The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ทักษะวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Aopzaa Kapong, 2022-10-10 07:45:27

ทักษะวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน (1)

ทักษะวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน (1)

ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ ัน้ พื้นฐาน พรพรรณ ยิ่งยง

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1
ข้อควรปฏิบตั แิ ละระวังในการใชห้ ้องปฏิบัติการทดลอง

ขอ้ ควรปฏิบัตใิ นห้องปฏบิ ตั กิ าร

การเรียนวชิ าเคมนี อกจากจะเรยี นภาคทฤษฎีแลว้ จะต้องเรียนภาคปฏิบัติควบคูก่ ันไป ทัง้ น้ีเพอ่ื ให้เกิด
ความเข้าใจในเนอ้ื หาเพิม่ มากขึน้ การเรยี นภาคปฏิบัตินอกจากจะชว่ ยเสริมภาคทฤษฎีดังกล่าวแลว้ ยังช่วยฝกึ
นิสัยการทางานอกี ดว้ ย เชน่ ฝึกใหร้ ู้จกั การทางานด้วยความรอบคอบ รูจ้ กั คดิ รจู้ ักตดั สนิ ปัญหาด้วยตนเอง รจู้ ัก
คุณคา่ ในสง่ิ ทตี่ ้องการจะรู้และรจู้ กั ทางานด้วยความปลอดภัย เปน็ ต้น ดว้ ยเหตุน้ี การเรียนภาคปฏบิ ัตยิ อ่ ม
ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผ้เู รียนมากมาย เพราะเปิดโอกาสให้ทุกคนไดฝ้ กึ ฝนตัวเองและแสดงความสามารถพเิ ศษ
ของตนออกมา

โดยทั่วไปแล้วการเรยี นภาคปฏิบัตมิ ักทาในห้องปฏิบตั ิการทดลองเสมอ เพื่อใหก้ ารทดลอง ไดผ้ ลดีหรือมี
ความผดิ พลาดน้อยท่สี ุดและเกดิ ความปลอดภยั ต่อผทู้ ดลองเอง จงึ ขอเสนอแนะข้อควรปฏบิ ตั ทิ ่วั ๆ ไปใน
หอ้ งปฏิบตั กิ ารดังตอ่ ไปน้ี

1. ตอ้ งระลึกอยูเ่ สมอวา่ หอ้ งปฏิบตั กิ ารทดลองเป็นสถานที่ทางาน ต้องทาการทดลอง ด้วยความตั้งใจ
อยา่ งจรงิ จัง

2. ต้องรักษาระเบยี บบนโต๊ะปฏิบัติการ เพราะการทดลองจะผิดพลาดไดง้ ่ายถ้าบนโตะ๊ ปฏิบตั กิ ารไม่มี
ระเบียบ เช่น อาจหยบิ หลอดทดลองผดิ หรือในกรณีที่ทาสารหกจะต้องรีบทาความสะอาดทันที เครื่องแกว้ หรือ
อปุ กรณ์ทใี่ ชใ้ นการทดลองแล้วต้องล้างให้สะอาดแลว้ เกบ็ เข้าตู้ เม่ือไม่ต้องการใชท้ ดลองอีก นอกจากน้กี ารรักษา
ระเบียบบนโต๊ะปฏบิ ตั ิการยังสามารถชว่ ยลดอบุ ัตเิ หตแุ ละยงั เป็นการชว่ ยประหยัดเวลาในการค้นหาส่งิ ของท่ี
ต้องการอีกดว้ ย

3. ตอ้ งอา่ นค่มู ือปฏิบัติการทดลองก่อนทจ่ี ะปฏิบตั กิ ารทดลองนน้ั ๆ และพยายามทา ความเข้าใจถงึ
ขั้นตอนการทดลองใหแ้ จ่มแจ้ง หากมีความสงสยั ในตอนใด ๆ จะต้องถามอาจารย์ ผูค้ วบคมุ เสยี ก่อน ก่อนท่ีจะลง
มือปฏิบัตกิ ารทดลอง การอ่านคู่มือปฏิบตั ิการทดลองมากอ่ นที่จะปฏบิ ัติการทดลองนั้น นับว่ามปี ระโยชน์มาก
เพราะจะช่วยประหยัดเวลาในการทดลองและผู้ทดลองจะทาการทดลองด้วยความเขา้ ใจ

4. ตอ้ งไม่ทาการทดลองใด ๆ ท่ีนอกเหนือไปจากการทดลองท่ีมไี ว้ในคมู่ ือปฏบิ ตั กิ าร หรอื ทีไ่ ด้รับ
มอบหมายจากอาจารย์ผู้ควบคุมเท่าน้นั แต่ถา้ ต้องการทาการทดลองใด ๆ ทนี่ อกเหนอื ไปจากหนังสือคูม่ ือหรอื ที่
อาจารย์มอบหมาย จะต้องได้รบั อนญุ าตจากอาจารยผ์ ู้ควบคุมเสยี ก่อน

1

ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้ันพืน้ ฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง

5. อุปกรณต์ ่าง ๆ ท่นี ามาใช้ในการทดลองตอ้ งสะอาด ความสกปรกเปน็ ปจั จยั สาคัญ ประการหนึง่ ทท่ี า
ให้ผลการทดลองผิดพลาด หรือคลาดเคล่ือนไปจากความเป็นจรงิ

6. อปุ กรณห์ รือเครื่องมืออ่นื ๆ เชน่ สามขา ทย่ี ึดสายยาง ฯลฯ ที่นามาใชใ้ นการทดลอง นนั้ ๆ จะตอ้ ง
นาไปเก็บไวท้ ีเ่ ดิมหลงั จากเสร็จสน้ิ การทดลองแลว้

7. ควรทาการทดลองในห้องปฏบิ ัติการตามเวลาที่กาหนดให้เทา่ น้ัน ไม่ควรทางานใน ห้องปฏบิ ตั กิ าร
เพยี งคนเดยี ว เพราะเม่อื เกดิ อุบตั ิเหตุข้ึนจะไมม่ ีใครทราบ และไม่อาจช่วยได้ทันท่วงที

8. เม่อื ตอ้ งการใช้สารละลายทเี่ ตรยี มไว้ ต้องรินออกจากขวดใส่ลงในบีกเกอร์กอ่ น โดยริน ออกมา
ประมาณเทา่ กับจานวนท่ตี ้องการจะใช้ อย่ารนิ ออกมามากเกินไปเพราะจะทาใหส้ ิ้นเปลืองสารโดยเปลา่ ประโยชน์
ถา้ สารละลายทร่ี ินออกมาแลว้ น้เี หลือให้เทสว่ นทีเ่ หลอื น้ลี งในอ่าง อย่าเทกลับลงในขวดเดิมอกี ทั้งนีเ้ พ่ือป้องกัน
การปะปนกัน

9. ถา้ กรดหรอื ด่างหรือสารเคมีทีเ่ ปน็ อันตรายถูกผวิ หนังหรือเสอ้ื ผ้าต้องรบี ลา้ งออกดว้ ย น้าทนั ทเี พราะมี
สารเคมีหลายชนิดซมึ ผา่ นเขา้ ไปในผิวหนงั ได้อย่างรวดเรว็ และเกดิ เปน็ พิษขึ้นมาได้ ซึ่งแต่ละคนจะมคี วามรสู้ ึก
หรือเกิดพิษแตกตา่ งกัน

10. อยา่ ทดลองชิมสารเคมหี รือสารละลาย เพราะสารเคมสี ่วนมากเปน็ พิษอาจเกิด อันตรายไดน้ อกเสีย
จากจะไดร้ บั คาสัง่ จากอาจารย์ผู้ควบคมุ ให้ชิมได้

11. อยา่ ใชม้ ือหยบิ สารเคมีใด ๆ เป็นอันขาด และพยายามไมใ่ หส้ ่วนอ่ืน ๆ ของรา่ งกายถกู สารเคมี
เหล่านีด้ ว้ ย นอกเสียจากจะได้รบั คาสั่งจากอาจารยผ์ ู้ควบคุมใหป้ ฏบิ ัติ

12. อยา่ เทนา้ ลงบนกรดเข้มข้นใด ๆ แตค่ ่อย ๆ เทกรดเข้มขน้ ลงในนา้ อย่างชา้ ๆ พร้อมกบั กวน
ตลอดเวลา

13. เมื่อต้องการจะดมกลิน่ สารเคมี อย่านาสารเคมมี าดมโดยตรง ควรใช้มือพดั กลิน่ สาร เคมีนั้นเขา้ จมูก
เพยี งเล็กน้อย (อยา่ สดู แรง ๆ) โดยถือหลอดที่ใสส่ ารเคมีไวห้ า่ ง ๆ

14. ออกไซด์ ของธาตุบางชนิดเปน็ กา๊ ซพิษ เช่น ออกไซด์ของกามะถัน ไนโตรเจนและ ก๊าซฮาโลเจน
ก๊าซไฮโดรเจนซลั ไฟด์ ก็เปน็ ก๊าซพิษเชน่ เดียวกนั การทดลองใด ๆ ท่เี กยี่ วข้องกับก๊าซเหล่านี้ควรทาในต้คู วนั

15. อย่าทง้ิ ของแขง็ ต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการ เชน่ ไมข้ ีดไฟหรอื กระดาษกรองที่ใชแ้ ล้ว ฯลฯ ลงในอ่างนา้ เป็น
อันขาด ควรท้ิงในขยะท่จี ัดไวใ้ ห้

16. อย่านาแกว้ อ่อน เชน่ กระบอกตวง กรวยแยก ไปใหค้ วามร้อน เพราะจะทาให้ละลาย ใช้การไม่ได้
17. อยา่ นาบกี เกอรท์ ี่ใช้ในห้องปฏบิ ตั ิการมาใชต้ ักน้าดื่ม ถึงแม้ว่าจะดสู ะอาดกต็ าม เพราะอาจมีสารเคมี
ตกค้างอยู่
18. หลงั การทดลองแต่ละคร้ังตอ้ งลา้ งมือให้สะอาด โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ก่อนกนิ อาหาร เพราะในขณะทา

2

ทักษะวิทยาศาสตรข์ ั้นพน้ื ฐาน พรพรรณ ยิ่งยง

การทดลองอาจมสี ารเคมีท่เี ป็นอนั ตรายตดิ อยกู่ ็ได้
19. หา้ มสบู บุหรใ่ี นหอ้ งปฏบิ ัติการ เพราะการสบู บุหร่ีอาจทาให้สารที่ตดิ ไฟง่ายติดไฟได้ หรอื อาจทาให้

อนภุ าคของสารเคมีทรี่ ะเหยกลายเปน็ ไอถกู เผาผลาญในขณะสบู บหุ รี่ แลว้ ถกู ดดู เข้าไปในปอด
20. อยา่ กนิ อาหารในห้องปฏิบตั กิ าร เพราะอาจมีสารเคมปี ะปนกบั อาหารทร่ี บั ประทาน เขา้ ไป เชน่

อาจอยู่ในภาชนะทใี่ ส่อาหาร ภาชนะท่ใี สน่ ้าสาหรับด่มื หรือทมี่ อื ของท่าน ซง่ึ สารเคมีบางชนิดอาจมพี ิษหรือเป็น
อนั ตรายต่อสุขภาพได้

21. เมื่อเสื้อผา้ ที่สวมอยู่ติดไฟ อย่าวิง่ ตอ้ งพยายามดบั ไฟก่อนโดยนอนกล้งิ ลงบนพนื้ แล้วบอกให้เพื่อน
ๆ ชว่ ยโดยใชผ้ ้าหนา ๆ คลุมรอบตัวหรอื ใชผ้ า้ เชด็ ตัวท่ีเปียกคลมุ บนเปลวไฟให้ดบั ก็ได้

22. เม่ือเกิดไฟไหม้ในห้องปฏบิ ัตกิ าร จะต้องรีบดับตะเกยี งในห้องปฏบิ ัติการใหห้ มด และ นาสารท่ีติดไฟ
งา่ ยออกไปให้หา่ งจากไฟมากท่ีสดุ ซง่ึ ผู้ปฏบิ ตั กิ ารทดลองทุกคนควรจะตอ้ งรู้แหลง่ ทเ่ี กบ็ เคร่ืองดบั เพลงิ และรจู้ กั
วิธใี ช้ ทง้ั นเ้ี พอ่ื สะดวกในการนามาใชไ้ ด้ทนั ทว่ งที

23. หากผ้ทู ดลองเกิดอุบตั ิเหตุในขณะทาการทดลอง ตอ้ งรายงานอบุ ัตเิ หตุท่ีเกดิ ขึ้นทุกคร้ัง ตอ่ อาจารยผ์ ู้
ควบคุม ไมว่ า่ จะเกิดมากหรือนอ้ ยเพยี งใดก็ตาม

24. ก่อนนาเอาสารละลายในขวดไปใช้ จะต้องดูช่ือสารบนฉลากตดิ ขวดสารละลายอยา่ ง นอ้ ยสองคร้ัง
เพ่ือให้แน่ใจวา่ ใชส้ ารท่ีต้องการไมผ่ ดิ

25. เม่อื จะใช้สารเคมที ่ีเป็นอันตรายหรือสารที่วอ่ งไวต่อปฏิกริ ยิ าหรือสารที่มีกล่นิ เหม็น เช่น เบนโซอลิ
คลอไรด์ ฟอสฟอรัสไตรคลอไรด์ โบรมีน ฯลฯ จะตอ้ งทาในตูค้ วนั

26. ภาชนะแก้วทีร่ ้อนจะดูคล้ายกบั ภาชนะแก้วที่เยน็ ดังน้นั ควรให้เวลานานพอสมควรใน การให้ภาชนะ
แกว้ ทีร่ ้อนเยน็ ลง

27. นา้ ทใี่ ช้ในการทาปฏกิ ริ ยิ าเคมีจะต้องใชน้ ้ากล่นั ทกุ คร้ัง แต่อย่าใช้ฟมุ่ เฟือยเกินความ จาเปน็ เช่น ใช้
ลา้ งอปุ กรณ์ เป็นต้น เพราะกว่าจะกล่นั ได้ต้องใช้เวลาและค่าใชจ้ า่ ยมาก

28. เมื่อใช้เครื่องควบแนน่ อยา่ ไขน้าเข้าเครื่องควบแนน่ แรงนกั เพราะจะทาให้สูญเสียน้า ไปโดยเปล่า
ประโยชน์ ควรไขนา้ เขา้ เคร่อื งควบแน่นเบา ๆ ก็ได้

29. ขณะต้มสารละลายหรือใหส้ ารทาปฏิกริ ิยากนั ในหลอดทดลอง จะต้องหันปากหลอดทดลองออกห่าง
จากตัวเองและห่างจากคนอ่นื ๆ ด้วย

30. การทดลองใด ๆ ท่ีทาให้เกดิ สุญญากาศ ภาชนะทใ่ี ช้จะตอ้ งหนาพอทีจ่ ะทนต่อความดันภายนอกได้
31. ขวดบรรจสุ ารละลายหรอื อุปกรณ์อื่นใดทม่ี ตี วั ทาละลายอนิ ทรยี ์บรรจุอยู่ อย่าใช้จกุ ยางปิดปากขวด
เปน็ อันขาด เพราะตัวทาละลายอินทรียก์ ัดยางได้ทาให้สารละลายสกปรก และจะเอาจกุ ยางออกจากขวดได้ยาก
เพราะจุกส่วนขา้ งลา่ งบวม

3

ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ ั้นพื้นฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

32. อย่าท้ิงโลหะโซเดียมท่เี หลอื จากการทดลองลงในอ่างน้า เพราะจะเกดิ ปฏกิ ิรยิ ากบั น้าอย่างรุนแรง
จะตอ้ งทาลายดว้ ยแอลกอฮอลเ์ สยี กอ่ น แล้วจงึ เททิ้งลงในอ่างนา้

33. เม่อื การทดลองใดใช้สารที่เปน็ อนั ตราย หรือเปน็ การทดลองที่อาจระเบิดได้ ผทู้ ดลอง ควรสวม
แว่นตานริ ภยั เพ่อื ป้องกันอันตรายทอี่ าจจะเกดิ ขึ้น

34. เมื่อเสร็จสิ้นการทดลอง ตอ้ งทาความสะอาดพน้ื โต๊ะปฏิบตั กิ าร ตรวจของในตู้และใส่ กญุ แจให้
เรียบร้อย แล้วลา้ งมือให้สะอาดกอ่ นออกจากห้องปฏบิ ตั ิการ

35. พงึ ระลึกอยู่เสมอว่า ต้องทาการทดลองดว้ ยความระมดั ระวังท่ีสดุ ความประมาท เลินลอ่ อาจทาให้
เกิดอันตรายต่อตวั เองได้

แบบทดสอบหลงั เรียน 1.1

1. สง่ิ ท่คี วรนึกถงึ ก่อนหยบิ สารเคมีมีอะไรบ้าง
............................................................................................................................. ....................................................
...........................................................................................................................................................................
2. เพราะเหตุใดจึงหา้ มกนิ อาหารในหอ้ งปฏบิ ัตกิ าร
..................................................................................................................... ............................................................
............................................................................................................................. .......................................
3. เพราะเหตใุ ดจงึ หา้ มสูบบุหรีใ่ นห้องปฏิบัตกิ าร
............................................................................................................................. ....................................................
....................................................................................................................................................................
4.เมอ่ื เสอ้ื ผา้ ที่สวมอยู่ติดไฟ นักเรยี นควรทาอย่างไร
............................................................................................................................. ....................................................
....................................................................................................................................................................
5.การทดสอบกล่ินของสารเคมี ควรทาอยา่ งไร
............................................................................................................................. ....................................................
............................................................................................................................. .......................................

4

ทักษะวิทยาศาสตรข์ น้ั พืน้ ฐาน พรพรรณ ย่งิ ยง

ข้อปฏบิ ัตทิ วั่ ไป

1 ศกึ ษาแผนผังของหอ้ งปฏิบตั กิ าร เพอื่ ให้รู้ตาแหนง่ ที่ต้ังของอุปกรณแ์ ละสงิ่ ของตา่ งๆ ท่เี กยี่ วข้องกับ
ความปลอดภยั ได้แก่ สญั ญาณเตือนภยั เครื่องดบั เพลิง ผา้ ห่มคลุมเพลงิ ทราย ฝกั บัวฉุกเฉนิ อา่ งลา้ งตาฉุกเฉนิ
และชุดปฐมพยาบาล รวมทง้ั ตอ้ งรวู้ ัตถปุ ระสงค์และทาความเขา้ ใจวธิ ีการใช้อปุ กรณ์เหลา่ นี้

2 ต้องรเู้ ส้นทางที่ส้ันท่ีสดุ ท่สี ามารถออกสภู่ ายนอกอาคารจากห้องปฏิบัตกิ ารไดอ้ ย่างรวดเรว็ และ
ควรศึกษาหาทาง-ออกจากห้องปฏิบตั ิการอยา่ งนอ้ ย 2 ทาง เพ่อื เตรยี มไวใ้ นกรณีเกดิ เหตุฉุกเฉนิ ถา้ จาเปน็ ต้อง
อพยพผู้คนออกจากอาคารให้ปดิ และถอดปล๊ักเครื่องใชไ้ ฟฟา้ ที่กาลังใชอ้ ยู่ เดนิ ลงทางบันได หา้ มใช้ลิฟต์ ควบคมุ
สติระหวา่ งการอพยพ ควรเดินเร็วแต่ห้ามวิง่

3 หา้ มสวมรองเทา้ แตะหรือรองเทา้ เปิดดา้ นหนา้ และเปิดสน้ ควรสวมรองเท้าส้นเตีย้ ท่ีหุ้มเท้าโดยรอบ
เพ่ือป้องกัน สารเคมีท่ีบังเอิญหกรดไม่ให้ถูกเท้าโดยทนั ที

4 แตง่ กายให้เหมาะสม อย่าสวมเสอื้ ทร่ี ัดรูปหรอื หลวมจนเกนิ ไป ไมค่ วรสวมเครื่องประดับหรือผูกเน็ค
ไท ใหร้ วบ และผกู ผมยาวไว้หลังศีรษะ เพ่อื ป้องกนั การเกย่ี วหรอื เหน่ียวร้งั สิ่งของตา่ งๆ ขณะทาการทดลอง ซึง่ จะ
ทาให้เกิดอบุ ตั เิ หตุได้ อีกท้งั ควรสวมกางเกงขายาว แตถ่ า้ เปน็ กางเกงขาสนั้ หรือกระโปรง จะตอ้ งมคี วามยาวคลุม
เขา่

5 ให้นาเอาเฉพาะสง่ิ ของจาเป็นเขา้ มาในหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร ไดแ้ ก่ หนงั สือ สมุดจดบนั ทึกหรือสมุดเขยี น
รายงาน และ เคร่ืองเขยี น เป็นตน้ กระเปา๋ และส่ิงของอ่นื ๆ ควรเก็บไว้ในลอ็ กเกอรห์ รือบรเิ วณทจี่ ดั ไวใ้ ห้สาหรบั
วางของหน้าห้องปฏิบัติการ

6 เม่อื เขา้ มาในห้องปฏิบตั ิการตอ้ งสารวม อยา่ จบั อปุ กรณ์ เครอ่ื งมือและสารเคมีใดๆ จนกระทั่งให้
เร่ิมทาการทดลอง ได้

