The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานEbookนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา นางสาวสุมัทนา คำเกตุ เลขที่ 22 ห้อง 5

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Fern sumuttana, 2022-03-04 23:44:58

รายงานEbookนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา นางสาวสุมัทนา คำเกตุ เลขที่ 22 ห้อง 5

รายงานEbookนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา นางสาวสุมัทนา คำเกตุ เลขที่ 22 ห้อง 5

45

สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่ีมีความหมายเฉพาะภายใต้บริบท (Context) ที่เก่ียวข้อง (Haag,
Cummings and Dawkins 2000 : 20)

สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่ีผ่านการปรับเปล่ียน (Converted) มาเป็นส่ิงที่มีความ หมาย
(meaningful) และเปน็ ประโยชน์ (Useful) กบั เฉพาะบคุ คล (O’Brien 2001 : 15)

สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล หรือข้อมูลท่ีมีความหมาย (McLeod, Jr. and
Schell 2001 : 12)

สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่ีได้รับการจัดระบบเพ่ือให้มีความหมายและมีคุณค่าสาหรับ ผู้ใช้
(Turban, McLean and Wetherbe 2001 : 7)

สารสนเทศ คือ ที่รวม (ชุด) ข้อเท็จจริงที่ได้มีการจัดการแล้ว ในกรณีเช่น ข้อเท็จจริง
เหล่านัน้ ไดม้ กี ารเพมิ่ คุณค่า ภายใตค้ ุณค่าของขอ้ เท็จจรงิ น้นั เอง (Stair and Reynolds 2001 : 4)

สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ได้รับการประมวลผล หรือปรุงแต่ง เพ่ือให้มีความหมาย และเป็น
ประโยชนต์ ่อผ้ใู ช้ (เลาวด์ อน และเลาวด์ อน 2545 : 6)

สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่ีได้รับการประมวลผลให้อยู่ในรูปแบบที่มีความหมายต่อผู้รับ และมี
คุณค่าอันแท้จริง หรือ คาดการณ์ว่าจะมีค่าสาหรับการดาเนินงาน หรือการตัดสินใจใน ปัจจุบัน หรือ
อนาคต (ครรชติ มาลยั วงศ์ 2535 : 12)

สารสนเทศ คอื เรื่องราว ความร้ตู า่ งๆ ที่ได้จากการนาข้อมูลมาประมวลผลด้วยวิธีการอย่าง
ใดอย่างหน่ึง และมี การผสมผสานความรู้ หรือหลักวิชาที่เก่ียวข้อง หรือความคิดเห็น ลงไปด้วย
(กลั ยา อดุ มวทิ ิต 2537 :3)

สารสนเทศ คือ ข้อความรู้ที่ประมวลได้จากข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นจนได้
ขอ้ สรปุ เป็นข้อความร้ทู ่ี สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ได้ โดยเนน้ ท่ีการเกิดประโยชน์ คือความรู้ท่ีเกิดขึ้น
เพม่ิ ขน้ึ กับผ้ใู ช(้ สชุ าดา กีระนันท์ 2542 : 5)

สารสนเทศ คอื ข่าวสาร หรือการชี้แจงข่าวสาร (ปทีป เมธาคุณวุฒิ 2544 : 1)
สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่ีผ่านการประมวลผล ผ่านการวิเคราะห์ หรือสรุปให้อยู่ในรูปที่มี
ความหมายทส่ี ามารถนาไป ใช้ประโยชน์ได้ตามวตั ถุประสงค์ (จติ ติมา เทยี มบญุ ประเสริฐ 2544 : 4)
สารสนเทศ คอื ผลลัพธ์ท่ีเกิดจากการประมวลผลข้อมูลดิบท่ีถูกจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ ท่ี
สามารถนาไป ประกอบการทางาน หรือสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหาร ทาให้ผู้บริหารสามารถ
แก้ไขปัญหา หรือทางเลือกในการ ดาเนิน งานอย่างมีประสิทธิภาพ (ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ และ
ไพบลู ย์ เกยี รตโิ กมล 2545 : 40)
สรุป สารสนเทศ คือ ข้อมูล ข่าวสาร ข่าว ข้อเท็จจริง ความคิดเห็น หรือประสบการณ์ อยู่
ในรูปแบบท่ีแตกต่างกันออกไป เช่น ตัวอักษร ตัวเลข รูปภาพ เสียง สัญลักษณ์ หรือกลิ่น ท่ีถูกนามา
ผ่านกระบวนการประมวลผล ด้วยวิธีการที่ เรียก ว่า กรรมวิธีจัดการข้อมูล (Data Manipulation)

46

และผลที่ได้อาจแสดงผลออกมาในรูปแบบของสื่อประเภทต่าง เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์
แผนที่ แผ่นใส ฯลฯ และเป็นผลลัพธ์ท่ีผู้ใช้สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง ตรงและทันกับ
ความต้องการ หรือ สารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ที่มีความถูกต้อง ตรงตามต้องการ และทันต่อความ
ต้องการของผู้ใช้ หรือผู้ท่ีเกี่ยวข้อง เป็นผลลัพธ์ท่ีได้มาจากการนาข้อมูลมาประมวลผลด้วยกรรมวิธี
จดั การข้อมูลหรือ สารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ที่ได้มาจากการนาข้อมูลมาประมวลผลด้วยกรรมวิธีจัดการ
ขอ้ มลู ซึ่งจะต้องเปน็ ผลลพั ธท์ ่ีมี คณุ สมบตั ถิ กู ต้อง ตรงตามตอ้ งการ และทันต่อความต้องการของผู้ใช้
หรอื ผูท้ ่เี ก่ียวขอ้ ง

2.6 สาเหตุทีท่ าให้เกดิ สารสนเทศ
2.6.1 เม่ือมีวิทยาการความรู้ หรือสิ่งประดิษฐ์ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมกันนั้น ก็จะเกิด

สารสนเทศมาพร้อมๆ กนั ด้วย จากนนั้ กจ็ ะมีการเผยแพร่ หรือกระจายสารสนเทศ เกี่ยวกับ วิทยาการ
ความรู้ หรอื สิ่งประดิษฐ์ ผลติ ภัณฑ์ ชนดิ นั้นๆไปยงั แหล่งตา่ งๆ ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง

1.6.2 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เปน็ เคร่ืองมอื สาคญั ในการผลิตสารสนเทศ เนื่องจากมี ความ
สะดวกในการป้อน ข้อมูล การปรับปรุงแก้ไข การทาซ้า การเพิ่มเติม ฯลฯ ทาให้มีความ สะดวกและ
ง่ายตอ่ การผลติ สารสนเทศ

1.6.3 เทคโนโลยีส่ือสารยุคใหม่มีความเร็วในการสื่อสารสูงขึ้น สามารถเผยแพร่สารสนเทศ
จากแหล่งหนึ่ง ไปยัง สถานท่ีต่างๆ ท่ัวโลกในเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนจริง อีกท้ังสามารถ
สง่ ผา่ นข้อมลู ได้อย่างหลากหลาย รปู แบบ พร้อมๆ กันในเวลาเดยี วกัน

47

1.6.4 เทคโนโลยีการพิมพ์ท่ีมีความสามารถในการผลิตสารสนเทศสูงขึ้น สามารถผลิต
สารสนเทศได้ครั้งละจานวน มากๆ ในเวลาส้ันๆ มีสีสันเหมือนจริง ทาให้มีปริมาณสารสนเทศใหม่ๆ
เกดิ ข้ึนอยู่ตลอดเวลา

1.6.5 ผู้ใช้มีความจาเป็นต้องใช้สารสนเทศเพื่อการศึกษา เพ่ือการค้นคว้าวิจัย เพ่ือการ
พัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อการ ตัดสินใจ เพื่อการแก้ไขปัญหา เพ่ือการปฏิบัติงาน หรือปรับปรุง
ประสิทธิภาพการปฏบิ ตั ิงาน, การบริหารงาน ฯลฯ

1.6.6 ผู้ใช้มีความต้องการใช้สารสนเทศ เพื่อตอบสนองความสนใจ ต้องการทราบแหล่งท่ี
อยู่ของสารสนเทศ ต้องการเข้าถึงสารสนเทศ ต้องการสารสนเทศท่ีมาจากต่างประเทศ ต้องการ
สารสนเทศอยา่ งหลากหลาย หรือตอ้ งการ สารสนเทศอย่างรวดเรว็ เปน็ ต้น

2.7 คุณลกั ษณะของสารสนเทศท่ดี ี
สารสนเทศทดี่ ีควรมีคุณลักษณะดังต่อไปน้ี (Alter 1996 : 170-175, Stair and Reynolds

2001 : 6-7, จิตติมา เทียมบุญประเสริฐ 2544 : 12-15, ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ และไพบูลย์ เกียรติ
โกมล 2545 : 41-42 และทพิ วรรณ หลอ่ สวุ รรณรัตน์ 2545 : 12-15)

สารสนเทศทด่ี ตี ้องมคี วามความถกู ต้อง (Accurate) และไม่มคี วามผดิ พลาด
ผู้ท่ีมีสิทธิใช้สารสนเทศสามารถเข้าถึง (Accessible) สารสนเทศได้ง่าย ในรูปแบบ และ
เวลาทเ่ี หมาะสม ตาม ความตอ้ งการของผู้ใช้
สารสนเทศตอ้ งมคี วามชดั เจน (Clarity) ไมค่ ลมุ เครือ
สารสนเทศทด่ี ีต้องมีความสมบูรณ์ (Complete) บรรจุไปดว้ ยข้อเทจ็ จรงิ ท่มี ีสาคญั ครบถว้ น

48

สารสนเทศตอ้ งมคี วามกะทดั รัด (Conciseness) หรือรัดกุม เหมาะสมกับผูใ้ ช้
กระบวนการผลติ สารสนเทศต้องมีความประหยัด (Economical) ผู้ทมี่ ีหน้าทต่ี ดั สินใจมักจะ
ตอ้ งสร้างดุลยภาพ ระหวา่ งคุณคา่ ของสารสนเทศกับราคาท่ีใชใ้ นการผลิต
ตอ้ งมีความยึดหยุ่น (Flexible) สามารถในไปใชใ้ นหลาย ๆ เป้าหมาย หรือวัตถปุ ระสงค์
สารสนเทศที่ดีต้องมีรูปแบบการนาเสนอ (Presentation) ที่เหมาะสมกับผู้ใช้ หรือผู้ท่ี
เกี่ยวขอ้ ง
สารสนเทศที่ดตี ้องตรงกบั ความต้องการ (Relevant/Precision) ของผ้ทู ่ีทาการตัดสนิ ใจ
สารสนเทศท่ีดีต้องมีความน่าเชื่อถือ (Reliable) เช่น เป็นสารสนเทศที่ได้มาจากกรรมวิธี
รวบรวมทน่ี ่าเช่อื ถอื หรือแหลง่ (Source) ทีน่ ่าเช่อื ถอื เป็นต้น
สารสนเทศทดี่ ีควรมคี วามปลอดภยั (Secure) ในการเขา้ ถึงของผไู้ ม่มสี ิทธิใช้สารสนเทศ
สารสนเทศท่ีดีควรง่าย (Simple) ไม่สลับซับซ้อน มีรายละเอียดที่เหมาะสม (ไม่มากเกิน
ความจาเปน็ )
สารสนเทศทีด่ ีต้องมีความแตกตา่ ง หรือประหลาด (Surprise) จากขอ้ มลู ชนดิ อ่ืน ๆ
สารสนเทศที่ดีต้องทันเวลา (Just in Time : JIT) หรือทันต่อความต้องการ (Timely) ของ
ผใู้ ช้ หรอื สามารถสง่ ถึงผ้รู บั ไดใ้ นเวลาทผี่ ใู้ ช้ต้องการ
สารสนเทศท่ีดีต้องเป็นปัจจุบัน (Up to Date) หรือมีความทันสมัย ใหม่อยู่เสมอ มิเช่นนั้น
จะไม่ทนั ต่อการ เปลยี่ นแปลงทีด่ าเนนิ ไปอยา่ งรวดเร็ว
สารสนเทศทด่ี ีต้องสามารถพสิ ูจน์ได้ (Verifiable) หรือตรวจสอบจากหลาย ๆ แหล่ง ได้ว่ามี
ความถกู ต้อง
นอกจากน้ันสารสนเทศมีคุณสมบัติที่แตกต่างไปจากสินค้าประเภทอ่ืน ๆ 4 ประการคือ ใช้
ไม่หมด ไม่สามารถ ถ่ายโอนได้ แบ่งแยกไม่ได้ และสะสมเพ่ิมพูนได้ (ประภาวดี สืบสนธ์ 2543 : 12-
13) หรืออาจสรุปได้ว่าสารสนเทศ ที่ดีต้องมีคุณลักษณะครบท้ัง 4 ด้าน คือ ด้านเวลา (ทันเวลา และ
ทันสมัย) ด้านเน้ือหา (ถูกต้อง สมบูรณ์ ยึดหยุ่น น่าเช่ือถือ ตรงกับ ความต้องการ และตรวจสอบได้)
ด้านรูปแบบ (ชัดเจน กะทัดรัด ง่าย รูปแบบการนาเสนอ ประหยัด แปลก) และด้าน กระบวนการ
(เข้าถงึ ได้ และปลอดภยั )

2.8. คุณภาพของสารสนเทศ
คุณภาพของสารสนเทศ จะมีคุณภาพสูงมาก หรือน้อย พิจารณาที่ 3 ประเด็น ดังน้ี

(Bentley 1998 : 58-59)

49

1. ตรงกับความต้องการ (Relevant) หรือไม่ โดยดูว่าสารสนเทศนั้นผู้ใช้สามารถ
นาไปใชเ้ พ่มิ ประสทิ ธภิ าพได้ มากกว่าไม่ใช้สารสนเทศ หรอื ไม่ คณุ ภาพของสารสนเทศ อาจจะดูที่มันมี
ผลกระทบตอ่ กจิ กรรมของผใู้ ช้ หรอื ไม่ อยา่ งไร

2. น่าเช่ือถือ (Reliable) เพียงใด ความน่าเชื่อถอื มหี ัวข้อที่จะใช้พิจารณา เช่น ความ
ทันเวลา (Timely) กับผู้ใช้ เม่อื ผใู้ ชจ้ าเป็นต้องใช้มีสารสนเทศน้ัน หรือไม่ สารสนเทศท่ีนามาใช้ต้องมี
ความถูกต้อง (Accurate) สามารถพิสูจน์ (Verifiable) ได้ว่าเป็นความจริง ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลท่ี
เกี่ยวข้อง เป็นตน้

3. สารสนเทศนนั้ เขม้ แขง็ (Robust) เพียงใด พิจารณาจากการที่สารสนเทศสามารถ
เคลื่อนตัวเองไปพร้อมกับกาลเวลาท่ีเปลี่ยนไป (Rigorous of Time) หรือพิจารณาจากความอ่อนแอ
ของมนุษย์ (Human Frailty) เพราะมนุษย์ อาจทาความผิดพลาดในการป้อนข้อมูล หรือการ
ประมวลผลขอ้ มูล เพราะฉะนัน้ จะตอ้ งมีการควบคมุ หรือตรวจสอบ ไมใ่ ห้มคี วามผิดพลาดเกิดข้ึน หรือ
พิจารณาจากความผิดพลาด หรือล้มเหลวของระบบ (System Failure) ที่จะส่งผล เสียหายต่อ
สารสนเทศได้ ดังนั้นจึงต้องมีการป้องกันความผิดพลาด (ที่เนื้อหา และไม่ทันเวลา) ท่ีอาจเกิดขึ้นได้
หรือ พิจารณาจากการเปล่ียนแปลง การจัดการ (ข้อมูล) (Organizational Changes) ที่อาจจะส่งผล
กระทบ (สร้างความเสียหาย) ต่อสารสนเทศ เช่น โครงสร้าง แฟ้ม ข้อมูล วิธีการเข้าถึงข้อมูล การ
รายงาน จกั ตอ้ งมีการปอ้ งกนั หากมกี าร เปลยี่ นแปลงในเร่ืองดังกลา่ ว

นอกจากนั้นซวาสส์ (Zwass 1998 : 42) กล่าวถึง คุณภาพของสารสนเทศจะมีมากน้อย
เพียงใดข้ึนอยู่กับ การ ทันเวลา ความสมบูรณ์ ความกะทัดรัด ตรงกับความต้องการ ความถูกต้อง
ความเท่ียงตรง (Precision) และรูปแบบที่เหมาะสม ในเรอื่ งเดียวกัน โอไบร์อัน (O’Brien 2001 : 16-
17) กลา่ วว่าคุณภาพของสารสนเทศ พจิ ารณาใน 3 มติ ิ ดังน้ี

1. มิติดา้ นเวลา (Time Dimension)
สารสนเทศควรจะมกี ารเตรียมไวใ้ หท้ นั เวลา (Timeliness) กบั ความตอ้ งการของผู้ใช้
สารสนเทศควรจะต้องมีความทนั สมยั หรอื เป็นปัจจบุ ัน (Currency)
สารสนเทศควรจะต้องมคี วามถ่ี (Frequency) หรอื บอ่ ย เทา่ ทผ่ี ู้ใชต้ ้องการ
สารสนเทศควรมีเรื่องเกีย่ วกับชว่ งเวลา (Time Period) ต้งั แตอ่ ดีต ปจั จบุ นั และอนาคต

2. มิตดิ ้านเนื้อหา (Content Dimension)
ความถกู ต้อง ปราศจากขอ้ ผิดพลาด
ตรงกับความต้องการใช้สารสนเทศ
สมบรู ณ์ ส่งิ ท่ีจาเปน็ จะต้องมใี นสารสนเทศ
กะทดั รดั เฉพาะทีจ่ าเปน็ เท่าน้ัน
ครอบคลุม (Scope) ท้งั ดา้ นกว้างและด้านแคบ (ด้านลึก) หรอื มีจุดเนน้ ท้งั ภายในและภายนอก

50

มีความสามารถ/ศักยภาพ (Performance) ที่แสดงให้เห็นได้จากการวัดค่าได้ การบ่งบอกถึงการ
พัฒนา หรือสามารถเพิม่ พูนทรัพยากร

3. มติ ิดา้ นรูปแบบ (Form Dimension)
ชัดเจน ง่ายต่อการทาความเขา้ ใจ
มีท้งั แบบรายละเอยี ด (Detail) และแบบสรปุ ย่อ (Summary)
มีการเรียบเรียง ตามลาดับ (Order) การนาเสนอ (Presentation) ที่หลากหลาย เช่น พรรณนา/
บรรยาย ตวั เลข กราฟกิ และอืน่ ๆ
รปู แบบของสือ่ (Media) ประเภทตา่ ง ๆ เช่น กระดาษ วดี ิทัศน์ ฯลฯ

สแตร์และเรย์โนลด์ (Stair and Reynolds 2001 : 7) กล่าวถึง คุณค่าของสารสนเทศ
ข้นึ อยกู่ ับการที่ สารสนเทศนนั้ สามารถช่วยให้ผู้ที่มหี น้าที่ตัดสินใจทาให้เป้าหมายขององค์การสัมฤทธ์ิ
ผลได้มากน้อยเพียงใด หาก สารสนเทศ สามารถทาให้บรรลุเป้าหมายขององค์การได้ สารสนเทศน้ันก็
จะมคี ณุ คา่ สูงตามไปดว้ ย

2.9 บทบาทของสารสนเทศ
การนาสารสนเทศไปใช้ 3 ด้าน ดังน้ี (จิตติมา เทียมบุญประเสริฐ 2544 : 5) ด้านการ

วางแผน ด้านการตัดสินใจ และ ด้านการดาเนินงาน นอกจากน้ัน สารสนเทศยังมีบทบาท ในเชิง
เศรษฐกจิ ดงั นี้ (ประภาวดี สบื สนธ์ 2543 : 7-8)

1. ช่วยลดความเส่ียงในการตัดสินใจ (Decision) หรือช่วยช้ีแนวทางในการแก้ไข
ปัญหา (Problem Solving) ชว่ ย หรอื สนับสนนุ การจดั การ (Management) หรือการดาเนินงานของ
องค์การ ให้มีประสิทธิภาพและเกิด ประสิทธิผลมากข้ึน ใช้ทดแทนทรัพยากร (Resources) ทาง
กายภาพ เช่น กรณีการเรียนทางไกล ผู้เรียนที่เรียนนอกห้องเรียน จริง สามารถเรียนรู้เร่ืองต่างๆ
เช่นเดียวกับ ห้องเรียนจริง โดยไม่ต้องเดินทางไปเรียนท่ีห้องเรียนนั้น ใช้ในการกากับ ติดตาม
(Monitoring) การปฏิบัติงานและการตัดสินใจ เพ่ือดูความก้าวหน้าของงาน สารสนเทศเป็นช่องทาง
โน้มน้าว หรือชักจูงใจ (Motivation) ในกรณีของการโฆษณาท่ีทาให้ผู้ชม, ผู้ฟัง ตัดสินใจ เลือกสินค้า
หรือบริการน้ัน

