The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วัตถุประสงค์โครงการ
1. เพื่อสืบค้น สืบสาน ส่งเสริม ถอดลวดลายและสร้างลวดลายอัตลักษณ์เป็นของดีชุมชนบ้านธิเมือง
3 ไต (ไตลื้อ ไตยวน ไตยอง)
2. เพื่อประยุกต์ พัฒนาลวดลาย นำไปใช้สร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภันฑ์ชุมชนอย่างสร้างสรรค์สู่การพัฒนา
ที่ยั่งยืนและสร้างธุรกิจชุมชน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Monton Onwanna, 2023-08-21 11:28:11

ร้อยลาย 3 ไต การพัฒนารูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน

วัตถุประสงค์โครงการ
1. เพื่อสืบค้น สืบสาน ส่งเสริม ถอดลวดลายและสร้างลวดลายอัตลักษณ์เป็นของดีชุมชนบ้านธิเมือง
3 ไต (ไตลื้อ ไตยวน ไตยอง)
2. เพื่อประยุกต์ พัฒนาลวดลาย นำไปใช้สร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภันฑ์ชุมชนอย่างสร้างสรรค์สู่การพัฒนา
ที่ยั่งยืนและสร้างธุรกิจชุมชน

รายงานกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม เรื่อง ร้อยลาย 3 ไต การพัฒนารูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน Hundred Pattern 3 Tai, Model development for exchanging and knowledge creation to enhance business community sustainability โดย มณฑล อ้นวันนา อ.ดร.เฉลิมพล คงจิตต์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รับทุนอุดหนุนการทำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม การจัดการความรู้การวิจัยและถ่ายทอดเพื่อการใช้ประโยชน์ จาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปีงบประมาณ 2565


ก กิตติกรรมประกาศ กิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม การจัดการความรู้การวิจัยและถ่ายทอดเพื่อใช้ ประโยชน์มิติการพัฒนาชุมชนพึ่งตนเองตามแนวทางพระราชดำริ เรื่อง ร้อยลาย 3 ไต การพัฒนารูปแบบการ แลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน (Hundred Pattern 3 Tai, Model development for exchanging and knowledge creation to enhance business community sustainability) สามารถดำเนินงานได้สำเร็จลุล่วง ขอขอบคุณ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่ สนับสนุนทุนอุดหนุนการทำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย ภายใต้โครงการจัดการความรู้การวิจัยเพื่อ การใช้ประโยชน์รวมการปฏิบัติและถ่ายทอดลงสู่พื้นที่ ประจำปี 2565 ขอขอบคุณ ผู้อำนวยการ นายเฉลิมพล อินทชัยศรีและ ครูชำนาญการนางสาวฉัตรติยา ลังการัตน์ โรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ (ป่าตาลหมื่นราษฎร์อุปการ) อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน ในความร่วมมือในการ พัฒนารูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน ขอขอบคุณที่ปรึกษานายวิชัต ประธานราษฎร์และนางสายตา ปาลีในการประสานงานที่อำนวยความ สะดวกต่างๆ ในการทำงานร่วมกับชุมชนเป็นอย่างดี มีความเป็นกันเอง และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ขอขอบคุณสถาบันวิจัยสังคม ศูนย์พัฒนานวัตกรรมและสื่อดิจิทัลล้านนา (Lan Na Innovation and Digital Media Development Center) และวิทยาลัยสื่อศิลปะและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้ กรุณาเอื้อเฟื้อในส่วนการสนับสนุน วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ และสถานที่ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุน สถาบันวิจัยสังคม และเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัย แห่งชาติ (วช.) รวมถึงทุกท่านที่ไม่ได้เอ่ยนามที่อำนวยความสะดวกสนับสนุนโครงการวิจัยนี้ นายมณฑล อ้นวันนา มีนาคม 2566


ข บทคัดย่อ กิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม การจัดการความรู้การวิจัยและถ่ายทอดเพื่อใช้ ประโยชน์ มิติการพัฒนาชุมชนพึ่งตนเองตามแนวทางพระราชดำริ เรื่อง ร้อยลาย 3 ไต การพัฒนารูปแบบการ แลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน (Hundred Pattern 3 Tai, Model development for exchanging and knowledge creation to enhance business community sustainability) โดยมีวัตถุประสงค์ คือ ให้ชุมชนบ้านธิเมือง 3 ไต (ไตลื้อ ไตยวน ไตยอง) มีศักยภาพออกแบบ การผลิต จำหน่ายผลิตภัณฑ์ และเป็นต้นแบบธุรกิจชุมชน โดยวิธีการให้ชุมชนดำเนินการสืบค้น สืบสาน ส่งเสริม ถอดลวดลาย จนชุมชนสามารถพัฒนาลวดลายอัตลักษณ์ของดีชุมชนบ้านธิเมือง 3 ไต (ไตลื้อ ไตยวน ไตยอง) ด้วยตนเองได้เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทั้งนี้ให้คนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมปฏิบัติในทุกขั้นตอน โดยกลุ่มนัก ปฏิบัติCoP จำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่ CoP 1 กลุ่มปราชญ์ชุมชนและสภาวัฒนธรรม (มีหลายช่วงวัย) – กลุ่มที่ สนใจรวบรวม และสังเคราะห์ความรู้เดิม CoP 2 กลุ่ม ครูและนักเรียน โรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ – กลุ่ม พัฒนาต่อยอด และ CoP 3 กลุ่มผู้ริเริ่มเรียนรู้เพื่อนำลายไปใช้ (ทั้งลวดลายดั้งเดิมและลายใหม่) เชื่อมโยงกันมี ลักษณะเป็นวงจรต่อเนื่อง มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงความรู้กันโดยอาศัยการสะท้อนคิดกลับไปมา อย่างเป็นระบบ ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ การวางแผน และการปฏิบัติงาน การเรียนรู้จากการปฏิบัติ การประเมินผล และการระบุการเรียนรู้และ การแบ่งปัน จึงเกิด เป็นองค์ความรู้อัตลักษณ์ชุมชน การปลูกฝังและพัฒนาต่อยอดออกแบบลายใหม่อัตลักษณ์ชุมชน และการริเริ่ม นำลายอัตลักษณ์ชุมชนเดิม-ใหม่ไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ รวมถึงการจัดทำคู่มือประกอบการทำกิจกรรม ทั้งในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์ และ Responsive website เป็นแหล่งเรียนรู้และจัดเก็บและถ่ายทอดอัตลักษณ์ชุมชน เพื่อสร้างโอกาสในการยกระดับธุรกิจชุมชนต่อไปในอนาคต คำสำคัญ (Keywords) : ชุมชนพึ่งตนเองตามแนวทางพระราชดำริ, นวัตกรรมกระบวนการ, ชุมชนนักปฏิบัติ


ค สารบัญเรื่อง หน้า บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ความสำคัญและที่มาของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์ 5 1.3 ขอบเขตการดำเนินงาน 6 1.4 แผนการดำเนินงาน 6 บทที่ 2 องค์ความรู้และเทคโนโลยี 7 2.1 หลักการและขั้นตอนรูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน 7 บทที่ 3 วิธีดำเนินงาน 11 3.1 การเตรียมชุมชนนักปฏิบัติ CoP 11 3.2 การดำเนินกิจกรรมของชุมชนนักปฏิบัติCoP 12 3.2.1 การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ 13 3.2.2 การวางแผนและการปฏิบัติงาน 14 3.2.3 การเรียนรู้จากการปฏิบัติ 15 3.2.4 การประเมินผล 24 3.2.5 การระบุการเรียนรู้และการแบ่งปัน 24 บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน 25 4.1 การเตรียมชุมชนนักปฏิบัติ CoP 25 4.2 การดำเนินกิจกรรมของชุมชนนักปฏิบัติCoP 27 4.2.1 ปัญหาและความต้องการ 27 4.2.2 การวางแผนและการปฏิบัติงาน 36 4.2.3 การเรียนรู้จากการปฏิบัติ 38 4.2.4 การประเมินผล 78 4.2.5 การระบุการเรียนรู้และการแบ่งปัน 83


ง บาที่ 5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ 85 5.1 สรุปผลการดำเนินการ 85 5.2 ประโยชน์ที่ได้โดยทางตรงและทางอ้อมจากโครงการนี้ 86 5.3 ข้อเสนอแนะ 88 บรรณานุกรม 89 ภาคผนวก ภาคผนวก ก Model/Flowchart แสดงกระบวนการดำเนินงานตลอดโครงการ 91 ภาคผนวก ข คู่มือการถอดลายอัตลักษณ์ด้วยโปรแกรม Paint.net 94 ประวัตินักวิจัย 99


จ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1.1 แผนการดำเนินงาน 6 ตารางที่ 4.1 ชุดองค์ความรู้ลวดลายผ้าหลบผืนที่ 1 41 ตารางที่ 4.2 ชุดองค์ความรู้ลวดลายผ้าหลบผืนที่ 2 44 ตารางที่ 4.3 ชุดองค์ความรู้ลวดลายผ้าหลบผืนที่ 3 45 ตารางที่ 4.4 ชุดองค์ความรู้ลวดลายผ้าหลบผืนที่ 4 47 ตารางที่ 4.5 ชุดองค์ความรู้ลวดลายเครื่องใช้ไม้สอย 48 ตารางที่ 4.6 ชุดองค์ความรู้ลวดลายศาสนสถาน 49 ตารางที่ 4.7 องค์ความรู้ลวดลายบ้านเรือน 53 ตารางที่ 4.8 ชุดองค์ความรู้ลวดลายเกวียน 53 ตารางที่ 4.9 ชุดองค์ความรู้ลวดลายพืชสมุนไพร 55 ตารางที่ 4.10 ชุดองค์ความรู้ลวดลายอักษร 57 ตารางที่ 4.11 ชุดองค์ความรู้ลวดลายตัวเลข 57 ตารางที่ 4.12 การประยุกต์ 3 ไต (ไตลื้อ ไตยวน ไตยอง) การออกแบบของนักเรียนโรงเรียนเทศบาลบ้านธิ 59 ตารางที่ 4.13 ลวดลายการประยุกต์ 3 ไต (ไตลื้อ ไตยวน ไตยอง) ชุด 12 นักษัตร จำนวน 13 ลาย 64 ตารางที่ 4.14 กรอบรูปลายขะแจ๋หลงตู้ (กุญแจหลงตู้) จำนวน 1 ลาย 67 ตารางที่ 4.15 บล็อคสกรีนลวดลายประยุกต์ดอกลำไย จำนวน 2 ลาย 67 ตารางที่ 4.16 ลวดลายประยุกต์ 3 ไต (ไตลื้อ ไตยอง ไตยวน) จำนวน 13 ลาย 68


ฉ สารบัญรูป หน้า รูปที่ 2.1 รูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับชุมชนอย่างยั่งยืน 10 รูปที่ 3.1 ประชุมชุมชนเตรียมจัดตั้งกลุ่มชุมชนนักปฏบัติ COP ธุรกิจชุมชน 13 รูปที่ 3.2 ประชุมกลุ่มย่อย COP ธุรกิจชุมชน ร่วมค้นหาข้อเท็จจริงของชุมชนอย่างเป็นระบบ 14 รูปที่ 3.3 ประชุมกลุ่ม COP ธุรกิจชุมชนร่วมกำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์หลัก OKR 15 รูปที่ 3.4 กลุ่ม COP 1 ปราชญ์รวบรวมองค์ความรู้อัตลักษณ์ชุมชน 16 รูปที่ 3.5 สัมภาษณ์ออนไลน์ แม่ครูดอกแก้ว ธีระโครต 16 รูปที่ 3.6 สัมภาษณ์ครู นุสรา เตียงเกตุ 17 รูปที่ 3.7 สัมภาษณ์ อ.อนันต์ สุคันธรส ผู้ทรงคุณวุฒิ-ประธานสภาวัฒนาธรรมอำเภอสันกำแพง และ คุณยอดดนัย สุขเกษม นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ 7 17 รูปที่ 3.8 สัมภาษณ์ สล่าเพชร วิริยะ พิพิธภัณฑ์บ้านจ๊างนัก 18 รูปที่ 3.9 ถ่ายทอดองค์ความรู้อัตลักษณ์ชุมชนด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก ในรูปแบบ PIXEL ART 19 รูปที่ 3.10 ศึกษาดูงานพิพิธภัณฑ์บ้านจ๊างนัก โดย สล่าเพชร วิริยะ ครูของแผ่นดิน 19 รูปที่ 3.11 ศึกษาดูงานหอศิลป์ปาน บุญมี บุญศรี โดยศิลปิน อาจารย์ประสงค์ ลือเมือง 19 รูปที่ 3.12 อบรมเชิงปฏิบัติการพื้นฐานการออกแบบตัวละคร CHARACTER DESIGN 20 รูปที่ 3.13 อบรมเชิงปฏิบัติการคิดเชิงสร้างสรรค์และการเล่าเรื่อง STORY TELLING 21 รูปที่ 3.14 ศึกษาดูงานปฏิบัติการด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ 21 รูปที่ 3.15 อบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการปักผ้าขั้นสูง 22 รูปที่ 3.16 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบของดีลายอัตลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นอำเภอบ้านธิ 22 รูปที่ 3.17 ช่องทางการจัดจำหน่ายและการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการตลาด 24 รูปที่ 3.18 การพูดคุยและการสัมภาษณ์แบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการประเมินผล 24 รูปที่ 3.19 การแลกเปลี่ยนเพื่อระบุการเรียนรู้ 24 รูปที่ 4.1 สรุปการคัดเลือก CoP ธุรกิจชุมชน 3 ไต 25 รูปที่ 4.2 กระบวนการ CIPP’S MODEL 27 รูปที่ 4.3 สรุปการตั้งเป้าหมายและผลลัพธ์หลัก (OKR) ของ CoP ธุรกิจชุมชน 3 ไต 37 รูปที่ 4.4 การทอลวดลายขะแจ๋หลงตู้ (กุญแจหลงตู้) 40 รูปที่ 4.5 หมวดองค์ความรู้อัตลักษณ์ชุมชน 3 ไต 40 รูปที่ 4.6 ผ้าหลบต้นแบบ ผืนที่ 1 ถอดลายจำนวน 25 ลาย 41 รูปที่ 4.7 ผ้าหลบต้นแบบ ผืนที่ 2 ถอดลายจำนวน 23 ลาย 43


ช รูปที่ 4.8 ผ้าหลบต้นแบบ ผืนที่ 3 ถอดลายจำนวน 13 ลาย 45 รูปที่ 4.9 ผ้าหลบต้นแบบ ผืนที่ 4 ถอดลายจำนวน 11 ลาย 47 รูปที่ 4.10 ผลการถอดลายจากอัตลักษณ์ชุมชน 100 ลายของกลุ่ม COP 2 โรงเรียน 59 รูปที่ 4.11 ผลิตภัณฑ์ต้นแบบแม่เหล็กติดตู้เย็น ลวดลายประยุกต์ 3 ไต (ไตลื้อ ไตยวน ไตยอง) ชุด 12 นักษัตร 67 รูปที่ 4.12 ผลิตภัณฑ์ต้นแบบเสื้อพิมพ์ลายประยุกต์ 3 ไต (ไตลื้อ ไตยวน ไตยอง) 75 รูปที่ 4.13 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ริเริ่มนำลวดลายใหม่ไปใช้ 76 รูปที่ 4.14 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ต้นแบบงานฝีมือประณีตละเอียดปักด้านหน้าด้านหลังเหมือนกัน 76 รูปที่ 4.14 ตัวอย่างผลจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบโดยการต่อยอดจากการออกแบบลวดลายใหม่ 76 รูปที่ 4.15 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ต้นแบบงานลวดลายพรรณพฤกษาประยุกต์ปักตัวอักษรล้านนาโบราณ 77 รูปที่ 4.16 เข้าร่วมการประกวดงานฝีมือท้องถิ่นร่วมสมัย ของที่ระลึก 78 รูปที่ 4.17 ตัวอย่างการรับรองเรื่องความถูกต้องของข้อมูล 79 รูปที่ 4.18 เว็บไซต์คลังข้อมูลดิจิทัลอัตลักษ์ชุมชน WWW.CAPABILITYTANK.COM 80 รูปที่ 4.19 สมาชิก COP 2 โรงเรียนได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 81 รูปที่ 4.20 ใบสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชน จดรายการสั่งซื้อโดยผู้อำนวยการโรงเรียงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 82 รูปที่ 4.21 ผลิตภัณฑ์ของขวัญพิเศษของหนังสือกว่าจะเป็นช้าง บ้านจ๊างนั๊ก 83 รูปที่ 4.22 แบบจำลองความสำเร็จของรูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชน อย่างยั่งยืน 84


