The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือวิทยาศาสตร์ ป.6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ดัช'ช มิลค์, 2023-03-06 13:28:55

คู่มือวิทยาศาสตร์ ป.6

คู่มือวิทยาศาสตร์ ป.6

เสนอ ผศ.สมหวัง นิลพันธ์ จัดทำโดย นางสาวศิรภัสสร สูงแข็ง 6594110009 นางสาวชนัดดา นนทะโครต 6594110042 นางสาวพลอยนภัส สิทธิพัฒน์ภาธร 6594110015 รหัสวิชา ED13305 การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับครูประถมศึกษา


คำนำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการ จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับครูประถมศึกษา รหัสวิชา ED ๑๓๓๐๕ โดยคณะผู้จัดทำได้ทำการศึกษาเรื่องหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่อง หลักสูตรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการศึกษาขั้นพื้นฐานในฉบับปีล่าสุดเพื่อ เข้าใจในการเรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น และทักษะที่จะต้อง ฝึกฝนเพื่อเกิดความชำนาญในหลักสูตรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน อย่างมีประสิทธิภาพ คณะผู้จัดทำต้องขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สมหวัง นิลพันธ์หัวหน้า สาขาวิชาการประถมศึกษาให้ความรู้และแนวทางการศึกษา และเพื่อนๆทุกคนที่ ให้ความช่วยเหลือ ผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์ แก่ผู้อ่านทุกๆท่าน


สารบัญ เรื่อง หน้า ค ำน ำ ก สำรบัญ ข-ค บทน ำ 1-2 วิสัยทัศน์ 3-4 หลักกำร 5-6 จุดหมำย 6-7 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหลักสูตรและ 7-9 คุณลักษณะตำมศตวรรษที่ ๒๑ สมรรถนะของหลักสูตรและสมรรถนะ 10-11 ตำมศตวรรษที่ ๒๑ คุณภำพผู้เรียน 14-16 รำยวิชำที่เปิดสอน 17 ท ำไมต้องเรียนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี 18 เรียนรู้อะไรในวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี 19-20 ธรรมชำติของควำมรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี 21 เป้ำหมำยส ำคัญของกำรจัดกำรเรียนกำรสอนวิทยำศำสตร์ 22-23 แนวกำรสร้ำงกำรรู้วิทยำศำสตร์ส ำหลับหลักสูตร 24-25


นักเรียนระดับประถมศึกษำ สำระและมำตรฐำนกำรเรียนรู้ 26-28 รำยวิชำเพิ่มเติม 29-31 ตัวชี้วัดและสำระกำรเรียนรู้แกนกลำง 32-36 ค ำอธิบำยรำยวิชำพื้นฐำนและโครงสร้ำงรำยวิชำพื้นฐำน 37-38 กระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ รูปแบบกำรสอน และทักษะทำงวิทยำศำสตร์ 39-50 กำรวัดและกำรประเมินผลกำรเรียนรู้ 50-53 สื่อ/แหล่งกำรเรียนรู้ 54-55 ภำคผนวก 56 อภิธำนศัพท์ 57-60 ตัวอย่ำงหน่วยกำรเรียนรู้ 61-74 แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส ำคัญที่ใช้นวัตกรรม 75-77 คณะผู้จัดท ำ


บทน า ตัวชี้วัดและสำระกำรเรียนรู้แกนกลำง กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์ (ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช ๒๕๕๑ นี้ได้ ก ำหนดสำระ กำรเรียนรู้ออกเป็น ๔ สำระ ได้แก่ สำระที่ ๑ วิทยำศำสตร์ชีวภำพ สำระที่ ๒ วิทยำศำสตร์กำยภำพ สำระที่ ๓ วิทยำศำสตร์โลก และอวกำศ และสำระที่ ๔ เทคโนโลยีมีสำระ เพิ่มเติม ๔ สำระ ได้แก่ สำระชีววิทยำสำระเคมีสำระฟิ สิกส์และสำระโลกดำรำศำสตร์และ อวกำศซึ่งองค์ประกอบของหลักสูตร ทั้งในด้ำนของเนื้อหำ กำรจัดกำรเรียนกำรสอน และกำรวัด และประเมินผลกำรเรียนรู้นั้นมีควำมส ำคัญอย่ำงยิ่งในกำวำงรำกฐำนกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์ ของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้นให้มีควำมต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษำปีที่ ๑ จนถึง ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ ๖ ส ำหรับกลุ่มสำระ กำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์ได้ก ำหนดตัวชี้วัดและสำระกำร เรียนรู้แกนกลำงที่ผู้เรียนจ ำเป็นต้องเรียน เป็นพื้นฐำน เพื่อให้สำมำรถน ำควำมรู้นี้ไปใช้ในกำร ด ำรงชีวิตหรือศึกษำต่อในวิชำชีพที่ต้องใช้ วิทยำศำสตร์ได้โดยจัดเรียงล ำดับควำมยำกง่ำยของ เนื้อหำแต่ละสำระในแต่ละระดับชั้นให้มีกำรเชื่อมโยงควำมรู้กับกระบวนกำรเรียนรู้และกำรจัด กิจกรรมกำรเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนำควำมคิด ทั้งควำมคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้ำงสรรค์ คิดวิเครำะห์วิจำรณ์ มีทักษะที่ส ำคัญทั้งทักษะ กระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์และทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในกำรค้นคว้ำและสร้ำงองค์ควำมรู้ ด้วยกระบวนกำรสืบเสำะหำควำมรู้สำมำรถแก้ปัญหำอย่ำงเป็นระบบ สำมำรถตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูล หลำกหลำยและประจักษ์พยำนที่ตรวจสอบได้สถำบันส่งเสริมกำรสอน วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) ตระหนักถึงควำมส ำคัญของกำรจัดกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์ที่มุ่งหวังให้ เกิดผลสมัฤทธิ์ตอ่ผเู้รยีนมำกท่ีสดุจงึไดจ้ดัทำ ตวัชีว้ดั และสำระกำรเรียนรู้แกนกลำง กลุ่มสำระกำรเรียนรู้ วิทยำศำสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช ๒๕๕๑ ขึ้น เพื่อให้สถำนศึกษำ ครูผู้สอนตลอดจนหน่วยงำนต่ำงๆ ได้ใช้เป็นแนวทำงในกำรพัฒนำหนังสือเรียน คู่มือ ครูสื่อประกอบกำรเรียน กำรสอน ตลอดจนกำรวัดและประเมินผล โดยตัวชี้วัดและสำระกำรเรียนรู้แกนกลำง กลุ่มสำระ กำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้น พื้นฐำน พุทธศักรำช ๒๕๕๑ ที่จัดท ำขึ้นนี้ได้ปรับปรุงเพื่อให้มีควำมสอดคล้องและเชื่อมโยงกันภำยในสำระ กำรเรียนรู้เดียวกัน และระหว่ำงสำระกำรเรียนรู้ในกลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์ตลอดจนกำรเชื่อมโยง


เนื้อหำควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์กับคณิตศำสตร์ด้วยนอกจำกนี้ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มีควำมทันสมัยต่อกำร เปลี่ยนแปลง และควำมเจริญก้ำวหน้ำของวิทยำกำรต่ำง ๆ และทัดเทียมกับ นำนำชำติ วิสัยทัศน์ ๑.วิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์แห่งชาติ (กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ ๒๕๕๑ ,ฉบับปรับปรุง พ.ศ ๒๕๖๐) วิสัยทัศน์ของยุทธศำสตร์แห่งชำติไทย คือกำรน ำประเทศไปสู่ควำม “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” และเป็น ประเทศที่พัฒนำ ด้วยกำรน ำหลัก ตำมปรัชญำ “คิดเศรษฐกิจพอเพียง” ประเทศสำมำรถยกระดับกำร พัฒนำให้บรรลุวิสัยทัศน์และเป้ำหมำยพัฒนำประเทศจึงจ ำเป็นต้องก ำหนดยุทธศำสตร์กำรพัฒนำประเทศ ระยะยำวที่มุ่งเน้นกำรสร้ำงสมดุลระหว่ำงกำรพัฒนำควำมมั่นคงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย ๖ ยุทธศำสตร์ ได้แก่ ๑.ยุทธศำสตร์ชำติด้ำนควำมมั่นคง ๒. ยุทธศำสตร์ชำติด้ำนกำรสร้ำงควำมสำมำรถในกำรแข่งขัน ๓. ยุทธศำสตร์ชำติด้ำนกำรพัฒนำและเสริมสร้ำงศักยภำพทรัพยำกรมนุษย์ ๔. ยุทธศำสตร์ชำติด้ำนกำรสร้ำงโอกำสและควำมเสมอภำคทำงสังคม ๕. ยุทธศำสตร์ชำติด้ำนกำรสร้ำงกำรเติมโตบนคุณภำพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ๖. ยุทธศำสตร์ชำติด้ำนกำรปรับสมดุลและพัฒนำระบบกำรบริกำรจัดกำรภำครัฐ ๒.วสิัยทศันห์ลักสูตรแกนกลาง (กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ ๒๕๕๑ ,ฉบับปรับปรุง พ.ศ ๒๕๖๐) หลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำนมุ่งพัฒนำผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็นก ำลังของชำติให้เป็นมนุษย์ที่มี ควำมสมดุลทั้งด้ำนร่ำงกำยควำมรู้คุณธรรมมีจิตส ำนึกในกำรเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลกยึดมั่นในกำร ปกครองตำมระบอบประชำธิปไตยอันมีพระมหำกษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีควำมรู้และทักษะพื้นฐำนรวมทั้ง เจตคติที่จ ำเป็นต่อกำรศึกษำต่อกำรประกอบอำชีพและกำรศึกษำตลอดชีวิตโดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นส ำคัญ บนพื้นฐำนควำมเชื่อว่ำทุกคนสำมำรถเรียนรู้และพัฒนำตนเองได้เต็มตำมศักยภำพ


๓.วิสัยทัศน์วิทยาศาสตร์(กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ ๒๕๕๑ ,ฉบับปรับปรุง พ.ศ ๒๕๖๐) “ยกระดับคุณภำพ สู่มำตรฐำนกำรศึกษำชั้นน ำและสู่สำกล มีศักยภำพในกำรแข่งขัน ยึดหลักกำร บริหำรจัดกำรแบบมีส่วนร่วม ภำยในปีกำรศึกษำ ๒๕๖๑” หลักการ หลักสูตรสถำนศึกษำ มีหลักกำรที่ส ำคัญ ดังนี้ ๑.เป็นหลักสูตรกำรศึกษำเพื่อควำมเป็นเอกภำพของชำติ มีจุดหมำยและมำตรฐำนกำรเรียนรู้เป็น เป้ำหมำยส ำหรับพัฒนำเด็กและเยำวชนให้มีควำมรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพื้นฐำน ของควำมเป็นไทยควบคู่กับควำมเป็นสำกล ๒.เป็นหลักสูตรกำรศึกษำเพื่อปวงชน ที่ทุกคนมีโอกำสได้รับกำรศึกษำอย่ำงเสมอภำคและมี คุณภำพ ๓.เป็นหลักสูตรกำรศึกษำที่สนองกำรกระจำยอ ำนำจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในกำรจัดกำรศึกษำให้ สอดคล้องกับสภำพและควำมต้องกำรของท้องถิ่น ๔.เป็นหลักสูตรกำรศึกษำที่มีโครงสร้ำงยืดหยุ่นทั้งด้ำนสำระกำรเรียนรู้ เวลำ และกำรจัดกำร เรียนรู้ ๕.เป็นหลักสูตรกำรศึกษำที่เน้นผู้เรียนเป็นส ำคัญ ๖.เป็นหลักสูตรกำรศึกษำส ำหรับกำรศึกษำในระบบ นอกระบบ และตำมอัธยำศัยครอบคลุมทุก กลุ่มเป้ำหมำย สำมำรถเทียบโอนผลกำรเรียนรู้ และประสบกำรณ์


จุดหมาย หลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน มุ่งพัฒนำผู้เรียนให้เป็นคนดีมีปัญญำ มีควำมสุข มีศักยภำพ ในกำรศึกษำต่อ และประกอบอำชีพ จึงก ำหนดเป็นจุดหมำยเพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบกำรศึกษำขั้น พื้นฐำน ดังนี้ ๑. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่ำนิยม ที่พึงประสงค์เห็นคุณค่ำของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตำม หลักธรรมของพระพุทธศำสนำ หรือศำสนำที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง ๒. มีควำมรู้ควำมสำมำรถในกำรสื่อสำร กำรคิด กำรแก้ปัญหำ กำรใช้เทคโนโลยีและมีทักษะชีวิต ๓. มีสุขภำพกำยและสุขภำพจิตที่ดีมีสุขนิสัย และรักกำรออกกำลังกำย ๔. มีควำมรักชำติมีจิตสำนึกในควำมเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและ กำรปกครอง ตำมระบอบประชำธิปไตยอันมีพระมหำกษัตริย์ทรงเป็นประมุข ๕. มีจิตสำนึกในกำรอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญำไทย กำรอนุรักษ์และพัฒนำสิ่งแวดล้อม มีจิต สำธำรณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้ำงสิ่งที่ดีงำมในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่ำงมีควำมสุข คุณลักษณะอันพงึประสงคต ์ ามศตวรรษที่๒๑ มุ่งพัฒนำผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สำมำรถอยู่ ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่ำง มีควำมสุข ในฐำนะเป็นพลเมืองไทย และพลโลก ตำมหลักสูตรแกนกลำง กำรศึกษำขั้นพื้นฐำน ดังนี้ ๑. รักชำติศำสตร์กษัตริย์หมำยถึง มีควำมภำคภูมิใจในควำมเป็นไทย นิยมไทย ปฏิบัติตำมค ำสั่งสอน ของศำสนำเคำรพเทิดทูนศำสนำ แสดงควำมจงรักภักดีเทิดทูนพระเกียรติและพระรำชกรณียกิจของ พระมหำกษัตริย์ ๒. ซื่อสัตย์สุจริต หมำยถึง กำรประพฤติปฏิบัติอย่ำงเหมำะสม และตรงต่อควำมเป็นจริงประพฤติปฏิบัติ อย่ำงตรงไปตรงมำ ทั้งกำย วำจำ ใจ ต่อตนเองและผู้อื่น ๓. มีวินัย หมำยถึง กำรควบคุมควำมประพฤติให้ถูกต้องและเหมำะสมกับจรรยำมำรยำท ข้อบังคับ ข้อตกลง กฎหมำยและศีลธรรม ๔. ใฝ่เรียนรู้ หมำยถึง กำรค้นคว้ำหำควำมรู้หรือสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อพัฒนำตนเองอยู่เสมอ