7 อย่าหยอกล้อหรือวิง่ เลน่ ในห้องปฏิบัติการ เพราะอาจเกยี่ วหรือแกว่งถูกภาชนะบรรจสุ ารเคมีตกแตก
หรืออาจวง่ิ ชนผ้อู ื่นที่กาลังถือภาชนะบรรจสุ ารเคมี ทาใหห้ กรดตนเองหรือผูอ้ น่ื หรือทาใหเ้ กิดอุบตั เิ หตุอ่ืนๆได้

8 อยา่ รับประทานอาหารและของคบเค้ยี วตา่ งๆ หรือดม่ื เคร่อื งดมื่ ในห้องปฏบิ ตั ิการ และหา้ มใช้
อุปกรณห์ รือ เครอ่ื งแกว้ ใดใส่อาหารและเครือ่ งดื่ม เพราะอาจมสี ารเคมีปนเป้ือนอยู่ ซ่ึงทาใหส้ ารเคมีเขา้ สู่
รา่ งกายได้

9 อยา่ สดู ดม และสัมผัสสารเคมีโดยตรง ถา้ บงั เอญิ สูดดมเขา้ ไปใหร้ ีบออกจากห้องปฏิบัตกิ าร เพ่ือ
หายใจเอาอากาศ บรสิ ทุ ธิ์เข้าสู่รา่ งกายโดยเร็ว

10 หา้ มทาการทดลองนอกเหนือจากท่ีกาหนดไว้ และให้ทาตามขัน้ ตอนทรี่ ะบุไวใ้ นแต่ละการทดลอง
เท่าน้นั เพ่ือ ป้องกันการเกดิ อันตรายหรืออุบัติเหตจุ ากปฏกิ ิรยิ ารุนแรงทคี่ าดไม่ถงึ

5

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ ้ันพน้ื ฐาน พรพรรณ ย่งิ ยง

11 หา้ มทาการทดลองโดยลาพังในห้องปฏบิ ตั ิการ เพราะหากเกิดอุบตั เิ หตุอาจจะอยูใ่ นสภาพที่
ชว่ ยเหลือตนเองไมไ่ ด้ ถ้ามคี วามจาเปน็ ต้องทาการทดลองนอกเวลาท่ีกาหนดใหข้ ออนุญาตอาจารยผ์ คู้ วบคุม
ปฏิบัติการหรอื หัวหนา้ ห้องปฏบิ ัติการ เพือ่ พิจารณาวา่ สมควรทาหรอื ไม่ หากทาได้ จะไดร้ บั คาแนะนาวา่ ต้องทา
ด้วยวิธีอยา่ งไรจงึ จะปลอดภยั มากท่สี ุด

12 หา้ มจดุ ตะเกยี ง เทียนไขหรอื ไม้ขีดไฟในห้องปฏิบัติการโดยไมไ่ ด้รับอนญุ าต
13 เมื่อพบเหน็ อุบัตเิ หตุหรือเหตุการณท์ ่อี าจกอ่ ให้เกดิ อุบัติเหตไุ ด้ แม้วา่ จะเป็นอบุ ัตเิ หตุขนาดเลก็
ตอ้ งรายงานให้ ผู้ควบคุมปฏิบตั ิการ หรือหัวหนา้ ห้องปฏบิ ัตกิ ารทราบทันที เพอื่ รีบแก้ไขอย่างรวดเร็ว
14 ควรลา้ งมือทกุ ครงั้ หลงั จากทาการทดลองแตล่ ะขัน้ ตอนเสร็จ และต้องล้างดว้ ยสบ่ใู หส้ ะอาดก่อน
ออกจากห้องปฏิบัติการ เพื่อป้องกนั การปนเป้ือนของสารเคมี ถงึ แม้วา่ จะสวมถุงมือขณะทาการทดลอง
ตลอดเวลา เมือ่ ถอดถุงมือออกแล้ว ควรลา้ งมอื ให้สะอาดทุกครง้ั
15 ถา้ ไม่เรยี นรขู้ ้อบงั คบั และแนวปฏบิ ตั คิ วามปลอดภยั ในหอ้ งปฏิบัตกิ าร จะทาใหเ้ กดิ อุบตั เิ หตุและ
การบาดเจบ็ ทงั้ ต่อตนเองและเพื่อนรว่ มทางานไดง้ า่ ย ผู้ที่ละเมิดครงั้ แรกจะได้รับการตักเตือน ครั้งทส่ี อง
จะต้องออกจากหอ้ งปฏิบัติการใน วันนนั้ คร้ังท่ีสามจะถูกถอนออกจากรายวชิ าปฏิบตั กิ าร

ข้อปฏบิ ัติก่อนเรม่ิ ทาการทดลอง

1 อา่ นและศกึ ษาการทดลองก่อนเขา้ หอ้ งปฏบิ ตั กิ าร เพ่ือทราบวตั ถปุ ระสงค์ และเหตผุ ลของการทา
การทดลองทุก ขัน้ ตอนก่อนเรมิ่ ทา เพราะจะทาใหร้ ูว้ ่าต้องปฏบิ ตั ิอย่างไร ควรทาสง่ิ ใดก่อนและหลัง ควรเพมิ่
ความระมัดระวงั ในขน้ั ตอนใด เปน็ พเิ ศษ ซึ่งเปน็ การลดโอกาสการเกิดอันตรายระหวา่ งการทาการทดลอง
นอกจากน้ี ยงั ชว่ ยให้ทาการทดลองเสร็จในเวลา รวดเรว็

2 ศกึ ษาสมบัติกายภาพและอนั ตรายของสารเคมีทุกชนดิ ท่ใี ชใ้ นการทดลอง ซึ่งสามารถค้นหาข้อมลู
เหลา่ นี้ได้จาก หลายแหลง่ ได้แก่ หนงั สือคู่มือต่างๆ เชน่ เมิรก์ อินเดกซ์ (Merck Index) และคูม่ ือของเคมีและ
ฟิสิกส์ (Handbook of Chemistry and Physics) แต่จะได้ขอ้ มูลสั้นๆ สาหรบั ข้อมลู อย่างละเอียดสามารถหาได้
จากเอกสารข้อมลู ความปลอดภัยของสาร (Material Safety Data Sheet) หรอื เรียกยอ่ ว่า เอ็มเอสดเี อส
(MSDS) ซึ่งจดั ทาโดยบริษัทผู้ผลิตสารเคมแี ละองค์กรตา่ งๆ หลายองคก์ ร และสามารถค้นหาไดอ้ ยา่ งรวดเร็วจาก
อินเทอรเ์ น็ต แต่เป็นภาษาอังกฤษ ปจั จบุ นั มีเอม็ เอสดีเอสท่ีจดั ทาเป็นภาษาไทยซ่งึ คน้ หา และดาวนโ์ หลดไดท้ ี่
เวบ็ ไซต์ www.chemtrack.org

6

ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้นั พ้นื ฐาน พรพรรณ ย่งิ ยง

ขอ้ ปฏิบตั ริ ะหวา่ งทาการทดลอง

1 ต้องสวมแวน่ ตานิรภยั ตลอดเวลาทอ่ี ย่ใู นหอ้ งปฏบิ ตั ิการ เพือ่ ป้องกันสารเคมหี รือเศษแกว้ แตกหรือ
สง่ิ อ่ืนใด กระเด็นเขา้ ตา ไมค่ วรใส่คอนแทกเลนสข์ ณะทางานอยู่ในห้องปฏิบัตกิ าร เพราะเม่อื ไอหรือสารเคมเี ข้า
ตาจะถูกดูดเข้าไปใตเ้ ลนส์ หากถอดคอนแทกเลนส์ออกและทาความสะอาดตาไม่ทันเวลา จะทาให้ตาเสียหายได้
ถา้ สารเคมีเข้าตาใหล้ า้ งตาที่อ่างลา้ งตา ฉุกเฉินทนั ที เป็นเวลานานอย่างน้อย 15 นาที โดยต้องเปิดตาใหก้ ว้าง
เเละพลกิ เปลอื กตาดา้ นในออกขณะล้างตา ทุกคนจึงตอ้ งรู้ ตาแหนง่ ทีต่ ั้งและวธิ ีใช้อา่ งลา้ งตาฉกุ เฉิน ปกติแลว้ ต้อง
รีบล้างตาภายใน 15 วินาที หลังจากสารเคมีกระเดน็ เขา้ ตา หากทาชา้ กวา่ น้ี อาจทาให้สูญเสียตาได้

2 ตอ้ งสวมเส้ือคลุมปฏบิ ัตกิ ารตลอดเวลาที่อย่ใู นห้องปฏบิ ัตกิ าร เพ่อื ป้องกันสารเคมที ี่หกหรอื กระเด็น
ไม่ใหส้ มั ผัส กบั ร่างกายโดยตรง เม่ือสารเคมสี ัมผัสกับผวิ หนา้ หรอื หกรดมือหรอื แขนเพียงเลก็ น้อย ให้ลา้ งดว้ ยน้า
ปรมิ าณมากอย่างรวดเรว็ อาจใชน้ า้ จากก๊อกนา้ โดยปล่อยให้นา้ ไหลชะล้างเป็นเวลาไมน่ ้อยกว่า 15 นาที แต่ถา้
ถกู ขาหรือรา่ งกายเป็นบริเวณกวา้ ง ใหถ้ อดเสือ้ ผา้ ท่เี ปื้อนสารเคมีออกอย่างรวดเร็วและซับหรือเช็ดสารเคมีตาม
ร่างกายออกให้มากท่สี ดุ แลว้ จึงชาระล้างดว้ ยน้าจาก ฝักบัวฉกุ เฉนิ ซ่งึ จะปลอ่ ยนา้ ปรมิ าณมากในเวลาส้นั เพือ่ ชะ
ลา้ งสารเคมีออกอยา่ งรวดเรว็ หลงั จากนั้นให้รายงานการบาดเจบ็ หรอื อบุ ตั เิ หตุใหอ้ าจารย์ผูค้ วบคุมปฏิบตั ิการ
หรือหัวหน้าห้องปฏบิ ตั กิ ารทราบทนั ที เพื่อดาเนนิ การตามวิธีการรักษาท่ีเหมาะสม ต่อไป

3 ควรสวมถุงมือยางเมื่อต้องทางานกับสารกัดกรอ่ น เปน็ พิษ หรือระคายเคอื งเป็นเวลานาน และ
ล้างมือใหส้ ะอาด ทุกครั้งเมือ่ ทาการทดลองเสร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม่ือทางานกับกรดและเบสแก่ อยา่ ให้ถูก
ผิวหนงั เพราะจะทาใหผ้ วิ หนงั ไหม้เกรยี มไดง้ า่ ย ถ้าเป็นสารที่มีความเป็นพษิ สงู ต้องทาการทดลองในตู้ดูดควัน
เพราะตู้ดูดควันจะดูดไอของสารและปลอ่ ย ออกนอกอาคารตลอดเวลา ถา้ ไมม่ ีต้ดู ูดควันให้ทาในบริเวณท่ีมีการ
ถ่ายเทอากาศทีด่ เี พ่ือหลีกเล่ียงการสะสมของไอของสารจน ถงึ ขดี อันตราย

4 ต้องตรวจสภาพของเครอ่ื งแก้วทกุ ชิ้นก่อนนาไปใชง้ านทุกครง้ั โดยยกเครื่องแก้วขึน้ ดดู ้วยการสอ่ ง
กบั แสงสวา่ ง และตรวจดูให้ท่ัวเพ่ือหารอยรา้ ว รอยบนิ่ รอยแตก หรอื ลกั ษณะผิดปกติอน่ื ๆ ซึ่งมกั เป็นสาเหตุทาให้
เครอื่ งแก้วแตกระหวา่ ง ทาการทดลอง ถ้าตรวจพบลกั ษณะผิดปกติของเคร่ืองแกว้ ให้เปลี่ยนทันที ไม่ควรนาไปใช้
ใหท้ งิ้ เศษแกว้ แตกและหลอด แคพแิ ลรีทีใ่ ชแ้ ล้วในภาชนะที่จดั ไว้ ห้ามทิ้งเศษแก้วเหลา่ นี้ในถงั ขยะปกติ
สาหรับเทอรโ์ มมเิ ตอร์ปรอทที่แตก จะต้องระวงั เปน็ พิเศษ เพราะปรอทเป็นพษิ และระเหยได้งา่ ยที่อณุ หภูมหิ ้อง
ตอ้ งรายงานใหผ้ ้คู วบคมุ ปฏบิ ัตกิ ารหรือหัวหนา้ หอ้ งปฏบิ ัตกิ าร ทราบ เพ่อื กาจดั โดยทันที

5 อ่านชือ่ ของสารเคมที ฉี่ ลากบนขวดใหแ้ นใ่ จวา่ หยบิ ถกู ต้องแล้ว กอ่ นใชส้ ารเคมีและก่อนผสม
สารเคมีใด ๆ ต้อง ตรวจสอบอกี ครั้งหน่งึ ใหแ้ น่ใจว่าหยบิ สารเคมีมาถกู ต้อง ห้ามใช้สารเคมีทีอ่ ยู่ในขวดหรือ

7

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ ้ันพน้ื ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

ภาชนะอนื่ ที่ไม่มีฉลากบอกชือ่ สารเคมี ให้ถา่ ยเทสารเคมมี าใช้เพียงเล็กน้อยในปริมาณเท่าทีต่ ้องการ สว่ นเกนิ ท่ี
เหลอื ตอ้ งกาจัดทิ้งตามคาแนะนาของผู้ควบคุมปฏิบัติการ หรอื หัวหน้าหอ้ งปฏบิ ัติการ ห้ามเทกลับคนื ลงขวด
บรรจุสารเพือ่ ป้องกันไม่ให้มสี ิ่งปนเป้ือนในขวดบรรจุสาร ทุกครั้งท่ีใช้ รเี อเจนตเ์ สร็จแล้วตอ้ งเชด็ รอบขวด
ภายนอกและปดิ จกุ หรือฝาให้เรียบร้อย

6 ถา้ ทาสารเคมหี กเลอะเลก็ น้อย (น้อยกว่า 50 กรัม หรอื 50 มิลลิลติ ร) บนพนื้ ห้องหรือบนโตะ๊
ปฏิบตั กิ ารจะต้อง ทาความสะอาดทันทีด้วยวิธกี ารท่ถี กู ต้อง แตถ่ ้าทาหกเลอะปรมิ าณมาก (มากกวา่ 50 กรัม
หรือ 50 มลิ ลิลติ ร) ใหร้ ายงานผู้ควบคมุ ปฏิบัติการหรือหัวหนา้ หอ้ งปฏิบัตกิ ารทราบ

7 เม่ือจะใชอ้ ุปกรณไ์ ฟฟา้ ควรตรวจสอบก่อนวา่ สายไฟท่ีตอ่ กับเคร่ืองมือไมช่ ารดุ
8 ในหอ้ งปฏบิ ัตกิ ารตอ้ งมีเคร่อื งดับเพลิงประจาห้อง ทน่ี ิยมใชไ้ ด้แก่ประเภทคารบ์ อนไดออกไซดเ์ หลว
หรือผงเคมี เช่น โซเดยี มไบคารบ์ อเนต และแอมโมเนยี มฟอสเฟต ผปู้ ฏิบัติงานควรทราบตาแหน่งท่ตี ้งั และวิธีใช้
เครื่องดับเพลงิ ในกรณที ี่ เกิดเพลิงลุกไหม้ในภาชนะ ใหป้ ดิ หรอื คลุมภาชนะนั้นทนั ทีดว้ ยภาชนะหรืออุปกรณ์
อนื่ ใดท่อี ยู่ใกลห้ รือใชผ้ า้ ชุบน้าปิดคลมุ ไฟ ทันที เพ่ือปอ้ งกันไม่ให้ไฟลกุ ลาม หากไฟลุกติดเสื้อผ้า หา้ มวิง่ เพราะ
จะทาให้ไฟลุกมากข้นึ ให้นอนกลิ้งบนพน้ื และคลุมด้วย ผ้าห่มคลมุ เพลิงหรือผ้าชบุ น้า
9 ทางานในหอ้ งปฏิบตั กิ ารด้วยความระมัดระวังอยเู่ สมอ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงเม่ือต้องใช้ตวั ทาละลาย
และสารเคม-ี อินทรยี ท์ ี่เปน็ สารไวไฟและมจี ดุ วาบไฟต่า เช่น ไดเอทลิ อีเทอร์ เพราะไอจะกระจายทัว่ ห้องได้อยา่ ง
รวดเร็ว จึงมีโอกาสเกิด ไฟไหมไ้ ด้ง่าย ไม่ควรนาตวั ทาละลายท่ีระเหยง่ายมาทาให้ร้อนโดยตัง้ บนฮ๊อตเพลต
(hot plate) หรือเตาไฟฟ้าโดยตรง เพราะถา้ ตวั ทาละลายหกหรอื เดือดลน้ ออกมาจากภาชนะจะเกิดการลกุ
ไหม้ได้ทนั ที

ข้อปฏบิ ัติหลงั ทาการทดลองเสร็จ

1 กาจดั ของเสยี ท่เี กดิ ขึน้ ตามคาแนะนาทีร่ ะบไุ ว้ในการทดลอง หลักเกณฑ์ท่วั ไปคือ ของเสยี ทเี่ ป็น
สารละลายในน้า หรอื ในตัวทาละลายทีร่ วมเป็นเน้ือเดยี วกับนา้ และมปี ริมาณเล็กน้อย (3-10 มิลลิลติ ร) ไม่มี
เกลอื โลหะหนกั สารประกอบ ไซยาไนด์ เกลือไนเทรต หรอื สารอนั ตรายอืน่ ๆ ให้เทลงท่อนา้ ทงิ้ ไดเ้ ลยโดยต้องเปิด
นา้ ตามปริมาณมากเป็นเวลา 1-2 นาที สารละลายกรดและสารละลายเบสทมี่ ีความเขม้ ข้นมากกว่า 10% ต้องทา
ให้เปน็ กลางก่อน แลว้ จึงเทลงทอ่ น้าท้ิงและเปิดนา้ ตาม ปริมาณมากได้ ของเสียบางอยา่ งต้องบาบัดก่อนเทลงท่อ
น้าทงิ้ ซงึ่ ต้องศึกษาหาวิธกี ารไว้ลว่ งหน้าแลว้ แต่บางอยา่ งเทลงทอ่ น้าท้ิงไม่ไดเ้ ลย เช่น ตัวทาละลายอนิ ทรยี ท์ ่ีมี
แฮโลเจน สารละลายหรือของผสมท่มี เี กลือของโลหะหนักหรอื สารเป็นพิษ ใหเ้ ทใน ภาชนะท่จี ัดแยกไวส้ าหรับ

8

ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ ัน้ พืน้ ฐาน พรพรรณ ย่ิงยง

เกบ็ ของเสยี แต่ละประเภท เพ่ือรวบรวมและนาสง่ ไปกาจัดต่อไป
2 ต้องล้างเครอื่ งแก้วใหส้ ะอาด เพราะนอกจากเปน็ การเตรยี มความพร้อมสาหรับการทดลองครั้งต่อไป

แลว้ ยังเป็น การลดโอกาสการเกิดอันตรายจากปฏกิ ริ ิยารุนแรงทอี่ าจเกดิ จากสารเคมีทหี่ ลงเหลอื อยใู่ นเครื่องแกว้
เหลา่ นนั้ และควรเก็บ เครื่องแก้วท่ลี ้างสะอาดแลว้ และอุปกรณต์ ่างๆ ให้เรยี บร้อย

3 ตอ้ งเชด็ โตะ๊ ปฏิบัติการใหส้ ะอาดกอ่ นออกจากหอ้ งปฏบิ ัติการ เพื่อใหแ้ น่ใจว่าไม่มีสารเคมีใดตกค้าง
อยู่ อันอาจเปน็ อันตรายตอ่ ผู้อ่ืนทจี่ ะมาทาการทดลองต่อไป

4 ตรวจดูว่าได้ถอดปล๊กั ไฟ ปดิ วาล์วน้า และเก็บอุปกรณ์เครอ่ื งมอื ท้ังหมดเข้าที่เรยี บร้อย

แบบฝกึ หดั ท้ายคาบเรยี น 1.2

ใหน้ กั เรียนบอกข้อควรปฏบิ ัตใิ นห้องปฏิบัตกิ ารเคมีให้ถกู ต้อง
กอ่ นทาการทดลอง

ระหว่างทาการทดลอง

หลงั ทาการทดลอง

9

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ ั้นพน้ื ฐาน พรพรรณ ยิ่งยง

ข้อควรปฏบิ ัติเมอื่ สารเคมีหก

เม่ือสารเคมีหกอาจเกิดอนั ตรายได้หากไมร่ ะมดั ระวังให้ดี ทั้งน้เี พราะสารเคมีบางชนดิ เป็นพิษต่อ
ร่างกายเมื่อถูกกบั ผิวหนงั หรือสดู ดม บางชนดิ ตดิ ไฟได้ง่าย ดังน้นั เมอื่ สารเคมีหกจะต้องรีบเกบ็ กวาดให้เรียบร้อย
ทนั ที ต่อไปน้ีจะขอกล่าวถึงข้อควรปฏิบัติเมื่อสารเคมีแต่ละชนิดหก

