95
สามารถพบได้ทุกแห่งหนในสังคม เร่ืองสาระบันเทิงในยามพักผ่อน ไปจนถึงเร่ืองความเป็นความตาย
เชน่ ขา่ วอุทกภยั วาตภัย หรอื การทารฐั ประหารและปฏวิ ัติ เป็นต้น
ในความคดิ เห็นของกลุ่มบุคคลต่างๆ ตงั้ แต่นกั วชิ าการ นักธุรกิจ นักสงั คมศาสตร์ นกั
เศรษฐศาสตร์ จนกระท่งั ผนู้ าต่าง ๆ ในโลก ดังเชน่ ประธานาธิบดี Bill Clinton และรอง
ประธานาธบิ ดี Al Gore ของสหรัฐอเมรกิ า สารสนเทศเปน็ ทรัพยากรทีส่ าคญั ทส่ี ดุ อยา่ งหน่งึ ใน
ปัจจุบนั และในยคุ สงั คมสารสนเทศแห่งศตวรรษที่ 21 สารสนเทศจะกลายเป็นทรัพยากรท่ีสาคัญทส่ี ุด
เหนอื สิ่งอน่ื ใด กล่าวกันสัน้ ๆ สารสนเทศกาลงั จะกลายเปน็ ฐานแห่งอานาจอนั แทจ้ รงิ ในอนาคต ทง้ั
ในทางเศรษฐกจิ และทางการเมือง
ในสมัยสังคมเกษตรน้ัน ปัจจัยพ้ืนฐานในการผลิตที่สาคัญ ได้แก่ ท่ีดิน แรงงาน และทุน
ทรัพย์ ต่อมาในสงั คมอุตสาหกรรม การผลติ ต้องพ่ึงพาปัจจัยพน้ื ฐานเพม่ิ เตมิ ได้แก่ วัสดุ พลังงาน และ
โดยเฉพาะอย่างย่ิงสารสนเทศ สังคมเกษตรและสังคมอุตสาหกรรมต้องพึ่งพาการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่
อย่างจากัด อันได้แก่ ที่ดิน พลังงาน และวัสดุ เป็นอย่างมาก และผลของการใช้ทรัพยากรเห ล่าน้ัน
อยา่ งฟุ่มเฟอื ยและขาดความระมัดระวัง ก็ได้สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมท่ีรุนแรงมาก ซึ่งกาลังคุกคามโลก
รวมทั้งประเทศไทย ต้ังแต่ปัญหาการแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ ภัยธรรมชาติที่นับวันจะเพิ่ม
ความถี่และรุนแรงขึ้น ปัญหาการบ่อนทาลายความสมดุลทางนิเวศวิทยาท้ังป่าดงดิบ ป่าชายเลน ป่า
ต้นน้าลาธาร ความแห้งแล้ง อากาศเป็นพิษ แม่น้าลาคลองที่เต็มไปด้วยสารพิษเจือปน ตลอดจนถึง
ปัญหาวิกฤติทางจราจรและภัยจากควนั พษิ ในมหานครทกุ แห่งทวั่ โลก
ในทางตรงกันข้าม ขบวนการผลิต การเก็บ และถ่ายทอดสารสนเทศ อาศัยการใช้วัสดุและ
พลังงานน้อยมาก และไม่มีผลเสียต่อภาวะแวดล้อมหรือมีเพียงเล็กน้อยมาก ย่ิงกว่านั้นสารสนเทศจะ
สามารถชว่ ยให้กิจกรรมการผลิตและการบริการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถช่วย
ให้การผลิตทางอุตสาหกรรมใช้วัตถุดิบ และพลังงานน้อยลง มีมลภาวะน้อยลง แต่สินค้ามีคุณภาพดี
ขึ้นคงทนมากขึ้น ปัญหาวิกฤติทางจราจรในบางด้านก็สามารถผ่อนปรนได้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
เช่น ในการช่วยติดต่อส่ือสารทางธุรกิจต่างๆ โดยไม่จาเป็นต้องเดินทางด้วยตนเองดังเช่นแต่ก่อน จึง
อาจกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีส่วนอย่างมาก ในการนาสังคม สู่วิวัฒนาการอีกระดับหนึ่ง
ทอี่ าจเรยี กไดว้ า่ เป็นสังคมสารสนเทศ อันเป็นสงั คมทพี่ ึงปรารถนาและยงั่ ยนื ยง่ิ ขึ้น
น่นั จึงเป็นเหตุผลที่วา่ สังคมต่าง ๆ ในโลก ต่างจะต้องก้าวสู่สังคมสารสนเทศอย่างหลีกเลี่ยง
ไม่ได้ ไม่เร็วก็ช้า และน่ันหมายความว่าสังคมจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างแน่นอนไม่ว่า
เราจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม มิใช่เพียงแต่เพื่อสร้างขีดความสามารถในเชิงแข่งขันในสนามการค้า
ระหว่างประเทศ แต่เพอ่ื ความอยูร่ อดของมนุษยชาติ และเพอื่ คุณภาพชีวติ ที่ดขี น้ึ อกี ตา่ งหากดว้ ย
96
เทคโนโลยสี ารสนเทศ คือ เทคโนโลยคี โู่ ลกในตน้ ศตวรรษที่ 21 และเปน็ แรงกระตุ้นและเป็น
ปจั จยั รองรับ ขบวนการโลกาภวิ ัตน์ ท่กี าลังผนวกสงั คมเศรษฐกิจไทยเข้าเป็นอันหนึ่งเดียวกันกับสังคม
โลก
อันท่ีจริงเทคโนโลยีสารสนเทศมีใช้ในประเทศไทยเป็นเวลาช้านานมาแล้ว เป็นต้นว่า เรามี
การใช้โทรศัพท์ต้ังแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2414 เพียงแต่ว่า
การใช้เทคโนโลยีน้ียังไม่แพร่กระจายท่ัวประเทศและยังไม่อยู่ในระดับสูงเม่ือเทียบกับอีกหลาย ๆ
ประเทศในโลก
กล่าวกันอย่างสั้น ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา
วิเคราะห์ ประมวล จัดการและจัดเก็บ เรียกใช้หรือแลกเปล่ียน และเผยแพร่สารสนเทศ ด้วยระบบ
อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของรูป เสียง ตัวอักษร หรือภาพเคลื่อนไหว รวมไปถึงการนา
สารสนเทศและข้อมูลไปปฏิบัติตามเนื้อหาของสารสนเทศน้ัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของผู้ใช้ การ
จัดหา วิเคราะห์ ประมวล และจัดการกับข่าวสารข้อมูลจานวนมหาศาล จึงขาดเทคโนโลยี
คอมพวิ เตอร์ เสียมิได้ สว่ นการแสวงหาและแลกเปลีย่ นขอ้ มูลข่าวสาร อย่างรวดเร็ว ทันเวลา ประหยัด
ค่าใช้จ่าย และมีประสิทธิภาพ ก็จาเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีโทรคมนาคม และท้ายสุดสารสนเทศท่ีมี
จะก่อให้เกิดประโยชน์จากการบริโภค อย่างกว้างขวางตามแต่จะต้องการและอย่างประหยัดที่สุด ก็
ต้องอาศัยท้ังสองเทคโนโลยีข้างต้นในการจัดการและการสื่อหรือขนย้ายจากแหล่งข้อมูลสารสนเทศสู่
ผบู้ รโิ ภคในที่สุด
ฉะนน้ั เทคโนโลยีสารสนเทศจึงครอบคลุมถึงหลาย ๆ เทคโนโลยีหลัก อันไดแ้ ก่
คอมพิวเตอร์ทง้ั ฮารด์ แวร์ ซอฟต์แวร์ และฐานข้อมลู โทรคมนาคม ซ่งึ รวมถงึ เทคโนโลยีระบบสอื่ สาร
มวลชน (ได้แก่ วทิ ยุ และโทรทัศน์) ทัง้ ระบบแบบมีสายและไรส้ าย รวมถึงเทคโนโลยีดา้ น
อิเล็กทรอนกิ สต์ า่ ง ๆ อาทิ เทคโนโลยีโทรทัศนค์ วามคมชัดสูง (HDTV) ดาวเทยี ม
คมนาคม (communications satellite) เส้นใยแก้วนาแสง (fibre optics) สารก่งึ
ตวั นา (semiconductor) ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) อปุ กรณ์อัตโนมตั ิ
สานกั งาน (office automation) อุปกรณ์อัตโนมัติในบ้าน (home automation) อุปกรณ์อัตโนมตั ิ
ในโรงงาน (factory automation) เหล่านี้ เปน็ ต้น
97
นอกจากการเปน็ เทคโนโลยที ไี่ ม่ทาลายธรรมชาตหิ รือสร้างมลภาวะ (ในตัวของมนั เอง) ตอ่
สงิ่ แวดล้อมแล้ว คณุ สมบัตโิ ดดเด่นอนื่ ๆ ที่ทาใหม้ นั กลายเป็นเทคโนโลยี ยทุ ธศาสตร์สาคญั แหง่ ยคุ
ปัจจบุ นั และในอนาคตก็คือ ความสามารถในการเพ่ิมประสิทธภิ าพและสมรรถภาพในเกือบทกุ ๆ
กจิ กรรม อาทิโดย
1. การลดต้นทุนหรอื คา่ ใชจ้ า่ ย
2. การเพม่ิ คณุ ภาพของงาน
3. การสร้างกระบวนการหรอื กรรมวิธีใหม่ ๆ
4. การสร้างผลติ ภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ขึน้
98
ฉะน้ัน โอกาสและขอบเขตการนา เทคโนโลยีน้ีมาใช้ จึงมีหลากหลายในเกือบทุก ๆ
กิจกรรมก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง การให้บริการสังคม การผลิตทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม
และบริการ รวมถึงการคา้ ท้งั ภายในและระหวา่ งประเทศอีกด้วย โดยพอสรปุ ได้ดังต่อไปนี้
ภาคสังคม การบริหารและปกครอง การให้บริการพื้นฐานของรัฐ การบริการสาธารณสุข
การบริการการศึกษา การให้บริการข้อมูลและสาระบันเทิง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การจัดการ
ทรพั ยากรธรรมชาติ การบรรเทาสาธารณภัย การพยากรณ์อากาศและอุตุนิยม ฯลฯ
ภาคเศรษฐกิจ การเกษตร การป่าไม้ การประมง การสารวจและขุดเจาะน้ามันและ ก๊าซ
ธรรมชาติ การสารวจแร่และทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนและใต้ผิวโลก การก่อสร้าง การคมนาคมท้ัง
ทางบก น้า และอากาศ การค้าภายในและระหว่างประเทศ อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรม
บรกิ าร อาทิ ธุรกจิ การทอ่ งเที่ยว การเงนิ การธนาคาร การขนสง่ และ การประกันภัย ฯลฯ
ในปัจจุบันเศรษฐกิจและสังคมของไทยมีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับสังคมโลก
ประมาณการว่า ในปี พ.ศ. 2536 การส่งออกมีมูลค่าขยายตัวถึงร้อยละ 12.8 ที่ 920 พันล้านบาท
ขณะท่ีการนาเข้ามีอัตราขยายตัวถึงร้อยละ 12.7 ด้วยมูลค่า 1,150 พันล้านบาท การส่งออกท่ีมี
สดั ส่วนเพียงรอ้ ยละ 13.2 ของผลผลิตมวลรวมของประเทศในปี พ.ศ. 2515 ไดเ้ ตบิ โตอย่างต่อเน่ืองจน
มขี นาดเปน็ ร้อยละ 37.9 ในปี พ.ศ.2535 ย่อมช้ใี ห้เห็นถึงความสาคญั ของการค้าระหว่างประเทศ และ
ในทานองเดยี วกนั ของ เทคโนโลยีกลุ่มน้ี ต่อเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศ
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศคือ การอาศัยการแลกเปล่ียนข้อมูล
สารสนเทศจานวนมากมายน่ันเอง ต้ังแต่การสืบและสอบถามสินค้าและราคา การเจรจาตกลงราคา
การหาวัตถุดิบสาหรับการผลิต การว่าจ้างและการรับช่วงผลิต การว่าจ้างขนส่งสินค้า การประกัน
วินาศภัย การแจ้งหรือการส่งมอบสินค้า และรายละเอียดเที่ยวบินหรือเรือเดินสมุทรที่ขนย้ายสินค้า
รวมถึงการดาเนินการทางพิธีการศุลกากร จนถึงการโอนเงินระหว่างประเทศ ฯลฯ การแลกเปล่ียน
ข้อมูลจานวนมาก ระหว่างองค์กรหลากหลายในแต่ละครั้งของการซ้ือขาย จึงต้องพึ่งพาเทคโนโลยี
สารสนเทศเพื่อให้การดาเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วด้วยข้อมูลที่แม่นยา และในอัตราค่าบริการที่ต่า
เพ่ือลดต้นทุนและเพ่ิมขดี ความสามารถในเชิงแขง่ ขันระหวา่ งประเทศ
ผลประโยชนต์ า่ งๆ จากการประยกุ ต์ใช้ของเทคโนโลยีดังกล่าว ล้วนเกิดจากคุณสมบัติพิเศษ
หลาย ๆ ประการของเทคโนโลยีกลุ่มน้ี อันสืบเนื่องจากการพัฒนาของ เทคโนโลยีที่มีอัตราสูงและ
อย่างต่อเนอื่ งตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ววิ ฒั นาการทางเทคโนโลยีน้ีส่งผลให้
(1) ราคาของฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์ รวมทั้งค่าบริการ สาหรับการเก็บ การ
ประมวล และการแลกเปลี่ยนเผยแพร่สารสนเทศมีการลดลงอย่างตอ่ เน่อื งและรวดเร็ว
99
(2) ทาให้สามารถนาพาอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งคอมพิวเตอร์และ โทรคมนาคมติดตามตัว
ได้ เน่ืองจากได้มีพัฒนาการการย่อส่วนของช้ินส่วน (miniaturization) และพัฒนาการการส่ือสาร
ระบบไรส้ าย
(3) ประการท้าย ท่ีจัดว่าสาคัญที่สุดก็ว่าได้คือ ทาให้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น
เทคโนโลยีคอมพวิ เตอรแ์ ละการสอื่ สารมุ่งเขา้ สู่จุดที่ใกลเ้ คยี งกัน (converge)
ประเทศอุตสาหกรรมในโลกได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยียุทธศาสตร์กลุ่มน้ี จึงให้