1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความสำคัญและที่มาของปัญหา การพัฒนาชุมชนพึ่งตนเองตามแนวทางพระราชดำริ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง1 มุ่งเน้นการ พัฒนาที่สอดคล้องกับความสามารถและความต้องการของชุมชน ช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนในการประกอบ อาชีพ2 สร้างชุมชนเข้มแข็งที่จะทำงานร่วมกันอย่างมีระเบียบแบบแผน3 และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อประโยชน์ ของส่วนรวม4 ซึ่งมีเป้าประสงค์เดียวกันกับแนวคิดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน5 ต่างให้ความสำคัญถึง ผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ส่วนที่เหลื่อมกันระหว่างสองแนวคิดคือ การพัฒนาตาม แนวทางพระราชดำริเน้นมิติทางวัฒนธรรมด้วย ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้านสร้างความสามารถในการ แข่งขันมีเป้าหมายพัฒนาที่มุ่งเน้นการยกระดับศักยภาพของประเทศในหลายมิติ บนพื้นฐาน 3 แนวคิด ได้แก่ 1 หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ระบบเศรษฐกิจพอเพียง “การเดินทางสายกลาง” มุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้ อย่างยั่งยืน และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามก าลังของเงินของบุคคลนั้น ซึ่งประกอบด้วยความ “พอประมาณ มี เหตุผล มีภูมิคุ้มกัน” บนเงื่อนไข “ความรู้” และ “คุณธรรม” สมดุล 4 มิติ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม หรือนิยาม “3 ห่วง 2 เงื่อนไข 4 มิติ” 2 พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พระราชทานแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อ วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2517 “กล่าวโดยส่วนรวมทั้งหมดเป็นวิชาการส าหรับพัฒนาส่งเสริมการประกอบอาชีพความเป็นอยู่ และ เศรษฐกิจทั่วไปโดยตรง บัณฑิตของมหาวิทยาลัยนี้ จึงเป็นความหวังของประเทศและของประชาชนทุกคน ที่จะเป็นก าลังส าคัญในการ สร้างสรรค์ความมั่นคงและเศรษฐกิจของชาติ ท่านทั้งหลายจึงควรจะได้ทราบตระหนักถึงข้อนี้ และควรที่จะส านึกเป็นหน้าที่ที่จะท าตน ท างานให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมโดยสมบูรณ์ การพัฒนาประเทศจ าเป็นต้องท าตามล าดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อม พอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยล าดับต่อไป...” 3 พระราชะด ารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่มีต่อกลุ่มชาวไร่ผักในพระบรมราชูปถัมภ์ ต าบลเขาใหญ่ อ าเภอชะอ า จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2513 หลักการในการพัฒนาการเกษตรและชุมชนตามแนวพระราชด ารัส “... ถ้าแต่ละคนมีความขยันหมั่นเพียร ทางราชการและผู้มีวิชาการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทางราชการก็จะช่วย ขั้นแรกที่สุด จะต้องแสดงว่าตนมีความ เข้มแข็ง มีความตั้งใจที่จะท างานร่วมกันอย่างเป็นสุขเสียก่อน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จะมีผู้ที่มาช่วยแล้วความเดือดร้อนต่างๆ ก็จะได้ บรรเทาไปไม่ให้เป็นทุกข์...” “ระหว่างนี้ขอให้พยายามที่จะจัดระเบียบแบบแผนให้ดีให้อยู่กันเป็นกลุ่มให้เข้มแข็งยิ่งๆ ขึ้น เพราะว่าการที่ จะอยู่ในที่ใหญ่ขึ้นไปนั้น ถ้าขาดความเข้มแข็งก็ตาม ถ้าขาดความสามัคคีเป็นกลุ่มเป็นก้อน ที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็ตาม จะเกิด อันตรายอย่างมาก เพราะว่างานนั้นมากขึ้น ที่กว้างขึ้นก็ต้องดูแลมากขึ้น ก็มีภาระ มีหน้าที่มากขึ้น ทุกคนต้องเตรียมใจ เตรียมกาย เพื่อที่จะรับที่ใหญ่กว่านี้ ถ้าไม่พร้อม ให้ที่ใหญ่ไปก็จะเกิดทุกข์ใหญ่มากขึ้น แต่ว่าถ้าพร้อมแล้ว ที่ใหญ่นั้นก็จะมีความเจริญได้ดี...” ชุมชน จะเข้มแข็งได้ก็ต้องพึ่งความเข้มแข็งของคนในชุมชน” 4 พระราชด ารัสของพระบาทสมเด็จพระเข้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2519 5 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) แผนการพัฒนาโลกเพื่อความยั่งยืนภายในปี ค.ศ. 2030 โดยมีองค์การสหประชาชาติ (United Nations) และสมาชิก 193 ประเทศทั่วโลกร่วมมือกันจัดท าขึ้น การพัฒนาที่ยั่งยืน หมาย ถึง “รูปแบบของการพัฒนาที่สนองความต้องการของคนในรุ่นปัจจุบันโดยไม่ท าให้คนรุ่น ต่อไปในอนาคต ต้องประนีประนอมยอมลดทอน ความสามารถในการที่จะตอบสนองความต้องการของตนเอง” ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2580


2 (1) “ต่อยอดอดีต” โดยมองที่รากเหง้าทางเศรษฐกิจอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และจุดเด่นทาง ทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย รวมทั้งความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของประเทศในด้านอื่น ๆ นำมา ประยุกต์ผสมผสานกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้สอดรับกับบริบทเศรษฐกิจและสังคมสมัยใหม่ (2) “ปรับ ปัจจุบัน” ปูทางสู่อนาคต ปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการพัฒนาอุสาหกรรมและบริการอนาคต และ (3) “สร้างคุณค่าใหม่ในอนาคต” ด้วยการเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการ พัฒนาคนรุ่นใหม่ รวมถึงปรับรูปแบบ ทางธุรกิจ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี6 ที่รองรับอนาคต บน พื้นฐานของการต่อยอดอดีตและปรับปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการยกระดับรายได้และการกินดีอยู่ดีและลดความ เหลื่อมล้ำ ดังนั้นรัฐบาลได้กำหนดเป้าประสงค์ของแผนเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และฉบับที่ 137 เป็นการพัฒนาที่มี “คน” เป็นศูนย์กลางการพัฒนา (People Centered Development) เพราะ “คน” เป็น ปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จของการพัฒนาในทุกเรื่อง การดำเนินชีวิตอย่างมั่นคงบนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเอง การทำงานในการพัฒนาคนจำเป็นต้องใช้แนวคิดที่สำคัญคือ “เข้าใจ เข้าถึง และร่วมพัฒนา”8 อย่างสอดคล้อง กับ “ภูมิสังคม”9 ที่หลากหลายของบริบทสังคมชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ตำบลบ้านธิ เป็นตำบลเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของจังหวัดลำพูน พื้นที่ประมาณ 73.5 ตาราง กิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มแอ่งหุบเขา มีลำน้ำแม่ธิจากภูเขาดอยเวียงไหลผ่านผ่าเมืองทางทิศ ตะวันออกลงสู่ทิศตะวันตก บรรจบลำน้ำแม่กวงที่ไหลผ่านตัดจากอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ติดต่อตำบล อุโมงค์จังหวัดลำพูน รวมระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร จำนวนหมู่บ้าน 20 หมู่ ประชากร 9,560 คน ประกอบด้วยกลุ่ม 3 กลุ่ม อาศัยอยู่รวมกันเป็นเวลาช้านาน เรียกตนเองว่า 1.คนไตลื้อ มีจำนวน 10 หมู่บ้าน 6 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) เป็นแผนการพัฒนาประเทศให้หน่วยงานของรัฐท าตามน าไปสู่ การปฏิบัติเพื่อให้ประเทศ ไทยบรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง” 7 1) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564) น าหลักการ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นปรัชญาน า ทางในการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่องจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 9-11 เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยให้สังคมไทย สามารถยืดหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงเกิดภูมิคุ้มกัน และมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ส่งผลให้การพัฒนาประเทศสู่ความ สมดุลและยั่งยืน 2) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (พ.ศ.2565-2569) ฉบับนี้มีเป้าหมายส าคัญในการ“พลิกโฉมประเทศไทย เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน” มีประเด็นทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ เช่น การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การ เพิ่มรายได้เฉลี่ยประชากร การเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวรายได้สูง การลดความเหลื่อมล ้าอย่างเป็นรูปธรรม 8 เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เป็นศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงใช้เป็น วิธีการทรงงานมาตลอดรัชสมัย ค าว่า “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” คือ การเข้าใจ คือ การสร้างให้เกิดความเข้าใจในข้อมูลพื้นฐาน ด้วย การศึกษาข้อมูลทุกมิติของชุมชน ค้นหารากของปัญหาและรวบรวมองค์ความรู้ของโครงการพระราชด าริทั่วประเทศ 9 ภูมิสังคม (n) geosocial English-Thai: Longdo Dictionary (UNAPPROVED version -- use with care) geosocial (n) ภูมิสังคม หมายถึง ความแตกต่างของแต่ละพื้นที่ ทั้งทางด้านภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม ชีวภาพ วีถีชีวิต ประเพณี ขนบธรรมเนียมและ วัฒนธรรม


3 2.คนไตยอง (คนลื้อเมืองยอง) มีจำนวน 7 หมู่บ้าน 3.คนไตยวน มีจำนวน 3 หมู่บ้าน การประกอบอาชีพที่ สำคัญ ได้แก่ การทำนา ทำสวนลำไย หัตถกรรมพื้นบ้านที่เกี่ยวข้องกับงานไม้ ประวัติศาสตร์พื้นถิ่น วิถีชีวิตชุมชน ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมประเพณี จำแนกพอสังเขปได้ดังนี้ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบในตำบลบ้านธิ ตำนานมุขปาฐะพื้นบ้านเล่าว่า พื้นแถบตำบลบ้านธิ เดิมเป็นชุมชนของชาวทมิลละ (ลัวะ) มาก่อน ต่อมายุคสมัยหริภุญไชย หลักฐานบันทึกไว้ว่าบริเวณแถบเป็น พันนา ชื่อ “พันนาเชียงเรือ” มาถึงสมัยราชวงศ์มังรายแห่งล้านนา10 เข้ามายึดครอง เป็นเมืองสำคัญแหล่งอู่ข้าว อู่น้ำของอาณาจักรล้านนา ยุคนี้มีศิลปะและโบราณสถานสำคัญที่เกี่ยวข้องทางพุทธศาสนาสร้างขึ้นในพื้นที่ เป็นจำนวนมาก มีการค้นพบซากปรักหักพังที่เรียกว่า “กู่” (ศาสนสถานประกอบด้วยวิหาร อุโบสถ เจดีย์ฯ) ครอบคลุมทั้งอำเภอบ้านธิ ไปจนถึงตำบลมะเขือแจ้ ตำบลบ้านกลาง ตำบลศรีบัวบาน ของอำเภอเมืองลำพูน พบซากกู่มากกว่า 100 แห่ง จนชาวบ้านเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “บ้านธิตำบล 100 กู่ นครโบราณใต้ดิน” สิ่งที่ ค้นพบตามซากส่วนใหญ่เป็น เครื่องปั้นดินเผาข้าวของเครื่องใช้ครัวเรือนและของส่วนตัว เช่น ถ้วย ชาม ไห กล้องสูบยา ตุ่ม อื่นๆ ทางศาสนาได้แก่ พระพุทธรูป ฆ้อง กลอง เชิงเทียนที่เป็นสัมฤทธิ์ เป็นต้น บางชิ้นมีการ เคลือบผิวคล้ายงานสังคโลก มีการเขียน วาดลวดลายประดับอย่างสวยงาม โบราณสถานที่สำคัญได้แก่ กู่เฮือง และป่าลาน ที่ยังคงปรากฏให้เห็น ในตัวซุ้มแต่ละด้านมีลวดลายปูนปั้นอย่างวิจิตร มีความงดงามตามศิลปะ ระดับช่างหลวงราชสำนักราชวงศ์มังรายและช่างฝีมือจีน คล้ายลายปูนปั้นของวัดโพธารามวิหาร (วัดเจ็ดยอด สมัยเจ้าติโลกราช)11 ครั้นราชวงศ์มังรายเสื่อมการปกครองและได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าอย่างยาวนาน มากกว่า 200 ปี จนถึงยุคราชวงศ์ทิพย์จักราวงศ์ซึ่งตรงกับอาณาจักรรัตนโกสินทร์ตอนต้น อาณาจักรล้านนาซึ่ง อยู่ในฐานะประเทศราช มีเมืองเชียงใหม่เป็นเมืองหลวง เจ้าผู้ครองนครสมัยนั้นชื่อว่า พระเจ้ากาวิละ ได้ทําการ ฟื้นฟูเชียงใหม่ล้านนาจากพม่า จึงได้รวบรวมผู้คนมาสร้างเมืองใหม่ ส่งทัพไปกวาดต้อนบรรดาคนจากหัวเมือง ต่างๆ มาที่เชียงใหม่ เรียกว่ายุค “เก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง” ดังนั้นจึงเข้าไปกวาดต้อนคนทางหัวเมืองทาง เหนือมาเก็บไว้ อาทิเช่น เมืองสิบสองปันนา เมืองเชียงตุง เมืองฉาน เมืองยอง ฯลฯ จนได้คนหลายเผ่าพันธุ์มา อยู่รวมกัน เช่น ไตใหญ่ ลื้อ เขิน ยาง มารวมกับคนพื้นเมืองเดิม ได้แก่ คนลัวะและคนยวนหรือโยนกที่มาจาก เชียงแสนตั้งแต่สมัยพญามังราย มีการนำผู้คนมาไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อสร้างเมืองตามจังหวัดต่างๆ ทั้ง 8 จังหวัด ในภาคเหนือตอนบน สำหรับจังหวัดลำพูนได้นำคนเมืองยองมามากที่สุด จนเป็นประชากรชาติพันธุ์ส่วนใหญ่ ของลำพูน และมีการค้าขาย การติดต่อสัมพันธ์เดินทางไปมาหาสู่กันตลอดเวลา บางกลุ่มสมัครใจอพยพเข้ามา 10 ราชวงศ์มังราย เป็นราชวงศ์ที่ปกครองอาณาจักรล้านนา รวมระยะเวลา 260 ปี (พ.ศ.1835-2101) โดยมีพญามังรายเป็นปฐมกษัตริย์ 11 พระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. 1952–2030) พระมหากษัตริย์ล้านนาแห่งราชวงศ์มังรายพระองค์ที่ 9 จากบันทึกเอกสาร “หมิงสือลู่” ของจีน เอกสารแปล “ปาไป่ สีฟู่ ปาไป่ ต้าเตี้ยน” กล่าวถึงทั้งสองอาณาจักร มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและ การเมือง พบหลักฐานงานช่างฝีมือผสมช่างฝีมือล้านนา ในสถาปัตยกรรมปูนปั้นลวดลายวัดโพธาราม (วัดเจ็ดยอด) ซึ่งสร้างขึ้นในสมัย พระองค์


