การประชุมอภิปราย ปรึกษาหารือกันเป็นระยะ ๆ ผู้สอนจะเข้าไปเกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็น ผู้เรียนเป็นผู้ใช้ความคิด ความรู้ ในการวางแผนและตัดสินใจทำด้วยตนเอง 5. ขั้นประเมินผลระหว่าปฏิบัติงาน ผู้สอนแนะนำให้ผู้เรียนรู้จักประเมินผลก่อนดำเนินการระหว่างดำเนินการและหลัง ดำเนินการ คือรู้จักพิจารณาว่าก่อนที่จะดำเนินการมีสภาพเป็นอย่างไร มีปัญหาอย่างไรระหว่างที่ดำเนินงานตาม โครงงานนั้น ยังมีสิ่งใดที่ผิดพลาดหรือเป็นข้อบกพร่องอยู่ ต้อแก้ไขอะไรอีกบ้าง มีวิธีแก้ไขอย่างไร เมื่อดำเนินการไป แล้วผู้เรียนมีแนวคิดอย่างไร มีความพึงพอใจหรือไม่ ผลของการดำเนินการตามโครงงาน ผู้เรียนได้ความรู้อะไร ได้ ประโยชน์อย่างไร และสามารถนำความรู้นั้นไปพัฒนาปรับปรุงงานได้อย่างดียิ่งขึ้น หรือเอาความรู้นั้นไปใช้ในชีวิตได้ อย่างไร โดยผู้เรียนประเมินโครงงานของตนเองหรือเพื่อนร่วมประเมิน จากนั้นผู้สอนจึงประเมินผลโครงงานตามแบบ ประเมิน ซึ่งผู้ปกครองอาจจะมีส่วนร่วมในการประเมินด้วยก็ได้ 6. ขั้นสรุปรายงานผล และเสนอผลงาน เมื่อผู้เรียนทำงานตามแผนและเก็บข้อมูลแล้วต้องทำการวิเคราะห์ข้อมูล สรุป และเขียนรายงานเพื่อนำเสนอผลงาน ซึ่งนอกเหนือจากรายงานเอกสารแล้ว อาจมีแผนภูมิแผนภาพกราฟ แบบจำลองหรือของจริงประกอบการนำเสนอ อาจจัดได้หลายรูปแบบ เช่น จัดนิทรรศการ การแสดงละคร ฯลฯ ประโยชน์ 1. เป็นการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนมีบทบาท มีส่วนร่วมในการจัดกระบวนการเรียนรู้ได้ปฏิบัติจริงคิดเอง ทำเอง อย่าง ละเอียดรอบคอบ อย่างเป็นระบบ 2. ผู้เรียนรู้จักวีแสวงหาข้อมูล สร้างองค์ความรู้และสรุปความรู้ได้ด้วยตนเอง 3. ผู้เรียนมีทักษะในการแก้ปัญหา มีทักษะกระบวนการในการทำงาน มีทักษะการเคลื่อนไหวทางกาย 4. ผู้เรียนได้ฝึกกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ ทำงานร่วมกันกับผู้อื่นได้ 5. ฝึกความเป็นประชาธิปไตย คือการรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มีเหตุผล มีการยอมรับในความรู้ ความสามารถซึ่งกันและกัน 6. ผู้เรียนได้ฝึกลักษณะนิสัยที่ดีในการทำงาน เช่น การจดบันทึกข้อมูล การเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ความ รับผิดชอบ ความซื่อตรง ความเอาใจใส่ ความขยันหมั่นเพียรในการทำงาน รู้จักทำงานอย่างเป็นระบบ ทำงานอย่างมี แผน ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ 7. ผู้เรียนเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และสามารถนำความรู้ ความคิด หรือแนวทางที่ได้ไปใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิต หรือในสถานการณ์อื่น ๆ ได้ 3.รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท., 2546) ประกอบด้วย ขั้นตอนที่สำคัญดังนี้ 1) ขั้นสังเกตและระบุปัญหา) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจซึ่งเกิดขึ้นจากความสงสัยหรืออาจเริ่มจากความ สนใจของตัวนักเรียนเองหรือเกิดจากการอภิปรายภายในกลุ่มเรื่องที่น่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ใน ช่วงเวลานั้น หรือเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เพิ่งเรียนรู้มาแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนสร้างคำถาม กำหนดประเด็นที่ศึกษา ในกรณีที่ไม่มีประเด็นใดที่น่าสนใจ ครูอาจให้ศึกษาจากสื่อต่างๆหรือเป็นผู้กระตุ้นด้วยการ เสนอด้วยประเด็นขึ้นมาก่อน แต่ไม่ควรบังคับให้นักเรียนยอมรับประเด็นหรือคำถามที่ครูกำลังสนใจเป็นเรื่องที่จะใช้ ศึกษา เมื่อมีคำถามที่น่าสนใจและนักเรียนส่วนใหญ่ยอมรับให้เป็นประเด็นที่ต้องการศึกษา จึงร่วมกันกำหนด ขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเรื่องที่จะศึกษาให้มีความชัดเจนมากขึ้น อาจรวมทั้งการรับรู้ประสบการณ์เดิม
หรือความรู้จากแหล่งต่างๆที่จะช่วยให้นำไปสู่ความเข้าใจเรื่องหรือประเด็นที่จะศึกษามากขึ้น และมีแนวทางที่ใช้ใน การสำรวจตรวจสอบอย่างหลากหลาย 2) ขั้นตั้งสมมุติฐาน) เมื่อทำความเข้าใจในประเด็นหรือคำถามที่สนใจจะศึกษาอย่างถ่องแท้แล้วก็มีการวางแผนกำหนด แนวทางสำหรับการตรวจสอบตั้งสมมติฐาน กำหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจทำได้หลายวิธี เช่นทำการทดลอง ทำกิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยสร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation) การศึกษาหาข้อมูลจากเอกสารอ้างอิงหรือจาก แหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะใช้ในขั้นต่อไป 3) ขั้นตรวจสอบสมมุติฐาน) เมื่อได้ข้อมูลอย่างเพียงพอจากการสำรวจตรวจสอบแล้ว จึงนำข้อมูลข้อสนเทศที่ได้มิ เคราะห์ แปลผล สรุปผลและนำเสนอผลที่ได้ในรูปต่าง ๆ เช่น บรรยายสรุป สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ หรือ รูปวาด สร้างตาราง ฯลฯการค้นพบในขั้นนี้อาจเป็นไปได้หลายทางเช่น สนับสนุนสมติฐานที่ตั้งไว้ โต้แย้งกับ สมมติฐานที่ตั้งไว้ หรือไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ได้กำหนดไว้ แต่ผลที่ได้จะอยู่ในรูปใดก็สามารถสร้างความรู้และช่วย ให้เกิดการเรียนรู้ได้ 4) ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล) เป็นการนำความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือความคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมหรือ นำแบบจำลองหรือข้อสรุปที่ได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ถ้าใช้อธิบายเรื่องต่าง ๆ ได้มากก็แสดง ว่าข้อจำกัดน้อย ซึ่งจะช่วยให้เชื่อมโยงกับเรื่องต่าง ๆ และทำให้เกิดความรู้กว้างขวางขึ้น 5)ขั้นสรุปผล) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่านักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมาก น้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะนำไปสู่การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในเรื่องอื่นๆการนำความรู้หรือแบบจำลองไปใช้อธิบาย หรือประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์หรือเรื่องอื่นๆจะนำไปสู่ข้อโต้แย้งหรือข้อจำกัดซึ่งจะก่อให้เกิดประเด็นหรือคำถาม หรือ ปัญหาที่จะต้องสำรวจตรวจสอบต่อไป ทำให้เกิดเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ จึงเรียกว่า Inquiry cycle กระบวนการสืบเสาะหาความรู้จึงช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ทั้งเนื้อหาหลักและหลักการทฤษฎี ตลอดจนลงมือ ปฏิบัติ เพื่อให้ได้ความรู้ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการเรียนต่อไป 4.การสอนตามแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) การสอนตามแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น เป็นการสอนที่เน้นการถ่ายโอนการเรียนรู้และ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับ การ ตรวจสอบความรู้เดิมของเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูละเลยไม่ได้และการตรวจ สอบความรู้พื้นฐานเดิมของเด็กจะทำให้ครูค้นพบว่า นักเรียนต้องเรียนรู้อะไรก่อนก่อนที่จะเรียนรู้ใน เนื้อหาบทเรียนนั้นๆ ซึ่งจะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ขั้นของการเรียนรู้ตามแนว คิดของ Eisenkraft (2003 : 58) มีเนื้อหาสาระ ดังนี้ 1.ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation Phase) ในขั้นนี้จะเป็นขั้นที่ครูจะตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้เดิม ออกมา เพื่อครูจะได้รู้ว่า เด็กแต่ละคนมีพื้นความรู้เดิมเท่าไร จะได้วางแผนการสอนได้ถูกต้อง และครูได้รู้ว่านักเรียนควรจะ เรียนเนื้อหาใดก่อนที่จะเรียนในเนื้อหานั้น ๆ 2. ขั้นเร้าความสนใจ (Engagement Phase) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจจากความสงสัย หรืออาจเริ่มจากความ สนใจของตัวนักเรียนเองหรือเกิดจากการอภิปรายภายในกลุ่ม เรื่องที่น่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ใน ช่วงเวลานั้น หรือเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เด็กเพิ่งเรียนรู้มาแล้ว ครูเป็นคนกระตุ้นให้นักเรียนสร้างคำถามกำหนด ประเด็นที่ที่จะกระตุ้นโดยการเสนอประเด็นขึ้นก่อน แต่ไม่ควรบังคับให้นักเรียนยอมรับประเด็นหรือคำถามที่ครูกำลังสนใจเป็น เรื่องที่จะใช้ศึกษา
3. ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration Phase) ในขั้นนี้จะต่อเนื่องจากขั้นเร้าความสนใจ ซึ่งเมื่อนักเรียนทำความเข้าใจในประเด็น หรือคำถามที่สนใจจะศึกษาอย่างถ่องแท้แล้วก็มีการวางแผนกำหนดแนวทางควรสำรวจตรวจสอบ ตั้งสมมุติฐาน กำหนด ทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจทำได้หลาย วิธีเช่น ทำการทดลอง ทำกิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยสร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation) การศึกษาหา ข้อมูลจากเอกสารอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะใช้ในขั้นต่อไป 4.ขั้นอธิบาย (Explanation Phase) ในขั้นนี้เมื่อนักเรียนได้ข้อมูลมาอย่างเพียงพอจากการสำรวจตรวจสอบแล้ว จึงนำข้อมูล ข้อสนเทศที่ได้มาวิเคราะห์ แปลผล สรุปผล และนำเสนอผลที่ได้ในรูปต่าง ๆ เช่น บรรยายสรุป สร้างแบบจำลองทาง คณิตศาสตร์ หรือรูปวาด สร้างตารางฯลฯการค้นพบในด้านนี้อาจเป็นไปได้หลายทาง เช่น สนับสนุนสมมุติฐานที่ตั้งไว้ โต้แย้ง กับสมมุติฐานที่ตั้งไว้ หรือไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ได้กำหนดไว้ แต้ผลที่ได้จะอยู่ในรูปใดก็สามารถสร้างความรู้และช่วยให้เกิด การเรียนรู้ได้ 5. ขั้นขยายความคิด (Expansion Phase/Elaboration Phase) เป็นการนำความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือแนวคิดที่ ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือนำแบบจำลองหรือข้อสรุปที่ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือเหตุการณ์อื่นๆ ถ้าใช้อธิบายเรื่องต่างๆ ได้มาก ก็แสดงว่าข้อกำกัดน้อย ซึ่งก็จะช่วยให้เชื่อมโยงกับเรื่องราวต่างๆ และทำให้เกิดความรู้สึกกว้างขวางขึ้น 6. ขั้นประเมินผล (Evaluation Phase) ในขั้นนี้เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่านักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะนำไปสู่การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในด้านอื่นๆ 7. ขั้นนำความรู้ไปใช้ (Extension Phase) ในขั้นนี้เป็นที่ครูจะต้องมีการจัดเตรียมโอกาสให้นักเรียนได้นำสิ่งที่ได้เรียนมาไป ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ครูจะเป็นผู้กระตุ้นให้นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปสร้างเป็นความรู้ที่ เรียกว่า “การถ่ายโอนการเรียนรู้” จากขั้นตอนต่าง ๆ ในรูปแบบการสอนโดยวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น จะเห็นได้ว่ารูปแบบการ สอนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้7 ขั้น จะเน้นการถ่ายโอนการเรียนรู้และให้ความสำคัญกับกาตรวจสอบความรู้เดิมของเด็กซึ่งเป็น สิ่งที่ครูไม่ควรละเลย หรือละทิ้ง เนื่องจาก การตรวจสอบพื้นความรู้เดิมของเด็กจะทำให้ครูได้ค้นพบว่านักเรียนจะต้องเรียนรู้ อะไรก่อนที่จะเรียนในเนื้อหานั้น ๆ นักเรียนจะสร้างความรู้จากพื้นความรู้เดิมที่เด็กมี ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมี ความหมายและไม่คิดแนวความคิดที่ผิดพลาด การละเลยหรือเพิกเฉยในขั้นนี้จะทำให้ยากแก่การพัฒนาแนวความคิดของเด็ก ซึ่งจะไม่เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่ครูวางไว้ นอกจากนี้ยังเน้นให้นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้รับไประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ในชีวิตประจำวันได้ แผนการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น หมายถึง การกำหนดแนวทางหรือรูปแบบการเรียนการสอน แบบสืบ เสาะหาความรู้อย่างต่อเนื่องซึ่งมีขั้นตอนการสอน ดังนี้ 1.1ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม (Elictation Phase) เป็นขั้นที่ครูตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้เดิมออกมา เพื่อครูจะ ได้รู้ว่าเด็กแต่ละคนมีพื้นฐานความรู้เดิมเท่าไร จะได้วางแผนการสอนได้ถูกต้อง และครูได้รู้ว่านักเรียนควรจะเรียนเนื้อหาใด ก่อนที่จะเรียนเนื้อหานั้น ๆ 1.2 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement Phase) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนที่สนใจซึ่งอาจเกิดขึ้นเองจากความสงสัย หรืออาจเริ่ม จากความสนใจของตัวนักเรียนเองหรือเกิดจากการอภิปราย ซักถาม หรือเรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เพิ่งเรียนรู้มาแล้ว เป็น ตัวกระตุ้นให้นักเรียนสร้างคำถาม กำหนดประเด็นที่จะศึกษา 1.3 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration Phase)การวางแผนกำหนดแนวทางการสำรวจ ตรวจสอบ ตั้งสมมุติฐาน กำหนด ทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ ศึกษาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างเพียง พอที่จะใช้ในขั้นต่อไป
1.4 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป(Explanation Phase) นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์อภิปราย แปลผล สรุปผล และนำเสนอผล 1.5 ขั้นขยายความรู้(Expansion Phase) เป็นการนำความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิม หรือแนวคิดที่ค้นคว้าเพิ่มเติม นำ ข้อสรุปที่ได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์อื่น ๆ และทำให้เกิดความรู้กว้างขวางขึ้น 1.6 ขั้นประเมินผล(Evaluation Phase) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่านักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง และ มากน้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะนำไปสู่การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในเรื่องอื่น ๆ 1.7 ขั้นนำความรู้ไปใช้(Extension Phase) เป็นขั้นที่นักเรียนได้นำสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ใน ชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างความรู้ใหม่ที่เรียกว่า “การถ่ายโอนการเรียนรู้” 5. ทักษะการแก้ปัญหา ผู้คิดค้นทฤษฎีของ Ernest & Newell (1969) และ Newell & Simon (1972) ซึ่งเป็นทฤษฎีการแก้ปัญหาของมนุษย์ หลักการแนวคิดทฤษฎี ซึ่งเป็นทฤษฎีการแก้ปัญหาของมนุษย์ (human problem solving) ในรูปแบบของโปรแกรมที่เป็นสถานการณ์จำลอง ผลงานนี้ช่วยวางรากฐานกระบวนการเกี่ยวกับการประมวลสารสนเทศสำหรับศึกษาเรื่อง การแก้ปัญหา หลักการของทฤษฎีนี้ คือ พฤติกรรมการแก้ปัญหาประกอบด้วย “วิธีการ-ปลายทาง-วิเคราะห์” ซึ่งเป็นการนำปัญหามาแตกออกเป็นองค์ประกอบ หรือเป้าหมายย่อย ๆ แล้วจึงจัดการแก้ไขเป้าหมายย่อย ๆ เหล่านั้นทีละเรื่อง แนวคิดนี้ตรงกันข้ามกับ Wertheimer (1959) นักจิตวิทยาในกลุ่มทฤษฎีเกสตอลต์ ซึ่งทำการวิจัยเรื่องการแก้ปัญหาและให้ความสำคัญด้านความเข้าใจเรื่องโครงสร้างของ ปัญหา โดยเชื่อว่าพฤติกรรมการแก้ปัญหาที่ประสบผลสำเร็จเป็นเพราะบุคคลผู้นั้นสามารถมองเห็นโครงสร้างโดยรวมทั้งหมด ของปัญหา หลักการของทฤษฎีนี้คือ ผู้เรียนจะต้องได้รับการสนับสนุนให้เกิดการค้นพบธรรมชาติของปัญหาหรือประเด็นหัวข้อ ที่ต้องการแก้ไข สิ่งที่เป็นช่องว่าง ความไม่ลงรอยกัน หรือสิ่งรบกวนต่างๆ เป็นสิ่งเร้าที่สำคัญต่อการเรียนรู้ การเรียนการสอน จะต้องอยู่บนพื้นฐานของกฎองค์กร ประกอบด้วย ความใกล้เคียง การปกปิด ความคล้ายคลึง และความเรียบง่าย