เอกสารประกอบการสอน
รายวชิ า ED1046 โครงสรา้ งภาษาองั กฤษ
(English Structure)
อาจารยแ์ สงอาทติ ย์ ไทยมิตร
ภาควชิ าวชิ าการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลยั วิทยาเขตอสี าน
ก
คำนำ
เอกสารประกอบการสอนฉบับนี้ จัดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนในรายวิชา ED1046
โครงสร้างภาษาอังกฤษ (English Structure) ในหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอน
ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวทิ ยาลยั เป็นรายวิชาบังคับที่นักศึกษาต้องเรียนร้เู น้อื หาของ
องค์ประกอบโครงสร้างต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษ โครงสร้างภาษาอังกฤษถือวา่ เป็นพ้ืนฐานของการเรียน
ภาษาอังกฤษ ที่นักศึกษาต้องเข้าใจ สามารถวิเคราะห์โครงสร้างของคา วลี และประโยคใน
ภาษาอังกฤษได้ เพ่ือให้เกดิ ทกั ษะในการเรียนรภู้ าษาอังกฤษในระดับสูงขึ้นไป
เอกสารประกอบการสอนในรายวิชานี้ มีเน้ือหาเก่ียวกับโครงสร้างของคา (words or
morphology) ส่วนของคาพูด (parts of speech) โครงสร้างวลี (phrase structure) กฎของ
โครงสร้างภายในวลี (phrase structure rules) และชนิดของประโยคในภาษาอังกฤษ (types of
sentences) เม่ือนักศึกษาได้ศึกษาตามขั้นตอนแล้วสามารถวิเคราะห์โครงสร้างของคา วลี และ
ประโยคได้
ผู้เรียบเรียงหวังเป็นอยา่ งยงิ่ ว่า เอกสารประกอบการสอนเลม่ น้ี จะเป็นประโยชน์แก่นักศึกษา
และผู้สนใจภาษาอังกฤษ หากมีข้อบกพร่องประการใด ข้าพเจ้ายินดีรับคาช้ีแนะจากท่านผู้รู้ท้ังหลาย
เพอ่ื ปรับปรุงแก้ไขในส่วนทผี่ ิด เพิ่มเตมิ ในสว่ นที่ยังไม่ครบถ้วน และสร้างสรรคง์ านให้มีความสมบูรณ์ดี
ยิ่งข้ึน และผู้เรียบเรียงขออุทิศความดีท้ังหลายเพ่ือบูชาคุณบิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์และผู้มี
พระคุณทุกท่านท่ีได้ประสิทธ์ิประสาทความรู้แก่ข้าพเจ้าเพ่ือถ่ายทอดเป็นวิ ทยาทานให้นักศึกษาและ
ผ้สู นใจทัว่ ไป
ด้วยความปรารถนาดี
แสงอาทติ ย์ ไทยมติ ร
2565
ข
สารบญั
เรื่อง หนา้
คานา ก
สารบญั ข
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 1 1
บทที่ 1 โครงสรา้ งของคา (Words or Morphology) 2
2
บทนำ 2
ควำมหมำยของวิทยำหน่วยคำ (Morphology) 2
ควำมหมำยของหน่วยคำ (Morpheme) 3
ชนิดหรอื ประเภทของหน่วยคำ (Morpheme Types) 4
วธิ ีกำรสรำ้ งคำ (Word-formation processes) 9
แบบฝึกหดั ท้ำยบทที่ 1 12
บรรณำนกุ รม 13
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 2 14
บทที่ 2 ส่วนของคาพดู (Parts of Speech) 14
บทนำ 14
Nouns (คำนำม) 15
Verbs (คำกรยิ ำ) 17
Adjectives (คำคุณศัพท)์ 17
Adverbs (คำกริยำวิเศษณ์) 18
Pronouns (คำสรรพนำม) 22
Determiners (คำนำหนำ้ คำนำม) 23
Prepositions (คำบุพบท) 25
Conjunctions (คำสนั ธำน) 30
แบบฝึกหัดทำ้ ยบทท่ี 2 33
บรรณำนุกรม 35
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 3 36
บทท่ี 3 โครงสรา้ งวลเี บอ้ื งต้น (Introduction to Phrase Structure) 36
ควำมหมำยของวลี (Phrases) 36
ชนดิ หรือประเภทวลี Phrases 36
โครงสรำ้ งภำยในนำมวลี (The Internal Structure of Noun Phrases) 37
โครงสร้ำงภำยในกริยำวลี (The Internal Structure of Verb Phrases) 38
โครงสร้ำงภำยในคณุ ศพั ทว์ ลี (The Internal Structure of Adjective Phrases)
ค
สารบญั (ตอ่ )
เร่อื ง หน้า
โครงสรำ้ งภำยในของวิเศษณ์วลี (The Internal Structure of Adverbials) 38
โครงสรำ้ งในบุรพบทวลี (The Internal Structure of Prepositional Phrases) 39
แบบฝกึ หดั ท้ำยบทที่ 3 40
บรรณำนกุ รม 45
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 4 46
บทท่ี 4 กฎของโครงสรา้ งวลีเบือ้ งต้น (Introduction to PSR) 47
บทนำ (Introduction) 47
กฎของโครงสรำ้ งวลี Phrase Structure Rules (PSR) 47
กฎของโครงสร้ำงภำยในนำมวลี (The Internal Structure of Noun Phrases) 49
กฎของโครงสร้ำงภำยในคุณศัพท์วลี (The Internal Structure of Adjective 50
Phrases)
กฎของโครงสรำ้ งในบรุ พบทวลี (Structural Variation in Prepositional Phrases) 51
กฎของโครงสร้ำงภำยในวิเศษณ์วลี (The Internal Structure of Adverbials) 52
กฎของโครงสร้ำงภำยในกริยำวลี (The Internal Structure of Verb Phrases) 60
สรปุ กฎของโครงสรำ้ งวลี Phrase Structure Rules (PSR) 64
แบบฝึกหัดทำ้ ยบทท่ี 4 65
บรรณำนกุ รม 67
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 5 68
บทที่ 5 โครงสร้างประโยค (Sentence Structure) 69
บทนำ (Introduction) 69
5 โครงสร้ำงประโยคพนื้ ฐำนในภำษำองั กฤษ 69
รูปแบบประโยคพื้นฐำนในภำษำองั กฤษ (Types of Sentence structure) 71
ชนิดของประโยค (Types of Sentences) 73
แบบฝึกหัดท้ำยบทท่ี 5 82
บรรณำนกุ รม 89
ประวตั ผิ เู้ รยี บเรียง 91
1
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 1
1. บทท่ี 1 โครงสรา้ งของคา (Words or Morphology)
2. หวั ขอ้ เนือ้ หาประจาบท
1. บทนำ
2. ควำมหมำยของวทิ ยำหน่วยคำ (Morphology)
3. ควำมหมำยของหนว่ ยคำ (Morpheme)
4. ชนิดหรือประเภทของหน่วยคำ (Morpheme Types)
5. วธิ ีกำรสรำ้ งคำ (Word-formation processes)
6. แบบฝกึ หดั ทำ้ ยบทที่ 1
7. บรรณำนกุ รม
3. วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
1. เพอ่ื ให้นักศึกษำทรำบควำมหมำยของ Morphology และ Morpheme ได้
2. เพ่อื ใหน้ ักศกึ ษำสำมำรถระบชุ นดิ หรือประเภทของ Morpheme ได้
3. เพ่อื ใหน้ ักศกึ ษำสำมำรถสร้ำงคำขน้ึ มำไดโ้ ดยผำ่ นกระบวนกำรสร้ำงคำ
4. เวลาเรยี น
สปั ดำหท์ ี่ 1-3
5. กจิ กรรมการเรียนการสอน
1. อ่ำนแผนบรหิ ำรกำรสอนประจำบท
2. บรรยำย
3. แบง่ กลุ่มย่อยร่วมกันศึกษำในประเดน็ ที่มอบหมำย
4. ทำแบบฝกึ หัดท้ำยบท
6. ส่ือการเรียนการสอน
1. พำวเวอร์พอยท์ (PowerPoint)
2. แล็ปท็อปคอมพิวเตอร์และโปรเจกเตอร์ (Laptop computer and Projector)
3. แบบฝึกหดั ทำ้ ยบท
7. การวัดและประเมินผล
1. สงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลุม่
2. ตรวจแบบฝึกหดั ท้ำยบท
2
บทท่ี 1
โครงสร้างของคา
(Words or Morphology)
1. บทนา
ปัญหำท่ีนักศึกษำอ่ำนภำษำอังกฤษไม่เข้ำใจน้ันมีหลำยประกำร แต่ปัญหำหนึ่งท่ีเป็นปัญหำใหญ่ในกำร
อำ่ น คอื ปัญหำเก่ียวกบั คำศพั ท์ มคี ำถำมวำ่ เมอ่ื เรำจะศึกษำเก่ียวกบั คำ (word) ในภำษำองั กฤษแล้ว เรำจะนึก
ถึงประเด็นอะไรในกำรศึกษำ เพรำะว่ำ คำ (word) เพียงหนึ่งคำอำจสร้ำงควำมหมำยที่เข้ำใจได้อย่ำงชัดเจน
โดยไม่ต้องพูดเป็นประโยคที่สมบูรณ์ ดังน้ัน เม่ือเรำจะศึกษำโครงสร้ำงของคำ เรำควรศึกษำเร่ือง คำ (word)
ใน 3 ระดับ ได้แก่ 1) คำเดี่ยวและส่วนประกอบของคำ 2) คำผสมและคำปรำกฏร่วม(คำท่ีใช้คู่กันแล้วมี
ควำมหมำยเฉพำะ) และ 3) กลุ่มคำหลำยคำ และเพ่ือควำมเข้ำใจเก่ียวกับคำอย่ำงแท้จริง อำจต้องศึกษำใน
ประเด็นที่สำคัญ ๆ เช่น กำรสะกดคำ (spelling) กำรออกเสียง เน้นคำ (pronunciation) หน้ำที่ของคำและ
กำรใช้ (parts of speech) และควำมหมำยทั่วไป (semantic) และควำมหมำยทีแ่ ทจ้ ริงในบริบท (pragmatic)
2. ความหมายของวิทยาหน่วยคา (Morphology)
วิทยำหนว่ ยคำ (Morphology) คอื เป็นสำขำหนงึ่ ของภำษำศำสตร์ท่ีศกึ ษำเก่ียวกบั โครงสร้ำงภำยในของ
คำ โดยท่ีโดยทั่วไปแล้วคำถูกยอมรับว่ำเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในวำกยสัมพันธ์ และเป็นท่ีชัดเจนว่ำในภำษำ
สว่ นมำก มกี ฎทใี่ ช้อธบิ ำยควำมสัมพนั ธ์ของคำแต่ละคำกบั คำอนื่ ๆ เปน็ กำรศึกษำโครงสร้ำงภำยในของคำและ
กำรเปล่ียนรปู ของคำ
3. ความหมายของหนว่ ยคา (Morpheme)
หนว่ ยคำ (Morpheme) คือ องค์ประกอบหรือหนว่ ยท่ีเล็กท่ีสุดของระบบไวยำกรณ์ เกดิ จำกกำรเรียงตัว
ต่อกันของหน่วยเสียงอย่ำงมีระบบและมีควำมหมำยในตัวเอง ไม่สำมำรถแยกต่อไปได้อีก ถ้ำแยกจะทำให้
ควำมหมำยของหนว่ ยคำนนั้ หำยไปหรือผิดไปจำกควำมหมำยเดิม แตห่ น่วยคำใด ๆ ท่ีเปน็ อสิ ระและไม่สำมำรถ
แยกตอ่ ไปอีกได้กส็ ำมำรถเปน็ คำ (word) ได้อกี ดว้ ย ตัวอยำ่ งกำรแยกหน่วยคำดังตอ่ ไปนี้
ตัวอย่ำง คำว่ำ “man” มี 1 พยำงค์ 1 หน่วยคำและมีควำมหมำย จึงจัดเป็นหน่วยคำ โดยส่วยย่อยของคำว่ำ
“man” จะประกอบไปด้วยหน่วยเสียง 3 หน่วยเสียง ได้แก่ /m/ /æ/ /n/ ซึ่งแต่ละหน่วยเสียงจะไม่มี
ควำมหมำย
อีกตัวอย่ำงหนึ่ง คำว่ำ “careless” ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ care และ less คำว่ำ care ไม่สำมำรถ
แยกส่วนประกอบให้เล็กลง แต่ในแง่ของเสียง (phonology) สำมำรถแยกได้คือ /k/ /eə/ /(r)/ แต่ละเสียงไม่มี
ควำมหมำย จงึ สำมำรถสรุปไดว้ ำ่ care เปน็ หน่วยยอ่ ยทีส่ ดุ ท่ีมีควำมหมำย สว่ น -less ไปแตกแยกย่อยจะได้ 3
หน่วยเสียง คอื /l/ /e/ /s/ ซ่งึ ไม่มคี วำมหมำย จงึ นบั ว่ำ -less เป็นหนว่ ยคำท่ีประกอบหลังหนว่ ยคำอ่นื ไดจ้ ึงจะมี
ควำมหมำยในทำงไวยำกรณ์ เช่น useless, sleepless, และ worthless เป็นต้น เพื่อควำมเข้ำใจยิ่งข้ึน ขอ
นำเสนอตัวอยำ่ งเพม่ิ เตมิ ดังตำรำงขำ้ งลำ่ งนี้
3
คา การแยกหน่วยคา ความหมาย
playing กำลงั เล่น
play -ing มคี วำมหมำยในทำงไวยำกรณ์
walked แสดงถึงกริยำกำลงั ดำเนินกำรอยู่ เดนิ (ควำมหมำย
(progressive aspect) เปน็ อดีต)
boys เดก็ ผู้ชำยหลำยคน
walk -ed มีควำมหมำยทำงไวยำกรณแ์ สดง
incorrect in- (ไม่) ถงึ อดีตกำล ไม่ถูกต้อง
seashell หอยทะเล
