Physical and Chemical
properties of Seawater
Marine Ecology and
Ecotourism
Arisara Phanphong 62410113
ค ำนำ
่
ี
ึ
ึ
ิ
็
่
รายงานเล่มน้จัดท าข้นเพือเปนส่วนหนงของรายวิชา นเวศวิทยา
ี
่
ิ
ิ
ึ
ทางทะเลและการท่องเทยวเชงนเวศ 30910159-59 เพื่อให้ได้ศกษาหา
ู
ื่
ความรในเรอง ลักษณะทางกายภาพและเคมของทะเลจงได้จัดท า
ี
ึ
้
รายงานเล่มน้ข้นมา
ี
ึ
ื
็
์
ี
ผู้จัดท าหวังว่า รายงานเล่มน้จะเปนประโยชนกับผู้อ่าน หรอ
่
ี
ึ
ื
ี
ู
ี
นักเรยน นักศกษา ทก าลังหาข้อมลเรองน้อยู่ หากมข้อแนะน าหรอ
่
ื
ี
ี่
ี
ั
ข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดท าขอน้อมรบไว้และขออภัยมา ณ ทน้ด้วย
อรสรา พันธ์พงษ์
ิ
ี
4 มนาคม 2564
สำรบัญ
ความแตกต่างระหว่าง
ี
ลักษณะทางกายภาพ และ ลักษณะทางเคม……………………..…….4
ความเค็ม(Salinity)และองค์ประกอบของน ้าทะเล (Chemical
Composition)…………………………………………..…….5
ิ
ุ
ู
อณหภม (Temperature)………….……………………….….6
แสง (Light)…………………………………………………....…7
่
ี
ก๊าซทละลายอยู่ในน ้าทะเล (Dissolved Gases)…………....…9
ความกดดันของน ้าทะเล (Pressure)………………………..….10
ึ
การข้นลงของน ้า (Tidal Wave)…………………………....…11
ความแตกต่างระหว่าง
ลักษณะทางกายภาพ และ ลักษณะทางเคม ี
ลักษณะทำงกำยภำพ
ุ
ิ
ู
•อณหภม (Temperature)
•แสง(Light)
•ความกดดันของน ้าทะเล(Pressure)
•ความหนดของน ้าทะเล(Viscosity)
ื
่
ี
•แหล่งทอยู่อาศัย(Habitat)
ลักษณะทำงเคมี
•ความเค็ม(Salinity)
•องค์ประกอบของน ้าทะเล(Chemical
Composition)
•ก๊าซทละลายอยู่ในน ้าทะเล(Dissolved Gases)
ี
่
ความเค็ม(Salinity)และองค์ประกอบของ
น าทะเล (Chemical Composition)
้
ื
•70% ของน ้ำผิวโลกคอ น ้ำทะเล
•องค์ประกอบของน ้ำทะเล ประกอบด้วย
-96.5% = น ้ำ
ิ
-2.5% = เกลือชนดต่ำงๆ
่
-1% =อนๆ เช่น สำรอินทรีย์และอนนทรีย์ทละลำยน ้ำ
ี
่
ื
ิ
อนุภำคต่ำงๆ และกำซ
๊
ี
•ควำมเค็มของน ้ำทะเล น ้ำทะเลมแร่ธำตุละลำยปนอยูด้วย
่
ี
ิ
ี
มำกมำย ประมำณ 3.45 % กับยังมธำตุอก 32 ชนด เช่น