ความหมายการสอนแบบแก้ปัญหา การสอนแบบแก้ปัญหาเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน ให้เรียนรู้ตามกระบวนการ โดยเริ่มตั้งแต่มีการกำหนด ปัญหา วางแผนแก้ปัญหา ตั้งสมมติฐาน เก็บรวบรวมข้อมูล พิสูจน์ข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล ผู้สอนเป็นผู้เสนอปัญหา หรือผู้สอนและผู้เรียนจะร่วมกันกำหนดปัญหาที่มีความสำคัญ เป็นปัญหาใหม่ที่ผู้เรียนยังไม่เคยประสบมาก่อน และต้องไม่เกิน ทักษะทางเชาวน์ปัญญาของผู้เรียน ผู้เรียนจะเป็นผู้แก้ปัญหา หรือหาคำตอบด้วยตนเอง ความสามารถในการแก้ปัญหาของ ผู้เรียนจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสติปัญญา ความรู้ ประสบการณ์ แรงจูงใจ อารมณ์ ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาจะไม่มีรูปแบบหรือ ขั้นตอนตายตัว ผู้สอนจะต้องจัดสภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการใช้กระบวนการคิดแก้ปัญหา ผู้สอนจะต้องให้โอกาสผู้เรียนใช้ความคิดและฝึกการแก้ปัญหา เพื่อให้เกิดความชำนาญ จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ดี ในการจัดการเรียนรู้แบบแก้ปัญหานั้น มีหลักการสำคัญ คือ ให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้ลงมือกระทำกิจกรรมการเรียนรู้ จะ เน้นทักษะการแสวงหาความรู้ การค้นพบ การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง มีการจัดบรรยากาศในชั้นเรียนเป็นประชาธิปไตย นำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในขั้นตอนการจัดกิจกรรม (สุคนธ์ สินธพานนท์. 2550.หน้า 67) ขั้นตอนการสอน วิธีสอบแบบแก้ปัญหาสามารถแบ่งเป็นขั้นตอนได้ดังนี้ 1.ขั้นกำหนดปัญหา ผู้สอนและผู้เรียนอาจร่วมกัน ตั้งปัญหา ปัญหาที่นำมานั้นอาจมาจากแหล่งต่างๆ เช่น ปัญหาที่มาจากความสนใจของผู้เรียน ส่วนใหญ่ ปัญหาที่มาจากบทเรียน
2.ขั้นตั้งสมมติฐาน การตั้งสมมติฐานเป็นการคาดคะเนคำตอบของปัญหา โดยใชค้วามรู้และประสบการณ์ช่วยในการคาดคะเน ขั้นตอนนี้จะเป็นข้นั ตอนการใช้เหตุผลในการคิดวิเคราะห์ปัญหาและคาดคะเนคำตอบ 3.ขั้นวางแผนแก้ปัญหา ขั้นนี้จะเป็นขั้น ที่มีการวางแผน หรือออกแบบวิธีการหาค่า ตอบจากสมมติฐานที่ได้ตั้งไว้โดยศึกษาถึงสาเหตุที่เกิดปัญหาขึ้น และใช้เหตุผลในการคิดหาวิธีการแก้ปัญหาให้ตรงกับสาเหตุ โดยหาวิธีการแก้ปัญหาหลายๆวิธีไว้ใช้พิจารณาเลือกวิธีแก้ปัญหา วิธีที่ดีที่สุด 4.ขั้นการเก็บและการรวบรวมข้อมูล ขั้นการเก็บและรวบรวมข้อมูลนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะศึกษาค้นคว้าความรู้จากแหล่งต่างๆ เช่นห้องสมุด อินเทอร์เน็ต ตารางเรียน การสังเกต 5.ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและทดสอบสมมติฐาน เมื่อได้ข้อมูลที่รวบรวมมาแล้ว ผู้เรียนก็นำข้อมูลนั้น ๆ มาพิจารณาว่า จะน่าเชื่อถือหรือไม่ประการใดเพื่อนำข้อมูลนั้น ๆ ไป วิเคราะห์และทดสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ว่า เป็นไปตามที่กา หนดหรือไม่ 6.ขั้นสรุปผล เป็นขั้นที่นำข้อมูลมาพิจารณาแปลความหมายระหว่างสาเหตุกับผลที่เกิดขึ้น ผู้เรียนประเมินผลวิธีการแก้ปัญหาหรือตดัดสินใจ เลือกวิธีการที่ได้ผลดีที่สุดในการแก้ปัญหาหรือเป็นการสรุปลงไปว่าเชื่อสมมติฐานที่กา หนดไว้ซึ่งอาจจะสรุปในรูปของหลักการ ที่จะนำ ไปอธิบายเป็นคำตอบ 6.ทฤษฎีคอนสตัคติวิส ผู้คิดค้น ซีมัวร์ พาร์เพิร์ท (Seymour Papert) ได้ให้ความเห็นว่า ทฤษฎีการศึกษาการเรียนรู้ที่มีพื้นฐานอยู่บนกระบวนการการ สร้าง 2 กระบวนการด้วยกันสิ่งแรก คือผู้เรียนเรียนรู้ด้วยการสภเร้างความรู้ใหม่ขึ้นด้วยตนเอง ไม่ใช่รับแต่ข้อมูลที่หลั่งไหลเข้า มาในสมองของผู้เรียนเท่านั้น โดยความรู้จะเกิดขึ้นจากการแปลความหมายของประสบการณ์ที่ได้รับสิ่งที่สอง คือกระบวนการ การเรียนรู้จะประสิทธิภาพมากที่สุด หากกระบวนการนั้นมีความหมายกับผู้เรียนคนนั้น ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม(Constructionism) หรือทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง พัฒนาขึ้นโดย Professor Seymour Papert แห่ง M.I.T. (Massachusette Institute of Technology) เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองทฤษฎีคอน สตรัคชั่นนิสซึ่ม มีสาระสำคัญที่ว่า ความรู้ไม่ใช่มาจากการสอนของครูหรือผู้สอนเพียงอย่างเดียว แต่ความรู้จะเกิดขึ้นและถูก สร้างขึ้นโดยผู้เรียนเอง การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง (Learning by doing) มีพื้นฐานอยู่บน กระบวนการการสร้าง 2 กระบวนการด้วยกันสิ่งแรก คือ ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยการสร้างความรู้ใหม่ขึ้นด้วยตนเอง ความรู้จะเกิดขึ้น จากการแปลความหมายของประสบการณ์ที่ได้รับ หากเป็นประสบการณ์ตรงที่ผู้เรียนเป็นผู้กระทำด้วยตนเองจะทำให้เกิดการ เรียนรู้อย่างมีความหมาย สิ่งที่สอง คือ กระบวนการการเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด หากกระบวนการนั้นมีความหมาย กับผู้เรียนคนนั้น ดังนั้นในกระบวนการสอนของครูจึงควรให้ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้จากสิ่งที่เขามีอยู่และพัฒนาต่อยอดไป ด้วยตัวของเขาเอง การสอนแบบครูเป็นศูนย์กลางควรจะต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับเนื้อหาสาระและเน้นที่ตัวผู้เรียนเป็น หลัก การสอนแบบยัดเยียดความรู้จะทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้น้อยกว่าการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม ทิศนา แขมณี(2551 : 94-96) เสนอวิธีการนำทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม ไปใช้ใน
การเรียนการสอนไว้หลายประการ ดังนี้ 1. ผลของการเรียนรู้มุ่งเน้นไปที่กระบวนการสร้างความรู้และการตระหนักรู้ในกระบวนการนั้น เป้าหมายการเรียนรู้จะต้องมา จากการปฏิบัติงานจริง ครูต้องเป็นตัวอย่างและฝึกฝนกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเห็น 2. เป้าหมายของการสอน จะเปลี่ยนจากการถ่ายทอดให้ผู้เรียนได้รับสาระความรู้ที่แน่นอนตายตัว ไปสู่การสาธิตกระบวนการ แปลและสร้างความหมายที่หลากหลาย การเรียนรู้ทักษะต่างๆ จะต้องให้มีประสิทธิภาพถึงขั้นทำได้และแก้ปัญหาจริงได้ 3. ในการเรียนการสอน ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียนรู้อย่างตื่นตัว ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้จัดกระทำกับข้อมูลหรือประสบการณ์ ต่างๆ และจะต้องสร้างความหมายให้กับสิ่งนั้นด้วยตนเองกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมี ปฏิสัมพันธ์กับสื่อวัสดุอุปกรณ์สิ่งของต่างๆ ผู้เรียนจัดกระทำ ศึกษา สำรวจ วิเคราะห์ ทดลอง ลองผิดลองถูกกับสิ่งนั้นๆ จนเกิด เป็นความรู้ความเข้าใจขึ้น ดังนั้น ความเข้าใจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากกระบวนการคิด 4. ครูจะต้องพยายามสร้างบรรยากาศทางสังคมจริยธรรมให้เกิดขึ้น กล่าวคือผู้เรียนต้องมีโอกาสเรียนรู้ในบรรยากาศที่เอื้อต่อ การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การร่วมมือและการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิด และประสบการณ์ระหว่างผู้เรียนกับบุคคลอื่น ซึ่งจะ ช่วยให้การเรียนรู้ของผู้เรียนกว้างขึ้น ซับซ้อนขึ้น และหลากหลายขึ้น 5. ในการเรียนการสอน ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียนรู้อย่างเต็มที่ โดยผู้เรียนจะนำจนเองและควบคุมตนเองในระหว่างการ เรียนรู้ 6. บทบาทการสอนของครูเปลี่ยนจากการเป็นผู้ถ่ายทอด ไปเป็นผู้ให้ความร่วมมืออำนวยความสะดวกและช่วยเหลือผู้เรียนใน การเรียนรู้ 7. การประเมินผลการเรียนการสอน ต้องเป็นไปตามสภาพจริงและหลายหลายวิธียืดหยุ่นไปตามลักษณะความสนใจ และสร้าง ความหมายที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล 7.