boy -s มีควำมหมำยทำงไวยำกรณ์เป็น
พหพู จน์เมื่อต่อทำ้ ยคำนำมนับได้
correct (ถูกต้อง)
sea (ทะเล) shell (หอย)
4. ชนดิ ของหน่วยคา (Morpheme Types)
ในกำรศึกษำหน่วยคำ (Morpheme) เรำจะพิจำรณำด้วย 2 วิธี คือ ส่วนประกอบของคำ (word
components) และ กระบวนกำรสร้ำงคำ (word-formation processes) ส่วนประกอบของคำ (word
components) ประกอบดว้ ยหน่วยคำ 2 ชนิด ไดแ้ ก่
1. หน่วยคำอิสระ (a free morpheme) คือ หน่วยคำท่ีสำมำรถอยู่เดี่ยว ๆ ได้ และมีควำมหมำยที่
สมบรู ณช์ ดั เจนอยใู่ นตวั เอง หน่วยคำชนิดนี้เป็นรำกศัพทแ์ ละเปน็ คำศัพท์เดมิ อยู่แล้ว เช่น boy, learn, man
2. หนว่ ยคำผูกพนั (a bound morpheme) คอื หนอ่ ยคำทไ่ี ม่สำมำรถอยูเ่ ดี่ยว ๆ ได้ ถำ้ อย่เู ดย่ี ว ๆ ก็
จะไมม่ คี วำมหมำยทีส่ ำคญั ต้องไปรวมกบั คำอ่ืนถงึ มีควำมหมำยข้ึน (ควำมหมำยทำงไวยำกรณ)์ หน่วยคำผูกพัน
ที่เรำรู้จักกันเป็นอย่ำงดี คือ หน่วยคำเป็นอุปสรรค และปัจจัย (prefixes and suffixes) เช่น in-, im-, un-,
dis-, re-, -full, -ness, -less, -ity, -tion, -er, -est, -able, -ible,
สำหรบั หนว่ ยคำผูกพัน (a bound morpheme) ยงั แบง่ ย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ
1. หน่วยคำคง (inflectional morpheme) คือหน่วยคำที่เติมเข้ำไปท่ีหน่วยคำท่ีเปน็ รำกศัพท์เพ่ือทำ
ให้เกิดคำที่สำมำรถปรำกฏในประโยคและมีควำมสัมพันธ์ทำงไวยำกรณ์กับคำอ่ืน ๆ ได้อย่ำงถูกต้อง หน่อย
ประเภทนม้ี ักจะเปน็ คำทีเ่ ติมหลงั หรือปจั จยั (suffix) เช่นหน่วยคำ -s ใน boys ที่บ่งบอกถึงพหูพจนข์ องคำนำม
หน่วยคำที่บ่งบอกถึงอดีตกำล -ed ในคำว่ำ watched และหน่วยคำที่แสดงถึงกำรเปรียบเทียบขั้นกว่ำของ
คำคุณศพั ทห์ รือคำกรยิ ำวเิ ศษณ์ -er ในคำว่ำ shorter และ -est ในคำว่ำ biggest เปน็ ตน้
2. หนว่ ยคำผัน (derivational morpheme) คือ หนว่ ยคำท่ีเวลำเติมเข้ำกับคำท่ีเป็นรำกศัพท์คำใดคำ
หน่ึงแลว้ ทำให้คำ ๆ น้ัน เปลย่ี นหนำ้ ทคี่ ำ (parts of speech) ไปเปน็ อีกชนิดหน่ึง เช่น หนว่ ยคำ -full ท่เี ติมใน
คำว่ำ useful เป็นกำรเปล่ียนจำกคำนำมเป็นคำคุณศัพท์ หรือหน่วยคำที่เติมเข้ำกับคำแล้วทำให้มีกำรเปลี่ยน
ควำมหมำยไปจำกเดิม เช่น หน่วยคำ in- ท่ีเติมในคำว่ำ incorrect ซึ่ง correct มีควำมหมำยว่ำถูกต้อง เติม
in- เขำ้ ไปเปน็ incorrect มีควำมหมำยวำ่ ผิดหรอื ไมถ่ กู ต้อง
สรุปได้ว่ำ หน่วยคำโดยพื้นฐำนมี 2 ชนิดหรือประเภท คือ หน่วยคำอิสระ free morpheme และ
หน่วยคำผูกพันหรือไม่อิสระ bound morpheme ถ้ำพิจำรณำจำกส่วนของคำพูดแล้ว (parts of speech)
แล้ว หน่วยคำอสิ ระ (free morpheme) แบง่ เป็น 2 ชนิด คือ ชนดิ แรกเปน็ คำท่เี ปน็ เน้อื หำ (lexical content)
เปน็ รำกศพั ทม์ ำกมำย อำจเปน็ คำศพั ท์มคี วำมหมำยมำกกว่ำหนง่ึ ควำมหมำย สำมำรถสรำ้ งคำข้ึนมำเพ่ิมได้และ
4
เปล่ียนหน้ำท่ีคำได้ เช่น คำนำม (Nouns) คำคุณศัพท์ (Adjectives) คำกริยำ (verbs) และคำกริยำวิเศษณ์
(Adverbs) ส่วนชนิดที่สองเป็นคำที่ทำหน้ำที่ทำงไวยำกรณ์ (grammatical function) เท่ำนั้น ไม่สำมำรถ
เปล่ียนหน้ำท่ีคำได้ มีควำมหมำยเดียว ไม่สำมำรถสร้ำงคำใหม่ได้ เช่น คำสรรพนำม (pronouns) คำบุพบท
(prepositions) คำสันธำน (conjunctions) และคำอุทำน (interjections) ดงั จะเหน็ ได้จำกแผนผังดงั ตอ่ ไปน้ี
ดงั นนั้ กำรวเิ ครำะห์หนว่ ยคำ (morphological analysis) จึงถอื ได้ว่ำเปน็ ส่ิงสำคัญอย่ำงหนึ่งในกำรศึกษำเร่ือง
หน่วยคำ (morpheme) โดยมีประเดน็ สำคัญ ๆ ในกำรวเิ ครำะหห์ น่วยคำ ดงั นี้
1. เรำต้องพจิ ำรณำและนบั ไดด้ ้วยว่ำมีก่ีหนว่ ยคำในหนึ่งคำ (หนง่ึ หน่วยคำหรือมำกกว่ำหนึง่ หนว่ ยคำ)
2. ถ้ำมีมำกกว่ำหน่ึงหน่วยคำ เรำต้องแยกได้ด้วยว่ำ หน่วยคำไหนเป็นชนิดหน่วยคำอิสระ หน่วยคำไหน
เป็นชนิดหน่วยคำแบบผกู พันหรือไมอ่ สิ ระ
3. เม่ือมีมำกกว่ำหนึ่งหน่วยคำ ตอ้ งสำมำรถบอกไดว้ ่ำหน่วยคำแบบอสิ ระ (free morpheme) ทเี่ รำแยก
ออกมำนัน้ เปน็ หนว่ ยคำแบบ lexical content หรือเป็นหนว่ ยคำแบบ grammatical function
4. ถ้ำมีหน่วยคำแบบผูกพันหรือไม่อิสระ (bound morpheme) ต้องแยกให้ได้ว่ำเป็นหน่วยคำผูกพัน
แบบหนว่ ยคำคง (inflectional morpheme) หรือแบบหน่วยคำผนั (derivational morpheme) และถ้ำเป็น
แบบหน่วยคำคง สำมำรถระบุได้อีกว่ำ แบบปกติ (regular: boys) หรือแบบไมป่ กติ (irregular: men)
ทั้งนี้อำจเพ่ิมประเด็นในกำรพิจำรณำ คือ คำท่ีวิเครำะห์น้ันเป็นรำกศัพท์คำเดียว (simple) คำสนธิ
(compound) หรือเป็นคำซับซ้อนท่ผี ำ่ นกระบวนกำรสร้ำงคำมำแลว้ (complex)
5. วธิ ีการสร้างคา (Word-formation processes)
5
ควำมเหมอื นกันอย่ำงหนึ่งระหว่ำงภำษำอังกฤษกับภำษำไทย คือ คำหลำยคำที่ใช้อยู่ไม่ไช่คำไทยแท้และ
ภำษำอังกฤษแท้ เป็นกำรสร้ำงคำขึ้นมำโดยผ่ำนกระบวนกำรสร้ำงคำ และในภำษำอังกฤษมีวิธีกำรหรือ
กระบวนกำรสร้ำงคำขน้ึ มำใหม่ มีควำมหมำยใหม่ และเปลยี่ นหน้ำทข่ี องคำได้ ดงั น้ี
1. กำรบัญญัติศัพท์ (Coinage) คือ กำรกำหนดคำศัพท์ข้ึนมำใหม่ในภำษำ เพ่ือใช้สื่อควำมหมำย
บำงอย่ำงโดยเฉพำะในศำสตร์แขนงใดแขนงหนึ่งหรือในกิจกำรอย่ำงใดอย่ำงหน่ึง ตำมเจตนำของผู้บัญญัติ
คำศัพทท์ ่เี กิดจำกวธิ กี ำรเช่นนี้เรียกวำ่ ศพั ท์บัญญัติ (coinage)
2. คำยืม (Foreign borrowings (loan words/loans) คือ คำที่ยืมมำกจำกภำษำอื่น โดยกำรนำคำ
หรอื กำรนำบำงส่วนของคำท่มี อี ยใู่ นภำษำหนึ่งไปใชใ้ นอกี ภำษำหนึ่ง กำรดดั แปลงคำท่ีมอี ยู่ในภำษำหนึ่งมำใช้ใน
อีกภำษำหนึ่ง หรือกำรนำเฉพำะควำมหมำยของคำในภำษำหน่ึงมำสร้ำงคำใหม่ในอีกภำษำหนึ่ง กำรยืมคำอำจ
เกดิ ได้จำกหลำยสำเหตุ เชน่ กำรยำ้ ยถิ่นฐำนดินแดนของผู้พูด กำรมีอำณำเขตติดต่อกัน กำรมีควำมสัมพันธ์กัน
ของผู้พูดสองภำษำขึ้นไปในด้ำนกำรเมือง เศรษฐกิจ ศำสนำ และสังคม รวมถึงควำมก้ำวหน้ำทำงวิชำกำรและ
เทคโนโลยี ทำใหต้ อ้ งหำคำใหมม่ ำรองรับวทิ ยำกำรที่กำ้ วหนำ้ ตัวอย่ำงคำยมื ในภำษำองั กฤษมดี งั น้ี
คำยืมจำกภำษำฝร่ังเศส เช่น restaurant, entrepreneur, buffet, chauffeur, hor d’oveuvres คำยืมมำ
จำกภำษำญป่ี นุ่ เชน่ karaoke, sushi, tsunami, anime
คำยืมมำจำกภำษำอนิ ำลี เช่น spaghetti, duet, cello, opera, solo barista, latte, pizza
คำยมื มำจำกแอฟริกำ เช่น banana, zombie,
คำยมื มำจำกภำษำจีน เช่น dim sum, kung fu, typhoon, tofu, yin and yang
3. กำรเติมอุปสรรคหรือปัจจัย (Affixation) คือ วิธีกำรสร้ำงคำโดยกำรเติม affix หน้ำคำและท้ำยคำ
คำเติม (Affix) น้ันมี 2 แบบ คือ 1. กำรเติมหน้ำคำ หรืออุปสรรค (Prefix) และ 2. กำรเติมหลังคำ หรือปัจจัย
(Suffix) เข้ำไปที่ตัวรำกศัพท์เดิม (Root) เช่น un-count-able = uncountable แปลว่ำ ซึ่งไม่สำมำรถนับ
ได้ มำจำก Un- = prefix / count = root / -able = suffix
6
4. กำรผสมคำหรือประสมคำ (Compounding) คือ กำรสร้ำงคำโดยกำรนำคำ 2 คำ มำผสม/รวมกัน
จนกลำยเป็น 1 คำ เชน่ blackboard, lunchbox, table tennis, football, check-up เปน็ ต้น สำมำรถสร้ำง
ไดจ้ ำก 4 วธิ ี คือ
1. กำรนำคำนำม 2 คำประสมกัน เช่น classroom, roommate, landlord, seashell,
boyfriend เป็นต้น
2. กำรประสมกนั ระหว่ำงคำนำมและคำอืน่ ผสมกนั เช่น living room, underground,
offshore, hanger on, passer by เปน็ ต้น
3. กำรประสมคำประเภทอื่นๆ ที่ไม่ใช่คำนำมมำรวมกนั เช่น undercut, takedown,
without, forthwith, highlight เปน็ ตน้
4. คำประสมประเภทคำซ้อน คอื เป็นกำรนำคำมำท่มี ีควำมหมำยเหมอื นกนั คลำ้ ยคลงึ กัน
หรอื เป็นไปในทำนองเดียวกนั หรอื ตรงกันขำ้ มกนั มำประสมกนั เช่น yes and no, pros and cons, ups and
downs เปน็ ต้น พวก Compounding สำมำรถเขยี นได้ 3 แบบ ข้ึนอยู่กับรปู แบบของคำนนั้ ๆ เปน็ หลัก คอื
1. เขยี นชดิ กัน เช่น girl + friend = girlfriend
2. เขียนหำ่ งกนั เช่น fax + machine = fax machine
3. เขียนแบบมีเคร่ืองหมำยขดี กลำงระหว่ำงคำ เชน่ air + conditioner = air-conditioner
5. คำอกั ษรยอ่ (Abbreviation) คอื กำรยอ่ ให้คำหรอื วลี (phrase) ส้ันลง เป็นรปู ย่อของคำหรอื วลี
โดยใชต้ วั อักษรย่อแทนคำซ่งึ เปน็ รปู เต็ม รวมทง้ั คำย่อซง่ึ เกิดจำกตัดบำงสว่ นของคำออกไป ตัวอย่ำง เชน่
advertisement = advert หรือ ad, corporation = corp., maximum = max, February = Feb เป็นตน้
6. คำยอ่ (Acronyms) หรอื ตวั ย่อทเี่ อำตัวอกั ษรแรกของหลำยๆคำมำทำใหเ้ ป็นคำใหม่ เชน่
ASEAN ย่อมำจำก Association of Southeast Asian Nations
UN ย่อมำจำก United Nations
DVD ยอ่ มำจำก Digital video disk
ATM ยอ่ มำจำก Automated Teller/Telling Machine
R&D ย่อมำจำก Research and development เป็นต้น
7. กำรเปลี่ยนหน้ำที่ของคำแต่ยังคงรูปเดิมของคำไว้ (Conversion/function shift) คือ กำรสร้ำงคำ
โดยกำรเพ่ิมหน้ำท่ขี องคำเขำ้ ไปท่ีคำใดคำหน่งึ เพื่อทำใหค้ ำน้ันมหี นำ้ ที่ในกำรใช้มำกขนึ้ กวำ่ เดมิ เช่น
My mother waters the garden. (คำวำ่ water เปลี่ยนหน้ำทีจ่ ำกคำนำม (N) ไปทำหน้ำท่ี
เปน็ คำกรยิ ำ (V))
You can email me the conference schedule. (คำว่ำ email เปล่ียนหน้ำทจ่ี ำกคำนำม
(N) เปน็ คำกริยำ (V))
Did you hear that laughing? (คำวำ่ laughing เปล่ียนหนำ้ ท่จี ำกคำกริยำ(V) เป็นคำนำม
(N))
See that laughing girl? (คำวำ่ laughing เปลยี่ นหนำ้ ท่ีจำกคำกรยิ ำ(V) เปน็ คำนำม (ADJ.)
