) กล่าวว่า การอ่านมีความสำคัญ ต่อการดำรงชีวิต ของ มนุษย์ปัจจุบัน เนื่องจากการอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ ทำ ให้บุคคลได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านสติปัญญา ความสามารถ ตลอดจนคุณธรรม จริยธรรมต่าง ๆ เมื่อ


๑๓ บุคคลมีความเข้าใจในเรื่องที่อ่านอย่างแท้จริงย่อมสามารถนำความรู้ความคิดไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้ง แก่ตนเองและสังคมได้เป็นอย่างดีซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อการอ่าน และมีนิสัยรักการ อ่าน ศุภรณ์ ภูวัด (๒๕๕๓ : ๑๐) กล่าวว่า การอ่านมีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตใน ปัจจุบันมาก สังคม เปลี่ยนแปลงเจริญกาวหน้ามากเพียงไรการอ่านก็เป็นทักษะที่สำคัญในการแสวงหา ความรู้ให้ทันต่อเหตุการณ์มากเท่านั้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มพูนสติปัญญา ประสบการณ์ให้สามารถ ปรับตัวให้อยู่ในสังคม ที่เปลี่ยนได้อย่างเป็นสุข จรัสกร เล็กตระกูล (๒๕๕๓ : ๒๔) ได้สรุปความสำคัญ ของการอ่านไว้ว่า การอ่านเป็น ทักษะ ที่สำคัญและจำเป็นในการศึกษาหาความรู้และการพัฒนาคุณภาพชีวิต นอกจากการอ่านจะทำ ให้เกิด ความรู้แล้วยงัก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และส่งเสริมให้มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ได้ แนวคิดในการดำเนินชีวิต การอ่านจึงเป็นหัวใจของการศึกษาทุกระดับและเป็น เครื่องมือที่สำคัญใน การแสวงหาความรู้เรื่องต่างๆ ตลอดจนเป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพให้ประสบความสำเร็จ ท ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีคนที่มีความสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพราะ เมื่ออ่านมากย่อมรู้มาก สามารถนำความรู้ไปใช้ในการดำรงชีวติอย่างมีความสุข สรุปได้ว่าการอ่านเป็นทักษะสำคัญในการเรียนรู้ การแสวงหาความรู้ทางการศึกษาของ นักเรียน นักศึกษา บุคคลทั่วไปเพราะเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้และพัฒนาสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ พฤติกรรมและค่านิยมต่างๆ ๓.๓ จุดมุ่งหมายในการอ่าน คณาจารย์ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (๒๕๕๑,หน้า ๑๔๕) ได้กล่าวว่า โดยทั่วไป จุดประสงค์ของการอ่านมี๓ ประการ ๑.การอ่านเพื่อความรู้การอ่านเพื่อความรู้ได้แก่การอ่านหนังสือประเภทตำรา สารคดีวารสาร หนังสือพิมพ์และขอ้ความต่างๆ เพื่อให้ทราบเรื่องราวอนั เป็นข้อความรู้หรือเหตุการณ์บ้านเมือง ๒.การอ่านเพื่อความคิด การอ่านเพื่อความคิด ได้แก่การอ่านหนังสือโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ ทราบ แนวความคิดทางปรัชญาวัฒนธรรม จริยธรรม และความคิดเห็นทั่วไป ซึ่งมักจะแทรกอยู่ใน หนังสือแทบทุกประเภท ๓.การอ่านเพื่อความบันเทิง การอ่านเพื่อความบันเทิง เป็นการอ่านเพื่อฆ่าเวลา หรืออ่าน หนังสือประเภท บันเทิงคดีในเวลาว่าง บางคนมีนิสัยรักการอ่าน หากรู้สึกเครียดจากการอ่านหนังสือ เพื่อความรู้อาจอ่านหนังสือประเภทเบาสมองเพื่อการพักผ่อน ทิพย์สุเนตร อนัมบุตร (๒๕๕๑ : ๕) ให้คำจำกัดความว่า การอ่าน คือ การรับสารในการใช้ ภาษาไม่ว่าจะเป็นภาษาใด ย่อมประกอบด้วย ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายส่ง > สาร > ฝ่ายรับ ฝ่ายส่งสารย่อม ส่งโดยการพูดหรือการเขียน ฝ่ายรับสารจึงรับได้โดยการฟังหรือการอ่าน


๑๔ สมชาย หอมยก(๒๕๕๐ : ๓๘) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการอาน่ มีดังนี้ ๑. อ่านเพื่อความรู้ เป็นการอ่านที่สำคัญและจำเป็นโดยเฉพาะในวัยศึกษาเล่าเรียน อาจจะ เป็นการอ่านเพื่อหาความรู้ทั่วไป หรือความรู้เฉพาะด้านก็ได้ ๒. อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน เป็นการอ่านที่มุ่งผ่อนคลายอารมณ์ ความตึงเครียดที่อาจ เกิดขึ้นได้ในสภาวะแวดล้อมของสังคมยุคปัจจุบัน ๓. อ่านเพื่อค่าเวลา เป็นการอ่านที่ไม่คาดหวังเรื่องความรู้ หรือเนื้อหาสาระมากนกัมุ่งอ่าน เพื่อใช้เวลาว่างให้ เป็นประโยชน์ เช่น การนั่ง รอรถหรือการเดินทางที่ใช้ระยะเวลานาน จรัสกร เล็กตระกูล (๒๕๕๓ : ๒๖) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายที่สำคัญของการอ่าน คือการอ่าน เพื่อ เพิ่มพูนความรู้อ่านเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน อ่านเพื่อให้เกิดความคิดใหม่ ๆ อ่านเพื่อ สนอง ความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง สามารถรู้เท่าทันเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม เพื่อนำความรู้ที่ ได้รับไป ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวติต่อไป สรุปได้ว่าการอ่านมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถ บุคลิกภาพของผู้อ่าน ตลอดจน ส่งเสริมสมรรถภาพในการอ่านของผู้อ่านและยงัก่อให้เกิดความเพลิดเพลินอีกด้วย การอ่าน จะประสบ ผลสำเร็จผู้อ่านควรตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านว่าอ่านเพื่ออะไรจะทำ ให้ผู้อ่านได้รับรู้เรื่องที่ ตนอ่านได้ ถูกต้อง ๓.๔ การอ่านแจกลูกสะกดคำ ความหมายของการอ่านสะกดคำ จากการทบทวนวรรถกรรมที่เกี่ยวข้องกับความหมายของการอ่านสะกดคำมีนักการศึกษาได้ ให้ความหมาย ไว้ดังนี้ ปัทมา ทัพหิรัญ (๒๕๕๑ : ๑๔) การอ่านสะกดคำ หมายถึง การอ่านโดยนำเสียงพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ และตัวสะกดมาประสมเป็นคำอ่าน การอ่านสะกดคำต้องให้นักเรียนสังเกตรูปคำ พร้อมกับการอ่านและสอนสะกดคำพร้อมกับการเขียน และนำคำที่มีความหมายมาสอนควรสอน สะกดคำเฉพาะคำใหม่ มิฉะนั้นนักเรียนจะจับใจความไม่ได้และอ่านได้ช้า บุษบา พรหมภักดี (๒๕๕๒ : ๒๔) กล่าวว่าการอ่านสะกดคำ หมายถึง การอ่านแยก ส่วนประกอบของคำ คือ พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด และวรรณยุกต์ เช่น ตา อ่านว่า ตอ - อา -ตา กัลยา แข็งแรง (๒๕๕๒ : ๐-๑) การอ่านสะกดคำ หมายถึง กระบวนการขั้นพื้นฐานของการ อ่าน โดยนำเสียงพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ และตัวสะกคมาประสมเป็นคำอ่าน ทำให้ออกเสียงคำ ต่าง ๆ ที่มีความหมายในภาษาไทยได้อย่างถูกต้องชัดเจน เพื่อให้นักเรียนได้หลักเกณฑ์ทางภาษาทั้ง การอ่านและการเขียนไปพร้อมกัน


๑๕ ศิริรัตน์ เกิดแก้ว (๒๕๕๓ : ๒๗) การอ่านสะกดคำ หมายถึง การออกเสียงตามพยัญชนะ สระ ตัวสะกด และวรรถยุกต์ ประสมกันเป็นคำอ่านที่ถูกต้องตามพจนานุกรม เพื่อให้นักเรียนรู้หลักในการ ประสมคำ และเขียนหรือบอกตัวอักษรที่ใช้ประสมกันเป็นคำ โคยควรสอน อ่านและเขียนสะกดคำไปพร้อม ๆ กัน สรุปได้ว่า การอ่านสะกดคำ หมายถึง การอ่านออกเสียงพยัญชนะ สระ ตัวสะกดและ วรรณยุกต์ ได้ถูกต้องตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน การอ่านสะกดคำจะต้องให้นักเรียน สังเกตรูปคำ และควรสอนให้นักเรียนเขียนสะกดคำไปพร้อมกันด้วย เพื่อให้นักเรียนอ่านออกและ เขียนได้ไปพร้อมกัน หากอ่านสะกดคำจนจำดำได้แล้ว ไม่ต้องอ่านสะกดคำอีก เพราะการอ่านสะกดคำ ควรใช้ในการสอนอ่านคำใหม่ ความสำคัญของการอ่านสะกดคำ การอ่านสะกดคำ มีความสำกัญและจำเป็นต้องฝึกฝนให้นักเรียนอ่านให้ถูกต้องตามอักขรวิธี ซึ่งจะต้องเริ่มฝึกทักษะตั้งแต่เริ่มเรียน ใช้เป็นพื้นฐานในการเรียนกลุ่มสาระภาษาไทยและกลุ่มสาระอื่น ๆ การอ่านสะกดคำช่วยให้อ่านและเขียนได้อย่างถูกต้อง ซึ่งทรงนาก จันทร์กลับ (๒๕๕๐ : ๔๕) ยศวดี นงค์สวัสดิ์ (๒๕๕๐ : ๑๑) และ วิไถวรรณ ถิ่นจะนะ (๒๕๕๑ : ๒๗) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการ อ่านสะกดคำโดยสรุปได้ดังนี้ การอ่านสะกดคำเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับผู้เริ่มเรียน การอ่านสะกดคำถือว่าเป็นพื้นฐานที่ สำคัญของการอ่าน ซึ่งจะทำให้นักเรียนมีทักษะการอ่านที่ดีและมีประสิทธิภาพสามารถใช้การอ่านเป็น เครื่องมือในการแสวงหาความรู้ในทักษะวิชา ด้านอื่น ๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้และนำมาใช้ในการดำเนิน ชีวิตและประกอบอาชีพของนักเรียนในอนาคตต่อไป หากครูไม่ได้สอนอ่านสะกดคำแก่นักเรียนใน ระยะเริ่มเรียน การอ่านของนักเรียนจะขาดหลักเกณฑ์การประสมคำทำให้เมื่ออ่านหนังสือมากขึ้นจะ สับสน อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือผิด ซึ่งเป็นปัญหาที่สำกัญของนักเรียนในปัจจุบัน ผลการอ่าน ไม่ออกเขียนไม่ได้ย่อมส่งผลกระทบต่อการเรียนวิชาอื่น ๆเพราะการอ่านสะกดกำเป็นเครื่องมือในการ สอนอ่าน การสนอ่านสะกดคำครูควรใช้สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ เนื่องจากจำนวนคำที่ นักเรียนต้องเรียนมีมากขึ้น นักเรียนจำรูปคำพื้นฐานได้ไม่หมด การอ่านสะกดคำจะช่วยให้นักเรียน ประสมคำอ่านได้และสามารถอ่านหนังสือได้ด้วยคนเอง การอ่านสะกดคำเป็นองค์ประถอบสำกัญใน การเรียนรู้เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ทั้งในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยและสาระอื่น ๆ ความสามารถ ในการอ่านสะกดคำของนักเรียนระดับประถมศึกษา มีความสำคัญต่อการอ่านของเด็ก และเป็น พื้นฐานที่จำเป็นของการสอนภาษาไทย ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภายาไทย จึง จำเป็นต้องฝึกทักษะการอ่านสะกดคำให้ถูกต้อง และพัฒนานักเรียนให้สามารถอ่านเขียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ แต่การที่จะฝึกทักษะให้นักเรียนอ่านสะกดคำได้ถูกต้องอย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องฝึก ทักษะในการอ่านสะกดคำตามมาตราตัวสะกดให้ถูกต้อง เพื่อให้อ่านได้ถูกต้องและคล่องแคล่ว