1. สารท่เี ปน็ ของแขง็ เม่อื สารเคมที ี่เปน็ ของแขง็ หก ควรใช้แปรงกวดรวมกันใส่ในช้อนตกั หรือกระดาษ
แข็งก่อน แล้วจงึ นาไปใส่ในภาชนะ

2. สารละลายทเี่ ป็นกรด เม่ือกรดหกจะต้องรีบทาให้เจือจางด้วยน้ากอ่ นแล้วโรย โซดาแอส หรอื
โซเดียมไบคาร์บอเนตหรือเทสารละลายดา่ งเพ่อื ทาใหก้ รดเป็นกลางต่อจากนน้ั จึงลา้ งด้วยน้าให้สะอาด
ขอ้ ควรระวงั เมอื่ เทนา้ ลงบนกรดเข้มข้นทห่ี ก เชน่ กรดกามะถันเข้มข้น จะมีความร้อนเกิด ข้นึ มาก และกรดอาจ
กระเด็นออกมา จงึ ควรคอ่ ย ๆ เทนา้ ลงไปมาก ๆ เพื่อให้กรดเจือจางและความร้อนท่เี กดิ ขึ้นรวมท้ังการกระเด็น
จะนอ้ ยลง

3. สารละลายที่เป็นดา่ ง เม่ือสารเคมีทเ่ี ปน็ ดา่ งหกจะตอ้ งเทนา้ ลงไปเพื่อลดความเขม้ ข้นของดา่ งแล้วเช็ด
ให้แห้ง โดยใช้ไม้ท่ีมีปยุ ผกู ทป่ี ลายสาหรับซับนา้ บนพนื้ (Mop) พยายามอย่าใหก้ ระเด็นขณะเชด็ เนอ่ื งจาก
สารละลายด่างจะทาให้พื้นลนื่ เม่อื ล้างดว้ ยน้าหลาย ๆ ครั้งแลว้ ยงั ไมห่ ายควรใช้ทรายโรยบริเวณทด่ี า่ งหกแล้ว
เกบ็ กวาดทรายออกไป จะชว่ ยแก้ปญั หานี้ได้

4. สารที่ระเหยง่าย เมอื่ สารเคมที รี่ ะเหยงา่ ยหกจะระเหยกลายเปน็ ไออย่างรวดเรว็ บาง ชนิดติดไฟได้
ง่าย บางชนิดเปน็ อันตรายต่อผวิ หนงั และปอด การทาความสะอาดท่รี ะเหยง่ายทาได้ดงั นี้

4.1 ถ้าสารทีห่ กมีปริมาณนอ้ ย ใชผ้ ้าขร้ี ว้ิ หรอื เศษผ้าเช็ดถูออก
4.2 ถ้าสารที่หกนั้นมีปรมิ าณมาก ทาให้แหง้ โดยใช้ไมท้ ่มี ีปยุ ผกู ท่ีปลายสาหรับเช็ดถู เมอ่ื เช็ดแล้วก็
นามาใส่ถงั เกบ็ และสามารถนาไปใช้อีกได้ตามต้องการ
5. สารที่เป็นนา้ มัน สารพวกน้เี ชด็ ออกไดโ้ ดยใช้น้ามาก ๆ เม่ือเช็ดออกแล้วพืน้ บรเิ วณที่ สารหกจะล่นื
จึงตอ้ งลา้ งด้วยผงซักฟอกอกี คร้ังหนงึ่ เพ่ือให้สารท่ีตดิ อยู่ออกไปใหห้ มด
6. สารปรอท เนือ่ งจากสารปรอท ไม่ว่าจะอยู่ในรูปใดลว้ นเปน็ อนั ตรายต่อสิง่ มีชีวิตทั้งสิน้ เพราะทา
อันตรายต่อระบบประสาท ทาใหม้ อี าการทางประสาท เชน่ กลา้ มเนอื้ เต้น มึนงง ความจาเส่อื ม ถา้ ไดร้ บั เข้าไป
มาก ๆ อาจทาให้แขนขาพกิ ารหรือถึงตายได้ ดังน้ันการทดลองใดท่เี กยี่ วข้องกับสารปรอทต้องใช้ความระมดั ระวงั
ใหม้ าก ในกรณีท่ีสารปรอทหกวิธกี ารทีถ่ ูกตอ้ งควรปฏิบตั ดิ ังน้ี

10

ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ ัน้ พื้นฐาน พรพรรณ ยิ่งยง

1 กวาดสารปรอทมากองรวมกนั
2 เก็บสารปรอทโดยใช้เครอื่ งดูด
3 ถา้ พื้นที่สารปรอทหกมรี อยแตกหรือรอยรา้ ว จะมีสารปรอทเข้าไปอยู่ขา้ งในจงึ ไม่ สามารถเกบ็
ปรอทโดยใช้เครื่องดดู ดังกลา่ วได้ ควรปิดรอยแตกหรอื รอยรา้ วนั้นดว้ ยขผี้ ้ึงทาพน้ื หนา ๆ เพอ่ื กันระเหยของ
ปรอทหรอื อาจใชผ้ งกามะถันพรมลงไป ปรอทจะเปลี่ยนเป็นสารประกอบซัลไฟด์ แลว้ เก็บกวดอีกคร้งั หน่งึ

การเกิดอบุ ัตเิ หตใุ นห้องปฏิบตั ิการและการแกไ้ ข

อบุ ตั เิ หตุอาจเกิดข้ึนได้ในห้องทดลองหากผู้ทดลองทาดว้ ยความประมาทเลนิ เล่อหรือขาดความ
ระมดั ระวังขาดความเอาใจใส่ในเรอ่ื งที่ทาการทดลอง ทางหน่ึงท่ีจะชว่ ยลดการเกิดอบุ ัตเิ หตุก็คือผทู้ าการทดลอง
จะต้องอ่านขอ้ ควรปฏิบตั ใิ นห้องทดลองเสียก่อน และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด การเกิดอบุ ัติเหตใุ นห้องทดลอง
นน้ั มีได้หลายกรณี จะขอแยกกลา่ วเปน็ ข้อ ๆ พรอ้ มทง้ั วิธีแกไ้ ขดังนี้

1. ไฟไหม้ เนือ่ งจากการปฏิบัติการทางเคมใี นห้องปฏิบัติการนนั้ บางครัง้ จะต้องใช้ ตะเกียงก๊าซดว้ ย การ
ใช้ตะเกียงกา๊ ซน้นั หากเปลวไฟอยใู่ กลก้ บั สารทต่ี ดิ ไฟง่ายหรือสารทม่ี จี ุดวาบไฟต่า โอกาสทจ่ี ะเกดิ ไฟกย็ ิง่ มากข้นึ
ด้วย จงึ ตอ้ งทาการทดลองด้วยความระมัดระวังและไมใ่ หส้ ารทีต่ ดิ ไฟงา่ ยอยู่ใกล้ไฟ

วิธแี กไ้ ขเมอ่ื เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ สิง่ แรกที่ควรทาก็คือต้องรบี ดบั ตะเกยี งในหอ้ งปฏิบตั กิ าร ใหห้ มดแล้วนา
สารท่ตี ิดไฟง่ายออกจากห้องปฏบิ ตั ิการให้ห่างทีส่ ดุ เพ่ือไม่ให้สารเหลา่ น้ี เปน็ เชือ้ เพลิงได้ ในกรณีทเี่ กิดไฟไหม้
เล็กนอ้ ย เช่น เกิดในบีกเกอร์หรอื ภาชนะแก้วอ่ืน ๆ ท่ีใชใ้ นการทดลอง จะดบั ไฟท่ีเกิดนี้ไดโ้ ดยใช้ผ้าขนหนูท่ีเปยี ก
คลุม แต่ถา้ หากไฟลุกลามออกไปบนโต๊ะปฏบิ ัติการหรอื เกิดในบรเิ วณกว้าง จะตอ้ งใช้เครอื่ งดับเพลิงเขา้ ช่วยทนั ที

2. แก้วบาด เน่อื งจากอปุ กรณท์ ี่ใชใ้ นการทดลองส่วนใหญเ่ ป็นอุปกรณจ์ าพวกเครอ่ื งแก้ว ซึง่ แตกได้ง่าย
ถา้ อุปกรณ์เหล่าน้แี ตกผู้ทดลองอาจถูกแก้วบาดได้ การเสียบหลอดแกว้ หรือเทอรโ์ มมเิ ตอร์ลงในจุกยาง ถ้า
หลอดแกว้ หกั อาจจะทมิ่ แทงมือได้เชน่ เดยี วกนั จึงเห็นได้วา่ อันตรายที่เกดิ จากแกว้ บาดน้ันมไี ด้มาก ผทู้ ดลอง
จะต้องระมดั ระวงั ไม่ให้อุปกรณพ์ วกแก้วแตกหรือหัก หากพบควรรบี เก็บกวาดโดยเรว็ เพื่อป้องกันอันตรายท่ี
เกดิ ข้ึน

วธิ แี กไ้ ขเม่ือเกิดอุบัติเหตแุ ก้วบาดก็คือ ตอ้ งทาการห้ามเลอื ดโดยเร็ว โดยใช้นิว้ มือหรอื ผ้าที่ สะอาดกดลง
บนแผลถา้ เลอื ดยงั ออกมากให้ยกส่วนที่เลอื ดออกสงู กว่าสว่ นอื่น ๆ ของร่างกาย แลว้ หา้ มเลือดโดยใช้ผา้ หรือเชอื ก
รดั ระหวา่ งแผลกบั หวั ใจแตต่ ้องคลายออกเป็นครง้ั คราว จนเลือดหยดุ ไหล แลว้ ทาความสะอาดแผลดว้ ย
แอลกอฮอล์ ใส่ยา ปิดแผล ถา้ หากแผลใหญ่และลึกควรรีบไปหาแพทย์ทนั ที

11

ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้นั พื้นฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง

อันตรายของสารเคมีมีหลายรูปแบบ บางชนิดเปน็ อันตรายนอ้ ย บางชนดิ ก่อให้เกิดอนั ตรายรุนแรง
ได้แก่ สารไวไฟ สารระเบดิ ได้ สารออกซิไดส์ สารกดั กร่อน สารระคายเคือง สารพษิ สารกัมมันตรงั สี สาร
ก่อใหเ้ กดิ การกลายพันธุ์ และสารกอ่ ใหท้ ารกมีลักษณะผดิ ปกติ จงึ ตอ้ งทางานกับสารเคมีด้วยความเอาใจใส่ และ
คานึงถึงเร่ืองความปลอดภยั เปน็ อันดบั แรกเสมอ

สารเคมีเขา้ สูร่ า่ งกายได้ 4 ทาง คือ การสดู ดม การผ่านเข้าทางปาก การซึมผา่ นผวิ หนงั หรอื รอย
บาดแผล และการ ท่ิมแทงของเครอ่ื งแก้วแตกหรอื ของมีคมอื่นๆทเี่ ป้ือนสารเคมี ดังนนั้ ประเดน็ แรกที่ทุกคน
สามารถทาไดอ้ ยา่ งงา่ ยๆ เพอื่ หลกี เล่ยี ง อนั ตรายคือ การช่วยกนั ลดไอของสารเคมีในบรรยากาศของ
หอ้ งปฏบิ ตั ิการ เชน่ ถา่ ยเทสารเคมีในปริมาณเทา่ ทีต่ ้องการใช้ ปดิ ฝา ขวดหรือภาชนะให้สนทิ ทนั ที อย่าปล่อย
สารเคมไี วใ้ นภาชนะเปิด ถ้าหลกี เล่ียงไม่ไดห้ รอื สารเปน็ พิษสงู ต้องทาในตดู้ ดู ควนั เปน็ ต้น อกี ประเด็นหนง่ึ คือ
การระมัดระวงั อย่าใหส้ ว่ นหนึ่งส่วนใดของรา่ งกายสัมผสั กับสารเคมเี ปน็ เวลานาน

3. สารเคมถี ูกผิวหนัง เราทราบแลว้ ว่า สารเคมีทุกชนิดมีอันตรายแต่มากน้อยแตกต่างกนั บางชนิดมี
ฤทธก์ิ ดั กร่อนต่อสิ่งของและเน้อื เยอื่ เปน็ อันตรายต่อผิวหนงั บางชนดิ ให้ไอระเหยเปน็ อันตรายต่อระบบหายใจ
บางชนดิ ไวไฟเป็นพิษหรือระเบิดได้ บางชนิดสามารถซึมผา่ นเข้าไปใน ผวิ หนังทาให้เกิดอันตรายได้มากมาย ดว้ ย
เหตุนีผ้ ูท้ ดลองจึงไม่ควรให้สารเคมถี ูกผวิ หนงั หรอื เส้อื ผ้า

ถ้าทราบวา่ ถูกสารเคมี ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตามจะตอ้ งรีบล้างบรเิ วณนัน้ ดว้ ยนา้ มาก ๆ ทันทเี พ่ือไมใ่ ห้
สารเคมีมโี อกาสทาลายเซลล์ผิวหนงั หรือซมึ เขา้ ไปในผวิ หนงั ได้

4. สารเคมีเขา้ ตา ขณะทาการทดลองหากกม้ หรือมองใกล้เกนิ ไป อาจทาให้ไอของสาร เขา้ ตาหรือสาร
กระเดน็ ถูกตาได้

วธิ แี กไ้ ขเมือ่ เกิดอบุ ัตเิ หตุจากสารเคมีเขา้ ตาก็คือ จะต้องล้างตาดว้ ยน้าจานวนมาก ๆ ทนั ที พยายามลืม
ตาและกรอกตาในน้านาน ๆ ถ้าสารเคมีที่เป็นดา่ งเขา้ ตา เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ แอมโมเนีย ฯลฯ จะเปน็
อันตรายต่อตามากกว่ากรด จะต้องรีบลา้ งตาดว้ ยสารละลายกรดโบริกทีเ่ จือจาง ในกรณีที่กรดเขา้ ตาใหล้ ้างด้วย
สารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนตท่ีเจือจาง

5. การสูดไอหรือกา๊ ซพษิ เม่ือสดู ไอของสารเคมีหรอื ก๊าซพิษ ซึ่งอาจเกดิ ขน้ึ จากการ ทดลองหรือสารทีใ่ ช้
ในการทดลองกต็ าม ปกติจะมีอาการต่าง ๆ เกดิ ข้นึ เช่น วงิ เวยี น คลนื่ ไส้ หายใจขดั ปวดศีรษะ ฯลฯ ซึ่งแลว้ แต่
พษิ ของสารเคมีนน้ั ๆ หากไอนั้นกดั เนอื้ เยื่อก็จะทาใหร้ ะคายต่อระบบหายใจดว้ ย

วธิ แี ก้ไขกค็ อื เมื่อทราบว่าสูดดมไอของสารเคมี จะต้องรบี ออกไปจากทนี่ นั้ และไปอยู่ในที่ที่ มอี ากาศ
บรสิ ุทธิ์ หากพบว่ามผี ู้หายใจเอากา๊ ซพิษเขา้ ไปมากจนหมดสตหิ รือชว่ ยตวั เองไม่ได้ จะต้องรบี นาออกมาที่น้นั ทันที
ซึ่งผ้เู ขา้ ไปช่วยตอ้ งใส่หน้ากากป้องกนั กา๊ ซพษิ หรือใช้เคร่ืองชว่ ยหายใจ

12

ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ ั้นพ้นื ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

6. การกลนื กนิ สารเคมี เนื่องจากอปุ กรณ์บางอย่างผู้ทดลองใชป้ ากดูด สารเคมีอาจพง่ึ เข้าปากได้ หาก
สารเคมนี ัน้ เปน็ สารพิษก็ย่อมจะเกิดอนั ตรายต่อผูท้ ดลอง

วธิ ีแก้ไขเมือ่ กลืนกินสารเคมีเข้าไปก็คือ จะต้องรีบล้างปากให้สะอาดเป็นอันดบั แรก และ ตอ้ งสืบใหร้ ู้ว่า
กลนื สารอะไรลงไป ต่อจากน้ันกใ็ ห้ดม่ื นา้ หรือนมมาก ๆ เพื่อทาให้พิษเจือจาง แลว้ ทาให้อาเจียนโดยใช้นวิ้ กดโคน
ลิน้ หรือกรอกไข่ขาวปล่อยให้อาเจียนจนกว่าจะมนี ้าใส ๆ ออกมา

การปอ้ งกนั อุบตั ิเหตใุ นหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร

ความปลอดภยั ในห้องที่ใชป้ ฏิบัตกิ ารจะเกดิ ขนึ้ ได้ต้องอาศัยผเู้ ก่ยี วข้องหลายฝา่ ย ตง้ั แตผ่ ้อู อกแบบห้อง
ผวู้ างแผนการทดลอง ผ้คู วบคุมกรทดลอง ผ้ใู ห้บริการ และผเู้ รียน หลักการทั่วไปในการป้องกันอบุ ัตเิ หตุ คอื

1. การวางระเบียบข้อบงั คับ ระเบียบขอ้ บงั คบั คือมาตรการเบ้ืองต้นของการป้องกนั อุบัติเหตุ เช่น
การหา้ มนาอาหารเขา้ ไปรับประทานในห้องปฏบิ ตั กิ าร การห้ามสูบบุหร่ี การหา้ มอยคู่ นเดยี วในห้อง แตก่ ารมี
ระเบียบที่ดีจะไร้ความหมายหากมไิ ด้มกี ารปฏบิ ัตอิ ยา่ งเคร่งครดั ควรจะสร้างความเข้าใจใหเ้ กิดข้นึ วา่ การปฏบิ ัติ
ตามระเบียบนี้ก็เพื่อผลประโยชนข์ องตนเองและสว่ นรวม

2. การฝึกฝนใหเ้ กดิ เปน็ นสิ ัย ในบรรดาสาเหตขุ องอบุ ัติเหตุ ความบกพร่องของคนเป็นสาเหตุสาคัญ
ประการหนึ่ง หากจะต้องการลดอุบัตเิ หตแุ ละทาให้เกดิ สภาพความปลอดภยั ข้ึนได้อยา่ งถาวรจะตอ้ งแก้ทตี่ วั คน
เรือ่ งของการฝกึ นสิ ัยการทางานดว้ ยความปลอดภัยจงึ จาเป็น เพราะไมว่ ่าเราจะมรี ะเบียบ ขอ้ บังคับ หรอื หาวิธี
ปอ้ งกันไดด้ เี พียงใด หากผปู้ ฏิบตั ยิ ังไม่มีนสิ ยั และเทคนิคการทางานด้วยความปลอดภัยแล้ว ก็ยากท่จี ะ
ควบคมุ ดแู ล

3. การรกั ษาความเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ยและการดแู ลรักษา ความเป็นระเบียบยอ่ มเป็นการป้องกัน
อุบัติเหตเุ บ้ืองตน้ ไดท้ ่ัวไปทุกแห่ง นอกจากการรักษาความเปน็ ระเบียบแล้วกย็ ังต้องมกี ารดแู ลรักษาสภาพห้อง
และเคร่ืองใช้ทั่วไปให้อยู่ในสภาพดดี ้วย โดยเฉพาะอย่างยงิ่ เครอ่ื งไฟฟ้า

4. การให้การศกึ ษาเรือ่ งอนั ตรายจากสารเคมี การป้องกนั และวธิ ีแก้ไขอบุ ัติเหตุจากสารเคมีย่อมเกิดข้นึ
ได้งา่ ยถ้าใช้ไม่ถูกวธิ ี ดังนนั้ จึงจาเปน็ อย่างยิง่ ทีผ่ เู้ รยี นตอ้ งมีความรเู้ รื่องอันตรายของสารเคมี ส่วนใหญอ่ บุ ตั ิเหตุมกั
เกิดจากการใช้สารไวไฟอยา่ งไมร่ ะมดั ระวงั ควรยา้ เตือนถงึ วิธใี ช้ที่ถกู ต้อง การหกรดของสารตอ้ งมีวธิ แี ก้ไขท่ี
ถูกต้อง และเนน้ ใหป้ ฏบิ ัติตามวธิ ที ดลองอย่างเคร่งครดั

5. การจดั เตรยี มอุปกรณท์ จี่ าเปน็ การปอ้ งกันบางครั้งจาเปน็ ต้องจัดเตรยี มอปุ กรณ์ท่เี หมาะสมไว้ให้
เช่น แว่นนิรภยั เพอื่ กันสารกระเด็นเขา้ ตา การจดั สภาพการระบายอากาศของหอ้ ง ต้ปู ฐมพยาบาล อุปกรณ์

13

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐาน พรพรรณ ยงิ่ ยง

ดับเพลิง รวมทั้งเคร่อื งมอื ทดลองที่พอเพยี ง และอยู่ในสภาพใช้งานไดอ้ ยา่ งปลอดภยั
6. การวเิ คราะห์สาเหตขุ องอุบตั ิเหตุ บันทกึ เหตกุ ารณ์และข้อเสนอแนะเหตุการณท์ ไ่ี ดเ้ กิดข้นึ แลว้ จะ

เปน็ บทเรียนที่ดีถ้าหากไดม้ ีการวิเคราะห์หาสาเหตุ และจากสาเหตุจะมีข้อเสนอแนะในการแกไ้ ขปอ้ งกนั มิใหเ้ กดิ
อบุ ัติเหตุขน้ึ อกี บันทึกเหตุการณ์จะเป็นประโยชนต์ อ่ ผู้มาภายหลงั ซ่ึงเป็นบทเรียนราคาแพงได้มาจาก
ผู้เคราะห์ร้าย

7. การส่งเสรมิ เพอ่ื ให้เห็นความสาคญั ของการป้องกนั หลกั การข้นั สุดทา้ ยของการปอ้ งกันอุบัติเหตคุ ือ
การส่งเสรมิ เพ่ือให้ทกุ คนเห็นความสาคัญของการป้องกนั อันตราย การทางานด้วยความปลอดภยั เปน็ เรอื่ งทคี่ วร
ทา เพราะเปน็ ประโยชน์ตอ่ ทุกฝา่ ยที่เกยี่ วข้อง ไมค่ วรเปน็ เรื่องของการบงั คับ เป็นตน้ การสง่ เสรมิ จะเป็นการชว่ ย
ปลูกฝงั เจตคตทิ ดี่ ีตอ่ การทางานดว้ ยความปลอดภัย

แบบฝึกหดั ท้ายคาบ 1.3

1. ให้นกั เรียนบอกวิธีการแก้ไขเมอ่ื เกดิ เหตุการณด์ ังตอ่ ไปนี้
1.1 ไฟไหม้ในบีกเกอร.์ ..............................................................................................................................