ความสาคัญต่อเทคโนโลยีนี้มากกว่าเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่จัดเป็นเทคโนโลยียุทธศาสตร์สาคัญอีกหลาย
กลุ่ม ดังเช่นกลุ่มประเทศ OECD (Organization for Economic Co-operation and
Development) ได้ศึกษาเปรียบเทียบ ศักยภาพของเทคโนโลยีไฮเทค 5 กลุ่มสาคัญในปัจจุบัน คือ
เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีวัสดุใหม่ เทคโนโลยีอวกาศ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ และเทคโนโลยี
สารสนเทศ ในประเด็นผลกระทบสาคัญ 5 ประเด็น ไดแ้ ก่
(1) การสรา้ งผลิตภณั ฑ์และบริการใหม่ ๆ
(2) การปรับปรุงกระบวนการผลติ ผลิตภณั ฑ์และบรกิ าร
(3) การยอมรับจากสงั คม
(4) การนาไปใช้ประยกุ ต์ในภาค/สาขาอืน่ ๆ
(5) การสร้างงานในทศวรรษปี 1990 ปรากฏว่าเทคโนโลยีสารสนเทศได้รับการ
ยอมรบั ในศกั ยภาพสงู สดุ ในทกุ ๆ ประเดน็
ในสหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน มีการศึกษาวิเคราะห์ถึงขีดความสามารถในเชิงแข่งขัน
เปรียบเทียบกับประเทศญี่ปุ่น ในเทคโนโลยีกลุ่มไฮเทคท่ีสาคัญต่อประเทศ 11 ชนิดด้วยกัน ปรากฏ
100
ว่า 8 ชนดิ จากท้ังหมด 11 ชนิด จัดเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งโดยตรงหรือเป็นส่วนประกอบ จะ
ยกเว้นเพียง 3 ชนิดคือ เวชภัณฑ์ยา เครื่องบิน และวัสดุใหม่เท่าน้ัน ประเทศเหล่าน้ีจึงมีแผนพัฒนา
เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างจริงจัง และได้ทุ่มงบประมาณมากมายมหาศา เพ่ือการพัฒนานี้ จึงเป็นท่ี
คาดกนั ว่าววิ ฒั นาการของ เทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคตอนั ใกล้นี้ จะเปน็ ไปอยา่ งรวดเร็วและรุนแรง
มาก
3.9 ส่อื เพ่ือการศึกษา(การเรยี นรู้)
สื่อการศึกษาแบง่ เป็นประเภทหลกั ๆ ได้ 4 ลักษณะ ดงั นี้
(1) ตามช่องทางการส่งและรบั สาร
(2) ตามโครงสรา้ งความคิด
(3) ตามโครงสร้างของส่ือ
(4) ตามชนิดของส่อื
3.9.1 ประเภทตามชอ่ งทางการส่งและรบั สาร
สื่อการศึกษาที่แบ่งประเภทตามช่องทางการส่งและรบั สาร มี 3 ประเภท ไดแ้ ก่
1. สื่อโสตทศั น์
ได้แก่ สือ่ กราฟฟิก วัสดุลายเส้น และ แผ่นป้ายต่างๆ ส่ือสามมิติประเภทหุ่นจาลอง และสื่อเสียง เช่น
เทปเสยี ง เปน็ ตน้
2. ส่ือมวลชน
ได้แก่ สื่อสง่ิ พมิ พ์ วิทยกุ ระจายเสียง และวิทยโุ ทรทัศน์
3. ส่อื อิเลก็ ทรอนิกส์และโทรคมนาคม
ได้แก่ โทรศัพท์ โทรสาร วิทยุส่ือสาร โทรทัศน์ ปฏิสัมพันธ์ ระบบประชุมทางไกล เครือข่าย
คอมพิวเตอร์ และ อินเตอร์เน็ต เปน็ ตน้
ประเภทส่ือการศึกษาตามโครงสร้างความคิด การแบ่งประเภทของส่ือการศึกษาตามโครงสร้าง
ความคดิ มี 2 ลักษณะ คือ
1. การแบง่ ประเภทสอ่ื การศึกษาตามลักษณะประสบการณ์
เอด็ การ์ เดล เปน็ คนแบ่งไวม้ ี 10 ประเภท (Dale, 1949) เร่มิ แรกทเี ดียวเขาแบ่งออกเป็น 11 ประเภท
แตต่ อนหลงั ได้ปรับปรงุ โดยรวมภาพยนตรก์ ับโทรทัศน์เป็นประเภทเดียวกัน จึงเหลือเป็น 10 ประเภท
เรียกว่า “กรวยแห่งประสบการณ์” (Cone of Experiences) ตามลาดับจากรูปธรรมไปหานามธรรม
ดงั ต่อไปนี้
101
ประสบการณ์ตรงท่ีผู้เรียนเจตนารับเป็นสื่อของจริง ได้แก่ วัตถุ สถานการณ์ หรือ
ปรากฏการณ์จรงิ ที่ผเู้ รยี นสามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เป็นสื่อท่ีมีความจาเป็นต่อการเรียน
การสอนวิทยาศาสตร์ในขั้นนาเข้าสู่บทเรียน เสนอปัญหา ข้ันการทดลอง และรวบรวมข้อมูล เพ่ือ
พสิ ูจน์สมมตฐิ านทีต่ ง้ั ขึน้ จากสถานการณ์การเรียนการสอน
ประสบการณ์จากสถานการณ์จาลองและหุ่นจาลอง ส่ือประเภทสถานการณ์จาลองหรือ
หุ่นจาลองน้ี สามารถเน้นประเด็นที่ต้องการหรือกาจัดส่วนเกินท่ีไม่ต้องการจากของจริงได้ มี
ประโยชน์ต่อการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในกรณีท่ีของจริงหายากมีราคาแพง มีอันตรายมาก
ใหญโ่ ตเกินไป เล็กเกินไป สลบั ซับซอ้ นเกินไป ฯลฯ
ประสบการณ์นาฏการท่ีผู้เรียนได้รับรู้การแสดงด้วยตนเองหรือการชมการแสดง เป็น
สถานการณ์จาลองท่ีทาให้เกิดความรคู้ วามเขา้ ใจเก่ยี วกับปรากฏการณ์และกระบวนการบางอยา่ งได้ดี
ประสบการณจ์ ากการทดลองสาธิต เป็นประสบการณท์ ีไ่ ดจ้ ากส่ือ ซง่ึ อาจจะเป็นสถานการณ์
จาลองหรือสถานการณ์จริง แต่เป็นสื่อท่ีมีจานวนน้อย จึงสาธิตให้ดูเป็นกลุ่ม เป็นประสบการณ์ที่
จะต้องรับรู้พร้อม ๆ กัน เหมาะสาหรับการทดลองสาธิตให้ผู้เรียนสังเกตและรวบรวมข้อมูลพร้อมกัน
หลายคน
ประสบการณ์ทัศนศึกษา เป็นประสบการณ์ที่ได้รับจากสื่อการเรียนการสอนท่ีเป็นวัตถุ
สถานการณ์ หรอื ปรากฏการณ์จริง แต่แทนที่จะเป็นการนาส่ือเข้ามาหาผู้เรียน ก็เป็นการนาผู้เรียนไป
ยังแหลง่ ของสือ่ เหมาะสาหรับการนาเข้าสู่ปญั หาหรือการสรปุ บทเรียน เป็นการยืนยันข้อสรุปท่ีได้จาก
การเรียนในห้องเรยี น
102
ประสบการณ์ที่ได้จากนิทรรศการ ส่ือท่ีให้ประสบการณ์ในลักษณะนี้อาจจะเป็นท้ังของจริง
และส่ิงจาลองต่างๆ แต่จัดเรียงไว้ในรูปที่จะใช้ข้อมูลหรือเน้ือหาตามวัตถุประสงค์ของผู้จัด เหมาะ
สาหรบั การสอนวิทยาศาสตรข์ น้ั นาเขา้ สบู่ ทเรยี นหรือข้ันการสรุปบทเรยี น
ประสบการณ์จากภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ เป็นประสบการณ์ที่ได้จากภาพและเสียงท่ี
พยายามทาให้เหมือนกับประสบการณ์ตรงโดยเทคนิคการถ่ายทา เหมาะสาหรับการเสนอเน้ือหา
เสนอข้อมลู หรอื การสรุปบทเรียน
ประสบการณ์จากภาพน่ิง วิทยุและการบันทึกเสียง สื่อประเภทนี้ให้ประสบการณ์ท่ีเป็น
รายละเอยี ดในประเด็นท่ตี อ้ งการเน้นได้ โดยเทคนคิ การถา่ ยภาพ การอดั ขยายและการบันทึกตัดต่อใน
กรณที เี่ ปน็ เทปเสยี ง
ประสบการณ์จากส่ือทัศนสัญลักษณ์ ได้แก่ ภาพเขียนภาพลายเส้น วัสดุกราฟฟิกต่างๆ ที่
สามารถเน้นโดยใชร้ ปู ลกั ษณะและสีทาใหเ้ กิดความสนใจในประเด็นที่ต้องการจะเน้น
ประสบการณ์พจนสัญลักษณ์ ได้แก่ สัญลักษณ์ สูตร ภาษา ตาราต่างๆ เป็นสื่อท่ีมี
ประสิทธภิ าพในการนาเสนอเนือ้ หา มโนมติ หลกั การ ทฤษฎีหรือกฎบางอย่างไดด้ ี
2. การแบ่งประเภทส่ือการศึกษาตามลักษณะสอื่ ในกระแสความคดิ ของคน(ผูเ้ รียน)
การแบ่งประเภทของส่ือการศึกษาตามลักษณะส่ือในกระแสความคิดของผู้เรียนน้ี แบ่งตามทฤษฎี
โครงสรา้ งของความคิด (Cognitive Structure) ของบรูเนอร์ (Bruner, 1966) ซ่ึงอธิบายไว้ว่า คนเรา
จะเกิดความรู้ความเข้าใจส่ิงแวดล้อมได้โดยสิ่งแวดล้อมท่ีเป็นวัตถุ ปรากฏการณ์หรือสถานการณ์ เร้า
ใหเ้ กิดส่อื หรือส่ิงแทนในการะแสความคดิ ด้านใดดา้ นหน่งึ หรือทง้ั สามด้าน ได้แก่ ด้านกระทา ด้านภาพ
หรือดา้ นสญั ลกั ษณ์ ดงั นนั้ สอ่ื ในทีน่ ีจ้ ึงหมายถึงสอ่ื ท่ีเป็นวัตถุหรือสถานการณ์กับสื่อที่เป็นลักษณะของ
ความคิด ซ่ึงอาจเทียบกับส่อื ทแ่ี บ่งประเภทตามแบบของ เอ็ดการ์ เดล ไดด้ ังน้ี
1. สอ่ื ประเภทที่กอ่ ให้เกิดการกระทา
การเคล่ือนท่ีหรือเคล่ือนไหวกล้ามเน้ือ ทาให้เกิดความรู้ความเข้าใจได้ ได้แก่ ส่ือของจริง
สถานการณ์จาลอง หุ่นจาลอง นาฏการ การทดลองสาธติ และการศกึ ษานอกสถานท่ี
2. สือ่ ประเภททีก่ ่อใหเ้ กิดภาพนกึ
ไดแ้ ก่ สือ่ นิทรรศการ ภาพยนตร์ โทรทศั น์ ภาพนง่ิ วทิ ยุ และแผ่นเสียง
3. ส่ือประเภททก่ี อ่ ให้เกดิ การคิดนกึ เปน็ สัญลกั ษณ์
ได้แก่ สื่อทัศนสัญลักษณ์และภาษา
103
3.9.2 ประเภทของสอื่ การศึกษาตามลักษณะโครงสรา้ งของส่ือ
ประเภทของส่ือการศึกษาตามลักษณะโครงสร้างของส่ือ แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
กลุ่มเคร่ืองมือ-อุปกรณ์ (hardware) และ กลุ่มโปรแกรม (software) กลุ่มเคร่ืองมือ-อุปกรณ์
(hardware)
ความหมายของฮาร์ดแวร์ตามพจนานุกรม หมายถึง เคร่ืองมือ อุปกรณ์ท่ีเป็นโลหะและวัต
เน้ือแข็ง อาวุธ ยุทโธปกรณ์ ตลอดทั้งช้ินส่วนประกอบต่าง ๆ ของเครื่องมือและอุปกรณ์เห ล่านี้
ความหมายของฮาร์ดแวร์ในเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ หมายถึง เคร่ืองกลไกและวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่
เป็นตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ จะเห็นได้ว่าฮาร์ดแวร์เป็นผลิตผลจากการประยุกต์ทางด้านวิทยาศาสตร์
กายภาพทั้งหมด ซ่ึงประกอบดว้ ยวสั ดสุ ิ้นเปลอื ง เคร่ืองมอื และอปุ กรณ์ ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้
วัสดุ หมายถงึ ส่ิงท่ีใช้งานร่วมกบั เครอ่ื งมอื หรืออปุ กรณ์ต่างๆ ท่ีนามาดาเนินกิจกรรมทางการศึกษา ซึ่ง
มีทั้งวัสดุพื้นฐาน ( กระดาษ หมึก สี แผ่นใส เป็นต้น) และวัสดุอิเล็กทรอนิกส์ ( CD-Rom DVD ฟีล์ม
เทปเสยี ง/ภาพ)
เครื่องมือ หมายถึง ส่ิงของท่ีใช้สร้างงานประกอบในกิจกรรมทางการศึกษา ท้ังที่ใช้ร่วมกับ
วัสดุ หรืออุปกรณ์ ถ้าเป็นด้านเทคโนโลยีจะหมายถึง ชุดเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและ
คอมพิวเตอร์, Flash memory, ไมโครโฟน, ลาโพง, จอภาพสัมผสั (Touch screen) เปน็ ตน้
ถา้ เป็นเคร่ืองมอื พ้ืนฐานจะหมายถงึ ปากกา ดินสอ มดี คัตเตอร์ เป็นตน้
อุปกรณ์ ได้แก่ เคร่ืองมือท่ีใช้สนับสนุนการจัดกิจกรรมทางการศึกษา อาทิ เคร่ือง
คอมพวิ เตอร์แบบต่างๆ, เคร่ืองพิมพ์, เครื่องscanner, กล้องถ่ายภาพยนตร์หรือวิดีโอ, กล้องถ่ายภาพ
analog/digital, เครื่องฉายภาพ video projector, visualizer, เคร่ืองบันทึกเสียงทั้งแบบ
104
analog/digital, เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ เครื่องฉายภาพทึบแสง เครื่องฉายสไลด์ เคร่ืองฉาย
ภาพยนตร์ เป็นต้น (ซ่ึงปัจจุบันอุปกรณ์ในหลายรายการ ของกลุ่มน้ีได้มาถึงจุดสุดท้าย โดยได้มี
พฒั นาการเปลย่ี นรูปแบบไป อาทิ เครือ่ งฉายสไลด์ ถกู แทนดว้ ยระบบคอมพิวเตอร์ผนวกรวมกับเครื่อง
ฉายภาพ video projector หรือ เครื่องฉายภาพทึบแสงถูกแทนที่ด้วย เทคโนโลยีของ visualizer
เปน็ ตน้ )
แตใ่ นความหมายหลกั ของคาว่า hardware สว่ นใหญ่จะหมายถงึ ประเภทของอุปกรณ์ (3)
กลุม่ โปรแกรม (software)
ซอฟต์แวร์เป็นคาศัพท์ที่ใช้ในกลุ่มเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ จากการท่ีเครื่องคอมพิวเตอร์น้ัน
ประกอบจาก ช้ินสว่ น อุปกรณ์ และวงจรอิเลก็ ทรอนกิ ส์ต่างๆ การทจ่ี ะส่ังให้เคร่อื งคอมพิวเตอร์ทางาน