๑๖ ปัญหาและสาเหตุการอ่านสะกดคำไม่ถูกต้อง ธิดารัตน์ อิมัง (๒๕๕๖ : ๓๔-๓๖) กล่าวว่าปัญหาและสาเหตุการอ่านสะกดคำไม่ถูกต้องดังนี้ ๑. สาเหตุจากการศึกษาเช่น ขาดพื้นฐานการอ่านไม่มีวัสดุการอ่านที่มีประสิทธิภาพและมี วัสดุไม่เพียงพอตอนเริ่มฝึกอ่าน การเรียนไม่ได้เน้นหนักและมุ่งสอนอย่างจริงจัง มีปัญหาตั้งแต่เริ่มหัด อ่านจึงทำให้เบื่อหน่ายที่จะฝึกฝน ไม่มีความรู้พื้นฐานเดิมเพียงพอที่จะรับประสบการณ์ใหม่ ขาดความ กระตือรือร้นหรือแรงสนับสนุนในการอ่าน เป็นต้น ๒. สาเหตุจากความสามารถทางสมอง เช่น ไอคิวต่ำกว่าเกณฑ์ ๓. สาเหตุจากสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น สิ่งแวดล้อมไม่เอื้อต่อการอ่านห่างไกลจาก ห้องสมุด สภาพสังคมโดยรอบส่วนใหญ่ไม่สนใจกับการอ่าน ๔. สาเหตุจากอารมณ์ เช่น เด็กไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์ ขาดความอบอุ่นจากทางบ้าน ๕. ปัญหาจากความพิการ เช่น ความพิการทางสายตา ความพิการของร่างกายส่วนใดส่วน หนึ่ง ครูผู้สอนไม่ควรจะมุ่งแต่การสอนแต่ในบทเรียนเพียงอย่างเดียว บทบาทสำคัญอยู่ที่ตัวครูต้องให้ ความสำกัญในค้านการสอนอ่านสะกดคำ โดยเฉพาะเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ครูต้องจัดกิจกรรม การเรียนการสอนที่หลากหลาย และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างกำกับภาพเพื่อให้นักเรียนอ่าน สะกดคำได้อย่างถูกต้อง ปัญหาการอ่านที่สำคัญอยู่ที่ครูผู้สอน โคยเฉพาะการอ่านออกเสียง ครูควร อ่านให้ถูกต้องและชัดเจน ออกเสียงคำควบกล้ำ และออกเสียง ร ล ให้ถูกต้องซึ่งจะเป็นตัวอย่าง ที่ดี ให้แก่นักเรียน อีกทั้งถ้าครูสามารถจัดหาหรือผลิตสื่อการจัดการเรียนรู้ที่ใช้ในการพัฒนาการอ่านมาใช้ สอนนักเรียน จะทำให้นักเรียนมีพัฒนาการทางด้านการอ่านดียิ่งขึ้นถึงแม้ว่าปัญหาบางประการจะอยู่ ที่ตัวนักเรียน เช่น ค้านร่างกาย ระดับสติปัญญา ความเอาใจใส่จากบิดา มารดา ตลอดจนสิ่งแวดล้อม ของเด็กก็ตาม กัดยา แข็งแรง (๒๕๓๒ : ๑๖-๑๗) ได้กล่าวถึงปัญหาในการอ่านไม่ถูกต้องไว้ดังนี้ ๑. อ่านไม่ออก ได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ - ๒ ที่ยังจำหลักเกณฑ์ในการสะกดคำ ต่าง ๆ ไม่ได้ จึงอ่านไม่ได้ เช่น อ่านคำที่ใช้อักษรต่ำและอักษรสูงที่มีวรรณยุกต์ผิดเพี้ยนไม่ถูกต้อง อ่านคำที่ประสมกับสระประสมไม่ได้ อ่านคำที่ใช้ตัวสะกดไม่ตรงมาตราตัวสะกคไม่ได้เป็นต้น ๒. อ่านคำผิด ได้แก่ อ่านคำที่มีอักษรนำไม่ถูกต้อง เช่น ผลิต (ผะ-หลิค) อ่าน ผลิต อ่านคำ ห้องรูปไม่ถูกต้อง เช่น เพลา (เพ-ลา) อ่านเป็น เพลา อ่านแยกคำหรืออ่านแบ่งวรรคตอนผิดเช่น โฉนด (ฉะ-โหนด) อ่านเป็น โฉ - นด ๓. อ่านออกเสียงผิด ได้แก่ อ่านตู่คำ เช่น ออกเสียงพยัญชนะตัวหนึ่งเป็นหยัญชนะอีกตัว หนึ่ง เช่น เราไปเที่ยวภูเขาสนุกมาก อ่านว่า เราไปเที่ยวถูเขาสนุกมาก ออกเสียงคำที่ใช้ ร เป็น ล เช่น โรงเรียน เป็น โลงเลียน อ่านกำควบกล้ำไม่ถูกต้อง เช่น ปรับปรุง อ่าน ปับปุง อ่านคำตามลักษณะของ ภาษาถิ่น เช่น นักเรียนที่พูดภาษาไทยถิ่นเหนืออ่านข้อความ เขาเดินไปพบช้าง ว่า เขาเดินไปพบจ้าง


๑๗ อ่านคำที่มาจากภาษาต่างประเทศไม่ถูกต้อง เช่น อ่านคำ คอมพิวเตอร์ ตามรูปคำที่ สะกด คือ คอม-พิว-เตอ ที่ถูกต้องอ่านว่า คอม - ผิว - เต้อ และอ่านลากเสียง ยานคาง โดยส่วนมากนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑ จะอ่านออกเสียงในลักษณะเช่นนี้เพื่อให้อ่านพร้อม ๆ กัน การอ่านลากเสียงหรือ ยานเสียง ทำให้เกิดผลเสียหลายประการ เช่น ทำให้คิดช้า ความคิดเกี่ยวกับเนื้อเรื่องไม่ต่อเนื่อง จับ ใจความสำคัญไม่ได้ ถ้าไม่แก้ไขจะติดเป็นนิสัย ทำให้เสียคลิกภาพในการอ่านและทำให้เป็นคนเฉื่อยชา ๔. อ่านช้า เนื่องจากสะกดคำไม่ค่อยได้ จึงต้องใช้เวลาในการอ่านค่อนข้างนาน ๕. งับใจความสำคัญของเรื่องไม่ได้ นักเรียนบางคนอ่านได้ แต่ไม่เข้าใจเรื่องที่อ่าน ๖. อ่านทิ้งคำบางดำ เช่น ข้อความเขียนไว้ว่า "ระหว่างเดินทางไปโรงเรียน จะต้องเดินผ่าน ตลาด" นักเรียนที่อ่านลักษณะนี้อาจจะอ่านว่า "ระหว่างทางไปโรงเรียน เดินผ่านตลาด" ๗. ไม่เห็นประโยชน์ของการอ่าน นักเรียนบางคนไม่ชอบอ่านหนังสือ เวลาที่ครูให้อ่าน สามารถอ่าน ได้ แต่ในเวลาว่างไม่ชอบอ่านหนังสือ ทำให้มีความรู้ไม่กว้างขวางและไม่มีพัฒนาการ ทางด้านการอ่าน ถาวร สีทรงฮาต (๒๕๕๕ : ๒๖-๒๙) กล่าวถึงสาเหตุและข้อบกพร่องในการอ่านไว้ดังนี้ ๑. อ่านช้า ๒. อ่านข้ามบรรทัด ๓. อ่านไม่เว้นวรรค ๔. จับใจความสำคัญไม่ได้ ร. อ่านย้อนหน้าย้อนหลัง ๖. อ่านกลับ เช่น บอก เป็น กอบ ๗. อ่านข้าม สรุปได้ว่าสาเหตุและปัญหาการอ่านสะกดคำไม่ถูกต้องมีสาเหดูมาจากครูผู้สอนตัวนักเรียน และ วิธีสอน สาเหตุและปัญหาการอ่านสะกคคำมีหลายประการ เช่น ไม่ทราบความหมายกำ ใช้การเดา ใช้ แนวเทียบเสียงผิด ออกเสียงผิดตามความเคยชิน มีประสบการณ์ในการอ่านที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีคน แนะนำการอ่านที่ถูกต้อง ไม่รู้หลักเกณฑ์ในการอ่านสะกดคำ อ่านตามสำเนียงภาษาถิ่น ขาดการฝึกฝน ทางด้านการอ่าน เป็นต้น ดังนั้นครูควรกระตุ้นให้นักเรียนอ่านสะกดทำให้ถูกต้องตามหลักภาษาเพื่อให้ สามารถอ่านและเขียนได้อย่างถูกต้อง โคยใช้วิธีสอนที่หลากหลายเพื่อให้นักเรียนไม่เกิดความเบื่อ หน่าย และฝึกฝนการอ่านสะกดคำอย่างสม่ำเสมอ วิธีการสอนอ่านสะกดคำ วิธีการสอนอ่านสะกดคำมีหลายวิธี ดังที่ ระวิวรรณ สิทธิโชติ (๒๕๕๒ : ๑๗-๑๘) ทรงนาถ จันทร์กลับ (๒๕๕๐ : ๔๗-๔๘) และกัลยา แข็งแรง (๒๕๕๒ : ๑๒-๑๔๑) กล่าวว่าวิธีการสอนอ่านสะกด คำมีหลายวิธี ถ้าสะกดเพื่ออ่านจะสะกดคำตามเสียง ถ้าสะกดคำเพื่อเขียนจะสะกดคำตามรูป