๕. อยู่อย่ำงพอเพียง หมำยถึง กำรมีควำมพอดีในกำรบริโภค ใช้ทรัพยำกรและเวลำว่ำงให้เป็น ประโยชน์ ค ำนึงถึงฐำนะและเศรษฐกิจ คิดก่อนใช้จ่ำยตำมควำมเหมำะสม ๖. มุ่งมั่นในกำรท ำงำน หมำยถึง กำรศึกษำเรียนรู้เพื่อหำข้อเท็จจริง ซึ่งอำจพัฒนำไปสู่ควำมจริงในสิ่งที่ ต้องกำรเรียนรู้หรือต้องกำรหำค ำตอบเพื่อน ำค ำตอบที่ได้นั้นมำใช้ประโยชน์ในด้ำนต่ำง ๆ ๗. รักควำมเป็นไทย หมำยถึง เข้ำใจ หวงแหนควำมเป็นไทยซึ่งถือเป็นต้นทุนทำงสังคมท ำให้ทุกศำสนำ สำมำรถอยู่ร่วมกันได้อย่ำงสันติ ๘. มีจิตสำธำรณะ หมำยถึง คุณลักษณะทำงจิตใจของบุคคลเกี่ยวกับกำรมองเห็นคุณค่ำ หรือกำรให้ คุณค่ำแก่กำรมีปฏิสัมพันธ์ทำงสังคมและสิ่งต่ำง ๆ คุณลักษณะทพี่งึประสงคข ์ องผู้เรียนในศตวรรษที่๒๑ ประกอบด้วยคุณลักษณะ ๔ ด้ำน ได้แก่ ๑.คุณลักษณะด้ำนควำมรู้ คือ เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้และกล้ำแสดงออก รักกำรเรียนรู้และกำรเรียนรู้ด้วย ตนเอง ๒.คุณลักษณะด้สนควำมคิด คือ กำรคิดวิเครำะห์กำรคิดสังเครำะห์กำรคิดอย่ำงมีวิจำรณญำณ และ กำรคิดสร้ำงสรรค์ ๓.คุณลักษณะด้ำนทักษะ คือ ทักษะกำรเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะชีวิตและกำรท ำงำน และทักษะ ด้ำนสื่อเทคโนโลยีและสำรสนเทศ ๔.คุณลักษณะด้ำนคุณธรรม คือ กำรมีจิตส ำนึกและค่ำนิยมที่ดีงำมที่ดีมีจิตสำธำรณะ ควำมซื่อสัตย์ สุจริต


สมรรถนะของหลักสูตรและสมรรถนะตามศตวรรษที่21 หลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะส ำคัญ ๕ ประกำร ดังนี้ ๑.ความสามารถในการสื่อสาร เป็นควำมสำมำรถในกำรรับและส่งสำร มีวัฒนธรรมในกำรใช้ภำษำ ถ่ำยทอดควำมคิด ควำมรู้ควำมเข้ำใจ ควำมรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่ำวสำรและ ประสบกำรณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อกำรพัฒนำตนเองและสังคม รวมทั้งกำรเจรจำต่อรองเพื่อขจัดและลด ปัญหำควำมขัดแย้งต่ำงๆ กำรเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่ำวสำรด้วยหลักเหตุผลและควำมถูกต้องตลอดจน กำรเลือกใช้วิธีกำรสื่อสำร ที่มีประสิทธิภำพโดยค ำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม ๒.ความสามารถในการคิด เป็นควำมสำมำรถในกำรคิดวิเครำะห์ กำรคิดสังเครำะห์ กำรคิด อย่ำง สร้ำงสรรค์ กำรคิดอย่ำงมีวิจำรณญำณ และกำรคิดเป็นระบบ เพื่อน ำไปสู่กำรสร้ำงองค์ควำมรู้หรือ สำรสนเทศเพื่อกำรตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่ำงเหมำะสม ๓.ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำและอุปสรรคต่ำง ๆ ที่เผชิญได้ อย่ำงถูกต้องเหมำะสมบนพื้นฐำนของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสำรสนเทศ เข้ำใจควำมสัมพันธ์และ กำรเปลี่ยนแปลงของเหตุกำรณ์ต่ำงๆ ในสังคม แสวงหำควำมรู้ ประยุกต์ควำมรู้มำใช้ในกำรป้องกันและ แก้ไขปัญหำ และมีกำรตัดสินใจที่มีประสิทธิภำพโดยค ำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและ สิ่งแวดล้อม ๔.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นควำมสำมำรถในกำรน ำกระบวนกำรต่ำง ๆ ไปใช้ในกำร ด ำเนินชีวิตประจ ำวัน กำรเรียนรู้ด้วยตนเอง กำรเรียนรู้อย่ำงต่อเนื่องเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภำพแวดล้อมและกำรรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น ๕.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นควำมสำมำรถในกำรเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้ำนต่ำง ๆ และมีทักษะกระบวนกำรทำงเทคโนโลยี เพื่อกำรพัฒนำตนเองและสังคม ในด้ำนกำรเรียนรู้ กำรสื่อสำร กำร ท ำงำน กำรแก้ปัญหำอย่ำงสร้ำงสรรค์ถูกต้องเหมำะสมและมีคุณธรรม


คุณสมบัติหร ื อทักษะที่ส าคญั3R8C 3R ไดแ้ก่ Reading อ่านออก Writing เขียนได้ Arithmatic มีทักษะในการค านวณ 8C ไดแ ้ ก่ Critical Thinking and Problem Solving: มีทกัษะในการคิดวิเคราะห์การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และแกไ้ข ปัญหาได้ Creativity and Innovation: คิดอยา่งสร้างสรรค์คิดเชิงนวตักรรม Collaboration Teamwork and Leadership: ความร่วมมือการทา งานเป็นทีม และภาวะผนู้า Communication Information and Media Literacy: ทกัษะในการสื่อสารและการรู้เท่าทนัสื่อ Cross-cultural Understanding: ความเขา้ใจความแตกต่างทางวฒันธรรม กระบวนการคิดขา้มวฒันธรรม Computing and IT literacy: มีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และรู้เท่าทนัเทคโนโลยี Career and Learning Skills: ทักษะทางอาชีพ และการเรียนรู้ Compassion: มีความเมตตากรุณา มีคุณธรรม และมีระเบียบวินัย


คุณภาพผู้เรียน จบชั้นประถมศึกษำปีที่ ๖ ❖ เข้ำใจโครงสร้ำง ลักษณะเฉพำะกำรปรับตัวของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งควำมสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตใน แหล่งที่อยู่ กำรท ำหน้ำที่ของส่วนต่ำง ๆ ของพืช และกำรท ำงำนของระบบย่อยอำหำรของมนุษย์ ❖ เข้ำใจสมบัติและกำรจ ำแนกกลุ่มของวัสดุ สถำนะและกำรเปลี่ยนสถำนะของสสำร กำรละลำย กำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมีกำรเปลี่ยนแปลงที่ผันกลับได้และผันกลับไม่ได้และกำรแยกสำรอย่ำงง่ำย ❖ เข้ำใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์แรงเสียดทำน แรงไฟฟ้ำและ ผลของแรงต่ำง ๆ ผล ที่เกิดจำกแรงกระท ำต่อวัตถุควำมดัน หลักกำรที่มีต่อวัตถุวงจรไฟฟ้ำอย่ำงง่ำย ปรำกฏกำรณ์เบื้องต้นของ เสียง และแสง ❖ เข้ำใจปรำกฏกำรณ์กำรขึ้นและตก รวมถึงกำรเปลี่ยนแปลงรูปร่ำงปรำกฏ ของดวงจันทร์ องค์ประกอบของระบบสุริยะ คำบกำรโคจรของดำวเครำะห์ควำมแตกต่ำงของ ดำวเครำะห์และดำวฤกษ์ กำรขึ้นและตกของกลุ่มดำวฤกษ์กำรใช้แผนที่ดำว กำรเกิดอุปรำคำ พัฒนำกำรและประโยชน์ของเทคโนโลยี อวกำศ ❖ เข้ำใจลักษณะของแหล่งน ้ำ วัฏจักรน ้ำ กระบวนกำรเกิดเมฆ หมอก น ้ำค้ำง น ้ำค้ำงแข็ง หยำดน ้ำ ฟ้ำ กระบวนกำรเกิดหิน วัฏจักรหิน กำรใช้ประโยชน์หินและแร่ กำรเกิด ซำกดึกด ำบรรพ์กำรเกิดลมบก ลม ทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชำติธรณีพิบัติภัยกำรเกิดและผลกระทบขอปรำกฏกำรณ์ เรือนกระจก ❖ค้นหำข้อมูลอย่ำงมีประสิทธิภำพและประเมินควำมน่ำเชื่อถือ ตัดสินใจเลือกข้อมูล ใช้เหตุผลเชิง ตรรกะในกำรแก้ปัญหำ ใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำรในกำรท ำงำนร่วมกัน เข้ำใจสิทธิและหน้ำที่ ของตน เคำรพสิทธิของผู้อื่น ❖ตั้งค ำถำมหรือก ำหนดปัญหำเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตำมที่ก ำหนดให้หรือตำม ควำมสนใจ คำดคะเน ค ำตอบหลำยแนวทำง สร้ำงสมมติฐำนที่สอดคล้องกับค ำถำมหรือปัญหำ ที่จะส ำรวจตรวจสอบ วำงแผน และส ำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์และเทคโนโลยีสำรสนเทศ ที่เหมำะสม ในกำรเก็บรวบรวม ข้อมูลทั้งเชิงปริมำณและคุณภำพ ❖ วิเครำะห์ข้อมูล ลงควำมเห็น และสรุปควำมสัมพันธ์ของข้อมูลที่มำจำกกำร ส ำรวจตรวจสอบใน รูปแบบที่เหมำะสม เพื่อสื่อสำรควำมรู้จำกผลกำรส ำรวจตรวจสอบได้อย่ำงมีเหตุผลและหลักฐำนอ้ำงอิง


❖ แสดงถึงควำมสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีควำมคิดสร้ำงสรรค์เกี่ยวกับ เรื่องที่จะศึกษำตำม ควำมสนใจของตนเอง แสดงควำมคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่มีหลักฐำนอ้ำงอิง และรับฟังควำม คิดเห็นผู้อื่น ❖ แสดงควำม รับผิดชอบด้ วยก ำรท ำง ำนที่ได้ รับมอบหมำยอย่ำงมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จนงำนลุล่วงเป็นผลส ำเร็จ และท ำงำนร่วมกับผู้อื่นอย่ำงสร้ำงสรรค์ ❖ ตระหนักในคุณค่ำของควำมรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีใช้ควำมรู้และ กระบวนกำรทำง วิทยำศำสตร์ในกำรด ำรงชีวิต แสดงควำมชื่นชม ยกย่อง และเคำรพสิทธิในผลงำน ของผู้คิดค้นและศึกษำหำ ควำมรู้เพิ่มเติม ท ำโครงงำนหรือชิ้นงำนตำมที่ก ำหนดให้หรือตำมควำมสนใจ ❖ แสดงถึงควำมซำบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับกำรใช้กำรดูแลรักษำ ทรัพยำกรธรรมชำติและ สิ่งแวดล้อมอย่ำงรู้คุณค่ำ


รายวิชาทเี่ปิดสอน รายวิชาพ้ืนฐานและเพิ่มเติมกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร ์ และเทคโนโลยี รายวิชาพ้ืนฐาน ระดบัช้นั ประถมศึกษา ป. 1- ป. 6 ว11101วิทยาศาสตร ์ และเทคโนโลยีจา นวน 80 ชวั่โมง ว12101วิทยาศาสตร ์ และเทคโนโลยีจา นวน 80 ชวั่โมง ว13101วิทยาศาสตร ์ และเทคโนโลยีจา นวน 80 ชวั่โมง ว 14101 วิทยาศาสตร ์ และเทคโนโลยีจา นวน 80 ชวั่โมง ว15101วิทยาศาสตร ์ และเทคโนโลยีจา นวน 80 ชวั่โมง ว16101วิทยาศาสตร ์ และเทคโนโลยีจา นวน 80 ชวั่โมง ว31102วิทยาศาสตร ์ และเทคโนโลย(ีภาคเรียนที่2) 2 หน่วยกิต จา นวน 80 ชวั่โมง


ท าไมต้องเรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยำศำสตร์มีบทบำทส ำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนำคต เพรำะวิทยำศำสตร์ เกี่ยวข้องกับทุกคน ทั้งในชีวิตประจ ำวันและกำรงำนอำชีพต่ำงๆ ตลอดจนเทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องใช้และ ผลผลิตต่ำง ๆ ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออ ำนวยควำมสะดวกในชีวิตและกำรท ำงำน เหล่ำนี้ล้วนเป็นผลของควำมรู้ วิทยำศำสตร์ผสมผสำนกับ ควำมคิดสร้ำงสรรค์และศำสตร์อื่น ๆวิทยำศำสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนำวิธีคิด ทั้งควำมคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้ำงสรรค์คิดวิเครำะห์วิจำรณ์มีทักษะส ำคัญในกำรค้นคว้ำหำควำมรู้ใช้ ควำมรู้และทักษะเพื่อแก้ปัญหำ หรือพัฒนำงำนด้วยกระบวนกำรออกแบบเชิงวิศวกรรม มีควำมสำมำรถใน กำรแก้ปัญหำอย่ำงเป็นระบบ รวมทั้ง สำมำรถค้นหำข้อมูลหรือสำรสนเทศ ประเมินสำรสนเทศ ประยุกต์ใช้ ทักษะกำรคิดเชิงค ำนวณและควำมรู้ด้ำนวิทยำกำรคอมพิวเตอร์ สื่อดิจิทัล เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำร สื่อสำร เพื่อแก้ปัญหำในชีวิตจริง อย่ำงสร้ำงสรรค์ สำมำรถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลำกหลำยและมี ประจักษ์พยำนที่ตรวจสอบได้ วิทยำศำสตร์ เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งกำรเรียนรู้ (knowledge-based society) ดังนั้นทุกคน จึงจ ำเป็นต้องได้รับกำรพัฒนำให้รู้วิทยำศำสตร์เพื่อที่จะมีควำมรู้ควำม เข้ำใจในธรรมชำติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้ำงสรรค์ขึ้น สำมำรถน ำควำมรู้ไปใช้อย่ำงมีเหตุผล สร้ำงสรรค์ และมีคุณธรรม