............................................................................................................................. ....................................................
1.2 ไฟไหมบ้ นโต๊ะปฏิบัติการ...................................................................................................................

............................................................................................................................. ....................................................
1.3 เพ่ือนกลนื กนิ สารเคมเี ขา้ ไป.................................................................................................................

............................................................................................................................. ....................................................
1.4 สารเคมถี ูกผิวหนัง...............................................................................................................................

............................................................................................................................. ....................................................
2. ถ้าสารเคมีทเี่ ป็นดา่ งเขา้ ตานกั เรยี นควรทาอยา่ งไร..............................................................................................
..................................................................................................................... ..................
3. ในกรณีที่นักเรยี นทาสารละลายที่เป็นกรดหกนกั เรยี นควรทาอย่างไร
............................................................................................................................. ....................................................
.................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..................................................

14

ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ ั้นพนื้ ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

ระเบยี บเกย่ี วกับความปลอดภัยในหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร

การปฏิบตั งิ านใดในห้องปฏบิ ัตกิ าร มคี วามเสี่ยงสงู ท่ีจะเกดิ อุบัตเิ หตจุ ากสารเคมีอันตรายทอ่ี าจหกรด
ร่างกาย หรือจากการสูดดมรวมถึงการกลืนกินสารเคมี นอกจากนีอ้ าจเกิดไฟไหม้และอุบตั ิเหตขุ นึ้ ใน
ห้องปฏิบัติการได้ ดงั นั้นจงึ จาเป็นอย่างย่ิงท่ีผใู้ ชห้ อ้ งปฏิบตั ิการทุกคนจะต้องรับทราบถงึ ระเบยี บและข้อควร
ปฏบิ ัตเิ พือ่ ให้เกดิ ความปลอดภยั ในการทางานสงู สดุ และวิธีการแก้ไขปัญหากรณเี กิดอบุ ัติเหตุได้อย่างเหมาะสม

อปุ กรณเ์ พือ่ ใหเ้ กดิ ความปลอดภยั ในห้องปฏิบตั กิ าร

ระบบระบายอากาศ (Ventilation)
หอ้ งปฏิบัตกิ ารทมี่ ีการใช้สารเคมีควรมีการระบายอากาศที่ดี การระบายอากาศในห้องปฏบิ ัติการ
โดยทัว่ ไปไม่ควรนอ้ ยกว่า 6 เทา่ ของขนาดห้อง ต่อชวั่ โมง

ตดู้ ดู ควัน (Fume hood)
การปฏบิ ตั ิงานทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั สารเคมีอันตราย เช่น ตัวทาละลายอนิ ทรีย์ กรดแก่ และเบสแก่ ตอ้ งทาใน

ตู้ดดู ควันเทา่ นน้ั ตดู้ ูดควัน ตอ้ งสามารถดดู อากาศไดไ้ มน่ ้อยกวา่ 80-120 ฟตุ /นาที เมื่อฝาตู้ (Sash) เปิดทร่ี ะดบั
18 นวิ้

การใช้ตู้ดดู ควนั มีข้อพึงปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี
• อา่ นวธิ ีการใชต้ ู้ดดู ควันใหเ้ ขา้ ใจ
• ระหว่างปฏิบัติงาน ฝาต้ดู ูดควัน (Sash) ตอ้ งเปดิ ไม่เกนิ 18 น้ิว
• อุปกรณ์และสารเคมที ี่ใชป้ ฏิบัติงานในตูด้ ูดควัน ควรอยูห่ า่ งจากขอบฝาตเู้ ขา้ ไปด้านใน อยา่ งนอ้ ย 6 นิว้
• ควรเปดิ พดั ลมของตดู้ ดู ควนั ให้ทางานตลอดเวลาท่ีมีสารเคมีอยภู่ ายในตู้ดดู ควนั
• ไมค่ วรใชต้ ูด้ ดู ควันเป็นทเี่ ก็บสารเคมี

รปู ท่ี 1.1 ตดู้ ูดควนั
(ท่ีมา : http://xn--c3cu3a8f4b2c.blogspot.com/2011/12/blog-post_68.html)

15

ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้นั พ้นื ฐาน พรพรรณ ย่งิ ยง

ถังดับเพลิง
ในถังดบั เพลงิ ถูกบรรจดุ ว้ ยแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ ซึ่งแก๊สนห้ี นักกว่าอากาศ เม่อื เข้าไปผสมอยูก่ ับ
อากาศในบริเวณไฟไหมเ้ ปน็ ปรมิ าณมากๆ จะทาใหป้ รมิ าณของแกส๊ ออกซเิ จนในอากาศบรเิ วณน้ันเจือจางลง
แกส๊ คาร์บอนไดออกไซดท์ ่ีถกู บรรจุอยใู่ นถังท่ีมีความดนั ประมาณ 750 ปอนดต์ ่อตารางน้ิว จึงมีสถานะเปน็
คาร์บอนไดออกไซด์เหลว เมื่อเปิดวาลว์ อุปกรณด์ ับเพลิงจะเปน็ การลดความดนั แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์จึง
กระจายเป็นฝอยออกทางท่อทีอ่ อกแบบไว้ให้พุ่งไปสู่บรเิ วณทต่ี อ้ งการดบั ไฟได้

รูปที่ 1.2 ถงั ดับเพลงิ
(ทม่ี า : http://xn--c3cu3a8f4b2c.blogspot.com/2011/12/blog-post_68.html)
อ่างล้างตา และทล่ี ้างตัวฉุกเฉิน (Emergency eyewash fountain and safety shower)
อ่างลา้ งตา และทีล่ ้างตัวฉกุ เฉินเปน็ อปุ กรณ์จาเป็นสาหรบั ทกุ ห้องปฏิบตั กิ าร ใช้ในกรณเี กิดอุบตั ิเหตุ
สารเคมอี นั ตรายหกราดตัว หรือกระเด็นเขา้ ตา ซึง่ อาจก่อให้เกดิ อันตรายถงึ ข้ันเสียชวี ิตหรอื ทพุ พลภาพต่อ
ผ้ปู ฏิบตั ิงานได้ ไม่ควรวางสงิ่ ของกีดขวางบรเิ วณตดิ ต้ังอา่ งล้างตาและที่ลา้ งตวั ฉกุ เฉนิ เพื่อใหผ้ ู้ปฏิบตั งิ านสามารถ
เข้าถงึ ไดโ้ ดยสะดวก ควรใช้ระยะเวลาการลา้ งตา หรือล้างตัวไม่ตา่ กว่า 15 นาที เพื่อให้แน่ใจว่าสารเคมีได้ถูกชะ
ลา้ งจนหมด การใช้อ่างลา้ งตาทาได้โดยการดึงแท่นท่ีอยดู่ ้านขวาเข้าหาตัว และการใช้ท่ีลา้ งตวั ทาได้โดยดงึ โซ่ที่อยู่
ดา้ นบน

รูปที่ 1.3 อ่างลา้ งตา และท่ีล้างตัวฉุกเฉิน
(ทีม่ า : http://xn--c3cu3a8f4b2c.blogspot.com/2011/12/blog-post_68.html)

16

ทักษะวิทยาศาสตรข์ น้ั พ้นื ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

ตเู้ กบ็ สารละลายไวไฟ (Flammable liquid storage)
สารเคมีทีใ่ ชเ้ ปน็ ตัวทาละลาย เชน่ Acetone, ether, alcohol รวมท้งั กรด Glacial acetic acid สว่ น
ใหญ่มกั เป็นสารไวไฟ ควรจดั เก็บในท่หี า่ งจากประกายไฟ รวมท้งั ควรแยกเกบ็ จากสารเคมอี ืน่ ๆ โดยเฉพาะอย่าง
ยิง่ สารเคมีในกลมุ่ ทเ่ี ป็น oxidizer อปุ กรณท์ ใ่ี ชเ้ กบ็ สารเคมีในกลุ่มนี้ได้แก่ ต้เู กบ็ สารละลายไวไฟ ในสว่ น
สารเคมีทง่ี า่ ยต่อการเกิดระเบิดควรเกบ็ ในตู้ แต่แยกให้อยู่บรเิ วณนอกอาคาร

รูปที่ 1.4 ตูเ้ ก็บสารละลายไวไฟ
(ที่มา : http://xn--c3cu3a8f4b2c.blogspot.com/2011/12/blog-post_68.html)
อ่างลา้ งอปุ กรณ์ (Laboratory sink)
ผูป้ ฏิบตั งิ านในห้องปฏิบตั กิ าร ตอ้ งล้างมือด้วยสบู่และนา้ สะอาดทุกครงั้ ภายหลังการถอดถงุ มอื
ภายหลังเสรจ็ สน้ิ การปฏบิ ตั งิ าน รวมทง้ั เมื่อผิวหนังสัมผัสกับสารเคมี และอา่ งล้างมือยังใชใ้ นการลา้ งอปุ กรณ์ใน
ห้องปฏิบตั กิ ารทแี่ ปดเป้ือนสารเคมีอีกด้วย

รูปที่ 1.5 อา่ งล้างอปุ กรณ์
(ทม่ี า : http://www.design-alternative.com/item/43)

17

ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ ้นั พืน้ ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

อปุ กรณป์ อ้ งกันส่วนบคุ คลในห้องปฏบิ ตั กิ าร (Personal protective equipment)

อุปกรณ์ปอ้ งกนั สว่ นบุคคลในห้องปฏิบตั กิ าร ประกอบไปด้วยอุปกรณ์เพื่อป้องกนั อนั ตรายท่อี าจเกิดกบั
ลูกตา (Eye protection), เคร่อื งป้องกนั หนา้ เส้อื รองเท้า ถุงมือ และหน้ากากกนั สารพิษ เป็นตน้ การใช้
อุปกรณ์เหลา่ น้ีควรใชค้ วบคไู่ ปกับการจดั การและมาตรการด้านความปลอดภยั อ่นื ๆในห้องปฏบิ ัตกิ าร เนื่องจาก
ไม่มีอปุ กรณ์ใดท่สี ามารถป้องกนั อนั ตรายได้ 100 %

อุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายที่อาจเกิดกับลูกตา (Eye protection)
อปุ กรณ์เหลา่ น้ปี ระกอบ ไปด้วยแว่นตาประเภทตา่ งๆ (Glasses, goggles ,shield) ซึง่ มีวัตถุประสงค์ใน

การใช้เพื่อป้องกันอันตรายในระดับทแ่ี ตกตา่ งกันออกไป อย่างไรกต็ ามควรมีการทาความสะอาด และตรวจสอบ
อปุ กรณ์เหล่านอ้ี ยา่ งสมา่ เสมอ บางห้องปฏิบัตกิ ารกาหนดให้ผู้ปฏิบตั งิ านตอ้ งใสแ่ วน่ ตาตลอดเวลา ยกเว้นหากมี
การเทสารเคมีตอ้ งเปลีย่ นมาใช้ goggles

รูปที่ 1.6 แว่นตาใช้ในหอ้ งปฏิบัตกิ าร
(ทม่ี า : http://xn--c3cu3a8f4b2c.blogspot.com/2011/12/personal-protective-equipment-

ppe.html)
เส้ือคลุมปฏิบตั ิการ (Laboratory coat)

เสอื้ กาว ใช้สวมทับชดุ ปกตริ ะหว่างปฏิบตั ิงาน เพ่ือป้องกนั การปนเป้อื น จากฝุ่น ผง ตลอดจนการหก
กระเซน็ ของสารเคมี เส้อื กาวควรใชเ้ นือ้ ผา้ ทีเ่ ป็นผา้ ฝา้ ย หรือทาจากใยสังเคราะหป์ ระเภท Tyvek หรือ Nomex
ไม่ควรใชว้ สั ดุประเภท Rayon หรือ Polyester เนอ่ื งจากเป็นวัสดทุ ต่ี ดิ ไฟง่าย ซึ่งจะก่อให้เกดิ อันตรายตอ่ ผสู้ วม
ใส่ ควรไดม้ กี ารทาความสะอาดเสือ้ กาวอย่างสมา่ เสมอ และควรถอดเส้ือกาวออกทกุ ครงั้ เมื่อออกจาก
หอ้ งปฏบิ ัติการเพ่ือป้องกนั การแพรก่ ระจายของสารเคมี

18

ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ น้ั พน้ื ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

รูปที่ 1.7 การแต่งกายสาหรับผู้ที่จะทาการทดลองเก่ยี วกับสารเคมี
(ทมี่ า : http://web.sut.ac.th/ces/2018/?p=1834)

รองเท้า
ควรสวมรองเท้าตลอดเวลาที่ปฏบิ ตั ิงานในห้องปฏบิ ัติการ รองเทา้ ท่ใี ช้สวมใสใ่ นห้องปฏิบตั ิการ ควรเป็น

รองเทา้ ทีป่ กปดิ นว้ิ เท้า อย่างน้อยด้านบนของรองเท้าควรทาจากหนังสตั ว์ หรือ วสั ดปุ ระเภท Polymeric เพื่อ
ปอ้ งกนั เทา้ กรณเี กิดการหก กระเซ็นของสารเคมี ทงั้ นี้ไมค่ วรใสร่ องเท้าแตะ รองเท้าผ้า หรือรองเทา้ ส้นสงู

ถุงมือ
ถงุ มือทใี่ ชใ้ นห้องปฏิบัติการแบ่งไดเ้ ปน็ หลายประเภท การจะเลอื กใช้ถงุ มือประเภทใด ข้ึนอยู่กับชนิด

และประเภทของสารเคมีที่จะต้องปฏิบัตงิ านด้วย หลีกเล่ียงการใช้ถุงมือกนั ความร้อนหรือความเย็นทที่ าจากวสั ดุ
Asbestos เน่ืองจากเปน็ วสั ดุทอี่ าจก่อให้เกิดมะเร็ง (carcinogen) ถุงมือท่ีใชก้ ันสารเคมี ควรทาจากยาง
ธรรมชาติ หรอื วัสดุประเภท Neoprene, Polyvinyl chloride, Nitrile Butyl ถงุ มือทใ่ี ชก้ ับงานทางชีววทิ ยามัก
ทาจาก Vinyl หรือ Latex อย่างไรก็ตามหลกั ในทางปฏบิ ตั ทิ ่ีสาคญั ก่อนใช้ถุงมือทุกครั้งควรตรวจสภาพของถุง
มือก่อนใช้ นอกจากนเ้ี มอ่ื เลิกใช้ ก่อนท่ีจะถอดถงุ มอื ออกควรล้างมือ ถอดถงุ มอื ทุกคร้ังเมอื่ ออกจาก
ห้องปฏบิ ตั กิ าร และไม่ควรไปจับอุปกรณ์ตา่ งๆ เช่น ลกู บดิ ประตู โทรศัพท์ ปากกา ขณะที่ยงั สวมใสถ่ งุ มือ ทัง้ นี้
เพ่ือป้องกนั การปนเป้ือนของสารเคมไี ปยงั อปุ กรณเ์ หลา่ น้ัน

อปุ กรณช์ ่วยหายใจ และหน้ากากป้องกันไอระเหย (Respirator and face mask)
อปุ กรณ์ช่วยหายใจ และหนา้ กากป้องกันไอระเหย เปน็ อปุ กรณใ์ ชเ้ มื่อตอ้ งปฏิบตั ิงานกับสารเคมี ท่ีมีไอ

เป็นอนั ตรายต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น สารละลายแอมโมเนีย สารละลายฟอรม์ าลนิ เปน็ ต้น

รูปท่ี 1.8 หนา้ กากป้องกันไอระเหย
(ท่มี า : https://www2.gpo.or.th/Portals/6/Newsletter/RDINewsYr24No3-2.pdf)

19

ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ ัน้ พืน้ ฐาน พรพรรณ ยิ่งยง

แบบฝึกหัดทา้ ยคาบ 1.4

1. จากภาพนักเรยี นคดิ ว่าการแต่งกายของบุคคลในภาพควรแกไ้ ขอะไรบา้ ง

…………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………….’………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………
2.อปุ กรณป์ ้องกันสว่ นบคุ คลในห้องปฏิบัตกิ ารที่ผทู้ ากา…รท…ด…ล…อ…งจ…า…เป…็น…ต…้อง…ม…ีได…แ้ …ก…่อ…ะไ…รบ…้า…ง………………………………………
.......................................................................................…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…..…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…. ………
.......................................................................................…...…..…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…...…. ………
............................................................................................................................. ....................................................
............................................................................................................................. ....................................................
.................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ....................................................
3. อปุ กรณ์เพือ่ ให้เกิดความปลอดภยั ในห้องปฏิบัติการมีอะไรบ้าง แต่ละอยา่ งสาคัญอยา่ งไร
............................................................................................................................. ....................................................
............................................................................................................................. ....................................................
............................................................................................................................................................... ..................
................................................................................................................. ................................................................
............................................................................................................................. ....................................................
........................................................................................................................................... ......................................

20

ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ ้นั พนื้ ฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2
เครือ่ งหมายเตือนสารเคมีอนั ตราย และประเภทของสารอนั ตราย

สารเคมีอนั ตราย วตั ถุอันตรายหรอื สารอันตราย หมายถงึ ธาตุหรือสารประกอบ ท่ีมคี ุณสมบตั รเปน็ พษิ
หรอื เปน็ อันตรายตอ่ มนุษย์ สัตว์ พชื ทาให้ทรัพยส์ ินและสิ่งแวดล้อมเสอ่ื มโทรม สามารถจาแนกได้ 9 ประเภท
ตามหลกั สากล ดังนี้

ประเภทที่ 1 วัตถรุ ะเบดิ อา้ งองิ ขอ้ มลู /ศกึ ษาเพมิ่ เติม
ประเภทท่ี 2 กา๊ ซ
ประเภทท่ี 3 ของเหลวไวไฟ
ประเภทที่ 4 ของแข็งไวไฟ
ประเภทที่ 5 วัตถุออกซไิ ดสแ์ ละออร์แกนิกเปอร์ออกไซด์
ประเภทท่ี 6 วัตถมุ ีพิษและวตั ถตุ ิดเชื้อ
ประเภทที่ 7 วัตถุกมั มันตรงั สี
ประเภทที่ 8 วัตถกุ ดั กร่อน
ประเภทท่ี 9 วัตถุอ่นื ๆ ท่เี ปน็ อนั ตราย
ประเภท 1 - ระเบดิ ได้ (Explosives)

สารระเบดิ ได้ หมายถึง ของแขง็ หรือของเหลว หรอื สารผสมท่สี ามารถเกดิ ปฏกิ ิรยิ าทางเคมดี ว้ ยตัวมนั เอง ทาให้
เกิดกา๊ ซท่มี ีความดัน และความรอ้ นอย่างรวดเรว็ กอ่ ให้เกดิ การระเบิดสร้างความเสยี หายแก่บริเวณโดยรอบได้
ซ่งึ รวมถงึ สารท่ใี ช้ทาดอกไมเ้ พลงิ และสงิ่ ของทร่ี ะเบิดไดด้ ว้ ย

วตั ถรุ ะเบิด : ระเบิดไดเ้ มื่อถูกกระแทก เสยี ดสี หรือความร้อน เชน่ ทีเอ็นที ดินปืน พลุไฟ ดอกไม้ไฟ

รูปที่ 2.1 วตั ถรุ ะเบิด (Explosives)
(ทีม่ า : http://www.shawpat.or.th/)

21

ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ ัน้ พน้ื ฐาน พรพรรณ ยิ่งยง

ประเภทที่ 2 ก๊าซ (Gases)
ก๊าซ หมายถึง สารท่อี ณุ หภูมิ 50 องศาเซลเซียส มีความดันไอมากกวา่ 300 กโิ ลปาสคาล หรอื มีสภาพเปน็

ก๊าซ อยา่ งสมบรู ณ์ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส และมคี วามดนั 101.3 กโิ ลปาสคาล ได้แก่ ก๊าซอดั ก๊าซพิษ กา๊ ซ
ในสภาพ ของเหลว กา๊ ซในสภาพของเหลวอณุ หภูมิต่า และรวมถึงก๊าซที่ละลายในสารละลายภายใต้ความดัน
เมือ่ เกดิ การรัว่ ไหลสามารถก่อให้เกิดอนั ตรายจากการลุกติดไฟและ/ หรือเป็นพิษและแทนที่ออกซเิ จนในอากาศ
แบง่ เปน็ 3 กลมุ่ ย่อย ดงั นี้