๑๘ ๑. วิธีอ่านสะกดคำตามรูปคำ เช่น กา สะกคว่า กอ - อา -กา ขา สะกดว่า ขอ - อา - ขา คาง สะกดว่า คอ -อา -งอ -กาง ค้าง สะกดว่า คอ - อา - งอ -คาง- ไม้ไท - ค้าง ๒. วิธีอ่านสะกดคำโดยสะกดแม่ ก กา ก่อน แล้วจึงสะกดมาตราตัวสะกด เช่น คาง สะกคว่า คอ - อา - คา -ดา - งอ - ดาง ค้าง สะกดว่า คอ - อา -กา -ดา - งอ -คาง..-ไม้โท – ค้าง ๓. วิธีอ่านสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตราตัวสะกดจะเป็นคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ เช่น คำที่มาจากภาษาบาลี สันสกฤต เขมร ภาษาอังกฤษ เป็นต้น มีวิธีสอนอ่านสะกดคำดังนี้ ๓.๑ เห็นรูปคำและอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง ๓.๒ จำรูปคำและรู้ความหมายของคำ ๓.๓ รู้หลักการสะกดคำ เช่น แม่กง ใช้ ง สะกด แม่กน ใช้ น ร ล ห ญ ณ แม่กบใช้บภพ ป ฟ คำที่สะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดจะไม่อ่านสะกดคำ แต่ใช้หลักการสังเกตรูปคำ จำคำ ให้ได้โดยอ่านและเขียนคำนั้นเสมอ รู้ความหมายของคำและรู้หลักการอ่านสะกดคำ เช่น เหตุ อ่านว่า เหด ให้รู้ว่า ตุ ออกเสียง ด เป็นเสียงท้าย ๔. วิธีอ่านสะกดคำอักษรควบ มี ๒ วิธี ดังนี้ ๔.๑ สะกดคำเพื่ออ่าน จะมุ่งเสียงของคำด้วยการออกเสียงพยัญชนะต้นเป็นเสียงกล้ำก่อน วิธีนี้นักเรียนจะออกเสียงกล้ำชัดเจน เช่น กรอง สะกดว่า กรอ - ออ - งอ - กรอง กล้วย สะกดว่า กลอ - อัว - ขอ - กลวย - ไม้โท - กล้วย ๔.๒ สะกดคำเพื่อเขียน จะสะกดคำแบบเรียงพยัญชนะต้น เช่น กรอง สะกดว่า กอ - รอ - ออ - งอ - กรอง กล้วย สะกคว่า กอ - ลอ - อัว - ยอ - กลวย - ไม้โท - กล้วย ถ้าสะกคคำแบบเรียงพยัญชนะต้น นักเรียนจะออกเสียงเฉพาะพยัญชนะต้นตัวแรกและทิ้ง เสียงพยัญชนะต้นตัวที่สอง ทำให้ออกเสียงควบไม่ชัด ๕. วิธีอ่านสะกดคำอักษรนำ มีดังนี้


๑๙ ๕.๑ ห นำ ข ร ถ ว ให้ออกเสียงพยัญชนะนำก่อน เช่น หล ออกเสียง หลอ หย ออกเสียง หยอเป็นตัน แล้วจึงสะกดคำเช่น หลา สะกดว่า หลอ-. อา – หลา หยา สะกคว่า หยอ - อา - หยา จะเห็นว่าอักษรตัวแรกมีอิทธิพลต่อตัวที่สอง บางกนจะให้อ่านแบบเทียบเสียง เช่น ลา -หลา ลอ – หลอ ลาด – หลาด ส่วนการอ่านสะกดคำเพื่อมุ่งเขียน จะสะกดคำแบบเรียงพยัญชนะก็ได้ เพื่อมุ่งการจำรูปคำ เช่น หอ -ลอ-อา -หลา, หอ-ยอ-อา -หยา ก็ได้ ๕.๒ อ นำ ย ให้ออกเสียง ออ เป็นเสียง ย แล้วสะกดคำ เช่น อย่า สะกดว่าย - อ--- ขา.- ไม้เอก - อย่า (ออกเสียง อย่า เพราะอิทธิพลของเสียง อ ที่เป็นอักษรนำ) หรือออ -ยอ -อา -า- ไม้เอก -.อย่า อีกวิธีหนึ่งไม่สะกดแต่ให้จำเป็นรูปกำทั้ง ๔ คำ คือ อย่า อยู่ อย่าง อยาก ๕.๓ การอ่านสะกดกำที่อักษรสูงนำอักษรตำเดี่ยว หรืออักษรกลางนำอักษรต่ำเดี่ยว เช่น สน สม ขน จม ถล ตล เป็นต้น ให้ออกเสียงนำก่อน เช่น สน ออกเสียง สะ หนอ สม ออกเสียง สะ หมอ ขน_ ออกเสียง ขะหนอ ตล ออกเสียง ตะหลอ แล้วจึงสะกดคำเพื่อออกเสียง ให้ถูกต้อง เช่น เสมอ สะกดว่า สะหมอ - เออ - สะ - เหมอ สนอง สะกคว่า สะหนอ -ออ- งอ - สนอง หรือจะสะกดคำแบบเรียงตัวพยัญชนะก็ได้ เพื่อมุ่งการเขียนคำให้ถูก เช่น เสมอ สะกคว่า สอ - มอ - เออ -สะ-เหมอ สนอง สะกคว่า สอ - นอ - ออ - งอ -สะหนอง แต่นักเรียนจะไม่ได้หลักการออกเสียง แต่ถ้าอ่านบ่อยและอ่านมาก จะทำให้อ่านได้ถูกต้อง การสอนอ่านอักษรนำควรให้นักเรียนจำว่าคำใดเป็นอักษรนำ จะออกเสียงหยัญชนะต้นตัวที่สองตาม ตัวหน้า ๖. วิธีอ่านสะกดคำที่สระเปลี่ยนและลดรูป มีสระบางตัวเมื่อมีตัวสะกดจะเปลี่ยนรูปคำ เช่น สระโอะ มีตัวสะกด จะลดรูป เช่น ลด สะกดว่า ลอ... โอะ - ดอ - ลด สระอะ มีตัวสะกด จะเปลี่ยนรูปเป็นไม้หันอากาศ เช่น วัน สะกดว่า วอ - อะ - นอ - วัน สระเอะ มีตัวสะกดจะเปลี่ยนรูปใช้ไม้ได้กู้ เช่น เป็ด สะกคว่า ปอ-เอะ -ดอ - เป็ด


๒๐ สระเออ มีตัวสะกค จะเปลี่ยนรูปสระจาก เ-อ เป็น ๑๒ เช่น เดิน สะกคว่า ดอ -เออ - นอ - เดิน สระแอะ มีตัวสะกด จะเปลี่ยนรูปสระจาก แะ เป็น แ" เช่น แข็ง สะกดว่า ขอ -แอะ - งอ - แข็ง สระอัว มีตัวสะกด จะเปลี่ยนรูปโดยไม่เขียน ะเช่น ลวด สะกดว่า ลอ - อัว -ดอ - ลวด การสอนคำที่มีสระลดรูปหรือเปลี่ยนรูป ให้นักเรียนสังเกตรูปคำว่ามีวิธีอ่านอย่างไรจำว่าสระ ใดลครูปหรือเปลี่ยนรูปเป็นแบบใด สอนให้นักเรียนรู้ความหมายของคำ ฝึกอ่านสะกดคำอยู่เสมอจะทำ ให้นักเรียนอ่านได้และจำคำได้ดี ๗. วิธีอ่านสะกดคำที่มีตัวการันต์เป็นคำมาจากภาษาอื่น เช่น ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต จะมี ตัวสะกดไม่ตรงมาตราตัวสะกด การสะกดคำที่มีการันต์จะให้อ่านเป็นคำแล้วสังเกตรูปคำ แล้วรู้ กฎเกณฑ์ตามหลักภามา คำที่มีตัวการันต์ พยัญชนะการันต์จะไม่ออกเสียงจะเห็นว่าวิธีการสอบอ่าน สะกดคำมีหลายวิธี ครูควรใช้รูปแบบเดียวกันในการสอนเช่น จะใช้วิธีอ่านสะกดคำตามรูปคำหรือวิธี อ่านสะกดคำโดยสะกดแม่ ก กา ก่อน แล้วจึงสะกดมาตราตัวสะกค เพื่อให้นักเรียนไม่สับสนในการ อ่าน วิธีการสอนอ่านสะกดคำมี ๒ วิธี ที่เป็นหลักในการสอน คือ สอนอ่านสะกดคำเพื่ออ่าน และสอน อ่านสะกดคำเพื่อเขียน ครูควรเลือกใช้วิธีการให้เหมาะสมว่าจะสะกดคำเพื่ออ่านหรือเขียน ข้อควรปฏิบัติในการสอนอ่านสะกดคำ ในการสอนอ่านสะกดคำ วรรณี โสมประยูร (๒๕๓๙ : ๑๘-๑๙) ปัทมา ทัพหิรัญ (๒๕๕๑ : ๑๖-๒๐) และกัลยา แข็งแรง (๒๕๕๒ : ๒๐-๒๒) ได้กล่าวถึงข้อควรปฏิบัติสรูปได้ดังนี้ ๑.ต้องสอนทุกครั้งที่นักเรียนเรียนคำใหม่ที่เป็นคำพื้นฐานในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ - ๒ หรืออางถึงขั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ทั้งนี้ให้อยู่ในดุลพินิจของครูผู้สอนชั้นประถมศึกบาปีที่ ๓ว่ายัง จำเป็นต้องสอนหรือไม่ มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับความสามารถในการอ่านของนักเรียน ๒. ควรสอนจากง่ายไปหายาก คือสอนจากคำที่เป็นตัวสะกดในมาตรา แม่ ก กา คำ ที่มี ตัวสะกดตรงมาตรา ไม่ตรงมาตรา ตามลำดับ และต่อด้วยคำที่มีลักษณะซับซ้อน เช่น คำที่เป็น อักษรนำ คำที่มีตัวการันต์ เป็นดัน ๓. ควรเนั้นเรื่องการอ่านสะกดคำ ทั้งแบบเห็นคำจากบัตรคำ หรือที่ครูเขียนบนกระดาน หรืองากหนังสือเรียน และการฝึกแขกลูกแบบปากเปล่า (ไม่เห็นคำ) จนสามารถอ่านสะกดดำไห้อย่าง คล่องปาก ๔. ควรตระหนักสมอว่า การสอนอำนสะกดคำที่ถูกต้อง เป็นการออกเสียงมิใช่การแยกตัว พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ลงใบตารางแจกลูกคำ เพราะนั่นเป็นเพียงการจำแนกตัวอักษรที่เป็น ส่วนประกอบของคำเท่านั้น