เรียนรู้อะไรในวิทยาศาสตรแ ์ ละเทคโนโลยี กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยำศำสตร์ ที่เน้นกำร เชื่อมโยง ควำมรู้กับกระบวนกำร มีทักษะส ำคัญในกำรค้นคว้ำและสร้ำงองค์ควำมรู้ โดยใช้ กระบวนกำรในกำรสืบ เสำะหำควำมรู้และแก้ปัญหำที่หลำกหลำย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกำรเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีกำรท ำกิจกรรม ด้วยกำรลงมือปฏิบัติจริงอย่ำงหลำกหลำย เหมำะสมกับระดับชั้น โดยก ำหนดสำระส ำคัญ ดังนี้ ✧ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต กำร ด ำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์กำรด ำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ และ วิวัฒนำกำรของสิ่งมีชีวิต ✧ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชำติของสำร กำรเปลี่ยนแปลงของสำร กำร เคลื่อนที่ พลังงำน และคลื่น ✧ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ภำยใน ระบบสุริยะ เทคโนโลยีอวกำศ ระบบโลก กำรเปลี่ยนแปลงทำงธรณีวิทยำ กระบวนกำร เปลี่ยนแปลงลมฟ้ำ อำกำศ และผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ✧ เทคโนโลยี ● กำรออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกี่ยวกับ เทคโนโลยีเพื่อกำรด ำรงชีวิต ในสังคมที่มีกำร เปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็ว ใช้ควำมรู้และทักษะทำงด้ำนวิทยำศำสตร์คณิตศำสตร์และศำสตร์อื่น ๆ เพื่อ แก้ปัญหำหรือพัฒนำงำนอย่ำงมีควำมคิดสร้ำงสรรค์ด้วยกระบวนกำรออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยีอย่ำงเหมำะสมโดยค ำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ● วิทยำกำรค ำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับ กำรคิดเชิงค ำนวณ กำรคิดวิเครำะห์แก้ปัญหำเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ควำมรู้ด้ำนวิทยำกำรคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสำรสนเทศ และกำรสื่อสำร ใน กำรแก้ปัญหำที่พบในชีวิตจริงได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ


ธรรมชาตขิองความรู้วิทยาศาสตรแ ์ ละเทคโนโลยี ธรรมชำติของวิทยำศำสตร์ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนำตนเองในกำรสร้ำงระบบควำมคิดและ แนวทำงกำรแสวงหำ ควำมรู้ กำรเตรียมตัวเองเพื่อมุ่งสู่กำรเป็นพลโลกที่มีคุณภำพ สำมำรถ เข้ำใจในวิทยำศำสตร์ รู้วิทยำศำสตร์ และมีเจต คติที่ดีต่อวิทยำศำสตร์ ตลอดจนกำรน ำ วิทยำศำสตร์ไปใช้ในกำรสร้ำงสรรค์สังคมเพื่อให้เกิดกำรอยู่ร่วมกันอย่ำงสันติ สิ่งเหล่ำนี้ล้วน ได้รับกำรบรรจุไว้ในหลักสูตรและกำรเรียนกำรสอน แต่ธรรมชำติของวิทยำศำสตร์จะเกิดมรรค ผลก็ ต่อเมื่อกระบวนกำรเรียนกำรสอนได้น ำมำใช้อย่ำงเป็นรูปธรรมผ่ำนกิจกรรมกำรเรียนกำร สอนที่เน้นให้ผู้เรียนได้และ ลงมือกระท ำด้วยตนเองให้มำกที่สุด เป้าหมายสา คัญของการจัดการเรียนรู้การสอนวิทยาศาสตร ์ ในกำรเรียนกำรสอนวิทยำศำสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบควำมรู้ด้วยตนเองมำกที่สุด เพื่อให้ได้ทั้งกระบวนกำรและควำมรู้จำกวิธีกำรสังเกต กำรส ำรวจตรวจสอบ กำรทดลอง แล้วน ำ ผลที่ได้มำจัดระบบเป็นหลักกำร แนวคิด และองค์ควำมรู้กำรจัดกำรเรียนกำรสอนวิทยำศำสตร์ จึงมีเป้ำหมำยที่ส ำคัญ ดังนี้ ๑. เพื่อให้เข้ำใจหลักกำร ทฤษฎีและกฎที่เป็นพื้นฐำนในวิชำวิทยำศำสตร์ ๒.เพื่อให้เข้ำใจขอบเขตของธรรมชำติของวิชำวิทยำศำสตร์และข้อจ ำกัดในกำรศึกษำ วิชำวิทยำศำสตร์ ๓. เพื่อให้มีทักษะที่ส ำคัญในกำรศึกษำค้นคว้ำและคิดค้นทำงเทคโนโลยี ๔.เพื่อให้ตระหนักถึงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงวิชำวิทยำศำสตร์เทคโนโลยีมวลมนุษย์และ สภำพแวดล้อมในเชิงที่มีอิทธิพลและผลกระทบซึ่งกันและกัน ๕. เพื่อน ำควำมรู้ควำมเข้ำใจ ในวิชำวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อสังคมและกำรด ำรงชีวิต


๖. เพื่อพัฒนำกระบวนกำรคิดและจินตนำกำร ควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำ และ กำร จัดกำร ทักษะในกำรสื่อสำร และควำมสำมำรถในกำรตัดสินใจ ๗. เพื่อให้เป็นผู้ที่มีจิตวิทยำศำสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่ำนิยมในกำรใช้ วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีอย่ำงสร้ำงสรรค์ แนวการสร้างการเรียนรู้วิทยาศาสตรส ์ า หรับหลักสูตรนักเรียนระดับ ประถมศึกษา องค์กำรเพื่อควำมร่วมมือทำงเศรษฐกิจและกำรพัฒนำ (Organization for Economic Corporation and Development : OECD) ให้ควำมหมำย กำรรู้วิทยำศำสตร์ว่ำเป็น“ควำมสำมำรถที่จะใช้ควำมรู้ทำง วิทยำศำสตร์เพื่อที่จะตอบค ำถำมและเพื่อสรุปข้อมูลโดยอำศัยหลักฐำนท ำให้เข้ำใจและช่วยในกำร ตัดสินใจในเรื่องโลกธรรมชำติและกำรเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจำกกำรกระท ำของมนุษย์”จะเห็นว่ำกำรรู้ วิทยำศำสตร์นั้นจะต้องเน้นทั้งควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์และกำรรู้กระบวนกำรวิทยำศำสตร์ที่จ ำเป็นต่อกำร พัฒนำซึ่งจะเกี่ยวข้องกับควำมเข้ำใจวิทยำศำสตร์อันได้แก่ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ที่ใช้เพื่อตอบค ำถำม และเพื่อสรุปข้อมูลจำกหลักฐำนเพื่อให้เข้ำใจและช่วยในกำรตัดสินใจ 1.ธรรมชำติของวิทยำศำสตร์ (nature of science) บุคคลผู้รู้วิทยำศำสตร์เข้ำใจในธรรมชำติของวิทยำศำสตร์ และควำมรู้เชิงวิทยำศำสตร์ โดยกำรใช้ประสบกำรณ์ทำงวิทยำศำสตร์จะท ำให้ผู้เรียนได้สืบเสำะและค้นพบ ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ด้วยตัวเอง 2. แนวคิดวิทยำศำสตร์ที่ส ำคัญ (key science concepts) บุคคลผู้รู้วิทยำศำสตร์ เข้ำใจและสำมำรถน ำเอำ แนวคิด หลักกำร กฎ และทฤษฎีทำงวิทยำศำสตร์มำประยุกต์ใช้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ 3. กระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ (processes of science) บุคคลผู้รู้วิทยำศำสตร์สำมำรถใช้กระบวนกำรทำง วิทยำศำสตร์เพื่อแก้ปัญหำ ตัดสินใจ และท ำควำมเข้ำใจในสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


4. ควำมสัมพันธ์กันระหว่ำงวิทยำศำสตร์ เทคโนโลยี สังคม(science-technology-society-environmentinterrelationships) ตระหนักถึงคุณค่ำในควำมสัมพันธ์ของวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี รวมไปถึงผลกระทบ ที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 5. ทักษะทำงวิทยำศำสตร์และทำงเทคนิค (scientific and technical skills) บุคคลผู้รู้วิทยำศำสตร์ได้พัฒนำ ตนเองให้เกิดทักษะกำรใช้ร่ำงกำย ส ำหรับกำรปฏิบัติกำรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี 6. คุณค่ำ (values) ที่แสดงควำมเป็นวิทยำศำสตร์ บุคคลผู้รู้วิทยำศำสตร์มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมและ สิ่งแวดล้อมในวิถีทำงที่สอดคล้องกบคุณค่ำที่แสดงควำมเป็นวิทยำศำสตร์ 7. ควำมสนใจและทัศนคติที่เกี่ยวข้องกับวิทยำศำสตร์ (science-related interests and attitudes) บุคลลผู้รู้ วิทยำศำสตร์ได้พัฒนำตนเองให้มีมุมมองในวิทยำศำสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่ำงเป็น เอกลักษณ์ และสำนต่อเพื่อขยำยกำรศึกษำไปตลอดชีวิต สาระและมาตรฐานการเร ี ยนร ู้ สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑เขา้ใจความหลากหลายของระบบนิเวศความสมัพนัธ์ระหวา่งสิ่งไม่มีชีวิต กบั สิ่งมีชีวิต และความสมัพนัธร์ะหวา่งสิ่งมีชีวิตกบัสิ่งมีชีวติต่าง ๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลงังาน การ เปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ


ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ม แนวทางในการอนุรักษท์รัพยากรธรรมชาติและการแกไ้ขปัญหา สิ่งแวดลอ้ม รวมท้งันา ความรู้ไปใชป้ระโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ใจสมบตัิของสิ่งมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลา เลียงสารเขา้และออก จากเซลลค์วามสมัพนัธ์ของโครงสร้างและหนา้ที่ของระบบต่าง ๆ ของสตัวแ์ละมนุษยท์ ี่ทา งานสมัพนัธ์กนั ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวยัวะต่าง ๆ ของพืชที่ทา งานสมัพนัธ์กนัรวมท้งันา ความรู้ไป ใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๓ เขา้ใจกระบวนการและความสา คญัของการถ่ายทอดลกัษณะทางพนัธุกรรม สาร พนัธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพนัธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพและวิวัฒนาการ ของสิ่งมีชีวิต รวมท้งันา ความรู้ไปใชป้ระโยชน์ สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑เขา้ใจสมบตัิของสสารองคป์ระกอบของสสารความสัมพนัธ์ระหวา่งสมบตัิ ของ สสารกบัโครงสร้างและแรงยดึเหนี่ยวระหวา่งอนุภาค หลกัและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะ ของสสารการเกิดสารละลายและการเกิด ปฏิกิริยาเคมี มาตรฐาน ว ๒.๒ เขา้ใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจา วนัผลของแรงที่กระทา ต่อวตัถุลกัษณะ การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวตัถุรวมท้งันา ความรู้ไปใชป้ระโยชน์ มาตรฐาน ว ๒.๓ เขา้ใจความหมายของพลงังาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลงังาน ปฏิสมัพนัธ์ระหวา่งสสารและพลงังาน พลงังานในชีวิตประจา วนัธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่ เกี่ยวขอ้งกบัเสียงแสงและคลื่นแม่เหลก็ไฟฟ้ารวมท้งั น าความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑เขา้ใจองคป์ระกอบ ลกัษณะกระบวนการเกิด และววิฒันาการของเอกภพ กาแลก็ซีดาวฤกษแ์ละระบบสุริยะรวมท้งัปฏิสมัพนัธ์ภายในระบบสุริยะ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลกรวมท้งั ผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอ้ม


สาระที่ ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการด ารงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง อยา่งรวดเร็วใชค้วามรู้และทกัษะทางดา้นวทิยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแกป้ ัญหาหรือ พฒันางานอยา่งมีความคิดสร้างสรรค์ดว้ยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใชเ้ทคโนโลยอียา่ง เหมาะสม โดยคา นึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สงัคม และสิ่งแวดลอ้ม มาตรฐาน ว ๔.๒ เขา้ใจและใชแ้นวคิดเชิงคา นวณในการแกป้ ัญหาที่พบในชีวิตจริงอยา่งเป็น ข้นัตอนและเป็นระบบ ใชเ้ทคโนโลยสีารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทา งาน และการแกป้ ัญหา ไดอ้ยา่งมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทนัและมีจริยธรรม


รายวิชาเพมิ่เตมิ สาระชีววิทยา 1. เข้ำใจธรรมชำติของสิ่งมีชีวิต กำรศึกษำชีววิทยำและวิธีกำรทำงวิทยำศำสตร์ สำร ที่เป็นองค์ประกอบของ สิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยำเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์โครงสร้ำงและ หน้ำที่ของเซลล์กำรล ำเลียงสำร เข้ำและออกจำกเซลล์กำรแบ่งเซลล์และกำรหำยใจระดับเซลล์ 2. เข้ำใจกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม กำรถ่ำยทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติและหน้ำที่ของสำร พันธุกรรม กำรเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทำงดีเอ็นเอ หลักฐำนข้อมูลและแนวคิด เกี่ยวกับวิวัฒนำกำรของ สิ่งมีชีวิต ภำวะสมดุลของฮำร์ดี-ไวน์เบิร์ก กำรเกิดสปีชีส์ใหม่ควำมหลำกหลำย ทำงชีวภำพ ก ำเนิดของ สิ่งมีชีวิตควำมหลำกหลำยของสิ่งมีชีวิต และอนุกรมวิธำน รวมทั้งน ำควำมรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. เข้ำใจส่วนประกอบของพืช กำรแลกเปลี่ยนแก๊สและคำยน ้ำของพืช กำรล ำเลียงของพืช กำรสังเครำะห์ ด้วยแสง กำรสืบพันธุ์ของพืชดอกและกำรเจริญเติบโต และกำรตอบสนอง ของพืช รวมทั้งน ำควำมรู้ไปใช้ ประโยชน์ 4. เข้ำใจกำรย่อยอำหำรของสัตว์และมนุษย์กำรหำยใจและกำรแลกเปลี่ยนแก๊ส กำรล ำเลียงสำรและกำร หมุนเวียนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่ำงกำย กำรขับถ่ำย กำรรับรู้และกำรตอบสนอง กำรเคลื่อนที่กำรสืบพันธุ์ และกำรเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับกำรรักษำดุลยภำพ และพฤติกรรม ของสัตว์รวมทั้งน ำควำมรู้ไปใช้ ประโยชน์ 5. เข้ำใจแนวคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศ กระบวนกำรถ่ำยทอดพลังงำนและกำรหมุนเวียน สำรในระบบนิเวศ ควำมหลำกหลำยของไบโอม กำรเปลี่ยนแปลงแทนที่ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ประชำกรและรูปแบบกำร เพิ่มของประชำกร ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม ปัญหำและ ผลกระทบที่เกิดจำกกำรใช้ประโยชน์ และแนวทำงกำรแก้ไขปัญหำ