2. สารสนเทศเป็นองค์ประกอบสาคัญของการศึกษา (Education) สาหรับการ
เรียนรู้ ผ่านส่ือประเภทต่างๆ สารสนเทศเป็นองค์ประกอบสาคัญท่ีส่งเสริมวัฒนธรรม และสันทนา
การ (Culture & Recreation) ในด้าน ของการเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ เช่น วีดิทัศน์ โทรทัศน์
ภาพยนตร์ เปน็ ต้น

51

3. สารสนเทศเป็นสินค้าและบริการ (Goods & Services) ท่ีสามารถซ้ือขายได้
สารสนเทศเป็นทรัพยากรท่ีต้องลงทุน (Investment) จึงจะได้ผลผลิตและบริการ เพ่ือเป็นรากฐาน
ของการ จดั การ และการดาเนินงาน

2.10 วิวัฒนาการของสารสนเทศ
อดีตมนุษย์ยังไม่มีภาษาท่ีใช้สาหรับการส่ือสาร เมื่อเกิดมีเหตุการณ์ (Event) อะไร เกิด ข้ึน

กไ็ มส่ ามารถถา่ ยทอด หรือเผยแพรแ่ กบ่ ุคคลอ่ืน หรอื สงั คมอื่นได้ อยา่ งถูกต้องตรงกัน ระหว่างผู้ส่งสาร
กับผู้รับสาร จึงมีการคิดใช้สัญลักษณ์ (Symbol) หรือเครื่องหมาย ทาหน้าท่ีส่ือ ความหมายแทน
เหตุการณ์ดังกล่าว จึงมีการใช้กฎ และสูตร (Rule & Formulation) มาใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์
ดังกล่าวว่าเกิดมาจากสาเหตุใด หรือเกิดมาจากสารใดผสมกับสารใด เป็นต้น จากนั้นเมื่อ มนุษย์มี
ภาษา สาหรับการสื่อสารแล้ว กเ็ กิดมีข้อมลู (Data) เกยี่ วกับเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นมามากมาย ท้ัง
จากภายในสังคมเดียวกัน หรือจากสังคมอ่ืนๆ เพื่อให้ได้คาตอบที่ถูกต้อง ทาให้ต้องมีการวิเคราะห์
หรือประมวลผล ข้อมลู ให้มีสถานภาพเป็นสารสนเทศ (Information) ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ หรือ
ผู้บริโภค เม่ือผู้บริโภคมีการสะสม เพ่ิมพูน สารสนเทศมากๆเข้าและมีการเรียนรู้ (Learning) จนเกิด
ความเข้าใจ (Understanding) ก็จะเป็นการพัฒนา สารสนเทศที่มีอยู่ในตนเองเป็นองค์ความรู้
(Knowledge) เน่ืองจากมนุษย์เป็นผู้ท่ีมีสติ (สัมปชัญญะ) (Intellect) รู้จักใช้ เหตุและผล
(Reasonable) กับความรู้ที่ตนเองมีอยู่ก็จะมีการพัฒนาความรู้เป็นปัญญา (Wisdom) ในท่ีสุด ดัง
แสดงได้ ตาม ภาพข้างล่างนี้

52

2.11 เทคโนโลยสี ารสนเทศกับการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบนั
ในภาวะปัจจุบันนั้นสารสนเทศได้กลายเป็นปัจจัยพื้นฐานปัจจัยที่ห้า เพ่ิมจากปัจจัยส่ี

ประการที่มนุษย์เราขาดเสียมิได้ในการดารงชีวิตประจาวัน ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศท่ีจาเป็น ในการ
ประกอบธุรกิจ ในการค้าขาย การผลิตสินค้า และบริการ หรือการให้บริการสังคม การจัดการ
ทรัพยากรของชาติ การบริหารและปกครอง จนถึงเรื่องเบา ๆ เรื่องไร้สาระบ้าง เช่น สภากาแฟท่ี
สามารถพบได้ทุกแห่งหนในสังคม เร่ืองสาระบันเทิงในยามพักผ่อน ไปจนถึงเร่ืองความเป็นความตาย
เชน่ ขา่ วอุทกภัย วาตภยั หรอื การทารฐั ประหารและปฏิวัติ เปน็ ต้น

ในความคิดเห็นของกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ต้ังแต่นักวิชาการ นักธุรกิจ นักสังคมศาสตร์ นัก
เศรษฐศาสตร์ จนกระทั่งผู้นาต่าง ๆ ในโลก ดังเช่น ประธานาธิบดี Bill Clinton และรอง
ประธานาธิบดี Al Gore ของสหรัฐอเมริกา สารสนเทศเป็นทรัพยากรท่ีสาคัญท่ีสุดอย่างหน่ึงใน
ปัจจุบัน และในยุคสงั คมสารสนเทศแห่งศตวรรษท่ี 21 สารสนเทศจะกลายเป็นทรัพยากรท่ีสาคัญที่สุด
เหนือส่ิงอ่ืนใด กล่าวกันสั้น ๆ สารสนเทศกาลังจะกลายเป็นฐานแห่งอานาจอันแท้จริงในอนาคต ทั้ง
ในทางเศรษฐกิจ และทางการเมือง ในสมัยสังคมเกษตรน้ัน ปัจจัยพื้นฐานในการผลิตที่สาคัญ ได้แก่
ท่ีดิน แรงงาน และทุนทรัพย์ ต่อมาในสังคมอุตสาหกรรม การผลิตต้องพ่ึงพาปัจจัยพื้นฐานเพ่ิมเติม
ได้แก่ วสั ดุ พลงั งาน และโดยเฉพาะอย่างยงิ่ สารสนเทศ สงั คมเกษตรและสังคมอุตสาหกรรมต้องพึ่งพา
การใช้ทรพั ยากรท่มี อี ยู่อยา่ งจากัด อันได้แก่ ท่ีดนิ พลังงาน และวัสดุ เปน็ อย่างมาก และผลของการใช้
ทรัพยากรเหล่าน้ันอย่างฟุ่มเฟือยและขาดความระมัดระวัง ก็ได้สร้างปัญหาส่ิงแวดล้อมท่ีรุนแรงมาก
ซ่ึงกาลังคุกคามโลกรวมท้ังประเทศไทย ต้ังแต่ปัญหาการแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ ภัย
ธรรมชาติท่ีนับวันจะเพิ่มความถ่ีและรุนแรงขึ้น ปัญหาการบ่อนทาลายความสมดุลทางนิเวศวิทยาทั้ง

53

ป่าดงดิบ ป่าชายเลน ป่าต้นน้าลาธาร ความแห้งแล้ง อากาศเป็นพิษ แม่น้าลาคลองท่ีเต็มไปด้วย
สารพิษ เจอื ปน ตลอดจนถงึ ปญั หาวิกฤตทิ างจราจรและภัยจากควันพษิ ในมหานครทุกแห่งทว่ั โลก
ในทางตรงกันข้าม ขบวนการผลิต การเก็บ และถ่ายทอดสารสนเทศ อาศัยการใช้วัสดุและพลังงาน
น้อยมาก และไม่มีผลเสียต่อภาวะแวดล้อมหรือมีเพียงเล็กน้อยมาก ย่ิงกว่านั้นสารสนเทศจะสามารถ
ช่วยให้กิจกรรมการผลิตและการบริการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถช่วยให้การ
ผลติ ทางอตุ สาหกรรมใช้วัตถุดบิ และพลังงานน้อยลง มมี ลภาวะนอ้ ยลง แต่สินค้ามีคุณภาพดีข้ึนคงทน
มากข้ึน ปัญหาวิกฤติทางจราจรในบางด้านก็สามารถผ่อนปรนได้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ใน
การช่วยตดิ ต่อสื่อสารทางธรุ กิจตา่ งๆ โดยไมจ่ าเปน็ ตอ้ งเดินทางด้วยตนเองดังเช่นแต่ก่อน จึงอาจกล่าว
ได้วา่ เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีส่วนอยา่ งมาก ในการนาสงั คม สู่วิวัฒนาการอีกระดับหนึ่ง ที่อาจเรียก
ได้ว่าเป็นสังคมสารสนเทศ อันเป็นสังคมท่ีพึงปรารถนาและยั่งยืนย่ิงข้ึน น่ันจึงเป็นเหตุผลท่ีว่าสังคม
ตา่ ง ๆ ในโลก ต่างจะต้องก้าวสู่สงั คมสารสนเทศอยา่ งหลกี เลย่ี งไม่ได้ ไมเ่ รว็ ก็ชา้ และน่ันหมายความว่า
สังคมจะต้องพ่ึงพาเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างแน่นอน ไม่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม มิใช่เพียงแต่
เพื่อสร้างขีดความสามารถในเชิงแข่งขันในสนามการค้าระหว่างประเทศ แต่เพื่อความอยู่รอดของ
มนษุ ยชาติ และเพอ่ื คณุ ภาพชีวิตทด่ี ขี ้ึนอีกตา่ งหากดว้ ย

เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยคี โู่ ลกในต้นศตวรรษท่ี 21 และเป็นแรงกระตุ้นและเป็น
ปัจจยั รองรับ ขบวนการโลกาภิวตั น์ ทก่ี าลังผนวกสงั คมเศรษฐกิจไทยเข้าเป็นอันหน่ึงเดียวกันกับสังคม
โลกอันท่ีจริงเทคโนโลยีสารสนเทศมีใช้ในประเทศไทยเป็นเวลาช้านานมาแล้ว เป็นต้นว่า เรามีการใช้
โทรศัพทต์ ้งั แตร่ ัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2414 เพียงแต่ว่าการใช้
เทคโนโลยนี ยี้ ังไมแ่ พรก่ ระจายท่วั ประเทศและยังไม่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอีกหลาย ๆ ประเทศใน
โลก กล่าวกันอย่างส้ัน ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดหา วิเคราะห์
ประมวล จัดการและจัดเก็บ เรียกใช้หรือแลกเปลี่ยน และเผยแพร่สารสนเทศ ด้วยระบบ
อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของรูป เสียง ตัวอักษร หรือภาพเคล่ือนไหว รวมไปถึงการนา
สารสนเทศและข้อมูลไปปฏิบัติตามเนื้อหาของสารสนเทศนั้น เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายของผู้ใช้ การ
จัดหา วิเคราะห์ ประมวล และจัดการกับข่าวสารข้อมูลจานวนมหาศาล จึงขาดเทคโนโลยี
คอมพวิ เตอร์ เสียมิได้ ส่วนการแสวงหาและแลกเปลยี่ นข้อมูลข่าวสาร อย่างรวดเรว็ ทนั เวลา ประหยัด
ค่าใช้จ่าย และมีประสิทธิภาพ ก็จาเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีโทรคมนาคม และท้ายสุดสารสนเทศที่มี
จะก่อให้เกิดประโยชน์จากการบริโภค อย่างกว้างขวางตามแต่จะต้องการและอย่างประหยัดท่ีสุด ก็
ต้องอาศยั ทัง้ สองเทคโนโลยขี า้ งตน้ ในการจัดการและการส่ือหรือขนย้ายจากแหล่งข้อมูลสารสนเทศ สู่
ผู้บริโภคในท่ีสุด ฉะน้ัน เทคโนโลยีสารสนเทศจึงครอบคลุมถึงหลาย ๆ เทคโนโลยีหลัก อันได้แก่
คอมพิวเตอร์ท้ังฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และฐานข้อมูล โทรคมนาคมซึ่งรวมถึง เทคโนโลยีระบบส่ือสาร
มวลชน (ได้แก่ วิทยุ และโทรทัศน์) ท้ังระบบแบบมีสายและไร้สาย รวมถึงเทคโนโลยีด้าน

54

อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อาทิ เทคโนโลยีโทรทัศน์ความคมชัดสูง (HDTV) ดาวเทียมคมนาคม
(communications satellite) เส้นใยแก้วนาแสง (fibre optics) สารกึ่งตัวนา (semiconductor)
ปญั ญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) อุปกรณอ์ ตั โนมัติสานกั งาน (office automation) อุปกรณ์
อัตโนมัติในบ้าน (home automation) อุปกรณ์อัตโนมัติในโรงงาน (factory automation) เหล่าน้ี
เป็นตน้

นอกจากการเป็นเทคโนโลยีท่ีไม่ทาลายธรรมชาติหรือสร้างมลภาวะ (ในตัวของมันเอง) ต่อ
สิ่งแวดล้อมแล้ว คุณสมบัติโดดเด่นอื่น ๆ ที่ทาให้มันกลายเป็นเทคโนโลยี ยุทธศาสตร์สาคัญแห่งยุค
ปัจจุบันและในอนาคตก็คือ ความสามารถในการเพ่ิมประสิทธิภาพและสมรรถภาพในเกือบทุก ๆ
กจิ กรรม อาทโิ ดย

1. การลดตน้ ทุนหรือค่าใช้จ่าย
2. การเพม่ิ คณุ ภาพของงาน
3. การสร้างกระบวนการหรือกรรมวิธใี หม่ ๆ
4. การสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ข้ึน
ฉะน้ัน โอกาสและขอบเขตการนา เทคโนโลยีน้ีมาใช้ จึงมีหลากหลายในเกือบทุก ๆ
กิจกรรมก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง การให้บริการสังคม การผลิตท้ังภาคเกษตร อุตสาหกรรม
และบรกิ าร รวมถงึ การค้าทง้ั ภายในและระหว่างประเทศอีกด้วย โดยพอสรุปได้ดงั ตอ่ ไปน้ี
ภาคสังคม การบริหารและปกครอง การให้บริการพ้ืนฐานของรัฐ การบริการสาธารณสุข
การบริการการศึกษา การให้บริการข้อมูลและสาระบันเทิง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาติ การบรรเทาสาธารณภยั การพยากรณอ์ ากาศและอตุ ุนยิ ม ฯลฯ

55

ภาคเศรษฐกิจ การเกษตร การป่าไม้ การประมง การสารวจและขุดเจาะน้ามันและ ก๊าซ
ธรรมชาติ การสารวจแร่และทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนและใต้ผิวโลก การก่อสร้าง การคมนาคมทั้ง
ทางบก น้า และอากาศ การค้าภายในและระหว่างประเทศ อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรม
บริการ อาทิ ธุรกจิ การทอ่ งเทยี่ ว การเงิน การธนาคาร การขนส่ง และ การประกันภัย ฯลฯ
ผลประโยชน์ต่างๆ จากการประยุกต์ใช้ของเทคโนโลยีดังกล่าว ล้วนเกิดจากคุณสมบัติพิเศษหลาย ๆ
ประการของเทคโนโลยีกลมุ่ นี้ อันสืบเนอ่ื งจากการพฒั นาของ เทคโนโลยีท่ีมีอัตราสูงและอย่างต่อเนื่อง
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีน้ีส่งผลให้ ราคาของฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์
รวมทั้งค่าบริการ สาหรับการเก็บ การประมวล และการแลกเปล่ียนเผยแพร่สารสนเทศมีการลดลง
อย่างต่อเน่ืองและรวดเร็ว ทาให้สามารถนาพาอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งคอมพิวเตอร์และ โทรคมนาคม
ตดิ ตามตวั ได้ เน่ืองจากได้มีพัฒนาการการย่อส่วนของช้ินส่วน (miniaturization) และพัฒนาการการ
ส่อื สารระบบไร้สาย

ประการท้าย ท่ีจัดว่าสาคัญท่ีสุดก็ว่าได้คือ ทาให้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์และการส่ือสารมุ่งเข้าสู่จุดที่ใกล้เคียงกัน (converge) ประเทศอุตสาหกรรมในโลกได้
เล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยียุทธศาสตร์กลุ่มนี้ จึงให้ความสาคัญต่อเทคโนโลยีนี้มากกว่า
เทคโนโลยีอื่น ๆ ท่ีจัดเป็นเทคโนโลยียุทธศาสตร์สาคัญอีกหลายกลุ่ม ดังเช่นกลุ่มประเทศ OECD
(Organization for Economic Co-operation and Development) ได้ศึกษาเปรียบเทียบ
ศักยภาพของเทคโนโลยีไฮเทค 5 กลุ่มสาคัญในปัจจุบัน คือ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีวัสดุใหม่
เทคโนโลยีอวกาศ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ในประเด็นผลกระทบสาคัญ 5
ประเดน็ ได้แก่

(1) การสร้างผลิตภณั ฑแ์ ละบรกิ ารใหม่ ๆ
(2) การปรับปรุงกระบวนการผลติ ผลติ ภัณฑแ์ ละบริการ
(3) การยอมรับจากสงั คม
(4) การนาไปใชป้ ระยุกตใ์ นภาค/สาขาอนื่ ๆ
(5) การสร้างงานในทศวรรษปี 1990 ปรากฏว่าเทคโนโลยีสารสนเทศได้รับการ
ยอมรบั ในศกั ยภาพสงู สุดในทกุ ๆ ประเด็น

2.12 เทคโนโลยสี ือ่ สารโทรคมนาคม
เทคโนโลยีส่อื สารโทรคมนาคม ใช้ในการตดิ ต่อสอ่ื สารรบั /ส่งขอ้ มลู จากท่ีไกล ๆ เป็นการส่ง

ของข้อมลู ระหวา่ งคอมพิวเตอร์หรือเคร่ืองมือที่อยู่ห่างไกลกัน ซึ่งจะชว่ ยให้การเผยแพร่ข้อมูลหรือ
สารสนเทศไปยงั ผู้ใช้ในแหลง่ ต่าง ๆ เปน็ ไปอยา่ งสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน และทันการณ์ ซง่ึ
รปู แบบของข้อมลู ที่รบั /ส่งอาจเป็นตัวเลข (Numeric Data) ตวั อักษร (Text) ภาพ (Image) และเสียง

56

(Voice) เทคโนโลยที ใี่ ชใ้ นการสอื่ สารหรอื เผยแพร่สารสนเทศ ได้แก่ เทคโนโลยีท่ใี ชใ้ นระบบ
โทรคมนาคมท้ังชนิดมสี ายและไร้สาย เชน่ ระบบโทรศัพท์, โมเด็ม, แฟกซ์, โทรเลข, วทิ ยกุ ระจายเสยี ง
วทิ ยโุ ทรทศั น์ เคเบิล้ ใยแก้วนาแสง คล่ืนไมโครเวฟ และดาวเทยี ม เป็นตน้

สาหรับกลไกหลกั ของการส่ือสารโทรคมนาคมมีองค์ประกอบพ้นื ฐาน 3 ส่วน ได้แก่ ต้น
แหลง่ ของข้อความ (Source/Sender), สือ่ กลางสาหรับการรับ/ส่งข้อความ (Medium), และสว่ นรบั
ขอ้ ความ (Sink/Decoder) ดังแผนภาพต่อไปน้ี คือ

แผนภาพแสดงกลไกหลักของการสื่อสารโทรคมนาคม
นอกจากน้ี เทคโนโลยสี ารสนเทศสามารถจาแนกตามลักษณะการใช้งานได้เปน็ 6 รปู แบบ
ดงั นี้ตอ่ ไปน้ี คอื
1. เทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียมถ่ายภาพทางอากาศ, กล้องดิจิทัล, กล้อง
ถา่ ยวีดีทัศน,์ เครื่องเอกซเรย์ ฯลฯ
2. เทคโนโลยที ่ีใชใ้ นการบันทึกขอ้ มูล จะเป็นสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น เทปแม่เหล็ก, จาน
แม่เหล็ก, จานแสงหรอื จานเลเซอร์, บัตรเอทีเอม็ ฯลฯ
3. เทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล ได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ และ
ซอฟต์แวร์
4. เทคโนโลยที ่ีใช้ในการแสดงผลขอ้ มูล เชน่ เครอ่ื งพมิ พ์, จอภาพ, พลอตเตอร์ ฯลฯ
5. เทคโนโลยีทีใ่ ช้ในการจัดทาสาเนาเอกสาร เช่น เครื่องถา่ ยเอกสาร, เครื่องถ่ายไมโครฟิลม์
6. เทคโนโลยีสาหรับถ่ายทอดหรือส่ือสารข้อมูล ได้แก่ ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เช่น
โทรทัศน์, วิทยกุ ระจายเสยี ง, โทรเลข, เทเลก็ ซ์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ท้งั ระยะใกล้และไกล
ลักษณะของข้อมูลหรือสารสนเทศที่ส่งผ่านระบบคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ดังนี้
ข้อมลู หรอื สารสนเทศท่ีใช้กันอยู่ท่ัวไปในระบบส่ือสาร เช่น ระบบโทรศัพท์ จะมีลักษณะของสัญญาณ
เป็นคลนื่ แบบต่อเน่อื งทเี่ ราเรียกวา่ "สัญญาณอนาลอก" แต่ในระบบคอมพิวเตอร์จะแตกต่างไป เพราะ
ระบบคอมพิวเตอรใ์ ช้ระบบสัญญาณไฟฟ้าสูงต่าสลับกัน เป็นสัญญาณที่ไม่ต่อเน่ือง เรียกว่า "สัญญาณ
ดิจิตอล" ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นจะส่งผ่านสายโทรศัพท์ เม่ือเราต้องการส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เคร่ือง
หน่ึงไปยังเคร่ืองอ่ืน ๆ ผ่านระบบโทรศัพท์ ก็ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วยแปลงสัญญาณเสมอ ซ่ึงมีชื่อ
เรยี กว่า "โมเดม็ " (Modem)