8. กำรประสมบำงส่วนของคำ (Blending) คือ กำรสร้ำงคำโดยเอำคำ 2 คำ มำรวมกันเป็น 1 คำใหม่
เช่น
7
agitation + propaganda > agitprop = กำรยุยงและโฆษณำชวนเช่อื
bat + mash > bash = โจมตี, ชนแรง
biographical + picture > biopic = ภำพยนตรแ์ นวชวี ประวัติ
breakfast + lunch > brunch = อำหำรที่เป็นท้ังมอื้ เช้ำและกลำงวนั รวมกัน
breath + analyzer > Breathalyzer = เครอ่ื งวดั ปรมิ ำณแอลกอฮอล์จำกลมหำยใจ
chill + relax > chillax = ผอ่ นคลำย, สบำยๆ
clap + crash > clash = ปะทะ, ชนกัน
documentary + drama > docudrama = ละครก่ึงสำรคดี
education + entertainment > edutainment = ศึกษำบนั เทิง, กำรจัดกำรเรียนรู้ผ่ำนสอ่ื ที
ให้ผเู้ รยี นไดร้ ับควำมสนุกสนำน เพลิดเพลิน
electricity + execute > electrocute = ประหำรชวี ิตดว้ ยกำรใหน้ ั่งเกำ้ อไ้ี ฟฟ้ำ
emotion + icon > emoticon = สัญลกั ษณใ์ ชแ้ ทนอำรมณ์
fan + magazine > fanzine = ส่งิ ตีพมิ พจ์ ำกมือสมัครเล่นและไมเ่ ปน็ ทำงกำรทผี่ ลติ โดยแฟน ๆ
fantastic + fabulous > fantabulous = ดีเลิศ, ยอดเยยี่ ม, ดเี ยย่ี ม
friend + enemy > frenemy = คนทแี่ ละศตั รูเป็นทัง้ มติ ร
gigantic + enormous > ginormous = ใหญ่มหึมำ, ใหญ่เบ้อเรมิ่ เทมิ่
global + English > Globish = ภำษำองั กฤษแนวใหม่ทคี่ นทง้ั โลกพดู ได้
hazardous + material > hazmat = วัตถอุ ันตรำย
helicopter + airport > heliport = ลำนจอดเฮลคิ อปเตอร์
hungry + angry > hangry = โมโหหิว (เปน็ คำสแลงทีว่ ยั รนุ่ นยิ มใช้กนั )
information + entertainment > infotainment = ระบบข้อมูลและควำมบันเทงิ ในรถยนต์
Internet + citizen > netizen = ชำวเนต็
Internet + etiquette > netiquette = มำรยำทในกำรอยู่รว่ มกนั ในสงั คมอินเตอร์เน็ตหรือ
ออนไลน์
motor + hotel > motel = ห้องพักแรมริมทำง
motor + pedal > moped = รถจักรยำยนขนำดเล็ก
pulse + quasar > pulsar = ช่ือแหลง่ พลงั งำนวิทยุในกำแล็กซขี่ องจกั รวำล
romantic + comedy > romcom = ภำพยนตร์หรือนยิ ำยแนวรกั ปนตลก
science + fiction > sci-fi = นวนยิ ำยวิทยำศำสตร์
situation + comedy > sitcom = ซทิ คอม ละครที่เนน้ ควำมตลก
smoke + fog > smog = หมอกควัน
spoon + fork > spork = ซอ้ ม (เปน็ ชอ้ นก่ึงส้อมหรอื ช้อนปลำยส้อมมำจำก ช้อน+สอ้ ม)
sports + broadcast > sportscast = กำรรำยงำนขำ่ วกีฬำทำงวิทยุ
stay + vacation > staycation = กำรหยุดพักผ่อนอยู่กับบำ้ น/กำรหยดุ พักผ่อนโดยกำรเที่ยวใน
ประเทศ
8
telephone + marathon > telethon = โทรทศั น์มำรำธอน คือรำยกำรโทรทัศน์เพื่อกำรกุศล
ทอี่ อกอำกำศต่อเนอ่ื งหลำยชั่วโมงเพอ่ื ระดมเงินบริจำค โดยมบี คุ คลท่ีมีช่ือเสียงจำกหลำกหลำยวงกำรมำรบั
โทรศัพท์หรือเปน็ นักร้องกิตติมศักด์ิ
9. กำรบัญญัตคิ ำใหมจ่ ำกทม่ี ำของคำ (Eponym) คือ คำศัพทใ์ หม่ที่บญั ญตั ขิ ้นึ เพื่อใชอ้ ำ้ งอิง โดยที่
คำศัพท์ใหม่หรือชือ่ ใหมน่ ้นั มีทม่ี ำจำกช่ือคน ชอื่ สง่ิ ของ ชอื่ สถำนที่ หรือชื่อสงิ่ ที่เกีย่ วข้องอนื่ ๆ โดยต้ังเพ่ือเปน็
เกยี รติประวตั ิในกำรค้นพบหรือระลึกถึง เช่น
Casanova (มำจำกบุคคลในประวตั ิศำสตร์นำมวำ่ จำโคโม จิโรลำโม คำสโนวำ (Giacomo
Girolamo Casnova) ชำวเมอื งเวนซิ ประเทศอิตำลี)
Diesel (ตั้งขึน้ เพ่ือเป็นเกยี รติแก่นักประดิษฐช์ ำวเยอรมนั ช่ือ Rudolf Diesel)
Fahrenheit (ต้ังตำมช่ือของนักฟสิ กิ ส์ นำมว่ำ Gabriel Daniel Fahrenheit)
Caesar Salad (ตั้งตำมชื่อของคนท่ที ำ ชอ่ื ว่ำ Restaurateur Caesar Cardini)
10. กำรก่อตัวย้อนกลับ (Back-formation) คอื กำรสร้ำงคำใหม่ด้วยวธิ กี ำรย้ำย affix ทำใหค้ ำที่สร้ำง
ขนึ้ ใหม่เปลย่ี นหนำ้ ทีห่ รือชนิดของคำและมคี วำมหมำยเปลีย่ นไป เชน่
A babysitter >> to babysit (N>>V)
An editor >> to edit (N>>V)
An advisory >> advisor (ADJ.>>N)
An abduction >> to abduct (N>>V)
An avidity >> avid (N>>ADJ.)
9
แบบฝกึ หดั ท้ายบทที่ 1
แบบฝึกหดั ท่ี 1 เร่อื ง Morpheme
Instructions: Count and analyze the morphemes of the following words.
Ex: Manly = 2 morphemes (FM+BM)
1. Dinnertime_________________________________________________________
2. Fearless____________________________________________________________
3. Momentary_________________________________________________________
4. Dog’s______________________________________________________________
5. Flipped____________________________________________________________
6. Usable_____________________________________________________________
7. Preview____________________________________________________________
8. Edible______________________________________________________________
9. Workers____________________________________________________________
10. Discomfortable______________________________________________________
11. Liar_____________________________________________________________
12. Bittersweet ________________________________________________________
13. Overdo ___________________________________________________________
14. Without____________________________________________________________
15. Unproductive _______________________________________________________
16. Include_____________________________________________________________
10
17. Unpredictable_______________________________________________________
18. Morphology ________________________________________________________
19. Politics_____________________________________________________________
20. Lexical_____________________________________________________________
21. Goods_____________________________________________________________
22. Series_____________________________________________________________
23. News______________________________________________________________
24. Managerial__________________________________________________________
25. Descriptivism________________________________________________________
11
แบบฝกึ หัดท่ี 2 เร่ือง Bound Morphemes
Instructions: Identify the underlined word is inflectional or derivational. Write I for
Inflectional, and write D for derivational.
Ex: ___D__Manly
1. ………. Equalize 17. ………. (the) smallest
2. ………. Equalization 18. ………. Cooler
3. ………. Developmental 19. ………. Disprove
4. ………. Developments 20. ………. Incorrect
5. ………. Invalid 21. ………. Incorrectly
6. ………. Invalidity 22. ………. Tom’s
7. ………. Achievement 23. ………. stopped
8. ………. Overgeneralized 24. ………. Doer
9. ………. Reachable 25. ………. Alertness
10. ………. Refinance 26. ………. Unfair
11. ………. Journalist 27. ………. Harmful
12. ………. Courageous 28. ………. Wireless
13. ………. Hospitalize 29. ………. Cried
14. ………. Hospitalization 30. ………. Cheerful
15. ………. Rediscover
16. ………. Discovery
12
บรรณานุกรม
กมลำ นำคะสริ ิ (มมป.). คาอักษรยอ่ และคาย่อ. สืบคน้ 23 เมษำยน 2563, จำก
fhumrpc,+Journal+manager,+01คำอักษรย่อและคำย่อ (1).pdf
ณตพล ศุภณฐั เศรษฐกลุ (2556). เกร็ดควำมรเู้ ก่ยี วกับคำศพั ทแ์ พทย์ท่มี ำจำกช่ือของบุคคล (Medical
Eponym). สบื ค้น 20 เมษำยน 2563, จำก
http://www.med.nu.ac.th/patho/humanities/eponym.pdf
ทวีศักด์ิ จันทร์ประดษิ ฐ์ (2565). 8 วธิ ีการสรา้ งคาในภาษาอังกฤษพน้ื ฐาน (Basic English Word
Formation). สืบคน้ 1 มิถุนำยน 2565, จำก
https://www.gotoknow.org/posts/702840
ศิตำ เยยี่ มขนั ติถำวร (2554). ภาษาศาสตร์เบอ้ื งตน้ . นนทบรุ ี : สำนกั พิมพ์
มหำวิทยำลัยสุโขทยั ธรรมำธริ ำช
สมศีล ฌำนวังศะ (มมป.). เรื่องน่ารูเ้ ก่ยี วกับการบัญญตั ิศัพท์. สบื คน้ 23 เมษำยน 2563, จำก
https://www.culi.chula.ac.th/Publicationsonline/files/article2/aCY2ZcbFaaTue1
15340.pdf
Apisak Pupipat (2003) Introduction to English Linguistics: The Real Basics. Ubon
Ratchathani: Ubon Ratchathani University Press.
Celce-Murcia, M., & Larsen-Freeman, D. (1999). The Grammar Book: An ESL/EFL
Teacher's Course (2nd ed.). Boston, MA Heinle and Heinle.
Nakalasin, Rabieb, Utawanit, Kanitta, & Lemchuen, Yura (2000) Practical English
Structure. Bangkok: Thammasat University Press
Plook Creator (2564). Vocabulary: อยา่ ช้า! Blended words คาผสมสุดปังต้องเซฟไว้ใน
คลังคาศัพท์ภาษาองั กฤษ. สบื คน้ 15 กมุ ภำพนั ธ์ 2564, จำก
https://www.trueplookpanya.com/blog/content/87599/-laneng-lan-
13
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 2
1. บทท่ี 2 ส่วนของคาพูด (Parts of Speech)
2. หวั ข้อเน้ือหาประจาบท
1. บทนำ
2. Nouns (คำนำม)
3. Verbs (คำกรยิ ำ)
4. Adjectives (คำคณุ ศพั ท์)
5. Adverbs (คำกรยิ ำวิเศษณ์)
6. Pronouns (คำสรรพนำม)
7. Determiners (คำนำหน้ำคำนำม)
8. Prepositions (คำบุพบท)
9. Conjunctions (คำสนั ธำน)
10. แบบฝึกหัดท้ำยบทท่ี 2
11. บรรณำนุกรม
3. วัตถุประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
1. เพื่อใหน้ ักศกึ ษำสำมำรถระบุชนดิ หรอื ประเภทของ parts of speech ในประโยคตำ่ ง ๆ ได้
2. เพอื่ ใหน้ ักศึกษำสำมำรถสร้ำงประโยคตำม concepts ของ parts of speech ได้
4. เวลาเรียน
สปั ดำห์ท่ี 4-6
5. กิจกรรมการเรียนการสอน
1. อำ่ นแผนบริหำรกำรสอนประจำบท
2. บรรยำย
3. แบง่ กลุม่ ยอ่ ยรว่ มกนั ศึกษำในประเดน็ ที่มอบหมำย
4. ทำแบบฝึกหดั ทำ้ ยบท
6. สอื่ การเรยี นการสอน
1. พำวเวอร์พอยท์ (PowerPoint)
2. แล็ปทอ็ ปคอมพิวเตอร์และโปรเจกเตอร์ (Laptop computer and Projector)
3. แบบฝกึ หดั ท้ำยบท
7. การวัดและประเมนิ ผล
ตรวจแบบฝึกหดั ท้ำยบท
14
บทที่ 2
ส่วนของคาพดู
(Parts of Speech)
1. บทนา
ปกติเรำจัด Parts of speech เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ ส่วนคำพูดท่ีเป็นหลัก และ
ส่วนคำพูดที่เป็นรอง ส่วนคำพูดที่เป็นหลักหรือที่สำคัญๆ ได้แก่ nouns, verbs, adjectives, และ
adverbs เพรำะคำเหล่ำนี้ประกอบไปด้วยเนื้อหำและมีควำมหมำยได้ในประโยค เป็นเหมือนคำเปิด
กว้ำงสำมำรถสร้ำงคำขึ้นมำใหม่ได้ แต่สำหรับส่วนคำพูดท่ีเป็นรอง จะมีบทบำททำงโครงสร้ำงและมี
ควำมหมำยในทำงไวยำกรณ์ เป็นเหมอื นคำชนิดปิด ไม่สำมำรถสร้ำงข้ึนมำเพ่มิ เติมได้ ไดแ้ ก่ auxiliary
verbs, prepositions, pronouns, determiners และ conjunctions บำงครั้งก็เรียกคำเหล่ำน้ีว่ำ
คำที่ใช้เพื่อแสดงควำมเก่ียวพันทำงโครงสร้ำง (structure words) หรือทำงไวยำกรณ์ (function
words) จะขอยกตัวอย่ำง 2 ประโยคเพ่ือเปรียบเทียบระหว่ำงคำประเภทหลักและคำประเภทรอง
ดงั นี้
ประโยคท่ีประกอบด้วยคำเปดิ
_____ man ______ fixing_____ old car _______ garage.
ประโยคที่ประกอบด้วยคำปดิ
The________ in my______ near the_______ from_______.