หรอื ประมวลผลอย่างใดอย่างหน่ึงตามความต้องการนั้น จะต้องมีคาสั่งหรือภาษาสาเร็จรูปของเครื่อง
กาหนด ระบุหนา้ ทจ่ี ึงจะสั่งเครื่องคอมพิวเตอรใ์ ห้ทางานหรือประมวลผลตามต้องการได้ วิธีการท่ีสร้าง
ชุดคาสั่งหรือโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่างๆ และผลผลิตที่ได้เป็นโปรแกรมต่างๆ น้ี
เรยี กวา่ ซอฟตแ์ วร์ นอกจากน้ี นักการศึกษา ยังได้ให้ความหมายของคาว่า ซอฟต์แวร์ หมายถึง ลาดับ
ขั้นตอน ระบบกระบวนการ โปรแกรมและวิธีการเก็บรวบรวม จัดแจง และการเสนอสารสนเทศ
ทางการศึกษา ซ่งึ สามารถแบง่ ออกเปน็ วัสดสุ าเร็จรูป กจิ กรรมและเกม และวิธกี าร
3.9.3 ประเภทของสอ่ื การเรียนรตู้ ามชนิดของส่ือ
สือ่ การศกึ ษาที่แบง่ ประเภทตามช่องทางการสง่ และรบั สาร มี 4 ประเภท ไดแ้ ก่
ส่ือส่ิงพิมพ์ หมายถึงสื่อการเรียนรู้ที่จัดทาข้ึนเพื่อสนองการเรียนรู้ตามหลักสูตร หรือส่ือส่ิงพิมพ์ท่ัวไป
ได้แก่ หนังสือ- แบบเรียน คู่มือครู ชุดวิชา หนังสือประกอบการสอน หนังสืออ้างอิง หนังสืออ่าน
เพิม่ เติม แผนการสอน ใบงาน แบบฝกึ หัดกจิ กรรม หนังสือพิมพ์ วารสาร แผ่นพบั โปสเตอร์ เปน็ ต้น
ส่ือบุคคล หมายถึง บุคคลท่ีมีความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ และทักษะต่างๆ ให้กับ
ผู้เรียน เช่น ครู ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน(แพทย์ พยาบาล นักกฎหมาย) ภูมิปัญญาท้องถ่ินหรือปราชญ์
ชาวบ้านที่มีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์เฉพาะเร่ืองหรือผู้ที่ประสบความสาเร็จในการ
ประกอบอาชพี เปน็ ต้น
ส่ืออิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม หมายถึงส่ือที่ผลิตหรือพัฒนาขึ้นเพ่ือใช้ควบคู่กับ
เคร่อื งมอื อปุ กรณ์ทางเทคโนโลยี เชน่ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วทิ ยุ แผน่ รายการเสียงหรือวิดีทัศน์รูปแบบ
VCD/DVD แถบบันทึกเสียงหรือวิดีทัศน์ ส่ือคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ระบบการศึกษาทางไกลผ่าน
ดาวเทียมหรือผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ e-learning และ อินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังรวมไปถึง
โทรศัพทท์ ี่กาลงั พฒั นาไปสกู่ ารศึกษาผา่ นโทรศัพท์ทเ่ี รยี กว่า M-learning เปน็ ต้น
105
ส่อื กิจกรรม หมายถึงสอ่ื ประเภทวิธีการที่ใช้ในการฝึกทักษะ ฝึกปฏิบัติ ซึ่งต้องใช้กระบวนการคิด การ
ปฏิบัติ และการประยุกต์ความรู้ของผู้เรียน เช่น สถานการณ์จาลอง บทบาทสมมุติ ทัศนศึกษา เกม
การทาโครงงาน การจดั นทิ รรศการ การสาธติ เปน็ ต้น
3.9.4 หลกั การออกแบบนวตั กรรมและส่ือเพือ่ การเรยี นรู้
3.9.4.1 ความหมาย การออกแบบนวตั กรรมการศึกษา
นวตั กรรมการศกึ ษา (Educational innovation) นวัตกรรมการศึกษาก็คือการนาเอา
นวตั กรรมมาประยุกต์ใช้ในการศกึ ษาในดา้ นตา่ งๆ เช่น การพัฒนารูปแบบส่ือการเรยี นการสอน การ
แกป้ ัญหาทางการศกึ ษา เพื่อใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพสูงสดุ ในการเรียนการสอนและยังสง่ ผลไปถึงผู้เรยี น
ใหส้ ามารถเกิดการเรยี นร้ทู ีร่ วดเร็วและมีประสิทธภิ าพสงู ขึ้นกว่าเดมิ ทาใหเ้ กดิ แรงจูงใจในการศึกษา
ด้วยนวัตกรรมเหล่านัน้ และยังทาให้ประหยัดเวลาในการศึกษาเพิ่มขึ้นได้อีก
การออกแบบ (design) การนาเอาความรู้ทม่ี ีอยู่มาวางแผน จดั เป็นกระบวนการในการจดั การเรยี น
การสอนแตล่ ะครงั้ โดยให้ผ้เู รียนมคี วามสนใจในเนื้อหาทีน่ ามาใชใ้ นการเรียน โดยการออกแบบสือ่ การ
เรียนการสอนแบบต่าง ๆ เช่น การสร้าง ผลิตสอื่ การสอนทางเทคโนโลยี การประยกุ ต์ การนาเสนอ
งานงานท่ีแปลกใหม่มคี วามน่าสนใจ รวมท้งั การสรา้ งกลยทุ ธ์ในการสอน เพ่ือให้ผ้เู รียนได้รบั ประโยชน์
สูงสุดในการเรยี น การออกแบบมอี งคป์ ระกอบดังน้ี
1.1 การออกแบบระบบการสอน (Instructional systems design)
1.2 ออกแบบสาร (message design)
1.3 กลยุทธ์การสอน (instructional strategies)
1.4 ลกั ษณะผู้เรียน (learner characteristics)
106
3.9.5 ประเภทนวัตกรรมการศึกษา
ประเภทของนวัตกรรมการศึกษา มี 5 ประเภทไดแ้ ก่
1. นวตั กรรมด้านส่อื สารการสอน เช่น บทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนหนงั สือ
อเิ ลค็ ทรอนคิ บทเรยี น CD/VCD คมู่ ือการทางานกลุ่ม
2. นวตั กรรมดา้ นวิธีการจดั การเรยี นการสอน เชน่ การสอนแบบรว่ มมือ การสอน
แบบอภิปราย วิธสี อนแบบบทบาทสมมตุ ิ การสอนด้วยรูปแบบการเรียนเปน็ คู่
3. นวัตกรรมด้านหลักสตู ร เชน่ หลกั สูตรสาระเพ่ิมเติม หลักสูตรทอ้ งถน่ิ หลักสตู ร
การฝกึ อบรม หลักสตู รกจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน
4. นวตั กรรมด้านการวดั และการประเมินผล เช่น การสร้างแบบวดั ตา่ งๆ การสรา้ ง
เคร่ืองมอื การประยุกตใ์ ชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์
แนวทางในการสรา้ งแบบวัดผลและประเมนิ ผล เชน่ การสร้างแบบวดั แววครู การพัฒนา
คลงั ข้อสอบ การสรา้ งแบบวัดความมีวินัยในตนเอง
5. นวตั กรรมดา้ นการบรหิ ารจดั การ เช่น การบรหิ ารเชงิ ระบบ การบริหารเชิงกล
ยทุ ธ์ การบรหิ ารเชงิ บูรณาการ
107
3.9.6 แนวคิด ทฤษฎกี ารเรยี นร้เู พ่ือการออกแบบนวตั กรรม
3.9.6.1 หลกั การและทฤษฎี ทางจิตวทิ ยาการศึกษา
ทฤษฎจี ากกลุ่มพฤติกรรมนิยม
นกั จติ วทิ ยาการศึกษากลุ่มนี้ เช่น chafe Watson Pavlov, Thorndike, Skinner ซง่ึ
ทฤษฎีของนกั จิตวิทยากลุ่มนี้มีหลายทฤษฎี เช่น ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไข (Conditioning Theory)
ทฤษฎีความสัมพนั ธ์ต่อเน่อื ง (Connectionism Theory) ทฤษฎกี ารเสรมิ แรง (Stimulus-Response
Theory)
ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไข (Conditioning Theory) เจ้าของทฤษฎนี ้ีคอื พอฟลอบ
(Pavlov) กลา่ ว ไว้ว่า ปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ของร่างกายของคนไมไ่ ด้มาจากส่ิงเรา้
อยา่ ง ใดอยา่ งหนงึ่ แต่เพยี งอย่างเดียว ส่ิงเรา้ นัน้ ก็อาจจะทาใหเ้ กดิ การตอบสนองเช่นนนั้ ได้ ถา้ หากมี
การวางเง่อื นไขทถี่ ูกตอ้ งเหมาะสม ทฤษฎคี วามสมั พันธต์ อ่ เน่ือง (Connectionism Theory) เจา้ ของ
ทฤษฎีน้ี คือ ธอรน์ ไดค์ (Thorndike) ซึ่ง กล่าวไว้วา่ ส่ิงเร้าหนง่ึ ๆ ยอ่ มทาใหเ้ กดิ การตอบสนองหลาย
ๆ อย่าง จนพบสง่ิ ที่ตอบสนองท่ดี ที สี่ ดุ เขาไดค้ ้นพบกฎการเรียนรทู้ ส่ี าคญั คือ
1. กฎแห่งการผล (Law of Effect)
2. กฎแห่งการฝึกหดั (Law of Exercise)
3. กฎแหง่ ความพร้อม (Law of Readiness)
108
แนวคดิ ของธอร์นไดค์ นกั การศึกษาและจิตวิทยาชาวเยอรมนั ผใู้ หก้ าเนนิ ทฤษฎีแห่งการ
เรียนรู้ ได้เสนอหลักการ ภารกจิ ของการสอนของครูไว้ 2 ประการ และเสนอหลักการเบ้ืองต้นเกีย่ วกบั
เทคโนโลยีทางการศึกษาไว้ 5 ประการ ภารกจิ ของการสอนของครูไว้ 2 ประการ คือ
1. ควรจดั เรอ่ื งหรือสง่ิ ทีจ่ ะสอนตา่ ง ๆ ทคี่ วรจะไปดว้ ยกัน ให้ไดด้ าเนินไปด้วยกัน
2. ควรใหร้ างวัลการสัมพนั ธ์เชอื่ มโยงท่ีเหมาะสม และไม่ควรใหค้ วามสะดวกใด ๆ
ถ้าไม่สามารถสรา้ งความสมั พันธ์เช่อื มโยงท่เี หมาะสมขึ้นมาได้
หลักการเบื้องต้นเกี่ยวกบั เทคโนโลยีทางการศกึ ษาและการสอนของเขา ไว้ 5 ประการ คือ
1. การกระทากิจกรรมตา่ ง ๆ ด้วยตนเอง (Self – Activity)
2. การทาใหเ้ กิดความสนใจด้วยการจูงใจ (Interest Motivation)
3. การเตรยี มสภาพท่เี หมาะสมทางจติ ภาพ (Preparation and Mentalset)
4. คานึงถึงเร่ืองเอกัตบุคคล (Individualization)
5. คานึงถงึ เร่ืองการถ่ายทอดทางสังคม (Socialization)
ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไข/ทฤษฎีการเสริมแรง (S-R Theory หรือ Operant
Conditioning)เจา้ ของทฤษฎนี ีค้ ือ สกนิ เนอร์ (Skinner) กล่าว วา่ ปฏิกริ ิยาตอบสนองหนึ่งอาจไม่ใช่
เนื่องมาจากสิ่งเร้าส่งิ เดยี ว สิ่งเร้านน้ั ๆ ก็คงจะทาให้เกดิ การตอบสนองเช่นเดยี วกันได้ ถ้าได้มกี ารวาง
เงอื่ นไขที่ถกู ต้อง แนวคดิ ของสกินเนอร์ นามาใช้ในการสอนแบบสาเรจ็ รปู หรอื การสอนแบบโปรแกรม
(Program Inattention) สกนิ เนอรเ์ ปน็ ผู้คิดบทเรียนโปรแกรมเปน็ คนแรก การนาทฤษฎกี ารเรียนรู้
ของกลุ่มพฤติกรรมมาใช้กับเทคโนโลยีการศกึ ษาน้จี ะ ใช้ในการออกแบบการเรยี นการสอนให้เขา้ กบั
ลักษณะดงั ต่อไปนี้คอื
1. การเรยี นรเู้ ปน็ ขน้ั เป็นตอน (Step by Step)
2. การมสี ่วนรว่ มในการเรยี นรู้ของผเู้ รียน (Interaction)
3. การไดท้ ราบผลในการเรียนร้ทู นั ที (Feedback)
4. การไดร้ ับการเสริมแรง (Reinforcement)
109
แนวคิด และกระบวนการออกแบบนวัตกรรมการศกึ ษา
ADDIE คือ กระบวนการออกแบบระบบการเรียนการสอน โดยมีข้ันตอนการออกแบบตามรูปแบบ
ADDIE (ADDIE Model) โดยอาศัยหลักของวิธีการระบบ (System Approach) ซ่ึงเป็นท่ียอมรับกัน
โดยทั่วไปว่าสามารถนาไปใช้ออกแบบและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น
CAI/CBT, WBI/WBT หรือ e-Learning เป็นกระบวนการพัฒนารูปแบบการสอนที่นักออกแบบการ
เรยี นการสอนและนกั พัฒนาการฝึกอบรมนิยมใชก้ ันเพ่อื การวิเคราะห์, การออกแบบ, การพัฒนา, การ
ดาเนนิ การใหเ้ ปน็ ผล และการประเมนิ ผลของสารปจั จัย และกิจกรรมการเรียน
การออกแบบการสอนมุ่งหมายเพื่อวิธีการสอนที่ยึดถือผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมากกว่าวิธีการที่ยึดถือ
ผู้สอนเป็นศูนย์กลาง จนกระทั่งการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิผลเกิดขึ้นเป็นกระบวนการออกแบบการ
สอนที่กระทาวนซา้ ใหมใ่ นทผี่ ลของการประเมนิ ผลเพอ่ื พฒั นาของแต่ละขน้ั ตอนท่ีช้ีแนะให้นักออกแบบ
การสอนพิจารณากลับไปท่ีข้ันตอนก่อนหน้าผลิตผลขั้นสุดท้ายของขั้นตอนหน่ึงๆเป็นผลิตผลเร่ิมต้น
ของข้ันตอนต่อไปซงึ่ ADDIE Model
Richey,1986: 96 และ Seels and Glasgow, 1997: 9 ได้มีลาดับการพัฒนาเป็น 5 ขั้น ซึ่ง
ประกอบด้วย
1.การวเิ คราะห์ (A : Analysis) dynamic, flexible guideline for building
2. การออกแบบ (D : Design) effective training and performance support
3. การพัฒนา (D : Development) tools.