โครงงานเบสเลนนิ่ รูปแบบการสอนแบบโครงงานเป็นฐาน (PROJECT-BASED LEARNING)เป็นทฤษฎีของ Benjamin Bloom (เบนจามิน บลูม) หลักการแนวคิด การสอนแบบโครงงานนั้น มีแนวคิดสอดคล้องกับ John Dewey เรื่อง "learning bydoing" ซึ่งได้กล่าวว่า "Education is a process of living and not apreparation for future living." (Dewey John, 1897: 79 cite in Douladeli Efstratia , 2014) ซึ่งเป็นการเน้นการจัดการ เรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ชีวิตขณะที่เรียน เพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับหลักพัฒนาการ คิดของBloom ทั้ง 6 ขั้น คือ ความรู้ความจำ (Remembering) ความเข้าใจ(understanding) การประยุกต์ใช้ (Applying ) การวิเคราะห์ (Analyzing) การประเมินคำ (Evaluating) และ การคิดสร้างสรรค์ (Creating) ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน นั่นจึง เป็นเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ถือได้ว่าเป็น การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เนื่องจากผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติเพื่อฝึกทักษะ ต่างๆด้วยตนเองทุกขั้นตอน โดยมีครูเป็นผู้จัดประสบการณ์การเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า หรือปฏิบัติงานตามหัวข้อที่ผู้เรียนสนใจ ซึ่งผู้เรียนจะต้องฝึกกระบวนการ ทำงานอย่างมีขั้นตอน มีการวางแผนในการทำงานหรือการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ จนการ ดำเนินงานสำเร็จลุล่วงตาม วัตถุประสงค์ ส่งผลให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้อย่างหลากหลาย อันเป็น ประสบการณ์ตรงที่มีคุณค่า สามารถนำไปประยุกต์ใช้ ในการดำเนินงานต่าง ๆ ได้วิธีการสอนโครงงานสามารถสอนต่อเนื่องกับวิธีสอนแบบบูรณาการได้ ทั้งในรูปแบบบูรณาการ ภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้ และบูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนได้นำองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ ได้มาบูรณาการเพื่อทำโครงงาน
รูปแบบการกิจกรรมการเรียนการสอน/รูปแบบการเรียนการสอน 1. ขั้นกำหนดปัญหา หรือสำรวจความสนใจ ผู้สอนเสนอสถานการณ์หรือตัวอย่างที่เป็นปัญหาและกระตุ้นให้ผู้เรียนหาวิธีการ แก้ปัญหาหรือยั่วยุให้ผู้เรียนมีความต้องการใคร่เรียนใคร่รู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง 2. ขั้นกำหนดจุดมุ่งหมายในการเรียน ผู้สอนแนะนำให้ผู้เรียนกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนว่าเรียนเพื่ออะไร จะทำโครงงาน นั้นเพื่อแก้ปัญหาอะไร ซึ่งทำให้ผู้เรียนกำหนดโครงงานแนวทางในการดำเนินงานได้ตรงตามจุดมุ่งหมาย 3. ขั้นวางแผนและวิเคราะห์โครงงาน ให้ผู้เรียนวางแผนแก้ปัญหา ซึ่งเป็นโครงงานเดี่ยวหรือกลุ่มก็ได้แล้วเสนอแผนการ ดำเนินงานให้ผู้สอนพิจารณาให้คำแนะนำช่วยเหลือและข้อเสนอแนะการวางแผนโครงงานของผู้เรียน ผู้เรียนเขียนโครงงาน ตามหัวข้อซึ่งมีหัวข้อสำคัญ (ชื่อโครงงาน หลักการและเหตุผลวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมาย เจ้าของโครงการ ที่ปรึกษา โครงการ แหล่งความรู้ สถานที่ดำเนินการ ระยะเวลาดำเนินการ งบประมาณ วิธีดำเนินการ เครื่องมือที่ใช้ ผลที่คาดว่าจะ ได้รับ) 4. ขั้นลงมือปฏิบัติหรือแก้ปัญหา ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติหรือแก้ปัญหาตามแผนการที่กำหนดไว้โดยมีผู้สอนเป็นที่ปรึกษา คอย สังเกต ติดตาม แนะนำให้ผู้เรียนรู้จักสังเกต เก็บรวบรวมข้อมูล บันทึกผลดำเนินการด้วยความมานะอดทน มีการประชุม อภิปราย ปรึกษาหารือกันเป็นระยะ ๆ 5. ขั้นประเมินผลระหว่างปฏิบัติงาน ผู้สอนแนะนำให้ผู้เรียนรู้จักประเมินผลก่อนดำเนินการระหว่างดำเนินการและหลัง ดำเนินการ คือรู้จักพิจารณาว่าก่อนที่จะดำเนินการมีสภาพเป็นอย่างไร มีปัญหาอย่างไรระหว่างที่ดำเนินงานตามโครงงานนั้น ยังมีสิ่งใดที่ผิดพลาดหรือเป็นข้อบกพร่องอยู่ต้องแก้ไขอะไรอีกบ้าง มีวิธีแก้ไขอย่างไร เมื่อดำเนินการไปแล้วผู้เรียนมีแนวคิด อย่างไร มีความพึงพอใจหรือไม่ ผลของการดำเนินการตามโครงงาน ผู้เรียนได้ความรู้อะไร ได้ประโยชน์อย่างไร และสามารถ นำความรู้นั้นไปพัฒนาปรับปรุงงานได้อย่างตียิ่งขึ้น หรือเอาความรู้นั้นไปใช้ในชีวิตได้อย่างไร โดยผู้เรียนประเมินโครงงานของ ตนเองหรือเพื่อนร่วมประเมินจากนั้นผู้สอนจึงประเมินผลโครงงานตามแบบประเมิน ซึ่งผู้ปกครองอาจจะมีส่วนร่วมในการ ประเมินด้วยก็ได้ 6. ขั้นสรุป รายงานผล และเสนอผลงาน เมื่อผู้เรียนทำงานตามแผนและเก็บข้อมูลแล้วต้องทำการวิเคราะห์ข้อมูล สรุปและ เขียนรายงานเพื่อน้ำเสนอผลงาน ซึ่งนอกเหนือจากรายงานเอกสารแล้วอาจมีแผนภูมิ แผนภาพกราฟแบบจำลอง หรือของจริง ประกอบการนำเสนอ อาจจัดได้หลายรูปแบบ เช่น จัดนิทรรศการ การแสดงละคร 8.การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา STEM ทฤษฎีคำว่าสะเต็ม (STEM) ได้เริ่มใช้โดยทั่วไปในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกในปีคริสต์ศักราช 2001 โดย Dr.Judith A. Ramaley อดีตประธานมูลนิธิ พื้นฐานวิชาวิทยาศาสตร์ศึกษา และมนุษยชาติ แห่งสหรัฐอเมริกาใช้คำว่าSTEM เพื่อ เป็นการปฏิรูปวิธีการสอน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ รวมเทคโนโลยีเข้าเป็นหลักสูตร เรียกว่า Meta-discipline โดยเน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ ใช้การเรียนรู้โดยวิธีปัญหาเป็นฐาน เรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน การสืบค้นและเน้นให้นักเรียนเรียนรู้แบบรุก เพื่อ จะหาคำตอบที่สืบหา หลักการของแนวคิดสะเต็มศึกษา แนวคิดสะเต็มศึกษาเป็นแนวทางในการจัดการและส่งเสริมการเรียนการสอน โดยเชื่อมโยง ความรู้และทักษะทาง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์เข้าด้วยกัน ทั้งนี้ได้มี ผู้อธิบายหลักการของแนวคิดสะเต็มศึกษา ไว้ ดังนี้ Vasquez, Sneider and Comer (2014 : p.5) ได้กล่าวถึงหลักการของแนวคิดสะเต็ม ศึกษา ซึ่งประกอบด้วยหลักการสำคัญ 5 ประการ ดังนี้
1. เน้นการบูรณาการความรู้การบูรณาการตั้งแต่ 2 วิชาขึ้นไป โดยครูเชื่อมโยงการสอน หลาย ๆ วิชาเข้าด้วยกันในการสอน เช่น วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ซึ่งการสอนแบบนี้ เราเรียกว่า สหวิทยาการ การสอนแบบนี้ช่วยให้นักเรียน เชื่อมโยงความคิดรวบยอดกับความรู้ที่ได้รับ โดยใช้นวัตกรรมการเรียนการสอน ใช้ความคิดในด้านต่าง ๆ เช่น สร้างสรรค์ และ ความคิดเพื่อแก้ปัญหา หรือคิดในสถานการณ์ที่ได้รับมอบหมาย 2. การสร้างความสัมพันธ์คือ การคิดว่าจะนาความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์อะไรต่อไป โดยการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง ความรู้กับการนาไปใช้ประโยชน์ 3. การเน้นทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 เน้นที่เราจะหาความรู้ได้อย่างไรและใช้ความรู้ ได้อย่างไร โดยการสอนสิ่งที่ทาให้ เกิดความคิดสร้างสรรค์ เพื่อแก้ปัญหาสื่อสารความรู้และความคิด ทางานเป็นทีม เพื่อจะได้มีความรู้และความคิดในอนาคต 4. สร้างการสอนที่ท้าทายความรู้ความสามารถตามวัยและระดับชั้น เน้นทักษะใน ศตวรรษที่ 21 และความรู้ที่หลากหลายไม่ใช่ แค่เรียนเพียงอย่างเดียว 5. รู้จักประยุกต์โดยผสมผสานในการเรียนการสอนแบบ STEM สามารถนาวิธีการสอนที่ หลากหลายมาประยุกต์ในการจัดการ เรียนการสอน สำหรับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) (2557) ให้หลักการ ของแนวคิดสะเต็มศึกษา ซึ่งมี ลักษณะ 5 ประการ ดังนี้ 1. การสอนที่เน้นบูรณาการ 2. การช่วยให้เด็กสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาวิชาและทักษะทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และ คณิตศาสตร์กับชีวิตประจาวัน 3. การมุ่งเน้นทักษะในศตวรรษที่ 21 4. การท้าทายความคิดของเด็ก 5. การเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น และความเข้าใจที่สอดคล้องกับเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ จากที่กล่าวมาข้างต้น หลักการของแนวคิดสะเต็มศึกษาประกอบด้วย 4 หลักการ ได้แก่ 1) การรวมความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์เข้าด้วยกัน 2) การนาความรู้ใหม่ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์จริง 3) การมุ่งเน้นทักษะในศตวรรษที่ 21 4) การวางแผนการจัดกิจกรรมที่ท้าทายความคิดของเด็ก ขั้นตอนการสอน กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา มี6 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 ระบุปัญหาในชีวิตจริง/นวัตกรรมที่ต้องการพัฒนาเป็นการทำความเข้าใจปัญหาหรือความท้าทายวิเคราะห์เงื่อนไข หรือข้อจำกัดของสถานการณ์ปัญหา เพื่อกำหนดขอบเขตของปัญหา ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างชิ้นงานหรือวิธีการในการแก้ปัญหา ขั้นที่ 2 รวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องเป็นการรวบรวมข้อมูลและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีที่ เกี่ยวข้องกับ แนวทางการแก้ปัญหาและประเมินความเป็นไปได้ข้อดีและข้อจำกัด ขั้นที่ 3 ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา เป็นการประยุกต์ใช้ข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องเพื่อการออกแบบชิ้นงานหรือวิธีการในการ แก้ปัญหา โดยคำนึงถึงทรัพยากร ข้อจำกัดและเงื่อนไขตามสถานการณ์ที่กำหนด
ขั้นที่ 4 วางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา เป็นการกำหนดลำดับขั้นตอนของการสร้างชิ้นงานหรือวิธีการแล้วลงมือสร้าง ชิ้นงานหรือพัฒนา วิธีการเพื่อใช้ในการแก้ปัญหา ขั้นที่ 5 ทดสอบประเมินผลและปรับปรุงเป็นการทดสอบและประเมินการใช้งานของชิ้นงานหรือวิธีการโดยผลที่ได้อาจนำมาใช้ ในการปรับปรุงและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมที่สุด ขั้นที่ 6 นำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหา เป็นการนำเสนอแนวคิดและขั้นตอนการแก้ปัญหาของการสร้างชิ้นงาน หรือการพัฒนาวิธีการให้ผู้อื่นเข้าใจและได้ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาต่อไป การวดัและการประเมินผลการเรียนรู้ การวดัและการประเมินผลการเรียนรู้ของผเู้รียนตอ้งอยบู่นหลกัพ้ืนฐาน 2 ประการคือการประเมินเพื่อ พัฒนาผู้เรียนและเพื่อตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ประสบความส าเร็จ น้นัผเู้รียนจะตอ้งไดร้ับการพฒันาและการประเมินตามตวัช้ีวดัเพื่อใหบ้รรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้สะทอ้น สมรรถนะส าคัญและลักษณะอันพึงประสงค์ ของผู้เรียนซึ่งเป็ นเป้าหมายหลักในการวัดและการประเมินผล การเรียนรู้ในทุกระดบั ไม่ว่าจะเป็นระดบัช้นัเรียนระดบัสถานศึกษาระดบัเขตพ้ืนที่การศึกษาและระดบัชาติ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้และกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน โดยใช้ผลการประเมินเป็ นข้อมูล และสารสนเทศที่แสดงพฒันาการความกา้วหนา้และความส าเร็จทางการเรียนของผูเ้รียนตลอดจนขอ้มูลที่ เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผูเ้รียนเกิดการพฒันาและเรียนรู้อย่างเต็มตามศกัยภาพการวดัและการ ประเมินการเรียนรู้แบ่งออกเป็น 4 ระดบั ไดแ้ก่ระดบัช้นัเรียน ระดบัสถานศึกษา ระดบัเขตพ้ืนที่การศึกษา และระดบัชาติมีรายละเอียด ดงัน้ี 1.การประเมินระดับชั้น เป็นการวดัและประเมินผลที่อยใู่นกระบวนการจดัการเรียนรู้ผสู้อนดา เนินการเป็นปกติและสม่า เสมอใน การจัดการเรียนการสอนใช้เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลายเช่นการซักถาม การสังเกต การตรวจ การบา้น การประเมินโครงงาน การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน แฟ้มสะสมผลงาน การใชแ้บบทดสอบ โดย ผสู้อนเป็นผปู้ระเมินเองหรือเปิดโอกาสใหผ้เู้รียนประเมินตนเองเพื่อประเมินเพื่อนผปู้กครองร่วมประเมินใน กรณีที่ไม่ผ่านตวัช้ีวดั ให้มีการสอน ซ่อมเสริม การประเมินระดบัช้ันเรียนเป็นการตรวจสอบว่าผูเ้รียนมี พฒันาการความกา้วหนา้ในการเรียนรู้อนัเป็นผลมาจากการจดักิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่และมาก นอ้ยเพียงใด มีสิ่งที่จะตอ้งรับการพฒันาปรับปรุงและส่งเสริมในดา้นใดนอกจากน้ียงัเป็นขอ้มูลให้ผสู้อนใช้ ปรับปรุงการเรียนการสอนของตนดว้ยท้งัน้ีโดยสอดคลอ้งกบัมาตรฐานการเรียนรู้และตวัช้ีวดั
2.การประเมินระดับสถานศึกษา เป็ นการประเมินที่สถานศึกษาด าเนินการเพื่อตัดสินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็ นรายปี หรือรายภาค ผล การประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และการเขียนคุณลักษณะอันพึงประสงค์และกิจกรรมพฒันาผูเ้รียน นอกจากน้ีเพื่อให้ไดข้อ้มูลเกี่ยวกบัการจดัการศึกษาของสถานศึกษาว่าส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนตาม เป้าหมายหรือไม่ผูเ้รียนมีจุดพฒันาในดา้นใดรวมท้งัสามารถนา ผลการเรียนรู้ของผูเ้รียนในสถานศึกษา เปรียบเทียบกบัเกมระดบัชาติผลการประเมินระดบัสถานศึกษาจะเป็นขอ้มูลและสารสนเทศเพื่อปรับปรุง นโยบายหลักสูตรโครงการ หรือวิธีการจัดการเรียนการสอนตลอดจนเพื่อการจัดท า แผนพัฒนาคุณภาพ การศึกษาของสถานศึกษาตามแนวทางประกนัคุณภาพการศึกษาและการรายงานผลการจดัการศึกษาต่อ คณะกรรมการสถานศึกษา ส านักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาส านักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ผู้ปกครองและชุมชน 3.การประเมินระดับเขตพื้นที่การศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพผูเ้รียนในระดับเขตพ้ืนที่การศึกษาตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลกัสูตร แกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐานเพื่อใช้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการพฒันาคุณภาพการศึกษาของเขตพ้ืนที่ การศึกษาตามภาระความรับผิดชอบสามารถด าเนินการโดยประเมินคุณภาพสัมฤทธ์ิของผูเ้รียนดว้ยขอ้ สอบ มาตรฐานที่จดัทา และดา เนินการโดยเขตพ้ืนที่การศึกษาหรือดว้ยความร่วมมือกบัหน่วยงานตน้ สังกดัในการ ดา เนินการจดัสอบ นอกจากน้ียงัไดก้ารตรวจทบทวนขอ้มูลการประเมินระดบัสถานศึกษาในเขตพ้ืนที่ การศึกษา 4.การประเมินระดับประเทศชาติ เป็ นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้นัพ้ืนฐานสถานศึกษาตอ้งจดัให้ผูเ้รียนทุกคนที่เรียนในระดบัช้นั ประถมศึกษาปีท3 ี่ช้นั ประถมศึกษาปีที่6 ช้นัมธัยมศึกษาปีที่3 และช้นัมธัยมศึกษาปีที่6 เข้ารับการประเมิน ผลจากการประเมินใช้เป็ นข้อมูล ในการ เทียบเคียงคุณภาพการศึกษาในระดบัต่างๆเพื่อนา ไปใชใ้นการวางแผนยกระดบัคุณภาพการจดัการศึกษา ตลอดจนเป็ นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในระดับนโยบายของประเทศ
สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไดจ้ดัทา สื่อและจดัให้มีแหล่งเรียนรู้ตามหลกัการ และนโยบายของการจดัการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ดงัน้ีสื่อการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนบัสนนการจัดการุ กระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตร ไดอ้ยา่งมีประสิทธิภาพ สื่อการเรียนรู้มีหลากหลายประเภท ท้งัสื่อธรรมชาติสื่อสิ่งพิมพส์ื่อเทคโนโลยแีละ เครือข่ายการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มีในทอ้งถิ่น การเลือกใชส้ื่อควรเลือกให้มีความเหมาะสมกบัระดบัพฒันาการ และลีลาการเรียนรู้ที่หลากหลายของผู้เรียน การจัดหาสื่อการเรียนรู้ผู้เรียนและผู้สอนสามารถจัดท าและ พฒันาข้ึนเอง หรือปรับปรุงเลือกใชอ้ยา่งมีคุณภาพ จากสื่อต่าง ๆ ที่มีอยรู่อบตวัเพื่อนา มาใชป้ระกอบในการ จัดการเรียนรู้ที่สามารถส่งเสริมและสื่อสารใหผ้เู้รียน เกิดการเรียนรู้โดยสถานศึกษาควรจดัใหม้ีอยา่งพอเพยีง เพื่อพฒันาใหผ้เู้รียน เกิดการเรียนรู้อยา่งแทจ้ริง สถานศึกษา เขตพ้ืนที่การศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวขอ้งและผมู้ี หนา้ที่จดัการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ควรดา เนินการ ดงัน้ี 1. จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ศูนยส์ ื่อการเรียนรู้ระบบสารสนเทศการเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพท้งัในสถานศึกษาและในชุมชน เพื่อการศึกษาค้นคว้าและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การ เรียนรู้ระหวา่งสถานศึกษา ทอ้งถิ่น ชุมชน สงัคมโลก 2. จัดท าและจัดหาสื่อการเรียนรู้สา หรับการศึกษาคน้ควา้ของผเู้รียน เสริมความรู้ใหผ้ สู้อน รวมท้งัจดัหาสิ่ง ที่มีอยใู่นทอ้งถิ่นมาประยกุตใ์ชเ้ป็นสื่อการเรียนรู้ 3. เลือกและใชส้ื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคลอ้งกบัวิธีการ เรียนรู้ ธรรมชาติของสาระการเรียนรู้และความแตกต่างระหวา่งบุคคลของผเู้รียน 4. ประเมินคุณภาพของสื่อการเรียนรู้ที่เลือกใชอ้ยา่งเป็นระบบ 5. ศึกษาคน้ควา้วิจยัเพื่อพฒันาสื่อการเรียนรู้ใหส้อดคลอ้งกบักระบวนการเรียนรู้ของผเู้รียน 6. จดัให้มีการกา กบัติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเกี่ยวกบัสื่อและการใชส้ื่อการเรียนรู้เป็น ระยะๆ และสม ่าเสมอ ในการจัดท าการเลือกใช้และการประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้ที่ใช้ในสถานศึกษา ควรคา นึงถึง หลกัการสา คญัของสื่อการเรียนรู้เช่น ความสอดคลอ้งกบัหลกัสูตรวตัถุประสงคก์ารเรียนรู้การ ออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้การจดั ประสบการณ์ให้ผูเ้รียน เน้ือหามีความถูกตอ้งและทนัสมยั ไม่กระทบ ความมนั่คงของชาติไม่ขดัต่อศีลธรรม มีการใชภ้าษาที่ถูกตอ้งรูปแบบการนา เสนอที่เขา้ใจง่ายและน่าสนใจ
ภาคผนวก
อภิธานศัพท์ 1. กำหนดปัญหา Define problem หมายถึง ระบุคำถาม ประเด็นหรือสถานการณ์ที่เป็นข้อสงสัยเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาหรือ อภิปรายร่วมกัน 2. แก้ปัญหา Solve problem หมายถึง หาคำตอบของปัญหาที่ยังไม่รู้วิธีการมาก่อน ทั้งปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์โดยตรง และปัญหาในชีวิตประจำวันโดยใช้เทคนิคและวิธีการต่าง ๆ 3. เขียนแผนผัง/วาดภาพ Sonstruct diagram/ illustrate หมายถึง นำเสนอข้อมูลหรือผลการสำรวจตรวจสอบด้วยแผนผัง กราฟ หรือภาพวาด 4. คาดคะเน Predict หมายถึง คาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยอาศัยข้อมูลที่สังเกตได้และประสบการณ์ที่มี 5. คำนวณ Calculate หมายถึง หาผลลัพธ์จากข้อมูล โดยใช้หลักการ ทฤษฎีหรือวิธีการทางคณิตศาสตร์ 6. จำแนก Classify หมายถึง จัดกลุ่มของสิ่งต่าง ๆ โดยอาศัย ลักษณะที่เหมือนกันเป็นเกณฑ์ 7. ตั้งคำถาม Ask question หมายถึง พูดหรือเขียนประโยค หรือวลีเพื่อให้ได้มาซึ่งการค้นหา คำตอบที่ต้องการ 8. ทดลอง Conduct/experiment หมายถึง ปฏิบัติการเพื่อหาคำตอบ ของคำถาม หรือปัญหาในการ ทดลอง โดยตั้งสมมติฐานเพื่อ เป็นแนวทางในการกำหนด ตัวแปรและวางแผนดำเนินการ เพื่อตรวจสอบสมมติฐาน 9. นำเสนอ Present หมายถึง แสดงข้อมูล เรื่องราว หรือ ความคิด เพื่อให้ผู้อื่นรับรู้หรือพิจารณา 10. บรรยาย Describe หมายถึง ให้รายละเอียดของเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยการบอก หรือเขียน 11. บอก Tell หมายถึง ให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง แก่ผู้อื่น ด้วยการพูด หรือเขียน 12. บันทึก Record หมายถึง เขียนข้อมูลที่ได้จากการสังเกต เพื่อช่วยจำ หรือเพื่อเป็นหลักฐาน 13. เปรียบเทียบCompare หมายถึง บอกความเหมือน และ/หรือ ความแตกต่าง ของสิ่งที่ เทียบเคียงกัน 14. แปลความหมาย Interpret หมายถึง แสดงความหมายของข้อมูล จากหลักฐานที่ปรากฏ เพื่อลงข้อสรุป 15. ยกตัวอย่าง Give examples หมายถึง ให้ข้อมูลเหตุการณ์หรือสถานการณ์เพื่อแสดงความเข้าใจในสิ่งที่ได้เรียนรู้ 16. ระบุ Identify หมายถึง ชี้บอกสิ่งต่าง ๆ โดยใช้ข้อมูล ประกอบอย่างเพียงพอ 17. เลือกใช้ Select หมายถึง พิจารณา และตัดสินใจนำวัสดุสิ่งของ อุปกรณ์หรือวิธีการมาใช้ได้อย่างเหมาะสม 18. วัด Measure หมายถึง หาขนาด หรือปริมาณ ของ สิ่งต่าง ๆ โดยใช้เครื่องมือ ที่เหมาะสม 19. วิเคราะห์ Analyze หมายถึง แยกแยะ จัดระบบ เปรียบเทียบ จัดลำดับ จัดจำแนก หรือ เชื่อมโยงข้อมูล 20. สร้างแบบจำลอง หมายถึง Construct model นำเสนอแนวคิด หรือเหตุการณ์ในรูปของแผนภาพ ชิ้นงานสมการ ข้อความ คำพูดและ/หรือใช้แบบจำลองเพื่ออธิบายความคิด วัตถุ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ 21. สังเกต Observe หมายถึง หาข้อมูลด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ที่เหมาะสมตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ โดยไม่ใช้ ประสบการณ์เดิมของผู้สังเกต 22. สำรวจ Explore หมายถึง หาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆโดยใช้วิธีการและเทคนิคที่เหมาะสม เพื่อนำข้อมูลมาใช้ตาม วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ 23. สืบค้นข้อมูลSearch หมายถึง หาข้อมูล หรือข้อสนเทศที่มีผู้รวบรวมไว้แล้วจากแหล่งต่าง ๆมาใช้ประโยชน์ 24. สื่อสาร Communicate หมายถึง นำเสนอ และแลกเปลี่ยนความคิด ข้อมูล หรือผลจากการสำรวจตรวจสอบ ด้วยวิธีที่ เหมาะสม 25. อธิบาย Explain หมายถึง กล่าวถึงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล และมีข้อมูล หรือประจักษ์พยานอ้างอิง
26. อภิปราย Discuss หมายถึง แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นหรือคำถามอย่างมีเหตุผลโดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ของผู้ อภิปรายและข้อมูลประกอบ 27. ออกแบบการทดลอง Design experiment หมายถึง กำหนด และวางแผนวิธีการทดลองให้สอดคล้องกับสมมติฐานและตัว แปรต่าง ๆรวมทั้งการบันทึกข้อมูล ศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับตัวชี้วัด สาระเทคโนโลยี 1.การใช้ลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยชอบธรรม (Fair use) การนำสื่อ หรือข้อมูลที่เป็นลิขสิทธิ์ของผู้อื่นไปใช้โดยชอบด้วยกฎหมาย ภายใต้เงื่อนไขบางประการ เช่น 1) นำไปใช้ในการศึกษา หรือการค้ำ 2) งานนั้นเป็นงานวิชำการ หรือบันเทิง 3) คัดลอกเพียงส่วนน้อย หรือคัดลอกจานวนมาก 4) ทำให้เจ้าของเสียผลประโยชน์ทางการเงิน มากน้อยเพียงใด 2. การตรวจและแก้ไข Debugging หมายถึง กระบวนการในการค้นหาข้อผิดพลาดข้อผิดพลาดของโปรแกรมเพื่อแก้ไขให้ทำงาน ได้ถูกต้อง 3. การประมวลผลข้อมูล Data processing หมายถึง การดำเนินการต่าง ๆ กับข้อมูลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความหมายและมี ประโยชน์ต่อการนำไปใช้งานมากยิ่งขึ้น 4. การรวบรวมข้อมูล Data collection หมายถึง กระบวนการในการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ 5. ข้อมูลปฐมภูมิPrimary data หมายถึง ข้อมูลที่รวบรวมโดยตรงจากแหล่งข้อมูลขั้นต้น โดยอาจใช้วิธีการสังเกต การทดลองการ สำรวจ การสัมภาษณ์ 6. เทคโนโลยี Technology หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างหรือพัฒนาขึ้นซึ่งอาจเป็นได้ทั้งชิ้นงาน หรือวิธีการ เพื่อใช้แก้ปัญหาสนอง ความต้องการ หรือเพิ่มความสามารถในการทำงานของมนุษย์ 7. แนวคิดเชิงคำนวณ Computational thinking หมายถึง กระบวนการในการแก้ปัญหาการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลเป็นขั้นตอน เพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาในรูปแบบที่สามารถนำไปประมวลผลได้ 8. แนวคิดเชิงนามธรรม Abstraction หมายถึง พิจารณารายละเอียดที่สำคัญของปัญหา แยกแยะสาระสำคัญออกจากส่วนที่ไม่ สำคัญ 9. ระบบทางเทคโนโลยี Technological system หมายถึง กลุ่มของส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่ สองส่วนขึ้นไป ประกอบเข้าด้วยกัน และ ทำงานร่วมกัน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยในการทำงานของระบบทางเทคโนโลยีจะประกอบไปด้วย ตัวป้อน (input) กระบวนการ (process) และผลผลิต (output) ที่สัมพันธ์กัน นอกจากนี้ระบบทางเทคโนโลยีอาจมีข้อมูลย้อนกลับ(feedback) เพื่อ ใช้ปรับปรุงการทำงานได้ตามวัตถุประสงค์ 10. เหตุผลเชิงตรรกะ Logical reasoning หมายถึง การใช้เหตุผล กฎ กฎเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาได้ครอบคลุม ทุกกรณี 11.