2.1 ก๊าซไวไฟ (Flammable Gases) หมายถงึ ก๊าซท่ีอุณหภมู ิ 20 องศาเซลเซียสและมคี วามดัน 101.3

กิโลปาสกาล สามารถติดไฟได้เมอื่ ผสมกับ อากาศ 13 เปอร์เซน็ ต์ หรอื ตา่ กว่าโดยปริมาตร หรือมีชว่ งกว้างท่ี

สามารถตดิ ไฟได้ 12 เปอรเ์ ซ็นต์ ขน้ึ ไป เม่ือผสมกับอากาศโดยไม่คานงึ ถึง ความเข้มข้นต่าสดุ ของการผสม โดย

ปกติก๊าซไวไฟ หนกั กวา่ อากาศ ตวั อยา่ งของกา๊ ซกลุ่มนี้ เชน่ อะเซทิลีน กา๊ ซหงุ ต้มหรือก๊าซแอลพีจี เปน็ ต้น

รูปที่ 2.2 ก๊าซไวไฟ (Flammable Gases)
(ทม่ี า : https://www.shawpat.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=201:-

hazardous-material&catid=47:-m---m-s&Itemid=201)
2.2 กา๊ ซไม่ไวไฟและไม่เป็นพษิ (Non-flammable Non-toxic Gases) หมายถงึ กา๊ ซทม่ี ีความดันไม่
น้อยกว่า 280 กโิ ลปาสคาล ที่อุณหภมู ิ 20 องศาเซลเซยี ส หรอื อยู่ ในสภาพของเหลวอุณหภมู ติ า่ ส่วนใหญ่เป็น
ก๊าซหนกั กวา่ อากาศ ไม่ตดิ ไฟและ ไม่เปน็ พษิ หรือแทนท่ีออกซิเจนในอากาศและทาให้เกิด สภาวะขาดแคลน
ออกซิเจนได้ ตัวอยา่ งของกา๊ ซกลมุ่ นี้ เชน่ ไนโตรเจน คารบ์ อนไดออกไซด์ อาร์กอน เป็นต้น

รปู ท่ี 2.3 ก๊าซไมไ่ วไฟและไม่เปน็ พษิ (Non-flammable Non-toxic Gases)
(ทีม่ า : https://www.shawpat.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=201:-

hazardous-material&catid=47:-m---m-s&Itemid=201)

22

ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้นั พื้นฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

2.3 กา๊ ซพษิ (Poison Gases) หมายถึง ก๊าซที่มคี ุณสมบตั ิเปน็ อนั ตรายต่อสุขภาพหรอื ถงึ แก่ชีวิตได้
จาก การหายใจ โดยส่วนใหญ่หนักกว่าอากาศ มีกลิน่ ระคายเคอื ง ตัวอย่างของกา๊ ซในกลุม่ น้ี เชน่ คลอรนี เมทิล
โบรไมด์ เป็นตน้

รูปที่ 2.4 กา๊ ซพิษ (Poison Gases)
(ทีม่ า : https://www.shawpat.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=201:-

hazardous-material&catid=47:-m---m-s&Itemid=201)

ประเภทท่ี 3 ของเหลวไวไฟ (Flammable Liquids)
ของเหลวไวไฟ หมายถึง ของเหลวหรือของเหลวผสมท่มี จี ดุ วาบไฟ (Flash Point) ไมเ่ กิน 60.5 องศา

เซลเซียส จากการทดสอบด้วยวธิ ถี ้วยปิด (Closed-cup Test) หรอื ไมเ่ กนิ 65.6 องศาเซลเซียส จากการทดสอบ
ด้วยวธิ ีถว้ ยเปิด (Opened-cup Test) ไอของเหลวไวไฟพร้อมลกุ ติดไฟเมื่อมแี หลง่ ประกายไฟ ตวั อย่างเช่น อะซี
โตน น้ามนั เช้อื เพลิง ทนิ เนอร์ เป็นตน้

รูปท่ี 2.5 ของเหลวไวไฟ (Flammable Liquids)
(ท่ีมา : https://www.shawpat.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=201:-

hazardous-material&catid=47:-m---m-s&Itemid=201)

23

ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ นั้ พื้นฐาน พรพรรณ ย่งิ ยง

ประเภทที่ 4 ของแขง็ ไวไฟ สารทล่ี กุ ไหม้ได้เองและสารที่สมั ผสั กับนา้ แล้วให้ก๊าซไวไฟ แบง่ เป็น 3 กล่มุ ย่อย
ดงั นี้

4.1 ของแข็งไวไฟ (Flammable Solids) หมายถงึ ของแข็งท่สี ามารถติดไฟไดง้ ่ายจากการได้รบั ความร้อน
จากประกายไฟ/เปลวไฟ หรอื เกดิ การลุกไหม้ได้จากการเสยี ดสี ตัวอยา่ งเช่น กามะถัน ฟอสฟอรัสแดง ไนโตร
เซลลูโลส เป็นตน้ หรอื เป็นสารท่ีมีแนวโนม้ ทจี่ ะเกิดปฏกิ ิริยาคายความร้อนที่รุนแรง ตัวอยา่ งเชน่ เกลือไดอะโซ
เนียม เป็นต้น หรอื เปน็ สารระเบิดทถ่ี ูกลดความไวต่อการเกิดระเบดิ ตวั อย่างเช่น แอมโมเนยี มพิเครต (เปียก) ได
ไนโตรฟนี อล (เปียก) เปน็ ตน้

รปู ที่ 2.6 ของแข็งไวไฟ (Flammable Solids)
(ทมี่ า : https://www.shawpat.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=201:-

hazardous-material&catid=47:-m---m-s&Itemid=201)
4.2 สารทม่ี คี วามเส่ียงต่อการลกุ ไหม้ได้เอง (Substances Liable to Spontaneous Combustion)
หมายถงึ สารทีม่ ีแนวโน้มจะเกิดความร้อนข้ึนได้เองในสภาวะการขนสง่ ตามปกติ หรือเกิดความรอ้ นสูงข้ึนไดเ้ ม่อื
สัมผสั กบั อากาศและ มแี นวโนม้ จะลุกไหมไ้ ด้

รูปที่ 2.7 สารท่มี คี วามเสยี่ งต่อการลุกไหม้ไดเ้ อง
(ที่มา : https://www.shawpat.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=201:-

hazardous-material&catid=47:-m---m-s&Itemid=201)

24

ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ น้ั พน้ื ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

4.3 สารทสี่ มั ผสั กับน้าแล้วทาให้เกดิ ก๊าซไวไฟ (Substances which in Contact with Water Emit
Flammable Gases) หมายถึง สารทท่ี าปฏกิ ิรยิ ากับนา้ แลว้ มีแนวโน้มท่ีจะเกิดการติดไฟไดเ้ องหรอื ทาใหเ้ กดิ
กา๊ ซไวไฟในปริมาณท่เี ปน็ อันตราย

รปู ที่ 2.8 สารทส่ี มั ผสั กบั น้าแลว้ ทาใหเ้ กิดกา๊ ซไวไฟ
(ท่ีมา : https://www.shawpat.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=201:-

hazardous-material&catid=47:-m---m-s&Itemid=201)

ประเภทที่ 5 สารออกซไิ ดส์และสารอนิ ทรียเ์ ปอร์ออกไซด์ แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย ดงั น้ี
5.1 สารออกซิไดส์ (Oxidizing Substances) หมายถึง ของแขง็ ของเหลวที่ตวั ของสารเองไมต่ ดิ ไฟ แต่ให้

ออกซิเจนซ่งึ ชว่ ยให้วตั ถุอ่นื เกิดการลุกไหม้และอาจจะก่อให้เกดิ ไฟ เม่ือสมั ผัสกับสารที่ลกุ ไหม้และ เกิดการระเบดิ
อย่างรนุ แรง ตวั อย่างเช่น แคลเซียมไฮโปคลอไรท์ โซเดยี มเปอรอ์ อกไซด์ โซเดียมคลอเรต เปน็ ตน้

รปู ท่ี 2.9 สารออกซไิ ดส์ (Oxidizing Substances)
(ทมี่ า : https://www.shawpat.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=201:-

hazardous-material&catid=47:-m---m-s&Itemid=201)

5.2 สารอินทรยี ์เปอร์ออกไซด์ (Organic Peroxides) หมายถงึ ของแข็งหรือของเหลวทมี่ โี ครงสรา้ ง
ออกซิเจนสองอะตอม -O-O- และชว่ ยในการเผาสารที่ลุกไหม้ หรือทาปฏิกริ ิยากบั สารอ่ืนแล้วกอ่ ใหเ้ กิดอันตราย
ได้ หรอื เมื่อได้รบั ความร้อนหรือลุกไหม้แลว้ ภาชนะบรรจุสารน้ีอาจระเบดิ ได้ ตวั อย่างเชน่ อะซีโตนเปอร์ออกไซด์
เป็นตน้

25

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ นั้ พ้นื ฐาน พรพรรณ ยิ่งยง

รูปที่ 2.10 สารอินทรยี เ์ ปอร์ออกไซด์ (Organic Peroxides)
(ทม่ี า : https://www.shawpat.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=201:-

hazardous-material&catid=47:-m---m-s&Itemid=201)
ประเภทที่ 6 สารพษิ และสารติดเชอื้ แบ่งเปน็ 2 กลุ่มยอ่ ย ดงั น้ี

6.1 สารพิษ (Toxic Substances) หมายถงึ ของแขง็ หรอื ของเหลวที่สามารถทาให้เสียชวี ิตหรอื บาดเจ็บ
รุนแรงต่อสุขภาพของคน หากกลืน สดู ดมหรอื หายใจรับสารนีเ้ ข้าไป หรอื เม่ือสารนี้ไดร้ ับความรอ้ นหรือลกุ ไหม้จะ
ปลอ่ ยกา๊ ซพิษ ตวั อยา่ งเช่น โซเดยี มไซยาไนด์ กลุ่มสารกาจัดแมลงศตั รูพชื และสตั ว์ เปน็ ต้น

รูปท่ี 2.11 สารพิษ (Toxic Substances)
(ท่มี า : https://www.shawpat.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=201:-

hazardous-material&catid=47:-m---m-s&Itemid=201)
6.2 สารติดเชื้อ (Infectious Substances) หมายถึง สารท่ีมีเชือ้ โรคปนเปื้อนหรือสารทมี่ ตี ัวอย่าง การ
ตรวจสอบของพยาธิ สภาพปนเป้ือนที่เปน็ สาเหตุของ การเกิดโรคในสัตว์และคน ตวั อยา่ งเช่น แบคทีเรียเพาะเช้ือ
เป็นตน้

รปู ที่ 2.12 สารติดเช้ือ (Infectious Substances)
(ที่มา : https://www.shawpat.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=201:-

hazardous-material&catid=47:-m---m-s&Itemid=201)

26

ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ นั้ พ้ืนฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง

ประเภทที่ 7 วตั ถุกัมมันตรังสี
วตั ถกุ มั มนั ตรงั สี (Radioactive Materials) หมายถงึ วัตถทุ ี่สามารถแผร่ ังสที ี่มองไมเ่ หน็ อย่างต่อเนื่อง

มากกวา่ 0.002 ไมโครครู ตี อ่ กรมั ตัวอยา่ งเชน่ โมนาไซด์ ยเู รเนียม โคบอลต์-60 เปน็ ต้น

รปู ท่ี 2.13 วตั ถกุ ัมมนั ตรังสี (Radioactive Materials)
(ท่มี า : https://www.shawpat.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=201:-

hazardous-material&catid=47:-m---m-s&Itemid=201)
ประเภทท่ี 8 สารกัดกร่อน

สารกัดกรอ่ น (Corrosive Substances) หมายถึง ของแข็งหรือของเหลวซ่ึงโดย ปฏกิ ริ ิยาเคมีมีฤทธิก์ ัด

กร่อนทาความเสียหาย ต่อเนื้อเย่ือของสิ่งมีชีวติ อยา่ งรุนแรงหรอื ทาลายสินค้า/ยานพาหนะท่ีทาการขนส่ง เม่ือ

เกดิ การร่ัวไหลของสารไอระเหยของ สารประเภทนี้ บางชนิดกอ่ ให้เกิดการ ระคายเคืองตอ่ จมูกและตา

ตวั อยา่ งเชน่ กรดเกลือ กรดกามะถนั โซเดยี มไฮดรอกไซด์ เป็นตน้

รปู ท่ี 2.14 สารกดั กร่อน (Corrosive Substances)
(ท่มี า : https://www.shawpat.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=201:-

hazardous-material&catid=47:-m---m-s&Itemid=201)

27

ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ นั้ พืน้ ฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง

ประเภทท่ี 9 วตั ถุอันตรายเบ็ดเตลด็
วตั ถอุ ันตรายเบด็ เตลด็ (Miscellaneous Dangerous Substances and Articles) หมายถึง สารหรอื

ส่งิ ของทใ่ี นขณะขนสง่ เปน็ สารอันตรายซงึ่ ไม่จดั อยใู่ นประเภทที่ 1 ถึงประเภทท่ี 8 ตวั อย่างเช่น ปุ๋ยแอมโมเนียม
ไนเตรต เปน็ ต้น และให้รวมถึงสารท่ีต้อง ควบคมุ ให้มีอุณหภูมิไม่ต่ากว่า 100 องศาเซลเซยี ส ในสภาพของเหลว
หรือมีอุณหภมู ิ ไม่ต่ากว่า 240 องศาเซลเซยี สในสภาพของแขง็ ในระหวา่ งการขนส่ง

รปู ที่ 2.15 วตั ถกุ มั มนั ตรงั สี (Radioactive Materials)
(ที่มา : https://www.shawpat.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=201:-

hazardous-material&catid=47:-m---m-s&Itemid=201)

28

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ ั้นพ้นื ฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3
อุปกรณ์ที่ใชใ้ นหอ้ งปฏิบัตกิ ารทดลอง

ห้องปฏบิ ตั ิการเคมี เป็นสถานท่ีท่อี าจจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายทีส่ ุด เพราะเปน็ สถานที่เก็บมสี ารไวไฟ มี
เคร่อื งแกว้ ทแ่ี ตกหักง่าย และมสี ารเคมีที่เป็นพิษและทาลายสุขภาพของร่างกายได้ อยา่ งไรกต็ ามถา้ เรามคี วาม
ระมดั ระวงั ศกึ ษาการทดลองล่วงหนา้ รจู้ ักการใช้เครอื่ งแกว้ และสารเคมีอย่างถูกวิธี และปฏบิ ตั ิตามระเบียบ
ขอ้ บงั คับในการใช้หอ้ งทดลองแลว้ จะสามารถหลีกเลย่ี งอบุ ัติเหตใุ นหอ้ งทดลองได้
อปุ กรณ์ท่ีใช้ในห้องปฏิบตั กิ ารทดลอง
3.1 อุปกรณท์ ่ใี ช้ในการวัดปรมิ าตรสาร
บีกเกอร์ (Beaker)

ภาพที่ 3.1 บกี เกอร์
ท่ีมา : https://guru.sanook.com/8399/
บีกเกอร์มีหลายขนาดและมีความจตุ ่างกัน โดยท่ขี า้ งบกี เกอรจ์ ะมตี ัวเลขระบุความจขุ องบีกเกอร์ ทาให้
ผใู้ ช้สามารถทราบปรมิ าตรของของเหลวท่บี รรจุอยู่ได้อย่างครา่ วๆ และบกี เกอรม์ คี วามจุตั้งแต่ 5 มิลลเิ มตรจนถึง
หลายๆลติ ร อีกทงั้ เปน็ แบบสูง แบบเตี้ย และแบบรปู ทรงกรวย (conical beaker) บกี เกอร์จะมปี ากงอเหมือน
ปากนกซ่ึงเรียกว่า spout ทาใหก้ ารเทของเหลวออกได้โดยสะดวก spout ทาใหส้ ะดวกในการวางไม้แกว้ ซึง่ ย่นื
ออกมาจากฝาท่ีปิดบีกเกอร์ และ spout ยังเป็นทางออกของไอน้าหรือแก๊สเม่ือทาการระเหยของเหลวในบกี เกอร์
ท่ีปิดดว้ ยกระจกนาฬิกา (watch grass) การเลอื กขนาดของบกี เกอรเ์ พ่ือใส่ของเหลวนัน้ ข้นึ อยู่กับปรมิ าณ
ของเหลวท่จี ะใส่ โดยปกตใิ ห้ระดับของเหลวอยู่ต่ากวา่ ปากบีกเกอร์ประมาณ 1 - 1 1/2 น้ิว

นักเรียนรหู้ รือไมว่ า่ บกี เกอร์มีประโยชน์อย่างไร
1. ........................................................................................................................... .......................
2. .................................................................................................................................................
3. ........................................................................................................................... ........................

29

ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ น้ั พนื้ ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

ให้นกั เรยี นบอกส่วนประกอบและรายละเอยี ดทปี่ รากฎบนบกี เกอร์

1. ........................................................................................
2. ........................................................................................
3. ........................................................................................
4. ........................................................................................
5. .........................................................................................
6. .........................................................................................
7. .........................................................................................

ภาพท่ี 3.2 ส่วนประกอบและรายละเอยี ดท่ีปรากฏบนบีกเกอร์
ที่มา : https://guru.sanook.com/8399/

เกร็ดน่ารเู้ กย่ี วกับปากบกี เกอร์
- ทาใหก้ ารเทของเหลวออกได้โดยสะดวก
- ทาให้สะดวกในการวางแท่งแก้วคนสารซ่งึ ยื่นออกมาจากฝาทปี่ ดิ บีกเกอร์
- เปน็ ทางออกของไอน้า หรือแกส๊ เม่ือทาการระเหยของเหลวในบีกเกอร์ที่ปดิ ด้วยกระจกนาฬกิ า

(watch glass)

ขั้นตอนการใช้งาน
1. เลอื กขนาดของบีกเกอร์ใหเ้ หมาะสมกบั งาน โดยคานึงถึงปริมาณของเหลวทีบ่ รรจุ
2. จับแท่งแกว้ แตะกับปากบีกเกอร์
3. เอยี งบีกเกอร์ให้ของเหลวไหลตามแทง่ แกว้ ลงสู่ภาชนะที่รองรบั

หลอดฉดี ยา (syringe)

ภาพท่ี 3.3 หลอดฉดี ยา
ท่ีมา : https://th.aliexpress.com/item/32793338504.html

30

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐาน พรพรรณ ย่ิงยง

หลอดฉดี ยาเป็นอุปกรณว์ ัดและตวงปรมิ าตรของของเหลวอย่างง่าย ทไ่ี ม่ต้องการความละเอยี ดมากนกั
และนิยมใช้ในโรงเรียนจะทาด้วยพลาสติก เพราะราคาถกู และหาซอ้ื ไดง้ า่ ย หลอดฉดี ยามีขนาดต่างกันทีน่ ิยมใช้
ในโรงเรยี นสว่ นมากมขี นาดต้งั แต่ 5–35 cm3 และงานทต่ี ้องการความถกู ต้องสงู จะใช้หลอดฉดี ยาทท่ี าดว้ ยแก้ว

วิธีการใช้

1. เลือกขนาดของหลอดฉีดยาให้เหมาะสมกบั ปริมาตรทีต่ ้องการวดั ดงึ กา้ นหลอดฉดี ยาขน้ึ และกดลง
เพอื่ ให้ยางทีป่ ลายก้านหลอดฉีดยาเลือนได้คล่อง

2. กดกา้ นหลอดฉีดยาจนสดุ เพือ่ ไล่อากาศออกให้หมด
3. จ่มุ ปลายหลอดฉดี ยาลงในของเหลว คอ่ ยๆ ดึงก้านหลอดฉีดยาขน้ึ ขณะท่ีดดู สารละลายเขา้ ไปใน

หลอดฉดี ยา ระวังอย่าให้มฟี องอากาศถ้ามีต้องกดก้านหลอดฉดี ยาลงไปจนสดุ เพือ่ ไลอ่ ากาศ ค่อยๆ
ดึงกา้ นหลอดฉีดยาให้ส่วนทโ่ี ค้งตา่ สดุ ของลูกยางตรงกบั ขีดปริมาตรที่ต้องการ

การเกบ็ รกั ษาและข้อควรระวงั

1. เม่อื ดูดสารละลายเข้ามาในหลอดฉีดยาแล้วปรบั ปรมิ าตร ให้ช้ีปลายเข็มฉีดยาข้ึน แล้วทาการไล่
ฟองอากาศออกดว้ ย

2. หา้ มใชห้ ลอดฉดี ยาที่ทาดว้ ยพลาสตกิ ตวงสารอินทรยี ์ เพราะจะทาใหพ้ ลาสติกละลาย
3. เมอ่ื ใชเ้ สรจ็ แล้วต้องล้างใหส้ ะอาด โดยดึงแยกออกจากกนั และนาแต่ละส่วนมาล้าง วางไวใ้ หแ้ ห้ง

แล้วจงึ นามาสวมเขา้ ตามเดมิ ต่อไป

กระบอกตวง (Graduated Cylinder)

ภาพท่ี 3.4 กระบอกตวง
ทีม่ า : https://www.potamax.com/product/249/กระบอกตวงแกว้ -cylinder