57

2.13 ผลของเทคโนโลยสี ารสนเทศ
การกาเนิดของคอมพิวเตอร์เม่ือประมาณห้าสิบกว่าปีท่ีแล้ว เป็นก้าวสาคัญที่นาไปสู่ยุค

สารสนเทศ ในช่วงแรกมีการนาเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องคานวณ แต่ต่อมาได้มีความพยายาม
พัฒนาให้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สาคัญสาหรับการจัดการข้อมูล เม่ือเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ได้
ก้าวหนา้ มากข้ึน ทาใหส้ ามารถสรา้ งคอมพวิ เตอร์ที่มีขนาดเล็กลง แต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น สภาพการใช้
งานจึงใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อชีวิตความเป็นอยู่และสังคมจึงมี
มาก มีการเรียนรู้และใช้สารสนเทศกันอย่างกว้างขวาง ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศโดยรวมกล่าวได้
ดังนี้

1. การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึน สภาพความเป็นอยู่ของสังคมเมือง มีการ
พัฒนาใช้ระบบส่ือสารโทรคมนาคม เพ่ือติดต่อส่ือสารให้สะดวกข้ึน มีการประยุกต์มาใช้กับเคร่ือง
อานวยความสะดวกภายในบ้าน เช่น ใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ใช้ควบคุมระบบไฟฟ้าภายในบ้าน
เปน็ ตน้

2. เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยี
สารสนเทศทาให้เกิดการกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง แม้แต่ถิ่นทุรกันดาร ทาให้มีการกระจายโอการการ
เรียนรู้ มีการใชร้ ะบบการเรียนการสอนทางไกล การกระจายการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกล นอกจากนี้ใน
ปจั จบุ นั มีความพยายามที่ใชร้ ะบบการรกั ษาพยาบาลผ่านเครอื ข่ายส่อื สาร

3. สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน การเรียนการสอนในโรงเรียนมี
การนาคอมพิวเตอร์และเครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนรู้ เช่น วีดิทัศน์ เคร่ืองฉายภาพ
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการศึกษา จัดตารางสอน คานวณระดับคะแนน จัดชั้น
เรียน ทารายงานเพ่ือให้ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาและการแก้ปัญหาในโรงเรียน ปัจจุบันมีการเรียน
การสอนทางดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศในโรงเรียนมากข้นึ

58

4. เทคโนโลยีสารสนเทศกับส่ิงแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลาย
อย่างจาเป็นต้องใชส้ ารสนเทศ เช่น การดูแลรักษาป่า จาเป็นต้องใช้ข้อมูล มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม
การติดตามข้อมูลสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ การจาลองรูปแบบสภาวะสิ่งแวดล้อมเพ่ือ
ปรับปรุงแก้ไข การเก็บรวมรวมข้อมูลคุณภาพน้าในแม่น้าต่าง ๆ การตรวจวัดมลภาวะ ตลอดจนการ
ใช้ระบบการตรวจวดั ระยะไกลมาชว่ ย ทเ่ี รียกว่าโทรมาตร เป็นต้น

5. เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกันประเทศ กิจการทางด้านการทหารมีการ
ใช้เทคโนโลยี อาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ล้วนแต่เก่ียวข้องกับคอมพิวเตอร์และระบบควบคุม มีการใช้
ระบบป้องกันภยั ระบบเฝา้ ระวังทมี่ ีคอมพิวเตอรค์ วบคมุ การทางาน

6. การผลิตในอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม การแข่งขันทางด้านการผลิต
สินคา้ อุตสาหกรรมจาเป็นต้องหาวธิ กี ารในการผลิตให้ได้มาก ราคาถกู ลงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามา
มีบทบาทมาก มีการใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อการบริหารและการจัดการ การดาเนินการและยังรวมไปถึง
การให้บรกิ ารกับลูกค้า เพือ่ ใหซ้ อ้ื สนิ คา้ ได้สะดวกข้ึน

2.14 ประโยชน์ของระบบสารสนเทศ
2.14.1 ประสิทธิภาพ (Efficiency)
ระบบสารสนเทศทาใหก้ ารปฏิบตั งิ านมีความรวดเรว็ มากขึน้ โดยใช้กระบวนการประมวลผล

ขอ้ มูลซง่ึ จะทาให้สามารถเก็บรวบรวม ประมวลผลและปรับปรงุ ขอ้ มลู ให้ทันสมัยได้อย่างรวดเร็วระบบ
สารสนเทศช่วยในการจัดเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ หรือมีปริมาณมากและช่วยทาให้การเข้าถึงข้อมูล
(access) เหล่าน้นั มีความรวดเร็วด้วย ช่วยลดต้นทุน การที่ระบบสารสนเทศช่วยทาให้การปฏิบัติงาน
ท่เี กี่ยวข้องกบั ขอ้ มลู ซึ่งมปี ริมาณมากมีความสลับซับซ้อนให้ดาเนินการได้โดยเร็ว หรือการช่วยให้เกิด
การติดตอ่ ส่ือสารไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ทาให้เกดิ การประหยัดตน้ ทุนการดาเนินการอย่างมาก

59

ช่วยให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว การใช้เครือข่ายทางคอมพิวเตอร์ทาให้มีการติดต่อได้ทั่ว
โลกภายในเวลาที่รวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อระหว่างเคร่ืองคอมพิวเตอร์กับเครื่องคอมพิวเตอร์
ด้วยกัน (machine to machine) หรือคนกับคน (human to human) หรือคนกับเครื่อง
คอมพิวเตอร์ (human to machine) และการติดต่อสื่อสารดังกล่าวจะทาให้ข้อมูลท่ีเป็นท้ังข้อความ
เสียง ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวสามารถส่งได้ทันที ระบบสารสนเทศช่วยทาให้การประสานงาน
ระหว่างฝ่ายต่าง ๆ เป็นไปได้ด้วยดีโดยเฉพาะหากระบบสารสนเทศนั้นออกแบบ เพื่อเอ้ืออานวยให้
หน่วยงานท้ังภายในและภายนอกท่ีอยู่ในระบบของซัพพลายท้ังหมด จะทาให้ผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้อง
ทั้งหมดสามารถใชข้ อ้ มูลร่วมกนั ได้ และทาให้การประสานงาน หรือการทาความเข้าใจเป็นไปได้ด้วยดี
ยิ่งข้ึน

2.14.2 ประสทิ ธิผล (Effectiveness)
ระบบสารสนเทศช่วยในการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศที่ออกแบบสาหรับผู้บริหาร เช่น
ระบบสารสนเทศท่ีช่วยในการสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision support systems) หรือระบบ
สารสนเทศสาหรับผู้บริหาร (Executive support systems) จะเอื้ออานวยให้ผู้บริหารมีข้อมูลในการ
ประกอบการตัดสินใจได้ดีข้ึน อันจะส่งผลให้การดาเนินงานสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ไว้ได้ ระบบ
สารสนเทศช่วยในการเลือกผลติ สนิ ค้า/บรกิ ารทเี่ หมาะสมระบบสารสนเทศจะช่วยทาให้องค์การทราบ
ถงึ ข้อมูลทีเ่ กย่ี วข้องกบั ต้นทนุ ราคาในตลาดรูปแบบของสนิ คา้ /บริการท่ีมีอยู่ หรือช่วยทาให้หน่วยงาน
สามารถเลอื กผลิตสินคา้ /บริการท่ีมีความเหมาะสมกบั ความเชี่ยวชาญ หรอื ทรัพยากรทม่ี อี ยู่
ระบบสารสนเทศช่วยปรับปรุงคุณภาพของสินค้า/บริการให้ดีข้ึนระบบสารสนเทศทาให้การติดต่อ
ระหว่างหน่วยงานและลูกค้า สามารถทาได้โดยถูกต้องและรวดเร็วขึ้น ดังนั้นจึงช่วยให้หน่วยงาน
สามารถปรับปรุงคุณภาพของสินค้า/บริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น
ด้วย ความไดเ้ ปรยี บในการแขง่ ขัน (Competitive Advantage)คณุ ภาพชีวิตการทางาน (Quality of
Working Life )

2.15 ปจั จยั ท่ที าใหเ้ กดิ ความลม้ เหลวในการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้
จากงานวิจัยของ Whittaker (1999: 23) พบว่า ปัจจัยของความล้มเหลวหรือความ

ผดิ พลาดท่เี กดิ จากการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชใ้ นองคก์ าร มสี าเหตุหลัก 3 ประการ ได้แก่
1. การขาดการวางแผนที่ดีพอ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการวางแผนจัดการความเสี่ยงไม่ดี

พอ ยิ่งองค์การมีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด การจัดการความเสี่ยงย่อมจะมีความสาคัญมากข้ึนเป็นเงา
ตามตวั ทาใหค้ า่ ใช้จา่ ยดา้ นนี้เพ่มิ สงู ข้ึน

60

2. การนาเทคโนโลยที ไี่ มเ่ หมาะสมมาใช้งาน การนาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ใน
องค์การจาเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจหรืองานที่องค์การดาเนินอยู่ หาก
เลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่สอดรับกับความต้องการขององค์การแล้วจะทาให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา
และเป็นการส้นิ เปลอื งงบประมาณโดยใช่เหตุ

3. การขาดการจัดการหรือสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง การท่ีจะนาเทคโนโลยี
สารสนเทศเข้ามาใช้งานในองค์กร หากขาดซึ่งความสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงแล้วก็ถือว่า
ล้มเหลวต้ังแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น การได้รับความมั่นใจจากผู้บริหารระดับสูงเป็นก้าวย่างที่สาคัญและ
จาเปน็ ท่จี ะทาใหก้ ารนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ในองคก์ ารประสบความสาเรจ็

สาหรับสาเหตุของความล้มเหลวอ่ืน ๆ ที่พบจากการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เช่น ใช้
เวลาในการดาเนินการมากเกินไป (Schedule overruns), นาเทคโนโลยีท่ีล้าสมัยหรือยังไม่ผ่านการ
พิสูจน์มาใช้งาน (New or unproven technology), ประเมินแผนความต้องการใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศไม่ถูกต้อง, ผู้จัดจาหน่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (Vendor) ที่องค์การซื้อมาใช้งานไม่มี
ประสทิ ธิภาพและขาดความรับผดิ ชอบ และระยะเวลาของการพัฒนาหรือนาเทคโนโลยีสารสนเทศมา
ใชจ้ นเสร็จสมบรู ณใ์ ชเ้ วลาน้อยกวา่ หนึง่ ปี

นอกจากนี้ ปัจจัยอื่น ๆ ท่ีทาให้การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ไม่ประสบความสาเร็จใน
ดา้ นผู้ใช้งานน้นั อาจสรปุ ได้ดงั น้ี คือ

ความกลัวการเปล่ียนแปลง กล่าวคือ ผู้คนกลัวท่ีจะเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
รวมทัง้ กลัววา่ เทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้ามาลดบทบาทและความสาคัญในหน้าที่การงานที่รับผิดชอบ
ของตนให้ลดน้อยลง จนทาใหต้ อ่ ตา้ นการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ

การไม่ตดิ ตามข่าวสารความรดู้ ้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างสม่าเสมอ เนื่องจากเทคโนโลยี
สารสนเทศเปล่ียนแปลงรวดเร็วมาก หากไม่ม่ันติดตามอย่างสม่าเสมอแล้วจะทาให้กลายเป็นคนล้า
หลงั และตกขอบ จนเกดิ สภาวะชะงักงันในการเรยี นรแู้ ละใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ

โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศกระจายไม่ทั่วถึง ทาให้ขาดความ
เสมอภาคในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือเกิดการใช้กระจุกตัวเพียงบางพื้นที่ ทาให้เป็นอุปสรรค
ในการใช้งานด้านตา่ ง ๆ ตามมา เชน่ ระบบโทรศพั ท์ อินเทอรเ์ น็ตความเรว็ สูง ฯลฯ

2.16 คอมพิวเตอร์และอนิ เทอร์เนต็
คอมพวิ เตอร์ คือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electrinic device) ที่มนุษย์ใช้เป็นเคร่ืองมือ

ชว่ ยในการจัดการกับขอ้ มลู ท่อี าจเป็นได้ ทัง้ ตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ท่ีใช้แทนความหมายในสิ่ง
ต่าง ๆ โดยคุณสมบัติที่สาคัญของคอมพิวเตอร์คือการที่สามารถกาหนดชุดคาสั่งล่วงหน้าหรือ
โปรแกรมได้ (programmable) นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถทางานได้หลากหลายรูปแบบ ข้ึนอยู่กับ

61

ชุดคาสั่งที่เลือกมาใช้งาน ทาให้สามารถนาคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้
ในการตรวจคล่นื ความถี่ของหัวใจ การฝาก - ถอนเงนิ ในธนาคาร การตรวจสอบสภาพเคร่ืองยนต์ เป็น
ต้น ข้อดีของคอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทางานได้อย่างมีประสิทธภาพ มีความถูก
ต้อง และมีความรวดเร็ว อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นงานชนิดใดก็ตาม เคร่ืองคอมพิวเตอร์จะมีวงจรการ
ทางานพืน้ ฐาน 4 อยา่ ง (IPOS cycle) คือ

2.16.1 รับข้อมูล (Input) เคร่ืองคอมพิวเตอร์จะทาการรับข้อมูลจากหน่วยรับข้อมูล
(input unit) เชน่ คบี อรด์ หรอื เมาส์

2.16.2 ประมวลผล (Processing) เคร่ืองคอมพิวเตอร์จะทาการประมวลผลกับข้อมูล
เพ่ือแปลงใหอ้ ยู่ในรูปอ่นื ตามทตี่ ้องการ

2.16.3 แสดงผล (Output) เครื่องคอมพิวเตอร์จะให้ผลลัพธ์จากการประมวลผลออกมา
ยังหน่วยแสดงผลลพั ธ์ (output unit) เช่น เคร่อื งพมิ พ์ หรอื จอภาพ

2.16.4 เก็บข้อมูล (Storage) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทาการเก็บผลลัพธ์จากการ
ประมวลผลไว้ในหน่วยเก็บข้อมูล เพื่อให้สามารถนามาใช้ใหม่ได้ในอนาคต คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์
ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจารูปแบบต่าง ๆ เพ่ือเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนท่ีมีหน้าท่ี
ดาเนินการคานวณเกี่ยวกับตัวดาเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดาเนินการทางคณิตศาสตร์ และ
ส่วนควบคุมที่ใช้เปล่ียนแปลงลาดับของตัวดาเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์
เหล่านี้จะยอมให้นาเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคานวณตัวดาเนินการออกไป
หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าท่ีดาเนินการกับคาสั่งต่าง ๆ ท่ีคอยส่ังให้อ่าน ประมวล และ

62

เก็บข้อมูลไว้ คาส่ังต่าง ๆ ท่ีมีเง่ือนไขจะแปลงชุดคาสั่งให้ระบบและส่ิงแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันท่ี
สถานะปจั จบุ ัน
คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาข้ึนในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษท่ี 20 (ค.ศ. 1940 –
ค.ศ. 1945) แรกเร่ิมนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่อง
คอมพิวเตอรส์ ว่ นบคุ คล (พีซ)ี สมัยใหม่หลายร้อยเคร่ืองรวมกัน คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่น้ีผลิตขึ้นโดย
ใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า
และขนาดของตัวเครื่องใช้พ้ืนที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่าน้ัน คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็ก
พอทีจ่ ะถกู บรรจไุ ว้ในอปุ กรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือน้ีใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาด
เล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคาว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็น
สัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายท่ีพบได้ต้ังแต่ในเคร่ือง
เล่นเอ็มพีสามจนถึงเคร่ืองบนิ บังคบั และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหนุ่ ยนต์อตุ สาหกรรม

2.17 ประเภทของคอมพิวเตอร์
ในปจั จบุ นั คอมพวิ เตอรไ์ ดใ้ ชว้ งจรเบ็ดเสร็จขนาดใหญ่มาก (very large scale integrated

circuit) ซ่ึงสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่าสิบล้านตัว เราสามารถแบ่งคอมพิวเตอร์ในรุ่น
ปัจจุบนั ออกเป็น 4 ประเภทดงั ต่อไปนี้

2.17.1 ซูเปอร์คอมพวิ เตอร์ (supercomputer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ท่ีมีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพสูงสุด
เมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก มีขนาดใหญ่
สามารถคานวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านคร้ังต่อวินาที และได้รับการออกแบบ เพ่ือให้ใช้
แกป้ ัญหาขนาดใหญ่มากทางวทิ ยาศาสตร์และทางวศิ วกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพยากรณ์
อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อมซ่ึงหากใช้
คอมพิวเตอร์ชนิดอ่ืน ๆ แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคานวณหลายปีกว่าจะเสร็จ
ส้ิน ในขณะท่ีซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่ก่ีช่ัวโมงเท่านั้น เนื่องจากการ
แกป้ ญั หาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจาสูง ดังน้ัน ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จึงมีหน่วยความจาที่ใหญ่มาก
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วยประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย
จนถงึ รุ่นท่มี ีหน่วยประมวลผลหลายหมน่ื หน่วยซึง่ สามารถทางานหลายอยา่ งได้พรอ้ ม ๆ กัน

63

2.17.2 เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มีสมรรถภาพที่ต่ากว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาก แต่ยังมีความเร็วสูง
และมีประสิทธิภาพสูงกว่ามินิคอมพิวเตอร์หรือไมโครคอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์สามารถ
ให้บริการผู้ใช้จานวนหลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ฉะน้ัน จึงสามารถใช้โปรแกรมจานวนนับร้อยแบบใน
เวลาเดียวกันได้ โดยเฉพาะถ้าต่อเครื่องเข้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถใช้ได้จากทั่วโลก
ปัจจุบัน องค์กรใหญ่ ๆ เช่น ธนาคาร จะใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ในการทาบัญชีลูกค้า หรือการ
ให้บริการจากเครื่องฝากและถอนเงินแบบอัตโนมัติ (automatic teller machine) เน่ืองจากเครื่อง
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ถูกใช้งานมากในการบริการผู้ใช้พร้อม ๆ กัน เมนเฟรมคอมพิวเตอร์จึงต้องมี
หนว่ ยความจาทใี่ หญ่มาก

2.17.3 มนิ ิคอมพวิ เตอร์ (minicomputer)
มินิคอมพิวเตอร์ คอื เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ๆ ซึ่งสามารถบริการผู้ใช้งานได้หลาย
คนพร้อม ๆ กัน แต่จะไม่มีสมรรถภาพเพียงพอที่จะบริการผู้ใช้ในจานวนที่เทียบเท่า
เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ได้ จงึ ทาให้มินิคอมพิวเตอร์เหมาะสาหรับองค์กรขนาดกลาง หรือสาหรับแผนก
หนงึ่ หรอื สาขาหน่งึ ขององค์กรขนาดใหญ่เท่านัน้

2.17.4 ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personal computer
หรือ PC)

ไมโครคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแบบขนาดต้ังโต๊ะ (desktop computer)
หรือขนาดเล็กกว่านั้น เช่น ขนาดสมุดบันทึก (notebook computer) และขนาดฝ่ามือ (palmtop
computer) ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มมีข้ึนในปีพ.ศ. 2518 ถึงแม้ว่าในระยะหลัง เครื่องชนิดน้ีจะมี
ประสิทธิภาพท่ีสูง แต่เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีขนาดกะทัดรัด ไมโครคอมพิวเตอร์จึงยังเหมาะ
สาหรบั ใช้สว่ นตวั ไมโครคอมพวิ เตอร์ได้ถกู ออกแบบสาหรบั ใช้ท่ีบา้ น โรงเรยี น และสานักงานสาหรับที่
บ้าน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการทางบประมาณรายรับรายจ่ายของครอบครัวช่วยทา
การบ้านของลูก ๆ การค้นคว้าข้อมูลและข่าวสาร การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail
หรือ email) หรือโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต (internet phone) ในการติดต่อทั้งในและนอกประเทศ
หรือแม้กระท่ังทางบันเทิง เช่น การเล่นเกมบนเคร่ืองไมโครคอมพิวเตอร์ สาหรับท่ีโรงเรียน เรา
สามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยสอนนักเรียนในการค้นคว้าข้อมูลจากท่ัวโลกสาหรับที่
สานักงาน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยพิมพ์จดหมายและข้อมูลอื่น ๆ เก็บและค้น
ข้อมลู วิเคราะห์และทานายยอดซือ้ ขายล่วงหน้า

64

1. โน้ตบคุ๊ (notebook or laptop)
โน้ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ ถูกออกแบบไว้เพื่อนาติดตัว
ไปใชต้ ามที่ตา่ ง ๆ มขี นาดเลก็ และนา้ หนักเบา ในปจั จุบนั มีขนาดพอ ๆ กบั สมุดทที่ าด้วยกระดาษ

2. เน็ตบุ๊ค (netbook or laptop)
เน็ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ท่ีมีขนาดเล็กกว่าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คและเล็กกว่าโน้ตบุ๊ค ไม่มี
ไดรฟ์สาหรบั อา่ นและเขียนแผน่ และใช้ฮารด์ ดิสแบบ SSD ทาให้น้าหนักเบา ถูกออกแบบไว้เพ่ือนาติด
ตัวไปใช้ตามท่ีต่าง ๆ มีขนาดเล็ก และน้าหนกั เบา ปจั จบุ ันไม่ได้รับความนิยม

3. อัลตรา้ บุ๊ค (ultrabook)
อลั ตรา้ บุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์และมีขนาดเท่ากับโน้ตบุ๊ค
ถูกออกแบบไว้เพ่ือนาติดตัวไปใช้ตามท่ีต่าง ๆ และน้าหนักเบากว่าโน้ตบุ๊ค และเน้นความสวยงาม
ทันสมยั แปลกใหม่

4. แท็บเลต็ คอมพวิ เตอร์ (tablet computer)
แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือเรียกส้ัน ๆ ว่า แท็บเล็ต คือเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้
ในขณะเคลื่อนที่ได้ ขนาดกลางและใช้หน้าจอสัมผัสในการทางานเป็นอันดับแรก มีคีย์บอร์ดเสมือน
จริงหรือปากกาดิจิตอลในการใช้งานแทนที่แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด และมีความหมายครอบคลุมถึงโน๊คบุ๊
คแบบ convertible ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสและมีแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดติดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบหมุน
หรือแบบสไลด์กต็ าม

65

2.18 อินเทอรเ์ นต็
หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลาย ๆ

เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาท่ีใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ท่ีเรียกว่า โพรโทคอล (protocol)
ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถส่ือสารถึงกันได้ในหลาย ๆ ทาง อาทิ อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสื บค้น
ข้อมูลและข่าวสารตา่ ง ๆ รวมทงั้ คัดลอกแฟม้ ขอ้ มูลและโปรแกรมมาใช้ได้
การวิจัยช้ันสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการสร้าง
เครือข่ายคือ เพ่ือให้คอมพิวเตอร์สามารถเช่ือมต่อ และมีปฏิสัมพันธ์กันได้ เครือข่าย ARPANET ถือ
เปน็ เครือข่ายเริม่ แรก ซึง่ ต่อมาได้พฒั นาใหเ้ ปน็ เครือข่าย อินเทอรเ์ น็ตในปัจจุบัน

2.18.1 การประยกุ ตใ์ ชง้ านอนิ เทอร์เนต็
การประยกุ ตใ์ ช้อินเทอร์เน็ตในปจั จบุ ันทาได้หลากหลาย อาทิ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ
อีเมล (email), สนทนา (chat), อ่านหรือแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ด, การติดตามข่าวสาร, การ
สืบค้นข้อมูล / การค้นหาข้อมูล, การชม หรือซ้ือสินค้าออนไลน์, การดาวโหลด เกม เพลง ไฟล์ข้อมูล
ฯลฯ, การติดตามข้อมลู ภาพยนตร์ รายการบนั เทิงตา่ ง ๆ ออนไลน์, การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์
, การเรียนรู้ออนไลน์ (e-learning), การประชุมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต (video conference),
โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP), การอับโหลดข้อมูล หรืออื่น ๆ แนวโน้มล่าสุดของการใช้
อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างเครือข่ายสังคม( Social
Network) ซ่ึงพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ท่ีเก่ียวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกาลังได้รับความนิยมอย่าง
แพร่หลายเช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ ไฮไฟฟ์ และการใช้เร่ิมมีการแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้

66

อินเทอร์เนต็ ผา่ นโทรศัพท์มอื ถือ (Mobile Internet) มากขนึ้ เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้
การเข้าถงึ เครอื ขา่ ยผา่ นโทรศัพท์มอื ถอื ทาได้งา่ ยข้นึ มาก

2.18.2 ความสาคญั ของอนิ เทอรเ์ นต็
ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตน้ันมีความสาคัญต่อชีวิตประจาวันของคนเราหลายๆด้าน ท้ังด้าน
การศกึ ษา ดา้ นธรุ กจิ และพาณิชย์ ดา้ นการบันเทิง

1. ด้านการศึกษา การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการสนับสนุนการศึกษา เป็นการใช้
อินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสารเพ่ือการส่งการบ้าน นัดหมาย อธิบารายละเอียด รวมท้ังแลกเปล่ียน
ความคิดเห็นของคณาจารย์กับนักเรียน และนักเรียนกับนักเรียนด้วยกัน นอกจากน้ียังมีระบบการ
เรยี นการสอนดว้ ยระบบออนไลน์ การเรียนออนไลน์ค่อนข้างเป็นท่ีนิยมมากในปัจจุบัน เพราะเป็นการ
เรียนท่ีสะดวกสามารถเรียนได้ในเวลาที่ต้องการ อีกทั้งสามารถลดค่าเล่าเรียนลงไปได้อย่างมาก และ
ท้ังนี้อินเทอร์เน็ตนัน้ ยังสามารถใช้เปน็ แหล่งค้นคว้าหาข้อมูลเสมือนเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่พร้อมท้ังมี
ขอ้ มูลท่คี รอบคลุมมที งั้ ภาพ เสียง และภาพเคล่ือนไหว

2. ด้านธุรกิจและพาณิชย์ การใช้อินเทอร์เน็ตกับงานธุรกิจณิชย์น้ันช่วยให้สามารถ
ตัดสินใจซ้ือขายสินค้าและบริการได้อย่างรวดเร็วและสะดวก นับว่าเป็นตลาดท่ีกว้างขวางและมี
ประสิทธิภาพในการติดต่อซื้อสินค้าและบริการ เพราะคนเราสมัยน้ีนิยมความสะดวกสบายและ
รวดเร็วทันใจ ไม่ว่าจะอยู่ท่ีใดบนโลกก็ตามก็สามารถเปิดเว็บไซต์เพื่อเลือกสินค้าหรือหาข้อมูล
ผลิตภัณฑ์ หรอื แมก้ ระทง่ั ปรึกษาก็ได้ฉับไว

3. ด้านการบันเทิง อินเทอร์เน็ตถือว่าเป็นแหล่งความบันเทิงในอีกรูปแบบหน่ึงเหมือ
นับการน่ังดูโทรทัศน์ ดูภาพยนตร์ อ่านหนังสือหรือบทความต่างๆ ซ่ึงสามารถจะดูหรือใช้งานท่ีไหน
เม่ือไหร่ก็ได้ตามต้องการ อินเทอร์เน็ตต่อด้านบันเทิงน้ันถือว่าเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ สามารถค้นคว้า
วารสารทั้งหนังสือพิมพ์ ข่าวสาร นิยาย วรรณกรรมและอ่ืนๆผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อีกท้ัง
สามารถฟงั วทิ ยอุ อนไลน์ ดรู ายการโทรทศั น์รวมทัง้ ภาพยนตรท์ ้ังเก่าและใหมม่ าดูได้อีกดว้ ย

67

2.19 ระบบการสบื คน้ ผา่ นเครือข่ายเพื่อการเรียนรู้
ในโลกไซเบอร์สเปซมีข้อมูลมากมายมหาศาล การที่จะค้นหาข้อมูลจานวนมากมายอย่างน้ี

เราไม่อาจจะคลิกเพ่ือค้นหาข้อมูลพบได้ง่ายๆ จาเป็นจะต้องอาศัยการค้นหาข้อมูลด้วยเคร่ืองมือ
ค้นหาที่เรียกว่า Search Engine เข้ามาช่วยเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เว็บไซต์ท่ีให้บริการค้นหา
ข้อมูลมีมากมายหลายที่ท้ังของคนไทยและ ถ้าเราเปิดไปทีละหน้าจออาจจะต้องเสียเวลาในการ
คน้ หา และอาจหาข้อมูลที่เราต้องการไม่พบ การท่ีเราจะค้นหาข้อมูลให้พบอย่างรวดเร็วจึงต้องพ่ึงพา
Search Engine Site ซ่ึงจะทาหน้าท่ีรวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่
ผู้ใช้งานเพียงแต่ทราบหัวข้อท่ีต้องการค้นหาแล้วป้อน คาหรือข้อความของหัวข้อนั้นๆ ลงไปในช่องท่ี
กาหนด คลิกปุ่มค้นหา เท่าน้ัน รอสักครู่ข้อมูลอย่างย่อๆ และรายช่ือเว็บไซต์ท่ีเกี่ยวข้องจะปรากฏให้
เราเขา้ ไปศกึ ษาเพ่ิมเติมไดท้ นั ที การค้นหาขอ้ มลู มี 2 วิธี ดังน้ี

2.19.1 การค้นหาในรูปแบบ Index Directory
วิธีการค้นหาข้อมูลแบบ Index น้ีข้อมูลจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าการค้นหา
ขอ้ มูลด้วย วิธีของ Search Engine โดยมันจะถูกคัดแยกข้อมูลออกมาเป็นหมวดหมู่ และจัดแบ่งแยก
Site ต่างๆออก เป็นประเภท สาหรับวิธีใช้งาน คุณสามารถที่จะ Click เลือกข้อมูลที่ต้องการจะดูได้
เลยใน Web Browser จากน้ันที่หน้าจอก็จะแสดงรายละเอียดของหัวข้อปลีกย่อยลึกลงมาอีกระดับ
หน่งึ ปรากฏขึ้นมาให้เราเลือกอีก ส่วนจะแสดงออกมาให้เลือกเยอะแค่ไหนอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของ
ฐานข้อมูลใน Index ว่าในแต่ละประเภท จัดรวบรวมเก็บเอาไว้มากน้อยเพียงใด เมื่อคุณเข้าไปถึง
ประเภทย่อยท่ีคุณสนใจแล้ว ที่เว็บเพจจะแสดงรายช่ือของเอกสารท่ีเกี่ยวข้องกับ ประเภทของข้อมูล
นน้ั ๆออกมา หากคุณคิดวา่ เอกสารใดสนใจหรือตอ้ งการอยากทจ่ี ะดู สามารถ Click ลงไปยัง Link เพ่ือ

68

ขอเชื่อต่อทางไซต์ก็จะนาเอาผลของข้อมูลดังกล่าวออกมาแสดงผลทันที นอกเหนือไปจากนี้ ไซต์ท่ี
แสดงออกมานั้นทางผู้ให้บริการยังได้เรียบเรียงโดยนาเอา Site ท่ีมีความเก่ียว ข้องมากที่สุดเอามาไว้
ตอนบนสุดของรายชอื่ ทแ่ี สดง

2.19.2 การคน้ หาในรปู แบบ Search Engine
วิธีการอีกอย่างที่นิยมใช้การค้นหาข้อมูลคือการใช้ Search Engine ซ่ึงผู้ใช้ส่วนใหญ่กว่า
70% จะใช้วิธีการค้นหาแบบน้ี หลักการทางานของ Search Engine จะแตกต่างจากการใช้ Index
ลกั ษณะของมนั จะเปน็ ฐานขอ้ มูลขนาดใหญ่มหาศาลที่กระจัดกระจายอยู่ท่ัวไป บน Internet ไม่มีการ
แสดงข้อมูลออกมาเป็นลาดับข้ันของความสาคัญ การใช้งานจะเหมือนการสืบค้นฐานข้อมูล อ่ืนๆคือ
คุณจะต้องพิมพ์คาสาคัญ (Keyword) ซ่ึงเป็นการอธิบายถึงข้อมูลที่คุณต้องการจะเข้าไป ค้นหานั้นๆ
เขา้ ไป จากน้ัน Search Engine กจ็ ะแสดงข้อมลู และ Site ต่างๆทเี่ กีย่ วข้องออกมา
**** ขอ้ แตกต่างระหวา่ ง Index และ Search Engine
คาตอบก็ คือวิธีในการค้นหาข้อมูลแบบ Index เค้าจะใช้คนเป็นผู้จัดรวบรวมและทาระบบ
ฐานข้อมูลข้ึนมา ส่วนแบบ Search Engine นั้นระบบฐานข้อมูลของมันจะได้รับการจัดสร้างโดยใช้
Software ทมี่ ี หน้าทเ่ี กยี่ วกบั งานทางดา้ นนีโ้ ดยเฉพาะมาเปน็ ตวั ควบคุมและจัดการ ซ่ึงเจ้า Software
ตัวน้ีจะมี ช่ือเรียกว่า Spiders การทางานข้องมันจะใช้วิธีการเดินลัดเลาะไปตามเครือข่ายต่างๆที่
เชื่อมโยงถึง กนั อยเู่ ต็มไปหมดใน Internet เพื่อค้นหา Website ท่ีเกิดข้ึนมาใหม่ๆ รวมทั้งยังสามารถ
ตรวจสอบหาความเปลย่ี นแปลงของ ข้อมูลใน Site เดิมท่ีมีอยู่ ว่าท่ีใดถูกอัพเดตแล้วบ้าง จากนั้นมันก็
จะนาเอาขอ้ มลู ทั้งหมดท่ีสารวจเข้ามา ได้เก็บใส่เข้าไปในฐานข้อมูลของตนอัตโนมัติ ยกตัวอย่างของผู้
ให้บริการประเภทน้ีเช่น Excite , Lycos Infoserch เป็นต้น การค้นหาด้วยวิธี Search Engine น้ัน
มักจะได้ผลลัพธ์ออกมากว้างๆช้ีเฉพาะเจาะจงได้ยาก บางคร้ังข้อมูลท่ี ค้นหามาได้อาจมีถึงเป็นร้อย

69

เป็นพัน Site แลว้ มีใครบ้างหละท่อี ยากจะมานั่งคน้ หาและอ่านดูที่จะเพจ ซ่ึงคง ต้องเสียเวลาเป็นวันๆ
แน่ ซึ่งก็ไม่รับรองด้วยว่าคุณจะได้ข้อมูลที่คุณต้องการหรือไม่ ดังน้ันจึงมีหลักในการค้น หา เพ่ือให้ได้
ข้อมลู ใกลเ้ คียงความเปน็ จรงิ มากท่ีสุด ซง่ึ จะขอกล่าวในตอนหลัง

2.19.2.1 ประเภทของ Search Engine
Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลท่ีแตกต่างกันไปตามประเภท
ของ Search Engine ท่ีแต่ละเว็บไซต์นามาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้นการท่ีคุณจะเข้าไปหาข้อมูล
หรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search น้ัน อย่างน้อยคุณจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ท่ีคุณเข้าไปใช้บริการ ใช้
วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนอื่ งจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บ
ขอ้ มลู ต่างกนั ไป ทีน่ เี้ ราลองมาดูซิวา่ Search Engine ประเภทใดทีเ่ หมาะกับการค้นหาข้อมลู ของคุณ

1. Keyword Index เป็นการค้นหาข้อมูล โดยการค้นจากข้อความในเว็บเพจท่ีได้ผ่าน
การสารวจมาแล้ว จะอา่ นข้อความ ข้อมลู อย่างนอ้ ยๆ กป็ ระมาณ 200-300 ตัวอกั ษรแรกของเว็บเพจ
นั้นๆ โดยการอ่านนี้จะหมายรวมไปถึงอ่านข้อความที่อยู่ในโครงสร้างภาษา HTML ซ่ึงอยู่ในรูปแบบ
ของข้อความที่อยู่ในคาส่ัง alt ซ่ึงเป็นคาส่ังภายใน TAG คาสังของรูปภาพ แต่จะไม่นาคาสั่งของ TAG
อ่นื ๆ ในภาษา HTML และคาสงั่ ในภาษา JAVA มาใช้ในการค้นหา วิธีการค้นหาของ Search Engine
ประเภทน้ีจะให้ความสาคัญกับการเรียงลาดับข้อมูลก่อน-หลัง และความถี่ในการนาเสนอข้อมูลนั้น
การค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่
ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เน่ืองจากไม่ได้คานึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร แต่หากว่าคุณ
ต้องการแนวทางดา้ นกว้างของขอ้ มูล และความรวดเร็วในการค้นหา วธิ กี ารนกี้ ใ็ ชไ้ ด้ผลดี

2. Subject Directories การจาแนกหมวดหมู่ข้อมูล Search Engine ประเภทนี้ จะ
จัดแบ่งโดยการวิเคราะห์เน้ือหา รายละเอียด ของแต่ละเว็บเพจ ว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยการ

70

จดั แบ่งแบบน้จี ะใชแ้ รงงานคนในการพิจารณาเว็บเพจ ซ่ึงทาให้การจัดหมวดหมู่ข้ึนอยู่กับวิจารณญาณ
ของคนจัดหมวดหมู่แต่ละคนว่าจะจัดเก็บข้อมูลนั้นๆ อยู่ในเครือข่ายข้อมูลอะไร ดังน้ันฐานข้อมูลของ
Search Engine ประเภทน้ีจะถูกจัดแบ่งตามเนื้อหาก่อน แล้วจึงนามาเป็นฐานข้อมูลในการค้นหา
ต่อไป การคน้ หาค่อนข้างจะตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และมีความถูกต้องในการค้นหาสูง เป็นต้น
ว่า หากเราต้องการหาข้อมูลเก่ียวกับเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่นาเสนอข้อมูลเก่ียวกับคอมพิวเตอร์
Search Engine ก็จะประมวลผลรายช่ือเว็บไซต์ หรือเว็บเพจท่เี กีย่ วกับคอมพวิ เตอรล์ ว้ นๆ มาใหค้ ณุ

3. Metasearch Engines จุดเด่นของการค้นหาด้วยวิธีการนี้ คือ สามารถเช่ือมโยงไป
ยัง Search Engine ประเภทอื่นๆ และยังมีความหลากหลายของข้อมูล แต่การค้นหาด้วยวิธีนี้มีจุด
ด้อย คือ วิธีการน้ีจะไม่ให้ความสาคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคาประเภท
Natural Language (ภาษาพูด) ดังน้ัน หากคุณจะใช้ Search Engine แบบน้ีละก็ ขอให้ตระหนักถึง
ข้อบกพรอ่ งเหล่าน้ีดว้ ย