คลอรีน โซเดียม แมกนเซยม ออกซิเจน ก ำมะถัน แคลเซียม
ี
ี
ี
่
ี
่
โปแตสเซยม ตอนทเริมมทะเลมหำสมุทรในตอนแรก ๆ นั้น แร่
ี
่
่
ี
ธำตุทละลำยปนอยูในน ้ำทะเลส่วนใหญคงละลำยจำกหินใน
่
บริเวณนั้น ต่อมำจึงได้รับจำกพื้นดินโดยแม่น ้ำละลำยแร่ธำตุ
จำกหินและพำไหลมำด้วย แร่ธำตุบำงส่วนจะเปลียนสภำพกลับ
่
สูสภำพเดิมได้ สัตว์ทะเลดูดแร่ธำตุจำกน ้ำทะเลไปสร้ำงเปลือก
่
ี
ห่อหุ้มล ำตัวของมัน ส่วนใหญเปนสำรประกอบแคลเซยม แร่ธำตุ
่
็
็
่
บำงส่วนจะกลำยเปนของแข็ง จะพบในบริเวณทีอุณหภูมิน ้ำ
ทะเลสูงขึ้นและคำร์บอนไดออกไซด์ระเหยไป หรือในบริเวณที ่
กำรระเหยของน ้ำทะเลเปนไปอย่ำงรวดเร็วมำก อย่ำงไรก็ตำม
็
แม้ว่ำแร่ธำตุละลำยบำงส่วนจะหำยไป แต่ปริมำณของแร่ธำตุ
ละลำยในน ้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ในน ้ำทะเลมเกลือธรรมดำมำก
ี
ิ
ี
เพรำะสัตว์ทะเลไม่ต้องกำรเกลือชนดน้
อุณหภูม (Temperature)
ิ
ั
ู
ู
ิ
ุ
อณหภมของน ้าทะเล อณหภมของน ้าทะเลนั้นข้นอยู่กับการแผ่รงส ี
ุ
ิ
ึ
้
ี
ิ
ดวงอาทตย์มากกว่าความรอนจากแก่นโลกหรอกัมมันตภาพรงสจากพื้นท้อง
ื
ั
ู
ู
ุ
ุ
มหาสมทร อณหภมของน ้าทะเลจะต่างกันทั้งทางแนวราบ คอจากเส้นศนย์
ิ
ื
ึ
ื
ิ
ู
สตรไปทางขั้วโลก และทางแนวด่ง คอจากระดับน ้าทะเลลงไปถงพื้นท้อง
ุ
ู
ู
้
ู
่
ี
มหาสมทรทางแนวราบนั้นทเสนศนย์สตรอณหภมเฉลยทระดับน ้าทะเล
ิ
่
ี
ี
ุ
่
ี
ี
่
ประมาณ 26 องศาเซลเซยส ( 80 องศาฟาเรนไฮน์) ทขั้วโลกประมาณ -2
ุ
ี
ู
ิ
่
้
องศาเซลเซยส (28องศาฟาเรนไฮน์) ทางแนวด่งทแถบอากาศรอนอณหภมจะ
ี
ิ
ึ
ึ
ลดลงอย่างรวดรวจากระดับน ้าทะเลถงระดับลกประมาณ 1,080 เมตร
็
ึ
่
ี
อณหภมทระดับน้ประมาณ 4 องศาเซลเซยส จากระดับลก 1,080 – 1,800
ี
ู
ี
ุ
ิ
ี
ิ
ุ
ุ
ุ
ิ
เมตร อณหภมลดลง พ้นระดับน้ลงไปถงพื้นท้องมหาสมทรอณหภมเกือบไม่
ู
ู
ึ
ี่
ี
่
ู
ุ
ี
ี
่
เปลยนแปลง ประมาณ 2 องศาเซลเซยส ทขั้วโลกอณหภมทพื้นท้อง
ิ
มหาสมทรประมาณ 2 องศาเซลเซยส
ุ
ี
แสง (Light)
่
ทะเลเรืองแสงในตอนกลำงคืน ไม่ว่ำจะทำงภำพถำย ทำงสือต่ำง ๆ หรือ
่
ี
่
บำงท่ำนอำจคงเคยมประสบกำรณ์ได้พบเห็นด้วยตนเอง ซึงปรำกฏกำรณ์
่
ี
ทะเลเรืองแสงน้เรำจะเรียกว่ำ“Bioluminescence” ซึงคนไทยบำง
่
พื้นทอำจจะเรียกว่ำต่อ ๆ กันมำว่ำ พรำยน ้ำ นันเอง ปรำกฏกำรณ์ทะเล
ี
่
ิ
ิ
ิ
เรืองแสงนั้นเกดขึ้นได้อย่ำงไร เกดขึ้นจำกอะไร เกดขึ้นช่วงเวลำไหน
ี
ปรำกฏกำรณ์ทะเลเรืองแสงสีฟ้ำหรือทเรียกกันว่ำ “ปรำกฏกำรณ์ข้ปลำวำฬ
ี
่
่
็
ื
่
(Red tide)” คือชอสำมัญของปรำกฏกำรณ์สำหร่ำยสะพรัง เปนกำร
ี
่
่
ิ
รวมตัวขนำดใหญของจุลชพในท้องทะเล ซึงเกดขึ้นจำกไดโนแฟลกเจลเลต
่
็
ี
ิ
ไม่กชนด ทมกำรสะพรังสีแดงหรือน ้ำตำล เปนเหตุกำรณ์ทเกดจำกสำหร่ำย
ี
่
ี
ิ
่
ี
่
ื
ทอำศัยอยู่ในน ้ำกร่อย น ้ำเค็ม หรือ น ้ำจด มกำรสะสมอย่ำงรวดเร็วในห้วง
ี
ี
่
ิ
ิ
น ้ำ ส่งผลให้เกดสีบนผวน ้ำ โดยปกติแล้วจะพบได้ตำมชำยหำด ควำมงำม
่
ทำงธรรมชำติน้มักเกดขึ้นในยำมค ำคืนตำมธรรมชำติ ในท้องทะเลนั้นจะมี
ี
ิ
่
สิงมีชวิตเล็กๆต่ำง ๆ ทมองไม่เห็นด้วยตำเปล่ำล่องลอยอยูมำกมำย
ี
่
ี
่
ี
ี
่
ิ
หลำกหลำยชนด โดยสิงมีชวิตพวกน้เรียกว่ำ แพลงก์ตอน (Plankton)
ี
่
็
ี
่
โดยแพลงก์ตอนทท ำให้เกดกำรเรืองแสงน้จะเปนแพลงก์ตอนพชในกลุม ได
ิ
ื
โนแฟลกเจลเลต (Dinoflagellates) กว่ำ 720,000 เซลล์ เช่น
Noctiluca scintillans , Gonyaulax sp. และ
ิ
Pyrocystis sp. เปนต้น โดยแพลงก์ตอนเหล่ำน้สำมำรถท ำปฏกริยำ
ี
็
ิ
พิเศษทเรียกว่ำ Bioluminescence ท ำให้ผนังเซลล์เกดกำรเรืองแสง
ิ
ี
่
ี
ื
่
็
่
ิ
ี
เปนสีเขยวหรือสีน ้ำเงินได้ และยงเมอแพลงก์ตอนพวกน้มำอยู่รวมกันมำกๆ
เรำจึงเห็นทะเล เรืองแสงเปนสีน ้ำเงิน หรือสีเขยวอมฟ้ำออกมำได้ชัดเจน
็
ี
่
ื
ี
็
และถ้ำน ้ำมกำรสันสะเทอนหรือเรำลงไปในน ้ำมันกจะเกดแสงรอบ ๆ
ิ
่
นันเอง
่
็
ี
แพลงก์ตอนกลุมน้พบได้ทัวโลกเปนปกติ แต่จะแพร่พันธุ์ได้
่
มำกเปนพิเศษหรือ เกดกำร Bloom ขึ้นในทะเลทมแอมโมเนย
่
ี
ี
ิ
ี
็
็
ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส อยู่มำกและนันกเปนแหล่งอำหำรชั้นดีของ
่
็
พวกมันนันเอง ในภำวะปกติเจ้ำพวกแพลงก์ตอนเหล่ำน้จะพบไม่
ี
่
ี
็
่
่
ี