110
4. การทดลองใช้ (I : Implementation)
5. การประเมนิ ผล (E : Evaluation)
3.9.7 การออกแบบ รายละเอียดนวตั กรรม
ในการออกแบบนวัตกรรมการเรยี นร้ปู ระเภทส่อื การสอนผู้ออกแบบต้องคานึงถงึ ดังน้ี คือ
1.วัตถุประสงค์การเรียนรู้
2. ลักษณะผเู้ รียน ความเหมาะสมกบั วยั ความสนใจ ระดับชัน้ ความรู้ ทักษะ
3. พน้ื ฐาน และประสบการณ์ของผเู้ รียน
4. รปู แบบการเรยี นการสอน และการเรียนรู้
5. ธรรมชาตเิ นื้อหาสาระการเรยี นรู้ และวิธีการนาเสนอที่เหมาะสมสภาพการเรยี น
6. ทรัพยากรต่าง ๆ เช่น วสั ดอุ ุปกรณ์ ครภุ ัณฑ์ งบประมาณ ราคานวัตกรรมท่ี
เหมาะสม
3.9.8 โครงสร้างของการออกแบบนวัตกรรม ดังนี้คอื
1. ชอ่ื นวัตกรรม ผ้พู ัฒนาควรตั้งชือ่ นวัตกรรมใหส้ อดคล้องกบั วัตถุประสงค์ และ
เข้าใจง่าย
2. วตั ถุประสงค์ของนวตั กรรม การกาหนดวตั ถุประสงค์ของนวัตกรรมให้ชัดเจน
สง่ ผลให้ การพฒั นานวตั กรรมนั้น รวดเรว็ และมีประสิทธภิ าพมากยิ่งขน้ึ
3. ทฤษฎี หลกั การ ในการออกแบบนวตั กรรม ผู้พัฒนาต้องพิจารณาทฤษฎกี าร
เรียนรู้เพื่อใหส้ อดคล้องกับวตั ถุประสงค์ ซ่ึงทฤษฎีการเรยี นรู้ถือเปน็ สิง่ สาคัญท่จี ะใช้ในการพฒั นา
นวัตกรรมทางการศึกษา
4. ส่วนประกอบของนวัตกรรม ในการออกแบบนวัตกรรมผพู้ ฒั นาตอ้ งพิจารณา
ส่วนประกอบของนวตั กรรม ว่ามีอะไรบ้าง
5. การนานวัตกรรมไปใชแ้ ละประเมนิ ผล เปน็ สว่ นท่ีแสดงความสาเรจ็ ของนวัตกรรม
ประกอบด้วย วธิ วี ัดผล เคร่อื งมือท่ีใชว้ ัดผล และวธิ ีการประเมนิ ผลประเภทของนวัตกรรมการเรยี น
การสอน เมื่อการเรยี นการสอนมลี กั ษณะเปน็ ระบบ ประกอบดว้ ยตัวปอ้ น (Input) กระบวนการ
(Process) และผลผลติ (Output) การนานวตั กรรมมาใชจ้ ัดการเรยี นการสอนจึงมีจดุ หมายท่ีจะ
ปรับปรงุ หรือเพ่ิมประสิทธิภาพให้กับระบบการเรียนการสอน
3.9.9 หลักการออกแบบส่ือเพอ่ื การเรียนรู้ ประกอบด้วย 9 ข้นั ตอน ดงั น้ี
ขัน้ ตอนที่ 1 เรา้ ความสนใจ (Gain Attention)
ข้ันตอนท่ี 2 บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objectives)
111
ขัน้ ตอนท่ี 3 ทวนความรเู้ ดิม (Activate Prior Knowledge)
ขั้นตอนที่ 4 การเสนอเน้ือหา (Present New Information)
ขัน้ ตอนที่ 5 ช้ีแนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning)
ข้ันตอนที่6 กระต้นุ การตอบสนอง (Elicit Responses)
ขั้นตอนที่ 7 ให้ข้อมลู ย้อนกลับ (Provide Feedback)
ขน้ั ตอนที่ 8 ทดสอบความรู้ (Access Performance)
ขั้นตอนท่ี 9 การจาและนาไปใช้ (Promote Retention and Transfer)
ดังน้นั ในการออกแบบนวตั กรรมการเรยี นรผู้ ู้ออกแบบตอ้ งคานึงถึงหลักการข้างต้น เพื่อให้
นวัตกรรมนนั้ สามารถนามาใช้ได้ตรงตามวตั ถุประสงค์หลัก คอื เพ่ือช่วยแก้ไขปัญหาทเี่ กดิ ขึ้นในการ
เรียนการสอน และเพิม่ ความสามารถในการเรยี นรูข้ องผู้เรียน ให้มีประสอทธภิ าพมากย่ิงข้ึน.
3.9.10 การออกแบบ การศึกษาคุณภาพ และประสทิ ธภิ าพนวตั กรรม
ขน้ั การศึกษาคุณภาพของนวตั กรรมการเรยี นการสอนดาเนินการดังน้ี
1. กลนั่ กรองเบ้ืองต้นโดยให้ผู้เรียนและครผู ู้สอนกล่มุ สาระน้นั อ่านเพื่อตรวจสอบ
ขอ้ บกพร่อง และปรับปรงุ แก้ไขให้เหมาะสม
2. นานวัตกรรมการเรยี นการสอนทีป่ รับปรงุ แก้ไขเรยี บรอ้ ยแล้วใหผ้ ู้เชี่ยวชาญ
จานวน 3-5 คน ประเมินเพอื่ ตรวจสอบคณุ ภาพ และใหข้ ้อเสนอแนะเพ่ือปรับปรงุ นวตั กรรม
3. วเิ คราะหผ์ ลการประเมนิ ของผู้เช่ียวชาญเพอ่ื ดูว่ามีคณุ ภาพอยู่ในระดับใด และ
ปรบั ปรงุ ข้อบกพร่องตามข้อเสนอแนะ
4. จัดทาเป็นนวตั กรรมการเรียนการสอนที่พรอ้ มสาหรับนาไปทดลองใช้
3.9.11 การออกแบบ การวัด ประเมนิ ผลการใช้นวัตกรรม
ประเมนิ ผล ซ่ึงควรมีหลกั การพิจารณา 4 ประการ ดังนี้
1. มีประสทิ ธภิ าพ (Efficiency) หลงั ใชน้ วตั กรรมการเรียนรแู้ ลว้ ผู้เรยี นมี
พฤติกรรมการเรยี นรูต้ รงตามเป้าหมายทีห่ ลกั สตู รกาหนดไว้อย่างชัดเจน
2. มีประสทิ ธิผล (Productivity) การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ด้วยนวตั กรรมที่
พฒั นาข้ึนช่วยให้ผู้เรยี นบรรลเุ ปา้ หมายและวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ โดยผเู้ รียนจานวนมากหรอื ทุกคน
เกดิ พฤติกรรมการเรียนรูผ้ า่ นเกณฑ์ทกี่ าหนดไว้
3. มคี วามประหยัด (Economy) นวัตกรรมการเรยี นรู้ที่พัฒนาข้ึนเมื่อนามาใชส้ อน
แล้วมีความค้มุ คา่ กับการลงทุน ทั้งด้านทนุ ทรัพย์ แรงงานและระยะเวลาทส่ี ูญเสียไป ตลอดจนมีความ
คงทนถาวรไม่ชารดุ เสียหายงา่ ย ๆ
112
4.มีคณุ ลักษณะท่ีดี (Goodness) นวตั กรรมการเรียนรทู้ พ่ี ัฒนาขึ้นตอ้ งตรงกบั
วตั ถปุ ระสงค์การเรยี นรู้เหมาะสมกบั วยั ของผเู้ รยี น เหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนรู้ เหมาะสมกบั
เนื้อหาวชิ าใชง้ ่ายสะดวกปลอดภัย ไม่สิน้ เปลืองประหยดั คมุ้ ค่า สามารถแกป้ ญั หาขอ้ บกพรอ่ งของ
เน้ือหาวชิ าและสถานการณ์การเรียนรู้ไดเ้ ปน็ อย่างดี
3.10 การเรยี นรู้ แหล่งเรยี นรู้ เครอื ข่ายการเรียนรู้
3.10.1 ความหมายแหล่งเรียนรู้
แหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ ที่สนับสนุน
สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นใฝ่เรียน ใฝร่ ู้ แสวงหาความรู้และเรยี นรูด้ ้วยตนเองตามอัธยาศัย อย่างกว้างขวางและ
ตอ่ เน่ือง เพือ่ เสรมิ สร้างให้ผู้เรยี นเกิดกระบวนการเรียนรู้ และเป็นบคุ คลแห่งการเรียนรู้
แหล่งเรียนรู้ทีส่ าคญั ได้แก่
1. แหลง่ การศึกษาตามอธั ยาศัย
2. แหลง่ การเรยี นรู้ตลอดชวี ิต
3. แหลง่ ปลกู ฝังนสิ ยั รักการอา่ น การศึกษาค้นควา้ แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง
4. แหล่งสรา้ งเสรมิ ประสบการณภ์ าคปฏบิ ัติ
5. แหลง่ สร้างเสริมความรู้ ความคดิ วิทยาการและประสบการณ์
3.10.2 ความหมายเครือขา่ ยการเรยี นรู้
เครือข่ายการเรียนรู้ (Learning Network) หมายถึง การแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด
ขอ้ มูลข่าวสาร ประสบการณ์ และการเรียนรู้ระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล องค์การ และแหล่งความรู้ที่มี
ส่วนรว่ มในกระบวนการเรยี นร้อู ย่างตอ่ เนอ่ื ง จนเป็นระบบทเี่ ชือ่ มโยงกัน สง่ ผลให้เกิดการเผยแพร่และ
การประยกุ ตค์ วามรใู้ หม่ๆ เพอื่ วตั ถุประสงค์ทางวิชาชีพหรือทางสงั คม
113
3.10.3 ประเภทแหล่งเรียนรู้และเครอื ขา่ ยการเรยี นรู้
3.10.3.1 จดั ตามลกั ษณะของแหล่งการเรยี นรู้
1. แหล่งการเรียนรู้ตามธรรมชาติ เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะหาความรู้ได้
จากสิ่งท่ีมีอยแู่ ล้วตามธรรมชาติ เช่น แม่นา้ ภเู ขา ปา่ ไม้ ลาธาร กรวด หนิ ทราย ชายทะเล เป็นตน้
2. แหล่งการเรียนรู้ท่ีมนุษย์สร้างข้ึน เพื่อสืบทอดศิลปวัฒนธรรม ตลอดจน
เทคโนโลยีทางการศึกษาที่อานวยความสะดวกแก่มนุษย์เช่น โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด
ประชาชน สถาบันการศึกษา สวนสาธารณะ ตลาด บ้านเรอื น ทีอ่ ยอู่ าศยั สถานประกอบการ เปน็ ตน้
3. บุคคล เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ถ่ายทอดความรู้ความสามารถ คุณธรรม
จริยธรรม การสืบสานวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถ่ิน ท้ังด้านประกอบอาชีพ ตลอดจนนักคิด นัก
ประดิษฐ์ และผมู้ คี วามคดิ รเิ รม่ิ สร้างสรรค์
3.10.3.2 จดั ตามแหลง่ ท่ีตงั้ ของแหล่งการเรียนรู้
1. แหล่งการเรียนรู้ในโรงเรยี น เดมิ มีแหลง่ การเรียนรู้หลกั คอื ครู อาจารย์ ต่อมา
มีการพัฒนาเป็นห้องปฏิบัติการต่างๆ เช่น ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ห้องปฏิบัติการทางภาษา
ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ห้องโสตทัศนศึกษา ห้องจริยธรรม ห้องศิลปะ ตลอดจนอาคารสถานท่ี
และส่ิงแวดล้อมในโรงเรียน เช่น ห้องอาหาร สนาม ห้องน้า สวนดอกไม้ สวนสมุนไพร แหล่งน้าใน
โรงเรยี น เป็นต้น
2. แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นครอบคลุมท้ังด้านสถานที่และบุคคล ซึ่งอาจอยู่ใน
ท้องถิ่นใกล้เคียงโรงเรียน ท้องถิ่นท่ีโรงเรียนพาผู้เรียนไปเรียนรู้ เช่น แม่น้า ภูเขา ชายทะเล
สวนสาธารณะ สวนสัตว์ ทุ่งนา สวนผัก สวนผลไม้ วัด ตลาด ร้านอาหาร ห้องสมุดประชาชน สถานี
114
ตารวจ สถานีอนามัย ดนตรีพ้ืนบ้าน การละเล่นพื้นเมือง แหล่งทอผ้า เทคโนโลยีชาวบ้าน เทคโนโลยี
ในชวี ิตประจาวนั แหลง่ ขอ้ มูลขา่ วสารต่างๆ
3.10.4 ความสาคญั ของแหล่งเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้
การเรียนรู้ตลอดชีวิตควรเริ่มจากการมีส่วนร่วมของบุคคล องค์กรและชุมชนในการ
ตระหนักถึงปัญหาและการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เอ้ือต่อการสร้างเสริมประสบการณ์ การ
ถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน จนทาให้เกิดการเรียนรู้ สานักงานคณะกรรมการการศึกษา
แหง่ ชาติ ได้สรุปหลักการสาคญั ของเครอื ข่ายการเรยี นรู้ไว้ ดงั นี้
1. การกระตุน้ ความคดิ ความใฝ่แสวงหาความรู้ จติ สานึกในการพัฒนาชุมชนท้องถ่ิน
และการมีสว่ นร่วมในการพฒั นา
2. การถา่ ยทอด แลกเปลย่ี น การกระจายความรทู้ ง้ั ในสว่ นของวทิ ยากรสากลและภูมิ
ปญั ญาท้องถิ่น เพอ่ื สนับสนุนการสร้างองคค์ วามร้ใู หม่ๆ
3. การแลกเปลี่ยนขา่ วสารกับหนว่ ยงานตา่ งๆ ของทั้งในภาครัฐและเอกชน
4. การระดมและประสานการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพ่ือการพัฒนาและลดความ
ซา้ ซอ้ น สูญเปล่าให้มากทสี่ ดุ
3.10.5 การจัดการเรียนร้บู นเครือข่ายอนิ เทอร์เนต็
การเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็ หรือการเรียนการสอนผ่านเว็บ
เป็นรูปแบบการเรียนการสอนอย่างหนึ่งท่ีการเรียนจะกระทาผ่านสื่อบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดย
ผู้สอนจะนาเสนอข้อมูลความรู้ให้ผู้เรียนได้ทาการศึกษาผ่าน เว็บ (Web) หรือเวิลด์ไวด์เว็บ (World
Wide Web : WWW) เป็นบริการสาหรับให้ข่าวสารแก่ผู้ใช้ในระบบอินเทอร์เน็ต เวิลด์ไวด์เว็บเป็น
ระบบที่พัฒนาข้ึนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อช่วยให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์รับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องแม่