จะเห็นได้ชัดเจนว่ำประโยคแรกท่ีประกอบด้วยคำเปิด สำมำรถให้ควำมหมำยได้ แต่ประโยคที่สองท่ี
ประกอบด้วยคำปิด น้ันไม่สำมำรถเข้ำใจได้ว่ำใคร อะไร ที่ไหน อย่ำงไร แต่อย่ำงไรก็ตำม บำงครั้งคำ
ท้ังสองประเภทน้ีก็ทำหน้ำท่ีมำกกว่ำหนึ่งหน้ำที่ได้ เช่น คำว่ำ few อำจจะทำหน้ำที่เป็นคำนำหน้ำ
คำนำม (determiner) ในประโยค He has few friends. และทำหน้ำที่เป็นสรรพนำม (pronoun)
ในประโยค There were few.
2. Nouns (คานาม)
Nouns (คำนำม) คือ คำท่ีใช้เรียกชื่อของคน สัตว์ สถำนที่ ส่ิงของ นักภำษำศำสตร์บำงคนยัง
หมำยถงึ ควำมคดิ และคณุ ลกั ษณะต่ำง ๆ ท่ีเป็นนำมธรรม เช่น ควำมรกั (love) ศำสนำ (religion) ชีวติ
(life)
คำนำมน้ันจะมีคำลงท้ำยหรือหน่วยคำผัน (Derivational morpheme) ที่จะแสดงให้รู้เลยว่ำ
คำน้ันเป็นคำนำม เช่น -ness ในคำว่ำ happiness (ควำมสุข) เป็นต้น และหลักกำรสังเกตอีกอย่ำง
หนึ่งว่ำคำไหนเป็นคำนำมหรือไม่ ก็จะดูจำกกำรเติม -s ที่เป็นพหูพจน์, -,s คำแสดงควำมเป็นเจ้ำของ
และ Determiners คำนำหนำ้ คำนำม เช่น Articles เปน็ ต้น
Nouns (คำนำม) ทำหน้ำที่ ดงั ตอ่ ไปน้ี
15
Subjects of verbs: The president opens the 25th International Economic Forum.
Direct objects of verbs: He cuts trees.
Subject noun predicates: They are professors.
Object noun predicates: We elected John chairman.
Indirect objects of verbs: The teacher tell students final exam scores.
Appositives: Mr. Prayuth, the Prime Minister of Thailand, goes visiting people
affected by disasters.
Objects of prepositions: The doctor works at hospital.
Vocatives: I knew, my friend, let it be.
Nouns (คำนำม) นยิ มจดั หรอื แบง่ ชนดิ ได้ 3 ชนิด ได้แก่
1. Common nouns (นำมท่ัวไปไม่เฉพำะเจำะจง) คำนำมที่ปรำกฏบ่อย ๆ ใช้กันอย่ำงทั่วไป
เป็นคำนำมท่ีเก่ียวกับบุคคล สิ่งของ หรือคุณลักษณะและควำมคิด และ common nouns แบ่งย่อย
ได้ 2 ชนิด ได้แก่
1. count nouns (นำมนับได้) เป็นคำนำมท่ีสำมำรถทำเปน็ พหูพจนไ์ ด้ดว้ ยกำรเตมิ -s
2. mass หรือ noncount nouns (นำมนับไม่ได้) เป็นคำนำมท่ีไม่สำมำรถทำเป็นพหูพจน์
ได้
2. Proper nouns (นำมเฉพำะเจำะจง) เป็นคำนำมสำหรบั ใชก้ ับคนใดคนหน่ึง (Tom) สถำนท่ี
ใดสถำนที่หนึ่ง (Bangkok) เป็นกำรเฉพำะ เป็นได้ทั้งเอกพจน์ และพหูพจน์ (Tom Lee vs. the
Lees.)
3. Collective nouns (นำมที่เปน็ กล่มุ ก้อนหรือที่เรียกว่ำสมหุ นำม) นำมชนดิ น้ีจะแตกตำ่ งจำก
นำมท้ังสองที่กล่ำวมำเพรำะว่ำสำมำรถเป็นได้ท้ังเอกพจน์และพหูพจน์ขึ้นอยู่กับเจตนำของผู้พูดหรือ
ผู้เขียน กล่ำวคือถ้ำหมำยถึงภำพรวม หน่วยรวมนับเป็นหน่ึงกลุ่มหรือหนึ่งหน่วยถือว่ำเป็นเอกพจน์
(The committee is together.) แต่ถ้ำหมำยถึงแต่ละคน แต่ละส่ิงในกลุ่มนั้นหรือหน่วยนั้น ถือว่ำ
เปน็ พหูพจน์ (The committee are all coming for the meeting.)
3. Verbs (คากริยา)
Verbs (คำกริยำ) หมำยถึง คำท่ีบ่งบอกถึงกำรกระทำหรือสภำวะ ควำมมี ควำมเป็น สำหรับ
Verbs มีโครงสร้ำงของคำมำกกว่ำ Nouns หน่วยคำที่สำมำรถบ่งบอกได้ว่ำคำนั้นเป็นคำกริยำ มี 4
หนว่ ยคำคง ไดแ้ ก่
1. -s ท่ีใช้สำหรับประธำนเอกพจน์บุรุษท่ี 3 (the third person singular subjects) ใน
present simple tense ตวั อย่ำงเช่น Tommy walks around the village.
2. -ed ของ past tense ตัวอยำ่ งเช่น He walked around the village.
16
3. -en ของ past participle ตัวอย่ำงเช่น I’ve been driving for 15 years and I’ve
never had an accident.
4. -ing ของ progressive หรือ continuous ตัวอย่ำงเช่น You are speaking English in
your classroom.
ในส่วนตำแหน่งของ verbs (คำกริยำ) มักจะตำมหลังคำนำม และในทำงกลับกัน verbs (คำกริยำ)
มกั จะมคี ำ adjectives, adverbs หรอื nouns ตำมทำ้ ยด้วยเหมือนกัน เชน่
}_______________careful.
The teachers }______________quickly.
}______________ the students.
คำกริยำเพียงคำเดียวใช้กับคำนำมก็สำมำรถสร้ำงประโยคที่สมบูรณ์และมีควำมหมำยได้ เช่น My
father sleeps.
โดยท่ัวไปแล้วเรำมักจะแบ่ง verbs (คำกริยำ) ออกเป็น 6 ชนิด ตำมตำแหน่งที่มักจะปรำกฏใน
ประโยคดงั น้ี
1. Intransitive verbs คอื คำกริยำทไ่ี มต่ ้องกำรกรรม เชน่ He smokes.
2. Transitive verbs คอื คำกริยำทีต่ ้องกำรกรรม เชน่ Smith buys a new car.
3. Ditransitive verbs คือคำกริยำท่ีต้องกำรกรรม 2 ตัว (กรรมตรงและกรรมรอง) เช่น My
mom tells me the truth.
4. Linking verbs คอื คำกริยำท่ีมคี วำมสมั พันธ์กับประธำนของประโยค เช่น She is a nurse.
5. Complex transitive verbs คำกรยิ ำทตี่ อ้ งกำรกรรม 2 ตวั ซง่ึ กรรมตัวท่ี 2 เป็นคำมำขยำย
หรือมีควำมสัมพันธ์กับคำที่กรรมตัวแรกของประโยค ซ่ึงต่ำงจำกกรรมของ ditransitive verbs เช่น
We elected Prayuth the prime minister.
6. Prepositional verbs คำกริยำที่ใช้คู่กับคำบุพบท (prepositions) ถึงจะมีควำมหมำยท่ี
สมบูรณ์ เช่น I threw up last night.
เมื่อพูดถึง Verbs (คำกริยำ) มีอีก 2 อย่ำงคือ Tense และ Aspect ท่ีควรนำมำพิจำรณำเม่ือ
ศึกษำเร่ือง verbs คำกริยำมีกำลเวลำ (Tenses) คือ ปัจจุบัน (present) อดีต (past) และอนำคต
(future) และแต่ละ Tenses ก็มีช่วงของเวลำน้ันๆ (Aspects) ท่ีจะบอกเรำว่ำกริยำนั้นๆ เกิดข้ึนตอน
ไหน เสร็จส้ินสมบูรณ์หรือยัง (perfect aspect) หรือว่ำกำลังดำเนินอยู่ (progressive aspect)
ตัวอยำ่ งเชน่
I have written an email to my uncle. (completed)
Now my brother is working at the private vehicle inspection office. (in progress)
17
อีกประเด็นเก่ียวกับ Verbs คอื พจน์ (Number) และควำมสอดคล้องของกรยิ ำกับประธำน (subject-
verb agreement) ของคำกริยำซึ่งที่สังเกตได้มีแค่ 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก verbs ท่ีใช้กับ the
third person singular present simple ต้องเตมิ -s เช่น
John swims across the river.
และประเด็นท่ี 2 verb to be เปลยี่ นรูปไปตำมประธำนและกำล เชน่
I am confident to speak with you.
Jack is going to Bangkok.
They are cooking in my kitchen.
Sam was absent.
We were frightened by super typhoon.
3. Adjectives (คาคุณศพั ท์)
Adjectives (คำคุณศัพท์) คือ คำท่ีอธิบำยบรรยำยหรือแสดงคุณลักษณะของสิ่งต่ำง ๆ ปกติ
แลว้ จะวำงอยรู่ ะหว่ำงคำนำหน้ำคำนำมและคำนำม หรอื อำจจะวำงอยูห่ ลงั Verb to be หรือ Linking
verbs ถึงแม้วำ่ บำงคร้ังก็จะวำงไวห้ ลังคำนำมก็ตำม Adjectives หลำยคำในภำษำอังกฤษไม่มีฟอร์มท่ี
หลำกหลำย แต่ก็มีหน่วยคำไม่อิสระแบบหน่วยคำผัน (derivational morpheme) ท่ีแสดงให้เรำ
ทรำบว่ำเป็น Adjectives เชน่ -able (likeable), -ish (childish), -ful (careful), -y (crazy) (Celce-
Murcia & Larsen-Freeman 1999)
คำ adjectives ในภำษำองั กฤษจะไม่มีพจน์ (Number) หรอื เพศ (Gender) เหมือนคำนำม แต่
อย่ำงไรก็ตำม adjectives ก็มีหน่วยคำที่ไม่อิสระแบบหน่วยคำคง (inflectional morpheme)
สำหรบั รูปแบบในข้นั กวำ่ (comparative) และขน้ั ที่สดุ (superlative) ของ adjectives
หน้ำทข่ี องคำ adjectives คือ แปลง ขยำยคำนำม หรือ เติมเตม็ ทำให้คำนำมมีควำมหมำยทสี่ มบรู ณ์
Adjectives แบ่งได้ 2 ชนดิ คอื
1. Attributive คือ adjectives ทว่ี ำงไว้หนำ้ คำนำม เชน่
The big dog chased a thief.
2. Predicative คือ adjectives ท่ีตำมท้ำย Linking verbs เชน่
Your project sounds good.
4. Adverbs (คากรยิ าวเิ ศษณ์)
Adverbs (คำกรยิ ำวเิ ศษณ์) คอื คำทขี่ ยำยอธบิ ำยคำกรยิ ำ (verbs) ทำใหป้ ระโยคมคี วำมหมำย
เป็นชนิดหรือประเภทท่ีหลำกหลำย ปกติแล้ว adverbs จะให้ควำมหมำยของ ทิศทำง (direction)
ตำแหน่ง (location) ท่ำทำง (manner) เวลำ (time) และควำมถี่หรือควำมบ่อยคร้ัง (frequency)
เชน่
18
We're going to Paris. We fly there tomorrow. (direction)
I would love to see Paris. I've never been there. (location/place)
My mom cooks quickly. (manner)
Yesterday, we went to the weekend market near my village. (time)
Ben and Emma often go for lunch together. (frequency)
เม่อื พจิ ำรณำตัวอยำ่ งขำ้ งบนแลว้ จะเหน็ ไดว้ ่ำตำแหน่งของ adverbs ในประโยคมคี วำมหลำกหลำย
ยดื หยนุ่ มำก สำมำรถวำงไวห้ น้ำประโยคก็ได้ ตรงกลำง และท้ำยประโยคก็ได้ มีรูปคำทีห่ ลำกหลำยอีก
ด้วย แตก่ ม็ ีคำกริยำวิเศษณ์ที่ให้ควำมหมำยทำ่ ทำง (manner adverbs) ที่สำมำรถสังเกตได้วำ่ คำนนั้
เป็นคำ adverb เพรำะ manner adverbs ส่วนใหญจ่ ะลงท้ำยด้วย -ly
หนำ้ ทีข่ อง adverb นอกจำกจะขยำยอธิบำยคำกรยิ ำแล้ว ยงั สำมำรถทำหน้ำท่ีขยำยอธิบำยคำตำ่ ง ๆ
ดังตอ่ ไปนี้
1. ขยำยอธบิ ำยระดบั หรือควำมเข้มขน้ ของคำ adjectives เช่น
He was very happy to be your guest at the party last night.