สาระเคมี 1. เข้ำใจโครงสร้ำงอะตอม กำรจัดเรียงธำตุในตำรำงธำตุ สมบัติของธำตุ พันธะเคมีและสมบัติของสำร แก๊ส และสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสำรประกอบอินทรีย์และพอลิเมอร์รวมทั้งกำรน ำควำมรู้ไปใช้ ประโยชน์ 2. เข้ำใจกำรเขียนและกำรดุลสมกำรเคมีปริมำณสัมพันธ์ในปฏิกิริยำเคมีอัตรำกำรเกิด ปฏิกิริยำเคมีสมดุล ในปฏิกิริยำเคมีสมบัติและปฏิกิริยำของกรด-เบส ปฏิกิริยำรีดอกซ์และเซลล์เคมีไฟฟ้ำ รวมทั้งกำรน ำควำมรู้ ไปใช้ประโยชน์ 3. เข้ำใจหลักกำรท ำปฏิบัติกำรเคมีกำรวัดปริมำณสำร หน่วยวัดและกำรเปลี่ยนหน่วย กำรค ำนวณปริมำณ ของสำร ควำมเข้มข้นของสำรละลำย รวมทั้งกำรบูรณำกำรควำมรู้และทักษะ ในกำรอธิบำยปรำกฏกำรณ์ ในชีวิตประจ ำวันและกำรแก้ปัญหำทำงเคมี สาระฟิสิกส์ 1. เข้ำใจธรรมชำติทำงฟิ สิกส์ ปริมำณและกระบวนกำรวัด กำรเคลื่อนที่แนวตรงแรงและกฎกำรเคลื่อนที่ของ นิวตัน กฎควำมโน้มถ่วงสำกล แรงเสียดทำนสมดุลกลของวัตถุงำนและกฎกำรอนุรักษ์พลังงำนกลโมเมนตัม และกฎกำรอนุรักษ์โมเมนตัม กำรเคลื่อนที่แนวโค้ง รวมทั้งน ำควำมรู้ไปใช้ประโยชน์ 2. เข้ำใจกำรเคลื่อนที่แบบฮำร์มอนิกส์อย่ำงง่ำย ธรรมชำติของคลื่น เสียงและ กำรได้ยิน ปรำกฏกำรณ์ที่ เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและกำรเห็น ปรำกฏกำรณ์ที่เกี่ยวข้องกับแสง รวมทั้งน ำควำมรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. เข้ำใจแรงไฟฟ้ำและกฎของคูลอมบ์สนำมไฟฟ้ำ ศักย์ไฟฟ้ำ ควำมจุไฟฟ้ำ กระแสไฟฟ้ำ และกฎของโอห์ม วงจรไฟฟ้ำกระแสตรง พลังงำนไฟฟ้ำและก ำลังไฟฟ้ำ กำรเปลี่ยนพลังงำนทดแทน เป็นพลังงำนไฟฟ้ำ สนำมแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระท ำกับประจุไฟฟ้ำและกระแสไฟฟ้ำ กำรเหนี่ยวน ำ แม่เหล็กไฟฟ้ำและกฎ ของฟำรำเดย์ไฟฟ้ำกระแสสลับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำและกำรสื่อสำร รวมทั้ง น ำควำมรู้ไปใช้ประโยชน์ 4. เข้ำใจควำมสัมพันธ์ของควำมร้อนกับกำรเปลี่ยนอุณหภูมิและสถำนะของสสำร สภำพยืดหยุ่นของวัสดุ และมอดุลัสของยัง ควำมดันในของไหล แรงพยุง และหลักของอำร์คิมีดีส ควำมตึงผิวและแรงหนืดของ ของเหลว ของไหลอุดมคติและสมกำรแบร์นูลลีกฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของแก๊สอุดมคติและพลังงำนใน


ระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ปรำกฏกำรณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภำวะ ของคลื่นและอนุภำค กัมมันตภำพรังสี แรงนิวเคลียร์ปฏิกิริยำนิวเคลียร์พลังงำนนิวเคลียร์ฟิ สิกส์อนุภำค รวมทั้งน ำควำมรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ 1. เข้ำใจกระบวนกำรเปลี่ยนแปลงภำยในโลก ธรณีพิบัติภัยและผลต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมรวมทั้ง กำรศึกษำล ำดับชั้นหิน ทรัพยำกรธรณีแผนที่ และกำรน ำไปใช้ประโยชน์ 2. เข้ำใจสมดุลพลังงำนของโลก กำรหมุนเวียนของอำกำศบนโลก กำรหมุนเวียนของน ้ำ ในมหำสมุทรกำร เกิดเมฆ กำรเปลี่ยนแปลงภูมิอำกำศโลกและผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง กำรพยำกรณ์อำกำศ 3. เข้ำใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนกำรเกิด และวิวัฒนำกำรของเอกภพ กำแล็กซีดำวฤกษ์และระบบ สุริยะ ควำมสัมพันธ์ของดำรำศำสตร์กับมนุษย์จำกกำรศึกษำต ำแหน่ง ดำวบนทรงกลมฟ้ำและปฏิสัมพันธ์ ภำยในระบบสุริยะ รวมทั้งกำรประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกำศ ในกำรด ำรงชีวิต ตัวชีว้ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง


กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ ๒๕๕๑ , ฉบับปรับปรุง พ.ศ ๒๕๖๐ สาระที่๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มำตรฐำน ว ๑.๑ เข้ำใจควำมหลำกหลำยของระบบนิเวศ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่ำง ๆ ในระบบนิเวศ กำรถ่ำยทอดพลังงำน กำร เปลี่ยนแปลงแทนที่ ในระบบนิเวศ ควำมหมำยของประชำกรปั ญหำและผลกระทบที่ มีต่อ ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม แนวทำงในกำรอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติและกำรแก้ไขปัญหำ สิ่งแวดล้อมรวมทั้งน ำควำมรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชีว้ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - - - สาระที่๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มำตรฐำน ว ๑.๒ เข้ำใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐำนของสิ่งมีชีวิต กำรลำเลียงสำรเข้ำและออกจำก เซลล์ ควำมสัมพันธ์ของ โครงสร้ำง และหน้ำที่ของระบบต่ำงๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงำนสัมพันธ์กัน ควำมสัมพันธ์ของโครงสร้ำงและหน้ำที่ของอวัยวะต่ำงๆ ของพืชที่ท ำงำนสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำควำมรู้ไปใช้ ประโยชน์ ชั้น ตัวชีว้ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. ระบุสารอาหารและบอก ประโยชน์ของ สารอาหารแต่ ละ ประเภทจากอาหารที่ ตนเองรับประทาน 2. บอกแนวทางในการเลือก รับประทาน อาหารให้ได้ สารอาหารครบถ้วนใน สัดส่วนที่ เหมาะสมกับเพศ และวัย รวมทั้งความ ปลอดภัยต่อสุขภาพ - สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ ต ่ อ ร ่ า ง ก า ย แ ต ก ต ่ า ง ก ั น โ ด ย คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เป็น สารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ส่วน เกลือแร่ วิตามินและน้ำ เป็นสารอาหาร ที่ไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ช่วยให้ ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ – การ รับประทานอาหารเพื่อให้ร่างกายเจริญ เติบโต มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ตามเพศและวัย และ มีสุขภาพดี จำเป็นต้องรับประทานให้ได้พลังงาน เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย


3. ตระหนักถึงความสำคัญ ของ สารอาหาร โดยการ เลือกรับประทาน อาหารที่มี สารอาหาร ครบถ้วนใน สัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศ และวัย 4. สร้างแบบจำลองระบบ ย่อยอาหาร และบรรยาย หน้าที่ของอวัยวะในระบบ ย่อยอาหาร รวมทั้งอธิบาย การย่อยอาหารและการดูด ซึมสารอาหาร 5. ตระหนักถึงความสำคัญ ของระบบย่อยอาหาร โดย การบอกแนวทางในการดูแล รักษาอวัยวะในระบบย่อย อาหารให้ทำงานเป็นปกติ และให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วน ที่เหมาะสมกับเพศ และวัย รวมทั้งต้อง คำนึงถึงชนิดและปริมาณของวัตถุ เจือ ปนในอาหารเพื่อความปลอดภัยต่อ สุขภาพ - ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะ ต่าง ๆ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน ซึ่งทำหน้าที่ ร่วมกันในการย่อยและดูดซึมสารอาหาร - ปาก มีฟันช่วยบดเคี้ยวอำหารให้มี ขนาดเล็กลงและมีลิ้นช่วยคลุกเคล้า อาหารกับน้ำลาย ในน้ำลาย มีเอนไซม์ ย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาล – หลอดอาหาร ทำหน้าที่ลำเลียง อาหารจากปาก ไปยังกระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหารมีการย่อย โปรตีนโดยกรดและเอนไซม์ที่สร้างจาก กระเพาะอาหาร - ลำไส้เล็กมีเอนไซม์ที่สร้างจากผนัง ลำไส้เล็กเองและจากตับอ่อนที่ช่วยย่อย โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน โดย โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ที่ผ่าน การย่อยจนเป็นสารอาหารขนาดเล็ก พอที่จะ ดูดซึมได้ รวมถึงน้ำ เกลือแร่ และวิตามิน จะถูกดูดซึม ที่ผนังลำไส้ เล็กเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อลำเลียงไปยัง ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน จะถูกนำไปใช้ เป็นแหล่งพลังงานสำหรับใช้ในกิจกรรม ต่าง ๆ ส่วนน้ำ เกลือแร่ และวิตามิน จะ ช่วยให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ


- ตับสร้างน้ำดีแล้วส่งมายังลำไส้เล็กช่วย ให้ไขมันแตกตัว - ลำไส้ใหญ่ทำหน้าที่ดูดน้ำและเกลือแร่ เป็นบริเวณที่มีอาหารที่ย่อยไม่ได้ หรือ ย่อยไม่หมด เป็นกากอาหาร ซึ่งจะถูก กำจัดออกทางทวารหนัก - อวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหาร มี ความสำคัญ จึงควรปฏิบัติตน ดูแล รักษาอวัยวะให้ทำงานเป็นปกติ สาระที่๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มำตรฐำน ว ๑.๓ เข้ำใจกระบวนกำรและควำมส ำคัญของกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม สำร พันธุกรรม กำรเปลี่ยนแปลงทำงพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพและวิวัฒนำกำร ของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งน ำควำมรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชีว้ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - - - สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิด สารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ชั้น ตัวชีว้ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. อธิบายและ เปรียบเทียบการแยก สารผสม โดยการหยิบ ออก การร่อน การใช้ แม่เหล็กดึงดูด การริน ออก การกรอง และการ - สารผสมประกอบด้วยสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปผสมกัน เช่น น้ำมันผสมน้ำ ข้าวสารปนกรวดทราย วิธีการ ที่ เหมาะสมในการแยกสารผสมขึ้นอยู่ กับลักษณะและสมบัติของสารที่ผสม กันถ้าองค์ประกอบของสารผสมเป็น


ตกตะกอน โดยใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์ รวมทั้งระบุวิธีแก้ปัญหา ในชีวิตประจำวัน เกี่ยวกับการแยกสาร ของแข็งกับของแข็งที่มีขนาดแตกต่าง กันอย่างชัดเจน อาจใช้วิธีการหยิบ ออกหรือการร่อนผ่านวัสดุ ที่มีรู ถ้ำมี สารใดสารหนึ่งเป็นสารแม่เหล็กอาจ ใช้วิธี การใช้แม่เหล็กดึงดูด ถ้ำ องค์ประกอบเป็นของแข็ง ที่ไม่ละลายในของเหลว อาจใช้วิธีการ รินออก การกรอง หรือการตกตะกอน ซึ่งวิธีการแยกสารสามารถนำไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ สาระที่๒ วิทยาศาสตรก์ายภาพ มำตรฐำน ว ๒.๒ เข้ำใจธรรมชำติของแรงในชีวิตประจ ำวัน ผลของแรงที่กระท ำต่อวัตถุลักษณะกำรเคลื่อนที่ แบบต่ำงๆ ของวัตถุรวมทั้งน ำควำมรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชีว้ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. อธิบายการเกิดและผลของ แรงไฟฟ้าซึ่งเกิดจากวัตถุที่ผ่าน การขัดถูโดยใช้หลักฐานเชิง ประจักษ์ - วัตถุ ๒ ชนิดที่ผ่านการขัดถูแล้ว เมื่อ นำเข้าใกล้กัน อาจดึงดูดหรือผลักกัน แรงที่เกิดขึ้นนี้เป็นแรงไฟฟ้า ซึ่งเป็น แรงไม่สัมผัส เกิดขึ้นระหว่างวัตถุที่มี ประจุไฟฟ้า ซึ่งประจุไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือ ประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้า ลบ วัตถุที่มีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกัน ผลักกัน ชนิดตรงข้ามกันดึงดูดกัน