4 อยู่ในล้านนาและไม่กลับไปเมืองเดิมอีกเลย เช่น คนไตเขิน แถววัวลาย ซึ่งเป็นช่างฝีมือชุมชนที่มีชื่อเสียงด้าน หัตถกรรมของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น ประวัติการเข้ามาตั้งรกรากกลุ่มคนต่างๆ อำเภอบ้านธิ มีดังนี้ คนไตยอง (คนลื้อเมืองยอง) ได้ถูกกวาด ต้อนมาจากเมืองยองเขมรัฐ เชียงตุงมาไว้ที่ลำพูนและขยายชุมชนมาสู่บ้านธิ ราวปี พ.ศ.2348-2357 คนไตลื้อ ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองสิบสองปันนา เชียงรุ้ง (สำเนียงคนบ้านธิเมืองเจ๋งฮ่ง หรือ จิ่งหง หรือ เจ่งฮุ้งหรือเชียง รุ่งปัจจุบัน) มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ราวปี พ.ศ.2357-2368 และ คนไตยวน เข้ามาตั้ง รกรากหนีความยากจนและน้ำท่วม โดยได้ย้ายถิ่นมาจากแถบบ้านวังสิงห์คำ ตำบลป่าแดด อำเภอสารภี จังหวัด เชียงใหม่ ราวปี พ.ศ. 2420-2430 ทั้งนี้คนไตลื้อมีจำนวนประชากรมากเป็นส่วนใหญ่ของคนที่อาศัยอยู่ในตำบล บ้านธิ ปัจจุบันคนที่อาศัยอยู่ในตําบลบ้านธิ ที่เรียกว่าชุมชนคน 3 ไตนั้น ได้จำแนกกลุ่มคนตามสำเนียงภาษา พูดเป็นหลัก ซึ่งจะแตกต่างกันอย่างชัดเจนมาก รวมถึงลักษณะการแต่งกายที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะตน เช่น คน ไตลื้อ ผู้หญิงสวมเสื้อปั๊ดเอวลอย มีลายขลิบสีสันสวยงามและนุ่งผ้าซิ่นลายขวาง ทอเทคนิคล้วงหรือเกาะ เรียกว่า “ลายน้ำไหล” โพกหัวสีขาว ชอบใส่เสื้อผ้าโทนสีเข้มถึงดำ คนไตยอง ลักษณะการแต่งกายผู้หญิง ทอ ผ้าซิ่น ลวดลายที่ทอเรียกว่า “ซิ่นก่านก๋าควาย” หัวท้ายของซิ่นเป็นสีแดงหรือสีดำสลับกันไป เสื้อเป็นเสื้อปั๊ด รัดรูป เอวสั้น แขนกระบอก ตัดเย็บด้วยมือ ผ้าโพกหัวสีขาวและชมพู นิยมการเกล้ามวยแล้วเสียบปิ่นปักผมเป็น เครื่องประดับ เจาะหูด้วยด็อกหู ทำจากเงินหรือทองคำ คนไตยวน เครื่องแต่งกายผู้ชายไตยวนชาวบ้านปกติ จะนุ่งผ้าต้อยหรือผ้าเค็ดหม่าม ไม่นิยมสวมเสื้อแต่จะใช้ผ้าผืนยาวคลุมร่างกาย แต่ดั้งเดิมจะนิยมสักหมึกเป็น ลวดลายประดับผิวหนังตามความเชื่อในคาถาอาคม เครื่องแต่งกายผู้หญิงไตยวน นุ่งผ้าซิ่นประกอบจากผ้าหน้า แคบลายริ้วขวางลำตัว ต่อตีนด้วยผ้าสีแดงหรือดำ และต่อหัวซิ่นด้วยผ้าสองสีคือ สีขาวและสีแดง/ดำ หรือ อาจ เป็นผ้าสีเดียวก็ได้ เย็บเข้าด้วยกันเป็นถุง เรียกซิ่นชนิดนี้ว่า “ซิ่นต๋า” หรือ “ซิ่นต่อตีนต่อเอว” สำหรับในโอกาส พิเศษผู้หญิงชาวไตยวนในล้านนา นิยมนุ่งผ้าซิ่นตีนจก คือซิ่นต่อเชิง ให้ดูงดงามกว่าธรรมดา ในอดีตหญิงไตยวน ไม่นิยมสวมเสื้อเช่นเดียวกับผู้ชาย มีผ้าคล้องคอที่จะใช้พันหน้าอกก็ได้ พาดบ่าก็ได้ หรือโพกศีรษะก็ได้ เกล้าผม ไว้ที่ท้ายทอย ปักปิ่น ใส่ลานหู สร้อย กำไล แหวน เข็มขัด และเครื่องประดับต่างๆ การเปลือยอกถือว่าเป็นเรื่อง ปกติ ยกเว้นเวลาเข้าวัดซึ่งจะใช้ผ้าห่มแบบเฉียงที่เรียกว่า “ผ้าสะหว้ายแล่ง” ความน่าสนใจของการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ด้วยเหตุผลที่เชื่อมโยงกับมิติการท่องเที่ยวชุมชนบ้านธิเมือง สามไต ที่จังหวัดลำพูนและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้บรรจุปฏิทินการท่องเที่ยวลำพูน ในรอบ 12 เดือน ที่ให้นักท่องเที่ยวหรือผู้มาเยือนต่างถิ่น ห้ามพลาด...เที่ยวที่บ้านธิ เนื่องจากตำบลบ้านธิเป็นพื้นถิ่นที่มีคนไตลื้อ อาศัยเพียงแห่งเดียวในจังหวัดลำพูน จากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นพบว่าสินค้าภายในชุมชนที่คนบ้านธินำ ออกจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ได้แก่ สินค้าพืชผักการเกษตร ลำไย ของฝากพื้นบ้านประเภทอาหาร ว่างของขบเคี้ยว เช่น ข้าวแต๋น ข้าวแคบ น้ำพริก ในส่วนของสิ่งทอได้แก่เสื้อผ้าไตลื้อ มีจำหน่ายเพียงจุดเดียว และมีสินค้าจำกัด เนื่องจากคนที่ทอผ้าเป็นผู้สูงอายุและที่ทอลายขะแจ๋หลงตู้เป็นมีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่จึงรับ


5 ของมาจากทางกลุ่มแม่บ้านอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายและนำมาจำหน่ายต่อ ซึ่งไม่เกิดการจ้างงานและ การส่งเสริมอาชีพพื้นฐานในชุมชน และมีข้อมูลอีกอาชีพหนึ่งที่ไม่ค่อยกล่าวถึงได้แก่ การค้าขายไม้เก่าและ ผลิตภัณฑ์เครื่องเรือนเครื่องใช้จากไม้เก่า ซึ่งมีผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องมากกว่า 40 ราย โดยส่วนใหญ่ ผู้ประกอบการจะไปซื้อบ้านไม้เก่าทั่วภาคเหนือตอนบน ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้สัก จากนั้นจะรื้อมาแยกชิ้นส่วน ต่างๆ ขาย พบว่ามีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในตำบลบ้านธิ และตำบลห้วยยาบ อำเภอบ้านธิ ซึ่งการค้าขาย ไม้เก่าและผลิตภัณฑ์จากไม้เก่าของอำเภอบ้านธิ นับเป็นรายใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ สิ่งที่ค้นพบมีไม้มีตำหนิ เศษ ไม้ ไม้แผ่น ไม้ปลีก ขี้เลื่อย เครื่องเรือนจากการรื้อบ้าน จากผู้ค้าไม้เรือนเก่าและผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์จำนวนมาก ของเหลือจึงถูกทิ้งหรือนำไปขายเหมากองในราคาที่ถูกมาก ผู้วิจัยจึงมีความสนใจพัฒนาศักยภาพชุมชน โดยจะนำเอาแนวทางพัฒนาพื้นที่สูง (โครงการหลวง) ตาม หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ใช้รูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน มาเป็นต้นแบบในกระบวนพัฒนาลงในผืนผ้า และไม้เก่า โดยมีการถอดลายอัตลักษณ์ชุมชนโดยการสืบค้น และ สืบสาน แบ่งเป็นจำนวน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านที่ 1 ภาษา ถอดลายจาก ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ และภาพ ด้านที่ 2 ศิลปกรรม หัตถกรรม ถอดลายจากศิลปะผ้าหลบ ผ้าซิ่น ลายปักจักสาน เครื่องเงินเครื่องเขินต่าง ด้าน ที่ 3 สถาปัตยกรรม ถอดลายจากวัด อาคาร บ้านเรือน โบสถ์ วิหาร เจดีย์ สถูป และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ด้านที่ 4 ภูมิสังคม ถอดลายจากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตพื้นถิ่นรอบชุมชน เช่น ลายพรรณพฤกษา ลายสัตว์ และชีวภาพ ดังนั้นงานศึกษาวิจัย รูปแบบ “ร้อยลาย 3 ไต” เมื่อได้ผลิตภัณฑ์ การส่งเสริม สินค้าจาก บ้านธิจะมีราคาไม่สูงมากนัก เพราะได้เปรียบเพราะมีต้นทุนสินค้าและค่าจ้างแรงงานต่ำ เพราะวัตถุดิบต้นทุน การผลิตส่วนใหญ่จะเป็นของส่วนเกินหรือเหลือใช้จากงานอื่น และคนบ้านธิ มีทักษะ ความชำนาญทางฝีมือช่าง อยู่แล้ว กระบวนการศึกษา จึงจะดำเนินการตั้งแต่ ต้นน้ำ ได้แก่ การเก็บรวบรวมลวดลายต่างๆ เป็นคลังข้อมูล พร้อมนำมาใช้ประโยชน์ กลางน้ำ พัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้เกิดนวัตกรรม โดยผ่านกระบวนการจัดการความรู้ การ ใช้เครื่องมือถ่ายทอดความรู้ (PAR + CIPP + OKR + CoP) และเทคโนโลยีการออกแบบสมัยใหม่มาประกอบ ในการสร้างให้เกิดลวดลายใหม่ๆ ปลายน้ำ จะใช้กระบวนการทางธุรกิจจะใช้วิธีการ Technology Marketing Public Relation Responsive Platform มาเป็นตัวช่วยในการจัดการ ให้กลุ่มเป้าหมายรับองค์ความรู้ที่ ถ่ายทอดให้ จนสามารถพึ่งตนเองและจัดการตนเองอย่างยั่งยืนและมั่นคงซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ ยั่งยืน Sustainable development goals (SDGs) 1.2 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อสืบค้น สืบสาน ส่งเสริม ถอดลวดลายและสร้างลวดลายอัตลักษณ์เป็นของดีชุมชนบ้านธิเมือง 3 ไต (ไตลื้อ ไตยวน ไตยอง) 2. เพื่อประยุกต์ พัฒนาลวดลาย นำไปใช้สร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภันฑ์ชุมชนอย่างสร้างสรรค์สู่การพัฒนา ที่ยั่งยืนและสร้างธุรกิจชุมชน


6 1.3 ขอบเขตการดำเนินงาน ถ่ายถอดองค์ความรู้ “รูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน” ให้กับกลุ่มชุมชนนักปฏิบัติCoP อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน ซึ่งประชากรกลุ่มเป้าหมายมี จำนวน 20 คน ประกอบด้วย ปราชญ์ ครู นักเรียน และผู้ประกอบการของอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน 1.4 แผนการดำเนินงาน รูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 3 แผนงาน มี 2 องค์ประกอบหลักและ 5 ขั้นตอน มีรายละเอียดโดยสังเขปดังต่อไปนี้ ตารางที่ 1.1 แผนการดำเนินงาน แผนงาน ร้อยละของกิจกรรม องค์ประกอบที่ 1 การเตรียมชุมชนนักปฏิบัติ CoP แผนงานที่ 1 การสร้างองค์ความรู้และเสริมสร้างศักยภาพ - การเตรียมชุมชนนักปฏิบัติ CoP 10 องค์ประกอบที่ 2 การดำเนินกิจกรรมชุมชนนักปฏิบัติCoP แผนงานที่ 1 การสร้างองค์ความรู้และเสริมสร้างศักยภาพ - ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ปัญหาความต้องการ - ขั้นตอนที่ 2 การวางแผนปฏิบัติการ แผนงานที่ 2 การส่งเสริมสนับสนุนและยกระดับธุรกิจชุมชน - ขั้นตอนที่ 3 การเรียนรู้จากการปฏิบัติ แผนงานที่ 3 การประเมินผลโครงการ - ขั้นตอนที่ 4 การประเมินผล - ขั้นตอนที่ 5 การระบุการเรียนรู้และการแบ่งปัน 90


7 บทที่ 2 องค์ความรู้และเทคโนโลยี องค์ความรู้ที่ถ่ายทอดให้กับกลุ่มชุมชนนักปฏิบัติ CoP ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของสมาชิกในชุมชน ท้องถิ่นที่มีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะพัฒนาเพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนและร่วมเรียนรู้ สร้างแนวปฏิบัติใหม่ๆ ที่ดียิ่งขึ้นไป โดยองค์ความรู้ที่ถ่ายทอดให้กับกลุ่มชุมชนนักปฏิบัติ CoP ดังกล่าวมี หลักการและรายละเอียดขั้นต่อดังต่อไปนี้ 2.1 หลักการและขั้นตอนรูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน “รูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน” ซึ่งผู้วิจัยได้นํา “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” และ “หลักการทรงงาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาประยุกต์ใช้ร่วมกับการวิจัยเชิง ปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) โดยเฉพาะการใช้ในการส่งเสริมให้ชุมชนสามารถเกิดกระบวนการเรียนรู้และ สามารถวิเคราะห์ถึงศักยภาพที่ชุมชนมีทั้งในด้านความรู้ อัตลักษณ์ และความเชี่ยวชาญ มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนา ธุรกิจชุมชนแบบพอเพียง พอประมาณ และมีภูมิคุ้มกัน คิดจากสิ่งที่มีอยู่จริง (อัตลักษณ์ชุมชน/วัตถุดิบในพื้นที่) และ ไม่คิดไกลเกินความสามารถ (ความรู้/ความเชี่ยวชาญ) ให้เกิดเป็นธุรกิจชุมชนที่เกิดจาก 1) การจัดการ ประสบการณ์อย่างเป็นระบบ 2) การคิดวิเคราะห์แบบมีส่วนร่วม 3) การสะท้อนคิดสังเคราะห์ 4) การดำเนินการ และประเมินผล 5) การเรียนรู้/พัฒนาอย่างเป็นระบบบูรณาการกับแนวคิดเชิงกระบวนพัฒนาการประกอบด้วย ระบบประเมิน CIPP's Model ใช้ริเริ่มสําหรับการวิเคราะห์และประเมินตนเอง และยังถูกใช้กํากับ ติดตามตลอดกระบวนการ พัฒนาด้วย เพื่อผลลัพธ์จากการประเมินจะเป็นข้อมูลที่ถูกตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็น สารสนเทศก่อนจะนําไปใช้เป็นองค์ประกอบการ ตั้งเป้าหมายและวางแผนพัฒนาในลําดับต่อไป ระบบบริหารจัดการ OKR จะเป็นการกําหนดทิศทางใหม่ ทั้งของชุมชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องมี ความสอดคล้องหรือมีส่วน สนับสนุน OKRs ของกันและกันเพื่อก่อให้เกิดแรงจูงใจภายในของการพัฒนาที่เพิ่มมาก ขึ้น และหารูปแบบที่ดีที่สุดของตนเองผ่าน การท้าทายและเลือกผลลัพธ์ที่สร้างผลกระทบสูง ระบบจัดการความรู้ CoP เพื่อให้เกิดการส่งเสริมการเข้ามาทํางานแบบมีส่วนร่วมของชุมชุน Community ในรูปแบบสมาชิก ชุมชนนักพัฒนาร่วม มี Domain เป็นเป้าหมายเพื่อสร้างองค์ความรู้และดึงดูด ชุมชนเข้ามาร่วมกันพัฒนาการทํางาน เน้น Practice แนวทางปฏิบัติ การเรียนรู้ซึ่งได้รับจากการทําโครงการพัฒนา เป็นหลักเพื่อสร้างแนวทางปฏิบัติใหม่ๆ ที่ดียิ่งขึ้นไป ดังนั้น รูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน จึงตั้งอยู่บนฐาน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและหลักการทรงงาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ที่บูรณาการร่วมกับ ระบบประเมิน CIPP's Model ระบบบริหารจัดการ OKR และ ระบบจัดการความรู้ CoP ที่มุ่งเป้าให้ชุมชนเข้า มีส่วนร่วม PAR ในทุก กระบวนการวิจัย เพื่อให้ชุมชนมีศักยภาพสามารถจัดการตนเองและจัดการความรู้ได้อย่างเป็นระบบ