๒๑ ๕. การอ่านสะกดคำ มีวิอ่านได้หลายแบบ แบบที่ใช้ในการสอนอ่านสะกดคำนั้นครูจะต้อง เป็นผู้เลือกดูว่าควรจะใช้แบบใดและเมื่อใด ให้เหมาะสมกับลักษณะของบทเรียนและนักเรียนของตน ครูควรใช้วิธีการอ่านสะกดคำเมื่อนักเรียนเริ่มอ่าน หากนักเรียนสามารถอ่านหนังสือไห้คล่อง ก็ไม่ จำเป็นต้องใช้วิธีอ่านสะกคคำอีกต่อไป ครูที่สอนภามาไทยในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑-๒ หรืออางถึงชั้น ประถมศึกมาปีที่ ๓ ถ้าเป็นครูคนเดียวกันได้ยิ่งดีจะได้เห็นพัฒนาการของนักเรียน เห็นจุดเด่น ดูคคือย ยุคอ่อนของนักเรียน สามารถร่อมเสริมได้ทันกาล ๖. การสอนอ่านสะกดคำแต่ละครั้งไม่ควรใช้วลาอำนนานเกินไป จะทำให้นักเรียนเหนื่อย และเบื่อหน่าย ควรสอนอานสะกคคำควบคู่กับการสอนอ่านเป็นคำ อ่านเป็นประโยคด้วยเพื่อให้ นักเรียนรู้สึกสนุกและเรียนอย่างมีความหมาย ๗. การสอนอ่านคำ อ่านประโยด ครูควรเลือกคำที่จะนำมาให้อำนสะกดคำไม่จำเป็นต้อง อ่านสะกดคำทุกคำในบทเรียน ควรเลือกคำพื้นฐานหรือคำยากมาให้อ่านสะกดคำ ๘. การสอบอ่านสะถดคำ จะใช้มากในช่วงระยะที่นักเรียนเรียนในชั้นประถมศึกษาที่ ๑-๒ เมื่อขึ้นชั้นประถมศึกมาใที่ ๓ นักเรียนมีพัฒนาการอ่านมากขึ้น การอ่านสะกคคำควรลดลงอาจจะให้ การอ่านละกคทำเพื่อให้เขียมหนังสือไม่ผิดเท่านั้น เมื่อนักเรียนอ่านคำได้กถ่องแล้วจึงควรเลิกการ สะกดคำ สรุปให้ว่าการสอนอ่านสะกดคำมีข้อควรปฏิบัติ คือ สอนทุกครั้งที่เรียนคำใหม่ สอนจากคำที่ง่าย ไปหายาก การสอนอ่านสะกคคำ จะใช้บากในช่วงที่นักเรียนศึกษาในชั้นประถมศึกษาบีที่๒ ซึ่งมีวิธี อ่านสะกคคำได้หลายแบบ ครูควรเลือกดูว่าควรจะใช้แบบใดและเมื่อใด ให้เหมาะสมกับลักษณะของ บทเรียนและนักเรียนของตน เมื่อนักเรียนสามารถอ่านหนังสือได้คต่อง ควรลดการอ่านสะกดคำลง ให้ นักเรียนอ่านสะกดคำเพื่อให้เขียนหนังสือไม่ผิดเท่านั้น ๔. แบบฝึกทักษะ ๔.๑ ความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทักษะ การฝึกเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ในการเรียนการสอน ดังนั้นการฝึกโดยการใช้แบบ ฝึกเป็น การจัดสภาพการณ์เพื่อให้ผู้ฝึกเปลี่ยนพฤติกรรมจนสามารถปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ในการสร้างแบบฝึกต้องคำนึงถึงหลักการสร้างจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับ แบบฝึกลักษณะ ของแบบฝึกที่ดี ประโยชน์ของแบบฝึก หลักการนำไปใช้ เป็นต้น จากการศึกษา ความหมายของแบบ ฝึกทักษะ ได้มีผู้ให้ความหมายไว้ต่างๆ กัน ดังนี้ ปราณีจณิ ฤทธิ์(๒๕๕๒) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึกหมายถึง งานที่ครู มอบหมายใหนักเรียนทำด้วยตนเองภายหลังจากได้เรียนบทเรียน เพื่อเป็นการทบทวน และฝึกทักษะ ในเรื่องที่เรียนผ่านมาแล้ว


๒๒ ประภาพร ถิ่นอ่อง (๒๕๕๓) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนที่สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความรู้ ความเข้าใจ เพิ่มขึ้น โดยกิจกรรมที่ได้ปฏิบัติในแบบฝึกนั้นจะครอบคลุมเนื้อหาที่เรียนไปแล้ว ทำให้นักเรียนมี ความรู้และทักษะมากขึ้น เพราะมีรูปแบบหรือลักษณะที่หลากหลาย คณิศร ศรีประไพ (๒๕๕๕) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่าแบบฝึก แบบฝึกหัด หรือ ชุดการฝึก เป็นคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน คืองานหรือกิจกรรมทีผู้สอน มอบหมายให้ผู้เรียน กระทำเพื่อฝึกทักษะและทบทวนความรู้ที่ได้เรียนไปแล้วให้เกิดความ ชำนาญ ถูกต้อง คล่องแคล่ว จนสามารถนนำความรู้ไปแก้ปัญหาได้โดยอัตโนมัติ บุญนำ เกษี (๒๕๕๖) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึกเป็นสื่อการ เรียนการ สอนที่สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น โดยกิจกรรมที่ ได้ปฏิบัติในแบบฝึกนั้นจะครอบคลุมเนื้อหาที่เรียนไปแล้ว ทำให้นักเรียนมีความรู้และทักษะมากขึ้น และทำให้ผู้เรียนมองเห็นความก้าวหน้าจากผลการเรียนรู้ของตนเองได้ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (๒๕๕๐ : ๕๓) ได้สรุปความสำคัญของ แบบฝึก ทักษะว่าแบบฝึกทักษะมีความสำคัญต่อผู้เรียนไม่น้อย ในการที่จะช่วยส่งเสริมสร้างทักษะให้กับ ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจได้เร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น กว้างขวางขึ้นทำให้การสอนของครูและการ เรียนของนักเรียนประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ จากความเห็นของนักวิชาการดังกล่าว เกี่ยวกับความหมายและความสำคัญของ แบบฝึกหรือ แบบฝึกหัดจึงพอสรุปได้ว่า แบบฝึกหรือแบบฝึกหัด คือ สื่อการเรียนการสอนชนิด หนึ่งที่ใช้ฝึกทักษะ ให้กับผู้เรียนหลังจากเรียนจบเนื้อหาในช่วงหนึ่งๆ เพื่อฝึกฝนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งเกิด ความชำนาญในเรื่องนั้นๆ อย่างกว้างขวางมากขึ้น ดังนั้นแบบฝึกจึงมีความสำคัญต่อผู้เรียนไม่น้อยใน การที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะให้กับผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และ เข้าใจได้เร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น กว้างขวาง ขึ้น ทำให้การสอนของครูและการเรียนของนักเรียนประสบ ผลสำเร็จ อย่างมีประสิทธิภาพ ๔.๒ ลักษณะของแบบฝึกที่ดี แบบฝึกเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะให้แก่ผู้เรียน การสร้างแบบฝึกให้มี ประสิทธิภาพจึงจำเป็นจะต้องศึกษาองค์ประกอบและลักษณะของแบบฝึก เพื่อใช้ให้เหมาะสมกับ ระดับความสามารถของนักเรียน สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (๒๕๕๐ : (๖๐ -๖๑) ได้สรุปลักษณะ ของแบบฝึก ที่ดีควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุม ความสอดคล้อง กับเนื้อหา รูปแบบน่าสนใจ และคำสั่งชัดเจน และได้สรุปลักษณะของแบบฝึกไว้ดังนี้ ๑. ใช้หลักจิตวิทยา ๒. สำนวนภาษาไทย


๒๓ ๓. ให้ความหมายต่อชีวิต ๔. คิดได้เร็วและสนุก ๕. ปลุกความน่าสนใจ ๖. เหมาะสมกับวัยและความสามารถ ๗. อาจศึกษาได้ด้วยตนเอง สมพร ตอยยีบี (๒๕๕๔ : ๓๐) ได้กล่าวไว้ว่า การสร้างแบบฝึกทักษะต้องมีหลักการและ แนวทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดแบบฝึกที่ชัดเจน แน่นอน และภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสมกับ วัย ควรมีความยากง่ายแตกต่าง และต้องมีหลายรูปแบบ เพื่อให้นักเรียนมีโอกาส ในการใช้ภาษาอย่าง มีประสิทธิภาพ และแบบฝึกนั้นมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนมากไม่ว่า จะเป็นด้านผู้เรียนท าให้ เด็กเกิดความเข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น และในด้านครูผู้สอนเกี่ยวกับ เนื้อหาวิชาที่สอนและกิจกรรม เพื่อพัฒนาทักษะของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (๒๕๕๐ : ๒๐) ได้อธิบายถึงลักษณะของแบบฝึกหัดและแบบฝึก ทักษะที่ดีไว้ว่า ดังนี้ ๑. จุดประสงค์ ๑.๑ จุดประสงค์ชัดเจน ๑.๒ สอดคล้องกับการพัฒนาทักษะตามสาระการเรียนรู้ และกระบวนการ เรียนรู้ของ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ๒. เนื้อหา ๒.๑ ถูกต้องตามหลักวิชา ๒.๒ ใช้ภาษาเหมาะสม ๒.๓ มีคำอธิบายและคำสั่งที่ชัดเจน ง่ายต่อการปฏิบัติตาม ๒.๔ สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ นำผู้เรียนสู่การสรุปความคิดรวบยอด และ หลักการสำคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้ ๒.๕ เป็นไปตามลำดับขั้นตอนการเรียนรู้สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ และความ แตกต่าง ระหว่างบุคคล ๒.๖ มีคำถามและกิจกรรมที่ท้าทายส่งเสริมทักษะกระบวนการเรียนรู้ของ ธรรมชาติ ๒.๗ มีกลยุทธ์การนำเสนอและการตั้งคำถามที่ชัดเจน น่าสนใจปฏิบัติได้สามารถให้ ข้อมูลย้อนกลับเพื่อปรับปรุงการเรียนได้อย่างต่อเนื่อง คณิศร ศรีประไพ (๒๕๕๕) ได้กล่าวไว้ว่าหลักในการสร้างแบบฝึกควรสร้างให้ตรงกับ จุดประสงค์ที่ต้องการฝึกมีความเหมาะสมต่อพัฒนาการของผู้เรียน สนองความสนใจและ คำนึงถึง


