ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ ้นั พ้ืนฐาน พรพรรณ ย่ิงยง
3.5 อุปกรณ์อื่นๆ ภาพที่ 3.35 กระจกนาฬกิ า
กระจกนาฬกิ า (Watch Grass) ท่มี า : https://www.labvalley.com/p/258
กระจกนาฬิกามีรปู ทรงคลา้ ยกระจกนาฬิกาเรือนกลม มีหลายขนาดขึน้ อยูก่ บั ความยาวของ
เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง กระจกนาฬิกาใช้สาหรบั ปิดบีกเกอรห์ รืออปุ กรณ์อน่ื ๆ เพื่อป้องกันสารอน่ื ๆ หรือฝุ่นละอองตก
ลงในสารละลายท่บี รรจุอยู่ในบีกเกอร์และใชป้ ้องกนั สารละลายกระเดน็ ออกจากบีกเกอร์เมอ่ื ทาการต้มหรือ
ระเหยสารละลาย
Clamp and Clamp holder
ภาพที่ 3.36 Clamp and Clamp holder
ท่มี า : https://en.m.wikipedia.org/wiki/File:Clamp_holder_with_utility_clamp.jpg
Clamp ทาด้วยเหลก็ และมีไมค้ อร์กหมุ้ ด้านในท่ีแตะกบั แก้ว มกั จะใชร้ ่วมกบั Stand โดยมี Clamp
holder เป็นตวั เช่ือม Clamp ใชส้ าหรับจบั อปุ กรณ์ตา่ งๆ เชน่ ขวดปรมิ าตร Clamp ที่ใชจ้ ับบิวเรทเรยี กวา่
Buret Clamp
Stand and ring
ภาพท่ี 3.37 Stand and ring
ทมี่ า : http://aase-lab.com/product/ring-stand-clamp/
Stand เป็นอปุ กรณส์ าหรับติดตง้ั Clamp โดยมี Clamp Holder เป็นตวั เช่อื มและตดิ ต้ัง Buret
Clamp สว่ น Iron Ring ซง่ึ ตดิ กบั stand ใช้สาหรบั วางหรือต้งั ขวดปรมิ าตรโดยมีตะแกรงลวดรองรับ
51
ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ ้นั พื้นฐาน พรพรรณ ย่ิงยง
Test tube holder ภาพที่ 3.38 Test Tube Holder
ทม่ี า : https://www.labvalley.com/p/509
Test Tube Holder ทาจากวัตถหุ ลายชนดิ เชน่ ไมห้ รือลวดเหลก็ ใช้สาหรับจับหลอดทดสอบ เนื่องจาก
เม่อื ใช้หลอดทดสอบท่บี รรจขุ องเหลวตม้ ไอระเหยทเ่ี กิดจากการตม้ ของเหลวภายในหลอดจะทาให้มอื ท่ีจับร้อน
ฉะนั้นจงึ ควรใช้ Test Tube Holder ในการจับหลอดทดสอบ แต่อย่าใช้ Test Tube Holder จบั บกี เกอรห์ รือ
ขวดปริมาตรเพราะจะทาให้ลื่นตกแตกได้ และอยา่ ใช้คบี หรือจบั เบ้าเคลือบและฝา เพราะเบ้าเคลอื บต้องใชจ้ บั
ด้วย Crucible Tong
Test tube rack
ภาพที่ 3.39 ตะแกรงใสห่ ลอดทดลอง
ท่ีมา : https://www.labvalley.com/p/88
Test Tube Rack ใชส้ าหรับตง้ั หลอดทดสอบ มีทัง้ ทาด้วยไมแ้ ละโลหะ
Funnel support
ภาพที่ 3.40 Funnel Support
ทีม่ า : https://www.flinnsci.com/funnel-support-metal-clamp-size-4/ap8222/
Funnel Support ใช้สาหรับตั้งกรวยกรองเม่ือทาการกรองสารละลาย
52
ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ น้ั พนื้ ฐาน พรพรรณ ยงิ่ ยง
Triangle
ภาพที่ 3.41 ลวดสามเหลี่ยม (pipe clay triangle)
ทมี่ า : https://www.labvalley.com/p/307
Triangle มที งั้ ทีท่ าจากหลอดดนิ เหนยี วสวมคลุมลวดเหลก็ ทเ่ี รยี กวา่ pipestem clay triangle และที่
ทาจากลวด nichrome หรอื chromel สวมคลุมด้วย silliminite หรอื fused silica Triangle ทีใ่ ชก้ ันมากและ
มรี าคาถูกก็คือ Triangle ทีท่ าจากหลอดดนิ เหนียว แต่ Triangle ทที่ าจากลวดจะมีความทนทานกวา่ และมีราคา
ทแี่ พงกวา่ สว่ นมากTriangle ใชส้ าหรับตังเบา้ เคลือบเมอ่ื เผาด้วยเปลวไฟจากตะเกยี งบุนเซ็น
ขวดช่ัง (weighing bottle)
ภาพที่ 3.42 ขวดช่ัง
ที่มา : https://www.labvalley.com/p/114
ขวดชั่งมลี กั ษณะเป็นขวดเล็กๆ ก้นแบนและขา้ งตรงทีป่ ากและขอบของจกุ เป็นแก้วฝ้า ขวดชัง่ มีหลาย
แบบท้งั แบบทรงสงู แบบทรงเตย้ี และแบบทรงกรวย และยังมีหลายขนาดขึ้นอยู่กบั ปริมาตรหรอื ความสูงกับ
เสน้ ผ่าศนู ยก์ ลางของปาก ขวดช่งั ใช้สาหรบั ใสส่ ารทีจ่ ะนาไปชง่ั ด้วยเครอื่ งชง่ั แบบวิเคราะห์
ขวดปริมาตร (Volumetric Flask)
ขวดปริมาตร เป็นเครื่องมือท่ีใชเ้ ตรียมสารละลายมาตรฐานหรือสารละลายทม่ี ีความเข้มข้นนอ้ ยกวา่
สารละลายเดิมได้ ขวดปรมิ าตรมหี ลายขนาดและมีความจตุ ่าง ๆ กัน เช่น ขนาด 50 มล. 100 มล. 250 มล. 500
มล. 1,000 มล. และ 2,000 มล. เปน็ ต้น แบ่งตามรปู ร่างและลักษณะการใช้ได้ดังตอ่ ไปน้ี
1. ขวดปริมาตรฟลอเรนส์ (Florence Flask) หรือเรยี กว่า Flat Bottomed Flask มีลักษณะคล้ายลกู
บอลลนู มักจะใชส้ าหรบั ตม้ น้า เตรียมแกส๊ และเป็น wash bottle
53
ทักษะวิทยาศาสตรข์ นั้ พื้นฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง
ภาพท่ี 3.43 ขวดปรมิ าตรฟลอเรนส์
ท่มี า : https://vet.kku.ac.th/physio/labbiochem/
16/volumetric%20flask.html
2. ขวดปริมาตรก้นกลม (Round Bottom Flask) ขวดปรมิ าตรชนดิ น้ีมลี ักษณะเหมือนกับ Florence
Flask แต่ตรงกน้ ขวดจะมลี ักษณะกลมทาใหไ้ มส่ ามารถต้ังได้
ภาพท่ี 3.44 ขวดปริมาตรกน้ กลม
ท่ีมา : https://www.labvalley.com/p/538
3. ขวดปริมาตรกลน่ั (Distilling Flask) ขวดปรมิ าตรชนดิ น้ีนิยมใช้ในการกล่นั ของเหลว
ภาพท่ี 3.45 ขวดปริมาตรกล่ัน
ทีม่ า : https://vet.kku.ac.th/physio/labbio-
chem/16/volumetric%20flask.html
คีม (Tong)
ภาพท่ี 3.46 crucible tong , flask tong , beaker tong
ท่ีมา https://www.labvalley.com/p/51,50,52,
คีมมีอยู่หลายชนิด คีมที่ใชก้ บั ขวดปริมาตรเรยี กวา่ flask tong คีมที่ใชก้ ับบีกเกอร์เรียกวา่ beaker
tong และคมี ทใี่ ช้กบั เบ้าเคลอื บเรียกวา่ crucible tong ซงึ่ ทาด้วยนเิ กิ้ลหรือโลหะเจือเหลก็ ท่ไี ม่เปน็ สนิม แต่อยา่
นา crucible tong ไปใชจ้ บั บีกเกอร์หรือขวดปริมาตรเพราะจะทาใหล้ ่ืนตกแตกได้
54
ทักษะวิทยาศาสตรข์ ัน้ พื้นฐาน พรพรรณ ยิ่งยง
ตะแกรงลวด (Wire gauze) ภาพท่ี 3.47 ตะแกรงลวด
ทมี่ า : https://www.labvalley.com/p/212
ตะแกรงลวดมีทงั้ ท่ีทาจากลวดเหล็กและที่ทาด้วยลวด nichrome หรือ chromel ซ่งึ ไม่เกิดสนิมและ
ใชไ้ ด้ระยะเวลานานกว่า ตะแกรงลวดเปน็ รูปสเี่ หลยี่ มจตุรัสและมีใยหิน (asbestos) คลุมเปน็ วงกลมที่ตากึ่งกลาง
ตะแกรง ตะแกรงลวดใชส้ าหรบั ตงั้ บกี เกอร์ ขวดปรมิ าตร และอนื่ ๆ ท่ีนามาตม้ สารละลายด้วยเปลวไฟ
โกร่งบดและท่ีบด (Mortar and Pestle)
ภาพท่ี 3.48 โกร่งบดและที่บด
ท่มี า : https://www.labvalley.com/p/1516
โกร่งบดยา (Mortar and Pestle) คอื เครือ่ งมือท่เี ภสัชกรใชบ้ ดยาและปรงุ ยาซง่ึ ประกอบดว้ ยตัวโกร่ง
(mortar) และลกู บด (Pestle) โดยทวั่ ไปโกร่งจะมีลกั ษณะคลา้ ยกบั ชามค่อนข้างหนาปากกวา้ ง ภายในผิวเรยี บ
มนั สว่ นใหญโ่ กรง่ บดยาจะทาด้วยกระเบื้องพอรซ์ เลน(porcelain) ใช้สาหรับใส่วัสดุทีจ่ ะบด ลกู บดมีลกั ษณะเป็น
แทง่ ใช้สาหรบั บดหรอื ทุบวัสดุท่ตี ้องการใหล้ ะเอียดและผสมเข้ากันส่วนมากจะทาด้วยไม้ โกรง่ จงึ เป็นสญั ลกั ษณ์
ของวิชาชพี เภสชั กรรมอยู่ประจารา้ นขายยาในเวลาต่อมา
แปรง (Brush)
ภาพท่ี 3.49 แปรงทาความสะอาดอุปกรณ์ในห้องปฏิบตั ิการ
ท่ีมา : https://www.labvalley.com/p/1251
55
ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ น้ั พื้นฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง
แปรงใชส้ าหรบั ทาความสะอาดอุปกรณช์ นิดต่างๆ แปรงล้างเคร่อื งแก้วมหี ลายขนาดและมีหลายชนดิ
ควรจะเลือกใช้ใหเ้ หมาะสมกับลกั ษณะของเคร่ืองแกว้ น้ันๆ เชน่ Test Tube Brush ใชส้ าหรบั ทาความสะอาด
หลอดทดสอบ Flask Brush ใช้สาหรับทาความสะอาดขวดปรมิ าตร และ Buret Brush ท่ีมีลักษณะเปน็ แปรง
ก้านยาวใชส้ าหรับทาความสะอาดบิวเรท การใชแ้ ปรงลา้ งเครื่องแก้วตอ้ งระมัดระวังใหม้ าก อยา่ ถแู รงเกินไป
เน่ืองจากก้านแปรงเปน็ โลหะเมือ่ ไปกระทบกบั แก้วอาจทาให้แตกและเกดิ อันตรายได้
แท่งแกว้ (stirring lod)
ภาพท่ี 3.50 แท่งแก้วคนสาร
ที่มา : https://www.labvalley.com/p/1317
แท่งแก้วใชส้ าหรบั คนสารละลายใหผ้ สมกันเป็นเนื้อเดียวกันอยา่ งสมา่ เสมอ หรอื ใช้เมอื่ จะเทสารละลาย
จากภาชนะหน่ึงลงในภาชนะอกี ชนิดหน่งึ โดยจะเทสารละลายใหไ้ หลไปตามแท่งแกว้ แทง่ แก้วท่ีมยี างสวมอยู่
ปลายข้างหนึง่ เรียกวา่ Policeman จะใช้สาหรบั ปัดตะกอนท่ีเกาะอยู่ขา้ งๆ ภาชนะและถูภาชนะใหป้ ราศจากสาร
ตา่ งๆ ท่เี กาะอยู่ขา้ งๆ ยางสวมนั้นต้องแนน่
วธิ ีการใช้
วธิ ีที่ 1 การกวนสารละลายด้วยแท่งแกว้ เปน็ การกวนของแขง็ ให้ละลายในเนือ้ เดียวกนั กับสารละลาย