8 รูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลักและ 5 ขั้นตอน มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ องค์ประกอบที่ 1 การเตรียมชุมชนนักปฏิบัติ CoP ชุมชนนักปฏิบัติคือ กลุ่มคนผู้ที่แสวงหาพยายามทำความเข้าใจความหมายของสิ่งใดสิ่งหนึ่งร่วมอยู่ เสมอ และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะพัฒนาความรู้ของตนในด้านนี้ผ่านการแลกเปลี่ยนและสร้าง ความรู้ที่จะช่วยผลักดันกิจกรรมชุมชนอย่างต่อเนื่องในที่สุด เครื่องมือเตรียมชุมชนนักปฏิบัติ 5W1H มีใคร ทำอะไร ทำทำไม ที่ไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร เป็น เครื่องมือคำถามที่คำตอบจะกลายเป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อให้ประกอบการตัดสินใจในการการกำหนดขอบเขต ของโดเมนให้กระตุ้นความสนใจและดึงดูดสมาชิก การค้นหาสมาชิกกลุ่มชุมชนนักปฏิบัติCoP ร่วมเครือข่าย และระบุความจำเป็นเกี่ยวกับความรู้พื้นฐาน องค์ประกอบที่ 2การดำเนินกิจกรรมชุมชนนักปฏิบัติCoP การดำเนินกิจกรรมชุมชนนักปฏิบัติ CoPอยู่บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมปฏิบัติของชุมชนในทุกขั้นตอน มีลักษณะเป็นวงจรต่อเนื่อง มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงความรู้กันโดยอาศัยการสะท้อนคิดกลับไปมา อย่างเป็นระบบ ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ปัญหาความต้องการ ดำเนินการร่วมสืบค้น วิเคราะห์ ไตร่ตรอง ร่วมประเมินตนเองอย่างซื่อตรงถึงสภาพปัจจุบัน ปัญหา อุปสรรค บริบทที่เกี่ยวข้องกับความต้องการจำเป็น ทรัพยากร กระบวนการเดิม และผลลัพธ์เดิม เพื่อกระตุ้นให้ ชุมชนนักปฏิบัติ CoPเกิดความเข้าใจตรงกัน แล้วจะนำข้อเท็จจริงที่ได้ไปใช้เป็นหลักการพื้นฐานประกอบการ วางแผนปฏิบัติการต่อไป เครื่องมือการวิเคราะห์ปัญหาความต้องการ CIPP's Model เป็นเครื่องมือประเมินเพื่อใช้วิเคราะห์จุด แข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของชุมชนอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย 1. Context บริบท ปัจจัยพื้นฐานที่นำไปสู่การกำหนดเป้าหมาย เช่น วิถีชีวิต สังคม ทรัพยกร และ สิ่งแวดล้อม เป็นต้น 2. Input ทรัพยากร หรือ องค์ประกอบต่างๆ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดผลลัพธ์ที่จำเป็นต่อชุมชน และส่งผลต่อความสำเร็จ เช่น คน เงิน วัสดุอุปกรณ์ การจัดการ และคุณธรรม เป็นต้น 3. Process กระบวนการ การบริหารจัดการที่นำไปสู่ผลสำเร็จของชุมชน ได้แก่ ประหยัดต้นทุน ประหยัดทรัพยากร ประหยัดเวลา ความทันเวลา การสื่อสารที่ถูกต้อง และที่สำคัญคุณภาพ คือ การทำสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกต้องตามแผนที่ได้วางไว้ 4. Product ผลลัพธ์ผลสำเร็จที่พิจารณาในแง่ของการบรรลุตามเป้าหมายที่พึงปรารถนาหรือ เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ คือ การทำสิ่งที่ถูกต้อง


9 ขั้นตอนที่ 2 การวางแผนปฏิบัติการ ดำเนินการร่วมวางแผนปฏิบัติการเป็นการกำหนดแนวทางปฏิบัติการไว้ก่อนล่วงหน้า ซึ่งอาศัยการ คาดคะเนแนวโน้มของผลลัพธ์จากการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้โดยใช้ข้อเท็จจริงหลักการพื้นฐาน จากขั้นตอน การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการและข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาประกอบการตัดสินใจเลือกแผนการ ปฏิบัติการ กำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์หลัก OKR ที่เป็นฉันทามติ เครื่องมือใช้วางแผนปฏิบัติงาน OKR เครื่องมือบริหารจัดการกำหนดเป้าหมาย(วัตถุประสงค์) และใช้ ติดตามผลในสิ่งที่สำคัญ(ผลลัพธ์หลัก) ประกอบด้วย 1. Objective วัตถุประสงค์คือ การตั้งเป้าหมายชัดเจนว่าอะไรคือเรื่องที่สำคัญ ควรเป็นเป้าหมาย ที่สร้างแรงบันดาลใจเพื่อกระตุ้นให้ทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2. Key Resource ผลลัพธ์หลัก คือ การกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้มี แนวทางวัดอย่างไรและวัดเมื่อไหร่ เพื่อใช้ติดตามผลความก้าวหน้าของเป้าหมาย ขั้นตอนที่ 3 การเรียนรู้จากการปฏิบัติ ชุมชนนักปฏิบัติ CoP ดำเนินการลงมือปฏิบัติตามแผนที่กำหนดไว้อย่างรอบคอบและรับผิดชอบให้ เป็นไปตามที่ระบุไว้ในแผน อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงการปฏิบัติตามแผนที่กำหนดไว้มีโอกาสเปลี่ยนแปลง ได้ตามเงื่อนไขและข้อจำกัดของสภาวการณ์เวลานั้นซึ่งชุมชนนักปฏิบัติCoP สามารถปรับแก้ไขตามความ เหมาะสม และมีการทบทวนระหว่างการปฏิบัติ เครื่องมือ ใช้ OKR ติดตามความก้าวหน้าของผลลัพธ์หลักและใช้ CIPP Model ประเมินผลระหว่าง ดำเนินงาน ทบทวนเพื่อรู้จุดดี/จุดบกพร่องหรือเข้าใจตรงไหนไม่เพียงพอ ขั้นตอนที่ 4 การประเมินผล ดำเนินการประเมินผล CIPP's Model และตรวจสอบ OKR ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมด้วยการ สังเกตการณ์ปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยอุปสรรคการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ ตลอดจนประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังปฏิบัติตามแผนงานว่าได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังหรือไม่ เครื่องมือ ใช้ OKR และ CIPP's Model ประเมินผลหลังจากสิ้นสุดการดำเนินงานเพื่อทราบผลการ ปฎิบัติการ ขั้นตอนที่ 5 การระบุการเรียนรู้และการแบ่งปัน ดำเนินการร่วมอภิปรายชุมชนนักปฏิบัติ CoPและผู้เกี่ยวข้องร่วมถอดบทเรียน ระบุข้อค้นพบ แล้ว สังเคราะห์เป็นชุดความรู้ CIPP’s Model ที่ได้เรียนรู้จากกระบวนการแก้ไขปัญหาและการเปลี่ยนแปลง และ ควรระบุด้วยว่าองค์ความรู้ที่ได้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใดบ้าง เพื่อขยายผลยังชุมชนอื่นๆ ต่อไป เครื่องมือใช้ CIPP's Model เป็นกรอบในการสังเคราะห์ชุดองค์ความรู้


10 ขั้นตอนการดำเนินงาน กับ แนวคิดพระราชดำริ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา จากภาพประกอบแสดงความเกี่ยวข้องของกระบวนการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับ ศักยภาพธุรกิจชุมชน (องค์ความรู้) กับ แนวคิดพระราชดำริ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา โดยทีมวิจัยค้นหาผู้นำกลุ่ม สมาชิก (5W1H) ที่พร้อมจะทำงานร่วมกันในรูปแบบชุมชนนักปฏิบัติ(CoP) ร่วมดำเนินกิจกรรมตลอดโครงการ ซึ่งขั้นตอนการดำเนินกิจกรรมของชุมชนนักปฏิบัติเริ่มจากการรู้ถึงปัญหาและความต้องการของตนเองผ่านการ ร่วมวิเคราะห์ บริบท ทรัพยากร กระบวนการ และผลลัพธ์(CIPP) อย่างเป็นระบบแบบองค์รวมเพื่อ “เข้าใจ” ศักยภาพของตนเอง และได้ข้อเท็จจริงพื้นฐานที่จะใช้เป็นหลักในการวางแผนกำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์หลัก (OKR) ซึ่งจะเป็นแนวทาง “เข้าถึง” การพัฒนาร่วมกัน นำไปสู่การเรียนรู้จากการปฏิบัติตามแผน “พัฒนา” การประเมินเพื่อตรวจสอบและปรับแผนเพื่อการพัฒนา การถอดความรู้ความสำเร็จ การถ่ายทอดและต่อยอด ความรู้เป็นวงจรหมุนต่อเนื่องอย่างยั่งยืน รูปที่ 2.1 รูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับชุมชนอย่างยั่งยืน


11 บทที่ 3 วิธีดำเนินงาน ดำเนินงานเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ “รูปแบบการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับธุรกิจชุมชน อย่างยั่งยืน” แก่กลุ่มชุมชนนักปฏิบัติ CoP ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของสมาชิกในชุมชนท้องถิ่นที่มีความมุ่งมั่น ร่วมกันที่จะพัฒนาเพื่อยกระดับธุรกิจชุมชนผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนและร่วมเรียนรู้สร้างแนวปฏิบัติใหม่ๆ ที่ดียิ่งขึ้นไป โดยคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายจากบุคคล กลุ่ม หรือชุมชน ที่มีความสนใจด้านการพัฒนาธุรกิจชุมชน ท้องถิ่นอย่างยั่งยืนในพื้นที่ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน โดยมีวิธีการดำเนินงานดังรายละเอียดต่อไปนี้ 3.1 การเตรียมชุมชนนักปฏิบัติ CoP ดำเนินการคัดเลือกบุคคล กลุ่ม หรือชุมชน ในอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน ที่มีความสนใจพัฒนาธุรกิจ ชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน อาจรวมถึงนักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่มีความสนใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการ พัฒนาธุรกิจชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยการจัดประชุมชุมชน ทีมวิจัยนำเสนอโครงการกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเทศบาลตำบลบ้านธิและแกนนำชุมชนเพื่อทำ ความเข้าใจและสร้างกลไกความร่วมมือโครงการแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการร่วมพัฒนาธุรกิจชุมชนภายใต้ วัตถุประสงค์ของโครงการ


12 รูปที่ 3.1 ประชุมชุมชนเตรียมจัดตั้งกลุ่มชุมชนนักปฏบัติ CoP ธุรกิจชุมชน 3.2 การดำเนินกิจกรรมของชุมชนนักปฏิบัติCoP การดำเนินกิจกรรมชุมชนนักปฏิบัติ CoP อยู่บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมปฏิบัติของชุมชนในทุกขั้นตอน มีลักษณะเป็นวงจรต่อเนื่อง มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงความรู้กันโดยอาศัยการสะท้อนคิดกลับไปมา อย่างเป็นระบบ ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ การวางแผนและการ ปฏิบัติงาน การเรียนรู้จากการปฏิบัติ การประเมินผล และ การระบุการเรียนรู้และการแบ่งปัน


13 3.2.1 การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ ชุมชนนักปฏิบัติ CoP ดำเนินการร่วมสืบค้น วิเคราะห์ ไตร่ตรอง ร่วมประเมินตนเองอย่างซื่อตรงถึง สภาพปัจจุบัน ปัญหาอุปสรรค โดยใช้ CIPP’s Model เป็นกรอบในการค้นหาบริบทที่เกี่ยวข้องกับความ ต้องการจำเป็น ทรัพยากร กระบวนการเดิม และผลลัพธ์เดิม กระตุ้นให้ชุมชนนักปฏิบัติ CoP เกิดความเข้าใจ ตรงกันในกลุ่ม ความสามารถที่เป็นจุดแข็ง ความรู้ ทักษะตลอดจนทัศนคิดที่จำเป็นในการทำงานด้านอัตลักษณ์ ชุมชน (Competency) และ ความสามารถในการผลิต หรือกำลังผลิตของชุมชนในการตอบสนองความต้องการ ของลูกค้าความสามารถที่จะรับงานมากน้อยเท่าใด (Capacity) เพื่อให้ได้ชุดของข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบช่วย ในการตัดสินใจเลือกเป้าหมายและแผนงานที่เหมาะสมกับบริบทและความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง ซึ่ง จะก่อให้เกิดการประสานพลังความสามารถในการทำงานร่วมกันของชุมชน (Capability) โดยการจัดประชุม ย่อยอาศัยการสะท้อนคิดใคร่ครวญอยู่บนพื้นฐานหลักการเรียนรู้จากการปฏิบัติด้วยกระบวนการวิจัยเชิง ปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงธุรกิจชุมชนที่ชุมชนร่วมกันเป็นเจ้าของ รูปที่ 3.2 ประชุมกลุ่มย่อย CoP ธุรกิจชุมชน ร่วมค้นหาข้อเท็จจริงของชุมชนอย่างเป็นระบบ


14 3.2.2 การวางแผนและการปฏิบัติงาน จัดฝึกอบอมเชิงปฏิบัติการร่วมวางแผนปฏิบัติการเป็นการกำหนดแนวทางปฏิบัติการโดยใช้ข้อเท็จจริง หลักการพื้นฐาน จากขั้นตอนการวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการและข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาประกอบการ ตัดสินใจเลือกแผนการปฏิบัติการ กำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์หลัก OKR ที่เป็นฉันทามติ รูปที่ 3.3 ประชุมกลุ่ม CoP ธุรกิจชุมชนร่วมกำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์หลัก OKR


15 3.2.3 การเรียนรู้จากการปฏิบัติ ชุมชนนักปฏิบัติ CoP ดำเนินการลงมือปฏิบัติตามแผนที่กำหนดไว้อย่างรอบคอบและรับผิดชอบให้ เป็นไปตามที่ระบุไว้ในแผน ซึ่งปรับแก้ไขได้ตามความเหมาะสม และมีการทบทวนระหว่างการปฏิบัติ CoP 1 ปราชญ์ ลงพื้นที่ชุมชนบ้านธิเก็บรวมรวมลวดลายอัตลักษณ์ที่มีความโดดเด่น เพื่อนำไประบุองค์ความรู้ รูปที่ 3.4 กลุ่ม CoP 1 ปราชญ์รวบรวมองค์ความรู้อัตลักษณ์ชุมชน


16 การระบุองค์ความรู้และการสังเคราะห์องค์ความรู้อัตลักษณ์ชุมชน โดดสอบถามความหมาย ความสำคัญ และการนำไปใช้ของลวดลายต่างๆ รวมไปถึงแนวทางการจัดหมวดหมู่ กับผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ รูปที่ 3.5 สัมภาษณ์ออนไลน์ แม่ครูดอกแก้ว ธีระโครต รูปที่ 3.6 สัมภาษณ์ครู นุสรา เตียงเกตุ


17 รูปที่ 3.7 สัมภาษณ์ อ.อนันต์ สุคันธรส ผู้ทรงคุณวุฒิ-ประธานสภาวัฒนาธรรมอำเภอสันกำแพง และ คุณยอดดนัย สุขเกษม นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ 7 รูปที่ 2.8 สัมภาษณ์ สล่าเพชร วิริยะ พิพิธภัณฑ์บ้านจ๊างนัก