ข่ายและเคร่ืองผู้ใช้ง่ายข้ึนและช่วยให้การแสดงผลท่ีเกิดบนเครื่อง คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้เป็นแบบ
มัลติมีเดีย (ครรชิต มาลัยวงค์, 2544 พรพิไล เลิศวิชา, 2544 : 31) เว็บ (Web) จะบรรจุ
สารสนเทศหรอื ข้อมูลต่างๆท่ีจะสบื ค้น ซงึ่ ประกอบด้วย เวบ็ ไซต์
โฮมเพจเวบ็ เพจ ปรัชญนันท์ นลิ สขุ (2547 : 11) ไดใ้ หค้ วามหมายไว้ดงั นี้ คือ
เว็บไซต์ (Web site) หมายถึง เว็บที่ประกอบด้วยเว็บเพจหลายๆเว็บเพจมารวมกัน อยู่ภายใน
พ้ืนท่ีเดียวกันและเช่ือมโยงระหว่างกันภายใต้โดเมนเนมเดียวกัน โดยมีโฮมเพจเป็นหน้าแรกของ
เวบ็ ไซต์ทาหน้าทเี่ ชอื่ มโยงไปยังเวบ็ เพจต่างๆ
โฮมเพจ (Home page) หมายถึง เว็บเพจท่ีเป็นหน้าแรกของเว็บไซต์ ท่ีเข้าถึงได้ทันทีเม่ือเข้าสู่
ระบบอนิ เทอรเ์ น็ตโดยการพมิ พโ์ ดเมนเนมหรอื ยูอารแ์ อลซง่ึ เปน็ ท่ีติดตัง้ ของเว็บไซต์
115
เว็บเพจ (Web page) หมายถึง เอกสารท่ีสร้างขึ้นโดยรูปแบบของ HTML หรือโปรแกรมการสร้าง
เว็บโดยเฉพาะ จะแสดงผลได้เฉพาะโปรแกรมบราวเซอร์ และต้องติดตั้งในเว็บเซิร์ฟเวอร์เพ่ือเข้าไป
อา่ นขอ้ มูลได้โดยผ่านอนิ เทอรเ์ น็ต
การเรียนการสอนผ่านเว็บเป็นการนาอินเทอร์เน็ตเป็นเคร่ืองมือมาออกแบบเพื่อใช้ใน
การศกึ ษาโดยใชเ้ ว็บเปน็ พื้นฐานที่สาคัญ ทาให้เกิดรูปแบบการเรียนการสอนท่ีใช้เว็บเป็นเครื่องมือใน
การเรียนรู้ และมีคาเรียกแตกต่างกันไป เช่น การเรียนอย่างมีปฏิสัมพันธ์ด้วยเว็บ (Web-based
Interactive Learning Environment) การศกึ ษาผา่ นเวบ็
(Web-based Education) การนาเสนอมัลติมีเดียผ่านเว็บ (Web-based Multmedia
Presentations) และการศึกษาที่ช่วยให้มีปฏิสัมพันธ์ (Interactive Education Aid) เป็นต้น
(บปุ ผชาติ ทัฬหิกรณ์, 2544 : 4)
3.10.6 ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็
กิดานันท์ มลิทอง (2543) ให้ความหมายว่า การเรียนการสอนผ่านเว็บเป็นการใช้เว็บใน
การเรียนการสอน โดยอาจใช้เว็บเพื่อนาเสนอบทเรียนในลักษณะส่ือหลายมิติของวิชาทั้งหมด ตาม
หลักสูตร หรือใช้เพียงการเสนอข้อมูลบางอย่างเพ่ือประกอบการสอนก็ได้ รวมทั้งใช้ประโยชน์จาก
คณุ ลักษณะต่างๆ ของการส่ือสารที่มีอยู่ในระบบอินเทอร์เน็ต เช่น การเขียนโต้ตอบกัน ทางไปรษณีย์
อิเล็กทรอนิกส์และการพูดคุยสดด้วยข้อความและเสียง มาใช้ประกอบด้วยเพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพ
สงู สุด
ใจทิพย์ ณ สงขลา (2542) ได้ให้ความหมายการเรียนการสอนผ่านเว็บว่าหมายถึง การ
ผนวก คุณสมบัติ ไฮเปอร์มีเดียเข้ากับคุณสมบัติของเครือข่ายเวิลด์ไวด์เว็บ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมแห่ง
116
การเรียนในมิติท่ีไม่มีขอบเขต จากัดด้วยระยะทางและเวลาที่แตกต่างกันของผู้เรียน (Learning
Without Boundary)
วิชุดา รัตนเพียร (2542) กล่าวว่าการเรียนการสอนผ่านเว็บเป็นการนาเสนอโปรแกรม
บทเรียนบนเวบ็ เพจ โดยนาเสนอผา่ นบรกิ ารเวิลด์ไวด์เว็บในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซ่ึงผู้ออกแบบและ
สร้างโปรแกรมการสอนผ่านเว็บจะต้องคานึงถึงความสามารถและบริการที่หลากหลายของ
อินเทอรเ์ น็ต และนาคุณสมบตั ติ า่ งๆ เหล่านนั้ มาใชเ้ พอื่ ประโยชนใ์ นการเรยี นการสอนใหม้ ากที่สุด
ข่าน (Khan. 1997) กล่าวว่า การเรียนการสอนผ่านเว็บหมายถึง โปรแกรมไฮเปอร์มีเดียที่
ช่วยในการสอน โดยการใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรของอินเทอร์เน็ต (WWW) มา
สร้างให้เกิดการเรยี นรู้อย่างมคี วามหมาย โดยสง่ เสริมและสนับสนนุ การเรียนรใู้ นทกุ ทาง
พาร์สัน (Parson. 1997) กล่าวว่า เป็นการสอนท่ีนาเอาสิ่งที่ต้องการส่งให้บางส่วนหรือ
ท้งั หมด โดยอาศัยเวบ็ โดยเว็บช่วยสอนสามารถกระทาไดห้ ลากหลายรปู แบบและหลากหลายขอบเขต
ทเ่ี ชือ่ มโยงถงึ กนั ท้งั การเชือ่ มตอ่ บทเรียน วัสดชุ ว่ ยการเรยี นรู้ และการศึกษาทางไกล
สรุปได้ว่าการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตคือ การศึกษาบทเรียนโดยอาศัย
เครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต มกี ารนาเสนอผ่านบริการ เวิลด์ไวด์เว็บ ผู้เรียนสามารถศึกษาได้ด้วยตัวเอง มี
ปฏสิ ัมพนั ธ์กับบทเรียน โดยไม่มขี อ้ จากัดด้านสถานท่ีและเวลา การเรียนการสอนผ่านเว็บสามารถทา
การสื่อสารภายใต้ระบบ Multi-User ได้อย่างไร้พรมแดน ผู้เรียนสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้เรียน
อาจารย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ฐานข้อมูล และสามารถรับส่งข้อมูลการศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ (Electroic
Education Data) อย่างไมจ่ ากัดเวลา ไม่จากัดสถานที่ภายใต้ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ภาสกร
เรอื งรอง (2544) กล่าวว่าการท่จี ะเป็นการเรยี นการสอนผ่านเว็บน้นั จะตอ้ งประกอบดว้ ย
117
1. ความเป็นระบบ ความเปน็ ระบบสามารถแบง่ เปน็
1.1 Input ไดแ้ ก่
1.1.1 ผู้เรียน
1.1.2 ผ้สู อน
1.1.3 วตั ถปุ ระสงค์การเรียน
1.1.4 สือ่ การสอน
1.1.5 ฐานความรู้
1.1.6 การส่ือสารและกิจกรรม
1.1.7 การประเมนิ ผล
1.1.8 ส่วนอ่ืนๆซง่ึ สถาบันการศกึ ษาเป็นผู้กาหนด
1.2 Process ได้แก่ การสร้างสถานการณ์หรือการจัดสภาวะการเรียนการสอน
โดยใชว้ ัตถดุ ิบจาก Input ตามแผนการสอนทว่ี างไว้
1.3 Out put ไดแ้ ก่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น ซึง่ ได้แก่การประเมินผล
2. ความเป็นเงื่อนไข เป็นการกาหนดเงื่อนไขในการเรียน เช่น กาหนดเงื่อนไขว่า
เม่อื เสรจ็ สิ้นจากการเรียนแล้วจะตอ้ งทาแบบประเมินการเรียน หากทาแบบประเมินผ่านตามคะแนน
ท่ีกาหนดไว้ก็สามารถไปศึกษาบทเรียนต่อไป แต่ถ้าไม่ผ่านตามเงื่อนไขจะต้องเรียนซ้าจนกว่าจะผ่าน
เปน็ ตน้
3. การส่อื สารและกิจกรรม การส่ือสารและกจิ กรรมเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการ
ปฏิสัมพนั ธ์ เป็นสง่ิ ทช่ี ว่ ยใหเ้ กดิ การเรยี นรู้เขา้ สู่เป้าหมายได้ง่ายข้ึน เช่น การใช้ E-mail, Chat,
Webboard เป็นตน้ เพือ่ ตดิ ตอ่ ผู้สอนหรือเพื่อนรว่ มชนั้ เม่อื เกิดข้อสงสัย
4. Learning Root การกาหนดแหล่งความรู้ภายนอกที่เก่ียวข้องกับบทเรียน โดยมี
เง่ือนไข เช่น แหล่งความรู้ภายนอกท่ีมีความยากเป็นลาดับ หรือเก่ียวข้องกับหัวข้อการเรียนเป็น
ลาดบั การกาหนด Learning Root ใช้เทคนคิ Frame ชว่ ยช้นี าทางให้แกผ่ ู้เรียน
การสือ่ สารในการเรียนการสอนผา่ นเวบ็ สามารถทาได้ ดังน้ี
1. การใช้ E-mail ติดตอ่ ระหวา่ งอาจารยห์ รือเพื่อนร่วมชั้นด้วยกัน ใช้ส่งการบ้านหรือ
งานทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย
2. Webboard ใช้ติดต่อระหว่างผเู้ รียน อาจารย์ และผู้เรียน ใช้กาหนดประเด็นหรือ
กระทูต้ ามทีอ่ าจารยก์ าหนด หรือตามแต่ผู้เรียนจะกาหนด เพ่ือช่วยอภิปรายตอบประเด็นหรือกระทู้
น้ัน
118
3. Chat ใช้ติดต่อระหว่างผู้เรียน โดยการสนทนาแบบ Real Time มีทั้ง Text
Chat และ Voice Chat ใช้สนทนาระหว่างผู้เรียนและอาจารย์ในห้องเรียนหรือชั่วโมงเรียนนั้นๆ
เสมือนวา่ กาลงั คุยกนั อยใู่ นห้องเรียนจริงๆ
4. ICQ ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียน อาจารย์ และผู้เรียน โดยการสนทนาแบบ
Real Time เสมือนว่ากาลังคุยกันในห้องเรียนจริงๆโดยท่ีผู้เรียนไม่จาเป็นต้องอยู่ในเวลานั้นๆ ICQ
จะเกบ็ ข้อความไว้ให้ และยงั ทราบดว้ ยวา่ ในขณะนน้ั ผ้เู รียนอยหู่ นา้ เครื่องหรอื ไม่
5. Conference ใช้ส่ือสารระหว่างผู้เรียน อาจารย์ และผู้เรียน แบบ Real Time
โดยท่ผี ้เู รยี นและอาจารย์สามารถเห็นหน้ากันได้โดยผ่านกล้องโทรทัศน์ที่ติดอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์
ทง้ั สองฝา่ ย ใช้บรรยายใหผ้ เู้ รียนท่ใี ช้งานคอมพวิ เตอรอ์ ยเู่ สมอื นวา่ กาลงั เรยี นอยู่ในห้องเรยี นจรงิ ๆ
6. Electronic Home Work ใช้ติดต่อส่ือสารระหว่างผู้เรียนและอาจารย์เป็นเสมือน
สมุดประจาตัวนักเรียน โดยท่ีผู้เรียนไม่ต้องถือสมุดการบ้านจริงๆ เป็นสมุดการบ้านที่ติดตัว
ตลอดเวลา ใช้สง่ งานตามอาจารยก์ าหนด เชน่ เขยี นรายงาน เมอ่ื อาจารย์ตรวจงานก็สามารถเปิดดู
งานของนกั เรยี นและเขียนบนั ทกึ เพอื่ ตรวจงานและใหค้ ะแนนได้แตน่ ักเรยี นด้วยกนั จะเปิดดูไม่ได้
การใช้เว็บเพ่อื การเรียนการสอนมหี ลกั การสาคัญ 4 ประการคอื (บปุ ชาติ ทฬั หกิ รณ์, 2544 : 4-5)
1. ผู้เรียนเข้าเว็บได้ทุกเวลา และเป็นผู้กาหนดลาดับการเข้าเว็บน้ันหรือตามลาดับที
ผู้ออกแบบได้ใหแ้ นวทางไว้
2. การเรียนการสอนผ่านเว็บจะเป็นไปได้ดีถ้าเป็นไปตามสภาพแวดล้อมตามแนวคิด
ของนกั Constructivist คือมกี ารเรียนรอู้ ยา่ งมีปฏิสัมพันธ์และเรียนรรู้ ว่ มกัน
3. ผู้สอนเปล่ียนแปลงตนเองจากการเป็นผู้กระจายถ่ายทอดข้อมูลมาเป็นผู้ช่วยเหลือ
ผเู้ รียนในการค้นหา การประเมิน และการใชป้ ระโยชน์จากสารสนเทศทค่ี น้ มาจากส่ือหลากหลาย
4. การเรียนรู้เกิดขึ้นในลักษณะเก่ียวข้องกันหลายวิชา (Interdisciplinary) และไม่
กาหนดว่าจะต้องบรรลุจดุ ประสงค์การเรียนร้ใู นเวลาท่กี าหนด
11. ระบบการสบื ค้นผ่านเครอื ข่ายเพือ่ การเรยี นรู้
การสืบค้นข้อมลู ในการเรียนรู้
เน่ืองจากข้อมูลท่ีอยู่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ในปัจจุบันมีมากมายและกระจัดกระจายอยู่
ตามที่ต่างๆ ดังนั้นผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจึงจาเป็นต้องเรียนรู้วิธีการใช้บริการอินเตอร์เน็ตและเลือกใช้ให้
เหมาะสม เพื่อการค้นหาข้อมูลในการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถใช้
อินเตอร์เนต็ ในการสบื ค้นข้อมูล ศึกษา คน้ คว้า และวิจัยได้หลายวธิ ดี ้วยกนั วิธีท่ีเป็นที่นิยมมากที่สุดใน
ปัจจบุ ัน คือ
119
การสบื ค้นทางเวลิ ด์ไวดเ์ วบ็ เน่อื งจากสามารถรองรบั ขอ้ มลู ได้หลายๆ รูปแบบ และเชื่อมโยง
ข้อมูลที่เกี่ยวเน่ืองกันให้เราได้ศึกษาอย่างสะดวกสบาย และมีซอฟต์แวร์ สาหรับอ่านข้อมูลในเว็บท่ี
สมบูรณ์แบบมากการค้นหาข้อมูล ในการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ จาเป็นต้องใช้