หนำแน่นและไม่เปนอันตรำยต่อสิงมีชวิตในน ้ำ แต่หำกในน ้ำทม ี
ปริมำณธำตุอำหำรมำกเกนไปจะท ำให้เกดกำรแบ่งตัวขยำยปริมำณ
ิ
ิ
ี
ของแพลงก์ตอนอย่ำงรวดเร็วท ำให้ปริมำณมวลแพลงก์ตอนเหล่ำน้อำจ
ิ
บดบังแสงหรือปดกั้นผวน ้ำท ำให้ออกซิเจนในน ้ำลดลง และกำรบดบัง
ิ
แสงกันเองของแพลงก์ตอนจะท ำให้พวกมันค่อย ๆ ตำยลงจนใน
ื
ี
่
่
่
ี
ี
ทสุด ปรำกฏกำรณ์น้จะเห็นได้เฉพำะจำกระยะไกล และเมอยำมทเรือ
กอปฏกริยำเคลือนไหวต่อท้องทะเล เช่น กำรออกเรือ กำรแล่นเรือ หรือ
่
ิ
ิ
่
กำรทคนลงไปเล่นน ้ำ กำรเรืองแสงของแพลงตอนดังกล่ำวจะอยูได้นำน
ี
่
่
เพยงแค่ 2-3 ชัวโมงเท่ำนั้น หลังจำกนั้นแสงจะค่อย ๆ ลดลงเรือย ๆ แต่
ี
่
่
่
ี
ว่ำแสงทเรำได้เห็นนั้นในช่วงแรกจะมควำมสว่ำงมำกเฉพำะในคืนเดือน
ี
ื
มด
ี
่
ก๊าซทละลายอยู่ในน าทะเล
้
(Dissolved Gases)
ก๊าซ ในน ้าทะเลมก๊าซละลายปนอยู่ด้วย ทมมากคอ ไนโตรเจน
ี
ื
่
ี
ี
ิ
ี
์
์
ออกซเจน คารบอนไดออกไซด์ คารบอนไดออกไซด์ในน ้าทะเลมมากกว่า
์
คารบอนไดออกไซด์ในอากาศ 18 –27 เท่า ก๊าซในน ้าทะเลส่วนใหญ่น ้าทะเล
ี
ิ
ุ
ื
ู
ู
ดดมาจากบรรยากาศ บางส่วนมาจากภเขาไฟใต้ทะเลหรอพวกอนทรยวัตถท ี่
เน่าเปอย หรอได้จากสารประกอบบางอย่าง ออกซเจนเปนส่งส าคัญต่อ
ิ
็
ื
ิ
่
ื
์
ิ
ี
ี
ี
ส่งมชวิตทอาศัยอยู่ในน ้าทะเล คารบอนไดออกไซด์เปนอาหารของสาหร่ายส ี
่
็
เขยวและสน ้าตาล น ้าทะเลทเย็นจะเก็บก๊าซได้มากว่าน ้าทะเลทอ่น เมอน ้า
่
ื
ี
ี
่
่
ี
ุ
ี
ี
ู
่
ู
ุ
ทะเลทพื้นท้องมหาสมทรทางขั้วโลกไหลมาทางเส้นศนย์สตรจะอ่นข้น และ
ึ
ุ
ึ
จะปล่อยก๊าซบางส่วนกลับไปในอากาศ บางทน ้าทะเลไหลข้นมาจะอ่นข้นจะ
ึ
ี
ุ
ี
ปล่อยก๊าซบางส่วนกลับไปในอากาศเช่นเดยวกันความถ่วงจ าเพาะของน ้า
ทะเลและความกดของน ้าทะเล ความถ่วงจ าเพาะของน ้าทะเล
ี
่
ประมาณ 1.025 ข้นอยู่กับความเค็มของน ้าทะเล ทขั้วโลกความถ่วงจ าเพาะ
ึ
ี่
ี่
้
ึ
สงข้นประ มาณ 1.028 ทเขตรอนเหลอประมาณ 1.022 การเปลยนแปลงความ
ู
ื
ู
ื
ุ
ื
แน่นอนของน ้ารวมกับการเปลยนแปลงอณหภม น ้าหนัก ความเจอจางหรอ
ี
ิ
่
ิ