18 CoP 2 โรงเรียน ดำเนินการ “ถ่ายทอดความรู้เทคนิคการออกแบบทางเทคโนโลยี” ผ่านลวดลายอัตลักษณ์ชุมชนที่ได้ จากการรวบรวมและจัดหมู่ของกลุ่ม CoP ปราชญ์ ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของกลุ่ม CoP โรงเรียน ซึ่ง ประกอบด้วยครู และนักเรียน หลักสูตรกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนด้านศิลปะงานประดิษฐ์ ถอดลวดลายอัตลักษณ์ ชุมชนด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก ในรูปแบบ Pixel Art ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับลวดลายที่ถูกทอบนผ้า หลบ12 เพื่อสร้างการตระหนักรู้อัตลักษณ์ของตนเองให้กับคนวัยทำงาน (ครู) และคนรุ่นใหม่ (นักเรียน)ให้เห็น คุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่นในรูปแบบที่สร้างสรรค์ รูปที่ 3.9 ถ่ายทอดองค์ความรู้อัตลักษณ์ชุมชนด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก ในรูปแบบ Pixel Art 12 ผ้าหลบ หมายถึง ผ้าปูที่นอนซึ่งใช้ปูทับลงบนฟูกที่นอน (สลี) อีกทีหนึ่ง โดยทั่วไปจะเป็นผ้าฝ้ายสีขาวทอลายขัดธรรมดา ใช้ฟื มที่มีหน้า แคบ กว้างประมาณ 40 –60 ซม


19 ดำเนินการ “จัดศึกษาดูงานเรียนรู้ศิลปะเชิงปฏิบัติการกับศิลปินท้องถิ่น” เพื่อกระตุ้นจิตวิญญาณ ผู้ประกอบการชุมชนและสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะลวดลาย ร่วมไปถึงได้รู้จักและมี ประสบการณ์กับสายอาชีพที่ตนชื่นชอบจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงในพื้นที่ปฏิบัติงานจริง รูปที่ 3.10 ศึกษาดูงานพิพิธภัณฑ์บ้านจ๊างนัก โดย สล่าเพชร วิริยะ ครูของแผ่นดิน รูปที่ 3.11 ศึกษาดูงานหอศิลป์ปาน บุญมี บุญศรี โดยศิลปิน อาจารย์ประสงค์ ลือเมือง


20 ดำเนินการ “ถ่ายทอดองค์ความรู้พื้นฐานการออกแบบตัวการ์ตูน Character Design” ที่ผู้เรียนจะได้ รู้จักกับการสร้างตัวการ์ตูนแบบแอนิเมชั่นจำลองหลากหลายรูปแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อฝึกฝนและพัฒนา ทักษะต่างๆ ที่สำคัญตั้งแต่เข้าใจสรีระโครงสร้างร่างกาย (Anatomy) การวาดเส้น การวาดรูปทรง การลงแสง เงา และการปั้นเพื่อใช้เป็นฐานคิดออกแบบตัวการ์ตูนของตัวเองให้มีความเป็นเอกลักษณ์ โดดเด่นไม่เหมือนใคร รูปที่ 3.12 อบรมเชิงปฏิบัติการพื้นฐานการออกแบบตัวละคร Character Design ดำเนินการ “ถ่ายทอดองค์ความรู้การคิดเชิงสร้างสรรค์และการเล่าเรื่อง Story telling” กิจกรรมนี้ เป็นการฝึกคิดแบบเส้นตรงหรือฝึกคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลเรียงลำดับขั้น และการฝึกคิดแบบรวมหรือการ ปะติดปะต่อสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน การรวมไอเดีย การคิดเชื่อมโยงเพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ออก ลวดลายอัตลักษณ์ได้อย่างสร้างสรรค์ รูปที่ 3.13 อบรมเชิงปฏิบัติการคิดเชิงสร้างสรรค์และการเล่าเรื่อง Story telling


21 CoP 3 ผู้ประกอบการ ดำเนินการ “ศึกษาดูงานวิทยาลัยสื่อ ศิลปะและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ห้องปฏิบัติการ Series 0” โดย นางสาวนฤมล กิติ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รูปที่ 3.14 ศึกษาดูงานปฏิบัติการด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ดำเนินการ “จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการปักผ้าขั้นสูง” โดย คุณนพมาศ ประธานราษฏร์ ร้านผ้า ฝ้ายคำแพ เชียงใหม่ ซึ่งเป็นการให้คำปรึกษาเชิงลึกแนะนำกลุ่ม CoP ผู้ประกอบการ เพื่อฝึกฝนและพัฒนา ออกแบบผลิตภัณฑ์ชุมชนต้นแบบ รูปที่ 3.15 อบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการปักผ้าขั้นสูง ดำเนินการ “พัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ” แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ (1) การนำองค์ความรู้ลวดลายอัต ลักษณ์ชุมชนดั้งเดิมของ CoP 1 ปราชญ์ ไปใช้พัฒนาโดยนักออกแบบ (2) การนำลวดลายใหม่ที่ CoP 2 โรงเรียนจินตนาการต่อยอดจากองค์ความรู้ลวดลายดั้งเดิม ส่งต่อให้นักออกแบบนำไปพัฒนาต่อยอด (3) การนำ องค์ความรู้ลวดลายอัตลักษณ์ชุมชนดั้งเดิมของ CoP 1 ปราชญ์ ส่งต่อให้ศิลปินนำไปพัฒนาต่อยอด


22 รูปที่ 3.16 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบของดีลายอัตลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นอำเภอบ้านธิ ดำเนินการ “ประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด” โดยส่งมอบผลิตภัณฑ์ต้นแบบให้กับโรงเรียนเทศบาลตำบล บ้านธิ และกลุ่มผู้สูงอายุองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยยาบเพื่อทดลองจัดจำหน่ายผ่านช่องทางการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ตามกิจกรรมพิเศษ เช่น งานวันครู งานเกษตรแฟร์ของดีร้านค้าโรงเรียน Boat Shop และตลาด คุณธรรมของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวมไปถึงจัดทำเว็บไซต์เพื่อใช้เป็นคลังข้อมูลจัดเก็บองค์ความรู้อัตลักษณ์ ของชุมชนเพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น เผยแพร่ให้ประชาชนที่สนใจเรียนรู้ อีกทั้งยังจะเป็นช่องทางการสื่อสาร ทางการตลาดในอนาคต และการส่งผลงานประกวดแข่งขัน


23 รูปที่ 3.17 ช่องทางการจัดจำหน่ายและการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการตลาด


24 3.2.4 การประเมินผล ดำเนินการประเมินผล CIPP’s Model และตรวจสอบ OKR ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมด้วยการ สังเกตการณ์ปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยอุปสรรคการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ ตลอดจนประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังปฏิบัติตามแผนงานว่าได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังหรือไม่ โดยกระบวนการกลุ่มของชุมชน แลกเปลี่ยน การถามนำ การพูดคุย และการสัมภาษณ์แบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการประเมิน รูปที่ 3.18 การพูดคุยและการสัมภาษณ์แบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการประเมินผล 3.2.5 การระบุการเรียนรู้และการแบ่งปัน ดำเนินการร่วมอภิปรายชุมชนนักปฏิบัติ CoP และผู้เกี่ยวข้องร่วมถอดบทเรียน ระบุข้อค้นพบ แล้ว สังเคราะห์เป็นชุดความรู้ CIPP’s Model ที่ได้เรียนรู้จากกระบวนการแก้ไขปัญหาและการเปลี่ยนแปลง รูปที่ 3.19 การแลกเปลี่ยนเพื่อระบุการเรียนรู้


25 บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน 4.1 การเตรียมชุมชนนักปฏิบัติ CoP กลุ่มเป้าหมาย ในภาพรวม คือ ชุมชนและผู้ประกอบการกลุ่มไม้เก่าและผู้สูงอายุห้วยยาบ13 หลังจาก ศึกษาแล้วกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ได้ชัดเจนขึ้นและตั้งเป็น CoP 3 กลุ่มเชื่อมโยงกัน ได้แก่ CoP 1 กลุ่มปราชญ์ ชุมชนและสภาวัฒนธรรม (มีหลายช่วงวัย) – กลุ่มที่สนใจรวบรวม และสังเคราะห์ความรู้เดิม CoP 2 กลุ่ม ครู และนักเรียน โรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ – กลุ่มพัฒนาต่อยอด และ CoP 3 กลุ่มผู้ริเริ่มเรียนรู้เพื่อนำลายไป ใช้ (ทั้งลายดั้งเดิมและลายใหม่) รูปที่ 4.1 สรุปการคัดเลือก CoP ธุรกิจชุมชน 3 ไต CoP 1 ปราชญ์ชุมชน 1. นายชาญวิช อภิวงศ์งาม ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีตำบลบ้านธิ 2. นางพรหมภัสสร บุตรดาจารุพงศ์ รองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านธิ 3. นางสาวจตุพร ตันเส้า รองปลัดเทศบาลตำบลบ้านธิ 4. นางสาวมุกดา ปินคำ นักพัฒนาการท่องเที่ยวชำนาญการ 5. นางสายตา ปาลี ประธานสภาวัฒนธรรมฯ 6. นายวิชัต ประธานราษฎร์ ปราชญ์ชุมชน (นายกสมาคมไม้เก่า) 7. นายมณฑล อ้นวันนา หัวหน้าโครงการ 8. อ.ดร. เฉลิมพล คงจิตต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการความรู้และนวัตกรรม 13 ผู้สูงอายุห้วยยาบ คือ ประธานสภาวัฒนธรรมตำบลห้วยยาบ รวมถึงผู้แทนประธานสตรีตำบลห้วยยาบที่สนใจและเป็นผู้ประกอบการ เกี่ยวกับผ้าเข้าร่วมปฏิบัติการเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการร้อยลายสามไตฯ CoP ธุรกิจชุมชน 3 ไต CoP 1 ปราชญ์ชุมชน (รวบรวม สังเคราะห์ความรู้เดิม) CoP 2 โรงเรียน (เรียนรู้ พัฒนาต่อยอด) CoP 3 ผู้ประกอบการ (ริเริ่ม นําลายเดิม-ใหม่ ไปใช้)


26 9. ดร. กรด เหล็กสมบูรณ์ นักวิจัยเชี่ยวนาญ สถาบันวิจัยสังคม มช. 10. นายยอดดนัย สุขเกษม นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ 7 11. นายวิเชียร ปัญญาใหญ่ ปราชญ์ชุมชน 12. นายชาเดย์ ฮั่น ปราชญ์ชุมชน 13. นายวันชัย ธิโย ปราชญ์ชุมชน CoP โรงเรียน 1. นายวิชัต ประธานราษฎร์ ปราชญ์ชุมชน (นายกสมาคมไม้เก่า) 2. นางสายตา ปาลี ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอบ้านธิ 3. นางผ่องใส คำชมภู ผู้ประกอบการผ้าทอ ตำบล ห้วยยาบ 4. นายแม้น ปาลี ผู้ประกอบการผ้าทอ ตำบล ห้วยยาบ 5. นายชูสง่า ประธานราษฎร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปกรรมวาดเส้น 6. นางนพมาส ประธานราษฎร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านหัตถกรรมปักผ้า 7. นายเฉลิมพล อินทชัยศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 8. นายสุกิจ อภิวงค์งาม รองผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 9. นางสาววิภาวี จีปูคำ ครูโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 10. นางสาวสุรารักษ์ อูปเสาร์ ครูโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 11. นายสมชาติ อุดมวงศ์รุ่งเรือง ครูโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 12. นายจตุพล บนแท่นทิพย์ ครูโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 13. นางฉัตรติยา ลังการัตน์ ครูโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 14. เด็กชายธนภัทร เขียวจันสืบ นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 15. เด็กหญิงชุติกาญจน์ มหาไม้ นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 16. เด็กหญิงณัฐฑริกา ไชยา นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 17. เด็กหญิงนันทรัตน์ มูลหล้า นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 18. เด็กหญิงอาทิตยา ปัญโญใหญ่ นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 19. เด็กชายเกียรติกุล กาสนิท นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 20. เด็กชายธนภัทร ธรรมสิงห์ นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 21. เด็กชายภูมิพัฒน์ หลวงปา นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 22. เด็กหญิงกัญญาวีร์ ปันขันธ์ นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 23. เด็กหญิงณิชา กันธิยะวงค์ นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 24. เด็กหญิงปิยะภรณ์ มูลงาม นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ


27 25. เด็กหญิงพิมภรณ์ ปานนท์ นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 26. เด็กหญิงวรางคณา ไตรเดช นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 27. เด็กหญิงพิชชาภา สุภาษี นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 28. เด็กหญิงไอรดา น้ำจันทร์ นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 29. เด็กหญิงวณัฐธิดา มโนใจ นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 30. เด็กหญิงดาวิกา ชื่นศูนย์ นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ 31. เด็กหญิงณัฐนิชา มั่นกตัญญู นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ CoP 3 ผู้ประกอบการ 1. นายวิชัต ประธานราษฎร์ ปราชญ์ชุมชน (นายกสมาคมไม้เก่า) 2. นางสายตา ปาลี ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอบ้านธิ 3. นางผ่องใส คำชมภู ผู้ประกอบการผ้าทอ ตำบล ห้วยยาบ 4. นายแม้น ปาลี ผู้ประกอบการผ้าทอ ตำบล ห้วยยาบ 5. นางนพมาศ ประธานราษฎร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านหัตถกรรมปักผ้า 4.2 การดำเนินกิจกรรมของชุมชนนักปฏิบัติCoP โดยการประชุมกลุ่มย่อยชุมชนนักปฏิบัติ CoP อาศัยการสะท้อนคิดใคร่ครวญอยู่บนพื้นฐานหลักการ เรียนรู้จากการปฏิบัติด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม ประกอบด้วย การวิเคราะห์ปัญหา และความต้องการ การวางแผนและการปฏิบัติงาน การเรียนรู้จากการปฏิบัติการประเมินผล และการระบุการ เรียนรู้และการแบ่งปัน 4.2.1 ปัญหาและความต้องการ ผลการวิเคราะห์โดยใช้CIPP’s Model เป็นกรอบในการค้นหาข้อเท็จจริงบริบทที่เกี่ยวข้องกับความ ต้องการจำเป็น ทรัพยากร กระบวนการเดิม และผลลัพธ์เดิม รูปที่ 4.2 กระบวนการ CIPP’s Model 4.2.1.1 ช้อเท็จจริงด้านบริบท (Context) ข้อมูลทั่วไป ประวัติความเป็นมา “บ้านธิ” เดิมเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอเมือง จังหวัดลำพูน มีระยะทางที่ค่อนข้าง จะห่างไกลกว่าตำบลอื่นๆ ของอำเภอเมืองลำพูน มากกว่า 30 กิโลเมตร ประกอบกับเป็นตำบลที่มีเขตติดต่อ จังหวัดเชียงใหม่ถึง 3 อำเภอ คือ อำเภอสันกำแพง อำเภอแม่ออน และอำเภอสารภี ทางราชการจึงยกฐานะให้ บริบท ทรัพยากร กระบวนการ ผลลัพธ์