๒๔ ความแตกต่างระหว่างบุคคล จัดท าให้จบเป็นเรื่องๆ การประเมินผลแจ้งผล ความก้าวหน้าในการฝึก ให้ผู้เรียนทราบทันทีทุกครั้ง บุญนำ เกษี (๒๕๕๖) ได้กล่าวไว้ว่า การสร้างแบบฝึกต้องคำนึงถึงความแตกต่าง ระหว่าง บุคคล แบบฝึกต้องมีหลายๆ รูปแบบ ควรมีเนื้อหาที่สรุปไว้มีลักษณะย่อๆ สร้างเริ่มจาก ง่ายไปหายาก และจะต้องถูกต้อง คำสั่งในแบบฝึกต้องสั้นกะทัดรัดและเข้าใจง่ายควร มีการสอดแทรกทักษะด้านอื่น ๆ เข้าไปด้วย ผู้วิจัยพอสรุปลักษณะของแบบฝึกที่ดีได้ว่า แบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพ ช่วยทำให้นักเรียน ประสบความสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี ดังนั้นครูยังจำเป็นต้องศึกษาเทคนิควิธีการ ขั้นตอน ในการฝึกทักษะต่างๆ มีประสิทธิภาพที่สุด อันส่งผลให้ผู้เรียนมีการพัฒนาทักษะต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ และต้องคำนึงถึงองค์ประกอบ หลายๆด้าน ตรงตามเนื้อหา เหมาะสมกับวัย เวลา ความสามารถ ความสนใจ และสภาพปัญหาของผู้เรียน ๔.๓ ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ ประโยชน์ของแบบฝึก หากเป็นแบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพ จะช่วยทำให้นักเรียน ประสบ ผลสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี ทำให้ครูลดภาระการสอนลงและผู้เรียนสามารถ พัฒนาตนเอง ได้อย่างเต็มที่ เพิ่มความมั่นใจในการเรียนได้เป็นอย่างดีหากได้มีการฝึก บ่อยครั้งจนชำนาญ และยัง ช่วยผู้เรียนที่มีปัญหาในการเรียนรู้จำเป็นต้องมีการสอนต่างจากกลุ่ม ปกติทั่วไปด้วยการเสริมเพิ่มเติม ให้เป็นพิเศษ อัมพวรรณ์ โคโตสี (๒๕๕๐ : ๙๒-๙๓) พบว่า การนําแบบฝึกทักษะมาใช้เป็นสื่อการเรียนการ สอน ส่งผลให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้น และมีความคงทนในการเรียนรู้ ปาริชาติ สุพรรณกลาง (๒๕๕๐) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกเป็นสื่อ การเรียนที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และทักษะทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระครูผู้สอน ซึ่งประโยชน์ของ แบบฝึกทำให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนได้มากขึ้น มีความเชื่อมั่นฝึกทำงานด้วย ตนเอง ทำให้มีความ รับผิดชอบ และทำให้ครูทราบปัญหาและข้อบกพร่องของนักเรียนในเรื่องที่ เรียนทำให้สามารถ แก้ปัญหาได้ทันที นอกจากนี้แบบฝึกยังเปิดโอกาสให้เด็กฝึกทักษะอย่างเต็มที่ ทั้งยังช่วยให้คงอยู่ได้ นาน และเป็นเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจบบทเรียน แต่ละครั้งอีกด้วย อุษณีย์ เสือจันทร์ (๒๕๕๓) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกช่วยในการฝึกเสริม เพิ่มทักษะทำให้จดจำเนื้อหาได้คงทน มีเจตคติที่ดีต่อวิชาที่เรียน สามารถนำมา แก้ปัญหาเป็น รายบุคคลและรายกลุ่มได้ดี ผู้เรียนสามารถนำมาทบทวนเนื้อหาได้ด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนทราบ ความก้าวหน้าของตน เป็นเครื่องมือที่ครูผู้สอนใช้ประเมินผลการเรียนรู้ได้เป็น อย่างดีว่านักเรียน เข้าใจมากน้อยเพียงใด


๒๕ สมพร ตอยยีบี (๒๕๕๔) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกมีความสำคัญต่อ การ เรียนการสอนในรายวิชาต่างๆ เพราะจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาบทเรียนและยังสามารถ ทบทวน เนื้อหาได้ด้วยตนเอง คณิศร ศรีประไพ (๒๕๕๕) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกมีประโยชน์เป็น เครื่องมือช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ สามารถที่จะทบทวนได้ด้วยตนเองและเห็น ความก้าวหน้าของ ตนเอง นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดภาระของครูผู้สอนอีกด้วย บุญนำ เกษี (๒๕๕๖) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกมีความสำคัญทำให้เกิด ทักษะความชำนาญ หากแต่ต้องการได้รับการฝึกหลายๆ ครั้ง หลายรูปแบบ เมื่อผู้เรียน ได้รับการฝึก แล้ว อย่างน้อยผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้แน่นอน แบบฝึกมีประโยชน์ต่อ ครูผู้สอนในการ แก้ปัญหาของนักเรียนที่มีปัญหามากได้ดี ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (๒๕๕๐ : ๒๑) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกหัดและ แบบฝึก ทักษะเป็นสื่อการเรียนรู้ ที่มุ่งเน้นในเรื่องของการแก้ปัญหา และการพัฒนาในการจัดการเรียนรู้ใน หน่วยการเรียนรู้และสามารถเรียนรู้ได้ โดยสรุปได้ดังนี้ ๑. เป็นสื่อการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน ๒. ผู้เรียนมีสื่อสำหรับฝึกทักษะด้านการอ่าน การคิด การคิดวิเคราะห์ และการเขียน ๓. เป็นสื่อการเรียนรู้สำหรับการแก้ปัญหาในการเรียนรู้ของผู้เรียน ๔. พัฒนาความรู้ ทักษะ และเจตคติด้านต่างๆ ของผู้เรียน จากประโยชน์ของแบบฝึกที่กล่าวมา สรุปได้ว่า แบบฝึกมีประโยชน์เป็นเครื่องมือที่ ช่วยให้ผู้เรียน ได้ฝึกทักษะ สามารถที่จะทบทวนด้วยตนเองและเห็นความก้าวหน้าของตนเอง นอกจากนี้ยังสามารถ ช่วยลดภาวะของครูผู้สอนอีกด้วย ๕. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๕.๑ งานวิจัยในประเทศ มีผู้สนใจทำการวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคํา ซึ่งมีทั้งงานวิจัยในประเทศและ งานวิจัยต่างประเทศพอสรุปสังเขปได้ดังนี้ ประกายแก้ว มุกดาดี(๒๕๕๒) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบความสามารถ การอ่าน การเขียนคําที่มีตัวสะกดของนักเรียน ที่เรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะประสมคําด้วยภาพกับแผนผัง ความคิด ผลการวิจัยปรากฏดังนี้ ๑. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่เรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะการประชุมด้วยภาพกับ แผนผังความคิดมีความสามารถในการอ่านคําที่มีตัวสะกดของแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่


๒๖ ระดับ๐.๕ โดยคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนที่เรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการ ประสมคําด้วยภาพสูงกว่า คะแนนเฉลี่ยนักเรียนที่ใช้แผนผังความคิด ๒. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่เรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะการประชุม ด้วยภาพ กับแผนผังความคิด ความสามารถในการเขียนคําที่มีตัวสะกดของนักเรียน ไม่แตกต่างกัน ๓. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการประสม ด้วย ภาพมีความ คงทนของความสามารถในการอ่านคําที่มีตัวสะกดเฉลี่ยหลังเรียนผ่านไปแล้ว ๒ สัปดาห์ร้อยละ ๙๒.๐๘ ๔. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่เรียนด้วยแผนผังความคิดมีความคงทนของ ความสามารถในการอ่านคําที่มีตัวสะกดเฉลี่ยหลังเรียนผ่านไปแล้ว ๒ สัปดาห์ร้อยละ ๘๙.๖๐ ๕. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการประสมคําด้วย ภาพมี ความคงทนของความสามารถในการเขียนคําที่มีตัวสะกดเฉลี่ยหลังเรียนผ่านไปแล้ว ๒ สัปดาห์ร้อยละ ๙๐.๗๕ ๖. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่เรียนด้วยแผนผังความคิด มีความคงทนของ ความสามารถในการเขียนคําที่มีตัวสะกดเฉลี่ยหลังเรียนผ่านไปแล้ว ๒ สัปดาห์ร้อยละ ๘๗.๐๔ โดยสรุป การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการประสมคําด้วยภาพและแผนผัง ความคิด สามารถนําไปใช้ได้ในระดับหนึ่งซึ่งทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ง่ายขึ้นและมีความสนุกสนานไป พร้อม ๆ กันสามารถนําไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี อัมพวรรณ์ โคโตส (๒๕๕๐ : ๘๑-๑๑๕) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาแผนการจัดการ เรียนรู้และแบบฝึกทักษะการสะกดคํา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียน อนุบาลศรีวิไลสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหนองคาย เขต ๓ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อ พัฒนาและหา ประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะการสะกดคําการสะกดคํา กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่๒ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์๘๐/๘๐ หาค่า ดัชนีประสิทธิผลแผนการ จัดการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะการสะกดคํา เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนระหว่างคะแนน ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน และศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ ของนักเรียนที่เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้และแบบฝึก ทักษะการสะกดคํา อยู่ในระดับมาก สวัสดิ์สุขโสม (๒๕๕๐) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การอ่านและการเขียนสะกดคําไม่ตรง มาตรา ตัวสะกดกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ผลการศึกษาค้นคว้า พบว่า การจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนคําที่สะกดไม่ตรงมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ มีประสิทธิภาพ (E๑/E๒) เท่ากับ ๙๒.๕๒/ ๘๓.๙๐ ค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I) ของการเรียนรู้มีค่าเท่ากับ ๐.๗๔๑๓ หรือ คิดเป็นร้อยละ ๗๔.๑๓ นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่