ความเข้มข้นของน ้าทะเล ท าให้เกิดกระแสน ้าบางชนดในมหาสมทรน ้า
ุ
ทะเล 1 ลกบาศก์เมตรจากระดับน ้าทะเลลงไปหนักประมาณ 1.08 ตัน
ุ
ึ
ี
่
ึ
ื
ั
หรอ 1,080 กิโลกรม ลกลงไปทระดับลก 1,000 เมตรน ้าทะเลจะหนัก
ื
ประมาณ 1,080 ตันต่อเน้อท 1 ตารางเมตร
ี
่
ความกดดันของน าทะเล (Pressure)
้
่
ึ
ุ
ึ
ความดันในทะเลลกนั้นอันตรายต่อมนษย์มากซงความกดดันในทะเลจะ
ุ
เพิ่มข้นประมาณ 1 บรรยากาศทก ๆ 10 เมตรยิ่งมความลกมากความดันก็ยิ่ง
ี
ึ
ึ
ึ
ี
ี
ื
ู
่
่
ึ
มาก แต่ถงอย่างนั้นหลายปทผ่านมาการศกษาเรองความดันนั้นขาดข้อมลและ
่
ี
ี
ี
ิ
ึ
ี่
รายละเอยดเกียวกับผลกระทบของแรงกดดันต่อส่งมชวิตในทะเลลกมากทสด
ุ
ึ
ี
ั
ื
ื
่
่
ิ
เนองจากตัวอย่างส่งมชวิตเมอน ามาข้นฝ่งเพือท าการศกษานั้นพวกมันก็จะตาย
ึ
ี
่
ู
ี
ก่อนทจะได้ศกษาเนองจากก๊าซทถกบบอัดภายใต้แรงดันสงจะขยายตัวภายใต้
ี
ู
่
ึ
ื
่
ี
ิ
ี
ิ
แรงดันต า ด้วยเหตน้ส่งมชวิตเหล่าน้จงถกระเบดหากพวกมันข้นส่ผิวน ้า
ู
่
ุ
ึ
ี
ู
ึ
ี
ี
ิ
ุ
ิ
สถตโลกระบว่า วาฬ (Physeter Catadon) เวลาออกล่าหา
็
อาหารสามารถด าน ้าได้ลก 3,100 เมตร เปนเวลานาน 1 ชั่วโมง 52 นาท ี
ึ
ึ
แมวน ้า (Mirunga Angustirostris) ด าน ้าได้ลก 1,257 เมตร และ
นาน 48 นาท เพนกวินจักรพรรด (emperor penguin) สามารถด าน ้า
ิ
ี
ึ
ื
ี
ทะเลได้ลก 500 เมตร โดยใช้เวลาเพียง 12 นาท แต่ในน ้าต้น มันด าได้นาน 20
นาท ี
ึ
การข้นลงของน า (Tidal Wave)
้
้
่
็
่
้
ปรำกฏกำรณ์น ำขึ้น-น ำลง เปนปรำกฏกำรณ์ทีเกยวข้องกับพระอำทิตย์ โลก และดวง
ี
่
จันทร์ ซึงเปนผลมำจำกแรงดึงดูดทีดวงจันทร์และดวงอำทิตย์กระท ำต่อโลก โดยดวงจันทร์
่
็
ิ
่
ื
จะมีอิทธพลต่อโลกมำกกว่ำดวงอำทิตย์ เนองจำกดวงอำทิตย์อยูห่ำงจำกโลกถึง 390 เท่ำ
่
่
ขณะทีดวงจันทร์อยูใกล้โลกมำกกว่ำ แรงดึงดูดของดวงจันทร์จึงมีอิทธพลท ำให้เกดน ำขึ้น
้
ิ
่
ิ
้
น ำลงมำกกว่ำดวงอำทิตย์
่
กำรทีโลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ท ำให้บริเวณต่ำง ๆ ของโลกด้ำนทีใกล้ดวงจันทร์และ
่
้
ิ
้
่