28 เป็นกิ่งอำเภอเมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2533 โดยมีเขตการปกครองรวมกับตำบลห้วยยาบ และได้ยกฐานะ เป็นอำเภอบ้านธิ เมื่อ วันที่ 7 กันยายน 2538 ตำบลบ้านธิ เป็นชื่อที่ตั้งตามชื่อของหมู่บ้าน ชุมชนใหญ่ที่ตั้งอยู่ตามลำน้ำแม่ธิ ซึ่งมีต้นกำเนิด จาก เทือกเขาขุนแม่ธิ บริเวณหมู่ 9 บ้านดอยเวียง ประชากรส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มคนเชื้อสายไตลื้อ ไตยอง และไตยวน บางส่วน ในตำนานประวัติความเป็นมาของบ้านธิถือว่าเป็นชุมชนเก่าแก่ จากหลักฐานทางโบราณวัตถุ โบราณสถาน ศิลปะ สถาปัตยกรรม ที่พอจะหลงเหลืออยู่ หากวิเคราะห์ถึงมูลเหตุของการสร้างบ้านแปลงเมือง วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมประเพณี ล้วนเป็นบริบททางสังคม ที่มีความผูกพันธ์กับอาณาจักร ล้านนาในอดีต ลักษณะภูมิประเทศ มีพื้นที่ทั่วไปเป็นที่ราบลาดเอียงจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ด้านทิศตะวันตก มีเทือกเขาพาดเป็นแนวยาวจากทิศใต้ขึ้นไปทางทิศเหนือ มีลำน้ำแม่ธิไหลผ่านตอนกลางของตำบลบ้านธิ มีพื้นที่ ทั้งหมด 52,160 ไร่ (จากการคำนวนโดยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ของกรมพัฒนาที่ดินกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์) พื้นที่ทั้งหมดแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือพื้นที่ราบประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ทั้งหมด และ พื้นที่ภูเขา ลักษณะพื้นที่ลาดจากทิศเหนือลงใต้และทิศตะวันตก ลักษณะภูมิอากาศ อยู่ในเขตภูมิอากาศแบบฝนเมืองร้อนเฉพาะฤดู ซึ่งฤดูฝนและฤดูแล้งแบ่งแยกกัน เด่นชัด ฤดูฝนเริ่มประมาณเดือนพฤษภาคมจนถึงตุลาคมรวมระยะเวลาประมาณ 4-5 เดือน มีน้ำเพียงพอตลอด ทั้งปีโดยมีอ่างเก็บน้ำแม่ธิ ขนาดความจุ 4.5 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นต้นทุนกักเก็บน้ำ มีคลองชลประทานจาก โครงการเขื่อนแม่กวง ไหลผ่าน นอกจากนี้บ้านธิยังมีการพัฒนาสร้างฝายชะลอน้ำในพื้นที่ป่าดอยเวียงจำนวน มากกักน้ำแก้ปัญหาภาวะแห้งแล้งและปัญหาฝนทิ้งช่วงตลอดปี พื้นที่อุดมสมบูรณ์พอสมควร ประชากร ตำบลบ้านธิมีหมู่บ้านจำนวน 20 หมู่บ้าน ประกอบด้วยตระกูลที่สำคัญได้แก่ ตระกูลปัญโญใหญ่ และ ตระกูลอภิวงค์งามและตระกูลสุภาษีเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ “ไตลื้อ” อาศัยอยู่ หมู่ที่ 3, 9, 11, 12, 13, 14, 15, 17 18, 19, และ 20 เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไตลื้อเมืองยอง “ไตยอง” อาศัยอยู่หมู่ที่ 4, 5, 19 6, 12, และ 16 เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ “ไตยวน” อาศัยอยู่ที่ 7, 8, และ 10 สังคมและเศรษฐกิจ อาชีพของประชากรส่วนใหญ่มีรายได้ในอาชีพการเกษตรกรรม คือ ลำไย และข้าวนาปี อาชีพนอกภาค การเกษตร ค้าขาย ส่วนใหญ่เป็นอาชีพรับจ้าง จะมีบางส่วนที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวจะทำงานในนิคมอุสาหกรรม ภาคเหนือซึ่งอยู่ห่างจากตำบลบ้านธิ ประมาณ 10 กิโลเมตร และแนวโน้มในอนาคตการจ้างงานแรงงานนอก ภาคการเกษตรจะมากขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของโรงงานอุสาหกรรม และมีความต้องการจ้างงาน แรงงานสาขาต่าง ๆ มากขึ้น วิถีชุมชนมีกลุ่มส่งเสริมการเพาะเห็ดหอม บ้านป่าตาลฮ่องแฮ่ หมู่ที่ 19 กลุ่มผู้ผลิตน้ำถุ้งบ้านป่าเปา หมู่ ที่ 2 ได้รับการยกมาตรฐานขึ้นเป็นสินค้า OTOP ระดับสามดาว กลุ่มผู้ผลิตข้าวแคบได้ถูกจัดเป็นสินค้า OTOP


29 ระดับหนึ่งดาวบ้านป่าปี้ หมู่ที่ 17 กลุ่มผู้ผลิตลำไยสีทองใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการถนอมอาหาร และข้อมูลอีก อาชีพหนึ่งที่ไม่ค่อยกล่าวถึงได้แก่ การค้าขายไม้เก่าและผลิตภัณฑ์เครื่องเรือนเครื่องใช้จากไม้เก่า ซึ่งมี ผู้ประกอบการเกี่ยวข้องมากกว่า 40 รายซี่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในตำบลบ้านธิ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ชุมชนไตลื้อ วัดพระธาตุดอยเวียง ตั้งอยู่ที่บ้านดอยเวียง หมู่ที่ 9 ตำบลบ้านธิ เป็นที่ประดิษฐานของเจดีย์เก่าแก่ซึ่งมี พระสารีริกธาตุบรรจุอยู่ ตามประวัติสันนิษฐานว่าสร้างเมื่อ พ.ศ. 1220 ซึ่งตรงกับสมัยของพระนางจามเทวีปฐม กษัตริเจ้านครลำพูน วัดบ้านธิหลวง ตั้งอยู่ที่บ้านศรีมูล หมู่ที่ 14 ตำบลบ้านธิ เป็นวัดเก่าแก่ของชุมชนไตลื้ออายุไม่น้อยกว่า 180 ปี อุโบสถวัดต้นหมื่น ตั้งอยู่ที่บ้านแพะ หมู่ที่ 11 ตำบลบ้านธิ เป็นอุโบสถแห่งแรกของชุมชนไตลื้อ ใช้ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ชุมชนไตยอง วัดป่าตาล ตั้งอยู่ที่ป่าตาล-ฮ่องแฮ่ หมู่ที่ 19 ตำบลบ้านธิ เป็นวัดแห่งแรกของชุมชนไตยอง วัดสันทราย ตั้งอยู่ที่บ้านสันทราย หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านธิ เป็นวัดที่สวยงามมีอุโบสถแบบจตุรมุข มีคัมภีร์ ใบลาน พับสา อักษรล้านนาจำนวนมาก ชุมชนไตยวน กู่เฮือง ตั้งอยู่ที่บ้านศรีดอนชัย หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านธิ เป็นโบราณสถานร้าง กู่ขนาดเล็ก มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญ คือ ฐานบัวในผังยกเก็จประดับลูกแก้วอกไก่ รองรับส่วนเรือนธาตุ ตกแต่งลวดลายพรรณพฤกษาหน้าบันประดับสัญลักษณ์ กู่ป่าลาน ตั้งอยู่ที่บ้านศรีดอนชัย หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านธิ เป็นกู่ขนาดเล็กประดับลวดลายปูนปั้นในฝนัง ช่อง จระนำเป็นลายดอกโบตั๋น มีการผูกลายก้านและดอก เต็มพื้นที่ลักษณะลายเครือล้านนา วัดศรีดอนชัย ตั้งอยู่ที่บ้านศรีดอนชัย หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านธิ มีพระพุทธรูปที่สำคัญคือ พระพุทธรูปเฉลิม สิริราชย์ปางลีลาที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ เอกลักษณ์ ชุมชนไตลื้อ ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองสิบสองปันนา เชียงรุ่ง (สำเนียงคนบ้านธิเมืองเจ๋งฮ่ง หรือ จิ่งหง หรือ เจ่งฮุ้งหรือเชียงรุ้งปัจจุบัน) มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ราวปี พ.ศ.2357-2368 คน ไตลื้อ ผู้หญิงสวมเสื้อปั๊ดเอวลอย มีลายขลิบสีสันสวยงามและนุ่งผ้าซิ่นลายขวาง ทอเทคนิคล้วงหรือเกาะ เรียกว่า “ลายน้ำไหล” โพกหัวสีขาว ชอบใส่เสื้อผ้าโทนสีเข้มถึงดำ โดยผู้ชายจะสวมเสื้อสีขาว กางเกงผ้าสะดอสี ขาว


30 ชุมชนไตยอง (คนลื้อเมืองยอง) ได้ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองยองเขมรัฐ เชียงตุงมาไว้ที่ลำพูนและขยาย ชุมชนมาสู่บ้านธิ ราวปี พ.ศ.2348-2357 ลักษณะการแต่งกายผู้หญิง ทอผ้าซิ่น ลวดลายที่ทอเรียกว่า “ซิ่น ก่านต๋าควาย” หัวท้ายของซิ่นเป็นสีแดงหรือสีดำสลับกันไป เสื้อเป็นเสื้อปั๊ดรัดรูป เอวสั้น แขนกระบอก ตัดเย็บ ด้วยมือ ผ้าโพกหัวสีขาวและชมพู นิยมการเกล้ามวยแล้วเสียบปิ่นปักผมเป็นเครื่องประดับ เจาะหูด้วยด็อกหู ทำ จากเงินหรือทองคำ ชุมชนไตยวน เข้ามาตั้งรกรากหนีความยากจนและน้ำท่วม โดยได้ย้ายถิ่นมาจากแถบบ้านวังสิงห์คำ ตำบลป่าแดด อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ราวปี พ.ศ. 2420-2430 เครื่องแต่งกายผู้ชายไตยวนชาวบ้านปกติ จะนุ่งผ้าต้อยหรือผ้าเค็ดหม่าม ไม่นิยมสวมเสื้อแต่จะใช้ผ้าผืนยาวคลุมร่างกาย แต่ดั้งเดิมจะนิยมสักหมึกเป็น ลวดลายประดับผิวหนังตามความเชื่อในคาถาอาคม เครื่องแต่งกายผู้หญิงไตยวน นุ่งผ้าซิ่นประกอบจากผ้าหน้า แคบลายริ้วขวางลำตัว ต่อตีนด้วยผ้าสีแดงหรือดำ และต่อหัวซิ่นด้วยผ้าสองสีคือ สีขาวและสีแดง/ดำ หรือ อาจ เป็นผ้าสีเดียวก็ได้ เย็บเข้าด้วยกันเป็นถุง เรียกซิ่นชนิดนี้ว่า “ซิ่นต๋า” หรือ “ซิ่นต่อตีนต่อเอว” นโยบาย นโยบายบ้านธิสมาร์ทซิตี้ ในด้านวัฒนธรรมประเพณีและการส่งเสริมอาชีพ โดยมุ่งเน้นเป็นเมืองแห่ง วัฒนธรรมล้ำค่า ส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมชุมชน โดยสืบสานวัฒนธรรมพื้นถิ่น (บ้านธิเมือง สามไต) ส่งต่อให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มีความภาคภูมิใจในวัฒนธรรม ให้ประชากรทุกกลุ่มวัยเข้มแข็งพร้อม พัฒนาส่งเสริมศักยภาพสภาเด็กและเยาวชนสืบสาน ในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน พัฒนาชุมชน ตำบลบ้านธิเป็นเมืองวัฒนธรรมในอัตลักษณ์ชุมชน “บ้านธิเมือง 3 ไต (ไตลื้อ ไตยอง ไตยวน)” เป็นแหล่ง ท่องเที่ยวเมืองรองที่สำคัญ ของจังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ ในโปรแกรม “เมืองต้องห้ามเที่ยว...พลาด Plus” ซึ่งประสบความความสำเร็จมีนักท่องเที่ยวมาจากการเที่ยวเชียงใหม่มากระดับหนึ่ง และปัจจุบันการท่องเที่ยว เริ่มฟื้นตัวหลังการระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส-19 ในด้านการสร้างงานอาชีพและรายได้ให้มีการต่อยอดอาชีพเก่า และพัฒนาต่อยอดอาชีพใหม่โดยสร้าง ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับศิลปวัฒนธรรมประเพณี“บ้านธิเมือง 3 ไต (ไตลื้อ ไตยอง ไตยวน)” โดยการสนับสนุน ส่งเสริมพัฒนากลุ่มวิสาหกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็ง โดยใช้โรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิเป็นฐานการเรียนรู้ของ เด็กและเยาวชน และบูรณาการด้านการศึกษาองค์ความรู้หลากหลายร่วมกับเทศบาลตำบลบ้านธิ สถานศึกษา ในตำบล ชมรมผู้สูงอายุและผู้ประกอบการที่สำเร็จในด้านอาชีพในตำบลบ้านธิ 4.2.1.2 ช้อเท็จจริงด้านทรัพยากร (Input) บุคลากรหรือกลุ่มที่สำคัญ (Man) โรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ ตั้งอยู่เลขที่ 141 หมู่ 19 ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน สังกัดเทศบาลตำบลบ้านธิ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เดิมชื่อโรงเรียนวัดป่าตาล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ) ถ่ายโอนมาเมื่อปี พ.ศ.2558 โดยการนำของ ผู้อำนวยการเฉลิมพล อินทชัยศรี ในขณะนั้นจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบันมีนักเรียน 397 คน บุคลากรทางการศึกษา


31 32 คน เปิดการเรียนการสอน 22 ห้องเรียน ในระดับปฐมวัย อนุบาล 1 - 3 จำนวน 9 ห้อง ระดับประถม ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 - 6 จำนวน 13 ห้อง มีเขตบริการ 20 หมู่บ้าน ทั้งในตำบลบ้านธิ ตำบลห้วยยาบ อำเภอ เมืองลำพูน และอำเภอสันแพง จังหวัดเชียงใหม่ หลักการจัดการศึกษา ใช้การบริหารโรงเรียนเป็นฐานในการ พัฒนาท้องถิ่น (SBMLD : School Based Management Local Development )14 โดยบูรณาการผสมผสาน ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ ซึ่งเชื่อว่าเด็กๆ มีความหลากหลายทางปัญญาและความสามารถที่เป็น เอกลักษณ์ของแต่ละคน ที่สามารถพัฒนาสู่การเรียนรู้อื่นๆได้ หากผู้เรียนได้รับการส่งเสริมในสิ่งที่ตนชอบถนัด จะส่งเสริมเขาเป็นอัจฉริยะในฉบับของเขาโดยโรงเรียนได้จัดโครงสร้างหลักสูตรขั้นพื้นฐานตามปกติ มาตรฐาน ของประเทศ และจัดเป็นหลักสูตรเพิ่มเติมให้สอดคล้องตามถนัดความชอบของผู้เรียน ในรูปแบบพื้นที่นักคิดนัก ปฏิบัติ(Maker Space)15 ซึ่งเป็นห้องเรียนที่ฝึกคิดและปฏิบัติโดยใช้ นวัตกรรมการเรียนรู้ธรรมชาติแนววิถีพุทธ “ปัญญาสาม”16 และ STEAM Design Process17 ในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ ทิศทางการพัฒนา 1. School Concept ( ปณิธานโรงเรียน) : พหุปัญญาสู่ความสำเร็จและอาชีพ / Multiple intelligence to success and career.18 2. วิสัยทัศน์โรงเรียน : สร้างผู้นำทางพหุปัญญา 3. เอกลักษณ์สถานศึกษาการ : จัดการเรียนรู้แนวพหุปัญญาและปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4. อัตลักษณ์ของผู้เรียน : คนดีวิถีพุทธ 5. คําขวัญ : “เป็นเลิศพหุปัญญา ล้ำค่าวัฒนธรรม ก้าวนำเทคโนโลยี สู่วิถีความพอเพียง” จุดเด่นของสถานศึกษา 14 SBMLD คือ การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานใน การพัฒนาท้องถิ่น (School-based Management for Local Development - SBMLD)ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 15 พื้นที่นักคิดนักปฏิบัติ (Maker Space) คือ การสร้างหรือจัดพื้นที่เรียนรู้ส าหรับนักสร้างสรรค์กิจกรรม เน้นการจัดพื้นที่ส าหรับให้ผู้เรียนรู้ ได้ท ากิจกรรมร่วมกัน มีการจัดวาง สื่อ อุปกรณ์ เครื่องมือ ให้เข้าถึงและสามารถใช้งานได้ง่าย เพียงพอ น่าสัมผัส ผู้เรียนสามารถท า กิจกรรมได้สะดวก กระตุ้นความอยากรู้ อยากเห็น มีความกล้าคิดกล้าท า กล้าแสดงออกค้นหาและท าในสิ่งที่ชอบ และเกิดการพัฒนา ทักษะส าคัญในศตวรรษที่21 16 ปัญญาสาม คือ แนวคิดหลักการเรียนการสอนของโรงเรียนเทศบาลต าบลบ้านธิ เพื่อพัฒนาเด็กสู่ความเป็นเลิศ ประกอบด้วย 1. สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟังหรือจากการเล่าเรียนอ่านมา 2. จินตมยปัญญา แปลว่า ปัญญาเกิดจากการคิด 3. ภาวนามย ปัญญา ปัญญาเกิดจากภาวนา คือ การลงมือปฏิบัติ 17 STEAM Design Process คือ เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ผ่านการท ากิจกรรมในพื้นที่นักคิดนักปฏิบัติ(Maker Space) เพื่อให้เด็กฝึก แก้ปัญหาได้อย่างมีเหตุผล และเด็กได้พัฒนาทักษะที่จ าเป็นในศตวรรษที่ 21 18 การจัดการเรียนรู้สู่พหุปัญญา เป็นกระบวนการพัฒนาการเรียนการสอน ในลักษณะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสาระการเรียนรู้และ ความสามารถทางการเรียนรู้ในตัวผู้เรียนตามทฤษฎีพหุปัญญาของ โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) ซึ่งจ าแนกไว้ 8 ด้าน ได้แก่ ด้านวาจา/ภาษา ด้านดนตรี/จังหวะ ด้านตรรกะ/คณิตศาสตร์ ด้านทัศสัมพันธ์/มิติสัมพันธ์ ด้านร่าวกาย/เคลื่อนไหว ด้านธรรมชาติ/การ รู้จักตนเอง และด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยมุ่งให้ผู้เรียนแต่ละคนรู้จักพัฒนาศักยภาพและความสามารถในการแก้ปัญหารวมถึงการ สร้างผลงานและเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้อย่างมีความสุขและยั่งยืน