๒๗ ระดับ ๐.๐๑ และมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมโดยการใช้แบบฝึกทักษะอยู่ในระดับมาก โดยสรุป การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเรื่อง การอ่านและการเขียนคําที่สะกดไม่ตรง มาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ มีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลเหมาะสมช่วยพัฒนาการเรียนรู้ด้านการอ่านและการเขียนคำศัพท์ที่สะกดไม่ตรงมาตรา ตัวสะกด สามารถนําไปใช้เป็นความรู้พื้นฐานในการ เรียนรู้ในระดับสูงขึ้นไปและเรียนรู้กับวิชาอื่น เพื่อให้บรรลุความมุ่งหมายของหลักสูตรได้ ๕.๒ งานวิจัยต่างประเทศ Touchard (๒๐๑๒: ๕๔๑) ได้ศึกษาความรู้เรื่อง คําของนักเรียนชั้นประถมศึกษามี ความสำคัญอย่างมากระหว่างการอ่านและการสะกดคํา แต่การปฏิบัติงานการอ่านและการสะกดคํา ของนักเรียนก็มักจะแสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญในความถูกต้องและความผิดพลาดของ ค่าการวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษาการสะกดคําตามความรู้เรื่องคําเชิงพัฒนาใน ๔ ด้าน ผลการวิเคราะห์การ แปรปรวน พบว่า การปฏิบัติงานการอ่านของนักเรียนดีกว่าการ ปฏิบัติงานการสะกดคําอย่างมี นัยสําคัญ และพบว่ามีผลของงานอย่างมีนัยสําคัญต่อระดับความรู้เรื่อง ของนักเรียน การวิเคราะห์เชิง คุณภาพในความผิดด้านการอ่านและการเขียนของ นักเรียนต่อไปอีก พบว่า ความผิดเกี่ยวข้องกับ ลักษณะทางอักขรวิธีที่เหมือนกันในทุกงาน ในที่สุดได้ศึกษาการให้คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการสะกดคํา และความรู้เรื่องของคําของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ การ์เซีย (Garcia. ๑๙๙๘ : ๓๔๕๙-A) ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการอ่านเขียนสะกด คำจากรูปแบบการสอนสะกดคำ ๒ รูปแบบ คือ การสอนสะกดคำแบบให้นักเรียนฝึกเองกับการสะกด คำตามหนังสือ โดยครูแต่ละกลุ่มจะสอนโดยใช้โปรแกรมการสอนอ่านเหมือนกัน และการสอนเขียน ทุกวันตามเวลาที่กำหนดไว้ การสอบใช้การสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ผลการศึกษาพบว่า การสอน สะกดคำแบบให้นักเรียนฝึกเองมีผลดีกว่าการสอนสะกดคำตามตำราในด้านการอ่านคำศัพท์และการ วิเคราะห์คำศัพท์ นักเรียนทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกันในเรื่องจำนวนคำศัพท์ที่ใช้ในระดับที่สูงกว่า ประถมหนึ่งความยาวของประโยคและจำนวนหน่วยคำนอกจากนี้นักเรียนสะกดคำโดยนักเรียนคิดเอง มีการอ่านทบทวน การเขียนคำ วิเคราะห์คำที่ใช้ ตลอดจนมีการช่วยเหลือหรือซักถามเพื่อน เพื่อช่วย ในการสะกดคำบ่อยครั้งมากกว่านักเรียนอีกกลุ่มหนึ่ง และนักเรียนที่เรียนสะกดคำจากตำราใช้ พจนานุกรมบ่อยครั้งมากกว่านักเรียนอีกกลุ่ม แมคพิค (Mcpeake, ๑๙๗๙ ) ได้ศึกษาผลการเรียนจากแบบฝึกอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่เริ่ม ศึกษาจนถึงความในการอ่านและเพศที่มีต่อความสามารถในการสะกดคำของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ พบว่าแบบฝึกช่วยปรับปรุงความสามารถในการสะกดคำของนักเรียนทุกคน แต่เวลา ๑๒ สัปดาห์ไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการถ่ายโยงการเรียนรู้ ในการสะกดคำไปสู่ คำใหม่ที่ยัง


๒๘ ไม่ได้ศึกษา และคะแนนนักเรียนหญิงสูงกว่านักเรียนชายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตินอกจากนี้การอ่าน ยังมีความสัมพันธ์กับความสามารถในการสะกดคำ ลอเรย์ (Lawrey, ๑๙๗๘) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ของการใช้แบบฝึกทักษะกับนักเรียน ระดับ ๑ ถึงระดับ ๓ จำนวน ๘๗ คน พบว่านักเรียนที่ได้รับการฝึกโดยใช้แบบฝึกทักษะมีคะแนน หลังการทำ แบบฝึกมากกว่าคะแนนการทดสอบก่อนการทำแบบฝึกทักษะผลการวิเคราะห์พบว่า การให้คะแนนมี ความสัมพันธ์อย่างมีนัยสําคัญการปฏิบัติจริงของนักเรียนได้ผลสัมฤทธิ์ทางการสะกดคํากลุ่มตัวอย่าง ความผิดในการอ่านและการสะกด เข้าเป็นมากพอที่จะเป็นตัวแทนของการพัฒนาการรู้เรื่องการอ่าน สะกดคําของนักเรียนได้จา การวิเคราะห์ความคิด ซึ่งได้แก่ความผิดจากงานทางภาษาศาสตร์ที่ แตกต่างกัน พบว่า นักเรียนใช้การผสมผสานจากคําบอกให้ทางอักขรวิธีให้ทั้งการอ่านและการสะกด คําเท่านั้น จากการศึกษางานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศสรุปได้ว่า สาเหตุที่ทำให้นักเรียนอ่าน เขียนสะกดคําในภาษาไทยไม่ถูกต้อง เนื่องจากนักเรียนไม่ทราบความหมายของคํา ได้รับประสบการณ์ มาผิด ไม่แม่นในหลักภาษาใช้แนวเทียบผิดและเป็นคําที่ยาก ได้แก่ คําที่มีหลายพยางค์คําควบกล้า คํา ซ้อน ซึ่งสาเหตุและลักษณะคะแนนที่มีผลสัมฤทธิ์ในการอ่านสะกดคําภาษาไทย ไม่ดีไปด้วย และการ พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านสะกดคําภาษาไทย ช่วยให้นักเรียนน่าสนใจ สนุกสนานเพลิดเพลิน ผู้เรียนไม่เกิดความเบื่อหน่ายต่อสาระที่เรียน ชุดฝึกทักษะเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ จะช่วยพัฒนาความสามารถและมีความสำคัญในการเรียนการสอน


บทที่ ๓ วิธีดำเนินการวิจัย การศึกษาในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการรายงานการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำโดยใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหาน จังหวัด นราธิวาส ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ซึ่งสรุปได้ดังนี้ ๑. ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย ๒. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๓. การเก็บรวบรวมข้อมูล ๔. การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูล ๑. ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย ๑.๑ ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนบ้านละหาน จำนวน ๒๑ คน ๑.๒ กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างใช้ในการศึกษา ได้แก่ กลุ่มนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ หรือนักเรียนที่มี ความสามารถในการอ่านภาษาไทยต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน ๘ คน โรงเรียนบ้านละหาน อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง ๒. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๑. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ๑.๑ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคําของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่๒ โดยมีทั้งหมด ๓ แบบฝึก ๑.๒ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ๑.๓ แบทดสอบการอ่านสะกดคำโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน จำนวน ๑ ชุด ๑๐ ข้อ ๒. ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ ผู้วิจัยดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้ ๒.๑ แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่๒ จำนวน ๑๐ แผน เวลา ๑๐ ชั่วโมง ผู้วิจัยได้ดำเนินการ สร้างแผนการจัดกิจกรรมตามขั้นตอน ดังนี้ ๒.๑.๑ ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอน การอ่านสะกดคำ เพื่อเป็นแนวทางการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้


๓๐ ๒.๑.๒ สร้างแผนการสอน เรื่อง การอ่านสะกด จำนวน ๑๐ แผน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ๑) ชื่อกิจกรรม ๒) จุดประสงค์ของการทำกิจกรรม ๓) ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม ๔) สื่อประกอบในการทำกิจกรรม ๕) วิธีการวัดและประเมินผล ๒.๑.๓ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาภาษาไทย จำนวน ๓ ท่าน เพื่อหาความสอดคล้องของ วัตถุประสงค์ เนื้อหาการดำเนินกิจกรรม สื่อการเรียนและ การประเมินผล (IOC) ได้แก่ ๑. นางนูรีซัน ปะดอ ผู้อำนวยการชำนาญการ ๒. นางสาว ฮายามี กือเต๊ะ หัวหน้ากลุ่มฝ่ายวิชาการ ๓. นาย อัลดุลย์รอสะ เจ๊ะอุเซ็ง ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย มีการพิจารณาการให้คะแนน ดังต่อไปนี้ +๑ หมายถึง แน่ใจว่าแผนการจัดกิจกรรมสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ๐ หมายถึง ไม่แน่ใจว่าแผนการจัดกิจกรรมสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ -๑ หมายถึง แน่ใจว่าแผนการจัดกิจกรรมไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ โดยค่าความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ เนื้อหาการดำเนินกิจกรรม สื่อการเรียนและการ ประเมินผล (IOC) ต้องมีค่ามากกว่า ๐.๕ ขึ้นไป จึงจะสามารถนำแผนการจัดกิจกรรมนั้นนำไปใช้ได้ ๒.๑.๔ ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ๒.๑.๕ นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้กับ กลุ่มเป้าหมาย ๒.๒ สร้างแบบทดสอบการอ่าน สะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ๒.๒.๑ ศึกษาเอกสาร ตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอ่านสะกดคำเพื่อเป็นแนวทางใน การสร้างแบบทดสอบการอ่านสะกดคำ ดังนี้ ๑) คู่มือหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๒) เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะการอ่านการสะกดคำ ๒.๒.๒ นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาสร้างแบบแบบทดสอบการอ่านสะกดคำ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ๒.๒.๓ นำแบบทดสอบการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่สร้าง ขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาภาษาไทยจำนวน ๓ ท่าน เพื่อหาดัชนีความ สอดคล้อง ได้แก่


๓๑ ๑. นางนูรีซัน ปะดอ ผู้อำนวยการชำนาญการ ๒. นางสาว ฮายามี กือเต๊ะ หัวหน้ากลุ่มฝ่ายวิชาการ ๓. นาย อัลดุลย์รอสะ เจ๊ะอุเซ็ง ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย มีการพิจารณาการให้คะแนน ดังต่อไปนี้ +๑ หมายถึง แน่ใจว่าแบบสังเกตสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ๐ หมายถึง ไม่แน่ใจว่าแบบสังเกตสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ -๑ หมายถึง แน่ใจว่าแบบสังเกตไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ โดยค่าความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ (IOC) ต้องมีค่ามากกว่า ๐.๕ ขึ้นไป จึงจะสามารถนำ แบบทดสอบการอ่าน และการสะกดคำนำไปใช้ได้ ๒.๒.๔ นำแบบทดสอบการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ มาปรับปรุง แก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ๒.๒.๕ นำแบบทดสอบการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่ปรับปรุงแล้ว จัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์ ไปทดลองใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย ๒.๓ สร้างแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ๒.๓.๑ ศึกษาเอกสาร ตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอ่านสะกดคำ เพื่อเป็นแนวทางใน การสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ดังนี้ ๑) คู่มือหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๒๒ ๒) เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ๒.๓.๒ นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๒ ๒.๓.๓ นำแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่สร้างขึ้น เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาภาษาไทยจำนวน ๓ ท่าน เพื่อหาดัชนีความ สอดคล้อง ได้แก่ ๑. นางนูรีซัน ปะดอ ผู้อำนวยการชำนาญการ ๒. นางสาว ฮายามี กือเต๊ะ หัวหน้ากลุ่มฝ่ายวิชาการ ๓. นาย อัลดุลย์รอสะ เจ๊ะอุเซ็ง ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย มีการพิจารณาการให้คะแนน ดังต่อไปนี้ +๑ หมายถึง แน่ใจว่าแบบสังเกตสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ๐ หมายถึง ไม่แน่ใจว่าแบบสังเกตสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ -๑ หมายถึง แน่ใจว่าแบบสังเกตไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ โดยค่าความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ (IOC) ต้องมีค่ามากกว่า ๐.๕ ขึ้นไป จึงจะสามารถนำ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำนำไปใช้ได้