2.19.2.2 หลกั การค้นหาข้อมูลของ Search Enine
สาหรับหลักในการค้นหาข้อมูลของ Search Engine แต่ละตัวจะมีลักษณะท่ีแตกต่างกัน
ออกไป ขึ้นอยู่กับว่าทางศูนย์บริการต้องการจะเก็บข้อมูลแบบไหน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีกลไกใน
การค้นหาทใี่ กล้เคียงกนั หากจะแตกต่างก็คงจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพเสียมากกว่า ว่าจะมีข้อมูล เก็บ
รวบรวมไว้อยู่ในฐานข้อมูลมากน้อยขนาดไหน และพอจะนาเอาออกมาบริการให้กับผู้ใช้ ได้ตรงตาม
ความตอ้ งการหรอื เปล่า ซ่งึ ลักษณะของปัจจยั ทใี่ ชค้ น้ หาโดยหลักๆจะมดี ังน้ี
1. การค้นหาจากช่ือของตาแหน่ง URL ใน เวบ็ ไซตต์ า่ งๆ
2. การค้นหาจากคาท่ีมีอยู่ใน Title (ส่วนที่ Browser ใช้แสดงชื่อของเว็บเพจอยู่ทางด้าน
ซ้ายบนของหน้าต่างท่แี สดง
3. การคน้ หาจากคาสาคญั หรอื คาสงั่ keyword (อยูใ่ น tag คาสัง่ ใน html ท่ีมีชอ่ื วา่ meta)
4. การคน้ หาจากสว่ นท่ใี ช้อธบิ ายหรือบอกลักษณะ site
5. ค้นหาคาในหน้าเว็บเพจด้วย Browser ซ่ึงการค้นหาคาในหน้าเว็บเพจน้ันจะใช้สาหรับ
กรณีท่ีคุณเข้าไปค้นหาข้อมูลที่เว็บ เพจใด เว็บเพจหนึ่ง แล้วภายในมีข้อความปรากฏอยู่เต็มไปหมด
จะนั่งไล่ดูทีละบรรทัดคงไม่สะดวก ในลักษณะนี้เราใช้ใช้ browser ช่วยค้นหาให้ ขึ้นแรกให้คุณนา
mouse ไป click ที่ menu Edit แล้วเลือกบรรทัดคาส่ัง Find in Page หรือกดปุ่ม Ctrl + F ที่
keyboard ก็ได้ จากนั้นใส่คาท่ีต้องการค้นหาลงไปแล้วก็กดปุ่ม Find Next โปรแกรมก็จะวิ่งหาคา
ดังกล่าว หากพบมันก็จะกระโดดไปแสดงคานั้นๆ ซ่ึงคุณสามารถกดปุ่ม Find Next เพ่ือค้นหาต่อได้
อกี จนกวา่ คณุ จะพบขอ้ มูลทีต่ ้องการ

71

20. การสบื ค้น และรบั สง่ ข้อมูล แฟ้มขอ้ มลู และสารสนเทศเพอ่ื ใชใ้ นการจดั การเรียนรู้
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเหมือนใยแมงมุมท่ีแผ่ออกไปกว้างไกลและมีจุดเชื่อมต่อกันได้มาย

มาย โดยผ่านเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่เช่ือมต่ออยู่ก่อนแล้ว ซ่ึงเรียกว่า ผู้ให้บริการแต่ละรายจะเก็บ
ค่าบริการไม่เท่ากัน ข้ึนอยู่กับลักษณะการเช่ือมต่อว่าใช้เทคโนโลยีใด เช่น เอดีเอสแอล
(ADSL) ไอเอสดีเอ็น (ISDN) แอร์การ์ด (air card) ทรีจิ(3G) หรือโมเด็มธรรมดาและมีความเร็วสูง
มากน้อยเพียงไร เชื่อมต่อตลอดเวลาหรือเป็นคร้ังคราว จากัดเวลาใช้งานหรือไม่ เป็นผู้เรียกดู
เรียกใช้บรกิ ารอย่างเดียว หรือเปน็ ผใู้ หบ้ ริการแกค่ นอ่ืน หรือให้บริการฟรี เช่น สถาบันการศึกษาให้
นกั ศกึ ษาในสงั กัดใชง้ านอนิ เทอร์เน็ตฟรี เป็นตน้

2.20.1 เทคโนโลยที ีใ่ ช้ในการเชื่อมต่ออนิ เทอรเ์ นต็
โมเดม็ (modem) คอื อุปกรณ์เช่ือมต่ออินเทอร์เน็ตซ่ึงมีสายสัญญาณนาส่งข้อมูลได้แต่ไม่
รวดเรว็ เท่ากบั เทคโนโลยีอืน่ ๆ
เอดีเอสแอล (ADSL) คือ เทคโนโลยีของโมเด็มซค่ึงมีสายสัญญาณนาส่งข้อมูลความเร็วสูง
กว่าโมเดม็ ธรรมดา และสามารถพดู โทรศัพทข์ ณะใช้อนิ เทอร์เน็ตได้
ไอเอสดเี อน็ (ISDN) คือ บริการส่อื สารโทรคมนาคมระบบดิจิทัลท่ีสามารถรับส่งข้อมูลทั้งใน
ระบบภาพ เสยี ง และข้อมลู ได้เรว็ กวา่ โมเด็มธรรมดา
แอร์การ์ด (aircard) คือ อปุ กรณ์เชื่อมตอ่ อินเทอร์เนต็ ไรส้ ายเขา้ กับคอมพิวเตอร์สมุดพก
หรือโนต๊ บกุ๊ และคอมพวิ เตอร์ต้ังโต๊ะ
ทรีจี (3G) คือ เทคโนโลยกี ารส่ือสารท่ผี สมผสานการนาเสนอ
ขอ้ มูล โทรศพั ทเ์ คลื่อนท่ี วทิ ยเุ ทป กล้องถา่ ยรูปและอินเทอรเ์ นต็ ไว้ด้วยกนั ตลอดจนใหบ้ ริการ
อินเทอร์เนต็ ไร้สายความเร็วสูงสาหรับคอมพวิ เตอรส์ มุดพกหรอื โนต๊ บกุ๊

72

การเชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตของเทคโนโลยี เอดีแอสแอล ไอเอสดีเอ็น และโมเด็ม มี
ขนั้ ตอนท่ีเหมอื นกนั ดงั นี้
1. ผู้ใช้ขอเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ต จากผู้ให้บริการโดยการพิมพ์ช่ือเข้าใช้ (login) และ
รหัสผ่าน (password)
2. โมเด็มจะทาหน้าท่ีหมุนหมายเลขโทรศัพท์ไปยังผู้ให้บริการพร้อมกับลงช่ือเข้าใช้และ
รหัสผ่านไปด้วย
3. ข้อมลู ชื่อเข้าใช้ และรหัสผ่านเดินทางผา่ นทางสายโทรศัพท์
4. ผู้ใหบ้ รกิ ารได้รับการร้องขอเข้าใช้บริการอินเทอร์เน็ต จะทาการตรวจสอบช่ือเข้าใช้ และ
รหสั ผา่ น ถ้าถูกตอ้ งจะส่งข้อมลู กลับไปวา่ เข้าใชส้ าเร็จ
5. ผใู้ ช้จะสามารถใชบ้ รกิ ารอินเทอร์เน็ตไดท้ นั ที
สาหรบั การเชื่อมต่อเข้าสู่อนิ เทอรเ์ น็ตดว้ ยแอร์การด์ ทาได้โดยเสยี บแอร์การ์ดเขา้ กบั
คอมพิวเตอร์สมุดพกหรอื คอมพวิ เตอร์ตงั้ โต๊ะทเ่ี ปดิ เคร่อื งไว้แล้ว จากนัน้ คลิกป่มุ คาสงั่ Connect ก็
สามารถใชง้ านอินเทอร์เน็ตได้ ส่วนการเชื่อมต่อเขา้ สอู่ นิ เทอร์เนต็ ผา่ นโทรศัพท์เคล่ือนที่ในระบบทรี
จี ซง่ึ เชอ่ื มตอ่ อินเทอร์เน็ตตลอด 24 ช่ัวโมง เมื่อเปิดโทรศัพทเ์ คล่ือนที่ก็สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ต
ได้ทันที สาหรับโทรศัพท์เคลื่อนท่ที ่ีใช้อนิ เทอรเ์ น็ตเป็นครัง้ คราว ตอ้ งเข้าไปทร่ี ายการการ
เชอ่ื มตอ่ แลว้ เลอื กจพี ีอารเ์ อส (GPRS) ติดตอ่ กับเครื่องแม่ขา่ ย เพ่ือขอใช้งานจงึ จะสามารถใชง้ าน
อนิ เทอรเ์ น็ตได้

2.20.2 การใช้งานอนิ เทอรเ์ นต็
การใช้งานบนเครือข่ายอนิ เทอรเ์ น็ตมหี ลายรปู แบบ ซงึ่ ผู้ใช้ควรศึกษาวธิ กี ารใช้ให้เข้าใจและ
ฝึกใช้เปน็ ประจาจงึ จะใช้ไดถ้ ูกตอ้ งและเกิดประโยชน์มากทส่ี ดุ ดงั ตัวอยา่ ง

1. อีเมล์
อีเมล์(e-mail) หรือ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นการส่งข้อความอย่างเดียวหรือแนบ
ไฟล์ ภาพนิ่ง ภาพเคล่ือนไหว และเสียงไปกับข้อความ เพื่อแลกเปล่ียนข้อมูลและติดต่อสื่อสารกัน
ระหว่างผู้ส่งและผู้รับผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการส่งจดหมายหรือพัสดุทาง
ไปรษณีย์ แต่ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มากกว่า โดยมีซอฟต์แวร์เป็นบุรุษไปรษณีย์ ระบบ
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นเส้นทางการส่งจดหมาย และการจ่าหน้าซองจดหมายหรือพัสดุเป็นการ
อ้างองิ ทอี่ ยูข่ องไปรษณีย์อิเลก็ ทรอนกิ ส์ แทนการเขยี นลงบนซองจดหมายหรอื กลอ่ งพัสดุ

การสง่ อเี มล์ถงึ ผรู้ ับมีขัน้ ตอน ดงั นี้
1. ลงทะเบียนเพื่อขอใช้บริการอีเมลของเว็บไซต์ท่ีให้บริการก่อน ในกรณีที่ยังไม่สมัครเป็น
สมาชิกของเวบ็ ไซตท์ ใี่ หบ้ ริการอินเทอรเ์ นต็ ฟรี

73

2. เขา้ สู่ระบบของผใู้ หบ้ ริการ (login) โดยพมิ พ์ชอ่ื เข้าใช้ (username) และรหสั ผา่ น
(password)
3. คลิกปุม่ คาสั่ง NEW หรอื สร้าง
4. พิมพ์ทอี่ ยขู่ องผูร้ บั
5. พิมพ์หัวเรอ่ื งที่เกยี่ วขอ้ งกบั ขอ้ ความท่จี ะสง่ ไปใหผ้ รู้ บั
6. พมิ พข์ ้อความที่ต้องการส่ง
7. คลกิ ป่มุ คาส่งั Send หรือ ส่ง

2. บลอ็ ก
บล็อก (blog) ย่อมาจากคาว่า เว็บล็อก(weblog) ซ่ึงเป็นรูปแบบเว็บไซต์ประเภทหนึ่งท่ี
ถูกเขียนข้ึนในลาดับที่เรียงตามเวลาในการเขียนและจะแสดงข้อมูลท่ีเขียนล่าสุดไว้บนสุด บล็อกโดย
ปกติจะประกอบด้วยข้อความ ภาพ การเช่ือมโยงภายในบล็อกและเว็บไซต์อ่ืน และบางครั้งอาจมี
สื่อตา่ ง ๆ เช่น เพลง วดิ โี อ รว่ มด้วย บล็อกจะเปิดให้ผู้เข้ามาอ่านข้อมูลสามารถแสดงความคิดเห็น
ตอ่ ท้ายข้อความทเ่ี จา้ ของบล็อกเขยี นข้ึน และเจ้าของบลอ็ กสามารถโต้ตอบกลับไดท้ ันที
บลอ็ กเป็นเวบ็ ไซตท์ มี่ เี นอื้ หาหลากหลาย โดยเจา้ ของบล็อกสามารถใช้เป็นเคร่ืองมือสื่อสาร
ประกาศข่าย แสดงความคิดเห็น และเผยแพร่ผลงานได้ นอกจากนี้บล็อกที่ถูกเขียนขึ้นเฉพาะเรื่อง
ส่วนตัวจะเรียกว่า ไดอารีออนไลน์ และบริษัทเอกชนหลายแห่งได้จัดทาบล็อกขึ้นเพื่อเสนอ
แนวความคดิ ใหม่ให้กับลูกคา้ ในรปู แบบขา่ วส้นั และเม่ือไดร้ ับการตอบรับจากลูกค้า จึงนาการตอบรับ
นไ้ี ปพฒั นาผลิตภณั ฑแ์ ละการบรกิ ารตอ่ ไป
การใช้งานบล็อกในฐานะผู้อ่านและตอ้ งการ่วมแสดงความคิดเห็น ทาไดด้ ังน้ี

74

1. เข้าไปในบล็อกที่ต้องการอ่านหรือร่วมแสดงความคิดเห็น โดยเลือกผ่านการสืบค้น
ดว้ ยโปรแกรมเรียกค้นขอ้ มลู

2. พิมพข์ อ้ ความแสดงความคิดเห็น
3. คลิกปมุ่ คาสั่ง สง่ ความคดิ เห็น
เว็บไซต์ท่ใี หบ้ ริการสมาชกิ ได้สร้างเว็บในลกั ษณะของเวบ็ บลอ็ กได้ฟรที นี่ ิยมในปัจจุบัน
ไดแ้ ก่ hi5, Facebook, Bloger, Ning, Gotoknow เปน็ ตน้

2.21 การโอนยา้ ยแฟม้ ข้อมูล
การโอนย้ายแฟ้มข้อมูล หรือ เอฟทีพี(FTP : File Transfer Protocol) เป็นบริการของ

สถานีบริการโอนย้ายข้อมูล ซึ่งอาจเป็นขององค์กรใดองค์กรหนึ่งท่ีมีการนาข้อมูลมาเก็บไว้ ข้อมูล
เหลา่ น้ีอาจเปน็ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นเอกสาร หรือแฟ้มขอ้ มลู อ่ืนใดก็ได้ สถานีบริการน้ีจะดูแล
แฟ้มและให้บริการแก่ผู้เรียกใช้ ท่ังในระยะใกล้และสถานีห่างไกลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยผู้
เรียกใช้สามารถตดิ ต่อเขา้ ไปเพ่ือขอคัดลอกแฟ้มข้อมลู ท่ตี ้องการมาใชง้ านได้

นอกจากนี้ การโอนย้ายข้อมูล ยังสามารถนาข้อมูลของผู้ใช้ท่ีมีอยู่ โอนย้ายไปให้ผู้อ่ืน
หรือนาไปไว้ในเครอ่ื งบริการท่เี ชอื่ มต่ออยบู่ นอินเทอร์เนต็ ทีอ่ นื่ ซ่งึ ผู้ใช้มีสิทธใ์ิ นการใช้

ซอฟต์แวร์โอนย้ายข้อมูลที่นิยมใช้กันมีอยู่หลายชนิด เช่น WS_FTP, Cute FTP,
FileZilla เป็นต้น ซึ่งในทีน้ีจะขอนาเสนอวิธีการใช้งานซอฟต์แวร์ WS_FTP เพราะมีวิธีการติดต้ังไม่
ยุ่งยากและใช้งานงา่ ย

การโอนย้ายข้อมูลโดยใช้ซอฟต์แวร์ WS_FTP ที่ติดต้ังแล้ว ทาได้โดยเชื่อมต่อเครือข่าย
อนิ เทอรเ์ น็ต แลว้ ปฎิบตั ิดังน้ี

1. ดับเบลิ คลิกทีป่ มุ่ คาส่ังของซอฟตแ์ วร์ WS_FTP เพ่อื เปิดใช้งาน
2. เลอื กข้อมลู ทต่ี ้องการโอนยา้ ย
3. คลกิ ปุม่ คาสง่ั Ü
4. แสดงการโอนย้ายสาเรจ็

75

2.21.1 การสืบคน้ ขอ้ มูลโดยใช้โปรแกรมเรยี กคน้ ข้อมลู (search engine)
บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลมากมายให้สืบค้นท้ัง ข่าวสาร บทความ รูปภาพ เพลง
มิวสิกวิดีโอ แผนท่ี ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้สืบค้น โดยการสืบค้นข้อมูลท่ีต้องการแบบ
ประหยดั เวลาน้ัน ต้องทราบแหล่งท่ีมขี อ้ มูล วิธีการสืบค้นและมีโปรแกรมเรียกคน้ ข้อมูล
เซิร์ซเอนจนิ (search engine)เปน็ โปรแกรมเรียกค้นข้อมลู หรอื โปรแกรมชว่ ยสืบคน้ ข้อมูลทเ่ี กบ็ ไวใ้ น
เว็บไซตต์ ่าง ๆ บนเครอื ข่ายอินเทอรเ์ นต็
โปรแกรมเรียกค้นข้อมลู สามารถพบได้ท้ังเวบ็ ไซตต์ ่างประเทศและใน
ประเทศ เชน่ www.google.com, www.google.co.th, www.yahoo.com, www.lycos.com,
www.sanook.com, www.siamguru.com เป็นตน้ ซงึ่ เวบ็ ไซต์ทค่ี นไทยคุ้ยเคยกนั ดกี ็
คือ www.google.co.th นัน่ เอง
การสบื คน้ ข้อมูลภาษาไทยโดยใชโ้ ปรแกรมเรยี กคน้ ขอ้ มูลของ www.google.co.th มี
ข้นั ตอน ดงั น้ี
1. เปิดเวบ็ เพจกเู กิล โดยพิมพ์ www.google.co.th ลงในชอ่ งวา่ ง แล้วกดปุ่ม Enter
2. พมิ พ์คาคน้ หาหรอื คาสาคัญ(keyword) ท่ีตอ้ งการสบื คน้ ขอ้ มูลลงในช่องวา่ ง
3. คลิกปุ่มคาสั่ง ค้นหาดว้ ย Google
4. คลกิ เลือกเวบ็ ไซต์ที่ตอ้ งการสืบค้นข้อมลู แลว้ จะปรากฎรายละเอียดข้อมูลท่ีอยู่ในเว็บไซต์
นั้น ๆ
หมายเหตุ
www.google.co.th เป็นบริษัททท่ี าธรุ กิจ Search engine ทใ่ี หญ่ทส่ี ุดในโลก ซึ่งมรี ายไดห้ ลกั จาก
การโฆษณาออนไลน์ อีเมล เครือขา่ ยออนไลน์ แผนที่ออนไลน์ ก่อตง้ั โดย แลรร์ ี เพจ และเซอร์เกย์
บรนิ คาวา่ google มาจากจานวนทางคณติ ศาสตร์ หมายถึง เลข 1 ตามดว้ ย 0 อีกรอ้ ย
ตวั หรือ 10100 เพ่ือแสดงว่าบรษิ ทั ต้องจดั การกบั ข้อมลู จานวนมหาศาล

2.21.2 การสนทนาบนเครอื ข่าย
การติดตอ่ สื่อสารบนอินเทอร์เนต็ นอกเหนอื จากการใช้อเี มลแล้ว ยังสามารถสนทนาพูดคุย
กันได้ โดยใช้ซอฟต์แวร์ซงึ่ มรี ปู แบบการใชง้ านแตกต่างกันไป เช่น พิมพ์ข้อความผ่านคีย์บอร์ด การ
พูดคุยผ่านไมโครโฟน และการพูดคุยผ่านเว็บแคมซึ่งสามารถมองเห็นหน้าตาผู้สนทนา รวมถึง
สามารถส่งไฟล์ขอ้ มลู ขอ้ ความภาพและเสยี งไปให้ค่สู นทนาขณะพูดคุยกันได้ เป็นต้น
ซอฟต์แวร์สนทนาบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตท่ีได้รับความนิยม เช่น เอ็มเอสเอ็น เมสเซน
เจอร์ (MSN Messenger) ไอซคี วิ (ICQ) เป็นต้น

76

ตัวอย่างการสนทนาบนเครือข่าย ด้วยซอฟต์แวร์ เอ็มเอสเอ็น เมสเซนเจอร์ (MSN
Messenger) มขี ้ันตอนดังนี้

1. คลิกปุ่มคาสั่ง start > All Programs > Windows Live > Windows Live
Messenger หรอื ดบั เบลิ คลิกไอคอน ..... บนหนา้ ตา่ งทางาน
2. ลงช่อื เขา้ ใชแ้ ละรหัสผา่ น
3. คลิกปมุ่ คาสั่ง ลงชอ่ื เข้าใช้
4. คลกิ ลงบนรายช่ือเพือ่ นที่ต้องการสนทนาดว้ ย แล้วเลือกส่งข้อความด่วน
5. พิมพ์ข้อความสนทนาลงไปยังช่องว่างด้านล่าง แล้วกดปุ่ม Enter บนคีย์บอร์ด จะ
ปรากฎข้อความสนทนาท่หี นา้ ต่างดา้ นบน
ถ้าคู่สนทนาส่งข้อความตอบกลับมา ปุ่มคาสั่งซอฟต์แวร์จะกระพริบและมีเสียงเตือนให้อ่าน
ข้อความ

2.21.3 คุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใชอ้ ินเทอร์เนต็
คุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ต เป็นแบบแผนความประพฤติหรือความสานึก
ต่อสังคมในทางท่ีดีเมื่อใช้อินเทอร์เน็ต เพื่อความปลอดภัยและความสงบสุขในสังคม
อนิ เทอรเ์ นต็ โดยไมม่ กี ฎเกณฑ์ตายตัว ข้ึนอยู่กับการยอมรับทางสังคมของสังคมนั้น ๆ เป็นหลัก ซ่ึง
ส่วนใหญ่แล้วมักเก่ียวข้องกับความคิด และตัดสินใจได้ว่า สิ่งไหนควรหรือไม่ควรปฏิบัติ ดีหรือไม่
ดี ถกู หรือผิด ในด้านตา่ ง ๆ ต่อไปน้ี