32 1. เป็นสถานศึกษาจัดการศึกษาลักษณะพิเศษของกระทรวงมหาดไทย : จินตคณิตและการสื่อสาร แบบโฟนิกส์ 2. เป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของกระทรวงศึกษาธิการ ระดับประเทศ 3. เป็นสถานศึกษาพอเพียงต้นแบบของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย 4. จัดหลักสูตรกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่ส่งเสริมพหุปัญญาหลากหลาย 4.1 ว่ายน้ำ 4.2 ดนตรีสากล 4.3 ดนตรีพื้นเมือง 4.4 ขนม/ อาหาร 4.5 ช่างประจำบ้าน 4.6 ศิลปะงานประดิษฐ์ 4.7 ICT 4.8 วอลเลย์บอล 4.9 ฟุตบอล 4.10 โรงเรียนสวนพฤกษศาสตร์ 4.11 ฐานเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 11 ฐานได้แก่ ปุ๋ยหมัก, ข้าวอินทรีย์, ผัก สวนครัว, กบ, ไก่, ปลา, ไส้เดือน, สมุนไพร,จิ้งหรีด, มะนาว, กล้วยและผักเชียงดา ฯลฯ 4.12 ฐานการเรียนรู้ดวงดาวอวกาศ ของมหาวิทยาบัยสุรนารี โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ แห่งชาติจำกัดมหาชน 4.13 ห้องเรียน UZO Net ของ กสทช. 5. ผ่านการประเมินคุณภาพและมาตรฐานจากการประเมินภายนอกจากการตรวจเยี่ยมด้วยระบบ อิเล็กทรอนิกส์ภายใต้สถานการณ์ Covid - 19 ของสำนักงานรองรับมาตรฐานและประเมิน คุณภาพการศึกษา (องค์กรมหาชน :สมศ) ในระดับดีเยี่ยม 6. เครือข่ายส่งเสริมพัฒนาการศึกษา 6.1 เทศบาลตำบลบ้านธิ 6.2 ชมรมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย 6.3 มหาวิทยาลัยพายัพ 6.4 มหาวิทยาลัยสุรนารี 6.5 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และ กิจการโทรคมนาคม


33 6.6 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 6.7 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ 6.8 สวนน้ำ The Sun 6.9 มูลนิธิ STAR FISH Country Home. 6.10 สถาบันวิจัยหริภุญชัย 6.11 สถาบันวิจัยทางสังคมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กองทุนส่งเสริมสุขภาพระดับตำบลเทศบาล ประวัติส่วนตัวผู้บริหาร o นายเฉลิมพล อินทชัยศรี ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถานศึกษา ระดับ ชำนาญการพิเศษ o จบการศึกษาระดับปริญญาตรีวิทยาศาสตร์- เคมี o ผ่านการศึกษาระดับปริญญาโทครอสเวิร์ดวิจัยสถิติทางการศึกษา o ระดับปริญญาโทการบริหารการศึกษา o ตำแหน่งครูผู้สอน 6 ปี o ผู้บริหารสถานศึกษาถึงปัจจุบัน 27 ปี o เบอร์โทรศัพท์ 089-5529804 ประวัติครูเอกวิชาศิลปะ o นางสาวฉัตรติยา ลังการัตน์ o ศึกษาศาสตรบัณฑิต (ศิลปศึกษา) เกียรนิยมอันดับหนึ่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่


34 o วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิจัย วัดผลและสถิติการศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา o ตำแหน่งครูชำนาญการ o เบอร์โทรศัพท์ 091-4799386 สมาคมไม้เก่า ตั้งอยู่ที่ 195 หมู่ 5 ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน จุดเริ่มต้นปี 2562 ระหว่างการดำเนิน โครงการ MSMEs ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของการรวมกลุ่มเพื่อเป็นตัวแทน ของกลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่ จึงได้มีการจัดตั้งสมาคมไม้เก่า (Reclaimed Timber 2563 Association : RTA) ขึ้น ไม้เก่าได้รับการบรรจุให้เป็นหนึ่งในแหล่งของไม้ภายใต้ การควบคุมห่วงโซ่อุปทานไม้ (Supply Chain Control: SCC) ของประเทศไทยและเป็นของระบบประกันความถูกต้องตามกฎหมายของไม้ของประเทศไทย (Thai Timber Legality Assurance System: THA-TLAS) 2564 สมาคมได้มีการจัดทำแผนยุธศาสตร์ โดยมุ่งเน้นการให้บริการแก่สมาชิกซึ่งส่วนใหญ่เป็น MSMEs ทั้งในด้านการพัฒนาศักยภาพการประกอบกิจการและการผลิตและการประกอบกิจการอย่างถูกต้อง ตามกฎหมายรวมไปถึงเป็นตัวแทนของผู้ประกอบการในเวทีทางด้านกฎหมายและนโนบาย ทั้งในประเทศและ ระดับสากล กลุ่มอาสาสมัคร ประธานสภาวัฒนธรรมตำบลห้วยยาบและตัวแทนผู้นำสตรีตำบลห้วยยาบ อำเภอบ้านธิประกอบด้วย ผู้สูงอายุที่เป็นผู้ประกอบการผ้าทอและประชาชนทั่วไปที่มีจิตอาสา สมัครใจ เสียสละ และอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือ ด้านการจัดการพัฒนาท้องถิ่นในด้านต่างๆ เช่น ด้านกิจกรรมการส่งเสริมอาชีพชุมชน ด้านกิจกรรมการ สนับสนุนดูแลคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุ ด้านกิจกรรมพัฒนาด้านการศึกษา ฯลฯ งบประมาณสนับสนุน (Money) ขาดเงินทุนประกอบอาชีพ ประชาชนส่วนใหญ่ยังอยู่ในฐานะขาดแคลนทุนทรัพย์ในการลงทุน งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดไม่สามารถตอบสนองความต้องการปัจจัยพื้นฐานได้อย่างเพียงพอในการพัฒนา วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ (Material) วัสดุเศษไม้ ตำบลบ้านธิการค้าขายไม้เก่าและผลิตภัณฑ์เครื่องเรือนเครื่องใช้จากไม้เก่า ซึ่งมี ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องมากกว่า 40 ราย โดยส่วนใหญ่ผู้ประกอบการจะไปซื้อบ้านไม้เก่าทั่วไปในพื้นที่ ภาคเหนือตอนบน ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้สัก จากนั้นจะรื้อมาแยกชิ้นส่วนต่างๆ ขาย พบว่ามีมูลค่าทางเศรษฐกิจ สูงที่สุดในตำบลบ้านธิ และตำบลห้วยยาบ อำเภอบ้านธิ ซึ่งการค้าขายไม้เก่าและผลิตภัณฑ์จากไม้เก่าของ อำเภอบ้านธิ นับเป็นรายใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ สิ่งที่ค้นพบมีไม้มีตำหนิ เศษไม้ ไม้แผ่น ไม้ปลีก ขี้เลื่อย เครื่อง


35 เรือนจากการรื้อบ้าน จากผู้ค้าไม้เรือนเก่าและผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์จำนวนมาก ของเหลือจึงถูกทิ้งหรือนำไปขาย เหมากองในราคาที่ถูกมาก ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนเทศบาลตำบลบ้านธิ ที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการของ กสทช. เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวพัฒนาศักยภาพของนักเรียน ได้รับการเข้าถึง สร้าง ส่ง หรือแสดงข้อมูล เช่น ไฟล์ข้อมูล ข้อความ บทความ รูปภาพ วีดีทัศน์ เสียง กราฟิก หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และนำไปสู่การ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยในระยะยาว การบริหารจัดการพัฒนาชุมชน/ท้องถิ่น (Management) ประชาชนยังขาดความสนใจ ในด้านการมีส่วนร่วม ด้านการเมืองการปกครอง และการบริหารหรือ พัฒนาท้องถิ่นทำให้การดำเนินการเป็นเพียงการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งที่การพัฒนาและการ แก้ปัญหาหรือการวางแผนกำหนดทิศทางการพัฒนาท้องถิ่นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยความร่วมมือ เมื่อ ประชาชนไม่เข้าใจระบบบริหารงานของเทศบาลทำให้เกิดความเข้าใจผิดในด้านการติดต่อ ประสานงานอยู่ บ่อยครั้ง รวมถึงระบบบริหารจัดการของภาครัฐยังมีกฏระเบียบที่มาก ทำให้การให้บริการประชาชนยังขาด ความคล่องตัว และมีขั้นตอนที่มาก ขาดการสนับสนุนด้านความรู้ ช่องทางเข้าถึง รวมถึงการสนับสนุนในการ ปฏิบัติงาน ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศในทุกๆ ด้าน การประสานงานระหว่างหน่วยงานภายในยังขาด ประสิทธิภาพ การบริหารงานด้านบุคคลขาดการนำระบบคุณธรรมมาใช้การเมืองเข้ามามีบทบาทต่อการบริหาร มากขึ้น คติธรรม (Morale) การส่งเสริมการท่องเที่ยวบ้านธิ ตำแหน่งการพัฒนา จุดยืนทางการตลาด (Positioning) คือ บ้านธิ เมือง 3 ไต เสน่ห์มัดใจ ไตลื้อ ไตยวน ไตยอง ตำแหน่งการพัฒนาจังหวัดลำพูน “ลำพูน เมืองบุญหลวงแห่ง ล้านนา” 4.2.1.3 ช้อเท็จจริงด้านกระบวนการเดิม (Process) ด้านเศรษฐกิจ เกษตรและการท่องเที่ยว ชุมชนขาดการส่งเสริมนอกฤดูการทำการเกษตรทำให้ขาดโอกาสที่จะพัฒนาและสร้างรายได้ให้กับ ครัวเรือน หรือชุมชน ขาดการรวมกลุ่มเพื่อประกอบอาชีพซึ่งกลุ่มนับว่าเป็นพลังสำคัญในระบบเศรษฐกิจของ ชุมชน การขาดความสนใจ จริงใจ จริงจัง ของประชาชนในพื้นที่เอง ในการเอาใจใส่หรือสนใจกับโครงการ ช่วยเหลือของภาครัฐทำให้โครงการส่งเสริมไม่ประสบความสำเร็จ ประชาชนยังขาดกระบวนการเรียนรู้พึ่งพา ตนเองอย่างยั่งยืนทำให้ชุมชนยังอ่อนแอ


36 ด้านศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาชาวบ้านเริ่มสูญหาย เนื่องจากไม่ได้รับความสนใจ จากเยาวชนรุ่นหลัง วัฒนธรรมที่สั่งสมมา แต่โบราณจนเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นจะสูญหายไปหากไม่มีกระบวนการดำรงรักษาไว้ ประชาชน และ หน่วยงานอื่นๆ ที่มีอยู่ในพื้นที่ขาดความร่วมมือในการทำงานทำให้ไม่เกิดการบูรณาการร่วมกัน 4.2.1.4 ช้อเท็จจริงด้านผลลัพธ์ (Product) ทักษะอาชีพ ประชาชนได้รับรู้ และมีทักษะในการประกอบอาชีพตามนโยบายการส่งเสริมการดำเนินงานของกลุ่ม อาชีพของภาครัฐ ในการผลิตผลิตภัณฑ์ แต่ยังขาดระบบบริหารจัดการตนเองที่สร้างการเรียนรู้ให้ชุมชนสามารถ พัฒนาด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยลดการพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอกหรือภาครัฐให้น้อย ที่สุด สินค้าชุมชน สินค้าชุมชนที่คนบ้านธินำออกจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ได้แก่ สินค้าพืชผักการเกษตร ลำไย ของฝากพื้นบ้านประเภทอาหารว่างของขบเคี้ยว เช่น ข้าวแต๋น ข้าวแคบ น้ำพริก ในส่วนของสิ่งทอได้แก่ เสื้อผ้าไตลื้อ มีจำหน่ายเพียงจุดเดียวและมีสินค้าจำกัด เนื่องจากคนที่ทอผ้าเป็นผู้สูงอายุและกลุ่มที่มีทักษะ ความสามารถทอผ้าลายขะแจ๋หลงตู้เป็นมีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่จึงรับของมาจากทางกลุ่มแม่บ้านอำเภอเชียง ของ จังหวัดเชียงรายและนำมาจำหน่ายต่อ ซึ่งไม่เกิดการจ้างงานและการส่งเสริมอาชีพพื้นฐานในชุมชน 4.2.2 การวางแผนและการปฏิบัติงาน จากการวิเคาะห์ปัญหาและความต้องการ โดยการร่วมสืบค้น วิเคราะห์ ไตร่ตรอง ประเมินตนเอง ถึง สภาพปัจจุบัน ปัญหาอุปสรรค โดยชุมชนนักปฏิบัติ ในด้านบริบทที่เกี่ยวข้องกับความต้องการจำเป็น ปัจจัย นำเข้า กระบวนการเดิม และผลลัพธ์เดิมของชุมชน กลุ่มชุมชนนักปฏิบัติได้จัดลำดับความสำคัญตามข้อเท็จจริง ชุมชนมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ การพัฒนาธุรกิจชุมชน ควรเน้น การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และ สร้างรายได้ โดยการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของชุมชน ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์อัตลักษณ์ เพื่อ การสร้างมูลค่าเพิ่ม และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของการพึ่งพา ตนเองพึ่งพากันเอง และรวมกันเป็นกลุ่มอย่างมีพลังสามารถจัดสรรทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล โดยสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาของท้องถิ่น หลังจากการมีส่วนร่วมของชุมชนในการวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของพื้นที่พบว่าโรงเรียน เทศบาลตำบลบ้านธิ เป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีความพร้อมและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของโครงการ เนื่องด้วย หลักการจัดการศึกษา ใช้การบริหารโรงเรียนเป็นฐานในการพัฒนาท้องถิ่น มีหลักสูตรการเรียนการสอน เกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่นและมีบุคคลากรเฉพาะทาง หลักสูตรสอดคล้องตามถนัดความชอบของกลุ่มผู้เรียนใน