หรอื เป็นการกวนใหส้ ารละลายผสมกันโดยใช้แทง่ แก้ว การกวนสารละลายต้องกวนไปในทศิ ทางเดียว และระวงั
อย่าให้แท่งแก้วกระทบกับข้างหลอดทดลองหรือกน้ หลอดทดลอง เพราะจะทาใหห้ ลอดทดลองทะลุได้ หากเปน็
การผสมสารละลายที่มจี านวนมากก็ควรใช้บกี เกอรแ์ ทนหลอดทดลองและใช้เทคนิคการกวนสารละลาย
เช่นเดยี วกัน
วธิ ีท่ี 2 การหมนุ สารละลายด้วยข้อมือ เป็นเทคนิคการผสมสารละลายในหลอดทดลอง กระบอกตวง
หรอื ฟลาสให้มีลักษณะเป็นเน้ือเดยี วกนั ทุกส่วนวิธหี นึง่ โดยใช้มอื จบั ทางส่วนปลายของอปุ กรณ์ดังกลา่ วแล้วหมนุ
ด้วยมือให้สารละลายข้างในไหลวนไปทศิ ทางเดยี วกัน
56
ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ ้ันพนื้ ฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง
ชอ้ นตกั สาร (spatula) ภาพที่ 3.51 ช้อนตักสาร
ทม่ี า : https://www.labvalley.com/p/49
ช้อนตกั สาร (spatula) ใช้ตักสารเคมีที่อย่ใู นรูปของแข็ง เพ่อื นาไปช่ังนา้ หนกั ให้ได้ปริมาณสารเคมีตาม
ตอ้ งการ ทาดว้ ยพลาสติก หรือสแตนเลส (stainless steel) เมือ่ ใช้ช้อนตกั สารแลว้ ต้องทาความสะอาด และผง่ึ
ใหแ้ หง้ ก่อนทจี่ ะใช้ช้อนตกั สารชนิดอื่นๆ มเิ ช่นนัน้ แล้วจะทาใหส้ ารเคมใี นขวดเกิดการปนเปื้อนได้วิธีใช้ คอ่ ยๆเปิด
ขวดสารแลว้ หงายจุกวางไว้ใชช้ ้อนตกั สาร แลว้ ใช้น้วิ หรอื ก้านดนิ สอเคาะก้านชอ้ นเบาๆเพ่อื เทสารในชอ้ นออก
ตามปริมาณทต่ี ้องการ ถ้าเป็นชอ้ นทมี่ ีเบอร์สาหรับตวงสารปริมาณต่างกัน ใหต้ ักสารกอ่ นแลว้ จึงใชด้ ้ามชอ้ นอีก
ดา้ มหนึ่งปาดผิวใหเ้ รยี บ โดยไม่ตอ้ งกดใหแ้ น่นจะได้สาร 1 ชอ้ นในปรมิ าณตามเบอร์น้นั ๆ
การเก็บรักษา
1. เมอ่ื ใชช้ ้อนตกั สารเสร็จแล้วตอ้ งทาความสะอาดช้อนให้แหง้ กอ่ นทีจ่ ะใช้ชอ้ นตักสารชนิดอ่นื
2. หา้ มใชช้ อ้ นตกั สารขณะท่ยี ังร้อน
สามขา (Tripod)
ภาพท่ี 3.52 สามขา
ที่มา : www.scitrader.co.th/product/ce-371/
สามขาทาด้วยเหลก็ และความสงู ของสามขาท่ใี ชข้ ึ้นอยู่กับความสูงของตะเกียงบนุ เซน็ สามขาใช้สาหรับ
ตั้งบีกเกอรห์ รอื ขวดปรมิ าตรเมอื่ ตม้ สารละลายท่บี รรจุอยูโ่ ดยมตี ะแกรงรองรับ หรอื ตง้ั เบ้าเคลอื บเมื่อเผาด้วย
เปลวไฟโดยวางบน Triangle
หลอดทดลอง (Test Tube)
ภาพท่ี 3.53 หลอดทดลอง
ทีม่ า : https://www.labvalley.com/p/99
57
ทักษะวิทยาศาสตรข์ ั้นพ้นื ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง
หลอดทดลอง (test tube) ใช้สาหรบั ใส่สารละลาย หรอื สารเคมใี ด ๆ ในปริมาณน้อย ๆ เพอ่ื ทดสอบ
ปฏิกริ ิยาเคมที ี่เกิดขน้ึ ในระบบเล็ก โดยใชร้ ่วมกับทว่ี างหลอดทดลอง (test tube rack) สามารถทดลองปฏกิ ริ ิยา
ไดพ้ ร้อมกนั หลายชุด ในระบบเปิดและปิด หากทาในระบบปิดจะใช้จุกยางปิดด้านบน
หลอดทดลองสว่ นมากใชส้ าหรับทดลองปฏิกิรยิ าเคมรี ะหว่างสารตา่ งๆ ที่เป็นสารละลาย ใช้ตม้ ของเหลว
ทีม่ ีปริมาตรน้อย ๆ โดยมี test tube holder จับกันร้อนมือ
หลอดทดลองแบบทนไฟจะมีขนาดใหญ่ และหนากว่าหลอดธรรมดา ใช้สาหรับเผาสารต่างๆ ด้วยเปลว
ไฟโดยตรงในอุณหภมู ิทีส่ ูง หลอดชนิดน้ีไม่ควรนาไปใชส้ าหรับทดลองปฏิกิรยิ าเคมรี ะหว่างสารเหมอื นหลอด
ธรรมดา
วธิ กี ารเก็บรักษา
1. ลา้ งทาความสะอาดดว้ ยแปรงล้างหลอดทดลอง
2. เก็บใส่ตะกรา้ ตง้ั ไว้ในทป่ี ลอดภัย
การใหค้ วามร้อนเม่ือของเหลวอย่ใู นหลอดทดลอง ควรปฏิบัตดิ ังน้ี
1.1 ปรมิ าตรของของเหลวไม่ควรเกินคร่งึ หนง่ึ ของหลอดทดลอง
1.2 ถอื หลอดทดลองดว้ ยท่จี บั หลอดทดลอง อยา่ จบั หลอดทดลองด้วยนิว้ มอื โดยตรง (ถ้า ไมม่ ที จี่ บั
หลอดทดลองอาจใชก้ ระดาษแผ่นเล็ก ๆ ยาว ๆ พันรอบปากหลอดทดลองหลาย ๆ รอบ แล้วใช้นิ้วหวั แม่มือกับ
น้วิ ทีจ่ ับกระดาษก็ได้)
ภาพท่ี 3.54 การให้ความร้อนเมื่อของเหลวในหลอดทดลอง
ทม่ี า : http://www.cdw.ac.th/chem-
sayam/hotsolv.html
1.3 นาหลอดทดลองไปให้ความร้อนโดยตรงจากเปลวไฟควรใชเ้ ปลวไฟอ่อน ๆ และเอียง หลอดทดลอง
เล็กน้อย พยายามใหส้ ่วนทีเ่ ป็นของเหลวในหลอดทดลองถูกเปลวไฟทลี ะน้อย พร้อมแกวง่ หลอดทดลองไปมา
เมื่อของเหลวรอ้ นจะระเหยกลายเปน็ ไอ
ขอ้ ควรระวัง การตม้ ของเหลวในหลอดทดลองมขี ้อท่ีควรระมดั ระวงั ดงั นี้
1. ขณะให้ความร้อนหลอดทดลองจะต้องหันปากหลอดทดลองออกจากตัวเรา และช้ีไป ในทิศทางทไ่ี ม่มี
ผู้อื่น หรือส่งิ ของอยใู่ กล้ ๆ ทัง้ นีเ้ พราะเมือ่ ของเหลวเดอื ดอาจจะพุง่ ออกมานอกหลอดทดลองทาให้เกิดอนั ตราย
ได้
2. อย่าก้มดูของเหลวในหลอดทดลองขณะกาลังให้ความรอ้ นเปน็ อันขาด เพราะถา้ ของ เหลวพงุ่ ออกมา
อาจเปน็ อันตรายตอ่ ใบหน้าและนัยตาได้
3. ขณะให้ความรอ้ นแก่ของเหลวในหลอดทดลอง ต้องแกว่งหลอดทดลองไปดว้ ยเพือ่ ให้ ของเหลวใน
หลอดทดลองเคลื่อนไหวและได้รบั ความรอ้ นเท่าเทียมกนั ทุกส่วน และยงั ช่วยปอ้ งกนั ของเหลวพ่งุ ออกมาด้วย
58
ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐาน พรพรรณ ยงิ่ ยง
หลอดหยด (dropper)
ภาพที่ 3.55 หลอดหยด
ที่มา : https://www.labvalley.com/p/434
หลอดหยด (dropper) เป็นอุปกรณ์พื้นฐานท่วั ไป ใชส้ าหรับหยดสารละลาย หรือใช้ชว่ ยเตรยี ม
สารละลายร่วมกับขวดวัดปริมาตร โดยหยดเพอื่ ปรับปริมาตรใหถ้ ึงขีดบอกปริมาตร ซ่งึ จะตอ้ งใช้รว่ มกับจุกยาง
แบบไส้กรอก ขนาดเล็กบีบเพ่ือดดู สารละลายเขา้ มา และหยดสารละลายไดด้ ้วยการค่อยๆ คลายการบีบจกุ ยาง
ออก สามารถทาใชไ้ ด้เองในห้องปฏบิ ตั ิการ โดยใชแ้ ก้วกลวง ตัดใหไ้ ด้ขนาดประมาณ 30 เซนตเิ มตร ให้ความร้อน
ด้วยตะเกียงบนุ เสน ตรงกลางหลอดอย่างสมา่ เสมอด้วยการหมนุ แท่งแก้ว เม่ือแท่งแก้วรอ้ นแลว้ ใหน้ าออกจาก
เปลวไฟ และรบี ดึงออก ก็จะได้ปลายหลอดหยด ส่วนการทาปลายอกี ดา้ นหนึงใหแ้ บนเพ่ือใชส้ วมกบั จกุ ยาง ทาได้
โดยใหค้ วามรอ้ นทีป่ ลายและหมุนอยา่ งสม่าเสมอ จากนั้นนาออกและกดลงบนแผ่นกระเบื้องเป็นอนั เสร็จ เรยี กวา่
การทาแฟริ่ง (flaring)
วิธใี ช้
หลอดหยดใช้สาหรบั ดูดของเหลวตา่ งๆทใ่ี ชใ้ นการปฏิบตั ิการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เช่น ดูด
สารละลายด่างทับทิม เกลือแกง กรดต่างๆเป็นต้น หลอดหยดเมื่อดดู สารชนิดหน่ึงแลว้ ห้ามนาไปดูดสารต่างชนดิ
กัน ถา้ ยงั ไมไ่ ดท้ าความสะอาด
การเกบ็ รักษา
ใช้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทาความสะอาดเช็ดให้แหง้ เก็บไวใ้ นตู้อุปกรณ์
ข้อควรระวงั
1. อยา่ ใหป้ ลายหลอดหยด กระทบหรอื แตะกับปลายหลอดทดลอง
2. อยา่ ใหส้ ารสมั ผสั กบั กระเปาะยางเพราะจะทาใหส้ ารละลายถูกปนเปื้อนได้ และถ้าสารละลายมีฤทธ์ิ
เป็นกรดกจ็ ะกัดกรอ่ นกระเปาะยางด้วย ดงั นนั้ เม่ือทาการทดลองเสรจ็ แลว้ ควรรีบดงึ กระเปาะยางออกจาก
หลอดแก้วทนั ที
59
ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้นั พนื้ ฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง
โถดูดความชนื้ (desiccator)
ภาพที่ 3.56 โถดดู ความชื้น
ทมี่ า : https://www.labvalley.com/p/233
โถดูดความชน้ื (desiccator) เดซกิ เคเตอร์ใชส้ าหรับดูดความชืน้ ออกจากสารเคมตี า่ งๆ ใหเ้ หลือเฉพาะ
สารเคมี ไม่มคี วามชื้นหรือน้าอย่ใู นโมเลกุลของสาร โดยโถดูดความช้ืนจะต้องใส่สารท่ีใช้ดูดความชน้ื ลงไปด้วย
(ด้านลา่ งโถ) สารท่ใี ช้ดดู ความช้นื โดยมากแล้วจะใช้ซิลกิ าเจล (silica gel) หรอื สารจาพวกสารกรองโมเลกุล
(molecular sieve) ซึ่งถา้ สารซลิ กิ าเจลดูดความชืน้ ไวจ้ นเตม็ สงั เกตไุ ด้จากสขี องซิลิกาเจลจะเปลีย่ นจากสฟี ้า
เปน็ สีชมพู ในปัจจุบันมกี ารพัฒนามาเปน็ ต้ดู ดู ความชื้นโดยใชไ้ ฟฟ้า (desiccator cabinet)
ภาพที่ 3.57 วิธกี ารใช้เดซกิ เคเตอร์
ที่มา : http://glasswarechemical.com/tag/desicator
จะตอ้ งทาวาสลีนทฝี่ า ส่วนท่สี มั ผสั กบั ตัวของเดซกิ เคเตอร์ เพอื่ ใหเ้ ปิดปิดได้ง่าย การเปิดทาได้โดยเลื่อน
ฝาออกอยา่ งช้าๆ หากดงึ ฝาขึ้นจะเปิดไมอ่ อก จากนั้นนาสารทต่ี ้องการดดู ความชื้นวางลงบนแผ่นกระเบื้องเคลือบ
และเล่อื นฝาปดิ กลับคนื ท่ีเดิม หากไม่สามารถเล่ือนเพื่อเปดิ เดซกิ เคเตอร์ได้ อาจเน่ืองมาจากความดันภายใน และ
ภายนอกมีความแตกตา่ งกนั มากจะต้อง เปิดจุกด้านบนเพอ่ื ทาใหค้ วามดนั ภายในและภายนอกเท่ากนั เสยี ก่อนจงึ
จะสามารถเปิดได้ ทั้งนีจ้ ะต้องทาด้วยความรวดเร็วเพ่ือป้องกันความชน้ื จากภายนอกเขา้ ไปภายในเดซิกเคเตอร์