After decreasing of COVID-19 panic, students are too early to university.
2. ขยำยอธบิ ำยระดับหรือควำมเขม้ ขน้ ของคำ adverb ดว้ ยกนั กไ็ ด้ เช่น
He runs very fast.
Tim played the guitar extremely well.
3. ขยำยอธบิ ำยให้ควำมหมำยไดท้ ง้ั ประโยค เชน่
Unfortunately, we missed the bus for school.
Obviously, you won’t be needing my help.
และหลำยครง้ั ที่เรำจะเหน็ กลุ่มคำหรืออนุประโยคถกู นำมำใช้ในตำแหน่งของคำ adverbs และทำ
หน้ำทเ่ี หมือนคำ adverb กลุ่มคำหรอื อนปุ ระโยคเหลำ่ นีเ้ รียกวำ่ adverbial ตัวอยำ่ งเช่น
Sally ran out of the bar and jumped right onto her bike. (direction)
The emperor stayed at the palace. (location/place)
The politician seemed as if he had never spoken publicly before. (manner)
They hiked before they ate dinner. (time)
From time to time I visit my mother. (frequency)
5. Pronouns (คาสรรพนาม)
Pronoun (คำสรรพนำม) คือคำท่ใี ชแ้ ทนคำนำม เพื่อหลีกเล่ียงกำรกล่ำวถึงซ้ำ หรือแทนสง่ิ ท่รี ู้
กนั อยู่แลว้ ระหวำ่ งผู้พูด ผู้ฟงั หรือแทนส่งิ ของทีย่ งั ไมร่ ู้ หรือไม่แน่ใจวำ่ เป็นอะไร
ประเภทของคาสรรพนาม
Personal Pronoun (บรุ ุษสรรพนาม)
19
Personal Pronoun (บรุ ุษสรรพนำม) คือสรรพนำมที่ใชแ้ ทนบุคคลหรือสง่ิ ของในกำรพดู สนทนำ มี 3
บรุ ษุ คือ
บรุ ุษที่ 1 คือ ตวั ผ้พู ดู
บุรุษที่ 2 คือ ตวั ผูฟ้ งั
บรุ ุษที่ 3 คือ ผทู้ ีพ่ ูดถึงหรือสิง่ ทีพ่ ดู ถึง
Personal Pronouns
Subject Pronouns Object Pronouns
(รูปประธาน) (รูปกรรม)
สรรพนามบรุ ษุ ที่ 1 I me
We us
สรรพนามบรุ ษุ ท่ี 2 You you
He him
สรรพนามบุรษุ ที่ 3 She her
It it
They them
หนา้ ทแ่ี ละการใช้งาน Personal Pronoun
Subject Pronoun (สรรพนามรปู ประธาน) ทาหนา้ ทเี่ ป็นประธาน ได้แก่ I, you, we, he, she,
it, they
ex. I am Thai. (ฉนั เปน็ คนไทย)
ex. She is my friend from England. (เธอเปน็ เพ่ือนของฉนั มำจำกองั กฤษ)
ex. It is a very interesting movie. (มันเป็นหนงั ทน่ี ่ำสนใจมำก ๆ)
Object Pronoun (สรรพนามรูปกรรม) ทาหน้าทเ่ี ป็นกรรม ได้แก่ me, you, us, them, him,
her, it โดยจะตำมหลังคำกริยำหรอื คำบุพบท
ex. She is going to meet me next week. (เธอจะมำพบฉนั สัปดำห์หน้ำ)
*me เป็น Object Pronoun ตำมหลงั กริยำ meet
ex. Mr.Wilson talked with him about the project. (คณุ วิลสนั พดู กบั เขำเก่ยี วกบั
โครงกำร)
* him เปน็ Object Pronoun ตำมหลังบุพบท with
หมำยเหตุ : ถำ้ กรยิ ำเปน็ verb to be สรรพนำมที่ตำมหลงั จะใช้เปน็ ประธำนหรือเปน็ กรรม ให้
พจิ ำรณำวำ่ สรรพนำมในประโยคน้นั อย่ใู นรปู ผูก้ ระทำ หรือ ผู้ถูกกระทำ เชน่
It was she who came here yesterday. (เธอคนน้ึ ท่มี ำเมอ่ื วำนน้ี)
*ใช้ she ทีเ่ ป็นรปู ประธำนเพรำะเป็นผู้กระทำ
20
It was her whom you met at the party last night. (เธอคนนี้ทีค่ ุณพบที่งำนเลยี้ งเม่ือคืน
นี)้
*ใช้ her ทีเ่ ปน็ รปู กรรมเพรำะเปน็ กรรมของ you met
Possessive Form
Possessive Form สรรพนำมท่แี สดงควำมเป็นเจำ้ ของ แบง่ เปน็ 2 รปู แบบ คือ
Possessive Forms
Possessive Adjectives Possessive Pronouns
my mine
our ours
your yours
his his
her hers
its its
their theirs
Possessive Adjective สรรพนามใช้แสดงความเปน็ เจ้าของทาหน้าทเ่ี ปน็ คาคุณศพั ท์ ได้แก่ my,
your, our, their, his, her, its จะตอ้ งตำมหลงั ด้วยคำนำมเสมอ
ex. My brother is an engineer. (น้องชำยเขำฉนั เป็นวิศวกร)
ex. His parents were gone. (พ่อแม่ของเขำได้จำกไปแล้ว)
The dog is eating its food. (สุนขั กำลังกินอำหำรของมนั )
Possessive Pronoun สรรพนามทใี่ ชแ้ ทนคานามเพอื่ แสดงความเป็นเจ้าของ ได้แก่ mine,
yours, his, hers, its, yours, ours, theirs รูปแบบนไี้ มต่ อ้ งมีคำนำมตำมหลงั สำมำรถใชเ้ ดยี่ ว ๆ ได้
เลย
ex. This iPad is mine. (ไอแพดเคร่ืองน้ีคือของฉนั )
ex. That house is ours. (บ้ำนหลังนัน้ เป็นของพวกเรำ)
Reflexive Pronouns (สรรพนามตนเอง)
Reflexive Pronouns (สรรพนำมตนเอง) คือ สรรพนำมทีอ่ ้ำงถึงตวั ของประธำนของประโยคเอง และ
ถกู นำมำใช้เป็นกรรมของประโยคเพอ่ื เนน้ ว่ำตัวประธำนนัน้ ทำกริยำบำงอยำ่ งตอ่ ตัวเอง (Direct
Object) หรอื ทำกริยำหรือกจิ กรรมบำงอยำ่ งน้ันใหต้ ัวเอง (Indirect Object) ได้แก่ myself,
yourself, himself, herself, yourselves, ourselves. themselves, itself จะใชร้ ูป -self หรือ -
selves ขึ้นอยกู่ บั วำ่ ประธำนเป็นรูปเอกพจน์ (Single Subject) หรือวำ่ พหูพจน์ (Plural Subject)
21
ex. I have some food on the table. You can help yourselves if you are hungry.
(ฉนั มีอำหำรวำงอยู่บนโต๊ะ ถำ้ พวกเธอหิวเธอจดั กำรตวั เองได้เลย)
ex. I cut myself with a kitchen knife. (ฉนั ทำมดี บำดตัวเอง)
ตัวอยำ่ งประโยคข้ำงต้นเปน็ กำรใช้ Reflexive Pronouns เพอ่ื เปน็ กรรมหลัก (Direct Object)
เพรำะว่ำกริยำของประโยคเป็นกำรบง่ บอกวำ่ ทำสง่ิ นนั้ กบั ประธำนเอง อย่ำงไรกต็ ำมสำมำรถใช้
Reflexive Pronouns เป็น กรรมรอง (Indirect Object) เพอ่ื บอกว่ำกรยิ ำหรือกจิ กรรมนัน้ ทำเพ่ือตวั
ประธำนของประโยคเอง และอำจใช้บุพบท for หรือ to เพื่อเน้นตัว Indirect Object
ex. My father bought himself a car. (พ่อฉันซื้อรถยนต์ให้ตวั เขำเอง)
car คอื Direct Object ส่วน himself เป็น Indirect Object
ex. I sent a postcard to myself when I was on vacation. (ฉันส่งไปรษณยี ์ให้ตัวเอง
ตอนที่ฉนั ไปพกั ร้อน)
postcard คือ Direct Object ส่วน myself เปน็ Indirect Object และ to เน้นวำ่ myself
คือ Indirect Object
Definite Pronoun (สรรพนามชีเ้ ฉพาะเจาะจง)
Definite Pronouns หรอื Demonstrative Pronouns คอื สรรพนำมที่บง่ ช้ีชดั เจนว่ำใช้แทนสง่ิ ใด
เช่น this, that, these, those, one, ones, such, the same, the former, the latter
ex. I will never forget this. (ฉันจะไมล่ ืมเร่ืองนเี้ ลย)
Grace and Jane are good girls. The former is more beautiful than the latter.
(เกรซและเจนเปน็ เด็กดีทัง้ คู่ แต่คนแรก (เกรซ) สวยกวำ่ คนหลัง (เจน))
Indefinite Pronoun (สรรพนามไมเ่ จาะจง)
Indefinite Pronoun (สรรพนำมไม่เจำะจง) คำสรรพนำมทไ่ี ม่ชเี้ ฉพำะเจำะจงวำ่ เป็นคนใด ส่งิ ใด หรอื
ทใี่ ด โดยสรรพนำมประเภทน้ีส่วนมำกนับเปน็ เอกพจน์ (singular) แต่ก็มีบำงคำเปน็ พหูพจน์ (plural)
ดว้ ย เชน่ one, all, some, any, somebody, something, someone, many, both
ex. Everybody is here for celebrating Christmas Day together. (ทกุ คนมำฉลองวันคริ
สมำตสด์ ว้ ยกนั )
ex. Your PC is already broken. You’d better buy a new one. (คอมพิวเตอร์ของคณุ
พรอ้ มจะพังเต็มที คุณซื้อเคร่อื งใหม่ดกี วำ่ นะ)
ex. Many have suffered from starvation. (หลำยคนตอ้ งทนทุกข์ทรมำนจำกควำมอด
อยำก)
22
Relative pronoun (สรรพนามเชอ่ื มความ)
Relative pronoun (สรรพนำมเช่ือมควำม) สรรพนำมทใี่ ช้แทนคำนำมในประโยคหนำ้ และควำม
ประโยคหลังให้มีควำมหมำยไปทำงเดียวกนั ไดแ้ ก่ Who, Whom, Whose, Which, That
ex. There is a boy who is running in the park. (มเี ดก็ ผู้ชำยทีก่ ำลังว่ิงอยใู่ นสวน)
ex. All the dogs that got adopted today will be loved. (สุนขั ทุกตวั ทีร่ บั เล้ียงในวนั น้ี
จะกลำยเป็นทรี่ ัก)
Interrogative Pronoun (สรรพนามคาถาม)
Interrogative Pronoun (สรรพนำมคำถำม) ใช้ในกำรตั้งคำถำม เชน่ Who, Which, What
ex. What is your name? (คณุ ช่อื อะไร)
ex. Which movie do you want to watch? (หนังเรือ่ งไหนที่คณุ อยำกดู)
Subject pronouns Pronoun Chart Reflexive pronouns
(สรรพนามรปู ประธาน) (สรรพนามสะท้อนหรือ
Object pronouns Possessive pronouns
I (สรรพนามรปู กรรม) (สรรพนามแสดงความ แสดงตนเอง)
You myself
We เป็นเจา้ ของ) yourself
They me mine ourselves
He you yours
She us ours themselves
It them theirs himself
him his herself
her hers itself
it its
6. Determiners (คานาหน้าคานาม)
สมัยก่อนนักไวยำกรณ์ไม่ได้ให้ควำมสำคัญกับคำ Determiners เท่ำที่ควร ส่วนใหญ่จะจัดคำ
เหล่ำนี้เข้ำอยู่ในหมวด adjective ในที่น้ีคำ Determiners จะถูกจัดอยู่ในหมวดคำพิเศษที่ใช้เพื่อเป็น
กำรจำกัดคำนำมที่ตำมหลัง คำท่ีจัดอยู่ในหมวดคำ Determiners ได้แก่ articles (the, a (n)),
demonstratives (this, that, these, those), แ ล ะ possessive determiners (my, yours, his,
her, its, our, their) มักวำงอยู่หนำ้ คำนำมโดยตรง เชน่
My brother put a keycard in those boxes.
แตถ่ ้ำมคี ำ adjective มำขยำยคำนำม ให้วำง determiners ไว้หนำ้ คำ adjective เชน่
Those little boys are washing father’s car.