๓๒ ๒.๒.๔ นำแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ มาปรับปรุง แก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ๒.๒.๕ นำแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๑ ที่ปรับปรุง แล้วจัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์ ไปทดลองใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย ๓. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลดังนี้ ๓.๑ แบบแผนการทดลองและขั้นตอนการทดลอง การวิจัยครั้งนี้ ได้ใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pre-test Post-test Design เสริม พงศ์ วงศ์กมลาไสย (๒๕๔๘ : ๕๗) โดยมีลักษณะการวิจัย ดังตารางที่ ๑ ตารางที่ ๓.๑ แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pre-test Post-test Design กลุ่ม Pre - test Treatment Post - test ทดลอง T๑ X T๒ T๑ หมายถึง การทดสอบก่อนเรียน (Pre-test ) X หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านสะกด คำ ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ T๒ หมายถึง การทดสอบหลังเรียน (Post-test) ๓.๒ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย ดังนี้ ๓.๒.๑ ผู้วิจัยทำการทดสอบการอ่าน และการสะกดคำก่อนการทดลอง (Pretest) โดย แบบทดสอบการอ่าน และการสะกดคำที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นระยะเวลา ๑ สัปดาห์ ในช่วงวิชา ภาษาไทย ๒.๒.๒ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน สะกดคำของชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โดยใช้เวลา ระยะเวลา ๑๐ วัน สัปดาห์ละ ๓ วัน โดยจัดกิจกรรม ในวันอังคาร วันจันทร์ วันอังคาร และวันพุธ วันละ ๕๐ นาที เวลา ๐๘.๕๐ น. – ๐๙.๔๐ น ในช่วง วิชาอ่านคล่อง รวมทั้งสิ้น ๑๐ ครั้ง ๓.๒.๓ เมื่อดำเนินการทดลองครบ ๒ สัปดาห์ ผู้วิจัยทำการทดสอบการอ่านสะกดคำ (Posttest) กับกลุ่มเป้าหมายโดยใช้แบบทดสอบการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ฉบับเดียวกันกับที่ใช้ก่อนการทดลอง เป็นระยะเวลา ๑ สัปดาห์ ในช่วงวิชา อ่านคล่อง


๓๓ ๓.๒.๓ นำข้อมูลที่ได้จากแบบทดสอบการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ก่อนการทดสอบและหลังการทดสอบมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิต ๔. การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้มีการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับดังนี้ ๔.๑ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ หาความเที่ยงตรงของแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำขอ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง โดยคำนวณจากสูตร (บุญเชิด ภิญโญอนันต พงษ์, ๒๕๕๐: ๘๙) โดยใช้สูตรดังนี้ ค่าดัชนีความสอดคล้อง(IOC) = IOC = ∑ เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้อง แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ ๔.๒ สถิติพื้นฐาน ๔.๒.๑ ค่าเฉลี่ย (Mean) ของคะแนนใช้สูตร (บุญมี พันธุ์ไทย, ๒๕๕๔: ๑๗๑) ̅= ∑ เมื่อ ̅ แทน ค่าเฉลี่ย ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนรายการแบบสังเกต ๔.๓ ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตร (พิสณุ ฟองศรี, ๒๕๕๑: ๑๖๕) . ๒ −) ๒ ( − ๑) เมื่อ แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ( ) ๒ แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง N แทน จำนวนรายการแบบสังเกต ๔.๔ นำเสนอข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน


บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านสะกดคำภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหาน โดยใช้แบบฝึก ทักษะ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหาน ก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ซึ่งได้ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ๑. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๒. ลำดับขั้นในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๓. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๑. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้รายงานได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการแปลความหมายผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ N แทน จำนวนกลุ่มเป้าหมาย ̅แทน คะแนนเฉลี่ย ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ๒. ลำดับขั้นในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้รายงานได้ดำเนินการตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ ตอนที่ ๑ วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านและสะกดคำ ชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๒ ให้มีมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน ๘๐/๘๐ ตอนที่ ๒ เปรียบเทียบทักษะการอ่านสะกดคำ ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านสะกดคำภาษาไทย ๓. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ ๑ วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๒ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน ๘๐/๘๐ ตารางที่ ๔.๑ ผลการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ก่อน เรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะเป็นรายบุคคล แบบฝึกทักษะ คะแนนเต็ม ̅ ร้อยละ แบบฝึกทักษะเล่มที่ ๑ ๓๐ ๙.๔๕ ๙๔.๕๘ แบบฝึกทักษะเล่มที่ ๒ ๓๐ ๘.๑๖ ๘๑.๖๖


๓๕ แบบฝึกทักษะ คะแนนเต็ม ̅ ร้อยละ แบบฝึกทักษะเล่มที่ ๓ ๓๐ ๘.๐๔ ๘๐.๔๑ รวม ๙๐ ๘.๔๔ ๘๕.๕๕ จากตารางที่ ๔. ๑ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จำนวน ๓แบบฝึก มีคะแนนเฉลี่ย ๘.๔๔ คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๕๕ ดังนั้น แบบฝึกทักษะที่สร้างขึ้นมี ประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ตามมารตฐาน ๘๐/๘๐ ที่ตั้งไว้ ตอนที่ ๒ เปรียบเทียบทักษะการอ่านสะกดคำ ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านสะกดคำ ตารางที่ ๔.๒ แสดงผลการวิเคราะห์การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๒ ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะเป็นรายบุคคล คะแนน จำนวนนักเรียน คะแนนเต็ม คะแนนรวม คะแนนเฉลี่ย ร้อยละ ก่อนเรียน ๘ ๑๐ ๕๙ ๗.๓๗ ๗๓.๗๕ หลังเรียน ๘ ๑๐ ๗๑ ๘.๘๗ ๘๘.๗๕ จากตารางที่ ๔.๒ พบว่า คะแนนเฉลี่ยทักษะในการอ่านสะกดคำภาษาไทย จากการทดสอบก่อน เรียน เท่ากับ ๗.๓๗ คิดเป็นร้อยละ ๗๓.๗๕ ทดสอบหลังเรียน เท่ากับ ๘.๘๗ คิดเป็นร้อยละ ๘๘.๗๕ แสดงให้เห็นว่านักเรียนมีความก้าวหน้าในการอ่านสะกดคำในภาษาไทยสูงขึ้น อย่างมีนัยสําคัญทาง สถิติที่ระดับ ๐.๐๐ ตารางที่ ๔.๓ ตารางแสดงคะแนนเฉลี่ยและค่าร้อยละประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ เลขที่ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย รวม เฉลี่ย ร้อยละ ๑ ๒ ๓ ๙๐ ๑ ๓๐ ๒๗ ๒๕ ๘๒ ๔๑ ๙๑.๑๑ ๒ ๓๐ ๒๘ ๒๔ ๘๒ ๔๑ ๙๑.๑๑ ๓ ๒๘ ๑๙ ๑๗ ๖๔ ๓๒ ๗๑.๑๑ ๔ ๒๖ ๒๑ ๒๖ ๗๓ ๓๖.๕๐ ๘๑.๑๑ ๕ ๒๓ ๑๘ ๑๘ ๕๙ ๒๙.๕๐ ๖๕.๕๕ ๖ ๓๐ ๒๙ ๒๘ ๘๗ ๔๓.๕๐ ๙๖.๖๖ ๗ ๓๐ ๒๘ ๒๙ ๘๗ ๔๓.๕๐ ๙๖.๖๖


๓๖ เลขที่ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย รวม เฉลี่ย ร้อยละ ๑ ๒ ๓ ๙๐ ๘ ๓๐ ๒๖ ๒๖ ๘๒ ๔๑ ๙๑.๑๑ รวม ๒๒๗ ๑๙๖ ๑๙๓ เฉลี่ย ๙.๔๕ ๘.๑๖ ๘.๐๔ ร้อยละ ๙๔.๕๘ ๘๑.๖๖ ๘๐.๔๑ จากตารางที่ ๔.๓ พบว่า ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการการอ่านสะกดคำ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จากการทดลองกลุ่มย่อยมีค่าเท่ากับ ๙๑.๑๑/๘๐.๐๐ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ กำหนด ๘๐/๘๐ แสดงว่าการเรียนรู้จากแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๒ มีประสิทธิภาพ สามารถนำไปใช้ได้


บทที่๕ สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ งานวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหาน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อ พัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคําภาษาไทย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน ๘๐/๘๐ ๒) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านสะกดคําภาษาไทยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการ อ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหาน โดยใช้ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ คือนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนบ้านละหาน จำนวน ๘ คน โดย ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เนื่องจากมีปัญหาในการอ่านคำ และการสะกดคำได้ไม่ ถูกต้อง รวมถึงการ ประสมคำที่มีพยัญชนะ สระ ตัวสะกดและวรรณยุกต์ ส่งผลให้นักเรียนอ่านหนังสือ ได้ไม่ถูกต้อง เรียนได้ช้ากว่าเพื่อนในระดับเดียวกัน เกิดผลกระทบด้านการเรียนเป็นอย่างมาก ต้อง ได้รับการแก้ไข ปัญหาอย่างเร่งด่วน เครื่องมือในการวิจัย ๑) แผนการจัดการจัดการเรียนรู้รวมจำนวน ๑๐ แผน ในระยะเวลา ๑๐ วัน (ไม่รวมการทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้และหลังการจัดการเรียนรู้) โดยจัดกิจกรรมวันจันทร์ วันอังคาร และวันพุธ วันละ ๕๐ นาที เวลา ๐๘.๕๐ น. – ๐๙.๔๐ น. ใน ชั่วโมงวิชาอ่านคล่อง ๒) แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ๓) แบบทดสอบ วัดทักษะด้านการ อ่านสะกดคำ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) มีค่าเท่ากับ ๑.๐ ทุกข้อตรงกับ วัตถุประสงค์ วิเคราะห์ ข้อมูลโดย ใช้สถิติ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สามารถสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ ๑. สรุปผลการวิจัย จากผลการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหาน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดภาษาไทย มีผลการวิจัยดังนี้ ๑. การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย สามารถช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน สะกดคำของนักเรียนชั้นประถะมศึกษาปีที่ ๒ ได้อยู่ระดับดีทุกคน ๒. ทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ หลังการใช้แบบฝึกทักษะการ อ่านสะกดคำภาษาไทย มีประสิทธิภาพ ๘๕.๕๕/๘๘.๗๕ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ที่ตั้งไว้ ๒. อภิปรายผล จากการวิเคราะห์การวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านละหาน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ผู้วิจัยขอ อภิปรายผลตามวัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้