กระบอกตวงมีขนาดตา่ งๆ กัน ต้งั แต่ 5 มิลลิลิตรจนถึงหลายๆ ลิตร ใช้เป็นอุปกรณส์ าหรับวดั ปริมาตร
ของของเหลวท่ีมีอุณหภูมิไม่สูงกว่าอุณหภูมิของหอ้ งปฏบิ ตั ิการ กระบอกตวงไมส่ ามารถใชว้ ดั ของเหลวทม่ี ี
อณุ หภมู ิสงู ไดเ้ นือ่ งจากอาจจะทาใหก้ ระบอกตวงแตกได้ กระบอกตวงจะบอกปริมาตรของของเหลวอย่างครา่ ว ๆ
ถ้าตอ้ งการวดั ปริมาตรท่แี น่นอนตอ้ งใช้อปุ กรณ์วัดปรมิ าตรอ่ืนๆ เชน่ ปิเปตหรือบิวเรท โดยปกตคิ วามผดิ พลาด
ของกระบอกตวงเมื่อมปี รมิ าตรสูงสุดจะมีประมาณ 1 เปอรเ์ ซ็นต์ กระบอกตวงขนาดเล็กใชว้ ัดปริมาตรได้
ใกล้เคียงความจรงิ มากกวา่ กระบอกตวงขนาดใหญ่

31

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ ้ันพน้ื ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

ขนาดท่ใี ช้
ความจทุ ีใ่ ชต้ ้งั แต่ 5-2000 ml

ขอ้ ควรระวัง
การอา่ นปริมาตรควรใหร้ ะดบั สายตาอยู่ในแนวเดียวกันกับโคง้ เว้าต่าสดุ

วิธีอ่านปริมาตร
ทาได้โดยการยกกระบอกตวงให้ตั้งตรงและให้ท้องนา้ อยใู่ นระดบั สายตา และอา่ นคา่ ปรมิ าตร ณ จุด
ต่าสดุ ของทอ้ งน้า ตาแหน่งของระดบั สายตาในการอ่านปรมิ าตร มคี วามสาคญั ตอ่ ค่าท่ีไดจ้ ากการอา่ นปรมิ าตร
มากกล่าวคือ
1. ถา้ ระดบั สายตาอย่เู หนอื ส่วนโค้งเวา้ ต่าสุดของของเหลว ปรมิ าตรทอ่ี ่านไดจ้ ะมากกว่าปริมาตรจรงิ
2. ถ้าระดบั สายตาอยู่ในระดับเดยี วกันกบั ส่วนโคง้ เว้าตา่ สดุ ของของเหลว ปรมิ าตรท่อี า่ นได้จะมีค่า
ถูกต้อง
3. ถา้ ระดับสายตาอย่ตู า่ กว่าสว่ นโคง้ เวา้ ตา่ สดุ ของของเหลว ปริมาตรทีอ่ า่ นได้จะน้อยกวา่ ปริมาตรจริง

ภาพที่ 3.5 ตาแหน่งของระดับสายตาในการอ่านปรมิ าตร
ท่มี า : http://www.ptcn.ac.th/digital_library/snet5/volread.html
การอา่ นปริมาตรของของเหลวน้นั ถา้ ระดบั สายตาไม่อยู่ในระดบั เดียวกันกบั สว่ นโคง้ เว้าต่าสุดของ
ของเหลวแล้ว การอ่านปรมิ าตรจะมีความคลาดเคล่ือนเรยี กความคลาดเคล่อื น ทีเ่ กิดขึ้นนวี้ ่า Parallax error

ขวดปริมาตรทรงกรวย (Erlenmeyer Flask หรือ Conical Flask)
ขวดปรมิ าตรชนิดนม้ี ีลกั ษณะเป็นทรงกรวย และมีความจขุ นาดต่าง ๆ กนั แต่ที่นยิ มใช้กนั มากมีความจุ

เป็น 250-500 มล. สามารถใช้ได้ในหลายกรณี เช่น ในการไตเตรท

ภาพท่ี 3.6 ขวดปรมิ าตรทรงกรวย
ทีม่ า : http://www.svmedico.com/index.php/products/

laboratory-supply/glasswares/erlenmeyer/

32

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ ั้นพ้ืนฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

ขวดวดั ปริมาตร (Volumetric Flask)
ขวดชนิดนีม้ ลี กั ษณะเปน็ ขวดคอยาวท่ีมีขีดบอกปริมาตรบนคอขวดเพยี งขีดเดยี ว นยิ มใชใ้ นการเตรียม

สารละลาย โดยท่วั ไปจะนาสารนั้นมาละลายในบีกเกอร์ก่อนทจี่ ะเทลงในขวดปรมิ าตรโดยใช้กรวยกรอง แลว้ เท
น้าลา้ งบกี เกอร์หลาย ๆ คร้ังด้วยตัวทาละลายแล้วเทลงในกรวยกรอง เพื่อล้างสารทีต่ ิดอยู่ใหล้ งในขวดใหจ้ นหมด
อยา่ ให้สารละลายใน volumetric flask มเี กิน 2 ใน 3 ของปรมิ าตรทัง้ หมด เทตวั ทาละลายลงในขวดโดยผ่าน
กรวยอกี เพ่อื เป็นการลา้ งกรวย จนขวดมีปรมิ าตรถงึ ขดี บอกปริมาตร

ภาพที่ 3.7 Volumetric Flask
ท่มี า : http://www.spectrum.co.th/volumetric-flask-

pe-stopper-class-a-69288.product

การเตรยี มสารละลายโดยใช้ขวดปริมาตรมีเทคนคิ การทาดังนี้

1. ละลายสารในขวดปริมาตรให้มปี รมิ าตรประมาณ 3/4 ของขวด ปิดจุกขวดแลว้ หมนุ ขวดปริมาตรดว้ ย
ขอ้ มือให้สารละลายไหลไปทางเดยี วกนั เพื่อให้สารในขวดละลายจนหมด (ในกรณีทีส่ ารเปน็ ของแขง็ ) หรือให้สาร
ผสมเปน็ เนอ้ื เดียวกัน (ในกรณีท่สี ารเปน็ ของเหลว) ควรจบั ที่คอขวดปริมาตร อยา่ จับที่ตวั ขวดปรมิ าตรเพราะจะ
ทาใหส้ ารละลายอุ่นขึน้ เน่ืองจากความร้อนในมือ

2. เตมิ ตวั ทาละลายลงในขวดปริมาตรใหส้ ว่ นโคง้ เว้าต่าสุดของสารละลายอยู่ตรงขีดบอกปริมาตร การ
อ่านปรมิ าตรต้องใหร้ ะดับสายตาอย่ใู นระดับเดยี วกันกบั ขีดบอกปรมิ าตร เพื่อป้องกนั การอ่านปริมาตรผิด

3. ปิดจุกขวดปริมาตรแลว้ คว่าขวดจากบนลงล่าง ทาแบบนี้ 2-3 คร้ัง เพ่ือให้สารละลายผสมเปน็ เน้ือ
เดยี วกนั และมเี นื้อสารเท่าเทียมกันทุกสว่ น

4. จากขอ้ 3 กลับขวดปริมาตรให้อยู่ในลกั ษณะเดิม แล้วจับคอขวดหมุนไปมาประมาณ 3 รอบ ทาซา้ จน
แน่ใจว่าสารละลายผสมเป็นเน้ือเดียวกนั

33

ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ น้ั พน้ื ฐาน พรพรรณ ย่งิ ยง

ปเิ ปตต์ (pipette)

ภาพที่ 3.8 ปิเปตต์ที่ใช้งานในห้องปฏิบัติการ
ทมี่ า : https://www.labvalley.com/p/218,470

ปิเปตต์ (pipette) ใชส้ าหรับตวง หรือวดั ปริมาตรของสารละลายให้ไดป้ ริมาตรท่ีแน่นอน มีความถูกต้อง
สงู มี 2 ชนดิ ดว้ ยกัน คอื measuring pipette และ volumetric pipette สงั เกตไดง้ า่ ยๆ หากเปน็ แบบ
volumetric pipette จะมีแก้วปอ่ งบริเวณตรงกลางปิเปตต์ ซ่งึ ความถูกตอ้ งจะมมี ากกว่า measuring pipette
โดยมวี ิธีการใช้งานทงี่ า่ ยสาหรับผ้ทู ใ่ี ชเ้ ปน็ แลว้ แตย่ ากสาหรับผูท้ ี่ยังไม่เคยใช้ ต้องใชร้ ว่ มกับลูกยาง (rubber
bulb) เพื่อดูดสารละลายเข้าไปในปิเปตต์ ใหม้ ากกวา่ ขีดบอกปรมิ าตร จากน้นั นาลูกยางออก แล้วใชน้ ้ิวชป้ี ดิ ที่
ปลายปิเปตต์ หลังจากนั้นค่อยๆ ปล่อยสารละลายออกมาจนถงึ ขีดบอกปริมาตร และคอ่ ยถา่ ยสารละลายในปิ
เปตตล์ งในภาชนะท่ีต้องการ

1. ปเิ ปตตแ์ บบปริมาตร (volumetric pipette หรอื transfer pipette)

ภาพที่ 3.9 ปิเปตต์แบบปริมาตร
ที่มา : https://www.labvalley.com/p/218

มีขีดบอกปรมิ าตรทีแ่ นน่ อนเพียงขดี เดียว ดงั น้นั จึงวัดปริมาตรไดเ้ พยี งคา่ เดียว เช่น volumetric
pipette ท่ีมคี วามจุ 10 ml กจ็ ะวดั ปริมาตรของของเหลวไดเ้ ฉพาะ 10 ml เทา่ น้ัน

มหี ลายขนาดตงั้ แต่ 1 ml ถึง 100 ml
ใช้วัดปริมาตรไดใ้ กลเ้ คยี งความจรงิ แต่ก็ยังมีความผดิ พลาดขนึ้ อย่กู ับความจุของปิเปตตแ์ ละระดบั
คณุ ภาพปิเปตต์ทมี่ ีความจมุ ากมีความผิดพลาดมากกว่าปเิ ปตตท์ มี่ ีความจนุ อ้ ย

ปิเปตต์ระดับชั้นคุณภาพ B มีความผดิ พลาดมากกว่าระดบั ช้นั คุณภาพ A ถงึ 2 เท่า ดงั นั้นในการ
ทดลองที่ตอ้ งการความแม่นยาสูง จงึ ควรเลอื กใช้ปิเปตต์ระดบั ช้ันคณุ ภาพ A

34

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ ัน้ พ้ืนฐาน พรพรรณ ย่ิงยง

2. ปิเปตต์แบบใชต้ วง (graduated pipette หรอื measuring pipette)

ภาพท่ี 3.10 ปิเปตต์แบบใช้ตวง
ท่มี า : https://www.labvalley.com/p/470

มขี ีดบอกปรมิ าตรต่าง ๆ แสดงไว้ ทาให้สามารถใช้ได้อยา่ งกวา้ งขวาง คือสามารถใชแ้ ทน volumetric
pipette ได้ แต่ใชว้ ดั ปริมาตรไดแ้ นน่ อนน้อยกว่า volumetric pipette นัน่ คอื มีความผิดพลาดมากกว่า

ความผดิ พลาดขึ้นอยู่กับความจขุ องปเิ ปตต์และระดับคณุ ภาพปเิ ปตต์ทม่ี ีความจมุ ากมคี วามผิดพลาด
มากกว่าปเิ ปตต์ท่ีมีความจนุ ้อย

ปิเปตต์ระดับชั้นคุณภาพ B มีความผิดพลาดมากกว่าระดับชั้นคณุ ภาพ A ถงึ 2 เทา่ ดงั นัน้ ในการ
ทดลองที่ต้องการความแมน่ ยาสงู จงึ ควรเลือกใช้ปเิ ปตต์ระดบั ช้ันคณุ ภาพ A

ท่ีความจุเดียวกนั เม่ือเปรียบเทยี บความผิดพลาดระหวา่ ง graduated pipette กบั volumetric
pipette จะเห็นว่า graduated pipette มีความผิดพลาดเปน็ 2 เท่าของ volumetric pipette ดงั นัน้ ในการ
ทดลองที่ตอ้ งการความแมน่ ยาสูง จึงควรเลอื กใช้ volumetric pipette จะดกี ว่า

อักษรบนปเิ ปตต์ (inscription on pipette)

ภาพที่ 3.11 อักษรบนปเิ ปตต์
ท่มี า : http://glasswarechemical.com/glassware/อกั ษรบนปิเปตต์-inscription-on-pipette/

35

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ น้ั พนื้ ฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง

คาอธบิ ายอกั ษรทปี่ รากฏบนปิเปตต์ (inscriptions on bulb pipette/volumetric pipette/transfer
pipette)

1. แบรนด์ผ้ผู ลติ
2. แบรดเ์ ครื่องหมายการค้าซึ่งแสดงเกรดอปุ กรณ์วัดปริมาตร ทมี่ คี ณุ ภาพสงู สุด
3. ปรมิ าตรของปิเปตต์
4. ขนาดความไมแ่ นน่ อน (maximum error limit)
5. สญั ลกั ษณแ์ สดงว่าผ่านการรบั รองมาตรฐาน “Eichrdnung” ประเทศเยอรมัน
6. ผา่ นการรบั รองมารตรฐาน DIN
7. อุณหภูมิทีใ่ ชใ้ นการสอบเทียบมาตรฐาน
8. TD,Ex หมายถึง อปุ กรณ์ใชใ้ นการถา่ ยเทสารละลาย
9. 15s หมายถึง หลงั จากถ่ายเทสารละลายจนหมดแลว้ ต้องรอให้ครบ 15 วนิ าทีจึงจะเอาปิเปตตท์ แี่ ตะ
อยู่ขา้ งภาชนะออกได้
10. A หมายถงึ แก้วเกรด A คุณภาพดีทส่ี ุด และ S หมายถงึ สามารถถ่ายเทสารละลายได้อย่างรวดเร็ว
11. ประเทศผู้ผลิต

ลูกยางดูดปเิ ปตต์ (rubber bulb)

ภาพท่ี 3.12 ลกู ยางดดู ปเิ ปตต์ (rubber bulb)
ทม่ี า : https://www.labvalley.com/p/1261

ลูกยางดดู ปิเปตต์ (rubber bulb) ใช้ร่วมกับอุปกรณป์ เิ ปตต์ สาหรับดูดสารละลายเขา้ มาในปิเปตต์พบ
ไดท้ วั่ ไปในห้องปฏิบตั ิการ 2 ชนิดด้วยกนั ไดแ้ ก่ลูกยางดูดปิเปตต์ชนิดธรรมดา และลูกยางดูดปิเปตต์ชนดิ 3 ทาง
(three way rubber bulb)
วิธกี ารใช้งานลกู ยางดูดปเิ ปตต์ธรรมดา ก็ทาได้งา่ ยไม่ซบั ซ้อนคอื บีบลูกยางเพื่อไล่อากาศออกและสวมเขา้ ไปที่
ปลายของปเิ ปตตไ์ มต่ ้องแน่นมาก หรอื ใหจ้ ุกยางแนบสนิทก็พอ แลว้ จ่มุ ลงปเิ ปตต์ลงในสารละลาย จากน้นั ก็ค่อยๆ
คลายมือทีบ่ ีบลูกยางออก สารละลายกจ็ ะถกู ดูดเขา้ มาในปิเปตต์ โดยให้สารละลายถกู ดูดเขา้ มาเกนิ ขีดบอก
ปรมิ าตร และใชน้ ้วิ ชีป้ ดิ ทปี่ ลายของปเิ ปตตอ์ ย่างรวดเร็ว จากนัน้ ใช้กระดาษทชิ ชเู ช็ดทีป่ ลายปเิ ปตต์ แลว้ คอ่ ยๆ
คลายน้วิ ชท้ี ่ปี ดิ ปลายปิเปตต์ไว้ สารละลายจะไหลออกมาจนถึงระดับของขดี บอกปริมาตร จากนัน้ กถ็ า่ ย
สารละลายท้ังหมดใส่ในภาชนะท่ีต้องการ ซ่ึงวิธีน้ตี อ้ งใชเ้ วลาในการฝึกดูดสารละลายพอสมควร

36

ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้ันพื้นฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง

ส่วนลกู ยางดดู ปเิ ปตต์ชนดิ 3 ทาง หรือมวี าล์วควบคมุ การไหลเขา้ ออกของอากาศ 3 ตาแหน่งด้วยกนั ลกู ยางชนิด
น้ที าขนึ้ มาเพื่อให้ดดู สารละลายไดง้ ่ายข้นึ วธิ ีใช้ก็ต้องทาความเข้าใจกับอักษรที่บอกชนิดของวาล์วปดิ -เปดิ เพื่อ
ควบคมุ อากาศใหเ้ ขา้ ออกเสียก่อน โดยตวั อกั ษรภาษาอังกฤษตัวแรกคือตัว A ยอ่ มาจาก air แปลวา่ อากาศ ส่วน
อักษร S ย่อมาจาก suction แปลวา่ ดูด และอักษร E ยอ่ มาจาก evacuate แปลว่า ถ่ายออก วธิ ีการใชง้ านทา
ไดโ้ ดย

1.นาลูกยาง 3 ทาง สวมเขา้ กับปิเปตตใ์ นตาแหน่งวาลว์ S
2. บีบไล่อากาศในลูกยางออก โดยกดทว่ี าลว์ A และบบี ลูกยางเพื่อไล่อากาศที่อยภู่ ายในออก
3. จมุ่ ปเิ ปตตล์ งในสารละลาย และกดวาล์ว S เพ่อื ดูดสารละลายเขา้ มาในปิเปตต์ จนกระท่งั เกนิ ขีดบอก
ปริมาตร
4. เชด็ ที่ปลายปิเปตต์ดว้ ยกระดาษทิชชู และกดวาล์ว E เพ่อื ปลอ่ ยสารละลายสว่ นทีเ่ กินออกมาใหไ้ ด้
ระดับขดี บอกปริมาตร
5. ถ่ายสารละลายท้ังหมดใส่ในภาชนะท่ตี ้องการ

เทคนิคการใช้ปิเปตต์
1. กอ่ นใชป้ ิเปตตต์ ้องมีการทาความสะอาดโดยดดู น้ากลั่นเข้าไปจนเกือบเตม็ แลว้ ปลอ่ ยใหไ้ หลออกมา

จนหมด สงั เกตดูว่าถ้าไม่มีหยดน้าเกาะตดิ อยภู่ ายในแสดงว่าปิเปตต์สะอาดดีแล้ว
2. เมื่อจะนาปเิ ปตตท์ ่เี ปยี กไปใช้วดั ปริมาตร ต้องลา้ งปิเปตต์ด้วยสารละลายทจ่ี ะวัด 2-3 ครัง้ โดยใช้

สารละลายคร้ังละเล็กนอ้ ยและให้สารละลายถูกผวิ แกว้ โดยท่วั ถงึ แล้วเชด็ ปลายปเิ ปตตด์ ้วยกระดาษ tissue ท่ี
สะอาด

3. จมุ่ ปลายปิเปตตล์ งในสารละลายทีจ่ ะวัดปริมาตร โดยที่ปลายปเิ ปตตอ์ ยูต่ ่ากว่าระดับสารละลาย
ตลอดเวลาท่ีทาการดดู เพราะเมื่อใดที่ระดับของสารละลายในภาชนะลดลงตา่ กว่าปลายปิเปตตใ์ นระหว่างทท่ี า
การดดู สารละลายในปเิ ปตต์จะพุ่งเขา้ สู่ลกู ยางทันที

ภาพที่ 3.13 การใชป้ ิเปตต์
ทีม่ า : http://oho.ipst.ac.th/bookroom/snet5/tpipet.html

37

ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้นั พน้ื ฐาน พรพรรณ ย่งิ ยง

4. ใช้ลกู ยางดูดสารละลายเข้าไปในปเิ ปตต์อย่างชา้ ๆ จนกระท่ังสารละลายข้นึ มาอยู่เหนือขดี บอก
ปรมิ าตร และใช้น้ิวชี้ปิดปลายปิเปตต์ใหแ้ นน่ โดยทันที จบั ก้านปิเปตตด์ ้วยนวิ้ หัวแม่มือและนิ้วกลาง

5. จบั ปิเปตตใ์ หต้ ั้งตรงแลว้ ค่อยๆผ่อนนวิ้ ชี้เพอื่ ให้สารละลายที่เกินขีดบอกปรมิ าตรไหลออกไปจนกระท่ัง
สว่ นเว้าตา่ สดุ ของสารละลายแตะกับขีดบอกปริมาตรพอดี ปิดแนน่ ดว้ ยน้วิ ชี้และ แตะปลายปิเปตตก์ ับข้างภาชนะ
ท่ใี ส่สารละลาย เพ่ือใหห้ ยดน้าซึ่งอาจจะติดอยู่ทปี่ ลายปิเปตต์หมดไป จับปเิ ปตต์ใหต้ รงประมาณ 30 วนิ าทเ่ี พื่อให้
สารละลายท่ตี ิดอยู่ขา้ งๆ ปเิ ปตต์ไหลออกหมด