ภาพท่ี 3.58 วิธีการเตมิ สารดูดความช้นื
ทม่ี า : http://glasswarechemical.com/tag/desicator
60
ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ ้นั พื้นฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง
หลงั จากใช้งานไประยะหนึง่ จนกระทั่งสารดดู ความชื้นอ่มิ ตัวดว้ ยนา้ แลว้ สงั เกตได้จากการเปลย่ี นสขี อง
สารดดู ความช้ืน จะต้องนาไปอบไล่ความชนื้ ออกที่อุณหภูมิ 110 องศาเซลเซียส ทาไดโ้ ดยการเปดิ ฝาและนา
สารเคมตี ่างๆ ออกใหห้ มด จากนน้ั นาแผน่ กระเบือ้ งเคลือบ และสารดูดความช้ืนออกมา นาไปอบจนกระทัง่ สีของ
สารดดู ความชน้ื เปลี่ยนแปลงจากสีชมพเู ปน็ สีน้าเงิน จากนั้นนามาเทใส่เดซิกเคเตอร์โดยใช้กระดาษช่วยในการเท
ดังภาพประกอบ และวางแผน่ กระเบื้องเคลือบลงไปวางสารเคมที ่ีต้องการดดู ความช้ืน และปิดฝาใหเ้ รียบร้อย
ขอ้ ควรระวัง
เนื่องจากเดซกิ เคเตอรท์ าดว้ ยวสั ดเุ ปน็ แก้ว และกระเบื้องเคลอื บ ทาให้แตกไดง้ า่ ย นอกจากนนั้ ยังมี
นา้ หนกั มากอีกดว้ ย จงึ ตอ้ งทาดว้ ยความระมดั ระวงั และซิลิกาเจลมลี ักษณะเปน็ เมด็ กลมมสี ีชมพแู ละสนี ้าเงินเด็ก
ๆ อาจนึกวา่ เปน็ ของท่ีรบั ประทานได้ แต่ไมส่ ามารถรับประทานไดเ้ นื่องจากมกี ารเตมิ สารที่ทาใหเ้ กิดสลี งไปโดย
เปน็ สารเคมีที่ประกอบดว้ ยโลหะหนกั ซึ่งเป็นอนั ตรายต่อรา่ งกาย
เทอรม์ อมิเตอร์ (Thermometer)
ภาพท่ี 3.59 เทอรม์ อมิเตอร์หรือเทอรโ์ มมิเตอร์
ท่ีมา : https://www.labvalley.com/p/1424
เทอรม์ อมิเตอร์ คือเครื่องมือสาหรับวัดระดบั ความร้อน เมื่อไดร้ ับความร้อน และหดตัวเมื่อคายความ
ร้อน ของเหลวทใี่ ชบ้ รรจใุ นกระเปาะแกว้ ของเทอร์มอมเิ ตอร์ คอื ปรอทหรือแอลกอฮอลท์ ี่ผสมกบั สแี ดง เม่ือ
แอลกอฮอล์หรอื ปรอทไดร้ บั ความรอ้ น จะขยายตวั ขน้ึ ไปตามหลอดแกว้ เล็กๆ เหนือกระเปาะแก้ว และจะหดตัว
ลงไปอยใู่ นกระเปาะตามเดิมถ้าอุณหภูมิลดลง
สาเหตทุ ่ีใชแ้ อลกอฮอล์หรือปรอทบรรจลุ งในเทอร์มอมิเตอร์เพราะของเหลวทัง้ สองนี้ไวต่อการเปลี่ยนแปลง
ของอณุ หภมู ิ และไม่เกาะผิวของหลอดแกว้ แตถ่ ้าเป็นของเหลวชนดิ อนื่ เช่นนา้ จะเกาะผิวหลอดแก้ว เม่อื
ขยายตัวหรอื หดตัว จะตดิ ค้างอยู่ในหลอดแก้วไมย่ อมกลับมาทก่ี ระเปาะ
เทอร์โมมเิ ตอรท์ ีผ่ ลติ เพ่ือใชง้ าน จะมดี ้วยกนั 3 แบบ คือ
1. Partial Immersion Thermometer เทอรโ์ มมเิ ตอรช์ นิดนี้ถกู ออกแบบไว้เพื่อให้ใช้วัดอณุ หภมู ิของ
ของเหลวในการจุม่ เทอรโ์ มมิเตอรช์ นดิ นีเ้ พื่อวดั อุณหภูมิ ตอ้ งจุ่มเทอร์โมมิเตอร์ลงในของเหลวจนระดับผิวของ
ของเหลวถงึ ขีด Immersion Ring เทอรโ์ มมิเตอรช์ นิดนีเ้ ป็นแบบท่มี ี Accuracy น้อยท่ีสุด เพราะอุณหภูมิของ
Stem สว่ นท่อี ยู่บนอากาศสง่ ผลกระทบต่อการวดั ดงั นน้ั จงึ ตอ้ งควบคุมอุณหภูมิ ภายในห้อง หรือสถานท่ีท่ีทา
การวดั ด้วย (Accuracy บอกค่าความผดิ พลาดจากคา่ จริง)
61
ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ นั้ พนื้ ฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง
2. Total Immersion Thermometer เป็นเทอร์โมมเิ ตอรท์ ี่ออกแบบไวใ้ ห้ใชว้ ดั อุณหภมู ิของของเหลว
โดยความลกึ ของตัวเทอร์โมมเิ ตอรท์ ีจ่ ่มุ ในของเหลวนน้ั จะต้องอยู่ทหี่ รอื ระดบั ของผวิ ของเหลวทีร่ ะดับของเหลว
ใน Capillary ช้ี บอกคา่ อุณหภูมิ ในขณะใชง้ านน้นั ๆ ดงั น้ันจึงไม่จาเปน็ ทจ่ี ะต้องควบคุมอณุ หภมู หิ อ้ งหรือ
สถานท่ีทท่ี าการวดั
3. Complete Immersion Thermometer เทอรโ์ มมิเตอรแ์ บบนี้ ในการใชง้ านต้องจุ่มตัว
เทอร์โมมเิ ตอร์ใหจ้ มหมดทง้ั ตัว ซึง่ ตวั ทาอณุ หภมู ิต้องเป็นกระจก ในกรณที ใี่ ชห้ ม้อตม้ และเทอรโ์ มมิเตอรแ์ บบนี้
สามารถใช้วัดอุณหภูมิของอากาศได้ เพราะถือว่าเทอร์โมมเิ ตอรน์ ้ีจ่มุ ทงั้ ตวั อยใู่ นอากาศ เช่น เทอร์โมมเิ ตอร์แบบ
Max-Min
หลกั ปฏิบตั ใิ นการใชเ้ ทอร์มอมเิ ตอรว์ ดั อุณหภูมิ
1. ในกระเปาะเทอร์มอมเิ ตอร์จุ่มหรือสัมผัสกบั ส่ิงที่ต้องการจะวดั อุณหภูมิเสมอ และ ระมดั ระวัง
ไมใ่ ห้กระเปาะแตะด้านข้างหรือกน้ ภาชนะ
2. ให้ก้านเทอรม์ อมิเตอร์ต้ังตรงในแนวดิ่ง เวน้ แต่จะกระทาไม่ได้จริง ๆ
3. อา่ นค่าอุณหภมู เิ มอ่ื ระดบั ของเหลวขน้ึ ไปจนหยดุ นิง่ แลว้
4. ขณะอา่ นคา่ อุณหภูมิ ต้องใหส้ ายตาอยูร่ ะดับเดียวกับระดับของเหลวในเมอร์มอมิเตอร์
5. อา่ นอุณหภมู ิขณะท่ีกระเปาะเทอร์มอมเิ ตอรย์ งั สัมผัสกับสิ่งที่วดั อยู่ เมื่ออ่านเสร็จแล้วจึงเอาออก
จากการสัมผัสได้
ข้อควรระวังในการใช้เทอร์มอมิเตอร์
1. เน่อื งจากกระเปาะของเทอร์มอมเิ ตอรบ์ างและแตกงา่ ย เวลาใช้จึงควรระมัดระวังไม่ให้กระเปาะไป
กระทบกบั ของแข็งแรงๆ
2. ไม่ควรใชเ้ ทอร์มอมิเตอร์ใช้วดั อุณหภูมิท่ีแตกต่างกันมาก ๆในเวลาต่อเนื่องกนั เช่น วัดของทร่ี ้อน
จัดแล้วเปลย่ี นมาเป็นวัดของที่เย็นจัดทนั ที เพราะหลอดแกว้ จะขยายตวั และหดตัวอยา่ งทันทีทนั ใดทาให้แตกหัก
ได้
3. อย่าใชเ้ ทอรม์ อมิเตอร์วัดอุณหภูมทิ สี่ งู หรือตา่ กว่าสเกลสงู สดุ ตา่ สดุ มากเกินไป
4. เมือ่ ไขเ้ สรจ็ แลว้ ควรล้างทาความสะอาด เชด็ ใหแ้ หง้ แลว้ เกบ็ รักษาไวใ้ นทีป่ ลอดภยั
62
ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้ันพื้นฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง
แบบฝกึ หัดทา้ ยบทที่ 3
1.ให้นกั เรยี นบอกสว่ นประกอบและรายละเอียดที่ปรากฏอยบู่ นบกี เกอร์ให้ถูกต้อง
รายละเอียดท่ปี รากฏอยู่บนบีกเกอร์
1. ……………………………………………………………………
2. ……………………………………………………………………
3. ……………………………………………………………………
4. …………………………………………………………………..
5. ……………………………………………………………………
6. ……………………………………………………………………
7. ……………………………………………………………………
2. ให้นกั เรียนบอกวิธกี ารใช้หลอดฉีดยาอยา่ งละเอยี ด
........................................................................................................................................................ .........................
.......................................................................................................... .......................................................................
............................................................................................................................. ....................................................
..................................................................................................................................... ................................
3. ขวดปรมิ าตรแบง่ ตามลกั ษณะการใช้งานได้อยา่ งไรบ้าง และแตล่ ะขวดมีประโยชนอ์ ย่างไร
............................................................................................................................. ....................................................
.................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ....................................................
............................................................................................................................. ....................................................
..................................................................................................................................................................
4. ให้นกั เรียนบอกวธิ กี ารวดั ปริมาตรจากกระบอกตวงให้ถกู ต้อง
................................................................................................ .................................................................................
............................................................................................................................. ....................................................
............................................................................................................................. ...........................................