สาระที่๒ วิทยาศาสตรก์ายภาพ มำตรฐำน ว ๒.๓ เข้ำใจควำมหมำยของพลังงำน กำรเปลี่ยนแปลงและกำรถ่ำยโอนพลังงำนปฏิสัมพันธ์ ระหว่ำงสสำรและพลังงำน พลังงำนในชีวิตประจ ำวัน ธรรมชำติของคลื่น ปรำกฏกำรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำรวมทั้งน ำควำมรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชีว้ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. ระบุส่วนประกอบและ บรรยายหน้าที่ ของแต่ละ ส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้า อย่างง่ายจากหลักฐานเชิง ประจักษ์ 2. เขียนแผนภาพและต่อ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย 3. ออกแบบกำรทดลองและ ทดลองด้วยวิธี ที่เหมาะสมในการอธิบาย วิธีการและผล ของการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบ อนุกรม 4. ตระหนักถึงประโยชน์ของ ความรู้ของการต่อ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมโดย บอกประโยชน์และการ ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 5. ออกแบบการทดลองและ ทดลองด้วยวิธี ที่เหมาะสมในการอธิบายการ ต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม และแบบขนาน 6. ตระหนักถึงประโยชน์ของ ความรู้ของการต่อหลอดไฟฟ้า แบบอนุกรมและแบบขนาน - วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วย แหล่งกำเนิดไฟฟ้า สายไฟฟ้า และ เครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า แหล่งกำเนิดไฟฟ้า เช่น ถ่านไฟฉาย หรือแบตเตอรี่ ทำหน้าที่ให้พลังงาน ไฟฟ้า สายไฟฟ้าเป็นตัวนำไฟฟ้าทำ หน้าที่เชื่อมต่อระหว่างแหล่งกำเนิด ไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน เครื่องใช้ไฟฟ้ามีหน้าที่เปลี่ยนพลังงาน ไฟฟ้าเป็นพลังงานอื่น - เมื่อนำเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อ เรียงกัน โดยให้ขั้วบวกของเซลล์ไฟฟ้า เซลล์หนึ่งต่อกับขั้วลบของอีกเซลล์ หนึ่งเป็นการต่อแบบอนุกรม ทำให้มี พลังงานไฟฟ้าเหมาะสมกับ เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งการต่อเซลล์ไฟฟ้า แบบอนุกรมสามารถนำไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น การ ต่อเซลล์ไฟฟ้าในไฟฉาย - การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมเมื่อ ถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่งออก ทำให้หลอดไฟฟ้าที่เหลือดับทั้งหมด ส่วนการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน


โดยบอกประโยชน์ ข้อจำกัด และการประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวัน 7. อธิบายการเกิดเงามืดเงามัว จากหลักฐาน เชิงประจักษ์ 8. เขียนแผนภาพรังสีของแสง แสดงการเกิดเงามืดเงามัว เมื่อถอดลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่ง ออก หลอดไฟฟ้าที่เหลือ ก็ยังสว่างได้ การต่อหลอดไฟฟ้าแต่ละ แบบสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น การต่อหลอดไฟฟ้าหลายดวงใน บ้านจึงต้องต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน เพื่อเลือกใช้หลอดไฟฟ้าดวงใดดวง หนึ่งได้ตามต้องการ - เมื่อนำวัตถุทึบแสงมากั้นแสงจะเกิด เงาบนฉากรับแสงที่อยู่ด้านหลังวัตถุ โดยเงามีรูปร่างคล้ายวัตถุที่ทำให้เกิด เงา เงามัวเป็นบริเวณที่มีแสงบางส่วน ตกลงบนฉาก ส่วนเงามืดเป็นบริเวณที่ ไม่มีแสงตกลง บนฉากเลย สาระที่๓ วิทยาศาสตรโ์ลก และอวกาศ มำตรฐำน ว ๓.๑ เข้ำใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนกำรเกิด และวิวัฒนำกำรของเอกภพกำแล็กซี ดำว ฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภำยในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และกำรประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีอวกำศ ชั้น ตัวชีว้ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. สร้างแบบจำลองที่อธิบาย การเกิด และเปรียบเทียบ ปรากฏการณ์สุริยุปราคา และ จันทรุปราคา 2. อธิบายพัฒนาการของ เทคโนโลยีอวกาศ และ ยกตัวอย่างการนำเทคโนโลยี อวกาศมาใช้ประโยชน์ใน - เมื่อโลกและดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ ในแนวเส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ ในระยะทางที่เหมาะสม ทำให้ดวง จันทร์บังดวงอาทิตย์ เงาของดวง จันทร์ทอดมายังโลก ผู้สังเกตที่อยู่ บริเวณเงาจะมองเห็น ดวงอาทิตย์มืด ไป เกิดปรากฏการณ์สุริยุปรำคำ ซึ่งมี ทั้งสุริยุปราคาเต็มดวง สุริยุปราคา บางส่วน และสุริยุปราคาวงแหวน


ชีวิตประจำวัน จากข้อมูลที่ รวบรวมได้ หากดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยู่ใน แนวเส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ แล้วดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านเงาของ โลก จะมองเห็นดวงจันทร์มืดไป เกิด ปรากฏการณ์จันทรุปราคา ซึ่งมีทั้ง จันทรุปราคาเต็มดวง และ จันทรุปราคาบางส่วน -เทคโนโลยีอวกาศเริ่มจากความ ต้องการของมนุษย์ในการสำรวจวัตถุ ท้องฟ้าโดยใช้ตาเปล่า กล้องโทรทรรศน์ และได้พัฒนาไปสู่การ ขนส่งเพื่อสำรวจอวกาศด้วยจรวดและ ยานขนส่งอวกาศ และยังคงพัฒนา อย่างต่อเนื่องปัจจุบันมีการนำ เทคโนโลยีอวกาศบางประเภทมา ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การ ใช้ดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร การ พยากรณ์อากาศ หรือการสำรวจ ทรัพยากรธรรมชำติ การใช้อุปกรณ์วัด ชีพจรและการเต้นของหัวใจ หมวก นิรภัย ชุดกีฬา สาระที่๓ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ มำตรฐำน ว ๓.๒ เข้ำใจองค์ประกอบ และควำมสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงภำยในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงลมฟ้ำอำกำศและภูมิอำกำศโลก รวมทั้ง ผลต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม ชั้น ตัวชีว้ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. เปรียบเทียบกระบวนการ เกิดหินอัคนี หินตะกอน และ หินแปรและอธิบายวัฏจักรหิน จากแบบจำลอง - หินเป็นวัสดุแข็งเกิดขึ้นเองตามธรรม ชำติ ประกอบ ด้วยแร่ตั้งแต่หนึ่งชนิด ขึ้นไป สามารถจำแนกหินตำมกระ


2. บรรยายและยกตัวอย่าง การใช้ประโยชน์ของหินและ แร่ในชีวิตประจำวันจากข้อมูล ที่รวบรวมได้ 3. สร้างแบบจำลองที่อธิบาย การเกิด ซากดึกดำบรรพ์และ คาดคะเนสภาพแวดล้อมใน อดีตของซากดึกดำบรรพ์ 4. เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม รวมทั้ง อธิบายผลที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม จากแบบจำลอง 5. อธิบายผลของมรสุมต่อการ เกิดฤดูของประเทศไทย จาก ข้อมูลที่รวบรวมได้ 6. บรรยายลักษณะและ ผลกระทบของ น้ำท่วม การ กัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม แผ่นดินไหว สึนามิ 7. ตระหนักถึงผลกระทบของ ภัยธรรมชำติและธรณีพิบัติภัย โดยนำเสนอแนวทางในการ เฝ้าระวังและปฏิบัติตนให้ ปลอดภัยจากภัยธรรมชำติ และธรณีพิบัติภัยที่อาจเกิดใน ท้องถิ่น 8. สร้างแบบจำลองที่อธิบาย การเกิดปรากฏการณ์เรือน กระจกและผลของ ปรากฏการณ์เรือนกระจกต่อ สิ่งมีชีวิต 9. ตระหนักถึงผลกระทบของ ปรากฏการณ์เรือนกระจกโดย บวนการเกิดได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ หินอัคนี หินตะกอน และหินแปร - หินอัคนีเกิดจากการเย็นตัวของแมก มา เนื้อหิน มีลักษณะเป็นผลึก ทั้ง ผลึกขนาดใหญ่และขนาดเล็ก บาง ชนิดอาจเป็นเนื้อแก้ว หรือมีรูพรุน - หินตะกอน เกิดจากการทับถมของ ตะกอนเมื่อถูกแรงกดทับและมีสาร เชื่อมประสานจึงเกิดเป็นหิน เนื้อหิน กลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเม็ด ตะกอน มีทั้งเนื้อหยาบและเนื้อ ละเอียด บางชนิดเป็นเนื้อผลึกที่ยึด เกาะกันเกิดจากการตกผลึกหรือ ตกตะกอนจากน้ำโดยเฉพาะน้ำทะเล บางชนิดมีลักษณะเป็นชั้น ๆ จึงเรียก อีกชื่อว่าหินชั้น - หินแปร เกิดจากการแปรสภาพของ หินเดิมซึ่งอาจเป็นหินอัคนี หินตะกอน หรือหินแปร โดยการกระทำของความ ร้อน ความดัน และปฏิกิริยาเคมี เนื้อ หินของหินแปรบางชนิดผลึกของแร่ เรียงตัวขนานกัน เป็นแถบ บางชนิด แซะออกเป็นแผ่นได้ บางชนิด เป็น เนื้อผลึกที่มีความแข็งมาก - หินในธรรมชาติทั้ง ประเภท มีการ เปลี่ยนแปลงจากประเภทหนึ่งไปเป็น อีกประเภทหนึ่ง หรือประเภทเดิมได้ โดยมีแบบรูปการเปลี่ยนแปลงคงที่ และต่อเนื่องเป็นวัฏจักรหินและแร่แต่ ละชนิดมีลักษณะและสมบัติแตกต่าง กัน มนุษย์ใช้ประโยชน์จากแร่ใน ชีวิตประจำวัน ในลักษณะต่าง ๆ เช่น นำแร่มาทำเครื่องสำอาง ยำสีฟัน


นำเสนอแนวทางการปฏิบัติตน เพื่อลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิด แก๊สเรือนกระจก เครื่องประดับอุปกรณ์ทางการแพทย์ และนำหินมาใช้ในงานก่อสร้างต่าง ๆ เป็นต้น ซากดึกดำบรรพ์เกิดจากการทับถม หรือการประทับรอยของสิ่งมีชีวิตใน อดีต จนเกิดเป็นโครงสร้างของซาก หรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏอยู่ ในหิน ในประเทศไทยพบซากดึกดำ บรรพ์ ที่หลากหลาย เช่น พืช ปะกำ รัง หอย ปลา เต่า ไดโนเสาร์ และรอย ตีนสัตว์ - ซากดึกดำบรรพ์สามารถใช้เป็น หลักฐานหนึ่งที่ช่วยอธิบาย สภาพแวดล้อมของพื้นที่ในอดีตขณะ เกิดสิ่งมีชีวิตนั้น เช่น หากพบซากดึก ดำบรรพ์ของ หอยน้ำจืด สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นอาจเคยเป็น แหล่งน้ำจืดมาก่อน และหากพบซาก ดึกดำบรรพ์ของพืช สภาพแวดล้อม บริเวณนั้นอาจเคยเป็นป่ามาก่อน นอกจากนี้ซากดึกดำบรรพ์ยังสามารถ ใช้ระบุอายุของหิน และเป็นข้อมูลใน การศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต - ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกิดจาก พื้นดินและ พื้นน้ำร้อนและเย็นไม่ เท่ากันทำให้อุณหภูมิอากาศเหนือ พื้นดินและพื้นน้ำแตกต่างกัน จึงเกิด การเคลื่อนที่ของอากาศจากบริเวณที่ มีอุณหภูมิต่ำ ไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิ สูง - ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจำ ถิ่นที่พบบริเวณชายฝั่ง โดยลมบกเกิด ในเวลากลางคืน ทำให้มีลมพัดจาก


ชายฝั่งไปสู่ทะเล ส่วนลมทะเลเกิดใน เวลากลางวัน ทำให้มีลมพัดจากทะเล เข้าสู่ชายฝั่ง - มรสุมเป็นลมประจำฤดูเกิดบริเวณ เขตร้อนของโลก ซึ่งเป็นบริเวณกว้าง ระดับภูมิภาค ประเทศไทยได้รับผล จากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในช่วง ประมาณกลางเดือนตุลำคมจนถึง เดือนกุมภาพันธ์ทำให้เกิด ฤดูหนาว และได้รับผลจากมรสุมตะวันตกเฉียง ใต้ในช่วงประมาณกลางเดือน พฤษภาคมจนถึงกลางเดือนตุลำคมทำ ให้เกิดฤดูฝน ส่วนช่วงประมาณ กลางเดือนกุมภาพันธ์จนถึง กลางเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงเปลี่ยน มรสุมและประเทศไทยอยู่ใกล้เส้น ศูนย์สูตร แสงอาทิตย์เกือบตั้งตรงและ ตั้งตรงประเทศไทย ในเวลาเที่ยงวัน ทำให้ได้รับความร้อนจำกดวงอาทิตย์ อย่างเต็มที่อากาศจึงร้อนอบอ้าวทำให้ เกิดฤดูร้อน - น้ำท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม แผ่นดินไหว และ สึนามิ มีผลกระทบ ต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมแตกต่างกัน - มนุษย์ควรเรียนรู้วิธีปฏิบัติตนให้ ปลอดภัย เช่น ติดตามข่าวสารอย่าง สม่ำเสมอ เตรียมถุงยังชีพ ให้พร้อมใช้ ตลอดเวลา และปฏิบัติตามคำสั่งของ ผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่อย่าง เคร่งครัดเมื่อเกิดภัยทางธรรมชำติและ ธรณีพิบัติภัย - ปรากฏการณ์เรือนกระจกเกิดจาก แก๊สเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศของ


โลก กักเก็บความร้อนแล้ว คายความ ร้อนบางส่วนกลับสู่ผิวโลก ทำให้ อากาศ บนโลกมีอุณหภูมิเหมะสมต่อ การดำรงชีวิต - หากปรากฏการณ์เรือนกระจก รุนแรงมากขึ้น จะมีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก มนุษย์ จึง ควรร่วมกันลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิด แก๊สเรือนกระจก สาระที่๔ เทคโนโลยี มำตรฐำน ว ๔.๑ เข้ำใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อกำรด ำรงชีวิตในสังคมที่มีกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำง รวดเร็วใช้ควำมรู้และทักษะทำงด้ำนวิทยำศำสตร์ คณิตศำสตร์ และศำสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหำ หรือพัฒนำ งำนอย่ำงมีควำมคิดสร้ำงสรรค์ด้วยกระบวนกำรออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่ำงเหมำะสม โดยค ำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ชั้น ตัวชีว้ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 - - สาระที่๔ เทคโนโลยี มำตรฐำน ว ๔.๒ เข้ำใจและใช้แนวคิดเชิงค ำนวณในกำรแก้ปัญหำที่พบในชีวิตจริงอย่ำงเป็นขั้นตอนและ เป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำรในกำรเรียนรู้ กำรท ำงำน และกำรแก้ปัญหำได้อย่ำงมี ประสิทธิภำพ รู้เท่ำทันและมีจริยธรรม ชั้น ตัวชีว้ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการ อธิบายและออกแบบวิธีการ แก้ปัญหาที่พบใน ชีวิตประจำวัน - การแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนจะ ช่วยให้แก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ


2. ออกแบบและเขียน โปรแกรมอย่างง่าย เพื่อ แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ตรวจหำข้อผิดพลาดของ โปรแกรมและแก้ไข 3. ใช้อินเทอร์เน็ตในการค้นหา ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ 4. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำงานร่วมกันอย่างปลอดภัย เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของผู้อื่น แจ้ง ผู้เกี่ยวข้องเมื่อพบข้อมูลหรือ บุคคลที่ไม่เหมาะสม - การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนำ กฎเกณฑ์ หรือเงื่อนไขที่ครอบคลุมทุก กรณีมาใช้พิจารณา ในการแก้ปัญหา - แนวคิดของการทำงานแบบวนซ้ำ และเงื่อนไข - กำรพิจารณากระบวนการทำงานที่ มีการทำงานแบบวนซ้ำ หรือเงื่อนไข เป็นวิธีการที่จะช่วยให้การออกแบบ วิธีการแก้ปัญหาเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ - ตัวอย่างปัญหา เช่น การค้นหาเลข หน้าที่ต้องการให้เร็วที่สุด, การทาย เลข1 – 1,000,000 โดยตอบให้ถูก ภายใน 20 คำถาม, การคำนวณเวลา ในการเดินทาง โดยคำนึงถึงระยะทาง เวลา จุดหยุดพัก - การออกแบบโปรแกรมสามารถทำ ได้โดยเขียน เป็นข้อความ หรือผังงาน - การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่ มีการใช้ตัวแปร การวนซ้ำ การ ตรวจสอบเงื่อนไข – หากมี ข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบการทำงาน ทีละคำสั่ง เมื่อพบจุดที่ทำให้ผลลัพธ์ ไม่ถูกต้อง ให้ทำการแก้ไขจนกว่าจะได้ ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง - การฝึกตรวจหำข้อผิดพลาดจาก โปรแกรมของผู้อื่นจะช่วยพัฒนา ทักษะการหาสาเหตุของปัญหาได้ดี ยิ่งขึ้น - ตัวอย่างปัญหา เช่น โปรแกรมเกม โปรแกรมหาค่า ค.ร.น เกมฝึกพิมพ์


- ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo - การค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ เป็น การค้นหาข้อมูลที่ได้ตรงตามความ ต้องการในเวลาที่รวดเร็วจาก แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือหลายแหล่ง และข้อมูล มีความสอดคล้องกัน – การใช้เทคนิคการค้นหาขั้นสูง เช่น การใช้ ตัวดำเนินการ การระบุรูปแบบ ของข้อมูล หรือชนิดของไฟล์ - การจัดลำดับผลลัพธ์จากกาค้นหา ของโปรแกรมค้นหา - การเรียบเรียง สรุปสำระสำคัญ (บูรณาการกับวิชาภาษาไทย) - อันตรายจากการใช้งานและ อาชญากรรม ทางอินเทอร์เน็ต แนวทางในการป้องกัน - วิธีกำหนดรหัสผ่าน - การกำหนดสิทธิ์การใช้งาน (สิทธิ์ใน การเข้าถึง) - แนวทางการตรวจสอบและ ป้องกันมัลแวร์ – อันตรายจากการ ติดตั้งซอฟต์แวร์ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต


ค าอธิบายรายวิชา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร ์ รายวิชา วิทยาศาสตร์ 6 ชัน้ประถมศึกษาปีที่6 รหัสวิชา ว16101 เวลา 120 ช่ัวโมง / ปี ศึกษำ วิเครำะห์ สำรอำหำรประโยชน์ของสำรอำหำรแต่ละประเภทจำกอำหำรที่ตนเองรับประทำน กำรเลือกรับประทำนอำหำรให้ได้สำรอำหำรครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมำะสมกับเพศและวัย รวมทั้งควำม ปลอดภัยต่อสุขภำพ แบบจ ำลอง ระบบย่อยอำหำร หน้ำที่ของอวัยวะในระบบย่อยอำหำร กำรย่อยอำหำร และกำรดูดซึมสำรอำหำร ควำมส ำคัญของระบบย่อยอำหำร กำรดูแลรักษำอวัยวะในระบบย่อยอำหำรให้ ท ำงำนเป็นปกติ กำรแยกสำรผสม โดยกำรหยิบออก กำรร่อน กำรใช้แม่เหล็กดึงดูด กำรรินออก กำรกรอง และกำรตกตะกอน วิธีกำรแก้ปัญหำในชีวิตประจ ำวันเกี่ยวกับกำรแยกสำร กำรเกิดและผลของแรงไฟฟ้ำซึ่ง เกิดจำกวัตถุที่ผ่ำนกำรขัดถู ส่วนประกอบ หน้ำที่ ของวงจรไฟฟ้ำแต่ละส่วนอย่ำงง่ำย แผนภำพกำรต่อ วงจรไฟฟ้ำอนุกรมและแบบขนำน กำรต่อหลอดไฟฟ้ำแบบอนุกรมและขนำนด้วยวิธีกำรที่เหมำะสม ประโยชน์ ข้อจ ำกัด กำรเกิดเงำมืด เงำมัว แผนภำพรังสีของแสงแสดงกำรเกิดเงำมืดเงำมัว แบบจ ำลอง ปรำกฏกำรณ์สุริยุปรำคำ และจันทรุปรำคำ พัฒนำกำรของเทคโนโลยีอวกำศและกำรใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจ ำวัน กระบวนกำรเกิดหินอัคนี หินตะกอน และหินแปร แบบจ ำลองวัฏจักรหิน กำรใช้ประโยชน์ ของหินและแร่ในชีวิตประจ ำวัน แบบจ ำลองกำรเกิด ซำกดึกด ำบรรพ์สภำพแวดล้อมในอดีต กำรเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม จำกแบบจ ำลอง ผลของมรสุมต่อกำรเกิดฤดูของประเทศไทย ลักษณะและผลกระทบ ของ น ้ำท่วม กำรกัดเซำะชำยฝั่ง ดินถล่ม แผ่นดินไหว สึนำมิ ผลกระทบของภัยธรรมชำติและธรณีพิบัติภัย แนวทำงกำรเฝ้ำระวังและปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจำกภัยธรรมชำติ แบบจ ำลองอธิบำยกำรเกิดและผลของ ปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก กิจกรรมที่ก่อให้เกิดแก๊สเรือนกระจก ผลกระทบของปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก ลูกเห็บ ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในกำรแก้ปัญหำ กำรท ำงำน กำรคำดกำรณ์ผลลัพธ์ จำกปัญหำอย่ำงง่ำย ออกแบบ และเขียนโปรแกรมอย่ำงง่ำย โดยใช้ซอฟต์แวร์ หรือสื่อ และตรวจหำข้อผิดพลำดและแก้ไขใช้ อินเทอร์เน็ตค้นหำควำมรู้ รวบรวม ประเมิน น ำเสนอข้อมูลและสำรสนเทศ โดยใช้ซอฟต์แวร์ที่หลำกหลำย เพื่อแก้ปัญหำในชีวิตประจ ำวัน ใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศอย่ำงปลอดภัย เข้ำใจสิทธิและหน้ำที่ของตน เคำรพ ในสิทธิของผู้อื่น


โดยใช้กระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ในกำรสืบเสำะหำควำมรู้ กำรส ำรวจตรวจสอบ กำรสืบค้น ข้อมูล กำรเปรียบเทียบข้อมูลจำกหลักฐำนเชิงประจักษ์ และกำรอภิปรำยเพื่อให้เกิดควำมรู้ ควำมคิด ควำมเข้ำใจสำมำรถสื่อสำรสิ่งที่เรียนรู้ มีควำมสำมำรถในกำรตัดสินใจ น ำควำมรู้ไปใช้ในชีวิตประจ ำวัน มีจิตวิทยำศำสตร์มีจริยธรรม คุณธรรมและค่ำนิยมที่เหมำะสม รหสัตัวชีว้ัด มำตรฐำน ว 1.2 ป.6/1, ป.6/2, ป.6/3, ป.6/4, ป.6/5 มำตรฐำน ว 2.1 ป.6/1 มำตรฐำน ว 2.2 ป.6/1 มำตรฐำน ว 2.3 ป.6/1 , ป.6/2 , ป.6/3 , ป.6/4 , ป.6/5 , ป.6/6 , ป.6/7 , ป.6/8มำตรฐำน ว 3.1 ป. 6/1 , ป.6/2 มำตรฐำน ว 3.2 ป.6/1,ป.6/2,ป.6/3,ป.6/4,ป.6/5,ป.6/6,ป.6/7,ป.6/8,ป.6/9 มำตรฐำน ว 4.2 ป.6/1 , ป.6/2 , ป.6/3, ป.6/4 รวม 30 ตวัชีว้ัด


โครงสร้างรายวิชา รายวิชา วิทยาศาสตร์ 6 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 รหัสวิชา ว16101 เวลา 120 ชั่วโมง / ปี ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ตัวชี้วัด จำนวน(ชั่วโมง) น้ำหนักคะแนน สารอาหารและระบบ ย่อยอาหาร ว 1.2 ป6/2 7 5 การแยกสาร ว 2.1 ป6/1 7 5 แรงไฟฟ้า ว 2.2 ป6/1 7 5 วงจรไฟฟ้า ว 2.3 ป6/3, ป6/4 8 10 สุริยุปราคา จันทรุปราคาและ เทคโนโลยีอวกาศ ว 3.1 ป6/1, ป6/2 8 10 โลกและการ เปลี่ยนแปลง ว 3.2 ป6/1, ป6/2, ป6/3, ป6/4, ป 6/5, ป6/6, ป6/7, ป6/8, ป6/9 15 20 วิทยาการคำนวณ ว 4.2 ป6/1, ป6/2, ป6/3, ป6/4 10 15 รวม 30 120 100


กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบการสอน และทักษะทางวิทยาศาสตร์ ทักษะทางวิทยาศาสตร์ กำรศึกษำทำงวิทยำศำสตร์คือ กำรศึกษำเกี่ยวกับทุก ๆ สิ่งที่อยู่รอบตัวอย่ำงมีระเบียบแบบแผน เพื่อให้ได้ข้อสรุปและสำมำรถน ำควำมรู้ที่ได้มำอธิบำยปัญหำต่ำง ๆ ซึ่งกำรจะตอบหรืออธิบำยปัญหำที่ สงสัยได้นั้นจ ำเป็นต้องมีทักษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ ทักษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ (science process skill) หมำยถึง ควำมสำมำรถ และควำม ช ำนำญในกำรคิด เพื่อค้นหำควำมรู้และกำรแก้ไขปัญหำ โดยใช้กระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์อำทิกำร สังเกตกำรวัด กำรค ำนวณ กำรจ ำแนก กำรหำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสเปสกับเวลำ กำรจัดกระท ำ และสื่อ ควำมหมำยข้อมูล กำรลงควำมคิดเห็น กำรพยำกรณ์กำรตั้งสมมติฐำน กำรก ำหนดนิยำม กำรก ำหนดตัว แปร กำรทดลองกำรวิเครำะห์และแปรผลข้อมูล กำรสรุปผลข้อมูลได้อย่ำงรวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นย ำ ทักษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์13 ทักษะ แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ 1. ระดับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ั้นพืน้ฐาน 8 ทักษะ เป็นทักษะเพื่อกำรแสวงหำควำมรู้ ทั่วไป ประกอบด้วย ทักษะที่ 1 การสังเกต (Observing) หมำยถึง กำรใช้ประสำทสัมผัสของร่ำงกำยอย่ำงใดอย่ำงหนึ่งหรือ หลำยอย่ำง ได้แก่ หูตำ จมูก ลิ้น กำยสัมผัส เข้ำสัมผัสกับวัตถุหรือเหตุกำรณ์เพื่อให้ทรำบ และรับรู้ข้อมูล รำยละเอียดของสิ่งเหล่ำนั้น โดยปรำศจำกควำมคิดเห็นส่วนตน ข้อมูลเหล่ำนี้จะประกอบด้วย ข้อมูลเชิง คุณภำพ เชิงปริมำณ และรำยละเอียดกำรเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจำกกำรสังเกต ทักษะที่2 การวัด (Measuring) หมำยถึง กำรใช้เครื่องมือส ำหรับกำรวัดข้อมูลในเชิงปริมำณของสิ่งต่ำง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลเป็นตัวเลขในหน่วยกำรวัดที่ถูกต้อง แม่นย ำได้ ทั้งนี้ กำรใช้เครื่องมือจ ำเป็นต้องเลือกใช้ให้ เหมำะสมกับสิ่งที่ต้องกำรวัด รวมถึงเข้ำใจวิธีกำรวัด และแสดงขั้นตอนกำรวัดได้อย่ำงถูกต้อง ทักษะที่3 กำรค ำนวณ (Using numbers) หมำยถึง กำรนับจ ำนวนของวัตถุ และกำรน ำตัวเลขที่ได้จำกนับ และตัวเลขจำกกำรวัดมำค ำนวณด้วยสูตรคณิตศำสตร์ เช่น กำรบวก กำรลบ กำรคูณ กำรหำร เป็นต้นโดย กำรเกิดทักษะกำรค ำนวณจะแสดงออกจำกกำรนับที่ถูกต้อง ส่วนกำรค ำนวนแสดงออกจำกกำรเลือกสูตร คณิตศำสตร์ กำรแสดงวิธีค ำนวณ และกำรค ำนวณที่ถูกต้อง แม่นย ำ