1. ความเป็นส่วนตวั หมายถึง สิทธิ์ส่วนตัวของบุคคล หน่วยงาน หรือ องค์กร ที่
จะคงไว้ซึ่งสารสนเทศท่ีมีอยู่ โดยให้เปิดเผยหรือยินยอมให้ผู้อ่ืนนาไปใช้ประโยชน์ต่อหรือเผยแพร่ได้
หรือไม่ หากมีการนาไปใช้ จะมีการจัดการกับสิทธ์ิดังกล่าวอย่างไร ความเป็นส่วนตัวน้ีมักพบเห็นได้
จากผู้ให้บริการข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ให้ใช้บริการฟรี เช่น บริการฟรีอีเมล บริการพื้นท่ี

77

เก็บข้อมูล บริการใช้งานโปรแกรมฟรี ซึ่งผู้ที่ประสงค์จะเข้าใช้งานจาเป็นต้องกรอกให้รายละเอียด
เกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของตนเองเสียก่อน จึงจะสามารถเป็นสมาชิกโดยสมบูรณ์ และใช้งานได้เต็ม
รูปแบบ

2. ความถูกต้องแม่นยา หมายถึง ความเป็นจริงและความน่าเช่ือถือของข้อมูลและ
สารสนเทศ ซึ่งผู้ท่ีทาหน้าท่ีเผยแพร่ควรตระหนักอยู่เสมอว่า ข้อมูลและสารสนเทศน้ัน มีการ
กล่ันกรองและตรวจสอบความถกู ตอ้ ง และสามารถนาไปใช้ประโยชนไ์ ด้ โดยไมส่ ง่ ผลกระทบตอ่ ผู้ใช้

3. ความเป็นเจ้าของ หมายถงึ สทิ ธ์ิโดยชอบในการแสดงความเป็นเจ้าของข้อมูลหรือ
สารสนเทศ ของบุคคลหรือบริษัทผู้ผลิต การนาข้อมูลหรือสารสนเทศไปเผยแพร่ ลอกเลียน หรือ
ทาซ้า โดยไม่ได้รับอนุญาตจึงเป็นการละเมิดสิทธ์ิของความเป็นเจ้าของ ซึ่งมีความผิดตามกฎหมาย
และต้องรบั โทษ

4. การเข้าถึงข้อมูล หมายถึง การปฏิบัติตนเพื่อเข้าใช้ข้อมูลหรือสารสนเทศใน
เว็บไซต์ของบุคคลหรือบริษัทบางแห่งที่มีการกาหนดสิทธิ์ของผู้เข้าใช้เป็นระดับต่าง ๆ ซึ่งทาให้ไม่
สามารถนาข้อมูลที่ต้องการมาให้ได้ทั้งหมด ผู้ใช้ท่ีดีไม่ควรลักลอบเข้าไปใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับ
อนุญาต ไม่พยายามก่อกวนหรือเข้าไปกระทาการอันจะส่งผลเสียหายใด ๆ รวมถึงปกป้องไม่ให้สิทธ์ิ
การเขา้ ถงึ ข้อมูลของตนเองตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่ประสงค์ดี เช่น ไม่ควรบอกช่ือเข้าใช้และรหัสผ่าน
ในอีเมลของตนเองแกผ่ อู้ ื่น ไมค่ วรบอกรหัสผ่านเอทีเอ็มของธนาคารท่เี ราเปดิ บัญชีแก่ผู้อน่ื เปน็ ตน้

2.21.4 ผลกระทบของการใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ กับสังคม
อินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยไปแล้ว โดยเป็นแหล่งสาคัญในการให้
ข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศต่างๆ ซึ่งข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศนั้นก่อให้เกิดผลกระทบทั้งใน
ด้านบวกท่ีมีประโยชน์ และผลกระทบด้านลบท่ีสร้างความเสียหายต่อร่างกาย จิดใจและการ
ดารงชีวติ ของผ้ใู ช้ ดังน้ี

2.21.4.1 ผลกระทบในดา้ นบวก
1. เกดิ ความเสมอภาคในการบั ร้ขู ่าวสารเพราะมเี ครือข่ายโยงใยทั่วโลก
2. มีความรู้หลากหลายและกว้างขวาง จากการสบื คน้ ข้อมูลตา่ ง ๆ
3. ทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน จากความรู้ท่ีจากการอ่านข่าวสาร บทความ

ในอินเทอรเ์ น็ตเป็นประจา
4. ตดิ ตอ่ สอื่ สารกันไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ตลอด 24 ชัว่ โมง
5. มีข้อมูลเพื่อใช้ในการวางแผนและตัดสินใจด้านการเรียน การทางาน และการ

ดารงชวี ิต

78

2.21.4.2 ผลกระทบในดา้ นลบ
1. เม่อื ไดร้ ับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการใชค้ วามรุนแรงตัดสินปัญหา การทาผดิ

กฎหมาย การติดสารเสพติดเปน็ ประจา โดยไมม่ ผี ูแ้ นะแนวการปฏิบตั ติ นที่เหมาะสมให้ อาจนา
พฤติกรรมเหล่านี้ไปเป็นแบบอยา่ งในการดาเนนิ ชีวติ ได้

2. สายตาเสียเมื่อใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ตเปน็ เวลานาน
3. การเรยี นตกต่า หากหมกหมนุ่ ในการเล่นเกม และสนทนาผ่านเครือข่ายเปน็
เวลานาน โดยไม่สนใจทาการบา้ นและอ่านหนงั สอื เรียน
4. การสนทนาผา่ นเครือขา่ ยอินเทอรเ์ น็ตโดยไม่บอกผู้ปกครอง อาจถูกลอ่ ลวงจากผู้
ไมป่ ระสงคด์ ีไดง้ า่ ย
5. คอมพิวเตอร์อาจเสียหายได้เน่อื งจากดาวน์โหลดไฟลข์ ้อมลู ทีม่ ไี วรสั คอมพิวเตอร์
มาไวใ้ นเคร่ืองคอมพวิ เตอร์
6. มีอารมณ์ซึมเศร้าและขาดสมั พันธภาพที่ดตี ่อคนรอบข้าง หากใช้อนิ เทอรเ์ นต็ เปน็
เวลานานโดยไมท่ ากิจกรรมรว่ มกับผอู้ นื่
ผลกระทบทางดา้ นบวกและด้านลบจากการใช้อนิ เทอร์เนต็ ดังกล่าว เป็นขอ้ มลู ซึ่งผู้ใชท้ กุ
คนควรนามาพจิ ารณาให้ถถ่ี ว้ น กอ่ นใช้งานอินเทอรเ์ น็ตตามแนวทางทจ่ี ะก่อใหเ้ กิดประโยชนท์ ง้ั ต่อ
ตนเองและผอู้ น่ื

2.22 ความหมายของคาว่า ข้อมลู
จากการศึกษาพบวา่ มีผู้ให้คานยิ ามของคาว่าข้อมลู ไว้ หลากหลาย เชน่
ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง ภาพ (Images) หรือเสียง (Sounds) ท่ีอาจจะ(หรือไม่) แก้ไขปัญหา

(Pertinent) หรอื เป็น ประโยชนต์ ่อการปฏิบตั งิ าน (Alter 1996 : 28)
ข้อมูล คือ ตัวแทนของข้อเท็จจริง ตัวเลข ข้อความ ภาพ รูปภาพ หรือเสียง (Nickerson

1998 : 10-11)
ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงที่แทนเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนภายในองค์การ หรือส่ิงแวดล้อมทาง

กายภาพก่อนท่ีจะมีการจัด ระบบให้เป็นรูปแบบที่คนสามารถเข้าใจ และนาไปใช้ได้ (Laudon and
Laudon 1999 :8)

ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง หรือการอภิปรายปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหน่ึง ( Haag,
Cummings and Dawkins 2000 : 31)

ข้อมูล คือ สิ่งประกอบไปด้วยข้อเท็จจริง และสัญลักษณ์ (Figures) ที่มีความสัมพันธ์ (ไม่มี
ความหมาย หรือมี ความหมายน้อย) กับผใู้ ช้ (McLeod, Jr. and Schell 2001 : 12)

79

ขอ้ มูล คอื คาอธบิ ายพ้ืนฐานเก่ยี วกับสิ่งของ เหตุการณ์ กิจกรรม หรือธุรกรรม ซ่ึงได้รับการ
บันทกึ จาแนก และ เก็บรกั ษาไว้ โดยท่ียังไม่ได้เก็บให้เป็นระบบ เพ่ือที่จะให้ความหมายอย่างใดอย่าง
หนึ่งที่แนช่ ดั (Turban, McLean and Wetherbe 2001 : 17)

ข้อมูล ประกอบไปด้วยข้อเท็จจริง (Raw Facts) เช่น ชื่อลูกค้า ตัวเลขเกี่ยวกับจานวน
ชั่วโมงที่ทางานในแต่ละ สัปดาห์ ตัวเลขเก่ียวกับสินค้าคงคลัง หรือรายการสั่งของ (Stair and
Reynolds 2001 : 4)

ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง ท่ีใช้แทนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้รับการรวบรวม หรือป้อนเข้า
ระบบ (เลาว์ดอน และ เลาวด์ อน 2545 : 6)

ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง หรือส่ิงที่ก่อ หรือยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง (ข้อเท็จจริง หมายถึง
ข้อความ หรือเหตุการณ์ท่ี เป็นมา หรือที่เป็นอยู่จริง (ราชบัณฑิตยสถาน 2539 : 134) สาหรับใช้เป็น
หลกั อนมุ านหาความจริง หรอื การคานวณ (หน้าเดยี วกนั )

ข้อมูล คือ ข้อความจริงเกี่ยวกับเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง โดยอาจเป็นตัวเลข หรือข้อความท่ีทาให้
ผอู้ ่านทราบความเปน็ ไป หรอื เหตุการณ์ที่เกิดข้ึน (สุชาดา กีระนนั ท์ 2542 : 4)

ข้อมูล คือ ขอ้ เทจ็ จริงที่มีอยู่ในชวี ิตประจาวันเกี่ยวกับบุคคล ส่ิงของ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่
อาจเป็นตวั เลข ตวั อักษร ขอ้ ความ ภาพ หรอื เสยี งก็ได้ (จิตติมา เทียมบญุ ประเสรฐิ 2544 : 3)

ข้อมูล คือ ข้อมูลดิบ (Raw Data) ท่ียังไม่มีความหมายในการนาไปใช้งาน และถูกรวบรวม
จากแหล่งต่างๆ ทั้งภาย ใน และภายนอกองค์การ (ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ และไพบูลย์ เกียรติโกมล
2545 : 40)

ขอ้ มลู คือ ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเหตุการณ์ หรือข้อมูลดิบท่ียังไม่ผ่านการประมวลผล ยังไม่มี
ความหมายในการ นาไปใช้งาน ข้อมูลอาจเป็นตัวเลข ตัวอักษร สัญลักษณ์ รูปภาพ เสียง หรือ
ภาพเคล่อื นไหว (ทพิ วรรณ หล่อสุวรรณรตั น์ 2545 : 9)

ข้อมูล คอื ตวั อักษร ตัวเลข หรือสญั ลกั ษณใ์ ดๆ (นิภาภรณ์ คาเจรญิ 2545 : 14)
สรุป ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงเก่ียวกับเรื่องต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นตัวเลข ตัวอักษร สัญลักษณ์
ภาพ เสียง กลน่ิ หรอื มี ลกั ษณะประสมกัน

80

2.23 ชนดิ ของขอ้ มลู
เราสามารถแบ่งข้อมูลออกเป็น 4 ชนิด ดังน้ี (Alter 1996 : 151-152, Stair and

Reynolds 2001 : 5)
ข้อมูลทีเ่ ปน็ อกั ขระ (Alphanumeric Data) ได้แก่ ตัวเลข (Numbers) ตัวอักษร (Letters)

เคร่อื งหมาย (Sign) และ สัญลักษณ์ (Symbol)
ขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ ภาพ (Image Data) ได้แก่ ภาพกราฟิก (Graphic Images) และรูปภาพ (Pictures)

ข้อมูลท่ีเป็นเสียง (Audio Data) ได้แก่ เสียง (Sounds) เสียงรบกวน/เสียงแทรก (Noise)
และเสียงที่มีระดบั (Tones) ต่างๆ เชน่ เสียงสูง เสยี งตา่ เป็นตน้

ข้อมูลท่ีเป็นภาพเคล่ือนไหว (Video Data) ได้แก่ ภาพยนตร์ (Moving Images or
Pictures)และ วีดิทัศน์ (Video)นอกจากนั้นยังพบว่ามีข้อมูลในลักษณะของกลิ่น (Scent) และข้อมูล
ในลกั ษณะท่มี ีการประสมประสานกัน เช่น มีการนาเอาข้อมูลท้ัง 4 ชนิดมารวมกันเรียกว่า ส่ือประสม
(Multimedia) แตถ่ า้ มกี ารประสมข้อมลู ที่เป็นกลิน่ เข้าไปด้วย เราเรียกว่า Multi-scented
2.24 กรรมวิธีการจัดการข้อมูล

การจัดการข้อมูลให้มีคุณค่าเป็นสารสนเทศ กระทาได้โดยการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของ
ข้อมูล ซ่ึงมีวธิ ีการ หรือ กรรมวิธีดงั ต่อไปน้ี (Kroenke and Hatch1994 : 18-20)
การรวบรวมข้อมูล (Capturing/gathering/collecting Data) ที่ต้องการจากแหล่งต่างๆ โดยการ
เครื่องมือ ช่วยค้นที่เป็นบัตรรายการ หรือ OPAC แล้วนาตัวเล่มมาพิจารณาว่ามีรายการใดท่ีสามารถ
นามาใชป้ ระโยชน์ได้

81

การตรวจสอบข้อมูล (Verifying/checking Data) โดยตรวจสอบเนื้อหาของข้อมูลที่หามา
ได้ ในประเด็นของ ความถูกต้องและความแม่นยาของเน้ือหา ความสอดคล้องของตาราง,
ภาพประกอบ หรือแผนท่ี กับเน้ือหา การจดั แยกประเภท/จัดหมวดหมู่ข้อมูล (Classifying Data) เมื่อ
ผ่านการตรวจสอบความถูกต้อง สอดคล้องกัน ของเน้ือหาแล้ว นาข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นมาแยก
ออกเปน็ กอง หรอื กลุ่ม ๆ ตามเรื่องราวทีป่ รากฏในเนอื้ หา จากนัน้ ก็นาแตล่ ะกอง หรือกลุ่ม มาทาการ
เรียงลาดับ/เรียบเรียงข้อมูล (Arranging/sorting Data) ให้เป็นไป ตามความเหมาะสมของเน้ือหาว่า
จะเริม่ จากหวั ขอ้ ใด จากนน้ั ควรเป็นหวั ขอ้ อะไร หากมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขจะต้องนาตัวเลขน้ันมาทา
การวิเคราะห์หาค่าทางสถิติท่ีเก่ียวข้อง หรือทาการ คานวณข้อมูล (Calculating Data) ให้ได้ผลลัพธ์
ออกเสียก่อน

หลงั จากนัน้ จงึ ทาการสรปุ (Summarizing/conclusion Data) เนอื้ หาในแต่ละหัวขอ้
เสร็จแล้วทาการจัดเกบ็ หรอื บันทกึ ขอ้ มูล (Storing Data) ลงในส่อื ประเภทต่างๆ เช่น ทาเป็นรายงาน
หนงั สือ บทความตพี ิมพใ์ นวารสาร หนังสือพิมพ์ หรือลงในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ (แผ่นดิสก์ ซีดี-รอม
ฯลฯ)

จัดทาระบบการค้นคืน เพ่ือความสะดวกในการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ (Retrieving
Data) จะได้ จัดเก็บและคน้ คืนสารสนเทศอยา่ งถูกต้อง แมน่ ยา รวดเรว็ และตรงกับความตอ้ ง
ในการประมวลผลเพื่อให้ได้มาซ่ึงสารสนเทศ จักต้องมีการสาเนาข้อมูล (Reproducing Data) เพ่ือ
ปอ้ งกัน ความเสียหายทอี่ าจเกดิ ข้นึ กับขอ้ มูล ทง้ั จากสาเหตุทางกายภาพ และระบบการจดั เกบ็ ข้อมูล
จากน้ันจงึ ทาการการเผยแพร่ หรือส่ือสาร หรอื กระจายข้อมูล (Communicating/disseminating
Data) เพื่อให้ผลลพั ธท์ ไ่ี ด้ถงึ ยังผู้รับ หรอื ผทู้ ่เี กยี่ วข้อง

การจัดการข้อมูลให้มีสถานภาพเป็นสารสนเทศ (Transformation Processing) ในความ
เป็นจริงแล้วไม่จาเป็นท่ี จะต้องทาครบ ทั้ง 10 วิธีการ การท่ีจะทากี่ขั้นตอนนั้นข้ึนอยู่กับ ข้อมูลท่ี
นาเข้ามาในระบบการประมวลผล หากข้อมูลผ่าน ข้ันตอน ท่ี 1 หรือ 2 มาแล้ว พอมาถึงเรา เราก็ทา
ขั้นตอนท่ี 3 ต่อไปได้ทันที แต่อย่างไรก็ตามการให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่มี คุณค่า จักต้องทาตามลาดับ
ดังกล่าวขา้ งต้น ไม่ควรทาขา้ มขน้ั ตอน ยกเว้นข้ันตอนที่ 5 และข้ันตอนท่ี 6 กรณีท่ีเป็นข้อมูล เกี่ยวกับ
ตัวเลขก็ทาข้ันตอนท่ี 5 หากข้อมูลไม่ใช่ตัวเลขอาจจะข้ามข้ันตอนที่ 5 ไปทาข้ันตอนท่ี 6 ได้เลย เป็น
ต้น ผลลัพธ์ หรอื ผลผลิตทีไ่ ดจ้ ากการประมวลผล หรือกรรมวิธีจดั การข้อมลู ปรากฏแก่สงั คมในรูปของ
สื่อประเภทต่างๆ เช่น เป็น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ ซีดี-รอม สไลด์ แผ่นใส แผนท่ี เทปคลาส
เซท ฯลฯ แตอ่ ย่างไรก็ตามไมไ่ ด้หมายความว่า ผลผลิต หรือผลลัพธ์น้ันจะมีสถานภาพเป็นสารสนเทศ
เสมอไป

82

2.24.1 หลกั เกณฑก์ ารประเมินผลลพั ธ์ หรือผลผลติ
ข้อมูลของบางคนอาจเป็นสารสนเทศสาหรับอีกคนหน่ึง (Nickerson 1998 : 11) การท่ีจะ
บ่งบอกว่าผลผลิต หรือ ผลลัพธ์มีคุณค่า หรือสถานภาพเป็นสารสนเทศ หรือไม่นั้น เราใช้หลักเกณฑ์
ตอ่ ไปน้ีประกอบการพิจารณา

1. ความถูกต้อง (Accuracy) ของผลผลติ หรือผลลัพธ์
2. ตรงกับความตอ้ งการ (Relevance/pertinent)
3. ทนั กบั ความตอ้ งการ (Timeliness)
การพจิ ารณาความถกู ตอ้ งดูที่เนื้อหา (Content) ของผลผลิต โดยพิจารณาจากข้ันตอนของ
การประมวลผล (Process; verifying, calculating) ข้อมูล สาหรับการตรงกับความต้องการ หรือทัน
กับความต้องการ มีผู้ใช้ผลผลิตเป็น เกณฑ์ในการพิจารณา หากผู้ใช้เห็นว่าผลผลิตตรงกับความ
ต้องการ หรือผลผลิตสามารถตอบปัญหา หรือแก้ไขปัญหา ของผู้ใช้ได้ และสามารถเรียกมาใช้ได้ใน
เวลาท่ีเขาต้องการ (ทันต่อความต้องการใช้) เราจึงจะสรุปได้ว่า ผลผลิต หรือ ผลลัพธ์นั้นมีสถานภาพ
เป็นสารสนเทศ คณุ ภาพ หรือคณุ ค่าของสารสนเทศ ขึ้นอยู่กบั ขอ้ มูล (Data) ที่นาเข้ามา (Input) หาก
ข้อมูลท่ีนาเข้ามาประมวลผล เป็นข้อมูลท่ีดี ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะมีคุณภาพดี หรือมีคุณค่า ผู้ใช้ หรือ
ผบู้ รโิ ภคสามารถนามาใชป้ ระโยชน์ได้ แต่หากข้อมูลที่ นาเข้ามาประมวลผลไม่ดี ผลผลิต หรือผลลัพธ์
ก็จะมีคุณภาพไม่ดี หรือไม่มีคุณค่า สมด่ังกับวลีท่ีว่า GIGO (Garbage In Garbage Out) หมายความ
ว่า ถา้ นาขยะเข้ามา ผลผลิต (สิ่งทไ่ี ดอ้ อกไป) ก็คอื ขยะนั่นเอง