63
ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ น้ั พื้นฐาน พรพรรณ ยงิ่ ยง
5. ใหน้ ักเรยี นอธบิ ายเก่ยี วกบั อกั ษรท่ปี รากฏอยบู่ นปเิ ปตต์ให้ถกู ต้อง
รายละเอยี ดทอี่ ักษรปรากฏอยู่บนปิเปตต์
1. ……………………………………………………………………………………
2. ……………………………………………………………………………………
3. ……………………………………………………………………………………
4. ……………………………………………………………………………………
5. ……………………………………………………………………………………
6. ……………………………………………………………………………………
7. ……………………………………………………………………………………
8. ……………………………………………………………………………………
9. ……………………………………………………………………………………
10. …………………………………………………………………………………
11. …………………………………………………………………………………
64
ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ น้ั พื้นฐาน พรพรรณ ย่ิงยง
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 4
การจาแนกสารและการแยกสาร
สสาร คือ สงิ่ ทมี่ ตี วั ตน ต้องการทอี่ ยู่ และสามารถสัมผัสได้ เมื่อทาการศึกษาสสารเข้าไปจนถงึ เน้อื ในเรา
จะเรยี กเนื้อในของสสาร หรอื สิ่งท่ีอยใู่ นสสารนนั้ วา่ สาร
สารแตล่ ะชนิดจะประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบท่ีแตกตา่ งกนั ทาใหส้ ารแตล่ ะชนิดมลี ักษณะที่แตกตา่ งกนั
โดยลกั ษณะประจาตัวของสารจะเรียกว่า สมบตั ขิ องสาร ซึ่งแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สมบัติทางกายภาพ เป็นสมบัติทสี่ ังเกตได้จากลักษณะภายนอก หรือเป็นสมบตั ทิ ่ีได้
จากการทดลองง่ายๆ เชน่ สี กลนิ่ รส สถานะ การนาความรอ้ น การนาไฟฟา้ เปน็ ตน้
2. สมบัติทางเคมี เปน็ สมบัตทิ ี่เก่ียวข้องกบั การเปล่ียนแปลงทางเคมี เชน่ การเกิดสนิม
การลุกตดิ ไฟ การระเบดิ เป็นต้น
4.1 การจาแนกสาร (Classification of Matter)
สาเหตุท่ีตอ้ งจาแนกสารออกเป็นหมวดหมู่ เพือ่ ให้สะดวกในการศึกษา ซง่ึ สามารถทาไดห้ ลายวิธี ทง้ั น้ี
ขน้ึ อย่กู ับเกณฑ์ที่ใชใ้ นการจาแนก เชน่
4.1.1 จาแนกตามสถานะ หากจาแนกสารตามเกณฑ์นี้จะสามารถจาแนกออกได้ 3 กลุ่ม คือ
แบง่ ตาม ของแข็ง น้าตาล เกลือ เหรยี ญบาท ฯลฯ
สถานะ (solid) น้าเช่ือม น้าเกลือ ฯลฯ
อากาศ ก๊าซหงุ ต้ม ฯลฯ
ของเหลว
(liquid)
กา๊ ซ
(gas)
65
ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ น้ั พื้นฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง
คุณรหู้ รือไม่
พลาสมาสามารถเกดิ ได้โดย การใหส้ นามไฟฟา้ ปรมิ าณมากแกก่ ๊าซท่ีเป็นกลาง เม่อื พลังงานส่งผ่าน
ไปยงั อเิ ล็กตรอนอิสระมากพอ จะทาให้อิเล็กตรอนอิสระชนกบั อะตอม และทาให้อเิ ล็กตรอนหลดุ ออกจาก
อะตอม กระบวนการนเ้ี รียกว่ากระบวนการแตกตัวเปน็ ไอออน (ionization) ซึง่ จะเกดิ ขึ้นอย่างรวดเรว็ ทา
ใหจ้ านวนอิเล็กตรอนทห่ี ลดุ ออกมานี้เพิ่มจานวนข้นึ อยา่ งมากซ่ึงจะทาให้กา๊ ซแตกตัวและกลายเป็นพลาสมา
ในท่สี ุด พลาสมามคี วามแตกตา่ งจากสถานะของแขง็ สถานะของเหลว และสถานะก๊าซ โดยมีเงื่อนไข 3
ประการ ในเร่ืองดงั ต่อไปน้ีคือ ความยาวคลน่ื เดอบาย จานวนอนุภาค และความถ่ีพลาสมา ซึ่งทาให้
พลาสมามีความจาเพาะเจาะจงทีแ่ ตกต่างจากสถานะอืน่ ออกไป
4.1.2 จาแนกตามการนาไฟฟ้า หากจาแนกตามการนาไฟฟ้าจะสามารถจาแนกออกมาได้ 2 กลุม่ คอื
1. สารทไ่ี ม่นาไฟฟา้ (non-electrolyte) เช่น โซเดียมคลอไรด์ คาร์บอนไดออกไซด์
พลาสตกิ เปน็ ต้น
2. สารท่นี าไฟฟา้ (electrolyte) เช่น โลหะทุกชนดิ สารละลายโซเดยี มคลอไรด์ เปน็ ต้น
4.1.3 จาแนกตามลักษณะของเน้ือสาร หากจาแนกตามลกั ษณะของเน้ือสารสามารถจาแนกออกมาได้
2 กลมุ่ คือ
1. สารเน้ือเดียว (Homogeneous substance) หมายถงึ สารที่มองเห็นเปน็ เนื้อเดียวกัน หรือมี
สมบตั เิ หมือนกนั สมา่ เสมอตลอดทุกสว่ น เชน่ เกลือแกง น้าตาลทราย นา้ เกลอื น้าเช่ือม น้ากลัน่ น้ามันพืช น้ามัน
เบนซิน ทองคา นาก ทองแดง เป็นตน้
อย่างไรก็ตาม การสงั เกตดว้ ยตาเปลา่ นนั้ ไมส่ ามารถบอกได้ว่าสารใดเปน็ สารเนื้อเดียวได้ในบางกรณี
และไม่สามารถบอกได้วา่ ในสารเนื้อเดียวนัน้ ๆจะมีองคป์ ระกอบก่ีชนิด ดังน้นั ถา้ หากต้องการทราบจะต้องทาการ
ทดลองเพอื่ ตรวจสอบสมบตั นิ ้ันๆ ตอ่ ไป
สารเนอ้ื เดยี วแบง่ ออกเปน็ 2 กลุ่ม คอื
1.1 สารบริสุทธ์ (Pure substance) หมายถงึ สารเนื้อเดยี วทีป่ ระกอบดว้ ยสารเพียงชนิดเดียว
สามารถแบง่ ย่อยออกได้อีก 2 กลุ่ม คอื ธาตุ และสารประกอบ
1.2 สารละลาย (Solution) หมาถึง สารที่ประกอบดว้ ยสารมากกวา่ 1 ชนิด ทเ่ี ปน็ เนือ้ เดยี วกัน มี
สัดสว่ นของธาตุที่เป็นองค์ประกอบไม่แนน่ อน
2.สารเนื้อผสม (Heterogeneous substance) หมายถึง สารทไี่ มเ่ ป็นเน้ือเดียวกนั หรือมี
สมบัติไมส่ ม่าเสมอตลอดทุกส่วน เชน่ สารแขวนลอยตา่ งๆ คอนกรีต พรกิ ปน่ กับเกลอื (แจว่ ) เปน็ ตน้
66
ทักษะวิทยาศาสตรข์ น้ั พ้นื ฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง
4.1.4 จาแนกตามขนาดของอนุภาคของเนอ้ื สาร
ของผสมประกอบด้วยสารตั้งแต่สองชนิดขนึ้ ไปปนกันอยู่ภายในของผสม อนภุ าคของสารหนง่ึ จะแทรก
ตวั อยู่ระหวา่ งอนุภาคของอกี สารหนง่ึ ถ้าใช้ขนาดของอนุภาคในของผสมเปน็ เกณฑ์สามารถแบ่งของผสมออกได้
3 กลุ่มคือ สารแขวนลอย คอลลอยด์ และสารละลาย
4.1.4.1 สารแขวนลอย (Suspension) หมายถงึ ของผสมของสารต่างชนิดกนั ท่ีไม่เปน็ เน้อื เดยี วกัน
และอนุภาคมีขนาดเส้นผ่านศูนยก์ ลางใหญ่กว่า 10-4 cm อนภุ าคในสารแขวนลอยสามารถตกตะกอนได้เมื่อตั้งทง้ิ
ไว้ และสามารถแยกออกจากตวั กลางได้ด้วยการกรองโดยใช้กระดาษกรองและกระดาษเซลโลเฟน ตัวอยา่ งของ
สารแขวนลอย เช่น น้าโคลน นา้ แปง้ ดบิ น้าอบไทย เป็นต้น
ภาพท่ี 4.1 ภาพของน้าอบไทยท่เี กิดการตกตะกอนเนื่องจากตง้ั ท้งิ ไวเ้ ปน็ เวลานาน
ทม่ี า : https://mgronline.com/smes/detail/9630000038121
4.1.4.2 คอลลอยด์ (colloid) หมายถงึ ของผสมที่ประกอบด้วยอนภุ าคทมี่ เี ส้นผ่านศนู ย์กลางระหว่าง
10-4 cm ถึง 10-7 cm เราไม่สามารถกรองอนภุ าคของคอลลอยดอ์ อกจากตวั กลางไดเ้ มื่อใชก้ ระดาษกรอง แต่
สามารถกรองออกไดเ้ ม่ือใชก้ ระดาษเซลโลเฟน เพราะ อนุภาคของคอลลอยดม์ ีขนาดที่เลก็ กวา่ รพู รนุ ของเยื่อ
กระดาษกรอง แตม่ ีขนาดใหญ่กวา่ รพู รุนของเย่ือกระดาษเซลโลเฟน ตัวอยา่ งของคอลลอย์ เช่น นา้ นม น้าสลดั สี
ทาบา้ น เยลลี่ หมอก ควันไฟ นา้ เปง้ สกุ
ภาพที่ 4.2 นมทีเ่ ต็มไปด้วยประโยชน์ก็เป็นคอลลอยดเ์ หมือนกนั
ท่มี า : https://hd.co.th/different-effects-drink-milk-morning-or-night
67
ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ ั้นพน้ื ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง
สมบัตขิ องคอลลอยด์
1. เมื่อให้แสงผา่ นคอลลอยดจ์ ะเกิดปรากฏการณ์ทินดอลล์ (Tyndall effect) นั่นคือเมื่อฉายลาแสง
ไปในสารคอลลอยด์ อนภุ าคคอลลอยด์จะช่วยกระเจิงแสงและทาใหม้ องเหน็ เป็นลาแสงได้ เช่นการ
ทอแสงของอากาศทมี่ ลี ะอองฝนุ่ อยู่
ภาพที่ 4.3 ปรากฏการณ์ทนิ ดอลล์
ท่ีมา : http://www.digitalschool.club/digitalschool/science1_2_2/science3_4/pdf_teacher_2.pdf
2. เม่ือตงั้ ทิ้งไวจ้ ะไม่ตกตะกอน เพราะอนุภาคของคอลลอยดม์ ีขนาดเล็ก และอนุภาคของคอลลอยดม์ ี
การเคลอื่ นท่ีชนกันตลอดเวลาและเคล่ือนท่ีไปทุกทิศทางโดยไม่เปน็ ระเบียบ เรียกการเคล่อื นทแี่ บบ
นวี้ ่า การเคลื่อนท่ีแบบบราวน์เนยี น (Brownian movement)
ภาพท่ี 4.4 แสดงการเคล่อื นที่แบบราวน์เนียน
ที่มา : https://www.researchgate.net/figure/Brownian-movement-7_fig1_342279056
3. ไม่สามารถกรองอนภุ าคของคอลลอยด์ออกจากตัวกลางไดเ้ มอ่ื ใชก้ ระดาษกรอง แต่สามารถกรอง
ออกได้เม่ือใชเ้ ซลโลเฟน
ภาพที่ 4.5 แสดงสมบัติของคอลลอยด์และสารละลาย
ท่ีมา : https://www.researchgate.net/figure/
Brownian-movement-7_fig1_342279056
68
ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ ้นั พืน้ ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง
ภาพท่ี 4.6 เปรียบเทียบลกั ษณะของสารละลายและคอลลอยด์เม่ือฉายแสงผา่ น
ทม่ี า : https://www.slideshare.net/saowaneesondech/ss-36919004
ชนิดของคอลลอยด์
คอลลอยด์อาจแบ่งออกเป็นชนดิ ต่างๆ ตามสถานะของอนุภาคและสถานะของตัวกลางไดด้ ังนี้
1. ซอล (Sol) เป็นคอลลอยดท์ ี่เกิดจากอนุภาคของของแขง็ กระจายอยู่ในตวั กลางที่เป็น
ของเหลว เช่น กามะถนั คอลลอยด์ โปรตีนในน้า เป็นตน้
2. เจล (Gel) เปน็ คอลลอยด์ที่เกดิ จากอนภุ าคของของแขง็ กระจายอยู่ในตวั กลางท่เี ป็น
ของเหลว แต่อนภุ าคของของแขง็ จะมขี นาดโมเลกุลใหญ่กว่าในซอลและมีพนั ธะเช่ีอมโยงระหว่างโมเลกุลคล้ายตา
ขา่ ยทาให้คอลลอยด์ประเภทน้ีมีลักษณะเหนยี วหนืด ยดื หยุน่ ได้ ถ้าทาใหเ้ ย็นหรอื ทาให้ของเหลวระเหยออกบ้าง
จะมสี ถานะเกือบเป็นของแขง็ เชน่ วุ้น เยลลี่ เจลลาติน แปง้ เปียก แยม เปน็ ตน้
ภาพท่ี 4.7 โครงสรา้ งแบบตาขา่ ยของคอลลอยดป์ ระเภทเจล
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/เจลดูดน้า
3. อมิ ัลชัน (Emulsion) เปน็ คอลลอยดท์ ีเ่ กดิ จากอนภุ าคของของเหลวกระจายอยูใ่ น
ตวั กลางท่ีเปน็ ของเหลว และมสี ารทท่ี าหนา้ ท่ีเป็นตัวประสานให้ของเหลวทั้งสองรวมตวั กันเปน็ เน้ือ
เดยี ว สารทีท่ าหน้าทเ่ี ป็นตวั ประสาน เรียกว่า อิมัลซิฟายเออร์ (Emulsifer) หรอื อิมัลซิฟายอิงเอ-เจนต์
(Emulsifying agent) เช่น น้ามนั พืชเม่ือผสมกบั น้าจะแยกเป็น 2 ชั้น โดยนา้ มนั พชื อยู่ชัน้ บน เม่อื เขย่านา้ มัน
พืชจะแตกออกเป็นเม็ดเล็กๆ กระจายอยู่ในน้ากลายเป็นคอลลอยด์ แตไ่ ม่ถาวรเพราะเม่ือหยดุ เขยา่ ของเหลวจะ
แยกเปน็ สองชน้ั เหมอื นเดิม แต่ถา้ เตมิ น้าสบหู่ รือน้าผงซักฟอกลงไปด้วยแล้วเขยา่ จะได้คอลลอยด์อย่างถาวร
เพราะโมเลกุลของสบู่ หรือผงซักฟอกทาหนา้ ทเ่ี ปน็ ตัวประสานให้น้ามนั พืชและน้ารวมตัวกนั ได้ ตัวอยา่ งอื่น
น้านม ประกอบด้วยไขมนั กระจายอยู่ในน้าโดยมีเคซีน ซ่ึงเป็นโปรตีนชนดิ หน่ึงเปน็ ตวั ประสาน น้าสลัด
69
ทักษะวิทยาศาสตรข์ ั้นพืน้ ฐาน พรพรรณ ยิ่งยง
ประกอบด้วยน้ามนั พชื น้าสม้ สายชู และน้ามีไข่แดงเปน็ ตัวประสาน การเกิดคอลลอย์ประเภทน้ีมปี ระโยชนห์ ลาย
ด้าน เช่น การซกั เสอื้ ผ้าที่เปอื้ นไขมนั หรือนา้ มันดว้ ยสบหู่ รอื ผงซักฟอก ไขมันหรือนา้ มันจะหลุดจากเส้อื ผา้ รวมกับ
นา้ เป็นคอลลอยด์ อมิ ัลชันบางชนดิ ไมจ่ าเป็นต้องมีอิมัลซิฟายเออร์กไ็ ด้ เชน่ นมสดท่ผี า่ นกระบวนการโฮโมจีไนเซ
ชัน กระบวนการนี้คือการอัดน้านมผา่ นช่องเลก็ ๆดว้ ยความดันสงู ทาใหไ้ ขมันในนา้ นมแตกออกเปน็ อนุภาคเล็กๆ
ที่รวมกบั นา้ ไดอ้ ย่างถาวรโดยไม่ตอ้ งเติมอิมลั ซิฟายเออร์
4. แอโรซอล (Aerosol) เปน็ คอลลอยด์ท่ีเกิดจากอนภุ าคของของแข็ง หรือของเหลว
กระจายอยู่ในตวั กลางทีเ่ ปน็ แกส๊ เชน่ ควัน ฝ่นุ ละอองในอากาศ (อนุภาคของแข็งกระจายอย่ใู นอากาศ ถ้าเป็น
ควันรถยนต์ อนภุ าคของแขง็ คือ คาร์บอน) คอลลอยด์ประเภทน้นี กั เรียนจะเห็นปรากฏการณ์ทินดอลลอ์ ยู่เป็น
ประจา เพราะเมื่อรถว่ิงบนถนท่ีอากาศมฝี นุ่ ละอองในเวลากลางคนื แลว้ เปิดไฟหน้าจะมองเหน็ ไฟหนา้ รถเปน็
ลาแสง(ดรู ูปท่1ี .3)
5. โฟมของเหลว (Liquid foam) เปน็ คอลลอยด์ท่เี กดิ จากแก๊สกระจายตัวอยูใ่ นตัวกลาง
ท่เี ป็นของเหลว เชน่ ฟองสบู่ ฟองน้าอดั ลม ครีมโกนหนวด เปน็ ตน้
6. โฟมของแขง็ (Solid foam) เปน็ คอลลอยดท์ ี่เกิดจากแก๊สกระจายตัวอยู่ในตวั กลางที่
เป็นของแขง็ เช่น ฟองน้า เม็ดโฟม ขนมปัง เปน็ ต้น
ตารางท่ี 4.1 ตารางสรุปชนิดของคอลลอยด์
ชนดิ ของ สถานะของอนุภาค สถานะของ ตวั อยา่ ง
คอลลอยด์ คอลลอยด์ ตวั กลาง
ของแขง็ ของเหลว กามะถันในนา้ สีทาบา้ น
ซอล ของแข็ง ของเหลว วุ้น เยลลี่ น้าแปง้ สุก แยม เจลใสผ่ ม
เจล ของเหลว ของเหลว น้านมชนดิ ต่างๆ น้าสลัด นา้ กะทิ
อมิ ลั ชัน ของแข็ง ควันไฟ ควนั รถยนต์ ควันบุหรี่ ฝุน่
แอโรซอล ก๊าซ ละอองในอากาศ
เมฆ หมอก สเปรย์ชนิดต่างๆ
แอโรซอล ของเหลว ก๊าซ ฟองสบู่ ฟองผงซักฟอก ครีมโกน
โฟมของเหลว ก๊าซ ของเหลว หนวด ฟองเบยี ร์ ฟองน้าอดั ลม
ฟองน้า เมด็ โฟม ขนมปัง
โฟมของแข็ง กา๊ ซ ของแขง็
4.1.4.3 สารละลาย (Solution)คือ ของผสมเนื้อเดียวทเี่ กิดจากสารบรสิ ทุ ธติ์ งั้ แต่ 2 ชนิดขน้ึ ไปมา
รวมกนั โดยมอี ัตราสว่ นในการรวมตวั ไม่คงท่ี โดยมีขนาดอนภุ าคเลก็ กว่า 10-7 cm กระจายอยูใ่ นตัวกลาง
อนุภาคของสารละลายไม่สามารถแยกออกจากตวั กลางได้ไม่ว่าใช้จะกรองดว้ ยกระดาษกรอง หรอื กระดาษเซล
โลเฟนก็ตาม
70
ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้นั พนื้ ฐาน พรพรรณ ย่งิ ยง
ทดสอบความเขา้ ใจ
1. จงจัดกลุ่มสารเน้ือเดยี วกับสารเน้อื ผสมจากสารท่ีกาหนดใหด้ งั ตอ่ ไปนี้
น้าอัดลม น้าโคลน นา้ แป้งดบิ นา้ แปง้ สุก น้าอบไทย
น้ายาล้างจาน นา้ ยาบว้ นปาก กะทิ นมสด เกลอื - ป่น นา้ ตาลทราย
กลุ่มท่ี 1 สารเนอ้ื เดียว ไดแ้ ก่
............................................................................................................................. ....................................................
...................................................................................................................................
กลมุ่ ที่ 2 สารเนื้อผสม ได้แก่
............................................................................................................................. ....................................................
............................................................................................................................. ......
2. สมบตั ิของสารถูกจาแนกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แกอ่ ะไรบา้ งและมคี วามแตกตา่ งกนั อย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
71
ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้นั พื้นฐาน พรพรรณ ยิ่งยง
4.2 การแยกสาร
สารตา่ งๆ ในธรรมชาติจะสามารถนามาใชป้ ระโยชน์ได้ต้องผา่ นกระบวนการทาให้สารบริสทุ ธ์ิ เพ่ือแยก
องค์ประกอบทป่ี ะปนกันให้แยกสว่ นจากกนั เพ่ือนาส่วนท่ีแยกได้ไปใชป้ ระโยชนต์ ่อไป เช่น การแยกทรายออก
จากน้าตาล การสกัดนา้ มันหอมระเหยจากพืชต่างๆ การแยกน้ากบั แอลกอฮอล์ เป็นตน้
ดงั นั้น การแยกสาร คือ กระบวนการทาสารผสมให้บรสิ ุทธิ์ โดยอาศยั ความแตกต่างของสมบตั ิทัง้ ทาง
กายภาพและเคมีมาใช้เป็นเกณฑ์ในการแยกสารผสม รวมทัง้ ต้องคานึงถึงประสิทธภิ าพและความประหยัด ซ่งึ
โดยทั่วไปการแยกสารมกั ใชว้ ธิ ีการดงั ต่อไปนี้ เชน่ การกรอง การกลั่น การระเหย การตกตะกอน การตกผลกึ
การสกัดดว้ ยตวั ทาละลาย เป็นตน้
4.2.1 วิธีหยิบแยกออก วิธีนใี้ ชส้ าหรบั แยกของผสมท่ไี ม่เป็นเนื้อเดียวกันและมขี นาดใหญ่ เช่น ข้าวสาร
ทม่ี ีข้าวเปลือกและกรวดทรายปนอยูส่ ามารถหยบิ ข้าวเปลือก กรวดและทรายออกได้
4.2.2 วิธใี ชแ้ มเ่ หล็กดูด วิธีนใี้ ชส้ าหรบั แยกของผสมท่ีประกอบด้วยสารทีด่ ดู กบั แมเ่ หลก็ และสารท่ีไมด่ ูด
กับแม่เหล็ก เชน่ ผงเหล็กท่ีปนอยกู่ บั ผงกามะถัน หรอื ผงเหลก็ ทป่ี นอยู่กบั ทราย สามารถใชแ้ ม่เหลก็ ดูดผงเหล็ก
ออกจากผงกามะถันหรือออกจากทรายได้
ภาพท่ี 4.8 การแยกสารโดยการใชแ้ ม่เหล็กดูด
ที่มา : http://academic.obec.go.th/textbook/web/images/book/1551778181_example.pdf
4.2.3 การกรอง คือ การแยกสารผสมที่มีสถานะเปน็ ของแข็งออกจากของเหลว โดยใช้กระดาษกรองซึ่ง
มรี ูพรนุ ขนาดเล็ก ทาให้อนภุ าคของของแข็งนน้ั ไมส่ ามารถผ่านกระดาษกรองได้ ส่วนอนภุ าคของของเหลวจะผา่ น
กระดาษกรองได้ ซึ่งในชีวิตประจาวันเราจะคุน้ เคยกบั การกรองในรปู ของการใชผ้ ้าขาวบางในการค้นั น้ากะทิจาก
มะพร้าว แผ่นกรองอากาศในเคร่อื งปรับอากาศ อุปกรณ์กรองน้าสะอาดในเครื่องกรองน้า เป็นตน้