23
7. Prepositions (คาบพุ บท)
Prepositions คำบุพบท คือ คำท่ีใช้ทำหน้ำท่ีเชื่อมคำ วลี เข้ำกับคำอื่นๆในประโยค เพื่อบ่ง
บอกถึงเวลำ สถำนที่ ตำแหน่ง ทิศทำง และอน่ื ๆ โดยแบ่งชนดิ และมหี ลกั กำรใช้ดังนี้
Preposition หรือคำบุพบท คือ คำท่ีใช้เชื่อมควำมสัมพันธ์ระหว่ำงคำ ๆ หน่ึง กับคำอ่ืนในประโยค
เช่น
The books on the desk are mine. (หนงั สอื บนโตะ๊ น้นั เป็นของฉนั )
เป็นกำรเช่ือมระหว่ำง books (คำนำม) และ desk (คำนำม) เพื่อบอกควำมสัมพันธ์ระหว่ำง
2 ส่ิงนีว้ ่ำ หนงั สอื อยูบ่ นโต๊ะ
She works as a receptionist at the mall. ( เ ธ อ ท ำ ง ำ น เ ป็ น พ นั ก ง ำ น ต้ อ น รั บ ท่ี
ห้ำงสรรพสินค้ำ)
เป็นกำรเช่ือมระหว่ำง works (คำกริยำ) และ the mall (คำนำม) เพื่อบอกควำมสัมพันธ์
ระหวำ่ ง 2 สงิ่ นวี้ ่ำ ทำงำนทีห่ ำ้ งสรรพสินคำ้
Preposition แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังตอ่ ไปน้ี
1. Preposition of Time (คำบุพบทบอกเวลำ) เช่น In, On, At, Since (ต้ังแต่), For (เป็น
เวลำ), Until (จนกระทงั่ ...), During (ระหวำ่ ง) เป็นต้น
In ใช้กับ เดอื น ฤดู ปี เชน่
My sister’s birthday is in December. (วนั เกดิ ของนอ้ งสำวฉันตรงกบั เดือนธันวำคม)
On ใช้กับ วนั และเทศกำล เชน่
He will be at here on next Monday. (เขำจะมำทนี่ ว่ี ันจนั ทร์หนำ้ )
At ใช้กบั เวลำทีเ่ ฉพำะเจำะจง เช่น
I will go to the market at 6 p.m. (ฉันจะไปตลำดตอน 6 โมงเยน็ )
Since หมำยถงึ ตง้ั แต่ เชน่
Jackie Wang fall in love with Naen since first met. (แจ็คก้ี หวัง ตกหลุมรักแนน
ตง้ั แต่แรกพบ)
For หมำยถึง เป็นเวลำ เชน่
Martha had to go to France for two years. (มำร์ต้ำต้องไปฝร่ังเศสเป็นเวลำ 2 ปี
(ในอดตี ))
24
2. Preposition of Place (คำบุพบทบอกสถำนที่) เช่น In, On, At, Above (เหนือ), Under
(ข้ำงใต้) และ Over (ข้ำม) เปน็ ตน้
In หมำยถึง ขำ้ งใน ใช้กับ เมือง ประเทศ และสง่ิ ของ/พน้ื ที่ทม่ี ีขอบเขต เชน่
Prick is dancing in the kitchen room. (นำงปรกิ กำลังเตน้ รำในห้องครวั )
On หมำยถงึ บน (อย่บู นบำงสงิ่ ) ใช้กบั ชื่อถนนและพื้นผวิ ของสิง่ ตำ่ ง ๆ เชน่
My sister puts Joy’s photo on the wall. (นอ้ งสำวของฉนั ติดรปู จอ้ ยบนผนงั บ้ำน)
At หมำยถงึ ที่ ใช้กับ สถำนท่ที เี่ จำะจง เชน่
I wait for you at the tent every day. (ฉันรอคุณทท่ี ำ่ น้ำทกุ วนั )
Above หมำยถึง เหนือ (ต่ำงจำก On (บน) ตรงที่ Above คือ อยู่ข้ำงบนแบบที่ยังมี
ช่องว่ำงระหวำ่ งสองสงิ่ นัน้ ) เช่น
She attaches the picture above the TV. (เธอตดิ รปู ไวเ้ หนือทวี )ี
Under หมำยถึง ข้ำงใต้ เชน่
Yam hides herself under the bed. (แยม้ ซ่อนตัวเองอยใู่ ต้เตียง)
Over หมำยถงึ ขำ้ ม เชน่
The kid jumps over my purse. (เด็กกระโดดขำ้ มกระเป๋ำของฉัน)
3. Preposition of Movement (คำบุพบทบอกกำรเคลื่อนไหว) เช่น To, Onto, Into และ
Toward เป็นต้น
To หมำยถงึ ถงึ , ไปถึง, ท่ี (จำกจุดหนึ่งไปอกี จดุ หน่ึง) เช่น
He runs to the train station. (เขำว่ิงไปสถำนีรถไฟ)
Onto หมำยถึง ขึ้นไปยัง (ไปข้ำงบนถึงจุดหน่ึง) เช่น
He climbs onto the tree. (เขำปีนข้นึ ไปบนตน้ ไม้)
Into หมำยถงึ เขำ้ ไปขำ้ งใน เชน่
Pin is walking into the rest room. (ผินกำลังเดินไปเข้ำห้องน้ำ
25
Toward หมำยถงึ ไปยงั (ไมเ่ จำะจงวำ่ จะไปที่นัน่ โดยตรง 100%) เชน่
I am walking toward the school. (ฉันกำลังเดินไปโรงเรียน (อำจไม่ได้ไปในโรงเรียน
แคเ่ ดนิ ไปทำงโรงเรยี น))
4. คำบุพบทแบบซับซ้อน (มีคำเป็นคู่) เช่น apart from (นอกเสียจำก), as well as
(เชน่ เดียวกันกบั ), instead of (แทนท่ีจะ...) และ in spite of (ทงั้ ๆ ที่...) เป็นต้น
Apart from หมำยถึง นอกเสยี จำก เชน่
All my cats are white apart from this little one, it is black. (แมวทุกตัวของฉัน
เป็นสีขำวหมด นอกเสยี จำกเจำ้ ตัวเลก็ ตัวนีท้ ่ีเป็นสีดำ)
As well as หมำยถงึ เช่นเดียวกนั กบั เช่น
She always reads book as well as watch TV in the same time. (เธออำ่ นหนังสือ
และดทู วี พี รอ้ มกันอยู่เสมอ)
Instead of หมำยถึง แทนท่จี ะ... เช่น
Would you like to eat instead of exercise? (คุณอยำกจะไปกินแทนออกกำลังกำย
ไหม)
In spite of หมำยถึง ทงั้ ๆ ที่... เชน่
She still loves him in spite of his bad habit. (เธอยงั รักเขำ ทง้ั ๆ ทีเ่ ขำนสิ ยั ไมด่ ี)
8. Conjunctions (คาสนั ธาน)
คำเชื่อมภำษำอังกฤษ (conjunction) มีผลประโยคคือเช่ือมต่อระหว่ำงคำศัพท์กับคำศัพท์หรอื
ระหว่ำงประโยคทำให้เข้ำใจได้ง่ำย ยกตัวอย่ำงประโยคที่ง่ำยๆ เช่น ฉันชอบแมว. ฉันชอบหมำ. ฉัน
ชอบลงิ . มนั เปน็ ประโยคเดยี วแต่คนอำ่ น คนฟังจะไมเ่ หน็ ควำมเกี่ยวกัน ดเู หมือนเป็นสำมประโยคสั้นๆ
มำกกว่ำใช่ไหมคะ?! แล้วถ้ำตอนน้ีเรำลองใส่คำเช่ือมเช่น คำว่ำ “และ” (and) ประโยคจะกลำยเป็น
ฉันชอบแมว และ หมำและ ลิง ควำมหมำยไม่เปลี่ยนไปแต่ประโยคดูดีขึ้น ไม่ต้องใช้คำซ้ำๆ กันด้วย
ง่ำยๆ แตม่ ปี ระโยคชด์ ีมำก ๆ เพรำะว่ำในประโยคน้นั มคี ำเชอ่ื ม
คำเชือ่ มภำษำอังกฤษ conjunction สำมำรถแบง่ ได้ 3 ประเภทดว้ ยกนั คือ
1. Coordinating conjunctions
2. Subordinating Conjunctions
3. Correlative Conjunctions
26
แหลง่ ทีม่ ำของภำพ: https://leverageedu.com/blog/list-of-conjunctions/
ในท่ีนีเ้ รำจะศึกษำแต่ละประเภทของคำเชือ่ มและกำรใชง้ ำนดังน้ี
1. หลักการใช้ Coordinating conjunctions
หลักกำรใช้ Coordinating conjunctions คือผู้เรียนแค่คำคำศัพท์ FAN BOYS ก็สำมำรถเอำ
มำใช้งำนได้แล้วเพรำะมันเป็นตังอักษรย่อจำกพวกคำเชื่อมอยู่ในประเภทหน่ึงท่ีได้เรียกว่ำ
Coordinating conjunctions คำว่ำ FAN BOYS ประกอบด้วยคำเชื่อม For, And, Nor, But, Or,
Yet, So. ในน้ันแต่ละคำเชื่อมก็จะมีควำมหมำยท่ีแตกต่ำงกัน ต้องขึ้นอยู่กับกรณีต่ำงๆ เรำจะใช้ให้
ประโยคไดส้ มบรู ณ์แบบและอย่ำงเหมำะสม
คาเชื่อม ความหมาย ตวั อยา่ ง
ภาษาองั กฤษ
For เพรำะวำ่ I told her to leave, for I was very tired.
And และ (ใช้ในกรณี Rachel plays the piano and sings. (joining two
เช่ือมประโยคไป words)
ในแนวเดยี วกัน) We went to visit the lakes and mountains of
Scotland. (joining two phrases)
You cook the lunch, and I’ll look after the
children. (joining two clauses)
Nor ไม่ท้งั สอง I have not been asked to resign, nor do I intend to
do so.
But แต่ Our company uses a simple but effective way of
filtering water. (connecting two phrases)
Anna’s a highly intelligent girl, but she’s rather
lazy. (connecting two clauses)
Or หรอื Which colour do you want – red, green, yellow, or
blue?
27
Yet แต่ He’s probably at lunch or in a meeting.
So ดงั นั้น When will you get the results? Either tomorrow or
the day after.
The weather was cold, yet bright and sunny.
(connecting two words)
Her advice seems strange, yet I believe she’s right.
(connecting two clauses)
I stayed up all night writing, so I was tired the next
day
2.หลกั การใช้ Subordinating Conjunctions
คำเช่ือม Subordinating Conjunctions เป็นคำเชื่อมที่มักจะเจอบ่อยมำกเมื่อเรียน
ภำษำอังกฤษเพรำะคำเช่ือมท่ีอยู่ในกลุ่มน้ีอยู่ในหลำกหลำยรูปแบบ หลำกหลำยคำเพ่ือเชื่อมประโยค
รองกับประโยคหลักเข้ำด้วยกัน จำกตำรำงดังน้ีเรำจะบ่งบอกหมู่คำเชื่อม Subordinating
Conjunctions พรอ้ มแปลควำมหมำยใหเ้ ห็นอย่ำงชัดเจน
Subordinating ความหมาย ตัวอยา่ ง
Conjunctions
After หลงั จำก After you’d left, I got a phone call from
Stuart.
Although แม้วำ่ Although he’s got a good job now, he still
complains.
As เพรำะวำ่ As it was getting late, we decided to go
home.
As far as เทำ่ ที่ No one has complained, as far as I know.
As if รำวกับวำ่ It looks as if it’s going to rain.
As long as ตรำบใดที่ My parents don’t care what job I do as long
as I’m happy.
As soon as ทันทีท่ี I’m ready to go out as soon as it stops
raining.
As though รำวกับวำ่ Jack smiled as though he was enjoying a
private joke.
Because เพรำะวำ่ We went by bus because it was cheaper.
Before ก่อน Think carefully before you choose.
Even if/ even though แมว้ ่ำ He went on fighting even though he was
wounded.
28
If ถำ้ If we miss the last bus, we’ll have to walk
In order that
Since home.
So that เพอื่ ว่ำ I study hard in ordet that I can pass the
Than
Though exam.
Unless
Until ตั้งแต่, เพรำะว่ำ, I've been very busy since I came back from
เน่อื งจำกว่ำ holiday.
Sean had no reason to take a taxi since his
flat was near enough to walk to.
เพือ่ วำ่ He was standing in the shadow so that I
could not see his face clearly.
กวำ่ We shouldn’t spend more than we earn.
แม้วำ่ Though we are only a small country, we
have a long and glorious history.
เว้นเสยี แต่วำ่ I can’t help you unless you tell me what’s
wrong.
จนกระทงั่ We stayed there until she arrived.
Note: สำหรบั คำเชอ่ื มวำ่ since: ตง้ั แต,่ เพรำะวำ่ , เน่อื งจำกวำ่ จะมีโครงสรำ้ งภำษำองั กฤษข้ันอยู่กับ
สถำนกำรณ์เละควำมหมำยท่ีอยำกสื่อเช่น ถ้ำแปลว่ำ “ตั้งแต่” ใช้เช่ือมระหว่ำงประโยค Present
Perfect (Subject + have/has + V3) หรือ Present Simple (Subject + V1(ประฐำนเอกพจน์
เติม-s) กับ Past Simple Subject + V2 เตมิ ed บ้ำง, ผันบำ้ ง เชน่
He has worked hard “since” his father died. (Present Perfect, Past Simple)
ถำ้ แปลวำ่ “เพรำะวำ่ , เนือ่ งจำกวำ่ ” ใหว้ ำงไวห้ นำ้ Clause ของประโยคแรก เช่น
“Since” he doesn’t learn English, he can’t speak it. (เน่ืองจำก (เพรำะ) เขำไม่ได้เรียน
ภำษำอังกฤษ เขำจงึ พูดไม่ได)้
อย่ำงที่บอกไปแล้วว่ำตัวเชื่อมนี้จะเป็นกำรเชื่อมประโยครองกับประโยคหลักเข้ำด้วยกัน ดังนั้นให้
สังเกตดีๆ ถ้ำเป็นประโยครองจะตำมหลังด้วยคำเช่ือมดังกล่ำว ในขณะท่ีประโยคหลักไม่ต้องใช้คำ
เหลำ่ น้ี
“after”: I went for a swim after breakfast. แปลวำ่ ฉันไปว่ำยนำ้ หลังอำหำรเช้ำ
“because” : My sister she didn’t go to school yesterday because of fever. แปลวำ่ พี่สำว
ฉนั เธอไมไ่ ดม้ ำโรงเรยี นเม่ือวำนนเ้ี นอ่ื งมำจำกกำรเป็นไข้
“before” : Before going to Bangkok, you should read the guide book.