ทักษะที่ 4 กำรจ ำแนกประเภท (Classifying) หมำยถึง กำรเรียงล ำดับ และกำรแบ่งกลุ่มวัตถุหรือ รำยละเอียดข้อมูลด้วยเกณฑ์ควำมแตกต่ำงหรือควำมสัมพันธ์ใด ๆอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง ทักษะที่ 5 การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา (Using space/Time relationships) สเปสของวัตถุ หมำยถึง ที่ว่ำงที่วัตถุนั้นครองอยู่ ซึ่งอำจมีรูปร่ำงเหมือนกันหรือแตกต่ำงกับ วัตถุนั้น โดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 มิติ คือ ควำมกว้ำง ควำมยำว และควำมสูง ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสเปส กับสเปสของวัตถุ ได้แก่ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำง 3 มิติ กับ 2 มิติ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงต ำแหน่งที่อยู่ของวัตถุ หนึ่งกับวัตถุหนึ่งควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสเปสของวัตถุกับเวลำ ได้แก่ ควำมสัมพันธ์ของกำรเปลี่ยนแปลง ต ำแหน่งของวัตถุกับช่วงเวลำ หรือควำมสัมพันธ์ของสเปสของวัตถุที่เปลี่ยนไปกับช่วงเวลำ ทกัษะที่6 กำรจัดกระท ำ และสื่อควำมหมำยข้อมูล (Communication) หมำยถึง กำรน ำข้อมูลที่ได้จำกกำร สังเกต และกำรวัด มำจัดกระท ำให้มีควำมหมำย โดยกำรหำควำมถี่ กำรเรียงล ำดับ กำรจัดกลุ่ม กำร ค ำนวณค่ำ เพื่อให้ผู้อื่นเข้ำใจควำมหมำยได้ดีขึ้น ผ่ำนกำรเสนอในรูปแบบของตำรำง แผนภูมิ วงจร เขียน หรือบรรยำย เป็นต้น ทกัษะที่7 กำรลงควำมเห็นจำกข้อมูล (Inferring) หมำยถึง กำรเพิ่มควำมคิดเห็นของตนต่อข้อมูลที่ได้จำก กำรสังเกตอย่ำงมีเหตุผลจำกพื้นฐำนควำมรู้หรือประสบกำรณ์ที่มี ทักษะที่8 กำรพยำกรณ์(Predicting) หมำยถึง กำรท ำนำยหรือกำรคำดคะเนค ำตอบ โดยอำศัยข้อมูลที่ได้ จำกกำรสังเกตหรือกำรท ำซ ้ำ ผ่ำนกระบวนกำรแปรควำมหำยของข้อมูลจำกสัมพันธ์ภำยใต้ควำมรู้ทำง วิทยำศำสตร์ 2. ระดับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ั้นบูรณาการ 5 ทักษะ เป็นทักษะกระบวนกำรขั้นสูงที่มี ควำมซับซ้อนมำกขึ้น เพื่อแสวงหำควำมรู้ โดยใช้ทักษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ขั้นพื้นฐำน เป็น พื้นฐำนในกำรพัฒนำ ประกอบด้วย ทักษะที่9 กำรตั้งสมมติฐำน (Formulating hypotheses) หมำยถึง กำรตั้งค ำถำมหรือคิดค ำตอบล่วงหน้ำ ก่อนกำรทดลองเพื่ออธิบำยหำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงตัวแปรต่ำง ๆ ว่ำมีควำมสัมพันธ์อย่ำงไรโดยสมมติฐำน สร้ำงขึ้นจะอำศัยกำรสังเกต ควำมรู้ และประสบกำรณ์ภำยใต้หลักกำร กฎ หรือทฤษฎีที่สำมำรถอธิบำย ค ำตอบได้


ทักษะที่ 10 กำรก ำหนดนิยำมเชิงปฏิบัติกำร (Defining operationally) หมำยถึง กำรก ำหนด และอธิบำย ควำมหมำย และขอบเขตของค ำต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกำรศึกษำหรือกำรทดลองเพื่อให้เกิดควำมเข้ำใจ ตรงกันระหว่ำงบุคคล ทกัษะที่11 กำรก ำหนด และควบคุมตัวแปร (Identifying and controlling variables) หมำยถึง กำรบ่งชี้ และ ก ำหนดลักษณะตัวแปรใด ๆให้เป็นเป็นตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น และตัวแปรใด ๆให้เป็นตัวแปรตำม และ ตัวแปรใด ๆให้เป็นตัวแปรควบคุม ทักษะที่ 12 กำรทดลอง (Experimenting) หมำยถึง กระบวนกำรปฏิบัติ และท ำซ ้ำในขั้นตอนเพื่อหำ ค ำตอบจำกสมมติฐำน แบ่งเป็น 3ขั้นตอน คือ 1. กำรออกแบบกำรทดลอง หมำยถึง กำรวำงแผนกำรทดลองก่อนกำรทดลองจริง ๆ เพื่อก ำหนดวิธีกำร และ ขั้นตอนกำรทดลองที่สำมำรถด ำเนินกำรได้จริง กำรทดลองสำมำรถด ำเนินกำรให้ส ำเร็จลุล่วงด้วยดี 2. กำรปฏิบัติกำรทดลอง หมำยถึง กำรปฏิบัติกำรทดลองจริง 3. กำรบันทึกผลกำรทดลอง หมำยถึง กำรจดบันทึกข้อมูลที่ได้จำกกำรทดลองซึ่งอำจเป็นผลจำกกำรสังเกต กำรวัดและอื่น ๆ ทักษะที่ 13 กำรตีควำมหมำยข้อมูล และกำรลงข้อมูล มำยถึง กำรแปรควำมหมำยหรือกำรบรรยำย ลักษณะและสมบัติของข้อมูลที่มีอยู่ กำรตีควำมหมำยข้อมูลในบำงครั้งอำจต้องใช้ทักษะอื่น ๆ เช่น ทักษะ กำรสังเกต ทักษะกำรค ำนวณ กระบวนการจัดการเรียนรู้ กำรจัดกำรเรียนรู้เป็นกระบวนกำรส ำคัญในกำรน ำหลักสูตรสู่กำรปฏิบัติ หลักสูตรแกนกลำง กำรศึกษำขั้นพื้นฐำน เป็นหลักสูตรที่มีมำตรฐำนกำรเรียนรู้สมรรถนะส ำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ของผู้เรียน เป็นเป้ำหมำยส ำคัญส ำหรับพัฒนำเด็กและเยำวชน ในกำรพัฒนำผู้เรียนให้มี คุณสมบัติตำมเป้ำหมำยหลักสูตร ผู้สอนพยำยำมคัดสรรกระบวนกำรเรียนรู้ จัดกำรเรียนรู้โดยช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ผ่ำนสำระที่ก ำหนดไว้ในหลักสูตร 8 กลุ่มสำระกำรเรียนรู้ รวมทั้ง 2.กระบวนการเรียนรู้


ปลูกฝังเสริมสร้ำงคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พัฒนำทักษะด้ำน ต่ำงๆอันเป็น สมรรถนะส ำคัญให้ผู้เรียน บรรลุตำมเป้ำหมำย 1.หลักการจัดการเรียนรู้ กำรจัดกำรเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนน ำควำมรู้ควำมสำมำรถตำมมำตรฐำนกำรเรียนรู้สมรรถนะส ำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตำมที่ก ำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำนโดยยึดหลักว่ำ ผู้เรียนมีควำมส ำคัญที่สุดเชื่อว่ำทุกคนมีควำมสำมำรถเรียนรู้และพัฒนำตนเองได้ ยึดประโยชน์ที่เกิดกับ ผู้เรียน กระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสำมำรถพัฒนำตนเองตำมธรรมชำติและเต็มตำม ศักยภำพ ค ำนึงถึงควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคลและพัฒนำกำรทำงสมอง 2.กระบวนการเรียนรู้ กำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส ำคัญ ผู้เรียนจะต้องอำศัยกระบวนกำรเรียนรู้ที่หลำกหลำย เป็น เครื่องมือที่จะน ำพำตนเองไปสู่เป้ำหมำยของหลักสูตร กระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่จ ำเป็น ส ำหรับผู้เรียน อำทิ กระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำร กระบวนกำรสร้ำงควำมรู้ กระบวนกำรคิดกระบวนกำรทำง สังคม กระบวนกำรเผชิญสถำนกำรณ์และแก้ไขปัญหำ กระบวนกำรเรียนรู้จำกประสบกำรณ์จริง กระบวนกำรกำรปฏิบัติลงมือท ำจริง กระบวนกำรจัดกำร กระบวนกำรวิจัย กระบวนกำรเรียนรู้กำรเรียนรู้ ของตนเองกระบวนกำรพัฒนำลักษณะนิสัย กระบวนกำรเหล่ำนี้เป็นแนวทำงในกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ผู้เรียนควรได้รับกำรฝึกฝนพัฒนำ เพรำะจะ สำมำรถช่วยให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ได้ดีบรรลุเป้ำหมำยของหลักสูตรดังนั้นผู้สอนจึงจ ำเป็นต้องศึกษำท ำ ควำมเข้ำใจในกระบวนกำรต่ำงๆเพื่อให้สำมำรถเลือกใช้ในกระบวนกำรเรียนรู้ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ 3.การออกแบบการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนต้องศึกษำหลักสูตรสถำนศึกษำให้เข้ำใจถึงมำตรฐำนกำรเรียนรู้ ตัวชี้วัด สมรรถนะส ำคัญ ของผู้เรียนคุณลักษณะอันพึงประสงค์และสำระกำรเรียนรู้ที่เหมำะสมกับผู้เรียนแล้วจึงพิจำรณำออกแบบ กำรจัดกำรเรียนรู้โดยเลือกใช้วิธีกำรสอนและเทคนิคกำรสอน สื่อและแหล่งเรียนรู้ กำรวัดและกำร ประเมินผลเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนำเต็มตำมศักยภำพและบรรลุเป้ำหมำยที่ก ำหนด 4.บทบาทของผู้สอนและบทบาทของผู้เรียน 4.1 บทบาทของผู้สอน


1.ศึกษำวิเครำะห์ผู้เรียนเป็นรำยบุคคล แล้วน ำข้อมูลมำใช้ในกำรวำงแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ ที่ท้ำทำย ควำมสำมำรถของผู้เรียน 2.ก ำหนดเป้ำหมำยที่ต้องกำรให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนด้ำนควำมรู้และทักษะกระบวนกำรที่เป็นควำมคิดรวบยอด หลักกำร 3.ออกแบบกำรเรียนรู้และจัดกำรเรียนรู้ที่ตอบสนองควำม แตกต่ำงระหว่ำงบุคคลและพัฒนำกำรทำงสมอง เพื่อน ำผู้เรียนไปสู่เป้ำหมำย 4.อำกำศที่เอื้อต่อกำรเรียนรู้ และดูแลช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิดกำรเรียนรู้ 5.จัดเตรียมและเลือกใช้สื่อให้เหมำะสมกับกิจกรรม น ำภูมิปัญญำท้องถิ่นเทคโนโลยีที่เหมำะสมมำ ประยุกต์ใช้ 6. ประเมินควำมก้ำวหน้ำของผู้เรียนด้วยวิธีกำรหลำกหลำยเหมำะสมกับธรรมชำติของวิชำและระดับ พัฒนำของผู้เรียน 7. วิเครำะห์ผลกำรประเมินมำใช้ในกำรซ่อมเสริมและพัฒนำผู้เรียนรวมทั้งปรับปรุงและกำรจัดกำรเรียนกำร สอนของตนเอง 4.2 บทบาทของผู้เรียน 1.ก ำหนดเป้ำหมำยวำงแผนและรับผิดชอบกำรเรียนรู้ของตนเอง 2.แสวงหำควำมรู้ เข้ำถึงแหล่งเรียนรู้วิเครำะห์สังเครำะห์ข้อควำมรู้ ตั้งค ำถำม คิดหำค ำตอบหรือหำแนวทำง แก้ปัญหำด้วยวิธีต่ำงๆ 3.ลงมือปฏิบัติจริง สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเองและน ำควำมรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถำนกำรณ์ต่ำงๆ 4.มีปฏิสัมพันธ์ท ำงำน ท ำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มและครู 5.ประเมินกำรพัฒนำกระบวนกำรเรียนรู้ของตนเองอย่ำงต่อเนื่อง


รูปแบบการสอน 1.การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน (PROJECT-BASED LEARNING) การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่มีครูเป็นผู้กระตุ้นเพื่อนำความสนใจที่เกิดจาก ตัวนักเรียนมาใช้ในการทำกิจกรรมค้นคว้าหาความรู้ด้วยตัวนักเรียนเอง นำไปสู่การเพิ่มความรู้ที่ได้จากการลงมือปฏิบัติ การฟัง และการสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ โดยนักเรียนมีการเรียนรู้ผ่านกระบวนการทำงานเป็นกลุ่ม ที่จะนำมาสู่การสรุปความรู้ใหม่ มี การเขียนกระบวนการจัดทำโครงงานและได้ผลการจัดกิจกรรมเป็นผลงานแบบรูปธรรม (ดุษฎี โยเหลาและคณะ, 2557: 19-20) แนวคิดสำคัญ การเรียนรู้แบบโครงงานนั้น มีแนวคิดสอดคล้องกับ John Dewey เรื่อง “learning by doing” ซึ่งได้กล่าวว่า “Education is a process of living and not a preparation for future living.” (Dewey John, 1897: 79 cite in Douladeli Efstratia, 2014) ซึ่งเป็นการเน้น การจัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ชีวิตขณะที่เรียน เพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับหลัก พัฒนาการคิดของ Bloom ทั้ง 6 ขั้น คือ ความรู้ความจำ (Remembering) ความเข้าใจ (understanding) การประยุกต์ใช้ (Applying) การวิเคราะห์ (Analyzing) การประเมินค่า (Evaluating) และ การคิดสร้างสรรค์ (Creating) ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงาน เป็นฐาน นั้นจึงเป็นเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ถือได้ว่าเป็น การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เนื่องจากผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ เพื่อฝึกทักษะต่างๆด้วยตนเองทุกขั้นตอน โดยมีครูเป็นผู้จัดประสบการณ์การเรียนรู้ ขน้ัตอนการจดัการเรยีนรูแ้บบใชโ้ครงงานเป็นฐาน การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐานนั้น มีกระบวนการและขั้นตอนแตกต่างกันไปตามแต่ละทฤษฎี ซึ่งใน คู่มือการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐานฉบับนี้ ขอน าเสนอ 3 แนวคิดที่ถูกพิจารณาแล้วเหมาะสมกับบริบทของ เมืองไทย คือ 1.การจัดการเรียรู้แบบใช้โครงงานของส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและกระทรวงศึกษาธิการ (2550) 2. ขั้นการจัดการเรียนรู้ ตาม โมเดล จักรยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL ของ วิจารณ์ พาณิช(2555) และ 3. การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน ที่ได้จากโครงการสร้างชุดความรู้เพื่อสร้างเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของเด็กและเยาวชน: จากประสบการณ์ความส าเร็จของโรงเรียนไทย ของ ดุษฎี โยเหลาและคณะ (2557) ดังนี้ •แนวคิดที่ 1 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ของ ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้น าเสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ไว้ 4 ขั้นตอน ดังนี้ ภาพ 1 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและกระทรวงศึกษาธิการ


1. ขน้ัน าเสนอ หมายถึง ขั้นที่ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาใบความรู้ ก าหนดสถานการณ์ ศึกษาสถานการณ์ เล่นเกม ดู รูปภาพ หรือผู้สอนใช้เทคนิคการตั้งค าถามเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้ที่ก าหนดในแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละ แผน เช่นสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรและสาระการเรียนรู้ที่เป็นขั้นตอนของโครงงานเพื่อใช้เป็นแนวทางในการ วางแผนการเรียนรู้ 2. ขั้นวางแผน หมายถึง ขั้นที่ผู้เรียนร่วมกันวางแผน โดยการระดมความคิด อภิปรายหารือข้อสรุปของกลุ่ม เพื่อใช้เป็น แนวทางในการปฏิบัติ 3. ขั้นปฏิบัติหมายถึง ขั้นที่ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรม เขียนสรุปรายงานผลที่เกิดขึ้นจากการวางแผนร่วมกัน 4. ขั้นประเมินผล หมายถึง ขั้นการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง โดยให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ใน แผนการจัดการเรียนรู้ โดยมีผู้สอน ผู้เรียนและเพื่อนร่วมกันประเมิน •แนวคิดที่ 2 ขั้นการจัดการเรียนรู้ ตาม โมเดล จักรยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL ของ วิจารณ์ พาณิช (2555:71-75) ซึ่งแนวคิดนี้ มีความเชื่อว่า หากต้องการให้การเรียนรู้มีพลังและฝังในตัวผู้เรียนได้ ต้องเป็นการเรียนรู้ที่ เรียนโดยการลงมือทำเป็นโครงการ (Project) ร่วมมือกันทำเป็นทีม และทำกับปัญหาที่มีอยู่ในชีวิตจริง ซึ่ง ส่วนของ วง ล้อ แต่ละชิ้น ได้แก่ Define, Plan, Do, Review และ Presentation ภาพ 2 โมเดล จักรยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL 1. Defineคือ ขั้นตอนการทำให้สมาชิกของทีมงาน ร่วมทั้งครูด้วยมีความชัดเจนร่วมกันว่า คำถาม ปัญหา ประเด็น ความท้าทายของโครงการคืออะไร และเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อะไร 2. Plan คือ การวางแผนการทำงานในโครงการ ครูก็ต้องวางแผน กำหนดทางหนีทีไล่ในการทำหน้าที่โค้ช รวมทั้ง เตรียมเครื่องอำนวยความสะดวกในการทำโครงการของนักเรียน และที่สำคัญ เตรียมคำถามไว้ถามทีมงานเพื่อ กระตุ้นให้คิดถึงประเด็นสำคัญบางประเด็นที่นักเรียนมองข้าม โดยถือหลักว่า ครูต้องไม่เข้าไปช่วยเหลือจนทีมงาน ขาดโอกาสคิดเองแก้ปัญหาเอง นักเรียนที่เป็นทีมงานก็ต้องวางแผนงานของตน แบ่งหน้าที่ก็รับผิดชอบ การประชุม พบปะระหว่างทีมงาน การแลกเปลี่ยนข้อค้นพบแลกเปลี่ยนคำถาม แลกเปลี่ยนวิธีการ ยิ่งทำความเข้าใจร่วมกันไว้ ชัดเจนเพียงใด งานในขั้น Do ก็จะสะดวกเลื่อนไหลดีเพียงนั้น 3. Do คือ การลงมือทำ มักจะพบปัญหาที่ไม่คาดคิดเสมอ นักเรียนจึงจะได้เรียนรู้ทักษะในการแก้ปัญหา การ ประสานงาน การทำงานร่วมกันเป็นทีม การจัดการความขัดแย้ง ทักษะในการทำงานภายใต้ทรัพยากรจำกัด ทักษะ ในการค้นหาความรู้เพิ่มเติมทักษะในการทำงานในสภาพที่ทีมงานมีความแตกต่างหลากหลาย ทักษะการทำงานใน


สภาพกดดัน ทักษะในการบันทึกผลงาน ทักษะในการวิเคราะห์ผล และแลกเปลี่ยนข้อวิเคราะห์กับเพื่อนร่วมทีมเป็น ต้น ในขั้นตอน Do นี้ ครูเพื่อศิษย์จะได้มีโอกาสสังเกตทำความรู้จักและเข้าใจศิษย์เป็นรายคน และเรียนรู้หรือฝึกทำหน้าที่ เป็น “วิทยากร” และโค้ชด้วย 4. Review คือ การที่ทีมนักเรียนจะทบทวนการเรียนรู้ ที่ไม่ใช่แค่ทบทวนว่า โครงการได้ผลตามความมุ่งหมายหรือไม่ แต่จะต้องเน้นทบทวนว่างานหรือกิจกรรม หรือพฤติกรรมแต่ละขั้นตอนได้ให้บทเรียนอะไรบ้าง เอาทั้งขั้นตอนที่เป็น ความสำเร็จและความล้มเหลวมาทำความเข้าใจ และกำหนดวิธีทำงานใหม่ที่ถูกต้องเหมาะสมรวมทั้งเอาเหตุการณ์ ระทึกใจ หรือเหตุการณ์ที่ภาคภูมิใจ ประทับใจ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันขั้นตอนนี้เป็นการเรียนรู้แบบทบทวน ไตร่ตรอง (reflection) หรือในภาษา KM เรียกว่า AAR (After Action Review) 5. Presentation คือ การนำเสนอโครงการต่อชั้นเรียน เป็นขั้นตอนที่ให้การเรียนรู้ทักษะอีกชุดหนึ่ง ต่อเนื่องกับ ขั้นตอน Review เป็นขั้นตอนที่ทำให้เกิดการทบทวนขั้นตอนของงานและการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นอย่างเข้มข้น แล้วเอามา นำเสนอในรูปแบบที่เร้าใจ ให้อารมณ์และให้ความรู้ (ปัญญา) ทีมงานของนักเรียนอาจสร้างนวัตกรรมในการนำเสนอ ก็ได้ โดยอาจเขียนเป็นรายงาน และนำเสนอเป็นการรายงานหน้าชั้น มี เพาเวอร์พอยท์ (PowerPoint) ประกอบ หรือ จัดทำวีดีทัศน์นำเสนอ หรือนำเสนอเป็นละคร เป็นต้น แนวคิดที่ 3 การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน ที่ปรับจากการศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบ PBL ที่ ได้จากโครงการสร้างชุดความรู้เพื่อสร้างเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของเด็กและเยาวชน: จากประสบการณ์ ความสำเร็จของโรงเรียนไทย ของ ดุษฎี โยเหลาและคณะ (2557) โดยมีทั้งหมด 6 ขั้นตอน ดังนี้ ภาพ 3 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน (ปรับปรุงจาก ดุษฎี โยเหลาและคณะ, 2557: 20-23) ในการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐานครั้งนี้ ได้นำแนวคิดที่ปรับปรุงจาก ดุษฎี โยเหลาและคณะ (2557: 20-23) ซึ่งเป็น แนวทางการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นมาจากการศึกษาโรงเรียนในประเทศไทย โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1.ขั้นให้ความรู้พื้นฐาน ครูให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำโครงงานก่อนการ เรียนรู้เนื่องจากการทำโครงงานมีรูปแบบและ ขั้นตอนที่ชัดเจนและรัดกุม ดังนั้นนักเรียนจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับโครงงานไว้เป็นพื้นฐาน เพื่อใช้ใน การปฏิบัติขณะทำงานโครงงานจริง ในขั้นแสวงหาความรู้ 2.ขั้นกระตุ้นความสนใจ ครูเตรียมกิจกรรมที่จะกระตุ้นความสนใจของนักเรียน โดยต้องคิดหรือเตรียมกิจกรรมที่ดึงดูดให้ นักเรียนสนใจ ใคร่รู้ ถึงความสนุกสนานในการทำโครงงานหรือกิจกรรมร่วมกัน โดยกิจกรรมนั้นอาจเป็นกิจกรรมที่ครูกำหนด ขึ้น หรืออาจเป็นกิจกรรมที่นักเรียนมีความสนใจต้องการจะทำอยู่แล้วทั้งนี้ในการกระตุ้นของครูจะต้องเปิดโอกาสให้นักเรียน


เสนอจากกิจกรรมที่ได้เรียนรู้ผ่านการจัดการเรียนรู้ของครูที่เกี่ยวข้องกับชุมชนที่นักเรียนอาศัยอยู่หรือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง 3. ขั้นจัดกลุ่มร่วมมือ ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกันแสวงหาความรู้ ใช้กระบวนการกลุ่มในการวางแผนดำเนินกิจกรรม โดย นักเรียนเป็นผู้ร่วมกันวางแผนกิจกรรมการเรียนของตนเอง โดยระดมความคิดและหารือ แบ่งหน้าที่เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ ร่วมกัน หลังจากที่ได้ทราบหัวข้อสิ่งที่ตนเองต้องเรียนรู้ในภาคเรียนนั้นๆเรียบร้อยแล้ว 4. ขั้นแสวงหาความรู้ ในขั้นแสวงหาความรู้มีแนวทางปฏิบัติสำหรับนักเรียนในการทำกิจกรรม ดังนี้ -นักเรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมโครงงาน ตามหัวข้อที่กลุ่มสนใจ -นักเรียนปฏิบัติหน้าที่ของตนตามข้อตกลงของกลุ่ม พร้อมทั้งร่วมมือกันปฏิบัติกิจกรรม โดยขอคำปรึกษาจากครูเป็นระยะเมื่อมีข้อสงสัยหรือปัญหาเกิดขึ้น -นักเรียนร่วมกันเขียนรูปเล่ม สรุปรายงานจากโครงงานที่ตนปฏิบัติ 5. ขั้นสรุปสิ่งที่เรียนรู้ ครูให้นักเรียนสรุปสิ่งที่เรียนรู้จากการทำกิจกรรม โดยครูใช้คำถาม ถามนักเรียนนำไปสู่การสรุปสิ่งที่ เรียนรู้ 6. ขั้นนำเสนอผลงาน ครูให้นักเรียนนำเสนอผลการเรียนรู้ โดยครูออกแบบกิจกรรมหรือจัดเวลาให้นักเรียนได้เสนอสิ่งที่ ตนเองได้เรียนรู้เพื่อให้เพื่อนร่วมชั้น และนักเรียนอื่นๆในโรงเรียนได้ชมผลงานและเรียนรู้กิจกรรมที่นักเรียนปฏิบัติในการทำ โครงงาน 2.วิธีการสอนแบบโครงงาน (Project Method) เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า หรือปฏิบัติงานตามหัวข้อที่ผู้เรียนสนใจ ซึ่งผู้เรียนจะต้องฝึก กระบวนการทำงานอย่างมีขั้นตอน มีการวางแผนในการทำงานหรือการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ จนการดำเนินงานสำเร็จ ลุล่วงตามวัตถุประสงค์ ส่งผลให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้อย่างหลากหลาย อันเป็นประสบการณ์ตรงที่มีคุณค่า สามารถนำไป ประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานต่าง ๆ ได้วีการสอนโครงงานสามารถสอนต่อเนื่องกับวีสอนแบบบูรณาการได้ ทั้งในรูปแบบบูรณา การภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้ และบูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนได้นำองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ ได้มาบูรณาการเพื่อทำโครงงาน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. ขั้นกำหนดปัญหาหรือสำรวจความสนใจผู้สอนเสนอสถานการณ์หรือตัวอย่างที่เป็นปัญหาและกระตุ้นให้ผู้เรียนหาวี การแก้ปัญหาหรือยั่วยุให้ผู้เรียนมีความต้องการใคร่เรียนใคร่รู้ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง 2. ขั้นกำหนดจุดมุ่งหมายในการเรียน ผู้สอนแนะนำให้ผู้เรียนกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนว่าเรียนเพื่ออะไร จะทำ โครงงานนั้นเพื่อแก้ปัญหาอะไร ซึ่งทำให้ผู้เรียนกำหนดโครงงานแนวทางในการดำเนินงานได้ตรงตามจุดมุ่งหมาย 3. ขั้นวางแผนและวิเคราะห์โครงงาน ให้ผู้เรียนวางแผนแก้ปัญหา ซึ่งเป็นโครงงานเดี่ยวหรือกลุ่มก็ได้ แล้วเสนอแผนการ ดำเนินงานให้ผู้สอนพิจารณา ให้คำแนะนำช่วยเหลือและข้อเสนอแนะการวางแผนโครงงานของผู้เรียน ผู้เรียนเขียน โครงงานตามหัวข้อซึ่งมีหัวข้อสำคัญ (ชื่อโครงงาน หลักการและเหตุผลวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมาย เจ้าของ โครงการ ที่ปรึกษาโครงการ แหล่งความรู้ สถานที่ดำเนินการ ระยะเวลาดำเนินการ งบประมาณ วิธีดำเนินการ เครื่องมือที่ใช้ ผลที่คาดว่าจะได้รับ) 4. ขั้นลงมือปฏิบัติหรือแก้ปัญหา ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติหรือแก้ปัญหาตามแผนการที่กำหนดไว้โดยมีผู้สอนเป็นที่ปรึกษา คอยสังเกต ติดตาม แนะนำให้ผู้เรียนรู้จักสังเกต เก็บรวบรวมข้อมูล บันทึกผลดำเนินการด้วยความมานะอดทน มี


Click to View FlipBook Version