ภาพที่ 4.9 แสดงวธิ กี ารกรองโดยท่ัวไปในห้องปฏิบัติการ
ทม่ี า : http://119.46.166.126/self_all/selfaccess8/
m2/502/lesson1/web2/web2.php
72
ทักษะวิทยาศาสตรข์ ัน้ พื้นฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง
ภาพท่ี 4.10 เครื่องกรองนา้ อยา่ งงา่ ย
ที่มา : https://onlineoneclick.weebly.com/360836403619358536363592/8
4.2.4 การตกตะกอน เป็นวิธีการแยกสารผสมท่ีเป็นของแข็งทแ่ี ขวนลอยอยูใ่ นของเหลว โดยมีหลกั การ
ท่สี าคัญ คือ การนาสารผสมตั้งทง้ิ ไว้ เนือ่ งจากอนุภาคของแขง็ ท่แี ฝงอยนู่ น้ั มีนา้ หนัก ดงั น้ันจงึ ตกตะกอนอยู่ท่ีกน้
ภาชนะ จากนนั้ รนิ อนุภาคของเหลวด้านบนออกจากอนุภาคของของแข็งจะทาให้ได้สารบริสทุ ธิ์ทง้ั สองสว่ น
ตวั อย่างของผสมที่ใชว้ ธิ ีการแยกสารโดยการตกตะกอน คือ น้าโคลน ประกอบด้วยสว่ นของดนิ ที่แขวนลอยในน้า
เมื่อตั้งท้งิ ไวน้ านๆ อนภุ าคของดินจะตกตะกอนอย่ทู ี่ก้นภาชนะ สว่ นนา้ จะใสขนึ้ สามารถรินแยกออกจากกนั ได้
เพื่อเป็นการลดเวลาในการตกตะกอนของสารแขวนลอย นกั วิทยาศาสตร์จงึ ไดค้ ิดคน้ เคร่ืองเหว่ยี ง (centrifuge)
แรงเหวีย่ งดงั กล่าวจะทาให้ของแข็งท่ีแขวนลอยในของเหลวตกตะกอนไดง้ ่ายและเรว็ ข้ึน
ภาพที่ 4.11 เครื่องป่นั เหวย่ี ง
ที่มา : https://thai.tech-dir.com/th/companies/210817/products/117302
4.2.5 การระเหย การแยกสารด้วยวธิ นี เี้ หมาะสาหรบั ใช้แยกสารผสมที่เกิดจากของแขง็ ละลายใน
ของเหลว ซง่ึ เราเรียกสารผสมน้วี า่ สารละลาย เช่น น้าเชือ่ ม นา้ เกลือ เปน็ ต้น ตัวอย่างการแยกสารด้วยวธิ ีนี้ คอื
การผลติ เกลือสนิ เธาว์ โดยจะนานา้ เกลือมาตม้ จนนา้ ระเหยจนหมดเหลอื เฉพาะผลึกของเกลือโซเดียมคลอไรด์
73
ทกั ษะวทิ ยาศาสตรข์ ัน้ พืน้ ฐาน พรพรรณ ย่ิงยง
ภาพที่ 4.12 การระเหยแหง้
ท่ีมา : https://sites.google.com/site/krusaiysci/kar-yaek-sar/kar-rahey-haeng
4.2.6 การตกผลึก การตกผลึกเปน็ วธิ ีที่ทาใหส้ ารบริสทุ ธิ์หรือใช้แยกสารท่ีเกดิ จากของแข็งหลายชนดิ
ละลายในตัวทาละลายตวั เดยี วกนั โดยอาศยั หลักการละลายได้ทตี่ ่างกัน โดยสารทต่ี ้องการแยกและไมต่ ้องการ
แยกจะต้องละลายได้ในตวั ทาละลายชนดิ เดยี วกัน แตต่ อ้ งมีความสามารถในการละลายต่างกนั โดยสารท่ลี ะลาย
ไดน้ อ้ ยกว่าจะตกผลึกออกมาก่อน ตัวอย่างของการแยกสารด้วยวิธนี ี้ คือ การทานาเกลือ
การทานาเกลอื
กระบวนการผลติ เกลอื ทะเลต้องใช้พื้นท่ีในการทานาเกลือและตอ้ งการแสงแดดจากดวงอาทติ ยเ์ พื่อเพม่ิ
ระดับความเข้มข้น (ความเคม็ ) ให้กบั น้าทะเลจนตกผลกึ เป็นเมด็ เกลอื โดยเรม่ิ จากการเตรยี มพืน้ ที่ทานาเกลือให้
เหมาะสมกับกระบวนการผลิตเกลืออย่างต่อเนอื่ งประมาณ 1-2 กิโลเมตร หรอื พ้นื ทีป่ ระมาณ 30-35 ไร่ ข้ึนไป
ดว้ ยเหตนุ พี้ ้นื ทท่ี านาเกลอื จึงควรอยู่ใกล้ชายทะเลหรอื ชายคลองทสี่ ามารถดันน้าเข้าแปลงนาเกลือแต่ละส่วนซึง่
เรียกวา่ กระทง
กรณีพนื้ ทีต่ รงสามารถชักนา้ หรือดนั น้าอยา่ งตอ่ เนือ่ งกนั ในแต่ละกระทงเรียกว่า นายนื หากพนื้ ท่ีไม่
ตอ่ เนื่องกนั แตล่ ะกระทงตอ้ งดันนา้ สลบั ไปสลับมา เรียกวา่ นาวน
อย่างไรก็ตาม ทง้ั นายืนหรือนาวนจะตอ้ งจัดเตรยี มผืนนาเกลือเชอ่ื มโยงกันถึง 5 ส่วน เพราะจะต้องมี
การดันน้าจากสว่ นแรกไปถงึ ส่วนท่ี 5 ตามลาดับ โดยการใช้กงั หันลมหมนุ จากลมธรรมชาตเิ พ่ือดันน้า ปจั จุบนั
นยิ มใชเ้ คร่ืองสูบน้าดนั น้าเข้าในแตล่ ะสว่ น โดยเรมิ่ จากส่วนแรกเรยี กว่า วงั นา้ ซึ่งเป็นแปลงสาหรบั เก็บกักน้า
ทะเล ชาวนาเกลือเรยี กวา่ น้าออ่ น
การทานาเกลอื เรม่ิ ประมาณเดือนตลุ าคม และจะเร่ิมปลอ่ ยน้าเขา้ สู่ นาตาก ซึง่ เป็นส่วนที่ 2 ตรงกับ
เดือนพฤศจิกายน ซึง่ พน้ หน้าฝนแลว้ หลังจากน้นั จะดนั นา้ เข้าสู่นาแผ่ เป็นส่วนที่ 3 จากนัน้ พักไว้ประมาณ 5-7
วัน แสงแดดจะค่อย ๆ แผดเผาให้น้าคอ่ ยๆ งวด จนกระทง่ั ความเคม็ เพ่มิ ขน้ึ ซง่ึ ถ้าใชเ้ ครื่องวัดระดบั ความเค็มจะ
ประมาณ 22-24 องศา เดิมชาวนาเกลอื จะใช้วธิ ีสงั เกตความเค็มจากคราบสีนา้ ซึง่ จับอยู่ริมกระทงนา หากเป็น
ระดบั ความเคม็ พร้อมจะปล่อยเข้าสู่นาเกลอื สว่ นที่ 4 เรยี กวา่ นาวาง (บางแห่งเรียก นาปลง) ซง่ึ เป็นการ
เตรียมการปรับพ้นื ทเี่ พื่อรองรับนา้ จากนาเกลือสว่ นที่ 5 เรยี กวา่ นาดอก ที่จะกลายเป็นเม็ดเกลือในท่ีสุด จากน้นั
74
ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ ั้นพนื้ ฐาน พรพรรณ ย่งิ ยง
ชาวนาเกลอื จะใชว้ ัสดกุ ล้ิงบดทับพืน้ ท่ผี ิวดนิ ให้เรยี บแน่นมิใหม้ รี อยแตก ประมาณ 4-5 ครง้ั ๆละ 3-5 วนั และการ
กลิ้งบดแตล่ ะครงั้ ควรห่างกนั ประมาณ 5-7 วนั ตามสภาพของผวิ ดนิ เม่ือชาวนาเกลอื ปล่อยน้าเชอ้ื ลงมากจ็ ะ
ค่อยๆ ตกผลกึ เปน็ เมด็ เกลือ มีค่าความเค็มประมาณ 82- 87 %
โดยสรปุ กระบวนการผลิตเกลือทะเล ต้องอาศัยกระบวนการจากธรรมชาติ โดยเฉพาะแสงแดด ตัง้ แต่
เร่มิ แรกจนกระทง่ั เป็นเมด็ เกลือ ซง่ึ ต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือน ท้ังนหี้ ากมีฝนตกหรือน้าทว่ ม กระบวนการ
ผลติ เกลือทะเลอาจต้องใช้เวลามากกว่าน้ี หรอื บางครั้งอาจไมไ่ ด้เกลอื เลย
ภาพท่ี 4.13 การทานาเกลือ
ท่ีมา : http://www.patongbeachthailand.com/thai/21_15/699.shtml
วธิ กี ารตกผลึก นอกจากใช้แยกสารออกจากของผสมแลว้ ยงั ใชใ้ นการทาให้สารเคมีทีเ่ ปน็ ของแข็งเปน็
สารบรสิ ทุ ธิ์ไดอ้ ีกด้วย ซงึ่ ทาได้โดยเตรียมสารละลายของสารทีจ่ ะทาใหบ้ รสิ ทุ ธ์ิอิม่ ตวั ท่ีอุณหภมู สิ ูง กรอง
สารละลายในขณะทร่ี ้อนเพ่ือกาจดั สิ่งเจือปนทไี่ ม่ละลายในตวั ทาละลายออก ปล่อยใหส้ ารละลายเยน็ ลงของแข็ง
กจ็ ะตกผลึกออกมา กรอง ทาให้แหง้ ก็จะไดผ้ ลกึ ของแข็งที่บริสทุ ธ์ิ เช่น การเตรียมผลึกคอปเปอร์ (II) ซลั เฟต ทา
ไดด้ ังน้ี ละลายผงคอปเปอร์ (II) ซลั เฟตในน้าจนอิม่ ตัว เตมิ ผงคอปเปอร์ (II) ซลั เฟตลงไปอีก แล้วใหค้ วามรอ้ นจน
คอปเปอร์ (II) ซัลเฟตละลายหมด กรองสารละลายคอปเปอร์ (II) ซลั เฟตขณะร้อน เมื่อสารละลายเย็นลงจนถึง
อณุ หภูมหิ อ้ ง คอปเปอร์ (II) ซัลเฟต สว่ นท่ลี ะลายเกนิ จะตกผลกึ แยกออกมา กรองกจ็ ะได้ผลกึ คอปเปอร์ (II)
ซัลเฟตตามท่ตี ้องการ
ภาพท่ี 4.14 วิธตี กผลกึ
ท่มี า : http://www.brr.ac.th/download/pdf/sci-m1-pornpimol.pdf
75
ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ ้ันพ้ืนฐาน พรพรรณ ย่ิงยง
4.2.7 การกลนั่ คอื การแยกสารผสมที่เป็นของเหลวหรอื ของแข็งทล่ี ะลายเป็นเน้ือเดยี วกับของเหลว
โดยอาศยั ความแตกต่างของจุดเดือดและสมบัติการระเหยยากของสาร หลักการที่สาคญั คือ ทาให้ของเหลว
กลายเป็นไอโดยการให้พลังงานความรอ้ น ทาให้สารทม่ี ีจุดเดอื ดตา่ กวา่ จะระเหยเปน็ ไอก่อน และเม่ือเย็นลงไอจะ
ควบแนน่ แล้วกลัน่ ตวั เป็นของเหลวท่บี ริสทุ ธิ์ การกลัน่ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ
4.2.7.1 การกลนั่ ธรรมดา โดยทวั่ ไปใช้แยกสารผสมที่เป็นอนุภาคของแข็งละลายในอนุภาคของเหลว
ซง่ึ เน่ืองจากองคป์ ระกอบของสารผสมมสี ถานะต่างกนั ทาให้จุดเดอื ดมีความแตกต่าง กันมาก เชน่ น้าเกลอื
ประกอบด้วยนา้ ที่มีสถานะเป็นของเหลวและเกลอื ทีม่ ีสถานะเปน็ ของแขง็ เมื่อให้ความร้อนแก่น้าเกลือ นา้ จะ
ระเหยกลายเป็นไอกอ่ นเพราะจดุ เดือดต่ากวา่ เกลือ และเม่ือไอน้าผ่านถึงเคร่ืองควบแน่นจะทาให้ไอน้ากล่นั ตัว
เปน็ หยดนา้ ทีบ่ ริสทุ ธ์ิ สว่ นเกลอื จะอยใู่ นขวดกลนั่ เพราะยังไม่ถึงจดุ เดือดของเกลอื จงึ ไมส่ ามารถกลายเปน็ ไอได้
ทาให้สารที่กล่ันไดค้ ือ น้า สารท่ีเหลอื อยู่ในขวดกลนั่ คือ เกลือ ดังรูป
ภาพที่ 4.15 แสดงการกลัน่ ธรรมดา
ท่ีมา : http://119.46.166.126/self_all/selfaccess8/m2/502/lesson1/web3/web3.php
ข้อควรทราบ
- การกล่นั ธรรมดาเหมาะกบั สารผสมท่ีตา่ งสถานะกัน หรือสารทม่ี ีจดุ เดือด (boiling point, b.p.)