แปลวำ่ กอ่ นกำรเดนิ ทำงไป Bangkok คณุ ควรอำ่ นหนงั สือนำเท่ยี ว
“so that” : I study hard so that I can pass the exam.แปลว่ำ ฉันเรยี นหนกั เพื่อทฉ่ี ันจะได้ผ่ำน
กำรสอบ
29
3.หลักการใช้ Correlative Conjunctions
เมื่อคุณอ่ำนหนังสือหรือดูหนังคงเจอหมู่คำเช่ือมภำษำอังกฤษแบบท่ีสำมคือ Correlative
Conjunctions ที่มีหน้ำที่เชื่อมประโยคท่ีมีนำ้ หนกั เทำ่ ๆกัน เยอะเหมอื นกนั เช่น พวกคำวำ่
Both … and … แปลว่า ทั้ง … และ …ยกตัวอย่ำงให้เข้ำใจงำ่ ยๆ เช่น ประโยคองั กฤษดังนี้ I enjoy
both singing and dancing. แปลว่ำ ฉันมคี วำมสุขกบั กำรร้องเพลงและกำรเต้นดงั น้ันคำเชื่อม Both
… and …น้จี ะใชใ้ นกรณีเช่อื มตอ่ ประธำนของประโยคเข้ำดว้ ยกัน (เม่ือมจี ำนวนเทำ่ กบั 2)
Neither … nor … แปลว่า ไม่ท้ัง … และ …ยกตัวอย่ำงให้เข้ำใจง่ำยๆ เช่น Neither Namthip nor
I want to go there. แปลว่ำ ทั้ง Namthip และฉันไม่ต้องกำรไปท่ีน่ัน จำกนั้นจะเห็นได้เลยว่ำ
คำเชื่อม Neither … nor … ใชใ้ นประโยคและมีควำมหมำยคอื ไมใ่ ชท่ ง้ั สงิ่ แรกและสิง่ ที่สอง
Either … or … แปลว่า ถ้าไม่ … ก็ …ยกตัวอย่ำงให้เข้ำใจง่ำยๆ เช่น I can’t remember. It’s
either Yellow or Orange. แปลว่ำ ฉันจำไม่ได้ ถ้ำไม่สีเหลืองหรือสีส้ม ดังน้ันผู้เรียนสำมำรถใช้
คำเชอ่ื มน้ี เมอื่ ตอ้ งกำรสือ่ ควำมหมำยว่ำ ไมอ่ นั ใดก็อันหนงึ่
Not only … but also … แปลว่า ไม่เพียงแค่ … แต่ … ด้วย ยกตัวอย่ำงให้เข้ำใจง่ำยๆ เช่น
Namthip is not only Beautiful, but also a great teacher. แปลว่ำ Namthip ไม่เพียงแค่สวย
เท่ำน้นั แตย่ ังเปน็ เปน็ ครทู ่ีสุดยอดอีกด้วย ดงั น้ันผ้เู รยี นสำมำรถใช้คำเชื่อมน้ี เม่ือส่อื ควำมหมำยว่ำยังมี
อกี ส่ิงหนง่ึ ทีน่ อกเหนือจำกสิง่ ทก่ี ล่ำวในตอนแรก มักนิยมใช้ในภำษำองั กฤษสำหรับกำรเนน้ ย้ำ
as…as แปลว่า ….เท่ากับ….. ยกตัวอย่ำงให้เข้ำใจง่ำยๆ เช่น She is as tall as me แปลว่ำ เธอสูง
เทำ่ กบั ฉัน/ She runs as fast as I do. แปลว่ำ เธอวง่ิ เรว็ เท่ำฉัน
just as…so แปลวา่ …..เหมอื นกบั ที่….. just as I thought. แปลวำ่ เหมอื นกับที่ฉันคดิ
no sooner…than ยังไม่ทันท่ี……ก็……หรือ เกือบทันทีที่ ยกตัวอย่ำงเช่น No sooner had I
started mowing the lawn than it started raining แปลว่ำ เกือบทันทีที่ฉันได้เร่ิมตัดหญ้ำฝนก็
เร่มิ ตก
rather…than …….ดีกว่า…. ยกตัวอย่ำงเช่น She would rather live in Chonburi than in
Bangkok. แปลวำ่ เธอชอบอำศัยอยูใ่ นชลบรุ มี ำกกวำ่ กรงุ เทพ
whether…or แปลว่า ว่า…..หรือ…. ยกตัวอย่ำงเช่น Whether you like it or not, you have
to pay the fine. แปลว่ำ ไมว่ ่ำคณุ จะชอบหรอื ไมก่ ต็ ำม คณุ ก็ตอ้ งจ่ำยคำ่ ปรบั อยู่ดี
the…the แปลว่า ย่ิง…..ยิ่ง… ยกตัวอย่ำงเช่น The sooner, the better. ยิ่งเร็วเท่ำไหร่ก็ยิ่งดี
(สำนวน)
30
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2
แบบฝกึ หดั ท่ี 1
คาชแ้ี จง : แต่งประโยคทสี่ มบูรณ์โดยใชห้ วั ขอ้ ท่กี ำหนดให้ หลังจำกน้ันให้ขีดเส้นใตค้ ำท่ีแสดงถงึ หัวข้อ
ท่กี ำหนด
a. noun
_______________________________________________________________________
b. verb
_______________________________________________________________________
c. adjective
_______________________________________________________________________
d. adverb
_______________________________________________________________________
e. pronoun
_______________________________________________________________________
f. determiner
_______________________________________________________________________
g. preposition
_______________________________________________________________________
h. conjunction
_______________________________________________________________________
31
แบบฝึกหดั ที่ 2
คาชี้แจง : บอกชนดิ ของคำต่ำง ๆ (Noun, verb, adverb, adjective, pronoun, determiner,
preposition, conjunction) ในประโยคดงั ต่อไปน้ี
Ex. A gross is twelve dozen.
A= determiner, gross=noun, is=verb, twelve=determiner, dozen=noun
a. John and Marry were talking.
_______________________________________________________________________
b. Brad gave Angelina a flower.
_______________________________________________________________________
c. The parents sent their children to school immediately.
_______________________________________________________________________
d. Business owners hire employees.
_______________________________________________________________________
e. Employees work hard and earn money.
_______________________________________________________________________
f. At holidays, nice bosses offer bonuses to workers.
_______________________________________________________________________
g. Business owners often show appreciation to customers.
_______________________________________________________________________
h. A prosperous business is a wonderful accomplishment.
_______________________________________________________________________
i. It reveals good planning and good luck.
_______________________________________________________________________
j. They know the difference between a dozen and a gross.
_______________________________________________________________________
32
แบบฝึกหดั ท่ี 3
คาช้แี จง: ให้สแกน QR CODE ข้ำงล่ำงน้ีเพ่ือทำแบบฝกึ หัดเรอื่ ง parts of speech
33
บรรณานุกรม
ศิตำ เย่ียมขันติถำวร (2554). ภาษาศาสตรเ์ บอื้ งต้น. นนทบุรี : สำนกั พิมพ์
มหำวิทยำลยั สุโขทยั ธรรมำธิรำช
สมศีล ฌำนวังศะ (มมป.). เร่ืองน่ารู้เกีย่ วกับการบัญญตั ิศัพท์. สืบคน้ 23 เมษำยน 2563, จำก
https://www.culi.chula.ac.th/Publicationsonline/files/article2/aCY2ZcbFaaTue1
15340.pdf
กมลำ นำคะสิริ (มมป.). คาอักษรย่อและคาย่อ. สืบค้น 23 เมษำยน 2563, จำก
fhumrpc,+Journal+manager,+01คำอักษรย่อและคำย่อ (1).pdf
ทวศี ักดิ์ จันทร์ประดษิ ฐ์ (2565). 8 วธิ กี ารสรา้ งคาในภาษาองั กฤษพ้ืนฐาน (Basic English Word
Formation). สบื ค้น 1 มิถุนำยน 2565, จำก
https://www.gotoknow.org/posts/702840
Celce-Murcia, M., & Larsen-Freeman, D. (1999). The Grammar Book: An ESL/EFL
Teacher's Course (2nd ed.). Boston, MA Heinle and Heinle.
Eng Breaking (2564). คำเช่ือมภำษำอังกฤษ (Conjunctions): คำและวลที ีพ่ บบ่อยท่สี ุด. สบื คน้ 20
กมุ ภำพันธ์ 2564, จำก
https://engbreaking.co.th/%E0%B8%84%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B9%80
%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A
0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%
87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9/
Macmillan Dictionary (2022). Retrieved 20 February 2022, from
https://www.macmillandictionary.com/dictionary/british/yet
MasterClass (2021). Adverbial Clauses Explained: 9 Types of Adverbial Clauses.
Retrived 24 September 2021, from
https://www.masterclass.com/articles/adverbial-clause-explained
Plook Creator (2564). Grammar: หลกั กำรใช้ Pronoun คำสรรพนำม ในภำษำองั กฤษ. สืบค้น
20 กุมภำพนั ธ์ 2565, จำก
https://www.trueplookpanya.com/blog/content/90712/-laneng-lan-
Preeyapanoos (2561). หลกั กำรใช้ Preposition. สืบค้น 20 กมุ ภำพันธ์ 2565, จำก
https://www.trueplookpanya.com/blog/content/66319/-blo-laneng-lan-
34
Stobbe, Grabriele (2008). Just Enough English Grammar Illustrated. New York: McGraw-
Hill.
Wilson, P., Glazier F., T. (2003). Writing Essentials: Exercises to Improve Spelling,
Sentence Structure, Punctuation, and Writing. Boston: Heinle ELT
35
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 3
1. บทท่ี 3 โครงสร้างวลเี บื้องตน้ (Introduction to Phrase Structure)
2. หัวขอ้ เนอื้ หาประจาบท
1. ความหมายของวลี (Phrases)
2. ชนดิ หรอื ประเภทวลี Phrases
3. โครงสร้างภายในนามวลี (The Internal Structure of Noun Phrases)
4. โครงสร้างภายในกริยาวลี (The Internal Structure of Verb Phrases)
5. โครงสร้างภายในคณุ ศัพทว์ ลี (The Internal Structure of Adjective Phrases)
6. โครงสรา้ งภายในวิเศษณว์ ลี (The Internal Structure of Adverbials)
7. โครงสร้างในบรุ พบทวลี (The Internal Structure of Prepositional Phrases)
8. แบบฝึกหัดทา้ ยบทท่ี 3
9. บรรณานกุ รม
3. วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม
1. เพอ่ื ใหน้ ักศึกษาทราบความหมายของ Phrases
2. เพือ่ ให้นักศึกษาสามารถระบุชนิดหรือประเภทของ Phrases ได้
3. เพื่อใหน้ ักศึกษาสามารถวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งของวลี (Phrase Structure Rules) ได้
4. เวลาเรียน
สัปดาห์ที่ 7-8
5. กิจกรรมการเรียนการสอน
1. อ่านแผนบริหารการสอนประจาบท
2. บรรยาย
3. แบ่งกลุ่มยอ่ ยร่วมกนั ศึกษาในประเดน็ ท่ีมอบหมาย
4. ทาแบบฝกึ หดั ทา้ ยบท
6. ส่ือการเรยี นการสอน
1. พาวเวอรพ์ อยท์ (PowerPoint)
2. แล็ปทอ็ ปคอมพิวเตอรแ์ ละโปรเจกเตอร์ (Laptop computer and Projector)
3. แบบฝกึ หัดทา้ ยบท
7. การวัดและประเมินผล
1. สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
2. ตรวจแบบฝึกหดั ทา้ ยบท
36
บทที่ 3
โครงสร้างวลเี บือ้ งตน้
(Introduction to Phrase Structure)
1. ความหมายของ Phrases (วลี)
วลี (phrases) คือกลุ่มคาท่ีประกอบด้วยคาต่าง ๆ ที่นามาเรียงกันอย่างมีความหมายและทา
หน้าที่ใดหน้าท่ีหน่ึงในประโยค เช่น เป็นประธาน กริยา กรรม ส่วนเสริม ส่วนกริยาวิเศษณ์ วลีไม่ได้
ประกอบด้วยท้ังภาคประธานและภาคแสดง (นักภาษาศาสตร์บางคน เช่น Chomsky ถือว่า คา ๆ
เดียว ก็เป็นวลี แต่ในชุดการสอนนี้ถือวา่ วลีคือกลุ่มคาท่ีประกอบด้วยคาตั้งแต่ 2 คาขึ้นไป ที่ทาหน้าที่
ใดหนา้ ที่หน่ึงในประโยค)
2. ชนดิ หรือประเภทวลี Phrases
วลแี บ่งออกเปน็ 5 ประเภทใหญ่ ๆ คอื
1. นามวลี (noun phrase) จะมีคานามเป็นหลกั เช่น women with long hair
2. กริยาวลี (verb phrase) จะมคี ากรยิ าแท้เปน็ หลกั เช่น must have been thinking
3. คุณศัพท์วลี (adjective phrase) จะมคี าคณุ ศพั ทเ์ ป็นหลกั เช่น very happy
4. กรยิ าวเิ ศษณ์วลี (adverb phrase) จะมคี ากริยาวเิ ศษณ์เปน็ หลกั เชน่ very thoroughly
5. บพุ บทวลี (prepositional phrase) จะมีคาบพุ บทเป็นหลกั เช่น in the warehouse
3 โครงสร้างภายในนามวลี (The Internal Structure of Noun Phrases)
นามวลี (noun phrase)
โครงสรา้ งของ noun phrase
คาหลักใน noun phrase คอื คานามหรือคาสรรพนาม โดยอาจมีโครงสรา้ งใดโครงสร้างหนึ่งตอ่ ไปน้ี
คากากบั นามและคานาม เชน่ these houses
คากากับนาม สว่ นขยายหนา้ คานาม และคานาม เช่น these big houses
คานามและส่วนขยายหลังคานาม เชน่ houses made of wood
คากากับนาม คานาม และสว่ นขยายหลังคานาม เชน่ some houses made of wood
สว่ นขยายหนา้ คานาม คานาม และสว่ นขยายหลังคานาม เชน่ big houses made of wood
คากากับนาม ส่วนขยายหน้าคานาม คานาม และส่วนขยายหลังคานาม เช่น some big
houses made of wood
ขอให้สังเกตว่า noun phrase มักมีคากากับนามและส่วนขยายเข้ามาเก่ียวข้อง โดยส่วนขยาย
ส่วนมากจะเป็นคาคุณศัพท์ ในการใช้คาคุณศัพท์และคานามขยายคานามหลัก สิ่งที่ต้องคานึงถึงคือ
37
ลาดับตาแหน่งของคาขยายเหล่านั้นเมื่อนามาวางไว้ข้างหน้าคานามหลัก โดยท่ัวไปคาคุณศัพท์ท่ีใช้
ขยายคานามจะมีเพียงสองสามคา แต่บางครั้งอาจมีส่วนขยายได้หลากหลาย โดยมีลาดับของ
คาคุณศัพทแ์ ละคานามขยายหนา้ คานามหลักดงั น้ี
คากากับนาม ความรู้สกึ หรือความ ขนาดหรอื อายุ สี ตน้ กาเนดิ วสั ดุ คานาม
(color) หรือท่มี า (material) หลัก
(determiner) คดิ เหน็ รูปร่าง (age) (origin) (head
- - noun)
(feeling2opinion) (size/shape) brown German plastic
black - nylon knife
a practical small old Japanese
bag
that - big new
umbrella
this beautiful long -
อย่างไรก็ตาม การเรียงลาดับคาคุณศัพท์หน้าคานามหลกั อาจผิดไปจากลาดับท่ีกลา่ วไว้ในที่นไ้ี ด้ โดย
วางคาที่ต้องการเน้นไว้ใกลค้ านามหลกั มากกวา่ เช่น
a sick young boy (เดก็ น้อยทม่ี อี าการเจ็บปว่ ย)
a young sick boy (เดก็ คนปว่ ยทีย่ งั มอี ายนุ ้อย)
หนา้ ท่ีของ noun phrase นามวลที าหน้าที่เช่นเดยี วกับคานาม เชน่
1 เป็นประธาน เช่น All the passengers were safe.