37 ด้านศิลปะงานประดิษฐ์ ในรูปแบบพื้นที่นักคิดนักปฏิบัติ (Maker Space) ซึ่งเป็นห้องเรียนของนักเรียนด้าน ศิลปะงานประดิษฐ์ที่ฝึกคิดและปฏิบัติซึ่งมีความสอดคล้องกับทิศทางของโครงการ การดำเนินการอบรมเชิงปฏิบัติการจัดทำแผนและแนวทางการปฏิบัติงานแบบมีส่วนร่วมของชุมชน โดยใช้ข้อเท็จจริงหลักการพื้นฐานจากขั้นตอนการวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ และข้อมูลต่างๆ ที่ เกี่ยวข้องมาประกอบการตัดสินใจเลือกแผนการปฏิบัติการ กำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์หลัก (OKR) ที่เป็น ฉันทามติร่วมกันดังนี้ รูปที่ 4.3 สรุปการตั้งเป้าหมายและผลลัพธ์หลัก (OKR) ของ CoP ธุรกิจชุมชน 3 ไต CoP ธุรกิจชุมชน 3 ไต Obj: ต้นแบบธุรกิจอัตลักษณ์ชุมชนอย่างยั่งยืน KR: กระบวนการแลกเปลี่ยนและสร้างความรู้เพื่อยกระดับ ธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน CoP 1 ปราชญ ชุมชน Obj: รวบรวม สังเคราะห์องค์ความรู้อัตลักษณ์ชุมชน KR 1: ชุดองค์ความรู้อัตลักษณ์ชุมชน 100 องค์ความรู้ KR 2: จัดหมวดองค์ความรู้อัตลักษณ์ชุมชน CoP 2 โรงเรียน Obj: มุ่งปลูกฝังและพัฒนาต่อยอดอัตลักษณ์ชุมชน KR 1: ถอดลายอัตลักษณ์ชุมชน 100 ลาย KR 2: ออกแบบลายใหม่ 20 ลาย CoP 3 ผู้ประกอบการ Obj: ริเริ่มนำลายอัตลักษณ์ชุมชนเดิม-ใหม่ไปใช้ KR 1: ต้นแบบผลิตภัณฑ์อัตลักษณ์ชุมชน 10 ต้นแบบ KR 2: ชนะการประกวดออกแบบผลิตภัณฑ์ 1 รางวัล


38 4.2.3 การเรียนรู้จากการปฏิบัติ 4.2.3.1 CoP 1 ปราชญ์ ลายอัตลักษณ์ 3 ไต ตามประวัติศาสตร์ชุมชนเมืองสามไต อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน การย้ายถิ่นฐานเข้ามาศัยกลุ่ม 3 กลุ่ม (ไตลื้อ ไตยวน ไตยอง) ดังที่ได้กล่าวไว้ตอนต้นในส่วนของข้อเท็จจริงด้านบริบท เรื่องเอกลัษณ์ของ 3 กลุ่มชาติ พันธุ์ มาอยู่ร่วมกันอย่างยาวนานมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต การติดต่อ ความสัมพันธ์ของ กลุ่มในพื้นที่บ้านธิ จนเกิดการไหลลื่นผสมผสานทางวัฒนธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน ลวดลาย 3 ไต เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2556 ทางเทศบาลตำบลบ้านธิ ได้ประชุมประชาคมหมู่บ้านจัดตั้ง กลุ่มทอผ้า ดึงเอาภูมิปัญญาการทอผ้าโดยวิถีดั้งเดิมของชาวไทยลื้อที่มีความโดดเด่นแตกต่างจากไทยลื้อที่อาศัย อยู่ในพื้นที่อื่น และมีลายการทอที่สืบทอดกันมาคือลายขะแจ๋หลงตู้ (กุญแจหลงตู้) ที่ถือเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น เฉพาะตัว ทางเทศบาลตำบลบ้านธิ ได้ค้นพบลายจะแจ๋หลงตู้ (กุญแจหลงตู้) จากห่อผ้าคัมภีร์จึงสันนิษฐานว่า ผ้าที่ชาวบ้านจะนำไปห่อใบลานเพื่ถวายวัดนั้นจะทอขึ้นมาเองและต้องใส่ลวดลายเพื่อให้เกิดความสวยงาม ใน อดีตลวดลายต่างๆ บนผ้าทอนั้นสามารถพบได้บนผ้าหลบ (ผ้าปูที่นอน) เท่านั้น ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะทอผ้าซิ่น (ผ้าถุง) ไว้ใช้กันเองโดยจะใช้ฝ้ายหลายๆ สีมาทำเส้นยืนเพื่อให้เกิดสีสันบนซิ่นเรียกว่า ซิ่นต๋าแต่ไม่นิยมนำ ลวดลายต่างๆ มาทอลงในผ้าซิ่น นอกจากการทอผ้าหลบ (ผ้าปูที่นอน) เท่านั้น จนมาพบ นางนภา สุยะใหญ่ (แม่วรรณ) ปัจจุบันอายุ 14 ปี เคยทอลายเดียวกันไว้เมื่อครั้ง อายุ 13 ปี สามารถบอกได้ ว่าผ้าลายนี้มีชื่อว่า ลายขะแจ๋หลงตู้ (กุญแจหลงตู้) โดยคุณแม่ของแม่วรรณ นางก่ำ สายปา (แม่หลวงก่ำ) ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว ก็สามารถทอผ้าได้แต่ไม่สามารถที่จะสอนแม่วรรณได้ เนื่องจากต้องทำมาหาเลี้ยงดูลูกๆ อีก 6 คน และได้มอบ ผ้าลายขะแจ๋หลงตู้ให้แม่วรรณนำไปให้แม่ต๋ายองเป็นคนสอนทอลายนี้ เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ลายอื่นๆ ต่อไป ต่อมา เมื่อแม่วรรณได้แต่งงานและมีครอบครัว จึงได้ยุติการทอผ้าเพื่อประกอบอาชีพอื่นเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ และครอบครัว


39 รูปที่ 4.4 การทอลวดลายขะแจ๋หลงตู้ (กุญแจหลงตู้) สืบเนื่องจากการนำลายขะแจ๋หลงตู้ (กุญแจหลงตู้) มาเป็นสัญลักษณ์ชุมชน 3 ไตบ้านธิ ที่หลอมรวม เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ความเชื่อ และวิถีชีวิตที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตามทุนทาง วัฒนธรรมด้านลวดลายยังปรากฏในรูปแบบที่จับต้องได้อีกจำนวนมาก เช่น งานหัตกรรม ภาพเขียน รูปปั้น โบราณสถาน โบราณวัตถุ อาคารพื้นถิ่น พืชพรรณพื้นถิ่น ฯลฯ ซึ่งมีนัยสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน กลุ่มจึงได้เล็งเห็นโอกาสของโครงการเพื่อสืบเสาะฐานทุนลวดลายอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่น จัดรวบรวม โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดหมวดหมู่ รวมไปถึงการสร้างจิตสำนึกรักษ์ท้องถิ่นแก่คนในพื้นที่ คนรุ่นใหม่ ให้เห็นคุณค่า ทุนทางวัฒนธรรม และต้องการสืบสานอนุรักษ์คุณค่าทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาต่อยอดพัฒนา สร้าง มูลค่าเพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์ นำไปสู่การสร้างรายได้ในพื้นที่ต่อไป KR 2: จัดหมวดหมู่องค์ความรู้อัตลักษณ์ชุมชน 3 ไต จากการแลกเปลี่ยนและสร้างองค์ความรู้อัตลักษณ์ชุมชนของกลุ่มปราชญ์ชุมชนได้นำแนวคิดทรัพย์สิน ทางปัญญา การแบ่งหมวดของลิขสิทธิ์ และการรวบรวมองค์ความรู้และแหล่งองค์ความรู้ด้านล้านนาคดีของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาใช้เป็นเกณฑ์ในการแบ่งหมวดอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐาน สามารถสืบค้นได้ เพื่อการ ถ่ายทอดและเผยแพร่องค์ความรู้ล้านนาคดีทั้งแปดด้านประกอบด้วย ด้านที่ 1 ภาษา วรรณกรรมและ วรรณศิลป์ ด้านที่ 2 โบราณคดีและประวัติศาสตร์ล้านนา ด้านที่ 3 ปรัชญา ศาสนา ความเชื่อ ไสยศาสตร์และ โหราศาสตร์ ด้านที่ 4 ศิลปกรรม หัตถกรรม ดนตรี และนาฏยกรรม ด้านที่ 5 สถาปัตยกรรม ด้านที่ 6 การกิน การอยู่ เครื่องนุ่งห่ม ด้านที่ 7 การแพทย์ล้านนา และด้านที่ 8 มานุษยวิทยา โดยนำปรับใช้ให้เหมาะสมกับ บริบทของแหล่งข้อมูลชุมชมรวมทั้งความสอดคล้องกับแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในเรื่องของการให้ ความสำคัญกับภูมิสังคม จึงได้แบ่งหมวดองค์ความรู้ได้แก่ ลายศิลปหัตกรรม ลายสถาปัตยกรรม ลายภูมิสังคม และลายภาษา


40 รูปที่ 4.5 หมวดองค์ความรู้อัตลักษณ์ชุมชน 3 ไต KR 1: ชุดองค์ความรู้อัตลักษณ์ชุมชน 100 องค์ความรู้ หมวดลวดลายศิลปะกรรม ลายผ้าหลบ จำนวน 72 ลาย ผ้าหลบเป็นผ้าปูทับลงบนฟูกหรือสะลีอีกทีหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าฝ้ายสีขาวทอขัดสานธรรมดาใช้ฟืม ขนาดเล็ก คือหน้ากว้างประมาณ 40 -60 ซม. ดังนั้นจึงนิยมทอสองผืนแล้วนำมาเย็บต่อกลางเพื่อให้มีขนาดที่ พอเหมาะแก่การปูบนฟูกได้พอดี ลวดลายตกแต่งบนผ้าหลบทอด้วยการขิด จะอยู่ที่เชิงผ้าเป็นที่หมายให้รู้ว่า เป็นส่วนตีน สีมาตรฐานคือ สี ดำ แดง ในบางท้องถิ่นลวดลายขิดตกแต่งจะมีขนาดใหญ่เกือบเต็มผืนผ้า มีทั้ง ลายเรขาคณิตและรูปสัตว์ต่างๆ ตรงส่วนชายครุยมักจะถักเก็บชายหรือใช้เส้นผ้าฝ้ายทำเป็นพู่ห้อยตกแก่ง ลักษณะผ้าหลบที่พบในแต่ละหมู่บ้าน จะบ่งบอกถึงความนิยมของแต่ละพื้นที่ ระเบียบของลวดลาย ลวดลายเป็นสิ่งที่ผลิตภาพทางวัฒนธรรมร่วมกันในสังคม ลวดลายผ้าเป็นภาพสองมิติที่ฝังตัวอยู่บน เครื่องแต่งกายและเครื่องใช้ไม้สอยในชีวิตประจำวันไม่มีเรื่องราวที่ต่อเนื่องบนพื้นที่และเวลา แต่เป็นสัญ ลักษณะที่ซ้ำซ้อนอยู่ระหว่างความจริงสามัญและความจริงศักดิ์สิทธิ์อีกทั้งเป็นเครื่องมือทางสังคมในการสร้าง ความหมาย ลวดลายประกอบด้วยเส้นหน่วยลาย โครงสร้างของลวดลายที่ถูกกำหนดด้วยเกณฑ์ที่มีระเบียบในการ ประกอบลวดลายขึ้น แบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยที่เล็กที่สุดของลวดลายคือเส้นและสี ไปสู่หน่วยที่ ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ได้แก่ หน่วยลายและโครงสร้างลวดลาย ที่ประกอบขึ้นด้วยการจัดระเบียบของลวดลาย ที่มี รากฐานความงามทางศิลปะที่กำหนดขึ้นด้วยความสมดุล สมมาตร การซ้ำเป็นช่วง ๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งใน องค์ประกอบลวดลาย หน่วยลายในแนวนอนเกิดจากเทคนิคการขิดตลอดทั้งผืนผ้า แบ่งหน่วยลายได้ 2 รูปแบบ (1) หน่วย ลายเดี่ยว มีรูปหลายลักษณะ คือ รูปทรงเรขาคณิต รูปสัตว์ รูปพืช รูปธรรมชาติ ซึ่งสามารถลดหรือขยายรูปนั้น ขึ้นอยู่กับความสำคัญต่อการจัดระเบียบโครงสร้างลวดลาย จึงสามารถแบ่งเป็นลายเดี่ยวขนาดเล็กและลายเดี่ยว ลายอัตลักษณ์ 3 ไต ศิลปหัตถกรรม สถาปัตยกรรม ภูมิสังคม ภาษา ผ้าทอ เครื่องใช้ไม้สอย ศาสนสถาน บ้านเรือน วิถีชีวิต พรรณพฤษา อักษร ตัวเลข


41 ขนาดใหญ่ (2) หน่วยลายประกอบ เกิดจากเส้นและหน่วยลายขนาดเล็กหลาย ๆ อันประกอบขึ้น เช่น รูปสัตว์ โดยเฉพาะนาค หน่วยลายประกอบแบ่งได้เป็น หน่วยลายประกอบเล็ก เกิดขึ้นจากหน่วยลาย 2 หน่วยประกอบ ขึ้นเป็นหลายใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม เช่น ขอกาบ สร้อยสา ส่วนหน่วยลายประกอบใหญ่ เกิดจากหน่วยลาย เดี่ยวมากกว่า 2 ลายขึ้นไป เพื่อสร้างขนาดหน่วยลายที่ใหญ่กว่าหน่วยลายทั้งหมด และวางอยู่ตรงกลางบรรทัด ของหน่วยลายในโครงสร้างลวดลาย รูปที่ 4.6 ผ้าหลบต้นแบบ ผืนที่ 1 ถอดลายจำนวน 25 ลาย ตารางที่ 4.1 ชุดองค์ความรู้ลวดลายผ้าหลบผืนที่ 1 ลายดอกแก้ว พัฒนามาจากการผสมรูปสามเหลี่ยม และสี่เหลียม ลายขันดอก ใช้เป็นเสาแบ่งหน่วยลายภายใน แถวเดียวกัน ลายม้า สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ การเป็นพาหนะ และความอดทนใช้ เป็นหน่วยลายเดี่ยวขนาดใหญ่ ลายนกคู่ ใช้เป็นหน่วยลายประกอบขนาด เล็ก ลายนกยูง สื่อถึงสวรรค์ ความสูงส่ง ศักดิ์สิทธิ์ ใช้เป็นหน่วยลายเดี่ยวขนาดใหญ่ ลายหับนกยูง ถูกใช้เป็นหน่วยลายประกอบขนาด ใหญ่


42 ลายปราสาท มาจากประเพณีทานปราสาทให้ผู้ ล่วงลับได้อาศัยอยู่บนสวรรค์มักพบอยู่ บนเรือหรือหลังม้า ลายเอี๊ยงย่องม้า สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของ ธรรมชาติ ใช้เป็นหน่วยลายประกอบขาดเล็ก ลายขอกิ้ว ใช้เป็นหน่วยลายประกอบขนาดเล็ก ลายนกน้อย ลายไก่น้อย สื่อถึงธรรมชาติและความอุดม สมบูรณ์ มักพบคู่กับลายม้า ลายต้นเงินต้นทอง สื่อถึงควาอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ใช้เป็นหน่วยลายประกอบ ลายต้นเงินต้นทอง สื่อถึงควาอุดมสมบูรณ์ของ ธรรมชาติ ใช้เป็นหน่วยลาย ประกอบ ลายเอี๊ยงย่องม้า สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ขอธรรมชาติ การเป็นพาหนะ และความอดทนใช้ เป็นหน่วยลายเดี่ยวขนาดใหญ่ ลายนกน้อย ลายไก่น้อย สื่อถึงธรรมชาติและความอุดม สมบูรณ์ มักพบคู่กับลายม้า ลายขอเครือ สื่อถึงความกลมเกลียว ความเป็นเครือ ญาติหรือวงศ์ตะกูล ใช้เป็นลาย ประกอบ ลายกาบขอเครือ พัฒนามาจาการผสมลายขอเครือ และลายกาบ ใช้เป็นลายประกอบ ลายแก้วตอมเครือ (บะต่อมเครือ) พัฒนามาจากการผสมลายแก้วต่อม กับลายกาบ ใช้เป็นลายประกอบ ลายกาบเครือไก่น้อย พัฒนามาจากการผสมลายไก่น้อย ลายแก้วต่อมเครือและลายกาบขอ เครือ ใช้เป็นหน่วยลายประกอบ ขนาดใหญ่ ลายนาค สื่อถึงผู้สร้างความสมดุลแห่งระบบ นิเวศ นำความอุดมสมบูรณ์มาให้ ลักษณะลำตัวประจบกันสะท้อนถึง ความไม่แตกแยก ใช้เป็นหน่วยลาย เดี่ยวขนาดใหญ่ ลายม้า สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของ ธรรมชาติ การเป็นพาหนะ และ ความอดทน ใช้เป็นลายสร้อยสา


Click to View FlipBook Version