ตา่ งกนั มากกว่า 80 องศาเซลเซยี ส
4.2.7.2 การกล่นั ลาดบั ส่วน ใช้แยกของผสมท่ีเกดิ จากการรวมตวั กันของสารทม่ี ีจุดเดือดต่างกนั ไมม่ าก
ดงั น้ันจึงไม่สามารถทาสารให้บริสทุ ธิ์ด้วยกระบวนการกล่ันธรรมดาได้ เพราะจะได้สารท่ีกล่นั ออกมาไม่บริสทุ ธ์ิ
อธิบายไดด้ ังนี้ สารที่ระเหยก่อนยงั เป็นไอไม่สมบรู ณ์ สารอีกชนดิ ก็ระเหยกลายเปน็ ไอตามมา เมื่อผ่านไปยัง
เคร่อื งควบแน่น จะกลัน่ ตัวได้สารท้ังสองชนดิ ออกมาจงึ เป็นการแยกสารท่ีไมส่ มบูรณ์ หลักการของการกลัน่ ลาดบั
76
ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ ั้นพน้ื ฐาน พรพรรณ ยิ่งยง
ส่วนอย่างง่าย คือ สามารถแยกสารละลายทีจ่ ุดเดือดตา่ งกนั เล็กน้อย และสารทีม่ ีจุดเดือดตา่ จะกลั่นตัวออกมา
ก่อน เช่น การแยกน้าออกจากแอลกอฮอล์ (น้ามีจดุ เดือด 100 องศาเซลเซยี ส แอลกอฮอล์มีจดุ เดือด 78.5 องศา
เซลเซียส) เม่อื นาสารละลายมากลน่ั แอลกอฮอลจ์ ะระเหยกลายเปน็ ไอกอ่ น ขณะเดือดนอกจากเกดิ ไอของ
แอลกอฮอลแ์ ลว้ ยังมีไอนา้ ระเหยตามมาดว้ ย เมื่อไอลอยขนึ้ สู่คอลัมนแ์ ก้วที่อุณหภมู ิต่าลงเรื่อยๆ ทาให้ไอนา้
ควบแน่นกลบั สู่ขวดกลนั่ สว่ นไอของแอลกอฮอล์จะผ่านไปได้และไปกลั่นตัวท่เี ครื่องควบแนน่ ซง่ึ มีความบรสิ ุทธิ์
ของแอลกอฮอล์เกอื บสมบรู ณ์
ภาพที่ 4.16 แสดงชุดกลั่นลาดับส่วนอยา่ งง่าย
ทมี่ า : http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/4-5/no10/kankrun.html
การกลน่ั ลาดบั สว่ นแบบใช้หอกลั่น ใชส้ าหรบั แยกสารออกจากสารละลายท่ปี ระกอบด้วยสารมากกวา่
2 ชนิด และสารแต่ละชนดิ มีจุดเดือดต่างกนั ไม่มาก การกลั่นโดยวธิ นี สี้ ารท่แี ยกไดส้ ่วนใหญย่ ังไมบ่ ริสทุ ธิ์ แต่ยัง
สามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เพราะการแยกให้บริสุทธิ์จะสิ้นเปลืองมาก เช่น การกลน่ั น้ามันดบิ หรือการกลั่น
ปิโตรเลียม วธิ กี ารกลน่ั คอื ให้ความรอ้ นแกน่ า้ มันดิบจนสารทุกชนิดกลายเป็นไอ แลว้ ผ่านเข้าสหู่ อกล่นั ลาดับส่วน
โดยภายในหอกลนั่ จะมถี าดและชอ่ งคน่ั เปน็ ชัน้ ๆภายในหอกล่ัน สารทไ่ี ดจ้ ากการกล่ันก็จะควบแน่นอยู่บนช้นั
ต่างๆ เรียงจากบนลงลา่ ง โดยสารทม่ี จี ุดเดือดตา่ จะควบแน่นบนช่องด้านบน สว่ นสารท่ีมีจุดเดอื ดสูงจะควบแน่น
ในช่องดา้ นล่าง
77
ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้นั พนื้ ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง
ภาพที่ 4.17 หอกล่นั ลาดับสว่ น
ที่มา : https://www.scimath.org/article-chemistry/item/11352-2020-03-12-02-04-03
4.2.8 การสกดั โดยการกล่นั ดว้ ยไอน้า
การสกดั โดยการกลน่ั ด้วยไอน้า เป็นวิธีการสกัดสารออกจากของผสมโดยใช้ไอน้าเป็นตัวทาละลาย วิธนี ี้
ใช้สาหรับแยกสารที่ระเหยง่าย ไมล่ ะลายน้า และไมท่ าปฏิกริ ยิ ากบั น้า ออกจากสารท่ีระเหยยาก
การสกัดโดยการกลัน่ ด้วยไอน้านอกจากใช้สกัดสารระเหยงา่ ยออกจากสารระเหยยากแล้วยังสามารถใช้
แยกสารทีม่ ีจุดเดอื ดสูงและสลายตัวท่ีจุดเดอื ดของมนั ไดอ้ ีก เพราะการกลน่ั โดยวิธนี ค้ี วามดันไอเปน็ ความดนั ไอ
ของไอนา้ บวกความดันไอของของเหลวที่ต้องการแยก จึงทาให้ความดันไอเทา่ กับความดันของบรรยากาศก่อนท่ี
อณุ หภมู จิ ะถึงจุดเดือดของของเหลวทต่ี ้องการแยก ของ ผสมจงึ กลัน่ ออกมาท่ีอณุ หภมู ิต่ากว่าจุดเดือดของ
ของเหลวที่ต้องการแยก เชน่ สาร A มีจุดเดือด
150 ˚C เม่ือสกดั โดยการกลัน่ ด้วยไอน้าจะได้สาร A กลายเป็นไอออกมา ณ อุณหภมู ิ 95 ˚C ท่ีความดัน 760
มลิ ลิเมตรของปรอท อธิบายไดว้ า่ ท่ี 95 ˚C ถ้าความดนั ไอของสาร A เท่ากบั 120 มิลลิเมตรของปรอท และไอ
นา้ เทา่ กบั 640 มิลลิเมตรของปรอท เม่ือความดันไอของสาร A รวมกบั ไอน้าจะเท่ากับ 760 มิลลเิ มตรของปรอท
หรือเท่ากับความดนั บรรยากาศ จงึ ทาใหส้ าร A และน้ากลายเปน็ ไอออกมาไดท้ ี่อณุ หภูมิต่ากว่าจดุ เดือดของสาร
A
ตัวอยา่ งการแยกสารโดยการกล่ันดว้ ยไอนา้ ไดแ้ ก่ การแยกนา้ มนั หอมระเหยออกจากสว่ นต่างๆของพืช
เชน่ การแยกนา้ มันยูคาลปิ ตสั ออกจากใบยูคาลิปตัส การแยกน้ามนั มะกรดู ออกจากผวิ มะกรดู การแยกนา้ มัน
อบเชยจากเปลอื กต้นอบเชย เป็นต้น ในการกล่นั ไอนา้ จะไปทาใหน้ ้ามนั หอมระเหยกลายเปน็ ไอแยกออกมาพร้อม
กบั ไอนา้ เมื่อทาให้ไอของของผสมควบแน่นโดยผา่ นเครอ่ื งควบแนน่ ก็จะได้นา้ และน้ามนั หอมระเหยปนกนั แต่
แยกชั้นกนั อยู่ ทาใหส้ ามารถแยกเอาน้ามันหอมระเหยออกจากนา้ ได้งา่ ย
78
ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ น้ั พ้นื ฐาน พรพรรณ ย่ิงยง
ภาพที่ 4.18 การสกัดโดยการกลน่ั ดว้ ยไอนา้
ที่มา : https://sites.google.com/site/krusaiysci/kar-yaek-sar/kar-skad-doy-kark-lan-dwy-xi-na
4.2.9 การใชก้ รวยแยก การใชก้ รวยแยก จะเหมาะกับสารทีเ่ ปน็ ของเหลวและแยกคนละชนั้ หรอื มขี ั้ว
ตา่ งกัน เชน่ น้ากับน้ามนั จะแยกชั้นกนั อยู่ เพราะน้ามขี ้ัวแต่น้ามนั ไม่มขี วั้ ซง่ึ กรวยแยกจะมลี กั ษณะเป็นกรวยให้
เราใสข่ องเหลวลงไป ของเหลวนั้นจะแยกชนั้ กันอยู่ จากน้ันให้เราไขก๊อกของเหลวสว่ นลา่ งก็จะไหลออกมาเรอ่ื ยๆ
จนกระท่ังเราเหน็ วา่ ของเหลวส่วนล่างใกล้หมดแลว้ เราก็ค่อยๆไขกอ๊ กปิด แลว้ กเ็ ปลีย่ นบีกเกอร์เพ่ือมารองรับ
สารละลายสว่ นบนท่เี หลืออยู่ตอ่ ไป
ภาพที่ 4.19 การใชก้ รวยแยกเพอื่ แยกของเหลวท่ีแยกช้นั กัน
ทมี่ า : http://oho.ipst.ac.th/bookroom/snet5/extract.html
79
ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ ั้นพ้นื ฐาน พรพรรณ ยง่ิ ยง
4.2.10 การสกดั ด้วยตัวทาละลาย เปน็ วธิ ีการแยกสารโดยอาศัยสมบตั ิการละลายของสารในตวั ทา
ละลาย หรอื การใช้ตวั ทาละลายที่เหมาะสมในการสกดั สาร ท่ีต้องการออกจากของผสม
หลักการเลอื กตัวทาละลายใหเ้ หมาะสมกับสารทตี่ ้องการแยก
- ตวั ทาละลายสามารถละลายสารทต่ี ้องการสกดั ได้
- ตวั ทาละลายจะต้องไม่ละลายสารอื่นๆที่เราไม่ต้องการสกัด
- ตวั ทาละลายจะต้องไม่ทาปฏิกิรยิ ากับสารทเ่ี ราต้องการสกดั
- ตวั ทาละลายสามารถแยกออกจากสารทีเ่ ราต้องการสกัดไดง้ า่ ย
- ตัวทาละลายไม่เปน็ พิษ และมีราคาถูก
หลักการสกดั สาร คือ เตมิ ตวั ทาละลายทีเ่ หมาะสมลงในการทเี่ ราต้องการสกดั จากนน้ั ก็เขย่าแรงๆหรือ
นาไปตม้ เพอ่ื ใหส้ ารที่เราต้องการจะสกัดละลายในตัวทาละลายทเี่ ราเลอื กไว้ สารทเ่ี ราสกัดได้นน้ั ยงั เปน็
สารละลายอยู่ ถา้ เราต้องการทาใหบ้ รสิ ทุ ธ์ิเราควรจะนาสารที่ได้ไปแยกตวั ทาละลายออกมาก่อน อาจจะนาไป
ระเหย หรอื นาไปกลน่ั ต่อไป ตวั อยา่ งเช่น การสกัดนา้ ขิงจากขงิ
การสกัดคลอโรฟิลล์ของใบไม้
ปจั จุบันนยิ มสกดั สารจากพืชเพอื่ ใช้เปน็ เครือ่ งด่มื โดยใช้น้าเป็นตัวทาละลายออกมา เชน่ น้าใบเตย น้า
ขิง นอกจากนี้ยังมีการใช้เฮกเซนในการสกัดน้ามนั ออกจากส่วนต่างๆของพชื เชน่ น้ามนั ปาล์ม น้ามันขา้ วโพด
นา้ มนั ถ่ัวเหลือง เปน็ ต้น
ถ้าเราตอ้ งการสกัดสารโดยใชต้ วั ทาละลายทมี่ ีปริมาณน้อย จะใชเ้ คร่อื งมือที่เรยี กกันวา่ ซอกห์เลต
(soxhlet)
หลกั การของเคร่อื งมือซอกหเ์ ลต(soxhlet extraction) ตวั ทาละลายที่เราใสล่ งไปในเครื่องมือจะ
หมนุ เวียนผ่านสารที่เราต้องการสกัดหลายๆครง้ั จนกระท่งั สารทเ่ี ราตอ้ งการสกดั ออกมามีปริมาณเข้มขน้ มากพอ
สว่ นตัวทาละลายทเ่ี ราใช้สกัดแลว้ นนั้ จะถูกทาให้ระเหยแลว้ ควบแนน่ กลบั มาใชไ้ ด้อีกต่อไป
ภาพที่ 4.20 แสดงเครื่องมือซอกหเ์ ลต(soxhlet extraction)
ทีม่ า : https://pharmagroww.com/soxhlet-extraction/
80
ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้นั พ้ืนฐาน พรพรรณ ยิ่งยง
4.2.11 โครมาโทกราฟี
โครมาโทรกราฟี คือ การแยกสารโดยอาศยั หลกั การทีว่ ่า สารแตล่ ะชนดิ มคี วามสามารถในการละลาย
และดดู ซบั ได้ไม่เทา่ กัน และเหมาะอย่างย่งิ ในการใช้กับสารทีม่ ีปริมาณน้อย ๆ
หลกั การอาศัยสมบัติ2ประการ คือ
1. สารตา่ งชนดิ กันมคี วามสามารถในการละลายในตัวทาละลายไดต้ ่างกัน
2. สารตา่ งชนิดกันมีความสามารถในการถูกดดู ซบั ดว้ ยตัวดดู ซบั ไดต้ ่างกนั
โครมาโทกราฟีจะข้นึ กับอยู่เฟส 2 เฟส คือ เฟสคงที่ และเฟสเคลอ่ื นท่ี(ตวั ทาละลาย)การทาโครมาโทก
ราฟีสามารถทาไดห้ ลายวธิ จี ะแตกตา่ งกนั ทเี่ ฟสอยู่กบั ท่ีว่า อยู่ในลกั ษณะใด เช่น
- โครมาโทกราฟแี บบช้ันบาง (thin layer chromatography) เป็นโครมาโทกราฟีแบบ
ระนาบ(plane chromatography) โดยทาเฟสอยกู่ ับทีใ่ ห้มลี ักษณะเป็นครีมขน้ แล้วเคลือบบนแผ่นกระจกให้
ความหนาของการเคลอื บเท่ากันตลอดแล้วนาไปอบใหแ้ หง้ หยดสารละลายของสารผสมท่ตี ้องการแยกบนแผ่นที่
เคลอื บเฟสอยูก่ ับท่นี ี้ไว้ แล้วนาไปจุ่มในภาชนะท่บี รรจตุ วั ทาละลายท่ีเป็นเฟสเคลื่อนที่ไว้ โดยให้ระดับของตัวทา
ละลายตอ้ งอยตู่ ่ากว่าระดบั ของจุดทห่ี ยดสารผสมไว้ ตัวทาละลายจะซึมไปตามเฟสอยกู่ ับทด่ี ้วยการซมึ ตามรูเลก็
เหมอื นกบั น้าท่ีซึมไปในกระดาษหรอื ผ้า เม่ือซึมถงึ จดุ ที่หยดสารผสมไว้ ตวั ทาละลายจะชะเอาองคป์ ระกอบใน
สารผสมนน้ั ไปด้วยอัตราเร็วที่แตกตา่ งกนั ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับสภาพมีขวั้ (polarity) ของสารที่เปน็ องคป์ ระกอบกบั
สารทเี่ ป็นตัวทาละลาย ถ้าตวั ทาละลายเป็นโมเลกลุ มีขว้ั (polar molecules) จะชะเอาสารในสารผสมท่ีเปน็
สารมขี ั้วไปดว้ ยไดเ้ ร็ว ส่วนสารที่ไม่มีข้ัวในสารผสมจะถกู ชะพาไปไดช้ ้า สารผสมก็จะแยกออกจากกนั
ภาพที่ 4.21 การแยกสารโดยวิธีโครมาโทกราฟี
ท่มี า : https://www.nsm.or.th/other-service/669-online-science/knowledge-inventory/sci-
vocabulary/sci-vocabulary-science-museum/4758-chromatography.html
81
ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ น้ั พ้ืนฐาน พรพรรณ ย่งิ ยง
- โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ (paper chromatography) เปน็ โครมาโทกราฟแี บบระนาบอีกแบบ