เครื่องมอื ช่วยค้น (Search engine) ซ่งึ ซอฟต์แวร์สาหรบั อ่านข้อมูลในเว็บ (Web Browser) ส่วนใหญ่
บริการเชอ่ื มต่อกบั เครอ่ื งมอื เหลา่ นไ้ี วใ้ ห้แล้ว ผูใ้ ชเ้ พยี งแต่กดปุ่มสาหรับเรียกเคร่ืองมือน้ีขึ้นมา พิมพ์คา
หรือข้อความท่ีต้องการสืบค้นลงไป เครื่องก็จะแสดงผลการค้น โดยการแสดงช่ือของข้อมูลท่ีเรา
ต้องการศึกษา (Web Page) ซ่ึงถ้าต้องการเข้าไปอ่าน ก็สามารถกดลงไปบนช่ือน้ันได้เลย ข้อมูล
ดังกล่าวจะปรากฏบนจอไมว่ ่าจะเป็นข้อมูลจากเคร่ืองคอมพวิ เตอรเ์ ครอื่ งใดในโลกก็ตาม
นอกจากน้ีการเข้าใช้คอมพิวเตอร์เครื่องอ่ืนๆ ท่ีต่ออยู่กับเครือข่าย และมีการอนุญาตให้เข้าไปใช้ได้
เช่น การติดต่อเข้าสู่เคร่ืองคอมพิวเตอร์ของห้องสมุดเพ่ือค้นหา ยืม ต่อเวลาการยืม หรือการจอง
หนงั สือส่ิงพมิ พ์ต่าง ๆ กเ็ ป็นที่นิยมกนั มาก ปจั จุบนั มีห้องสมดุ หลายแหง่ เปิดให้บริการบรกิ ารนี้สามารถ
เขา้ ใชไ้ ด้โดยการ ใชค้ าสง่ั Telnet และตามดว้ ยช่อื เคร่อื ง หรอื หมายเลขของเคร่ืองแล้วพิมพ์ชื่อในการ
ขอเข้าใช้ (Login) บางเคร่ืองอาจต้องใช้รหัสลับ (Password) ด้วย หลังจากน้ันต้องทาตามคาส่ังท่ี
ปรากฏบนจอ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละระบบของเคร่ือง นอกจากห้องสมุดแล้ว เราอาจจะใช้
คอมพิวเตอร์ท่ีเป็นฐานข้อมูลต่าง ๆ ได้ด้วย โดยในบางฐานข้อมูล นอกจากผู้ใช้จะเข้าไปค้นหา
บทความที่เคยตีพิมพ์ในวารสารต่าง ๆ แล้วยังสามารถใช้บริการพิเศษอ่ืน ๆ เช่น บริการส่งอีเมล์แจ้ง
ให้ทราบเกี่ยวกับบทความใหม่ ๆ ที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารการศึกษาที่สนใจเล่มล่าสุด โดยต้องมีการ
กาหนดช่ือของวารสารท่สี นใจไวล้ ่วงหนา้ หรือ มีบริการสง่ แฟกซ์ บทความนัน้ ใหแ้ ก่ผู้ใช้ทีส่ นใจ
120
3.11.1 การสืบค้น และรับสง่ ข้อมลู แฟ้มขอ้ มูล
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเหมือนใยแมงมุมท่ีแผ่ออกไปกว้างไกลและมีจุดเช่ือมต่อกันได้
มายมาย โดยผ่านเคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีเช่ือมต่ออยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเรียกว่า ซ่ึงผู้ให้บริการแต่ละรายจะ
เก็บค่าบริการไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการเช่ือมต่อว่าใช้เทคโนโลยีใด เช่น เอดีเอสแอล
(ADSL) ไอเอสดีเอ็น (ISDN) แอร์การ์ด (air card) ทรีจิ(3G) หรือโมเด็มธรรมดาและมีความเร็วสูง
มากน้อยเพียงไร เช่ือมต่อตลอดเวลาหรือเป็นคร้ังคราว จากัดเวลาใช้งานหรือไม่ เป็นผู้เรียกดู
เรยี กใชบ้ รกิ ารอยา่ งเดยี ว หรือเปน็ ผใู้ หบ้ ริการแกค่ นอ่ืน หรือให้บริการฟรี เช่น สถาบันการศึกษาให้
นักศกึ ษาในสังกัดใช้งานอนิ เทอร์เน็ตฟรี เปน็ ต้น
เทคโนโลยที ่ีใชใ้ นการเช่อื มต่ออนิ เทอร์เน็ต มีดงั น้ี
โมเด็ม(modem) คือ อุปกรณ์เช่ือมต่ออินเทอร์เน็ตซึ่งมีสายสัญญาณนาส่งข้อมูลได้แต่ไม่
รวดเร็วเทา่ กับเทคโนโลยอี ืน่ ๆ
เอดีเอสแอล(ADSL) คือ เทคโนโลยีของโมเด็มซคึ่งมีสายสัญญาณนาส่งข้อมูลความเร็วสูง
กว่าโมเดม็ ธรรมดา และสามารถพูดโทรศัพท์ขณะใช้อนิ เทอร์เน็ตได้
ไอเอสดเี อ็น(ISDN) คอื บริการส่ือสารโทรคมนาคมระบบดจิ ิทลั ทสี่ ามารถรับส่งข้อมูลทั้งใน
ระบบภาพ เสียง และขอ้ มลู ได้เร็วกวา่ โมเดม็ ธรรมดา
แอร์การ์ด(aircard) คือ อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สายเข้ากับคอมพิวเตอร์สมุดพก
หรอื โนต๊ บกุ๊ และคอมพิวเตอรต์ ัง้ โตะ๊
ทรจี ี(3G) คอื เทคโนโลยกี ารสอ่ื สารท่ีผสมผสานการนาเสนอ
ข้อมูล โทรศพั ทเ์ คล่ือนท่ี วิทยเุ ทป กล้องถา่ ยรปู และอินเทอร์เน็ตไวด้ ้วยกนั ตลอดจนใหบ้ รกิ าร
อนิ เทอรเ์ นต็ ไร้สายความเรว็ สูงสาหรบั คอมพิวเตอร์สมดุ พกหรอื โนต๊ บุ๊ก
การเชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตของเทคโนโลยีเอดีแอสแอล ไอเอสดีเอ็น และโมเด็ม มี
ขั้นตอนที่เหมอื นกัน ดังน้ี
1. ผู้ใชข้ อเขา้ ใชง้ านอนิ เทอรเ์ นต็ จากผ้ใู ห้บรกิ ารโดยการพิมพ์ชื่อเข้าใช้ (login) และ
รหสั ผา่ น (password)
2. โมเด็มจะทาหน้าท่ีหมุนหมายเลขโทรศัพท์ไปยังผู้ให้บริการพร้อมกับลงชื่อเข้าใช้
และรหัสผ่านไปด้วย
3. ขอ้ มูลชือ่ เข้าใช้ และรหสั ผา่ นเดินทางผา่ นทางสายโทรศัพท์
4. ผูใ้ หบ้ รกิ ารได้รับการร้องขอเข้าใช้บริการอินเทอร์เน็ต จะทาการตรวจสอบช่ือเข้า
ใช้ และรหสั ผา่ น ถา้ ถูกต้องจะส่งข้อมลู กลบั ไปวา่ เข้าใช้สาเร็จ
5. ผ้ใู ชจ้ ะสามารถใชบ้ รกิ ารอินเทอร์เน็ตไดท้ นั ที
121
สาหรับการเช่ือมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตด้วยแอร์การ์ดทาได้โดยเสียบแอร์การ์ดเข้ากับ
คอมพิวเตอร์สมุดพกหรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะท่ีเปิดเครื่องไว้แล้ว จากน้ันคลิกปุ่มคาสั่ง Connect ก็
สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ ส่วนการเช่ือมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์เคล่ือนที่ในระบบทรี
จี ซ่ึงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอด 24 ช่ัวโมง เม่ือเปิดโทรศัพท์เคล่ือนที่ก็สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ต
ได้ทันที สาหรับโทรศัพท์เคลื่อนท่ีท่ีใช้อินเทอร์เน็ตเป็นคร้ังคราว ต้องเข้าไปที่รายการการ
เช่ือมต่อ แล้วเลือกจีพีอาร์เอส (GPRS) ติดต่อกับเครื่องแม่ข่าย เพ่ือขอใช้งานจึงจะสามารถใช้งาน
อนิ เทอร์เน็ตได้
3.12 การใช้งานอินเทอร์เน็ต
การใชง้ านบนเครือข่ายอนิ เทอรเ์ น็ตมหี ลายรปู แบบ ซ่ึงผู้ใชค้ วรศึกษาวิธกี ารใช้ให้เข้าใจและ
ฝกึ ใช้เป็นประจาจงึ จะใช้ไดถ้ กู ต้องและเกิดประโยชนม์ ากที่สดุ ดงั ตัวอยา่ ง
อีเมล์(e-mail) หรือ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นการส่งข้อความอย่างเดียวหรือแนบ
ไฟล์ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียงไปกับข้อความ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและติดต่อส่ือสารกัน
ระหว่างผู้ส่งและผู้รับผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซ่ึงมีลักษณะคล้ายกับการส่งจดหมายหรือพัสดุทาง
ไปรษณีย์ แต่ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มากกว่า โดยมีซอฟต์แวร์เป็นบุรุษไปรษณีย์ ระบบ
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นเส้นทางการส่งจดหมาย และการจ่าหน้าซองจดหมายหรือพัสดุเป็นการ
อา้ งองิ ที่อยู่ของไปรษณยี ์อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ แทนการเขยี นลงบนซองจดหมายหรอื กล่องพัสดุ
การสง่ อีเมลถ์ งึ ผู้รับมขี ั้นตอน ดงั น้ี
1. ลงทะเบียนเพื่อขอใช้บริการอีเมลของเว็บไซต์ที่ให้บริการก่อน ในกรณีที่ยังไม่สมัคร
เปน็ สมาชกิ ของเว็บไซต์ท่ีให้บรกิ ารอินเทอร์เนต็ ฟรี
2. เข้าสู่ระบบของผู้ให้บริการ (login) โดยพิมพ์ชื่อเข้าใช้ (username) และรหัสผ่าน
(password)
3. คลิกปมุ่ คาส่ัง NEW หรอื สรา้ ง
4. พิมพท์ ่ีอย่ขู องผู้รบั
5. พมิ พห์ วั เรอ่ื งท่เี กยี่ วขอ้ งกับขอ้ ความทจี่ ะส่งไปใหผ้ ู้รบั
6. พิมพข์ อ้ ความทีต่ ้องการส่ง
7. คลกิ ปมุ่ คาสั่ง Send หรือ ส่ง
122
บล็อก (blog) ย่อมาจากคาว่า เว็บล็อก(weblog) ซ่ึงเป็นรูปแบบเว็บไซต์ประเภทหน่ึงท่ี
ถกู เขยี นขนึ้ ในลาดบั ทีเ่ รียงตามเวลาในการเขยี นและจะแสดงข้อมลู ที่เขียนลา่ สดุ ไวบ้ นสุด
บล็อกโดยปกติจะประกอบด้วยข้อความ ภาพ การเชื่อมโยงภายในบล็อกและเว็บไซต์
อื่น และบางครั้งอาจมีส่ือต่าง ๆ เช่น เพลง วิดีโอ ร่วมด้วย บล็อกจะเปิดให้ผู้เข้ามาอ่านข้อมูล
สามารถแสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความท่ีเจ้าของบล็อกเขียนข้ึน และเจ้าของบล็อกสามารถ
โตต้ อบกลบั ได้ทนั ที
บลอ็ กเปน็ เวบ็ ไซต์ที่มีเนอ้ื หาหลากหลาย โดยเจ้าของบล็อกสามารถใช้เป็นเครื่องมือส่ือสาร
ประกาศข่าย แสดงความคิดเห็น และเผยแพร่ผลงานได้ นอกจากน้ีบล็อกท่ีถูกเขียนข้ึนเฉพาะเร่ือง
ส่วนตัวจะเรียกว่า ไดอารีออนไลน์ และบริษัทเอกชนหลายแห่งได้จัดทาบล็อกขึ้นเพื่อเสนอ
แนวความคดิ ใหม่ใหก้ บั ลูกค้าในรปู แบบขา่ วสัน้ และเม่ือไดร้ ับการตอบรับจากลูกค้า จึงนาการตอบรับ
นี้ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบรกิ ารตอ่ ไป
การใชง้ านบล็อกในฐานะผู้อา่ นและต้องการว่ มแสดงความคิดเห็น ทาไดด้ ังนี้
1. เข้าไปในบล็อกทตี่ ้องการอ่านหรือร่วมแสดงความคิดเหน็ โดยเลือกผ่านการสืบค้น
ด้วยโปรแกรมเรยี กคน้ ข้อมูล
2. พิมพ์ข้อความแสดงความคดิ เห็น
3. คลกิ ปุ่มคาส่งั สง่ ความคิดเหน็
เว็บไซต์ท่ีให้บริการสมาชิกได้สร้างเว็บในลักษณะของเว็บบล็อกได้ฟรีท่ีนิยมในปัจจุบัน
ได้แก่ hi5, Facebook, Bloger, Ning, Gotoknow เป็นต้น
123
3.13 การโอนยา้ ยแฟม้ ขอ้ มลู
การโอนย้ายแฟ้มข้อมูล หรือ เอฟทีพี(FTP : File Transfer Protocol) เป็นบริการของ
สถานีบริการโอนย้ายข้อมูล ซ่ึงอาจเป็นขององค์กรใดองค์กรหนึ่งท่ีมีการนาข้อมูลมาเก็บไว้ ข้อมูล
เหลา่ น้อี าจเปน็ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นเอกสาร หรือแฟ้มข้อมูลอื่นใดก็ได้ สถานีบริการนี้จะดูแล
แฟ้มและให้บริการแก่ผู้เรียกใช้ ท่ังในระยะใกล้และสถานีห่างไกลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยผู้
เรียกใชส้ ามารถติดต่อเขา้ ไปเพื่อขอคัดลอกแฟ้มข้อมลู ทีต่ อ้ งการมาใชง้ านได้
นอกจากนี้ การโอนย้ายขอ้ มูล ยังสามารถนาข้อมูลของผู้ใช้ที่มีอยู่ โอนย้ายไปให้ผู้อ่ืน หรือ
นาไปไวใ้ นเครื่องบริการที่เช่อื มต่ออยู่บนอินเทอร์เน็ตท่ีอ่นื ซงึ่ ผใู้ ช้มสี ิทธิ์ในการใช้
ซอฟต์แวร์โอนย้ายข้อมูลที่นิยมใช้กันมีอยู่หลายชนิด เช่น WS_FTP, Cute FTP,
FileZilla เป็นต้น ซ่ึงในทีน้ีจะขอนาเสนอวิธีการใช้งานซอฟต์แวร์ WS_FTP เพราะมีวิธีการติดตั้งไม่
ย่งุ ยากและใช้งานงา่ ย
การโอนย้ายข้อมูลโดยใช้ซอฟต์แวร์ WS_FTP ที่ติดต้ังแล้ว ทาได้โดยเช่ือมต่อเครือข่าย
อนิ เทอร์เน็ต แล้วปฎบิ ตั ิดังน้ี
1. ดบั เบิลคลกิ ท่ปี มุ่ คาสง่ั ของซอฟต์แวร์ WS_FTP เพอ่ื เปดิ ใชง้ าน
2. เลือกข้อมูลทต่ี ้องการโอนย้าย
3. คลิกปุ่มคาส่งั Ü
4. แสดงการโอนย้ายสาเรจ็
124
3.14 การสบื ค้นขอ้ มลู โดยใชโ้ ปรแกรมเรียกค้นข้อมูล (search engine)
บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลมากมายให้สืบค้นทั้ง ข่าวสาร บทความ รูปภาพ เพลง
มิวสิกวิดีโอ แผนท่ี ข้ึนอยู่กับความต้องการของผู้สืบค้น โดยการสืบค้นข้อมูลท่ีต้องการแบบ
ประหยดั เวลาน้นั ต้องทราบแหล่งทีม่ ขี ้อมูล วิธีการสืบคน้ และมโี ปรแกรมเรียกค้นข้อมลู
เซริ ซ์ เอนจนิ (search engine)เป็นโปรแกรมเรียกค้นข้อมูลหรือโปรแกรมช่วยสืบค้นข้อมูลท่ี
เก็บไวใ้ นเวบ็ ไซตต์ ่าง ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
โปรแกรมเรยี กค้นข้อมลู สามารถพบได้ทัง้ เว็บไซตต์ า่ งประเทศและใน
ประเทศ เชน่ www.google.com, www.google.co.th, www.yahoo.com, www.lycos.com,
www.sanook.com, www.siamguru.com เป็นตน้ ซ่งึ เวบ็ ไซตท์ ค่ี นไทยคุ้ยเคยกนั ดกี ็
คือ www.google.co.th น่ันเอง
การสืบค้นข้อมูลภาษาไทยโดยใช้โปรแกรมเรียกค้นข้อมูลของ www.google.co.th มี
ข้นั ตอน ดงั น้ี
1. เปิดเว็บเพจกูเกลิ โดยพมิ พ์ www.google.co.th ลงในช่องว่าง แล้วกดป่มุ Enter
2. พมิ พ์คาคน้ หาหรอื คาสาคญั (keyword) ทีต่ ้องการสืบคน้ ขอ้ มลู ลงในช่องวา่ ง
3. คลิกปมุ่ คาสงั่ ค้นหาดว้ ย Google
4. คลิกเลือกเว็บไซต์ที่ต้องการสืบค้นข้อมูล แล้วจะปรากฎรายละเอียดข้อมูลที่อยู่
ในเวบ็ ไซตน์ นั้ ๆ
หมายเหตุ
www.google.co.th เป็นบริษัทที่ทาธุรกิจ Search engine ที่ใหญ่ท่ีสุดในโลก ซึ่งมี
รายได้หลักจากการโฆษณาออนไลน์ อีเมล เครือข่ายออนไลน์ แผนที่ออนไลน์ ก่อต้ังโดย แลร์รี
เพจ และเซอร์เกย์ บริน คาว่า google มาจากจานวนทางคณิตศาสตร์ หมายถึง เลข 1 ตาม
ด้วย 0 อีกร้อยตัว หรอื 10100 เพื่อแสดงว่าบริษัทต้องจดั การกบั ขอ้ มลู จานวนมหาศาล
3.15 การสนทนาบนเครือข่าย
การตดิ ต่อสื่อสารบนอนิ เทอร์เน็ต นอกเหนือจากการใช้อีเมลแล้ว ยังสามารถสนทนาพูดคุย
กันได้ โดยใชซ้ อฟตแ์ วรซ์ งึ่ มรี ูปแบบการใชง้ านแตกต่างกันไป เช่น พิมพ์ข้อความผ่านคีย์บอร์ด การ
พูดคุยผ่านไมโครโฟน และการพูดคุยผ่านเว็บแคมซึ่งสามารถมองเห็นหน้าตาผู้สนทนา รวมถึง
สามารถสง่ ไฟลข์ ้อมลู ข้อความภาพและเสยี งไปให้คูส่ นทนาขณะพูดคยุ กันได้ เป็นตน้
ซอฟต์แวร์สนทนาบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยม เช่น เอ็มเอสเอ็น เมสเซน
เจอร์ (MSN Messenger) ไอซีควิ (ICQ) เป็นตน้
125
ตัวอย่างการสนทนาบนเครือข่าย ด้วยซอฟต์แวร์ เอ็มเอสเอ็น เมสเซนเจอร์ (MSN
Messenger) มขี ้ันตอนดังน้ี
1. คลิกปุ่มคาส่ัง start > All Programs > Windows Live > Windows Live
Messenger หรอื ดับเบิลคลิกไอคอน ..... บนหนา้ ตา่ งทางาน
2. ลงชื่อเข้าใช้และรหัสผา่ น
3. คลิกปุ่มคาส่ัง ลงช่อื เขา้ ใช้
4. คลิกลงบนรายช่ือเพอ่ื นทตี่ ้องการสนทนาด้วย แลว้ เลือกส่งข้อความดว่ น
5. พิมพ์ข้อความสนทนาลงไปยังช่องว่างด้านล่าง แล้วกดปุ่ม Enter บนคีย์บอร์ด จะ
ปรากฎข้อความสนทนาที่หน้าต่างด้านบนถ้าคู่สนทนาส่งข้อความตอบกลับมา ปุ่มคาส่ังซอฟต์แวร์จะ
กระพริบและมเี สยี งเตอื นให้อ่านขอ้ ความ
3.16 สารสนเทศเพ่อื ใชใ้ นการจัดการเรยี นรู้
สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลข่าวสารในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร
รูปภาพ สัญลักษณ์ หรือเสียง ที่ล้วนแล้วแต่ผ่านการกระบวนการประมวลผลด้วยวิธีการต่างๆ เช่น
การคานวณ การเปรียบเทียบ การวิเคราะห์ การเรียงลาดับ และการสรุปผล เป็นต้น แล้วจึงมีการ
บันทกึ ไวอ้ ยา่ งเป็นระบบเพื่อนาไปใช้งานต่อไป เช่น เกรดเฉล่ียของนักเรียน เป็นต้น ซ่ึงสารสนเทศจะ
เกิดประโยชนม์ ากนอ้ ยเพยี งใดก็ขึ้นอยู่กับการนาไปใช้ของแต่ละคน
3.17 ความสาคัญของสารสนเทศ
ซ่ึงในการดาเนินชีวิตประจาวันคนทุกอาชีพ ทุกเพศ และทุกวัยล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับ
สารสนเทศท้ังน้ัน เพราะสารสนเทศเป็นส่ิงสาคัญในการดารงชีวิตเปรียบเสมือนสิ่งท่ีขับเคล่ือนสังคม
หลากหลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการศึกษาท่ีช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิและเกิด
ความรใู้ หม่ขนึ้ หรือจะเป็นทางด้านสังคมท่ีช่วยพัฒนาสติปัญญาของคนในสังคม ท้ังยังช่วยสร้างความ
เข้าใจแก่คนในสังคม ลดความขัดแย้งและให้คนในสังคมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข รวมถึง
ทางดา้ นเศรษฐกจิ การเมอื งการปกครอง และวฒั นธรรมอีกด้วย
ดังนน้ั สารสนเทศคือข้อมูลทผ่ี า่ นกระบวนการประมวลผลด้วยวิธีการต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เพ่ือนาไปใช้
ให้เกิดประโยชน์ต่อไป โดยสารสนเทศเป็นข้อมูลที่มีความสาคัญต่อการดาเนินชีวิตเป็นอย่างมาก
เพราะต่างก็เกี่ยวข้องกับทุกเรื่องในชีวิตประจาวันหลากหลายด้านด้วยกัน ซ่ึงถ้าขาดสารสนเทศไป
อาจจะก่อให้เกดิ ปัญหาและความว่นุ วายตามมามากมาย
126
3.18 การวิเคราะหป์ ญั หาทเี่ กิดจากการใช้นวตั กรรม
3.18.1 ความหมายของปัญหา
ความหมายปัญหาคือประเด็นท่ีเป็นอุปสรรค ความยากลาบาก ความท้าทาย หรือเป็น
สถานการณ์ใด ๆ ที่ต้องมีการแก้ปัญหาซ่ึงการแก้ปัญหาจะรับรู้ได้จากผลลัพธ์ของการแก้ปัญหาหรือ
ผลงานท่นี าไปสวู่ ัตถปุ ระสงคห์ รือเปา้ หมาย ประเดน็ ปัญหาแสดงถึงทางออกท่ีต้องการ ควบคู่กับความ
บกพรอ่ ง ข้อสงสยั หรอื ความไมส่ อดคลอ้ งท่ีปรากฏข้ึนซ่งึ ขัดขวางมิใหผ้ ลลัพธ์ประสบผลสาเร็จ
3.18.2 วธิ ีการหรือกระบวนการวิเคราะห์ปญั หา
กระบวนการวิเคราะห์ปญั หากระบวนการแกไ้ ขปญั หามีขั้นตอนท่เี ก่ียวข้อง 5 ประการ ดังน้ี
1. การกาหนดหรือนยิ ามปญั หา
2. การวเิ คราะห์สาเหตุ
3. การตัดสินใจ
4. การลงมอื ปฏบิ ตั ิ
5. การประเมินผล
3.18.3 เหตุผล ที่ครูต้องมีความรู้ ความเข้าใจ เก่ียวกับปัญหาการจัดการเรียนรู้ท่ีเกิด
จากการใช้นวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศ
ครูต้องมีความรู้ ความเข้าใจ เก่ียวกับ ปัญหาการจัดการเรียนรู้ท่ีเกิดจากการใช้นวัตกรรม
และเทคโนโลยีสารสนเทศ ครูจะต้องมีความเข้าใจ และผลกระทบที่จะตามมาจากการใช้งาน
นวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศ เน่ืองจากการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศนอกจากจะ
มปี ระโยชนม์ ากมายในการพัฒนาการเรียนการสอนแล้ว ยังมีโทษของการใช้งานและปัญหาอ่ืน ๆหาก
127
ใช้อย่างไม่เหมาะสม ครูจึงต้องตระหนักและมีความรู้ มีคุณธรรมในการใช้งาน เพื่อให้เกิดผล
ประสทิ ธิภาพที่ดี และเพื่อปอ้ งกนั ปัญหาที่อาจจะตามมาในการจดั การเรยี นรู้
3.18.4 ปัญหา และสาเหตุ การจัดการเรียนรู้ที่เกิดจากการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี
สารสนเทศ
ด้านการกระจายโครงสร้างพื้นฐานเพ่ือการศึกษามีคอมพิวเตอร์ยังไม่มีหรือมีไม่เพียงพอต่อ
ความต้องการและทีม่ ีอยู่กข็ าดการบารงุ รกั ษา รวมทง้ั ไมอ่ ยูใ่ นสภาพทีใ่ ชก้ ารได้
ดา้ นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ครูใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อ
พฒั นาทกั ษะวชิ าชีพครนู ้อยมากและคอมพิวเตอรม์ ีจานวนไม่เพยี งพอกับความต้องการทคี่ รจู ะใช้
มีการวางแผนท่ีไม่ดีพอวางแผนจัดการความเสี่ยงไม่ดีพอ ย่ิงสถานศึกษามีขนาดใหญ่มากข้ึนเท่าใด
การจดั การกับความเส่ียงยอ่ มจะมคี วามสาคญั มากขึ้นตามลาดบั ทาใหค้ า่ ใช้จ่ายด้านนเ้ี พิม่ สูงข้นึ
การนาเทคโนโลยีท่ีไม่เหมาะสมมาใช้งานการนาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในสถานศึกษา
จาเปน็ ตอ้ งพิจารณาให้สอดคล้องและตรงกบั ลักษณะของแนวการสอนหรือนโยบายของสถานศึกษา
การขาดการจัดการหรือสนับสนุนจากผู้บริหารสถานศึกษาระดับสูง ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสอ่ื สาร เพือ่ พัฒนาการบริหารจัดการและให้บริการทางการศึกษา สถานศึกษายังขาดรูปแบบ
ระบบสารสนเทศ และจัดให้ผู้บริหารมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ
สื่อสารในระดับเบ้อื งต้น ปญั หาการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ พบว่า สว่ นใหญก่ ารใช้วสั ดุ เครื่องมือหรือ
อุปกรณ์ และเทคนิควิธีการครูหรือบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนมีปัญหาด้านงบประมาณไม่
เพียงพอและมคี วามลา่ ช้า วัสดุ เคร่อื งมอื หรืออปุ กรณม์ ไี ม่เพยี งพอกบั ความต้องการ
3.18.5 สาเหตุของการเกิดปัญหาการจัดการเรียนรู้ท่ีเกิดจากการใช้นวัตกรรมและ
เทคโนโลยสี ารสนเทศ แตล่ ะดา้ น โดยใช้เคร่ืองมือ
1. ผู้บริหาร ครู และนักเรียนบุคลากรขาดความรู้ความเข้าใจในการผลิตสื่อ
ประกอบการจดั กิจกรรม บุคลากรขาดประสบการณใ์ นการใชส้ ือ่ นวัตกรรมทางการศึกษา
2. เคร่ืองมือ และอุปกรณ์ ขาดงบประมาณในการพัฒนานวัตกรรม อุปกรณ์ไม่
เพยี งพอกับผเู้ รยี น
3. วัสดุ ขาดงบประมาณในการจัดซื้อ ไม่มีงบประมาณและการจัดเก็บไม่มี
ประสิทธภิ าพ ทาให้วสั ดุเกดิ ความเสยี หาย
3.18.6 วิธกี ารการจดั กิจกรรม
วิธีการ กิจกรรม ครูยึดวิธีการสอนแบบเดิม คือบรรยายหน้าชั้นเรียน แต่ส่วนใหญ่มีแนวโน้มในการ
พฒั นาทดี่ ขี นึ้ ครูยงั ไมม่ กี ารนาสื่อนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการเรยี นการสอนอยา่ งต่อเน่ือง
3.18.7 สภาพแวดลอ้ ม
128
สภาพแวดล้อมโดยทว่ั ไปยังไม่เหมาะสมกับการใช้สื่อ เนื่องจากความยุ่งยากและไม่คล่องตัว
มสี ถานที่ไมเ่ ป็นสดั สว่ น ไมม่ ีหอ้ งทใ่ี ชเ้ พอื่ เก็บรกั ษาส่ือ
129
แนวขอ้ สอบทา้ ยบทเรียน
บทท่ี 1
ประวตั คิ วามเป็นมาของนวตั กรรมทางการศกึ ษา จานวน 10 ขอ้
1. ข้อใดคือความหมายท่ีถูกต้องทสี่ ดุ ของ"นวตั กรรม"
1.การกระทาท่ีไม่เคยมมี าก่อน
2.การกระทาทร่ี ื้อฟื้นมาจากของเดมิ
3.การกระทาท่เี อาแบบอย่างมาจากท่ีอืน่
4.การกระทาท่ีใช้แนวคิดหรือวธิ ีปฏิบตั ใิ หมๆ่ เพื่อแกป้ ัญหาและพฒั นางาน
2. ขอ้ ใด"ไมใ่ ช่"แนวคดิ พ้ืนฐานท่ีกอ่ ใหเ้ กดิ นวตั กรรมการศึกษา
1.เวลาทใ่ี ชใ้ นการเรียน
2.ความพร้อมของผเู้ รยี น
3.ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล
4.ความทันสมัยของเทคโนโลยี
3. นวัตกรรมการศึกษามีความสาคญั ต่อการจดั การศึกษาอยา่ งไร
1.ลดความสาคัญในตัวผสู้ อน