6. ปลอ่ ยสารละลายทอ่ี ยู่ในปิเปตต์ลงในภาชนะที่เตรยี มไวโ้ ดยยกน้ิวชข้ี ึน้ ใหส้ ารละลายไหลลงตามปกติ
ตามแรงโน้มถว่ งของโลกจนหมด แลว้ แตะปลายปิเปตตก์ บั ข้างภาชนะเพื่อใหส้ ารลายหยดสดุ ท้ายไหลลงสูภ่ าชนะ
อยา่ เป่าหรือทาอืน่ ใดท่จี ะทาให้สารละลายทเ่ี หลืออยทู่ ีป่ ลายปิเปตตไ์ หลออกมา เพราะปรมิ าตรของสารละลายท่ี
เหลือนีไ้ ม่ใชป้ รมิ าตรของสารละลายท่ีจะวดั

ปิเปตต์ที่ทาเป็นพิเศษเพอื่ งานท่ีต้องการความแน่นอนมาก ๆ ทกี่ ระเปาะของปิเปตตจ์ ะบอกเวลาท่ี
สารละลายไหลออกหมด ซึ่งเรียกวา่ Time of outflow และเมอื่ สารละลายไหลออกหมดแลว้ ต้องทง้ิ ไว้
ระยะเวลาหน่ึง ซง่ึ เรียกระยะเวลานวี้ า่ Time of drainage
หมายเหตุ

1. การปรับปริมาตรของสารละลายให้อย่ตู รงขีดปริมาตรพอดีนั้น จะตอ้ งไม่มีฟองอากาศเกิดขนึ้ ณ
บริเวณปลายของปิเปตตห์ รือท่ีเรยี กว่าการเกิด parallax

2. หา้ มเป่าขณะทาการปลอ่ ยสารละลายออกจากปเิ ปตต์อย่าเดด็ ดาด เพราะการเป่าจะทาใหผ้ นังดา้ นใน
ของปเิ ปตต์สกปรก และยงั ทาใหส้ ารละลายท่ตี ิดอยู่กบั ผนงั ด้านในของปเิ ปตต์แต่ละคร้ังแตกต่างกนั ด้วย ทาให้
การวัดปริมาตรของสารละลายที่วัดมคี า่ ไมเ่ ทา่ กันเมื่อไดม้ กี ารทดลองซา้ แตถ่ า้ เปน็ Measuring pipette ทีผ่ ู้ผลิต
ทารอยแกว้ ฝา้ ท่ีปลายบนหรือมีหนงั สอื แจง้ ไว้ จะสามารถเป่าสารละลายออกจากปลายปิเปตต์นั้นได้

3. หลงั จากนาปเิ ปตต์ไปใช้แลว้ จะตอ้ งทาความสะอาดแล้วล้างดว้ ยนา้ กลั่นหลายๆ ครง้ั
4. ถ้าหากกระเปาะยางหรอื อุปกรณด์ ดู อน่ื ๆ ไมม่ ี อาจจะใช้สายยางหรือสายพลาสติกตอ่ กบั กา้ นของปิ
เปตต์ก็ได้

38

ทักษะวิทยาศาสตรข์ นั้ พนื้ ฐาน พรพรรณ ย่ิงยง

บวิ เรตต์ (Burette)

ภาพท่ี 3.14 บิวเรตต์ (Burette)
ท่ีมา : http://educator.co.th/product/บวิ เรตต-์ transparent-acrylic-burette/

บวิ เรตตเ์ ป็นอปุ กรณ์วัดปริมาตรทมี่ ีขดี บอกปริมาตรตา่ งๆ และมีก๊อกสาหรบั เปิด-ปิด เพ่ือบังคบั การไหล
ของของเหลว บิวเรตตเ์ ป็นอุปกรณ์ที่ใชใ้ นการวิเคราะห์ มีขนาดตง้ั แต่ 10 มล. จนถงึ 100 มล. บวิ เรตต์สามารถ
วดั ปรมิ าตรได้อยา่ งใกล้เคยี งความจรงิ มากทสี่ ุด แตก่ ็ยังมคี วามผิดพลาดอยู่เลก็ น้อย ซ่งึ ข้ึนอยู่กับขนาดของ
บิวเรตต์ เชน่

- บวิ เรตต์ขนาด 10 มล. มคี วามผิดพลาด 0.4%
- บิวเรตตข์ นาด 25 มล. มคี วามผิดพลาด 0.24%
- บวิ เรตตข์ นาด 50 มล. มคี วามผดิ พลาด 0.2%
- บิวเรตตข์ นาด 100 มล. มีความผดิ พลาด 0.2

เทคนิคการใชบ้ ิวเรตต์
เทคนิคการใช้บวิ เรตตท์ ่ถี ูกต้องควรปฏิบัติดงั นี้
1. ก่อนนาบิวเรตตไ์ ปใช้ตอ้ งล้างบิวเรตตใ์ ห้สะอาดด้วยสารซักฟอกหรือสารละลาย ทาความสะอาด ลา้ ง

ใหส้ ะอาดด้วยน้าประปาแลว้ ลา้ งด้วยนา้ กลน่ั อีก 2-3 คร้งั
2. ลา้ งบิวเรตต์ดว้ ยสารละลายท่จี ะใช้เพียงเล็กน้อยอีก 2-3 ครัง้ แล้วปล่อยให้สารละลาย นี้ไหลออกทาง

ปลายบิวเรตต์
3. ก่อนที่จะเทสารละลายลงในบวิ เรตต์ตอ้ งปดิ บวิ เรตต์ก่อนเสมอ และเทสารละลายลงในบวิ เรตตโ์ ดย

ผ่านทางกรวยกรอง ใหม้ ีปริมาตรเหนอื ขดี ศูนยเ์ ล็กน้อย เอากรวยออกแลว้ เปิดก๊อกให้สารละลายไหลออกทาง
ปลายบิวเรตต์ เพือ่ ปรับให้ปริมาตรของสารละลายอยูท่ ่ขี ดี ศูนยพ์ อดี (ทบี่ ริเวณปลายบวิ เรตตจ์ ะต้องไมม่ ี
ฟองอากาศเหลืออยู่ หากมีฟองอากาศจะตอ้ งเปดิ ก๊อกให้สารละลายไลอ่ ากาศออกไปจนหมด)

4. ถา้ ปลายบวิ เรตตม์ หี ยดนา้ ของสารละลายติดอยู่ ต้องเอาออกโดยให้ปลายบวิ เรตต์แตะกับบกี เกอร์
หยดนา้ กจ็ ะไหลออกไป
5. การจบั ปลายบิวเรตตท์ ีถ่ กู ต้อง(ดังภาพ) หากใช้บิวเรตต์เพ่ือการไทเทรต หรอื การถา่ ยเทสารในบวิ เรตต์ลงสู่
ภาชนะทร่ี องรบั จะต้องใหป้ ลายบิวเรตตอ์ ยูใ่ นภาชนะน้นั ทัง้ นเ้ี พ่อื ไม่ใหส้ ารละลายหก

39

ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้นั พน้ื ฐาน พรพรรณ ยงิ่ ยง

ภาพท่ี 3.15 ลกั ษณะการจบั บิวเรตต์
ท่ีมา : https://www.nectec.or.th/schoolnet/library/snet5/tburet.html
6. เมื่อปลอ่ ยสารละลายออกจากบวิ เรตต์จนสารละลายลดลงถึงขีดบอกปรมิ าตรสดุ ท้ายของบิวเรตต์นนั้ ๆ ต้อง
รบี ปิดบิวเรตต์ทันที หากปล่อยใหส้ ารละลายเลยขีดบอกปริมาตรสดุ ท้ายลงมา จะไม่ทราบปริมาตรทแ่ี นน่ อนของ
สารละลายทีผ่ า่ นบิวเรตต์ลงมา
อนงึ่ ในกรณีที่ต้องใชส้ ารละลายทมี่ ีจานวนมาก และใชบ้ วิ เรตต์ในการถ่ายเท เมื่อปลอ่ ยสารละลายจนถงึ ขีดบอก
ปริมาตรสดุ ท้ายแลว้ ตอ้ งปดิ บวิ เรตตก์ ่อน แล้วจงึ เติมสารละลายลงในบวิ เรตต์ ปรบั ใหม้ รี ะดบั อยู่ที่ขดี ศนู ย์ใหม่
ตอ่ จากนั้นกป็ ลอ่ ยสารละลายลงมาจนกว่าจะไดป้ ริมาตรตามตอ้ งการ

3.2 อุปกรณท์ ดสอบความเป็นกรด-เบส
กระดาษลิตมัส (litmus paper)

ภาพท่ี 3.16 กระดาษลติ มัส
ที่มา : https://www.labvalley.com/p/1548

กระดาษลิตมัส เป็นกระดาษท่ีใชท้ ดสอบสมบัติความเป็นกรด-เบสของของเหลว กระดาษลติ มสั มีสองสี
คือสีแดงหรือสีชมพู และสนี ้าเงินหรอื สีฟา้ วิธใี ช้คือการสัมผัสของเหลวลงบนกระดาษ ถ้าหากของเหลวมสี ภาพ
เปน็ กรด (pH < 4.5) กระดาษจะเปลี่ยนจากสีนา้ เงินเป็นสีแดง และในทางกลับกันถ้าของเหลวมีสภาพเป็นเบส
(pH > 8.3) กระดาษจะเปลย่ี นจากสแี ดงเปน็ สีน้าเงนิ ถ้าหากเป็นกลาง (4.5 ≤ pH ≤ 8.3) กระดาษทั้งสองจะไม่
เปลย่ี นสี

เราสามารถผลติ กระดาษลิตมัสได้เองโดยนากระดาษสขี าวลงไปแชน่ า้ ค้นั ดอกอัญชนั จะได้กระดาษลติ มสั
สนี ้าเงิน หากนาไปแช่ในน้าคั้นดอกเฟ่อื งฟา้ สชี มพจู ะได้กระดาษลติ มสั สีแดง เม่ือตากแห้งกส็ ามารถนาทดสอบ
ความเปน็ กรด-เบส

40

ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ น้ั พ้นื ฐาน พรพรรณ ยิ่งยง

ยูนเิ วอร์ซัลอนิ ดเิ คเตอร์ (Universal Indicator Paper)

ภาพที่ 3.17 กระดาษยูนิเวอร์ซัลอนิ ดิเคเตอร์
ทมี่ า : https://www.labvalley.com/p/69

ยูนเิ วอร์ซัลอนิ ดิเคเตอร์ เปน็ อินดิเคเตอร์ท่มี กี ารเปลีย่ นสีเกือบทุกคา่ pH จงึ ใชท้ ดสอบหาค่า pH ไดด้ ี
อินดิเคเตอรช์ นดิ น้ีมีทั้งแบบท่ีเปน็ กระดาษและแบบสารละลาย

ยนู เิ วอร์ซลั อนิ ดิเคเตอร์แบบสารละลายจะเปลยี่ นสีเมื่อใช้ทดสอบสารละลายท่ีมคี า่ pH อยใู่ นช่วงที่
แตกต่างกัน ดังตวั อย่างตอ่ ไปนี้

ฟีนอล์ฟทาลีน เปน็ สารละลายใสไมม่ สี ซี ่ึงจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู เม่ือใช้ทดสอบความเปน็ กรด-เบสของ
สารละลายทม่ี ีคา่ pH อยรู่ ะหว่าง 8.3-10.0

เมทิลเรด เปน็ สารละลายสแี ดงซง่ึ จะเปลี่ยนเป็นสเี หลือง เม่ือใชท้ ดสอบความเปน็ กรด-เบสของ
สารละลายท่ีมีคา่ pH อย่รู ะหว่าง 4.2-6.2

บรอมไทมอลบลู เปน็ สารละลายสีเหลอื งซ่ึงจะเปล่ียนเปน็ สีน้าเงิน เมอ่ื ใชท้ ดสอบความเป็นกรด-เบสของ
สารละลายทม่ี คี ่า pH อยูร่ ะหว่าง 6.0-7.6

ฟนี อลเรด เป็นสารละลายสีเหลืองซึ่งจะเปลย่ี นเปน็ สแี ดง เมื่อใช้ทดสอบความเป็นกรด-เบสของ
สารละลายที่มีคา่ pH อย่รู ะหวา่ ง 6.8-8.4

ภาพที่ 3.18 ยนู เิ วอร์ซลั อนิ ดิเคเตอร์แบบสารละลาย
ทมี่ า : http://www.pw.ac.th/sci/acid-
base/content/ch8.html

พเี อชมเิ ตอร์ (pH meter)

ภาพท่ี 3.19 pH meter
ทมี่ า : http://www.twellwishes.com/ph-meter/ph-

meter-คือเครื่องวัดคา่ ความเปน็ กรด-ดา่ ง.html

41

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ น้ั พนื้ ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

พเี อชมเิ ตอร์ (pH meter) เปน็ เคร่ืองมือทางอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ใช้วัดค่าพเี อชหรอื ค่าความเป็นกรด-ดา่ ง
ของสารละลาย โดยมีส่วนประกอบหลกั 2 สว่ น ไดแ้ ก่ probe หรอื อิเลก็ โทรด และ เคร่ืองวดั ศกั ย์ไฟฟ้า
(meter) อเิ ล็กโทรดที่พบได้ในห้องปฏบิ ตั ิการสว่ นมากแล้วจะเป็นชนิด glass electrode ท่เี ชือ่ มตอ่ กับ
เคร่ืองวดั ศักยไ์ ฟฟ้าแลว้ เปล่ยี นการแสดงผลเป็นค่าพเี อช

พีเอชอเิ ล็กโทรดจะใช้วัดคา่ แอคติวติ ้ขี องไอออนไฮโดรเจน (activity of hydrogen ions) ท่ีอยู่รอบ
ผนังบางๆ ของกระเปาะแกว้ ซง่ึ อิเล็กโทรดจะให้ค่าความต่างศกั ย์เล็กน้อยประมาณ 0.06 โวลท์ ต่อ หน่วยพเี อช

สว่ นเครอ่ื งวดั ศักย์ไฟฟา้ จะเปลยี่ นค่าศกั ย์ไฟฟา้ ทีว่ ัดไดใ้ หเ้ ป็นคา่ พเี อช โดยค่าความต้านทานในการวดั มี
ค่าสงู มากประมาณ 20 ถงึ 1000 MΩ

การใช้งาน จะต้องปรับเทยี บมาตรฐานกอ่ นการใช้โดยการปรับเทียบกับสารละลายบัฟเฟอรม์ าตรฐาน(พี
เอช 4 ,7 หรือ 10) อย่างน้อย 2 คา่ ท่มี ีคา่ ครอบคลมุ ในชว่ งท่เี ราต้องการวดั วิธกี ารวดั ทาได้โดยล้างอเิ ล็กโทรด
ดว้ ยน้าปราศจากไอออน (deionized water) หรอื นา้ กลน่ั (distilled water) และซับด้วยกระดาษทิชชู แลว้ รีบ
จุ่มอเิ ลก็ โทรดลงในสารละลายที่ต้องการวดั อย่างรวดเร็ว

การเก็บอิเลก็ โทรดห้ามเก็บแห้ง โดยทวั่ ไปเก็บในสารละลายกรดที่มีพีเอชประมาณ 3 และไมเ่ กบ็ หรือ
แชใ่ นน้ากลน่ั เพราะว่าไอออนที่อยู่ในอิเลก็ โทรดจะแพรอ่ อกมาทาใหค้ วามเขม้ ขน้ ของไอออนภายในอิเล็กโทรด
ลดลง โดยปกติแลว้ ควรทาความสะอาดอเิ ล็กโทรดประมาณเดอื นละครั้งโดยการแช่ด้วยกรดไฮโดรคลอรกิ (HCl)
ความเขม้ ขน้ 0.1 โมลาร์ (M)

3.3 อุปกรณ์ท่ีใช้ในการแยกสาร
กระดาษกรอง (Filter paper)

ภาพที่ 3.20 กระดาษกรอง
ท่มี า : http://roongsub.lnwshop.com/p/34

กระดาษกรอง (Filter paper) คอื กระดาษทม่ี ีคุณสมบัติทคี่ ดั เลือกอนภุ าค หรอื ส่ิงเจือปนออกจาก
สารละลาย หรอื อากาศโดยการวางแบบต้ังฉากกบั ทิศทางการไหลของสารละลายทีต่ ้องการกรองกระดาษกรอง
จะมขี นาดของช่องวา่ งแตกต่างกนั ไปหลายขนาดด้วยกัน การเลือกใชข้ ้นึ อยกู่ บั ลักษณะงานแตล่ ะชนดิ คุณสมบัติ
ทสี่ าคญั ของกระดาษกรองประกอบดว้ ย ความคงทนเม่ือเปียก ขนาดของช่องว่าง ความสามารถในการกรอง
อนุภาค อตั ราการไหลของสารทีต่ ้องการกรอง ประสิทธภิ าพและความจุ กลไกทสี่ าคญั ในการกรองดว้ ยกระดาษ
กรองจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ปริมาตร(volume) และผวิ (surface) โดยแบบปรมิ าตร อนภุ าคจะถูกดกั ไว้ชั้นใน
หรอื ในตัวของกระดาษกรอง ส่วนแบบผวิ อนุภาคจะถูกดกั ไวท้ ีผ่ วิ ของกระดาษกรอง

42

ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ ้ันพนื้ ฐาน พรพรรณ ยิ่งยง

สาหรับกระดาษกรองทใ่ี ชใ้ นห้องปฏิบตั กิ าร ก็มีมากมายหลายแบบ แบบจาเพาะกบั งาน และแบบท่ีใช้
ทวั่ ไป วัสดุท่ีนามาใช้ทากระดาษกรอง เชน่ เสน้ ใยจากไม้ คาร์บอน หรือ เส้นใยแก้วควอทซ์ โดยใช้กระดาษกรอง
ร่วมกบั อปุ กรณท์ ี่ใช้ในการกรอง คือ กรวยกรอง หรือ กรวยบชุ เนอร์ ในการทดลองเรื่องการหานา้ หนักสารโดย
วธิ กี ารตกตะกอนน้นั จะต้องใช้กระดาษกรองแบบไม่มเี ถา้ (Ashless) เพ่ือป้องกันตะกอนท่ีตกได้ มีการปนเป้อื น
จากเถ้ากระดาษกรองทเ่ี ผาไหมไ้ มห่ มด นอกจากนน้ั ยังสามารถปรบั คุณสมบัติของกระดาษกรองด้วยสารเคมี
ตา่ งๆ เพื่อใช้สาหรับการตรวจวดั พเี อช(pH) ตรวจการตง้ั ครรภ์ หรือ ตรวจเบาหวานไดอ้ ีกด้วย

เซลโลเฟนหรอื กระดาษแก้ว (cellophane)

ภาพที่ 3.21 กระดาษเซลโลเฟน
ท่ีมา : https://www.chanokintertrade.com/p/943

กระดาษเซลโลเฟน(คล้ายกระดาษแกว้ ) จะยอมให้อนุภาคที่มเี ส้นผา่ นศูนยก์ ลางน้อยกวา่ 10-7 ซม.
เท่านน้ั จงึ จะผ่านไปได้

เซลโลเฟนหรือกระดาษแกว้ (cellophane) เปน็ วัสดทุ ที่ าจากเซลลูโลส (cellulose) ในไมห้ รอื พชื เสน้
ใยอื่น ๆ โครงสร้างทางเคมเี ป็นกระดาษ แตร่ ูปร่างลักษณะจดั เป็นพลาสตกิ เปน็ วสั ดุโปร่งแสงและใส ความช้นื
ผ่านได้มาก อากาศผา่ นไดน้ อ้ ย

กรวยกรอง (Funnel)

ภาพท่ี 3.22 กรวยกรองแกว้
ทมี่ า : http://www.jctsci.com/product/97/funnel-glass-กรวยกรองแก้ว
กรวยกรอง เปน็ อปุ กรณท์ ่ีใช้คู่กบั กระดาษกรอง ( Filter Paper) ในการแยกของแข็งออกจากของเหลว
และมกั จะใช้สาหรบั สวมบิวเรทเม่ือจะเทสารละลายลงในบิวเรท กรวยกรองมีมุมเกอื บๆ 60 องศา และมีทัง้ แบบ
กา้ นสน้ั และก้านยาว กรวยกา้ นยาวจะกรองได้เร็วกวา่ กรวยก้านส้นั ขนาดของกรวยกรองจะใหญห่ รอื วา่ เล็ก
ขึน้ อยูก่ ับความยาวของเส้นผา่ ศนู ย์กลาง (วัดขอบนอก)

43

ทักษะวิทยาศาสตรข์ น้ั พื้นฐาน พรพรรณ ยิ่งยง

กรวยแยก (Separatory funnel)

ภาพที่ 3.23 กรวยแยก
ท่ีมา : https://www.labvalley.com/p/414

กรวยแยก ใช้สาหรับสกัดสารด้วยของเหลวออกจากของเหลว(liquid-liquid extractions) ซง่ึ
สว่ นประกอบของสารผสมจะถกู แยกดว้ ยตัวทาละลาย 2 ชนดิ ที่ไม่ผสมกัน ( 2 เฟส ) โดยทั่วไปเฟสหนึ่งจะเปน็ ตวั
ทาละลายท่มี ีขัว้ และอีกเฟสหน่ึงจะเปน็ ตวั ทาละลายอินทรีย์ (ไม่มีขัว้ ) เช่น อีเทอร์ (ether) ไดคลอโรมเี ทน
(CH2Cl2) คลอโรฟอร์ม (CHCl3) หรือ เอทลิ อะซเิ ตต

กรวยบุชเนอร์ (buchner funnel)