หนง่ึ มีวิธีการและหลกั การเหมอื นกบั โครมาโทกราฟีแบบชั้นบาง แตกตา่ งกนั ทีเ่ ฟสอยู่กบั ทใ่ี ชก้ ระดาษท่สี ามารถ
ดูดซบั ไดแ้ ทนกระจกทเี่ คลือบดว้ ยซิลกิ าเจล
การเลอื กตัวทาละลายและตัวดูดซับ
1. ตัวทาละลายและสารที่ต้องการแยกจะต้องมีการละลายไมเ่ ท่ากนั
2. ควรเลือกตวั ดดู ซบั ท่ีมีการดูดซับสารได้ไมเ่ ทา่ กนั
3. ถา้ ตอ้ งการแยกสารทผ่ี สมกนั หลายชนิด อาจต้องใช้ตัวทาละลายหลายชนิดหรือใช้ตัวทาละลาย
ผสม
4. ตวั ทาละลายทนี่ ิยมใช้ ไดแ้ ก่ เฮกเซน ไซโคลเฮกเซน เบนซนี อะซีโตน คลอไร
ฟอร์ม เอธานอล
5. ตวั ดูดซับทีน่ ยิ มใช้ ได้แก่ อะลมู ินา (Al2O3) ซลิ ิกาเจล (SiO2) เซลลโู ลส
โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ และโครมาโทกราฟแี บบชนั้ บาง สามารถนามาคานวณหาค่า Rf ได้
ค่า Rf (Rate of flow) เปน็ ค่าเฉพาะตัวของสาร ท้ังนีข้ ึน้ อยกู่ ับชนดิ ของตวั ทาละลายและตัวดดู ซับ
ดงั นนั้ การบอกค่า Rf ของสารแต่ละชนิดจงึ ตอ้ งบอกชนดิ ของตวั ทาละลาย และตัวดูดซับเสมอ คา่ Rf สามารถ
คานวณได้จากสูตร
Rf = ระยะทางทสี่ ารเคมีคลอ่ื นที่ (cm)
ระยะทางที่ตวั ทาละลายเคลอื่ นที่ (cm)
สารตา่ งชนิดกันจะมีค่า Rf แตกตา่ งกัน เพราะฉะนน้ั เราจงึ สามารถใช้คา่ Rf มาใชใ้ นการวเิ คราะห์ชนดิ
ของสารได้ ค่า Rf ของสารทุกชนิดจะตอ้ งไมเ่ กิน 1 เพราะตัวทาละลายจะเคล่อื นทเี่ รว็ กว่าสารทจ่ี ะแยก
ถ้าใชต้ วั ทาละลายและตวั ดูดซับชนิดเดยี วกันปรากฏว่ามคี ่า Rf เท่ากัน อาจสนั นิษฐานไดว้ ่า สาร
ดังกลา่ วเป็นสารชนิดเดยี วกนั หรอื นาสารดังกลา่ วไปทาการแยกใหมโ่ ดยเปลยี่ นตัวทาละลายเป็นสารอน่ื
82
ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ น้ั พื้นฐาน พรพรรณ ยิ่งยง
ภาพท่ี 4.23 แสดงการแยกสารโดยวิธโี ครมาโทกราฟี
ท่มี า : https://e-chemistry.tripod.com/sasan/s3_5.htm
ขอ้ ดขี องโครมาโทกราฟี
1. สามารถแยกสารที่มปี ริมาณน้อยได้
2. สามารถแยกได้ทงั้ สารที่มีสี และไมม่ ีสี
3. สามารถใชไ้ ด้ทัง้ ปริมาณวเิ คราะห์ (บอกได้ว่าสารท่ีแยกออกมา มีปริมาณเทา่ ใด)
และคณุ ภาพวเิ คราะห์ (บอกไดว้ า่ สารนั้นเปน็ สารชนดิ ใด)
4. สามารถแยกสารผสมออกจากกันได้
5. สามารถแยกสารออกจากกระดาษกรองหรือตัวดดู ซับโดยสกดั ด้วยตัวทาละลาย
83
ทักษะวทิ ยาศาสตรข์ ั้นพ้ืนฐาน พรพรรณ ยิง่ ยง
การทดลอง 4.1 เร่อื ง การแยกสารตามขนาดอนุภาคของสาร
อุปกรณท์ ีจ่ ดั เตรยี มไว้ ( สาหรบั 1 กลมุ่ ) 5 ใบ
1. บีกเกอร์ ขนาด 50 ลกู บาศก์เซนติเมตร 5 ใบ
2. บกี เกอร์ ขนาด 100 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร 5 แผ่น
3. กระดาษกรองขนาดเสน้ ผ่านศูนย์กลาง 11 เซนติเมตร 5 แผ่น
4. กระดาษเซลโลเฟน ขนาด 15 เซนตเิ มตร × 15 เซนตเิ มตร 5 อัน
5. กรวยกรอง 5 เสน้
6. ยางสาหรับผกู ถุงเซลโลเฟน 5 อัน
7. แทง่ แก้วคนสาร 40 ml
8. น้าแป้งดบิ 40 ml
9. สารละลายด่างทับทิม 40 ml
10. นา้ สี 40 ml
11. นา้ นมสด
คาถามกอ่ นการทดลอง
1. สารทน่ี ามาทดลองมคี ุณสมบัตเิ หมือนกันหรือไม่อยา่ งไร..............................................
2. สารใดบา้ งทไี่ ม่สามารถผ่านได้ทัง้ กระดาษกรองและกระดาษเซลโลเฟน......................
............................................................................................................................. ......................................
3. สารใดบา้ งท่สี ามารถผา่ นไดเ้ ฉพาะกระดาษกรองส่วนกระดาษเซลโลเฟนไมส่ ามารถผา่ นได้
..................................................................
4. สารใดบ้างท่สี ามารถผ่านได้ท้ังกระดาษกรองและกระดาษเซลโลเฟน............................
ข้ันตอนการทดลอง
1. ตวงนา้ แป้งดิบใส่ลงไปในบกี เกอรข์ นาด 100 มิลลลิ ิตร 2 ใบ ขนาด 10 มิลลิลิตร
2. นาแป้งดิบใสบ่ กี เกอรใ์ บท่ี 1 ไปกรองผ่านกระดาษกรองแล้วสงั เกตบนกระดาษกรองและลกั ษณะ
ของของเหลวท่ีกรองได้ แลว้ บันทกึ ผล
3. นาน้าแปง้ ดบิ ใบบีกเกอรใ์ บท่ี 2 ไปบรรจลุ งในถงุ เซลโลเฟน ผูกใหแ้ นน่ แล้วนาไปแช่ในบีกเกอรซ์ ่งึ
บรรจุน้ากลน่ั 30 มิลลิลติ รนาน 10 นาที แลว้ สงั เกตลกั ษณะของเหลวในบีกเกอร์ บันทกึ ผล
4. ทาการทดลองซ้าข้อ 1– 3 แตเ่ ปลีย่ นจากน้าแปง้ ดบิ เปน็ น้าสี น้านมสด และ
สารละลายดา่ งทบั ทิม ตามลาดบั
84
ทักษะวิทยาศาสตรข์ ัน้ พื้นฐาน พรพรรณ ยิ่งยง
ตารางบนั ทกึ ผลการทดลอง
ตวั อย่างสารท่ที ดลอง ทดสอบดว้ ย ทดสอบด้วยเซลโลเฟน ประเภทของสารตาม
กระดาษกรอง ขนาดอนภุ าค
นา้ แป้งดบิ
นม
น้าสี
สารละลายดา่ งทบั ทิม
สรุปผลการทดลอง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………..
คาถามหลังการทดลอง
1. สารที่นามาทดลองสามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ ....................กลุ่ม
1.1 กล่มุ ท่ี 1 ได้แก่............................................มคี ุณสมบัต.ิ ........................................
1.2 กลุ่มที่ 2 ได้แก่............................................มคี ุณสมบตั .ิ .......................................
1.3 กลุม่ ที่ 3 ได้แก่............................................มีคณุ สมบตั .ิ ........................................
2. จากการทดลองสารใดบา้ งเป็นสารเนอ้ื ผสม....................................................................
3. จากการทดลองสารใดบ้างเปน็ สารเน้ือเดยี ว...................................................................
85
ทักษะวิทยาศาสตรข์ ัน้ พ้นื ฐาน พรพรรณ ยิ่งยง
การทดลอง 4.2 เร่ือง การแยกสารผสม
วตั ถปุ ระสงค์ของการทดลอง
1. เพอื่ ให้นกั เรียนสามารถแยกชนดิ ของสารออกจากสารผสม ( เกลือ + ทราย + ผงตะไบเหลก็ ) ได้
2. นกั เรียนสามารถเลือกวิธกี ารแยกสารได้อย่างถูกต้อง
คาช้ีแจง
ใหน้ กั เรยี นเลือกวิธีการแยกสารเพอ่ื แยกตวั อยา่ งท่ีเปน็ สารผสมออกจากกันให้ถูกต้อง
อุปกรณท์ ใ่ี ชใ้ นการทดลอง
............................................................................................................................. ....................................................
............................................................................................................................. ....................................................
.................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ....................................................
............................................................................................................................. ....................................................
.................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ....................................................
วิธกี ารทดลอง
............................................................................................................................. ....................................................
............................................................................................................................. ....................................................
.................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ....................................................
............................................................................................................................. ....................................................
.................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ....................................................
............................................................................................................................. ....................................................
86
ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้นั พืน้ ฐาน วิธกี ารแยกสาร พรพรรณ ย่ิงยง
ตารางบนั ทกึ ผลการทดลอง ลกั ษณะของสารทีแ่ ยกได้
สารทแี่ ยกได้จากตวั อยา่ ง
สรปุ ผลการทดลอง
………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………
87
ทักษะวิทยาศาสตรข์ ้ันพืน้ ฐาน พรพรรณ ย่งิ ยง
การทดลอง 4.3 เรื่อง การแยกสารโดยเทคนคิ เปเปอรโ์ คมาโทกราฟี
วัตถุประสงคข์ องการทดลอง
1.1 เพือ่ แยกสารบรสิ ุทธ์ิออกจากสารละลายโดยทสี่ ารละลายมปี รมิ าณน้อย
1.2 เพื่อฝกึ เทคนิคการทาเปเปอรโ์ ครมาโทรกราฟฟี
อปุ กรณ์การทดลอง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………
วิธีการทดลอง
………………………………………………………………………………………………….………...…………………………………
………………………………………………………………………………………………….………...…………………………………
………………………………………………………………………………………………….………...…………………………………
………………………………………………………………………………………………….………...…………………………………
………………………………………………………………………………………………….………...…………………………………
………………………………………………………………………………………………….………...…………………………………
สูตรที่ใชใ้ นการคานวณหาคา่ Rf
………………………………………………………………………………………………….………...…………………………………
………………………………………………………………………………………………….………...…………………………………
………………………………………………………………………………………………….………...…………………………………
………………………………………………………………………………………………….………...…………………………………
88
ทกั ษะวิทยาศาสตรข์ ั้นพ้นื ฐาน พรพรรณ ยงิ่ ยง
ผลการทดลอง
การวดั ค่า Rf ค่า Rf
ตาราง การหาค่า Rf
สีท่แี ยกได้ ระยะทางการ เคลื่อนทขี่ อง
สาร (cm)
น้า
สรปุ ผลการทดลอง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
89