83

บทท่ี 3

คอมพวิ เตอร์และอินเทอร์เน็ตกบั เทคโนโลยีสารสนเทศ

3.1 ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ
อปุ กรณ์ เครอื่ งมือทีร่ วบรวม เกบ็ รักษา เผยแพร่และเกดิ เปน็ การประมวลผลขน้ึ
3.1.1 ความหมายของขอ้ มลู และสารสนเทศ

ขอ้ มลู คือ ข้อเท็จจรงิ เกย่ี วกบั เหตกุ ารณ์ หรอื ข้อมูลดิบทีย่ งั ไม่ผา่ นการประมวลผล
สารสนเทศ คือ ขอ้ มูลทไ่ี ดผ้ ่านการประมวลผลหรอื จดั ระบบแลว้

3.1.2 องค์ประกอบของระบบสารสนเทศทีใ่ ชค้ อมพวิ เตอร์
1.ฮารด์ แวร์ (Hardware) อปุ กรณท์ ่ีช่วยในการป้อนข้อมูล ประมวลผล จัดเก็บและ

ผลติ เอาท์พทุ ออกมาในระบบสารสนเทศ(อุปกรณ์อิเลก็ ทรอนกิ ส์ทีส่ ามารถจับต้องได)้
2. ซอฟต์แวร์ (Software) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้ฮาร์ดแวร์ทางาน

ฐานข้อมลู คือ การจดั ระบบ ของแฟม้ ข้อมูล ซึง่ เก็บข้อมลู ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกนั
3.เครือข่าย (Network) การเช่ือมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน เพ่ือช่วยให้มีการใช้

ทรัพยากรร่วมกนั และชว่ ยในการตดิ ต่อส่อื สาร
4.กระบวนการ (procedure) ได้แก่ นโยบาย กลยุทธ์ วิธกี ารและกฎระเบียบตา่ งๆ

ในการใช้ระบบสารสนเทศ
5.บุคคล (People) บุคคลท่ีเกยี่ วข้องในระบบสารสนเทศ เช่น ผู้ออกแบบ ผู้พัฒนา

ระบบ ผู้ดูแลระบบ และผู้ใช้ระบบ

3.2. เทคโนโลยสี ารสนเทศและคอมพิวเตอร์
3.2.1 ประเภทของระบบคอมพิวเตอร์
1. ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super computer) คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ มีกาลัง

มากที่สุด ราคาแพงท่ีสุด สามารถประมวลผลคาส่ังได้นับพันล้านคาส่ังในหนึ่งวินาที มักใช้เก็บข้อมูล
ขนาดใหญ่ และต้องการความเรว็ สงู มักใช้ในงานทางวิทยาศาสตร์

2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe computer) คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ แต่
เล็กกว่า super computer มีความจาและความเร็วน้อยลงอนิยมใช้งานกับธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น
ธนาคาร โรงแรม

84

3. มินิคอมพิวเตอร์ (Mini computer) ทางานร่วมกับอุปกรณ์รอบข้างที่มี
ความเร็วสูงได้ ใช้ในงาน เช่น กรม กอง มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ เป็นคอมพิวเตอร์ท่ีใช้ใน
ธรุ กจิ ขนาดกลาง และเลก็ ต้องการความสามารถในการประมวลผลสูง และราคาไมส่ งู เกนิ ไป

4. ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) เคร่ืองประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก มี
ส่วนของหนว่ ยความจาและความเร็วในการประมวลผลน้อยท่ีสุด มี 2 ประเภท

1.แบบตดิ ตัง้ ใชง้ านอยูก่ บั ท่ีบนโต๊ะทางาน
2.แบบเคล่อื นยา้ ยได้

3.3 วิวฒั นาการของคอมพิวเตอร์
ยคุ แรก ใชห้ ลอดสญุ ญากาศ ใช้กาลังไฟฟา้ สูง มปี ญั หาเรือ่ งความร้อนและไส้ จึงทาให้หลอด

ขาดบ่อย
ยุคทส่ี อง เป็นคอมพิวเตอร์ทใ่ี ช้ทรานซิสเตอร์ มีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจา มีอุปกรณ์

เก็บข้อมูลสารองในรปู ของส่อื บนั ทึกแมเ่ หลก็ มภี าษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล
ยคุ ที่สาม เป็นคอมพวิ เตอรท์ ่ีใชว้ งจรรวม (IC) โดยวงจรรวมแต่ละตวั จะมีทรานซสิ เตอร์

บรรจุในวงจร
ยคุ ท่สี ี่ ใชว้ งจรรวมความจสุ ูงมาก (VLSI) นา IC มารวมเข้าไวด้ ้วยกัน คอมพิวเตอร์จะมี

ขนาดเล็กลง
ยคุ ท่หี า้ เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประเทศต่างๆทั่วโลกเก็บความรอบรู้

ต่างๆเข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรยี กค้นและดงึ ความรมู้ าใชป้ ระโยชน์

85

3.4 อินเตอร์เนต็ เบอ้ื งตน้
3.4.1 อนิ เตอรเ์ น็ต คือ เครอื ข่ายของเครอื ข่าย หรือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่

ทส่ี ุดในโลก ทีเ่ ช่อื มโยงระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอรท์ ว่ั โลกเข้าไวด้ ้วยกัน
3.4.2 ความเป็นมา อินเตอร์เน็ตเป็นโครงการของ ARPAnet ซ่ึงเป็นหน่วยงานที่สังกัด

กระทรวงกลาโหมของสหรัฐ เพื่อการติดต่อทางด้านการทหาร และถูกพัฒนาเรื่อยมา โดยสถาบัน
ต่างๆ เชน่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอเนีย สถาบันวจิ ัยสแตนดฟ์ อรด์

3.4.3 อนิ ทราเนต็
ระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรท์ ่เี ช่อื มโยงภายในองค์กร ตง้ั แต่ 2 เครอื ข่ายข้นึ ไป
3.4.4 เอก็ ซ์ทราเนต็
ระบบเครือข่ายท่ีเชื่อมระหว่างองค์กรต่างๆ ที่มีอินทราเน็ตเข้าด้วยกัน ต้ังแต่ 2 เครือข่าย
ขน้ึ ไป
4.5 ระบบชอ่ื โดเมน
มีการกาหนดชอ่ื แทนรหสั IP โดยมีการตั้งชอื่ สาหรับเครอ่ื งคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องท่ีอยู่บน
เครือข่าย เชน่ nontri.ku.ac.th

3.5 เทคโนโลยีและสารสนเทศเพ่ือการเรียนรู้
3.5.1 ความหมายและองค์ประกอบเทคโนโลยสี ารสนเทศ
จากการทีเ่ ทคโนโลยีสารสนเทศมีอิทธิพลต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ในสังคมปัจจุบัน ดังนั้น

การเรียนรู้และทาความเข้าใจถึงเทคโนโลยีสารสนเทศถือเป็นสิ่งที่มีความจาเป็น เพื่อที่จะสามารถ
นาไปปรับใช้ในการดารงชีวิตท้ังในด้านการศึกษาเล่าเรียนและการทางาน ก่อนอ่ืนควรทาความเข้าถึง
ความหมายและองคป์ ระกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ ดังนี้

86

3.5.2 ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างท่ีเก่ียวกับการผลิต การสร้าง การใช้
ส่ิงของกระบวนการหรือวธิ กี ารดาเนนิ งานรวมไปถงึ อปุ กรณท์ ่ีไม่มใี นธรรมชาติ
สารสนเทศ หรอื สารนิเทศ เปน็ ศพั ท์บัญญัติของคาวา่ “Information” ราชบณั ฑติ สถาน
กาหนดใหใ้ ชไ้ ด้ทัง้ สองคา ในวงการคอมพิวเตอร์ การส่ือสาร และธุรกิจ นิยมใชค้ า
วา่ “สารสนเทศ” ส่วนในวงการบรรณารักษศาสตร์ สารนเิ ทศศาสตร์ ใชว้ า่ “สารนเิ ทศ” ความหมาย
กว้าง ๆ หมายถงึ ข้อมูล ข่าวสาร ความรตู้ ่าง ๆ ท่มี ีการบนั ทกึ อย่างเป็นระบบตามหลกั วิชาการ เพอื่
นามาเผยแพร่ และใชใ้ นงานต่าง ๆ ทุกสาขาไมว่ า่ จะเปน็ เรื่องของการค้า การผลติ การบริการ การ
บริหาร การแพทย์ การสาธารณสุข การศึกษา การคมนาคม การทหาร และอื่น ๆ
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หมายถึง เทคโนโลยีทุกด้านท่ีเข้ามา
ร่วมกันในกระบวนการจัดเก็บ สร้าง และส่ือสารสารสนเทศ ดังนั้นจึงครอบคลุมเทคโนโลยี ต่าง ๆ
ที่ใช้ในกระบวนการข้างต้น เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล บันทึกและคืนค้น เครือข่าย
สอื่ สารขอ้ มูล อปุ กรณ์ส่ือสารและโทรคมนาคม เป็นต้น รวมท้ังระบบท่ีควบคุมการทางานของอุปกรณ์
เหล่านี้ เช่น ระบบปฏบิ ตั กิ ารคอมพวิ เตอร์และระบบสอื่ สาร เปน็ ตน้
นอกจากน้ีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในขณะนี้เป็นไปอย่างแพร่หลายมากมายนับไม่ถ้วน
ในทุกกิจการ จนแทบจะกล่าวได้ว่ายุคน้ีไม่มีใครไม่เคยไม่ได้ยินคาว่าเทคโนโลยีสารสนเทศหรือที่นิยม
เรียกกันย่อ ๆ ว่า ไอที (IT) กันแล้ว ดังจะเห็นว่าในหมู่ผู้รู้และนักวิชาการหลายท่านได้อธิบายถึง
ความหมายของคาวา่ เทคโนโลยสี ารสนเทศไว้มากมายและคลา้ ยคลงึ กนั อาทเิ ชน่
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี (2538: 4) ทรงอรรถาธิบายว่า คาว่า
เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ Information Technology ที่มักเรียกว่า ไอที (IT) นั้น จะเน้นท่ีการ
จัดการกระบวนการดาเนินงานสารสนเทศหรือสารนิเทศ ในข้ันตอนตา่ งๆ ต้งั แต่การเสาะแสวงหา การ
วิเคราะห์ การจัดเก็บ การจัดการ และการเผยแพร่เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพ ความถูกต้อง ความแม่นยา
และความรวดเร็วทนั ต่อการนาไปใช้ประโยชน์
ไพรชั ธชั ยพงษ์ ผู้อานวยการสานกั งานพฒั นาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีแหง่ ชาติ กล่าวว่า
เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีท่ีเกี่ยวกับการติดต่อเชื่อมโยง การจัดหา จัดเก็บ จัดการและ
เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร หรือท่ีเรียกว่าสารสนเทศให้เกิดประโยชน์ในรูปของส่ือต่าง ๆ ด้วยวิธีการทาง
อิเล็กทรอนิกส์ ซ่ึงเทคโนโลยีสารสนเทศจะประกอบด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การส่ือสาร
โทรคมนาคม และเทคโนโลยีอ่ืน ๆ ทเ่ี กย่ี วข้องกบั การนาขอ้ มลู ข่าวสารมาใช้
ครรชิต มาลัยวงศ์ (2538: 24) อธิบายว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วยเทคโนโลยี
สาคัญสองสาขา ได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีส่ือสารโทรคมนาคม กล่าวคือ
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะช่วยทางานด้านการจัดเก็บ บันทึก และประมวลผลข้อมูลให้รวดเร็วและ

87

ถูกตอ้ ง ส่วนเทคโนโลยสี ื่อสารโทรคมนาคมจะช่วยสง่ ผลลพั ธ์ของการใชง้ านคอมพวิ เตอร์ไปยังผู้ใช้ที่อยู่
ห่างไกลได้อย่างรวดเร็วและสะดวก อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นสมัยก่อน ๆ ยุคคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี
สารสนเทศจะหมายถึง เทคโนโลยีการพมิ พ์ กล้องถา่ ยรูป เครอื่ งพมิ พ์ดดี โทรเลขและโทรศพั ท์

ปัจจุบันได้มีนักวิชาการบางท่านได้เปลี่ยนชื่อเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่เป็น เทคโนโลยี
สารสนเทศและการส่ือสาร (Information and Communication Technology: ICT) ขณะเดียวกัน
ทางองคก์ ารศกึ ษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) กลับเรียก
เทคโนโลยีเหล่านี้ว่า "Informatics" หรือสนเทศศาสตร์ ซึ่งหมายถึง วิชาท่ีศึกษาเก่ียวกับสารสนเทศ
และการคานวณเพ่ือคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (ทักษิณา สวนานนท์ และ ฐานิศรา เกียรติบารมี
2546: 348

สเุ มธ วงศพ์ านิชเลศิ และนิตย์ จันทรมังคละศรี อธิบายว่า เทคโนโลยสี ารสนเทศ หมายถึง
เทคโนโลยที ี่เกยี่ วขอ้ งกับการจัดหา วเิ คราะห์ ประมวล จัดการและจัดเกบ็ เรียกใช้หรือแลกเปลี่ยน
และเผยแพร่สารสนเทศ ด้วยระบบอิเล็กทรอนกิ ส์ ไม่วา่ จะอยใู่ นรูปแบบของภาพ ภาพเคลอื่ นไหว
เสยี ง ขอ้ ความ หรือตัวอักษร รวมไปถงึ การนาสารสนเทศและขอ้ มลู ไปปฏบิ ัติตามเน้ือหาของ
สารสนเทศน้นั เพื่อใหบ้ รรลุเปา้ หมายของผูใ้ ช้

Moll (1983 อา้ งถึงใน Jimba 1999: 80) ใหน้ ยิ ามความหมายของคาวา่ “เทคโนโลยี
สารสนเทศ” วา่ เป็นเทคโนโลยีต่าง ๆ ท่ใี ชใ้ นการ
สร้างสรรค์ (Creation), จัดหา (Acquisition), จดั เก็บ (Storage), เผยแพร่ (Dissemination), คน้
คนื (Retrieval), จัดการ (Manipulation), และ ถา่ ยทอด (Transmission) ข้อมลู หรอื สารสนเทศ

อาจกล่าวสรปุ อยา่ งง่าย ๆ ได้ว่า เทคโนโลยสี ารสนเทศ (Information Technology:
IT) หรอื เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication
Technologies: ICTs) กค็ ือ เทคโนโลยสี องด้านหลกั ๆ ทปี่ ระกอบดว้ ยเทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์
และ เทคโนโลยสี ่ือสารโทรคมนาคมท่ีผนวกเขา้ ด้วยกนั เพ่ือใชใ้ นกระบวนการจดั หา จดั เก็บ สร้าง
และเผยแพร่สารสนเทศในรปู ตา่ ง ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ เสยี ง ภาพ ภาพเคลื่อนไหว ข้อความหรือตัวอกั ษร
และตัวเลข เพ่ือเพิม่ ประสิทธภิ าพ ความถูกตอ้ ง ความแม่นยา และความรวดเรว็ ใหท้ ันต่อการนาไปใช้
ประโยชน์

Souter (1999: 408) ให้ทรรศนะว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ICTs จะ
ช่วยอานวยความสะดวกในการพฒั นาประเทศใน 3 ลักษณะ ได้แก่

1. การลงทุนภายในประเทศของธุรกิจระหว่างประเทศ บริษัทธุรกิจระหว่างประเทศ
จะเลือกตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศท่ีพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารเป็นลาดับ
แรก โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นตวั เชื่อมโยงหน่วยธุรกจิ ในจุดต่าง ๆ ทั่วโลก

88

2. การพัฒนาธุรกิจของกิจการภายในประเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร
จะสนับสนุนการดาเนินธุรกิจของเจ้าของธุรกิจภายในประเทศ รวมถึงเจ้าของธุรกิจส่งออก ใน
ดา้ นการตลาดข้ามพรมแดนระหว่างภูมิภาค (Regional cross-border markets) และการจา้ งงาน

3. การรวมกลุ่มกันทางสังคมและวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยนทรัพยากรสารสนเทศ
ระหว่างบคุ คลและชมุ ชน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทาให้บุคคล และชุมชนสามารถเข้าถึง
สารสนเทศอย่างไร้ขอบเขต สามารถใช้สารสนเทศตามความต้องการอย่างมีประสิทธิผล สามารถเข้า
ไปเก่ียวข้องในเร่ืองนโยบายการวางแผนและการพัฒนา ตลอดจนสามารถร่วมมือกับผู้อ่ืนในการ
ดาเนนิ การในเร่ืองท่ีเห็นตรงกนั หรอื มีจุดประสงค์ร่วมกัน

ความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารมี 5 ประการ (Souter 1999:
409) ได้แก่

ประการแรก การสอ่ื สารถอื เปน็ สงิ่ จาเป็นในการดาเนินกิจกรรมตา่ ง ๆ ของมนุษย์ สง่ิ
สาคญั ทมี่ สี ่วนในการพัฒนากิจกรรมตา่ ง ๆ ของมนุษยป์ ระกอบด้วย Communications media, การ
ส่ือสารโทรคมนาคม (Telecoms), และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ตวั อย่าง เช่น การสร้างภูมิกนั โรค
ใหก้ ับพลเมืองจะมีประสิทธภิ าพยงิ่ ข้นึ หากมกี ารบันทกึ ขอ้ มูลประวตั ผิ ้ปู ่วยหรือข้อมูลอ่ืน ๆ ไว้ในฐาน
ข้อมูลคอมพิวเตอร์

ประการท่ีสอง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประกอบด้วยผลิตภัณฑ์หลักที่มากไป
กวา่ โทรศพั ท์และคอมพิวเตอร์ เชน่ แฟกซ์, อินเทอรเ์ น็ต, อเี มล์ ทาให้สารสนเทศเผยแพร่หรือกระจาย
ออกไปในที่ต่าง ๆ ได้สะดวก และสิ่งเหล่าน้ีถือเป็นบริการสาคัญของการส่ือสารโทรคมนาคม ท่ีทาให้
การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารมมี ากยง่ิ ข้ึน

ประการที่สาม เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารมีผลให้การใช้งานด้านต่าง ๆ มีราคา
ถูกลง เช่น การใช้แฟกซ์และอีเมล์จะถูกกว่า น่าเชื่อถือกว่า และรวดเร็วกว่าการใช้บริการไปรษณีย์
แบบเดิม (Post and courier) ท้ังนี้หน่วยงานภาคธุรกิจ รัฐบาล และบุคคลทั่วไปต่างนิยมใช้
เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารมากขึ้น เพราะช่วยประหยัดเวลาและเงิน รวมท้ังทาให้มีผลิตผล
(Productivity) เพิ่มขน้ึ

ประการท่ีส่ี เครือข่ายสื่อสาร (Communication networks) ได้รับประโยชน์จาก
เครือข่ายภายนอก เนื่องจากจานวนการใช้เครือข่าย จานวนผู้เชื่อมต่อ และจานวนผู้ท่ีมีศักยภาพใน
การเขา้ เชื่อมต่อกับเครอื ขา่ ยนับวนั จะเพิ่มสงู ขึ้น

ประการสุดท้าย เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารทาให้ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ และ
ต้นทุนการใช้ ICT มีราคาถูกลงมาก แม้ว่าการเป็นเจ้าของคู่สายโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ยังเป็นส่ิง
ฟุ่มเฟือยสาหรับคนในสังคมส่วนใหญ่ แต่ประชาชนจานวนมากก็เร่ิมมีกาลังหามาใช้ได้เองแล้ว เช่น
เจ้าของธุรกจิ ขนาดเล็ก

89

3.6 องค์ประกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
พ้ืนฐานของเทคโนโลยีสารสนเทศสืบเน่ืองมาจากการพัฒนาแบบก้าวกระโดด ของ

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ ใยแก้วนาแสง ดาวเทียมสื่อสาร ระบบ
เครือข่าย ซอฟต์แวร์ และมัลติมีเดีย ประกอบกับราคาของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ท่ีถูกลง แต่มีขีด
ความสามารถในการทางานท่ีเพ่ิมมากข้ึนเรื่อย ๆ ทาให้แนวโน้มการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมา
ประยุกตใ์ ชง้ าน ตา่ ง ๆ น้ันมีมากข้ึนเป็นลาดบั

ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นอาจกล่าวได้ว่าประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีสอง สาขาหลัก
คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีส่ือสารโทรคมนาคม สาหรับรายละเอียด พอสังเขปของแต่
ละเทคโนโลยมี ีดังตอ่ ไปนค้ี อื

3.6.1 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์เป็นเคร่ืองอิเล็กทรอนิกส์ท่ีสามารถจดจาข้อมูลต่าง ๆ และปฏิบัติตามคาสั่งที่
บอก เพ่ือให้คอมพิวเตอร์ทางานอย่างใดอย่างหน่ึงให้ คอมพิวเตอร์น้ันประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ
ต่อเชื่อมกันเรียกว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์น้ีจะต้องทางานร่วมกับโปรแกรม
คอมพิวเตอร์หรือท่ีเรียกกันว่า ซอฟต์แวร์ (Software) (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชา
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2546: 4)

ฮาร์ดแวร์ ประกอบดว้ ย 5 สว่ น คอื
อุปกรณ์รับข้อมูล (Input) เช่น แผงแป้นอักขระ (Keyboard), เมาส์, เคร่ืองตรวจ
กวาดภาพ (Scanner), จอภาพสัมผัส (Touch Screen), ปากกาแสง (Light Pen), เคร่ืองอ่านบัตร
แถบแม่เหลก็ (Magnetic Strip Reader), และเครอื่ งอ่านรหสั แทง่ (Bar Code Reader)
อุปกรณ์ส่งข้อมูล (Output) เช่น จอภาพ (Monitor), เครื่องพิมพ์ (Printer), และ
เทอร์มนิ ลั
หน่วยประมวลผลกลาง จะทางานร่วมกับหน่วยความจาหลักในขณะคานวณหรือ
ประมวลผล โดยปฏิบตั ิหนา้ ท่ตี ามคาสง่ั ของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยการดึงข้อมูลและคาส่ังที่เก็บไว้
ไวใ้ นหนว่ ยความจาหลกั มาประมวลผล
หน่วยความจาหลัก มีหน้าที่เก็บข้อมูลที่มาจากอุปกรณ์รับข้อมูลเพ่ือใช้ในการคานวณ และ
ผลลัพธข์ องการคานวณก่อนทจี่ ะสง่ ไปยงั อปุ กรณส์ ่งขอ้ มลู รวมท้ังการเก็บคาสัง่ ขณะกาลังประมวลผล
หนว่ ยความจาสารอง ทาหนา้ ทจี่ ัดเกบ็ ข้อมลู และโปรแกรมขณะยังไม่ได้ใช้งาน เพื่อการใช้ใน
อนาคต
ซอฟต์แวร์ เป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญและจาเป็นมากในการควบคุมการทางานของเครื่อง
คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คือ

90

ซอฟต์แวร์ระบบ มีหน้าท่ีควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์ และเป็น
ตวั กลางระหว่างผ้ใู ช้กับคอมพิวเตอร์หรือฮาร์ดแวร์ ซอฟตแ์ วร์ระบบสามารถแบ่งเปน็ 3 ชนิดใหญ่ คอื

1. โปรแกรมระบบปฏิบัติการ ใช้ควบคุมการทางานของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์
พว่ งตอ่ กบั เคร่อื งคอมพวิ เตอร์ ตัวอยา่ งโปรแกรมทน่ี ิยมใชก้ ันในปจั จุบนั เช่น UNIX, DOS, Microsoft
Windows

2. โปรแกรมอรรถประโยชน์ ใช้ช่วยอานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์
ในระหวา่ งการประมวลผลขอ้ มูลหรอื ในระหว่างทใ่ี ชเ้ ครือ่ งคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างโปรแกรมท่ีนิยมใช้กัน
ในปัจจุบัน เช่น โปรแกรมเอดิเตอร์ (Editor)

3. โปรแกรมแปลภาษา ใช้ในการแปลความหมายของคาส่ังที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์
ให้อย่ใู นรูปแบบท่เี ครอ่ื งคอมพิวเตอร์เขา้ ใจและทางานตามทีผ่ ู้ใชต้ อ้ งการ

ซอฟต์แวร์ประยุกต์ เป็นโปรแกรมที่เขียนขึ้นเพ่ือทางานเฉพาะด้านตามความต้องการ ซึ่ง
ซอฟตแ์ วร์ประยุกตน์ ้ีสามารถแบง่ เป็น 3 ชนิด คือ

1. ซอฟต์แวรป์ ระยุกต์เพื่องานท่ัวไป เป็นซอฟต์แวร์ทส่ี รา้ งขนึ้ เพื่อใชง้ านท่ัวไป ไม่
เจาะจงประเภทของธรุ กิจ ตวั อย่าง เชน่ Word Processing, Spreadsheet, Database
Management เป็นตน้

2. ซอฟตแ์ วร์ประยกุ ต์เฉพาะงาน เปน็ ซอฟต์แวรท์ ่ีสร้างข้นึ เพอ่ื ใช้ในธุรกจิ เฉพาะ
ตามแต่วัตถุประสงค์ของการนาไปใช้

91

3. ซอฟต์แวร์ประยุกต์อ่ืน ๆ เป็นซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง และอื่น ๆ
นอกเหนือจากซอฟต์แวร์ประยุกต์สองชนิดข้างต้น ตัวอย่าง เช่น Hypertext, Personal
Information Management และซอฟตแ์ วร์เกมต่าง ๆ เปน็ ต้น

สาหรับกระบวนการการจัดการระบบสารสนเทศ เพ่ือให้ได้สารสนเทศตามต้องการอย่าง
รวดเรว็ ถกู ต้อง แมน่ ยา และมีคุณภาพ จะเริ่มด้วยการคัดเลือก การจัดหา การวิเคราะห์เน้ือหา และ
การค้นคืนสารสนเทศ ซ่ึงกระบวนการจัดการหรือจัดทาสารสนเทศเพ่ือให้สามารถผลิตสารสนเทศ
สนองความต้องการของผู้ใช้ได้นั้น จะประกอบด้วยกรรมวิธี 3 ประการ คือ การนาเข้าข้อมูล การ
ประมวลผลข้อมูล และการแสดงผลข้อมูล และกระบวนการทั้ง 3 ข้ันตอนนี้จาเป็นต้องอาศัย
เทคโนโลยีดา้ นฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ทางานรว่ มกนั

3.7 ววิ ัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ
วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศจากยุคอนาลอกสู่ยุคดิจิตอลนั้น มีความเป็นมาท่ี

ยาวนานมากกว่าที่จะมาเป็นเทคโนโลยีท่ี ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันนี้ บางช่วงใช้เวลาในการค้นคิดนาน
เป็นพันปีโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง บางช่วงก็เร็วมาก หากสังเกตจะเห็นว่าในปัจจุบันการค้นคิด
เทคโนโลยีเหล่าน้ีเปลี่ยนไปอย่างเร็วมากจนผู้ใช้แทบจะตามไม่ทัน ซ่ึงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยทาให้มองภาพในอนาคตของเทคโนโลยีเหล่าน้ีได้ การวิ
วัฒนาทางด้านเทคโนโลยีแบ่งเป็น 2 ด้านที่ควบคู่กันมา คือ วิวัฒนาการทางด้านคอมพิวเตอร์และ
วิวัฒนาการทางด้านการส่ือสาร ซึ่งจะหมายรวมถึงลักษณะของข้อมูลหรือสารสนเทศที่ใช้ในการ
ส่อื สาร รายละเอยี ดของวิวัฒนาการของแตล่ ะเทคโนโลยสี ามารถศึกษาได้จากรปู ภาพต่อไปนี้

เมอื่ มคี วามเข้าใจเกีย่ วกบั ววิ ฒั นาการของคอมพิวเตอรแ์ ละการสื่อสารในยุคต่าง ๆ แล้ว ควร
มีความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของข้อมูลหรือสารสนเทศท่ีส่งผ่านระบบคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
ดงั นี้

ข้อมูลหรอื สารสนเทศท่ีใชก้ ันอยู่ทั่วไปในระบบสอื่ สาร เชน่ ระบบโทรศัพท์ จะมีลักษณะของ
สญั ญาณเป็นคลื่นแบบต่อเนื่องที่เราเรียกว่า "สัญญาณอนาลอก" แต่ในระบบคอมพิวเตอร์จะแตกต่าง
ไป เพราะระบบคอมพิวเตอร์ใช้ระบบสัญญาณไฟฟ้าสูงต่าสลับกัน เป็นสัญญาณที่ไม่ต่อเนื่อง
เรียกว่า "สัญญาณดิจิตอล" ซ่ึงข้อมูลเหล่าน้ันจะส่งผ่านสายโทรศัพท์ เมื่อเราต้องการส่งข้อมูลจาก
คอมพิวเตอร์เครื่องหน่ึงไปยังเครื่องอ่ืน ๆ ผ่านระบบโทรศัพท์ ก็ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วยแปลงสัญญาณ
เสมอ ซึ่งมชี ่อื เรยี กวา่ "โมเดม็ " (Modem)

92

3.7.1 ความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอทีน้ันมีความสาคัญมากกว่าเทคโนโลยีอ่ืนใดที่มนุษย์เคยคิดค้น
ขน้ึ แมโ้ ดยพนื้ ฐานแล้วเทคโนโลยีสารสนเทศจะไม่ทาใหเ้ กิดอนั ตรายร้ายแรงอย่างเทคโนโลยีนิวเคลียร์
ไม่ทาให้โลกร่ารวยด้วยอาหารเหมือนเทคโนโลยีการเกษตรและอาหาร และไม่อาจทาให้มนุษย์มีชีวิต
ยืนยาวไม่เจ็บป่วยเหมือนเทคโนโลยีการแพทย์ แต่เทคโนโลยีท้ังหลายท่ีระบุมานี้ล้วนแล้วแต่พัฒนา
ก้าวหน้ามาถงึ ระดับนีไ้ ด้ เพราะมีเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นรากฐาน หากขาดซึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศ
แลว้ เทคโนโลยตี า่ ง ๆ จะไม่มคี วามก้าวหนา้ มากดงั ทีเ่ ปน็ ในปจั จุบนั (ครรชิต มาลัยวงศ์: 4-5)
เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้การกระจายข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีลักษณะ
การกระจายแบบทุกทิศทาง และมีระบบตอบสนองอย่างรวดเร็ว และยังส่ือสารแบบสองทิศทาง ด้วย
เหตุนี้ผลกระทบต่อการเปล่ียนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมจึงแตกต่างจากในอดีต
มาก ดังจะเห็นได้จากวิกฤตการณ์ทางด้านเศรษฐกิจจากประเทศหน่ึงมีผลกระทบต่อประเทศอื่น ๆ
อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ซ่ึงสามารถอธิบายความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านท่ีมี
ผลกระทบตอ่ การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมด้านต่าง ๆ ของผู้คนไว้หลายประการดังต่อไปนี้ (จอห์น ไนซ์
บิตต์ อา้ งถงึ ใน ยนื ภวู่ รวรรณ)
ประการท่ีหนึ่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็น
สงั คมสารสนเทศ แต่เดิมสภาพของสังคมโลกเคยเปล่ียนแปลงมาแล้วสองครั้ง จากสังคมความเป็นอยู่
แบบเร่ร่อนมาเป็นสังคมเกษตรที่รู้จักกับการเพาะปลูก และสร้างผลิตผลทางการเกษตร ทาให้มีการ
สร้างบ้านเรือนเป็นหลักแหล่ง ต่อมามีความจาเป็นต้องผลิตสินค้าให้ได้ปริมาณมากและต้นทุนถูก จึง
ตอ้ งหันมาผลติ แบบอตุ สาหกรรม ทาให้สภาพความเปน็ อยขู่ องมนษุ ย์เปล่ยี นแปลงมาเป็นสังคมเมือง มี
การรวมกลุ่มอยู่อาศัยเป็นเมือง มีอุตสาหกรรมเป็นฐานการผลิต สังคมอุตสาหกรรมได้ดาเนินการมา
จนถึงปัจจุบัน และปัจจุบันย่างก้าวเข้าสู่สังคมสารสนเทศ ลักษณะวิถีการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของ
มนษุ ยอ์ าศัยเครือขา่ ยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีส่ือสารโทรคมนาคมมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่า
จะเป็นการพูดคุย การซื้อสินค้าและบริการ และการทางานที่ทาให้เกิดสภาพท่ีเสมือนจริง เช่น
หอ้ งสมุดเสมอื นจริง ห้องเรียนเสมือนจริง ทีท่ างานเสมอื นจรงิ เปน็ ต้น
ประการท่สี อง เทคโนโลยสี ารสนเทศทาให้ระบบเศรษฐกิจเปล่ียนจากระบบแห่งชาติไปเป็น
เศรษฐกิจโลก ที่ทาให้ระบบเศรษฐกิจของโลกผูกพันกับทุกประเทศ ความเชื่อมโยงของเครือข่าย
สารสนเทศทาให้เกิดสังคมโลกาภิวัฒน์ ระบบเศรษฐกิจซ่ึงแต่เดิมมีขอบเขตจากัดภายในประเทศ ก็
กระจายเป็นเศรษฐกิจโลกทวั่ โลก มีกระแสการหมุนเวยี นแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการอย่างแพร่หลาย
และรวดเรว็ เคร่ืองมือสาคญั ทเ่ี อื้ออานวยให้การดาเนนิ การดงั กล่าวมีขอบเขตกว้างขวาง และเช่ือมโยง
กนั แนบแน่นมากข้ึนกค็ อื เทคโนโลยสี ารสนเทศ

93

ประการที่สาม เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้องค์กรมีลักษณะผูกพัน หน่วยงานภายในเป็น
แบบเครือข่ายมากข้ึน แต่เดิมการจัดองค์กรมีการวางเป็นลาดับข้ัน มีสายการบังคับบัญชาจากบนลง
ล่าง แต่เม่ือการส่ือสารแบบสองทางและการกระจายข่าวสารดีขึ้น มีการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์
ภายในองค์กรผูกพันกันเป็นลักษณะกลุ่มงาน มีการเพิ่มคุณค่าขององค์กรด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
การจัดโครงสร้างขององค์กรจึงปรับเปล่ียนจากเดิม องค์กรกลายเป็นเครือข่ายที่มีลักษณะการบังคับ
บัญชาแบบแนวราบมากข้ึน หน่วยธุรกิจมีขนาดเล็กลง และเชื่อมโยงกันกับหน่วยธุรกิจอ่ืนเป็น
เครือข่าย สถานะภาพขององค์กรได้ปรับเปล่ียนไปตามกระแสของเทคโนโลยีสารสนเทศ การดาเนิน
ธุรกิจจึงลดความสาคัญในเรื่องของขนาด แต่แข่งขันกันความเร็วโดยอาศัยการใช้ระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ และการส่ือสารโทรคมนาคมเป็นตัวสนับสนุน เพื่อให้เกิดการแลกเปล่ียนข้อมูลได้ง่าย
และรวดเรว็

ประการที่ส่ี เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแบบสุนทรียสัมผัส และสามารถ
ตอบสนองตามความต้องการการใช้เทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ท่ีเลือกได้เอง กล่าวคือ หากเราต้องการ
ชมภาพยนตร์ หรือโทรทัศน์ เราต้องเปิดเคร่ืองรับโทรทัศน์ และไม่สามารถเลือกตามความต้องการได้
ถา้ สถานสี ง่ สัญญาณใดมา เราก็จะต้องชมตามนน้ั หรือเม่ือต้องการฟังรายการวิทยุ ก็ต้องเปิดวิทยุจะมี
เสียงดังขึ้นทันที หากไม่พอใจก็ทาได้เพียงเลือกสถานีใหม่ แต่ปัจจุบันจะเห็นว่าการเปล่ียนแปลงใน
ลักษณะ “ตามท่ีเราต้องการ” หรือ “On Demand” มากขึ้น ๆ เรามี TV On Demand มีวิทยุแบบ
ตามความต้องการ เมื่อต้องการชมภาพยนตร์เร่ืองใดก็เลือกชม และดูได้ตั้งแต่ต้นรายการ หากจะ
ศกึ ษาหรือเรียนรู้กม็ ี Education On Demand คอื สามารถเลือกบทเรยี นได้ตามอธั ยาศัย

ประการท่ีห้า เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้เกิดสภาพทางการทางานแบบทุกสถานที่และทุก
เวลา เมื่อการสื่อสารแบบสองทางก้าวหน้าและแพร่หลายข้ึน การโต้ตอบผ่านเครือข่ายทาให้เสมือนมี
ปฏิสัมพันธ์ได้จริง เช่น การประชุมทางไกลผ่านจอภาพ หรือวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ ระบบ การศึกษา
ทางไกลผ่านดาวเทียม พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ลักษณะของการดาเนินกิจกรรมเหล่าน้ีทาให้การ
ทางาน ขยายขอบเขตไปทุกหนทกุ แหง่ และสามารถดาเนินการไดต้ ลอดเวลา สาหรับตัวอย่างท่ีเกิดขึ้น
นานแล้ว เช่น ระบบเอทีเอ็ม ช่วยให้การเบิกจ่ายสะดวกและทาได้ทุกเมื่อ และกระจายไปใกล้ตัว
ผู้รับบริการมากข้ึน แต่ทว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีก้าวหน้ามากขึ้น การบริการจะกระจายย่ิงข้ึน
จนถึงท่ีบ้าน ดังจะเห็นได้ว่าในขณะน้ีผู้คนสามารถทางานบางอย่างได้จากที่บ้านหรือท่ีใด ๆ ก็ได้ โดย
ไมม่ ีข้อจากดั ดา้ นเวลา กลา่ วอย่างง่าย ๆ ก็คือ เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยลดอุปสรรคเรื่องสถานที่และ
เวลาในการดาเนินกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของมนุษย์

ประการท่ีหก เทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดาเนินการระยะยาวข้ึน อีก
ทง้ั ยังทาให้วถิ กี ารตัดสนิ ใจ หรือเลือกทางเลือกได้ละเอียดขึ้น แต่เดิมการตัดสินปัญหาอาจมีหนทางให้
เลือกได้น้อย เช่น มีคาตอบเดียว ใช่ และ ไม่ใช่ แต่ด้วยข้อมูลข่าวสารที่สนับสนุนการตัดสินใจ ทาให้

94

วิถคี วามคิดในการตัดสินปัญหาเปล่ียนไป ผู้ตัดสินใจมีทางเลือกได้มากขึ้น มีความละเอียดอ่อนในการ
ตัดสินปญั หาไดด้ ีขึ้น

กล่าวโดยสรุปแล้ว เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทท่ีสาคัญในทุกวงการ มีผลต่อการ
เปลี่ยนแปลงโลกดา้ นความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม
การเมือง ตลอดจนการวิจัยและการพัฒนาต่าง ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศโดยตัวของเทคโนโลยีเองไม่
ทาลายธรรมชาตหิ รอื สรา้ งมลภาวะต่อส่ิงแวดล้อม และนับว่ามีคุณสมบัติเด่นพิเศษท่ีทาให้เทคโนโลยี
สารสนเทศกลายเปน็ เทคโนโลยียทุ ธศาสตรแ์ ห่งยคุ ปัจจุบันและอนาคต เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถ
ช่วยเพม่ิ ประสทิ ธิภาพและสมรรถภาพในกิจกรรมหลายอย่าง เน่ืองจากเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถ
ช่วยลดต้นทุนหรือค่าใช้จ่าย เพิ่มคุณภาพของงาน สร้างกระบวนการหรือกรรมวิธีใหม่ ๆ และสร้าง
ผลติ ภัณฑแ์ ละบริการใหม่ ๆ ข้นึ ดว้ ย (สุเมธ วงศ์พานิชเลศิ และนติ ย์ จนั ทรมังคละศรี 2538)

8. เทคโนโลยสี ารสนเทศกบั การใชช้ ีวติ ในสงั คมปัจจุบัน
ในภาวะปัจจุบันน้ันสารสนเทศได้กลายเป็นปัจจัยพ้ืนฐานปัจจัยที่ห้า เพิ่มจากปัจจัยส่ี

ประการท่ีมนุษย์เราขาดเสียมิได้ในการดารงชีวิตประจาวัน ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศท่ีจาเป็น ในการ
ประกอบธุรกิจ ในการค้าขาย การผลิตสินค้า และบริการ หรือการให้บริการสังคม การจัดการ
ทรัพยากรของชาติ การบริหารและปกครอง จนถึงเร่ืองเบา ๆ เร่ืองไร้สาระบ้าง เช่น สภากาแฟที่


Click to View FlipBook Version