๓๘ ๑. ผลการวิเคราะห์ทักษะการอ่านการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียน บ้านละหาน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน ๓ แบบฝึก มี ประสิทธิภาพ ๘๕.๕๕/๘๘.๗๕ หมายถึง นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำภาษาไทย ๓ แบบฝึก คิดเป็น ร้อยละ ๘๘.๗๕ และได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบ วัดทักษะด้านการอ่านสะกดคำภาษาไทย คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๕๕ พ พบว่า แบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำภาษาไทย สามารถช่วยพัฒนาให้นักเรียนมีทักษะการอ่าน และการสะกดคำสูงขึ้นกว่าก่อน การทดลอง ซึ่งนักเรียนอ่านคำ และสะกดคำได้ถูกต้อง รวมถึงการประสมคำที่มีพยัญชนะ สระ ตัวสะกดและวรรณยุกต์ ส่งผลให้นักเรียนอ่านหนังสือได้ถูกต้อง เรียนได้ตามปกติกับเพื่อนในระดับ เดียวกัน และสามารถเกิดประสิทธิภาพและต่อยอดในการเรียนรู้ในวิชาอื่นๆต่อไป การจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ที่ผู้วิจัยได้ศึกษาวิธีการและขั้นตอนการ สร้างแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ได้ผ่านการตรวจ แนะนำ แก้ไขข้อบกพร่องและ ประเมินความถูกต้องเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญ ผ่านการทดลองใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ก่อน นำไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งการทำแบบฝึกทักษะช่วยให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น จดจำความรู้ ได้นานและคงทน รวมทั้งพัฒนาความรู้ทักษะ และเจตคติด้านต่าง ๆ ของนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น ผู้วิจัยได้สร้างแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ตามแนวทาง การสร้างแบบฝึกทักษะที่จัดไว้อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มศึกษาตั้งแต่ปัญหาและความต้องการ วิเคราะห์ เนื้อหาและทักษะที่เป็นปัญหาออกเป็นเนื้อหาย่อยแล้วดำเนินการสร้างตามหลักการสร้างแบบฝึก ทักษะที่ดีของ สุวิทย์มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (๒๕๕๐ : ๖๐-๖๑) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะที่ดีควร คำนึงถึงหลักจิตวิทยา การเรียนรู้ ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความ ครอบคลุม ความสอดคล้องกับ เนื้อหา รูปแบบน่าสนใจ และคำสั่งชัดเจน ฐานิยา อมรพลัง (๒๕๔๘ : ๗๘) ได้เสนอลักษณะที่ดีของแบบฝึก คือ แบบฝึกที่เรียงลำดับจาก ง่ายไปหายาก มีรูปภาพ ประกอบ มีรูปแบบน่าสนใจ หลากหลายรูปแบบ โดยอาศัยหลักจิตวิทยาใน การจัดกิจกรรมหรือจัดแบบ ฝึกให้สนุก ใช้ภาษาเหมาะสมกับวัย มีการจัดกิจกรรมการฝึกที่เร้าความ สนใจ และแบบฝึกนั้นควรทันสมัยอยู่เสมอ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น เป็นแบบฝึกทักษะที่ใช้ร่วมกับแผนการ จัดการเรียนรู้ที่ได้นำเอา กิจกรรมต่าง ๆ มาจัดให้สอดคล้องกันในแต่ละแผน เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาสาระ จากเหตุผล ดังกล่าวแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึกษา ปีที่ ๒ จึงเป็นแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ที่มีประสิทธิภาพซึ่งสอดคล้อง กับงานวิจัยของ


๓๙ กาญจนา ชลเกริกเกียรติ (๒๕๖๑ : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและ การเขียนคำพื้นฐาน ประถมศึกษาปีที่ ๑ พบว่า แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทยมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน ๘๐.๕๑/๘๓.๓๓ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .๐๑ และตรงกับงานวิจัย ของนิลวรรณ อัคติ (๒๕๔๘ : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนา แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการผันวรรณยุกต์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนชุมชนภูแล่นช้าง คเชนทร์พิทยาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กาฬสินธุ์เขต ๓ เครื่องมือที่ใช้คือแบบทดสอบ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกทักษะและแบบสอบถาม ความพึงพอใจ พบว่า แบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพ ๘๗.๘๕/๘๐.๙๑ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์๘๐/๘๐ ที่ตั้งไว้ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะอยู่ในระดับมาก ๒. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบทักษะการอ่านสะกดคำก่อนและหลัง การใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านสะกดคำภาษาไทย เปรียบเทียบทักษะการอ่านสะกดคำ พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จำนวน ๘ คน มีการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำสูงกว่าก่อนการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกด คำภาษาไทย ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย เป็นแบบฝึกที่เน้น การเรียนรู้การสะกดคำจากง่ายไปหายาก เป็นส่วนสำคัญต่อการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติของเด็ก ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้อย่างง่าย เพิ่มความหลากหลายในบทเรียนและช่วย สร้างแรงจูงใจ รวมทั้ง กระตุ้นให้เด็กๆ ได้ใช้ภาษาที่เป็นเป้าหมาย ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ พิมพ์นิภา จันทร์บุตร (๒๕๕๙: ๔๒) ได้ทำการศึกษาใช้แบบฝึกอ่าน และแบบสะกดคำของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่๑/๔ นักเรียนสามารถอ่าน และทำแบบสะกดคำได้ค่อนข้างสูงคิดค่าเฉลี่ยไว้เป็นร้อย ละ ๗๐.๙๐ และ สอดคล้องกับผลการวิจัยของ อำพร เงินโต (๒๕๕๙: ๔๐) ได้ทำการศึกษาพบว่านักเรียนมีพัฒนาการ อ่านดีขึ้น การแก้ปัญหาคือต้องฝึกอ่านซ้ำคำเดิมบ่อยๆ เด็กจะเกิดทักษะการอ่านการจดจำ และที่ สำคัญหากเด็กๆได้รับการส่งเสริมให้เห็นคุณค่าของการอ่าน มีนิสัยรักหนังสือและรักการอ่าน โดยผ่าน การพัฒนาอย่างถูกต้องเป็นระบบต่อเนื่อง เด็กๆก็เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ที่มีคุณภาพของ สังคม ใฝ่รู้ คิด เป็น และรู้จักใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาต่างๆได้นิภา จันทร์บุตร (๒๕๕๙: ๔๒) ได้ทำการศึกษาใช้แบบฝึก อ่าน และแบบสะกดคำของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑/๔ นักเรียนสามารถอ่าน และทำแบบ สะกดคำได้ค่อนข้างสูงคิดค่าเฉลี่ยไว้เป็นร้อย ละ ๗๐.๙๐ และสอดคล้องกับผลการวิจัยของอำพร เงิน โต (๒๕๕๙: ๔๐) ได้ทำการศึกษาพบว่านักเรียนมีพัฒนาการอ่านดีขึ้น การแก้ปัญหาคือต้องฝึกอ่านซ้ำ คำเดิมบ่อยๆ เด็กจะเกิดทักษะการอ่านการจดจำ และที่สำคัญหากเด็กๆได้รับการส่งเสริมให้เห็น คุณค่าของการอ่าน มีนิสัยรักหนังสือและรักการอ่าน โดยผ่านการพัฒนาอย่างถูกต้องเป็นระบบ ต่อเนื่อง เด็กๆก็เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ที่มีคุณภาพของ สังคม ใฝ่รู้คิดเป็น และรู้จักใช้ปัญญาแก้ไข ปัญหาต่างๆได้


๔๐ ดังนั้นการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะกาารอ่านสะกดคำภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ทำให้ทักษะด้านการอ่านสะกดคำสูงขึ้น อาจเนื่องมาจากแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย ชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ ๘๐/๘๐ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักเรียนมี ทักษะหลังใช้สูงขึ้น ได้เรียนรู้ทีละน้อยตามขั้นตอนที่ครูเตรียมการสอนมาแล้ว การใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านสะกดคำภาษาไทยในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้ยึดหลักการสอนตามความต้องการของ ผู้เรียน ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนตั้งแต่ เริ่มฟัง อ่าน พูด นักเรียนเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ เนื้อหาเหมาะสมกับความสามารถในการรับรู้ของนักเรียนระดับประถมศึกษา ทำให้นักเรียนเกิดความ เพลิดเพลินสนุกสนาน มีความกระตือรือร้นที่จะเรียน เพราะการเรียนการสอนที่น่าสนใจ ช่วยให้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนสูงขึ้น ๓. ข้อเสนอแนะ ๑. ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้ ๑.๑ การเลือกเนื้อหาที่นำมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญควรคำนึงถึง ความเหมาะสม ของ เพศ วัย และระดับความสามารถในการเรียนของนักเรียนด้วย หากเนื้อหาใด ที่นักเรียนสนใจ นักเรียนจะเกิดความกระตือรือร้นการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น ๑.๒ ครูผู้สอนภาษาไทยควรนำแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่ผู้รายงานสร้างขึ้นไปใช้ประกอบการสอน เนื่องจากแบบฝึก ทักษะนี้ มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์๘๐/๘๐ ที่กำหนดไว้ ๑.๓ ในระหว่างการดำเนินการจัดกิจกรรม ครูควรสังเกตพฤติกรรมนักเรียนที่มีความสามารถ ในการเรียนต่ำ อาจจะไม่เข้าใจหรือเกิดการเรียนรู้ช้า หรือต้องการความช่วยเหลือ ครูควร ใช้เทคนิค เสริมแรงกระตุ้นให้นักเรียนสนใจ หรืออธิบายให้เข้าใจชัดเจนอีกครั้ง ๒. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ๒.๑ควรศึกษาวิจัยแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านสะกดคําภาษาไทยกับ นักเรียนระดับอื่น หรือ รายวิชาอื่น เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียน ๒.๒ในการพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียน โดยการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคําภา ไทย สอนแต่ละครั้งผู้สอนควรมีการเตรียมตัวล่วงหน้า โดยจัดแบบฝึกทักษะการอ่านให้นักเรียนแต่ละ คนให้ครบ และก่อนใช้ผู้สอนควรมีการชี้แจงรายละเอียดของแบบฝึกทักษะให้นักเรียนทราบ เพื่อที่ นักเรียนจะได้ทราบถึงวัตถุประสงค์และมีเป้าหมายในการเรียนมากขึ้น ๒.๓การใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน ผู้สอนควรจัดให้นักเรียนแต่ละคนมีแบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำภาษาไทย คนละ๑ เล่ม เพื่อใช้ในการอ่าน และประเมินทักษะการอ่านของนักเรียน เป็นรายบุคคล เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกอ่านคำศัพท์ต่างๆในรายวิชาภาษาไทย


๔๑ ๒.๔ ควรศึกษาทักษะการอ่าน และการสะกดคําโดยใช้กิจกรรมอื่นๆบูรณาการกับรายวิชา ต่างๆ เช่นบัตรคำศัพท์กับภาพ การจัดกิจกรรมแต่งเรื่องจากภาพ การเล่าเรื่องจากภาพ เป็นต้น


Click to View FlipBook Version