ภาพที่ 3.24 กรวยบุชเนอร์
ที่มา : https://www.labvalley.com/p/262

กรวยบชุ เนอร์ เปน็ อปุ กรณ์ใช้สาหรบั กรองสารแบบลดความดัน สามารถกรองได้รวดเรว็ มากกวา่ การ
กรองแบบธรรมดา โดยใช้รว่ มกับอปุ กรณ์อ่นื ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง คอื กระดาษกรอง (filter paper) ขวดลดความดัน
(suction flask) และเครอื่ งทาสญุ ญากาศ (vacuum pump หรอื aspirator)

ภาพท่ี 3.25 การใชก้ รวยบุชเนอร์
ทม่ี า : https://www.wallerchem.com/p/599

44

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ ัน้ พ้ืนฐาน พรพรรณ ยิ่งยง

ชามระเหย (Evaporating Dish)

ภาพที่ 3.26 ชามระเหย
ที่มา : https://www.labvalley.com/p/234
ชามระเหยมขี นาดต่างๆ กับขึ้นอย่กู บั ความจหุ รือความยาวของเสน้ ผา่ ศนู ย์กลาง ชามระเหยสว่ นมาก
เคลือบท้ังด้านในและดา้ นนอก แตบ่ างทีเคลอื บเฉพาะด้านในด้านเดียวเพื่อทาใหร้ าคาถูกลง ชามระเหยสว่ นมาก
ใช้สาหรับระเหยของเหลวจนแห้ง และเผา ณ อณุ หภมู ทิ ีส่ งู กวา่ 100 องศาเซลเซยี ส

เบา้ เคลอื บและฝา (Porcelain crucible and lid)

ภาพที่ 3.27 เบ้าเคลอื บและฝา
ท่มี า : https://www.labvalley.com/p/120
เบา้ เคลอื บมอี ยู่ 2 ขนาด คือแบบทรงเต้ยี และแบบทรงสูง และมขี นาดตา่ งๆ กันขึ้นอยู่กบั ความจุ เบ้า
มักจะเคลือบท้ังข้างนอกและขา้ งใน ยกเว้นที่กน้ ดา้ นนอก โดยทว่ั ไปใช้ในการเผาสารต่างๆ ท่อี ณุ หภมู สิ ูงและ
มักจะใชใ้ นการเผาตะกอน เน่ืองจากเบ้าเคลือบสามารถถูกเผาในอุณหภูมสิ งู ได้ (ประมาณ 1,200 องศาเซลเซียส)
ถงึ แม้เบา้ เคลอื บจะถูกเผาในอุณหภมู ทิ ่ีสงู แตน่ า้ หนักของเบ้าเคลือบก็ไม่เปลีย่ นแปลง

3.4 ตะเกียงและเครอ่ื งชง่ั
ตะเกียงแอลกอฮอล์ (alcohol-burner)

ภาพท่ี 3.28 ตะเกยี งแอลกอฮอล์
ที่มา : https://www.labvalley.com/p/82

45

ทักษะวิทยาศาสตรข์ นั้ พ้นื ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

ตวั ภาชนะท่บี รรจแุ อลกอฮอล์ท่ีใช้เปน็ เชอื้ เพลิงทาด้วยอลูมิเนียมหรือแกว้ ขนาดสูงประมาณ 3 น้ิว มีฝา
ครอบทาดว้ ยอลูมิเนียมหรือแกว้ เช่นกัน เพ่อื ช่วยในการดับไฟและป้องกนั แอลกอฮอลร์ ะเหย มีไสต้ ะเกยี งทาดว้ ย
เสน้ ดา้ ยดบิ แอลกอฮอลท์ ่ีใชเ้ ปน็ เชอ้ื เพลิง คือ เมทิลแอลกอฮอล์ จะให้ความรอ้ นสงู และไมม่ ีควนั เปลวไฟจาก
ตะเกยี งใชส้ าหรับฆา่ เชื้อทต่ี ดิ มากับเข็มเขย่ี เชื้อ ปากขวดหวั เชือ้ หรอื ปากขวดพดี ีเอ หรอื อาหารวุน้

การใช้ตะเกียงแอลกอฮอล์
- กอ่ นใชต้ ้องสารวจดูสภาพของตะเกยี งวา่ ยังสามารถใชก้ ารได้หรือไม่ เชน่ สว่ นยดึ ไสต้ ะเกยี งไมร่ ้าวหรอื

แตก และปริมาณแอกอฮอลใ์ นตะเกียงมมี ากน้อยเพยี งใด
- ควรปรบั ไสต้ ะเกยี งใหส้ งู พอเหมาะ เมื่อจดุ ไฟแลว้ จะไดเ้ ปลวไฟที่ไม่สูงหรอื ต่าเกนิ ไป
- การเติมแอลกอฮอล์ ควรเตมิ ประมาณครง่ึ หนึ่งของตะเกียง โดยใชก้ รวยและเตมิ ดว้ ยความระมัดระวงั

อยา่ ให้หก เพราะเม่ือจดุ ตะเกียงแล้ว อาจทาให้ไฟไหมล้ กุ ลามได้
- การจดุ ตะเกยี ง ต้องใชก้ ้านไมข้ ดี ห้ามนาตะเกียงไปต่อกนั โดยตรง หรอื ถือตะเกียงทจ่ี ุดแลว้ เดนิ ไปมา

เพราะอาจทาให้แอลกอฮอล์หกและตดิ ไฟ ซึ่งเปน็ อันตรายมาก
- เมอ่ื ใชต้ ะเกยี งแอลกอฮอลเ์ สร็จแลว้ ต้องดบั ตะเกียงทันที โดยใชฝ้ าครอบปดิ ห้ามใช้ปากเปา่ ใหด้ ับ การ

ครอบต้องครอบให้สนทิ ทุกคร้งั เพอ่ื ป้องกนั มิให้แอลกอฮอล์ระเหย
- ควรมีกระป๋องทรายไว้ทง้ิ ก้านไม้ขดี ท่ีจุดไฟแล้ว

ตะเกยี งบุนเซน (Bunsen Burner)

ภาพท่ี 3.29 ตะเกยี งเทอรร์ ิล (Terril burner)
ท่มี า : https://www.labvalley.com/p/161

ตะเกยี งบนุ เซนเป็นตะเกยี งก๊าซทีใ่ ช้ในหอ้ งปฏิบัติการทวั่ ไปเมื่อต้องการอณุ หภมู ิทส่ี งู พอประมาณ
ตะเกียงบนุ เซนสามารถปรบั ปริมาณของอากาศได้แตไ่ มม่ ีท่ีปรับปรมิ าณของกา๊ ซเชอื้ เพลิง ตะเกยี งบนุ เซนมี
ส่วนประกอบดังตอ่ ไปน้ี

1. ฐานของตะเกียง
2. ทอ่ ตัวตะเกียง
3. ช่องทางเขา้ ของก๊าซซงึ่ เปน็ ท่อท่ียนื่ จากฐานของตะเกยี ง
4. ชอ่ งปรับปรมิ าณของอากาศทโี่ ดนท่อตวั ตะเกยี ง

46

ทักษะวิทยาศาสตรข์ ั้นพื้นฐาน พรพรรณ ยิ่งยง

ขอ้ ปฏบิ ัติในการใชต้ ะเกียงบุนเซนมีดงั ต่อไปนี้
1. สวมปลายสายยางข้างหน่งึ กบั ท่อโลหะท่ีย่ืนออกมาจากฐานตะเกียง ส่วนปลายอกี ข้างหนง่ึ ของสาย

ยางตอ่ กบั ท่อกา๊ ซเช้ือเพลิง
2. ปิดช่องทางเข้าของอากาศท่ฐี านของตะเกียงใหส้ นิท
3. จดุ ไม้ขดี ไฟหรือที่จุดไฟ (lighter) รอไว้ทหี่ วั ตะเกยี ง แล้วเปดิ ก๊าซเชอ้ื เพลงิ เขา้ มาในตะเกยี งจะได้

เปลวไฟใหญส่ เี หลือง (luminous flame) หลงั จากน้นั ค่อยๆ เปิดชอ่ งทางเขา้ ของอากาศที่ฐานของตะเกียงแล้ว
ปรบั ให้ได้เปลวไฟไมม่ สี ี (non-luminous flame) ซง่ึ เป็นเปลวไฟทใ่ี ห้ความร้อนสูงท่ีสุด
หมายเหตุ ถ้าเปลวไฟดบั หรือมเี หตกุ ารณ์อย่างอื่นเกดิ ขนึ้ ต้องปดิ ก๊อกกา๊ ซเชื้อเพลิงทนั ทีแลว้ เรมิ่ จุดตะเกียงตาม
ข้นั ตอน 1 , 2 และ 3 การใช้ตะเกยี งบุนเซนไมว่ ่ากรณีใด ๆ ตอ้ งใช้เปลวไฟที่ไม่มสี เี สมอ ยกเว้นการทดลองทรี่ ะบุ
ให้ใช้เปลวไฟสีเหลอื งเท่าน้ัน

4. หลังจากใชต้ ะเกยี งบนุ เซนเสร็จแล้วให้ทาการดับตะเกยี งโดยการลดปรมิ าณของกา๊ ซที่เขา้ มาใน
ตะเกยี งให้นอ้ ยลงและโดยการปรับกอ๊ กกา๊ ซจนกระทั่งเปลวไฟท่ีหัวตะเกยี งเล่ือนมาเกิดที่ฐานตะเกียง แลว้ ทาการ
ปดิ กอ๊ กกา๊ ซทันที

ตะเกียงเทอรร์ ิล (Terril burner)

ภาพท่ี 3.30 ตะเกยี งเทอรร์ ลิ (Terril burner)
ที่มา : https://www.flinnsci.com/tirrill-burner-

natural-gas/ap1019/

ตะเกียงเทอรร์ ลิ เป็นตะเกยี งที่ได้ดดั แปลงแก้ไขมาจากตะเกียงบุนเซน ทาให้สามารถปรบั ปริมาณของ
อากาศและกา๊ ซไดท้ ีต่ ัวตะเกียง ปรมิ าณของกา๊ ซปรับไดโ้ ดยหมุนปมุ่ เกลียวทฐ่ี านของตะเกียงขึ้นหรือลง ตะเกียง
ชนิดนีส้ ามารถใชเ้ ผาเบา้ ทองคาขาวท่ีปดิ ผาได้อุณหภมู สิ งู ถึง 1,050 - 1,150 องศาเซลเซียส และเผาเบ้าเคลอื บที่
ปิดผาไดอ้ ุณหภมู ิสูง 600 - 700 องศาเซลเซยี ส

47

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ ั้นพื้นฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง

ตะเกียงมีเกอร์ (Meker burner) ภาพท่ี 3.31 ตะเกยี งมีเกอร์ (Meker burner)
ทม่ี า : https://www.pinterest.com/pin/83999-

1767979379291/

เปน็ ตะเกียงท่ีมีการปรับปรงุ แกไ้ ขใหท้ างเขา้ ของอากาศกว้างพอทีใ่ หป้ รมิ าณของอากาศผ่านเข้าใน
ตะเกยี งพอสมควร เพื่อให้เกิดการเผาไหม้อยา่ งสมบูรณ์ ตะเกียงนีม้ ลี ักษณะดังน้ี ตอนโคนตัวตะเกยี งเล็ก แคบ
และโตกวา้ งในตอนใกล้ตวั ตะเกียง ซ่งึ ทาใหก้ ารผสมของอากาศและก๊าซเหมาะสมดขี น้ึ มีตะแกรงลวดนกิ เกิลติด
อยทู่ หี่ ัวของตะเกียงเพ่ือปอ้ งกันเปลวไฟสะท้อนกลับ อณุ หภูมิสงู สดุ ของเปลวไฟจะอยู่สงู กว่าหวั ตะเกยี งประมาณ
2 - 3 มลิ ลิเมตร ตะเกียงมีเกอรเ์ หมอื นตะเกียงเทอรร์ ิลตรงท่ีสามารถปรับปรมิ าณของอากาศและก๊าซไดท้ ่ตี ัว
ตะเกยี ง ตะเกียงมีเกอร์สามารถเผาเบา้ ทองคาท่ีปิดฝาไดอ้ ุณหภมู ิสงู ถงึ 1,000 - 1,200 องศาเซลเซยี ส และเผา
เบ้าเคลือบทป่ี ดิ ผาได้อณุ หภมู ิสงู 800 - 900 องศาเซลเซยี ส

เคร่ืองชั่งแบบ (Equal-arm balance)
เปน็ เคร่อื งช่งั ท่ีมแี ขน 2 ข้างยาวเทา่ กนั เม่ือวัดระยะจากจดุ หมนุ ซง่ึ เปน็ สันมดี ขณะทแ่ี ขนของเคร่ืองชงั่

อยูใ่ นสมดุล เมื่อต้องการหาน้าหนักของสารหรือวัตถุ ใหว้ างสารนั้นบนจานดา้ นหนึ่งของเครอ่ื งชงั่ ตอนน้แี ขนของ
เคร่ืองชง่ั จะไม่อยใู่ นภาวะทสี่ มดุลจงึ ต้องใสต่ ุ้มนา้ หนกั เพ่ือปรับใหแ้ ขนเคร่ืองชง่ั อย่ใู นสมดลุ

ภาพท่ี 3.32 เครื่องช่งั แบบ Equal-arm balance
ที่มา : http://intereducation.co.th/th/product/

เคร่ืองชงั่ สองแขนพร้อม/

วิธกี ารใช้เครอ่ื งชง่ั แบบ (Equal-arm balance)
1.จัดให้เครอื่ งชงั่ อยูใ่ นแนวระดับก่อนโดยการปรับสกรูท่ีขาต้งั แล้วหาสเกลศูนยข์ องเคร่ืองชัง่ เมอ่ื ไม่มี

วตั ถุอย่บู นจาน ปล่อยท่รี องจาน แล้วปรับใหเ้ ขม็ ช้ีที่เลข 0 บนสเกลศูนย์
2. วางขวดบรรจสุ ารบนจานทางด้านซา้ ยมือและวางตุ้มน้าหนักบนจานทางขวามือของเคร่ืองชงั่ โดยใช้

คีบคมี
3. ถา้ เขม็ ช้มี าทางซ้ายของสเกลศูนย์แสดงว่าขวดชัง่ สารเบากวา่ ตมุ้ น้าหนัก ต้องยกปุ่มควบคมุ คานข้นึ

เพื่อตรึงแขนเครอื่ งช่ังแลว้ เตมิ ตุ้มน้าหนักอีก

48

ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ ้นั พน้ื ฐาน พรพรรณ ย่งิ ยง

ถ้าเขม็ ช้ีมาทางขวาของสเกลศูนยแ์ สดงว่าขวดชัง่ สารเบากว่าตุม้ นา้ หนัก ต้องยกปุ่มควบคุมคานขน้ึ เพื่อตรงึ แขน
เครอ่ื งชง่ั แล้วเอาต้มุ น้าหนักออก

4. ในกรณีทีต่ ุ้มน้าหนักไมส่ ามารถทาให้แขนทง้ั 2 ข้างอย่ใู นระนาบได้ ให้เลื่อนไรเดอร์ไปมาเพื่อปรับให้
น้าหนักทงั้ สองขา้ งให้เทา่ กนั

5. บันทกึ นา้ หนักท้ังหมดที่ชง่ั ได้
6. นาสารออกจากขวดใส่สาร แลว้ ทาการช่ังนา้ หนักของขวดใส่สาร
7. น้าหนกั ของสารสามารถหาไดโ้ ดยนานา้ หนกั ทชี่ ่ังไดค้ ร้ังแรกลบนา้ หนักที่ชงั่ ได้ครั้งหลัง
8. หลังจากใช้เครื่องชงั่ เสร็จแลว้ ให้ทาความสะอาดจาน แล้วเอาตมุ้ นา้ หนักออกและเล่ือนไรเดอร์ให้อย่ทู ่ี
ตาแหน่งศูนย์

เครือ่ งชัง่ แบบ (Triple-beam balance)
เปน็ เครอ่ื งช่ังชนิด Mechanical balance อีกชนดิ หนึ่งท่ีมีราคาถูกและใชง้ า่ ย แต่มีความไวนอ้ ย เครอ่ื ง

ชงั่ ชนิดนีม้ แี ขนข้างขวาอยู่ 3 แขนและในแต่ละแขนจะมขี ีดบอกน้าหนักไว้เชน่ 0-1.0 กรัม 0-10 กรมั 0-100
กรมั และยังมตี มุ้ น้าหนักสาหรบั เลอ่ื นไปมาได้อกี ดว้ ย แขนท้ัง 3 นีต้ ิดกบั เข็มชี้อันเดยี วกัน

ภาพที่ 3.33 เคร่ืองชัง่ แบบ Triple-beam balance
ทีม่ า : https://www.lgtool.com/product/เครื่องชั่ง
แบบ3คาน-Triple-Beam-Balance-PROVA-MB2610

วิธีการใช้เคร่ืองช่ังแบบ (Triple-beam balance)
1. ตัง้ เครือ่ งชง่ั ให้อยู่ในแนวระนาบ แล้วปรบั ให้แขนของเคร่ืองชงั่ อยู่ในแนบระนาบโดยหมนุ สกรูให้เข็มชี้

ตรงขีด 0
2. วางขวดบรรจสุ ารบนจานเครอื่ งชั่ง แลว้ เลอื่ นตุ้มน้าหนกั บนแขนทงั้ สามเพ่ือปรับให้เข็มชี้ตรงขีด 0

อา่ นนา้ หนกั บนแขนเครอ่ื งช่ังจะเปน็ นา้ หนักของขวดบรรจุสาร
3. ถ้าตอ้ งการชงั่ สารตามน้าหนกั ท่ีต้องการก็บวกน้าหนักของสารกบั นา้ หนกั ของขวดบรรจสุ ารท่ไี ดใ้ นข้อ

2 แล้วเลอื่ นตุ้มนา้ หนักบนแขนทัง้ 3 ให้ตรงกับน้าหนักทีต่ ้องการ
4. เติมสารท่ตี อ้ งการชง่ั ลงในขวดบรรจสุ ารจนเข็มชตี้ รงขดี 0 พอดี จะได้น้าหนกั ของสารตามตอ้ งการ
5. นาขวดบรรจสุ ารออกจากจานของเครอ่ื งชั่งแล้วเลือ่ นตมุ้ น้าหนกั ทุกอันให้อย่ทู ่ี 0 ทาความสะอาด

เครือ่ งช่ังหากมสี ารเคมีหกบนจานหรือรอบ ๆ เครื่องชั่ง
หมายเหตุ การหานา้ หนักของสารอาจหาน้าหนักทง้ั ขวดบรรจุสารและสารรวมกนั ก่อนก็ได้ แลว้ ช่ังขวด

บรรจสุ ารอย่างเดียวทหี ลงั ต่อจากน้ันกเ็ อานา้ หนักทงั้ 2 ครั้งลบกนั ผลที่ไดจ้ ะเปน็ นา้ หนักของสารท่ีต้องการ

49

ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ นั้ พื้นฐาน พรพรรณ ยิ่งยง

เคร่อื งชงั่ ดิจิตอล (digital scale)

ภาพท่ี 3.34 เคร่ืองช่งั ดจิ ิตอล
ท่ีมา : http://www.labthai.com/ms204.html

การใช้งานเครอ่ื งช่ังดจิ ิตอล
1.กอ่ นใชง้ านเครื่องชั่งทุกคร้งั ต้องดูวา่ ระดับลูกนา้ ของเครอื่ งชั่งอย่ตู รงกลางวงกลมหรือเปลา่ ถา้ ยงั ไม่อยู่ ควร
ปรับทนั ที
2. เปดิ เครื่องช่ังอนุ่ เคร่ืองประมาณ 20-30 นาทีก่อนใชง้ านทกุ ครั้ง
3. ควรหมนั่ ตรวจสอบเคร่อื งช่ังบา้ ง สักเดอื นละคร้งั โดยใช้ตุ้มน้าหนกั มาตรฐานมาวางทดสอบบนเครื่องชง่ั
สังเกตดวู า่ เครื่องช่งั อา่ นน้าหนักได้ถกู ต้องหรอื เปลา่ ถ้าไม่ไดต้ าม spect ของเคร่ืองชงั่ ก็ควร calibrate
เครื่องชั่งใหม่
4. ในกรณีทม่ี ีสารเคมหี กใสบ่ นเครื่องชั่ง ใหเ้ อาผา้ ชบุ น้า หรอื แปรงขนอ่อน ทาความสะอาดทนั ที่
5. ในการวางภาชนะเพื่อต้องการหกั ค่าภาชนะ ควรวางลงบนจานเครือ่ งช่ังด้วยความระมัดระวงั ห้ามวางกระ
แทรกเด็ดขาด เพราะอาจทาใหร้ ะบบแม็กคานิกสเ์ สียได้
6. หลงั จากใชง้ านเครื่องชง่ั แล้ว ต้องการปดิ เคร่ือง ถา้ ยังมนี ้าหนักคา้ งอยู่ ให้ กด ปุ่ม 0 เคลียรห์ นา้ จอให้หมด
แล้วจึงปดิ เคร่อื งช่ัง
7. หลงั จากปิดเครอ่ื งชง่ั แลว้ หา้ มเอาสิง่ ของวางไวบ้ นจานชั่ง

50


Click to View FlipBook Version