2 เป็นกรรม เช่น We really enjoyed the food at that restaurant.
3 เป็นกรรมตรงและกรรมรอง เช่น The manager gave all of us (กรรมรอง) a double
raise. (กรรมตรง)
4 เป็นส่วนเสริมประธาน เช่น The clock was a Christmas present from the ABC
Company.
5 เปน็ สว่ นเสรมิ กรรม เช่น We considered Mr. Johnson the best employee.
6 เปน็ กรรมของบพุ บท เชน่ The box of chocolates is intended for your children.
7 เป็นสว่ นขยายคานามอ่นื เชน่ John suffers from back problems.
8 เปน็ กริยาวเิ ศษณ์ เชน่ School starts next month.
4. โครงสร้างภายในกริยาวลี (The Internal Structure of Verb Phrases)
กรยิ าวลี (verb phrase)
verb phrase ประกอบด้วย main verb (กริยาแท้) และ auxiliary verb (กริยาช่วย) ใน verb
phrase หนึ่ง ๆ อาจมีกรยิ าชว่ ยมากกว่า 1 คา
ตวั อยา่ ง
Jane will work on a night shift. (will work เป็น verb phrase ซึ่งมี work เป็นกริยาแท้
และ will เปน็ กริยาชว่ ย)
Jane will be working on a night shift next week. (will be working เป็น verb phrase
ซ่ึงมี working เปน็ กริยาแท้ สว่ น will และ be เป็นกรยิ าชว่ ย)
38
verb phrase ทาหน้าท่ีเช่นเดียวกับคากริยา คือ บอกให้ทราบว่าประธานของประโยคทาอะไร หรือ
เกิดอะไรขนึ้ กบั ประธานของประโยค
5. โครงสรา้ งภายในคุณศพั ทว์ ลี (The Internal Structure of Adjective Phrases)
คณุ ศัพทว์ ลี (adjective phrase)
โครงสร้างของ adjective phrase
adjective phrase ประกอบด้วยคาคุณศัพท์กับส่วนขยายคาคุณศัพท์ ซึ่งมีทั้งประเภทท่ีอยู่หน้า
คาคุณศพั ท์ และประเภททอ่ี ย่หู ลังคาคุณศพั ท์ โดยอาจมโี ครงสรา้ งใดโครงสรา้ งหน่งึ ต่อไปน้ี
ส่วนขยายทีอ่ ยูห่ นา้ คาคณุ ศพั ท์และคาคุณศัพท์ เช่น very happy
คาคุณศัพทแ์ ละสว่ นขยายท่อี ยหู่ ลงั คาคุณศัพท์ เช่น happy to see you
ส่วนขยายที่อยู่หน้าคาคุณศัพท์ คุณศัพท์ และส่วนขยายที่อยู่หลังคาคุณศัพท์ เช่น very
happy to see you
หน้าท่ขี อง adjective phrase คุณศัพท์วลีทาหนา้ ทเ่ี ช่นเดยี วกบั คาคุณศัพท์ เช่น
1 ทาหนา้ ทขี่ ยายคานาม เชน่ Highly sensitive people are hard to deal with.
2 ทาหน้าที่เป็นส่วนเสริมประธาน เช่น The children are very happy to see their
parents.
3 ทาหน้าที่เป็นส่วนเสริมกรรม เช่น The teachers made us aware of the importance
of the entrance exams.
4 ท า ห น้ า ท่ี ข ย า ย ค า ส ร ร พ น า ม โ ด ย อ ยู่ ข้ า ง ห ลั ง ค า ส ร ร พ น า ม ที่ ถู ก ข ย า ย เ ช่ น
I want to eat something very spicy.
6. โครงสรา้ งภายในวเิ ศษณว์ ลี (The Internal Structure of Adverbials)
กรยิ าวิเศษณ์วลี (adverb phrase)
โครงสรา้ งของ adverb phrase
adverb phrase ประกอบด้วยคากริยาวิเศษณ์กับส่วนขยาย ซ่ึงมีท้ังประเภทที่อยู่ข้างหน้าและ
ประเภททอ่ี ยขู่ ้างหลงั คากรยิ าวิเศษณ์ โดยอาจมีโครงสร้างใดโครงสร้างหนึง่ ตอ่ ไปนี้
สว่ นขยายทีอ่ ยู่หน้าคากริยาวเิ ศษณ์ และคากริยาวิเศษณ์ เชน่ very quickly
คากริยาวิเศษณ์ ละสว่ นขยายทอี่ ย่หู ลงั คากริยาวเิ ศษณ์ เชน่ quickly indeed
ส่วนขยายที่อยู่หน้าคากริยาวิเศษณ์ คากริยาวิเศษณ์ และส่วนขยายที่อยู่หลังคากริยาวิเศษณ์
เชน่ very quickly indeed
หน้าที่ของ adverb phrase กรยิ าวเิ ศษณ์วลีทาหนา้ ที่เชน่ เดยี วกับคากริยาวเิ ศษณ์ ดังนี้
1 ทาหนา้ ทข่ี ยายคากริยา คาคณุ ศพั ท์ และคากรยิ าวเิ ศษณอ์ ่ืน เชน่
Henry walked extremely quickly.
These umbrellas are very beautifully made.
39
2 ทาหน้าท่ีขยายประโยค เช่น Surprisingly indeed, everybody survived in the car
accident.
7. โครงสรา้ งในบุรพบทวลี (The Internal Structure of Prepositional Phrases)
บพุ บทวลี (prepositional phrase)
โครงสรา้ งของ prepositional phrase
prepositional phrase ประกอบด้วยคาบุพบทและส่วนเสริม (complement) ซ่ึงตาราบางเล่มจะ
เรยี กว่า กรรมของบพุ บท สว่ นเสริมมี 3 ประเภทคอื
สว่ นเสรมิ ทเ่ี ปน็ noun phrase เชน่ through the back door
สว่ นเสริมท่ีเป็น noun clause เช่น from what I have heard
ส่วนเสริมท่ีอย่ใู นรูปกรยิ าเติม (v–ing)เชน่ after speaking to you
หนา้ ทข่ี อง prepositional phrase บพุ บทวลที าหน้าทด่ี ังตอ่ ไปน้ี
1 ทาหน้าท่ีขยายประธานของประโยค โดยอยู่ตามหลังกริยา BE หรือกริยาเชื่อม (linking
verb) เช่น
Mr. Johnson is in the meeting room.
2 ทาหนา้ ทข่ี ยาย noun phrase โดยอยใู่ นตาแหน่งหลงั noun phrase ที่ถูกขยาย เชน่
Jane took a course in advanced mathematics.
Kate bought a house with a beautiful garden.
3 ทาหน้าท่ขี ยายคาคณุ ศพั ท์ โดยอยู่ในตาแหน่งหลังคาคณุ ศัพทท์ ีถ่ ูกขยาย เช่น
They are aware of the danger of the AIDS virus.
I am happy with what I have.
4 ทาหน้าที่ขยายประโยค เชน่
In fact, the economy is improving.
In my opinion, people are basically good.
40
แบบฝึกหดั ท้ายบทที่ 3
แบบฝกึ หัดที่ 1 เร่ือง Noun Phrases
คาชี้แจง: จงขีดเส้นใต้นามวลีในประโยคต่อไปนี้และวงกลมคานามหลักของแตล่ ะนามวลี (Underline
noun phrases in the following sentences and then highlight the head noun of each
noun phrase.)
Example: The delicious smelling food on the stove is very tempting.
1. The man with all the belt buckles is paying in hundred-dollar bills.
2. The cat on top of the counter is getting ready to jump.
3. The restaurant on the corner of the street serves great pancakes.
4. It felt good to find the owner of the missing dog.
5. A pouring rain fell through the afternoon.
6. Should we test-drive the blue truck?
7. I’m in the mood for a steaming-hot cup of tea.
8. A towering mountain was looming in the distance.
9. A striking woman with jet-black hair sat next to me.
10. The man is paying in hundred-dollar bills.
41
แบบฝึกหดั ที่ 2 เร่อื ง Verb Phrases
คาชี้แจง: จงขีดเส้นใต้กริยาวลีในแต่ละประโยคต่อไปนี้ (Underline a verb phrase in each of
the following sentences.)
Example: John will be working on a night shift next week.
1. Finally, my friend has decided to purchase a new car.
2. My friends will throw a party on account of the new year.
3. Yesterday I saw a lot of expensive shoes worth about $2000.
4. Memphis is trying to cook delicious food on her daughter’s birthday.
5. You may have played this game before.
6. The work should have been finished by 30 January.
7. We all laughed.
8. Computers can be very annoying!
9. An apartment would have cost less than a hotel for four of us.
10. Tony might have been waiting outside for you.
42
แบบฝึกหดั ที่ 3 เรอ่ื ง Adjective Phrases
คาชี้แจง: จงขีดเส้นใต้คาคุณศัพท์วลีในแต่ละประโยคต่อไปนี้ (Underline an adjective phrase in
each of the following sentences.)
Example: She was taller than her classmates.
1. Jack is handsome.
2. John is very intelligent.
3. John is afraid of heights.
4. We are happy to see you.
5. I am relieved that nobody was hurt.
6. I bought a dress to wear for the party.
7. The girl sitting at the center of the stage is Lalisa.
8. Look at the singing boy over there.
9. He was pretty surprised then.
10. I am strong enough to face the difficulties.
43
แบบฝกึ หัดที่ 4 เรื่อง Adverb Phrases
คาชี้แจง: จงขีดเส้นใต้คากริยาวิเศษณ์วลีในแต่ละประโยคต่อไปนี้ (Underline an adverb phrase
in each of the following sentences.)
Example: Jeff was speaking so roughly.
1. You can definitely never predict what will happen.
2. You start off slowly in the beginning.
3. James played brilliantly in the match on Saturday.
4. She plays the piano really well.
5. I don’t watch the TV very often.
6. Why do you always have to eat so fast?
7. Suddenly I felt afraid.
8. We walked very carefully across the floor.
9. They almost never invite people to their house these days.
10. Unfortunately for me, I can’t speak Italian.
44
แบบฝกึ หดั ที่ 5 เรอื่ ง Prepositional Phrases
คาชี้แจง: จงขีดเส้นใต้คาบุพบทวลีในแต่ละประโยคต่อไปนี้ (Underline a prepositional phrase
in each of the following sentences.)
Example: The cat in the middle is the cutest.
1. They first met at a party.
2. She was taken ill during the film.
3. Would you like to come with me please?
4. From there, it’ll take you about half an hour to our house.
5. Until quite recently, no one knew about his paintings.
6. She’s decided on doing a Chinese language course.
7. We were really surprised at what they wrote.
8. You can’t miss it. His office is almost opposite the coffee machine.
9. They left the party just before us.
10. If you can wait until after my meeting with Jack, we can talk then.
45
บรรณานุกรม
ศิตา เยยี่ มขันติถาวร (2554). ภาษาศาสตรเ์ บอื้ งต้น. นนทบรุ ี : สานกั พมิ พ์
มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช
วลี (phrases). สืบคน้ 20 กุมภาพันธ์ 2565, จาก
https://www.stou.ac.th/schools/sla/englishwriting/cd-
rom/Module4/Presentations/phrases.htm
Apisak Pupipat (2003) Introduction to English Linguistics: The Real Basics. Ubon
Ratchathani: Ubon Ratchathani University Press.
Cambridge University Press (2022). Verb phrases. Retrieved 1 March 2022, from
https://dictionary.cambridge.org/grammar/british-grammar/verb-phrases
Celce-Murcia, M., & Larsen-Freeman, D. (1999). The Grammar Book: An ESL/EFL
Teacher's Course (2nd ed.). Boston, MA Heinle and Heinle.
Kramer, L. (2022). What Is an Adverbial Phrase? Retrieved 10 March 2022, from
https://www.grammarly.com/blog/adjective-phrase/
Kramer, L. (2021). What Is an Adjective Phrase? Retrieved 10 March 2022, from
https://www.grammarly.com/blog/adjective-phrase/
OnlyMyEnglish (มมป). 20 Examples of Verb Phrase in Sentences. Retrieved 1 March
2022, from https://onlymyenglish.com/examples-of-verb-phrase/
Traffis, C. (2020). What Is a Prepositional Phrase? Retrieved 10 March 2022, from
https://www.grammarly.com/blog/prepositional-phrase/