เหตุผลวิบัติ Logical fallacy หมายถึง การใช้เหตุผลที่ผิดพลาด ไม่อยู่บนพื้นฐานของความจริง ไม่มีน้ำหนักสมเหตุสมผลมา สนับสนุน หรือชี้นำข้อสรุปที่ผิดให้ดูน่าเชื่อถือ
12. อัตลักษณ์ Identity หมายถึง ลักษณะเฉพาะหรือข้อมูลสำคัญที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของบุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ชื่อ บัญชีผู้ใช้ใบหน้า ลายนิ้วมือ 13. อัลกอริทึม Algorithm หมายถึง ขั้นตอนในการแก้ปัญหาหรือการทำงาน โดยมีลำดับของคำสั่งหรือวิธีการที่ชัดเจนที่ คอมพิวเตอร์สามารถปฏิบัติตามได้
ตัวอย่างแผนการเรียนรู้ โรงเรียน ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชา ว16101 จ านวน 15ชั่วโมง แผนการเรียนรู้ที่1 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสสาร เวลา 2 ชั่วโมง ผู้สอน นางสาวศิรภัสสร สูงแข็ง6594110009 วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2566 อาจารย์ที่ปรึกษา/อาจารย์พี่เลี้ยง ผศ.สมหวัง นิลพันธ์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วดั สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกบัธรรมชาติของสารการเปลี่ยนแปลงของสารการเคลื่อนที่ พลังงาน และคลื่น มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ใจสมบตัิของสสารองคป์ระกอบของสสารความสมัพนัธ์ระหวา่งสมบตัิของ สสารกบัโครงสร้างและ แรงยดึเหนี่ยวระหวา่งอนุภาค หลกัและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารการเกิดสารละลายและการเกิด ปฏิกิริยาเคมี ตัวชี้วัด ว 2.1 ป.6/1อธิบายและเปรียบเทียบการแยกสารผสม โดยการหยบิออกการร่อน การใชแ้ม่เหลก็ดึงดูด การรินออก การกรองและการตกตะกอน โดยใชห้ลกัฐานเชิงประจกัษร์วมท้งัระบุวิธีแกป้ ัญหาในชีวิตประจา วนัเกี่ยวกบัการแยกสาร สาระส าคัญ การเปลี่ยนแปลงของสสารจ าแนกได้เป็ น 2 กลุ่ม คือการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและการ เปลี่ยนแปลงทางเคมี จุดประสงค์การเรียนรู้(K/P/A) -ด้านความรู้K จ าแนกการเปลี่ยนแปลงของสสารรอบตัวได้ -ด้านทักษะกระบวนการP สื่อสารและน าความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสสารไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ -ด้านคุณลกัษณะอนัพงึประสงค์A 1. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น 2. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกบัวิทยาศาสตร์ 3. ทา งานร่วมกบัผอู้ื่นอยา่งสร้างสรรค์ สาระการเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
คุณลกัษณะอนัพงึประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่ เรียนรู้ 3. มุ่งมนั่ในการทา งาน 4. มีจิตวิทยาศาสตร์ สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี การจัดกจิกรรมการเรียนรู้ ครูดา เนินการทดสอบก่อนเรียนโดยใหน้กัเรียนทา แบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อม และพ้ืนฐานของ นักเรียน ข้นันา เขา้สู่บทเรียน 1) ครูเขียนคา วา่“สสาร” บนกระดานดา แลว้ใหน้กัเรียนช่วยกนับอกความรู้เกี่ยวกบัสสารที่เคยเรียนรู้มาโดยครูอาจช่วย นกัเรียนโดยการใชค้า ถาม เช่น – สสารคืออะไร(แนวคา ตอบ สิ่งที่มีตวัตน ตอ้งการที่อยู่และมีมวล)–ยกตวัอยา่งสสารใน ชีวิตประจา วนั (แนวคา ตอบ ไม้โลหะแกว้และน้า ) – สสารมีสถานะใด (แนวคา ตอบ เป็นไดท้ ้งัของแขง็ของเหลวและ แก๊ส) 2) นกัเรียนร่วมกนัตอบคา ถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบัคา ตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลง ของสสารข้นัจดักิจกรรมการเรียนรู้จดักิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ร่วมกบัแบบกลบัดา้น ช้นัเรียน (flipped classroom) ซ่ึงมีข้นัตอนดงัน้ี 1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1.1ครูแบ่งกลุ่มนกัเรียนแลว้เปิดโอกาสใหน้กัเรียนในกลุ่มนา เสนอขอ้มูลเกี่ยวกบัการเปลี่ยนแปลงของ สสาร ที่ครู มอบหมายใหไ้ปเรียนรู้ล่วงหนา้ใหเ้พื่อน ๆ ในกลุ่มฟังจากน้นั ให้แต่ละกลุ่มส่งตวัแทนมานา เสนอข้อมูลหน้าห้องเรียน 1.2 ครูตรวจสอบวา่นกัเรียนทา ภาระงานที่ไดร้ับมอบหมายไปหรือไม่โดยตรวจสอบจากการจดบนัทึกของนักเรียน และ ถามคา ถามเกี่ยวกบัภาระงาน ดงัน้ี –การเปลี่ยนแปลงของสสารที่เกิดข้ึนในบา้นมีลกัษณะใดบา้ง (แนวคา ตอบ การเปลี่ยนสถานะการละลาย และการ เปลี่ยนแปลงทางเคมี) –การเปลี่ยนสถานะของสสารสงัเกตจากสิ่งใด (แนวคา ตอบ สงัเกตจากการที่สสารเปลี่ยนจากของแข็งเป็ นของเหลวหรือ แก๊ส โดยที่ไม่มีสารใหม่เกิดข้ึน) –ยกตัวอยา่งการเปลี่ยนแปลงของสสารในบา้นที่มีสารใหม่เกิดข้ึน สงัเกตจากอะไร(แนวคา ตอบ ไม้ขีดไฟติดไฟ สังเกตจาก การมีเปลวไฟ ควนัและกลิ่นไหมเ้กิดข้ึน) 1.3ครูเปิดโอกาสใหน้กัเรียนต้งัประเดน็คา ถามที่นกัเรียนสงสยัจากการทา ภาระงานอยา่งนอ้ยคนละ1 ค าถาม ซึ่งครูให้ นักเรียนเตรียมมาล่วงหนา้และใหน้กัเรียนช่วยกนัตอบและแสดงความคิดเห็น 1.4ครูและนกัเรียนร่วมกนัสรุปเกี่ยวกบัภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายใหน้กัเรียนเขา้ใจว่าการเปลี่ยนแปลงของสสารรอบตัว มีท้งัการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีสารใหม่เกิดข้ึนและมีสารใหม่เกิดข้ึน
2) ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration) 2.1 ครูใหน้กัเรียนศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสสารจากใบความรู้หรือในหนงัสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียน เขา้ใจว่า สสารมีการเปลี่ยนแปลงเกิดข้ึนได้และเมื่อใชล้กัษณะการเปลี่ยนแปลงของสสารวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6เป็ นเกณฑ์ เราสามารถจ าแนกการเปลี่ยนแปลงของสสารได้เป็ น 2 กลุ่ม คือการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและการ เปลี่ยนแปลงทางเคมี 2.2 ครูแบ่งนกัเรียนกลุ่มละ5 –6 คน สืบคน้ขอ้มูลเกี่ยวกบัการเปลี่ยนแปลงของสสาร ตามข้นัตอน ดงัน้ี –แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบคน้ขอ้มูลโดยแบ่งหวัขอ้ยอ่ยใหเ้พื่อนสมาชิกช่วยกนัสืบคน้ตามที่สมาชิกกลุ่มช่วยกนักา หนด หวัขอ้ยอ่ยเช่น การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การเปลี่ยนแปลงทางเคมีและ ตวัอยา่งการเปลี่ยนแปลงของสสารแต่ละกลุ่ม – สมาชิกกลุ่มแต่ละคนหรือกลุ่มยอ่ยช่วยกนัสืบคน้ขอ้มูลตามหวัขอ้ยอ่ยที่ตนเองรับผดิชอบ โดยการสืบค้นจากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต – สมาชิกกลุ่มนา ขอ้มูลที่สืบคน้ ไดม้ารายงานให้เพื่อนๆ สมาชิกในกลุ่มฟังรวมท้งัร่วมกนัอภิปราย ซกัถามจนคาดวา่สมาชิก ทุกคนมีความรู้ความเขา้ใจที่ตรงกนั – สมาชิกกลุ่มช่วยกนัสรุปความรู้ที่ไดท้ ้งัหมดเป็นผลงานของกลุ่ม และช่วยกนัจดัทา รายงาน การศึกษาคน้ควา้เกี่ยวกบัการ เปลี่ยนแปลงของสสาร 2.3 ครูคอยแนะนา ช่วยเหลือนกัเรียนขณะปฏิบตัิกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ หอ้งเรียนและเปิ ดโอกาส ให้นักเรียนทุกคน ซักถามเมื่อมีปัญหา 3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 3.1 นกัเรียนแต่ละกลุ่มนา เสนอผลการปฏิบตัิกิจกรรมหนา้หอ้งเรียน 3.2 ครูและนกัเรียนร่วมกนัอภิปรายผลจากการปฏิบตัิกิจกรรม โดยใชแ้นวคา ถาม เช่น –การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพคืออะไร(แนวคา ตอบ การเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีสารใหม่เกิดข้ึน) –ยกตวัอยา่งการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ (แนวคา ตอบ น้า แขง็หลอมเหลว น้า เดือด และน้า แข็งตัว) –การเปลี่ยนแปลงทางเคมีคืออะไร(แนวคา ตอบ การเปลี่ยนแปลงที่มีสารใหม่เกิดข้ึน) –ยกตวัอยา่งการเปลี่ยนแปลงทางเคมี(แนวคา ตอบ การเผาไหมแ้ละการเกิดสนิม) 3.3 ครูและนกัเรียนร่วมกนัสรุปผลจากการปฏิบตัิกิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้กัเรียนเขา้ใจว่าการ เปลี่ยนแปลงของสสารมี ลกัษณะของการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกนัเราจึงจา แนกไดเ้ป็น 2 กลุ่ม คือการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและการ เปลี่ยนแปลงทางเคมี 4) ข้ันขยายความรู้(Elaboration)ครูแบ่งนกัเรียนกลุ่มละ5 –6 คน สา รวจการเปลี่ยนแปลงของสสารที่เกิดข้ึนในหอ้งเรียน หรือบริเวณ โรงเรียน โดยจา แนกเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและการเปลี่ยนแปลงทางเคมีแลว้เปรียบเทียบวา่การ เปลี่ยนแปลงของสสารลกัษณะใดที่เกิดข้ึนมากกวา่กนัจากน้นันา ผลการสา รวจมาอภิปรายร่วมกนั ในหอ้งเรียน 5) ขั้นประเมิน (Evaluation) 5.1 ครูใหน้กัเรียนแต่ละคนพิจารณาวา่จากหวัขอ้ที่เรียนมาและการปฏิบตัิกิจกรรม มีจุดใดบา้งที่ยงัไม่ เข้าใจหรือยังมีข้อ สงสยัถา้มีครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมใหน้กัเรียนเขา้ใจ 5.2 นกัเรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตัิกิจกรรมกลุ่มวา่มีปัญหาหรืออุปสรรคใด และไดม้ีการแกไ้ขอยา่งไรบา้ง
5.3 ครูและนกัเรียนร่วมกนัแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ประโยชน์ที่ไดร้ับจากการปฏิบตัิกิจกรรม และการน าความรู้ที่ได้ไป ใช้ประโยชน์ 5.4 ครูทดสอบความเขา้ใจของนกัเรียนโดยการใหต้อบคา ถาม เช่น –การเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีสารใหม่เกิดข้ึนเรียกว่าอะไร(แนวคา ตอบ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ) –การเปลี่ยนแปลงที่มีสารใหม่เกิดข้ึนเรียกวา่อะไร(แนวคา ตอบ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี) ข้ันสรุป ครูและนกัเรียนร่วมกนัสรุปเกี่ยวกบัการเปลี่ยนแปลงของสสารโดยร่วมกนัเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโน ทัศน์ สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้ 1. แบบทดสอบก่อนเรียน 2. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต 3. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ช้นั ประถมศึกษาปีที่6 4. แบบฝึกทกัษะรายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ช้นั ประถมศึกษาปีที่6 5. หนงัสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ช้นั ประถมศึกษาปีที่6 6.ในห้องเรียน 7.ใบความรู้
แบบฝึ กหัด เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสสาร
การวดัและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้(K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และ จิตวิทยาศาสตร์(A) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) 1. ซักถามความรู้เรื่อง การ เปลี่ยนแปลงของสสาร 2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระ งานของกิจกรรมฝึกทกัษะ ระหวา่งเรียน 3. ทดสอบก่อนเรียนโดย ใช้แบบทดสอบก่อนเรียน 1. ประเมินเจตคติทาง วิทยาศาสตร์เป็ น รายบุคคลโดยการสังเกต และใช้แบบวัดเจตคติทาง วิทยาศาสตร์ 2. ประเมินเจตคติต่อ วิทยาศาสตร์เป็ น รายบุคคลโดยการสังเกต และใชแ้บบวดัเจตคติต่อ วิทยาศาสตร์ 1. ประเมินทักษะการคิด โดยการสังเกตการท างาน กลุ่ม 2. ประเมินพฤติกรรมใน การ ปฏิบตัิกิจกรรมเป็น รายบุคคลหรือรายกลุ่มโดย การสงัเกตการทา งานกลุ่ม บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้12.1 สรุปผลหลังการจัดการเรียนรู้ 1. นักเรียนจ านวน..................คน ผา่นจุดประสงคก์ารเรียนรู้......................คน คิดเป็ นร้อยละ..................ไม่ผา่นจุดประสงคก์ารเรียนรู้..................คน คิดเป็ นร้อยละ.................. นกัเรียนนี่ไม่ผา่น มีดงัน้ี1............................................................ 2............................................................ 3............................................................ 4............................................................ 5............................................................ 6............................................................ แนวทางแกไ้ขนกัเรียนที่ไม่ผา่นจุดประสงคก์ารเรียนรู้ ................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................... 2. นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ (K) ................................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................... 3. นกัเรียนมีความรู้เกิดทกัษะ(P) ................................................................................................................................................................................................... .....................................................................................................
4. นกัเรียนมีเจตคติค่านิยม คุณธรรมจริยธรรม (A) ................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................... 12.2 ปัญหาอุปสรรคและแนวทางแกไ้ข ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… 12.3 ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ.................................................. (.................................................) ตา แหน่ง.....................................
ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย ไดท้า การตรวจแผนการจดัการเรียนรู้ของ................................................................แลว้มีความเห็นดงัน้ี 1. เป็ นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจดักิจกรรมไดน้า เอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็ นส าคัญมาใช้ในการสอนไดอ้ยา่งเหมาะสม ยงัไม่เนน้ ผเู้รียนเป็นสา คญัควรปรับปรุงพฒันาต่อไป 3. เป็ นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ น าไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนา ไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................................... ............................................................... ………………………………………………………………………………… ลงชื่อ................................................. (.................................................) ตา แหน่ง............................................
คณะผ ู ้ จัดทา นางสาวศิรภัสสร สูงแข็ง 6594110009 นางสาวชนัดดา นนทะโครต 6594110042 นางสาวพลอยนภัส สิทธิพัฒน์ภาธร 6594110015