2.เพมิ่ ความสาคัญในตวั ผู้เรยี น
3.เพ่ิมความสาคัญทั้งในตัวผู้เรียนและผสู้ อน
4.ชว่ ยแก้ไขปัญหาและพัฒนาการจดั การศกึ ษา
4. ข้อใดเป็นนวตั กรรมการศกึ ษาทเี่ กิดจากแนวคิดพน้ื ฐานที่ต้องการตอบสนองความแตกต่างระหวา่ ง
บุคคล
1.มหาวิทยาลยั เปิด
2.การเรียนทางไปรษณีย์
3.การจัดตารางเรยี นแบบยืดหยนุ่
4.บทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยการสอน
5. ข้อใดไมใ่ ชน่ วตั กรรมการศึกษาท่เี กิดจากแนวคิดพนื้ ฐานด้านการตอบสนองอัตราการเพ่มิ ของ
ประชากร
130
1.มหาวทิ ยาลัยเปดิ
2.การศึกษาทางไกล
3.โรงเรยี นไม่แบง่ ชัน้
4.การจดั การศึกษาผา่ นอินเทอร์เน็ต
6. ขอ้ ใดไม่ใชเ่ กณฑ์ในการพิจารณาความเปน็ "นวัตกรรม"
1.ตอ้ งประดษิ ฐใ์ หม่เท่าน้นั
2.ตอ้ งมีการนาวธิ รี ะบบมาใช้
3.ตอ้ งมีการพิสจู น์ด้วยการวจิ ัย
4.ต้องยงั ไม่เปน็ สว่ นหนงึ่ ของงานปจั จบุ ัน
7. ข้อใดอธิบายความนวตั กรรมการศึกษาไดช้ ัดเจนท่ีสุด
1.เปน็ ส่งิ ใหม่ในวงการศกึ ษา
2.มีการนามาใชอ้ ย่างเปน็ ระบบ
3.มีการดาเนินงานโดยใช้กระบวนการวจิ ยั
4.ไดร้ บั การพสิ ูจน์จนเป็นท่ยี อมรบั ว่าสามารถแกป้ ญั หาและพัฒนาการศกึ ษาได้
8. นวัตกรรมและเทคโนโลยมี ีความคล้ายคลงึ กันในดา้ นใด
1.ความใหม่
2.ความทนั สมยั
3.การไดร้ ับความนิยมอยา่ งแพรห่ ลาย
4.มีเป้าหมายเพอื่ แก้ปัญหาและพัฒนางาน
9. นวตั กรรมและเทคโนโลยมี ีความแตกต่างกันในดา้ นใด
1.ระบบการใช้งาน
2.ประสทิ ธิภาพและประสิทธิผล
3.การแก้ปัญหาและพัฒนางาน
4.การยอมรับในฐานะเป็นส่วนหน่งึ ของระบบการใชง้ านปัจจุบัน
10. นวัตกรรมและเทคโนโลยมี สี ่วนเกย่ี วขอ้ งกนั อย่างไร
1.นวัตกรรมมักเกิดก่อนเทคโนโลยี
2.เทคโนโลยีมกั เกิดกอ่ นนวัตกรรม
131
3.นวตั กรรมจะประสบผลสาเรจ็ ไดต้ ้องพง่ึ เทคโนโลยี
4.นวัตกรรมอาจแปรสภาพเป็นเทคโนโลยีและเทคโนโลยอี าจแปรสภาพเป็นนวตั กรรมได้
บทท่ี 2
ความรูเ้ บือ้ งต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ จานวน 10 ข้อ
1. ข้อใดอธิบายความหมายของแหลง่ ทรัพยากรการเรยี นรไู้ ดด้ ที ี่สดุ
1.สถานทที่ บ่ี ุคคลไปแสวงหาความรู้
2.การทีผ่ ู้เรียนเข้าไปค้นคว้าหาความรูใ้ นหอ้ งสมดุ
3.แหล่งรวบรวมทรพั ยากรท่ีเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน
4.แหล่งรวบรวมทรพั ยากรบุคคล วัสดุ อุปกรณ์ ข้อมลู และสถานที่ส่งเสรมิ การเรยี นรู้และ
คน้ หาคาตอบ
2. ขอ้ ใดไม่ใชเ่ ปา้ หมายของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
1.ใหบ้ ริการการศกึ ษา
2.ให้บรกิ ารสารสนเทศ
3.ใหบ้ ริการด้านนนั ทนาการและพกั ผ่อน
4.ใหบ้ ริการดา้ นการอนุรักษ์โบราณสถานและโบราณวัตถุ
3. ขอ้ ใดไมจ่ ัดเปน็ แหลง่ ทรพั ยากรการเรียนรู้ในชุมชน
1.ปา้ ปูถา่ ยทอดวิธีการทาขนมทองหยิบให้หลานสาวและเพื่อนๆ
2.ลุงต่ไู ปขอความช่วยเหลอื จาก รปภ.ของสถาบนั ในการแก้ไขลฟิ ทต์ ดิ
3.นักศึกษาเอกบริหารธรุ กิจไปศกึ ษาดงู านทต่ี ลาดหลกั ทรัพย์แหง่ ประเทศไทย
4.เชิญคณุ พร้อมพงษจ์ ากบริษัทไทยคม มาบรรยายเรื่อง การใชอ้ นิ เทอร์เน็ตเพ่ือการศกึ ษา
4. เชิญคุณพร้อมพงษจ์ ากบริษัทไทยคม มาบรรยายเรอ่ื ง การใช้อินเทอร์เนต็ เพื่อการศึกษา
1.ทาใหผ้ ู้เรียนมีประสบการณ์ท่กี ว้างไกล
2.เป็นการจดั ประสบการณต์ รงใหแ้ ก่ผูเ้ รียน
3.ผู้เรยี นไดฝ้ ึกการสังเกตและค้นควา้ จากสถานทจี่ ริง
4.ชว่ ยประหยัดเวลาในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน
132
5. ปจั จยั ด้านใดที่ก่อใหเ้ กิดความเพียงพอและมีประสิทธภิ าพของแหลง่ ทรัพยากรการเรียนรู้
1.เทคโนโลยีสารสนเทศ
2.เอกชนและผู้ให้การสนับสนุน
3.พระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ
4.นโยบายรัฐบาลและผบู้ รหิ ารระดบั สูง
6. ปัจจยั ด้านใดทีช่ ่วยใหเ้ กดิ ความสะดวกรวดเร็วในการแลกเปล่ยี นและสืบค้นข้อมลู
1.เทคโนโลยีสารสนเทศ
2.เอกชนและผ้ใู ห้การสนับสนุน
3.พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ
4.นโยบายรัฐบาลและผบู้ รหิ ารระดบั สงู
7. ขอ้ ใดนับวา่ เป็นแหล่งทรพั ยากรการเรยี นรทู้ ่ีใหญท่ สี่ ุดในปัจจบุ ัน
1.อนิ เทอร์เน็ต
2.หนงั สือพมิ พ์
3.วิทยุโทรทัศน์
4.วทิ ยุกระจายเสยี ง
8. ขอ้ ใดเป็นแหล่งทรพั ยากรการเรียนรทู้ ่ีสามารถเขา้ ถึงผ้เู รียนไดม้ ากทสี่ ดุ ในปัจจบุ นั
1.อินเทอรเ์ น็ต
2.หนังสือพิมพ์
3.วทิ ยโุ ทรทศั น์
4.วทิ ยุกระจายเสียง
9. ข้อใดกลา่ วไม่ถูกต้องเกย่ี วกับแนวโน้มของแหล่งทรัพยากรการเรยี นรู้
1.มจี านวนเพม่ิ ขึน้ อย่างรวดเร็ว
2.มีรปู แบบใหม่ๆเพ่มิ มากข้นึ
3.มีการรวบรวมสือ่ หลากหลายประเภท
4.มีความยงุ่ ยากและซับซ้อนในการเข้าถงึ หารให้บริการ
10.ในอนาคตแหลง่ ทรัพยากรการเรยี นรมู้ แี นวโนม้ พัฒนาไปสรู่ ูปแบบอิเลคทรอนิกส์มากขึ้นเนื่องจาก
สาเหตุใด
133
1.เนอ้ื หาวชิ ามมี ากขน้ึ
2.ประชากรเพ่ิมมากข้ึน
3.ความตอ้ งการในการเรียนรู้เพ่ิมมากข้ึน
4.พัฒนาการของเทคโนโลยีและราคาของอุปกรณท์ ี่ถูกลง
บทท่ี 3
คอมพิวเตอร์และอนิ เทอรเ์ นต็ กับเทคโนโลยีสารสนเทศ จานวน 10 ข้อ
1. ระบบเครื่อขา่ ยคอมพวิ เตอรร์ ะยะไกลหมายถึงข้อใด
1. LAN.
2. MAN.
3. WAN.
4. INTERNET
2. “ตอ้ งดาเนินการให้อยู่ในรูปแบบทส่ี ามารถเรยี กใช้ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ” เปน็ การเก็บรวบรวม
และจดั เก็บขอ้ มลู ตามขอ้ ใด
1. การเก็บข้อมลู .
2. การจัดขอ้ มูล.
3. การปรับปรุงข้อมูล.
4. การปกป้องข้อมูล
3. บทบาทของครูต่อนโยบายดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา
1. พฒั นาระบบ.
2. พฒั นาบคุ ลากร.
3. ผูใ้ ช้ หรือผู้ผลิต.
4. ประสาน บริการวิชาการชุมชน
4. “ใหพ้ มิ พ์ Key Word ลงในช่อง” ข้อความนี้สมั พนั ธก์ บั เวบ็ ไซตใ์ ดมกที่สดุ
1. www. Thaimai.com.
2. www.google.co.th.
3. www.siam.net
4. www.thaischool.ac.th
134
5. เป็นการเรยี นทางไกลทีผ่ เู้ รียนสามารถตอบโตก้ บั ผู้สอนได้ โดยอาศยั เครือข่ายอินเตอร์เนต็ ซง่ึ ชว่ ย
ใหเ้ รียนรไู้ ด้โดยไม่มขี ้อจากดั ของเวลา ระยะทางและสถานที่โดยผ้เู รียนสามารถที่จะเรยี นรู้ได้
ตลอดเวลา
1. E-learning.
2. E-Classroom.
3. E-Book.
4. E-Library
6. ข้อใดคือจดหมายอิเลคทรอนิกส์
1. Internet .
2. Website.
3. E-mail .
4. CAI
7. กระทรวงศึกษาธิการมเี ป้าหมายการนาคอมพิวเตอรแ์ ละอินเตอรเ์ น็ตมาใชก้ ับการศึกษาดา้ นใด
1. การเรยี นการสอน.
2. การบรหิ ารจดั การ.
3. การเรียนรส้ าหรบั ชุมชน.
4. ถกู ทุกข้อ
8. การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดการศกึ ษา เพ่ือเผยแพร่ข่าวสารประชาสัมพันธร์ ะหว่าง
สถานศกึ ษากบั ผเู้ กี่ยวขอ้ งและบุคคลท่ัวไป
1. อินเตอร์เนต็ .
2. เว็บไซต.์
3. คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน.
4. การเรียนรผู้ ่านสอื่
9. ไม่ใช่ลักษณะข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษาที่ดี
1. มีความหลากหลาย.
2. ถูกตอ้ งแม่นยา.
3. ตรงตามความต้องการท่จี ะใช้.
4. เกบ็ ในระยะเวลาเหมาะสม
10. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตรงกับ ข้อใด
1. IT. 3. Technology.
2. ICT. 4. Innovation
135
บรรณานุกรม
จรัส อติวทิ ยาภรณ์ (2550) ระบบสารสนเทศเพอ่ื การจัดการ.พมิ พค์ รั้งท2ี่ .สงขลา : ศูนยห์ นงั สือ
มหาวิทยาลัยทักษณิ .
จิตตมิ า เทียมบุญประเสรฐิ (2542) ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ
Management Information Systems. พิมพค์ รัง้ ท่ี 1.กรุงเทพฯ : วี.เจ.พริ้นตงิ้ .
ชนวฒั น์ โกญจนาวรรณ (2550) การจัดการสารสนเทศสาหรับผูน้ าองค์กรและผูบ้ รหิ ารพมิ พ์ครง้ั ที่
1. กรุงเทพฯ : เอ็กซเปอรเ์ น็ท จากัด.
ธงชัย สันติวงษ์ (2539) องค์การและการบริหาร Organization and management.พิมพ์คร้ังท่ี
10. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพาณชิ จากดั .
นภิ าภรณ์ คาเจรญิ (2545) ระบบสารสนเทศเพอ่ื การจดั การ Management Information
Systems : MIS.พมิ พค์ ร้งั ท่ี 1. การจดั การ เอส.พี.ซ.ี บุ๊คส์.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2539). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2539. กรุงเทพฯ: อักษร
เจรญิ ทศั น. หนา 463.
กิดานันท มลทิ อง. 2540 เทคโนโลยกี ารศึกษาและนวัตกรรม. กรุงเทพมหานคร : ชวนพมิ พ
ครรชิต มาลยวงศ. 2540. ทัศนะไอที กรงุ เทพมหานคร : ซเี อ็ดยูเคชนั่ จากัด (มหาชน).
2540 . อางถึงในนวัตกรรมการศกึ ษาและเทคโนโลยที างการศกึ ษา (ออนไลน) สบื คนไดจ้ าก :
http://school.obec.go.th/sup_br3/t_1.htm (15/05/2548)
จนั ทรา ตนั ติพงศานรุ ักษ. 2544. การจัดการเรียนรูแบบรวมมือ (Cooperative Learning).
วารสารวิชาการ. 12 (ธนั วาคม), 36-56.
ใจทิพย ณ สงขลา. 2547. การออกแบบการเรียนการสอนบนเว็บในระบบการเรียนอิเล็กทรอนิกส.
กรงุ เทพมหานคร : คณะครุ ศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณมหาวิทยาลยั .
ค้นจาก https://sites.google.com/site/sirasaritsaenkhom/khwam-ru-beuxng-tn-keiyw-
kabkhxmphiwtexr-laea-rabb-sarsnthes
ค้นจาก
https://www.baanjomyut.com/library_3/extension1/introduction_to_information_tech
nology/index.htm
ค้นจาก https://www.gotoknow.org/posts/254781
ค้นจาก https://sites.google.com/site/nwatkrrmkarsuksa/
คน้ จาก http://elearning.northcm.ac.th/it/lesson1-1.asp#use
ค้นจาก https://sites.google.com/site/testweb561032/bth-reiyn/b
136
ค้นจาก https://sites.google.com/site/khxmphiwtexrxintexrnet/kherux-khay-
khxmphiwtexr-laea-xintexrnet
ค้นจาก http://www.waghor.go.th/v1/elearning/techno/opencom7.php
ค้นจาก https://sites.google.com/site/2104prmesthmidtrm/kar-rab--sng-khx-mul-bn-
kherux-khay-xintexrnet
ค้นจาก https://www.mediathailand.org/2012/06/blog-post.html
ค้นจาก https://sites.google.com/site/suxkarreiynkarsxnsmayhim/
ค้นจาก https://sites.google.com/site/mrwissarutjanda/page02
ค้นจาก https://sites.google.com/site/tarsutanya/thekhnoloyi-sarsnthes-sahrab-khru
137
138