ด้ำนตรงข้ำมดวงจันทร์เกดปรำกฏกำรณ์น ำขึ้น-น ำลง วันละ 2 รอบ โดยขณะทีโลก
็
หมุนรอบตัวเองนั้น น ำขึ้นจะเกดบนผิวโลกด้ำนทีหันเข้ำหำดวงจันทร์ เนองจำกเปนจุดที ่
ื
่
่
ิ
้
ใกล้ดวงจันทร์มำกทีสุด แรงดึงดูดระหว่ำงดวงจันทร์กับโลกจึงมีควำมเข้มมำก นอกจำกน้ ี
่
่
ิ
น ำขึ้นยังเกดบนผิวโลกด้ำนทีอยูตรงข้ำมกับดวงจันทร์ด้วย แต่ไม่ใช่เพรำะแรงดึงดูด
้
่
่
็
มำกกว่ำบริเวณอืนเช่นเดียวกับด้ำนทีอยูใกล้ดวงจันทร์ หำกเปนเพรำะผิวโลกด้ำนทีอยู ่
่
่
่
ตรงข้ำมกับดวงจันทร์นั้นได้รับอิทธพลจำกแรงดึงดูดระหว่ำงโลกกับดวงจันทร์น้อยกว่ำ
ิ
่
่
่
่
่
บริเวณอืน เมือโลกบริเวณอืนถูกดึงดูดเข้ำหำดวงจันทร์มำกกว่ำผิวโลกด้ำนทีอยูตรงข้ำม
้
่
่
่
็
กับดวงจันทร์ ท ำให้ผิวโลกด้ำนทีอยูตรงข้ำมกับดวงจันทร์กลำยเปนจุดทีน ำไหลมำรวมกัน
็
้
มำก เกดเปนน ำขึ้นอีกจุดหนึ่งบนโลก
ิ
ปรากฏการณ์น ้าเกิด (Spring tides)
่
่
เมือมีกำรเรียงตัวอยูในระนำบเดียวกันของดวงอำทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก หรือ ดวง
่
่
อำทิตย์ โลก และดวงจันทร์ ในช่วงเวลำทีดวงจันทร์เต็มดวง หรือกคือวันขึ้น 15 ค ำ
็
่
(Full moon) และวันแรม 15 ค ำ (New Moon) แรงดึงดูดของดวงอำทิตย์และ
ิ
ิ
้
่
ดวงจันทร์ทีกระท ำต่อโลกจะเสริมกันสูงสุด ท ำให้เกดปรำกฏกำรณ์น ำเกด (Spring
่
่
้
่
้
่
tides) หรือน ำขึ้นสูงสุด ซึงระดับน ำทีขึ้นสูงสุดกับระดับน ำทีลงต ำสุดจะมีควำม
้
แตกต่ำงกันมำก
ปรากฏการณ์น ้าตาย (Neap tides)
่
่
ปรำกฏกำรณ์น ำตำย เกดขึ้นในวันขึ้น 8 ค ำ และวันแรม 8 ค ำ เมือดวงอำทิตย์ ดวงจันทร์
่
ิ
้
และโลก ไม่ได้เรียงตัวบนแนวเดียวกัน แต่ตั้งฉำกซึงกันและกัน โดยดวงอำทิตย์และดวง
่
จันทร์ท ำมุมตั้งฉำกกัน 90 องศำ แรงดึงดูดของดวงอำทิตย์และดวงจันทร์ทีกระท ำต่อ
่
่
้
ิ
โลกจะไม่เสริมกัน ต่ำงฝำยต่ำงออกแรงกระท ำต่อโลก ท ำให้เกดปรำกฏกำรณ์น ำตำย
่
่
้
่
(Neap tides) ซึงระดับน ำทีขึ้นสูงสุดกับระดับน ำทีลงต ำสุดจะไม่แตกต่ำงกันมำก
่
้
ี
• ทั้งน้จะเห็นว่ำ ปรำกฏกำรณ์น ำเกดและน ำตำยน้มีควำมสัมพันธ์กับข้ำงขึ้นและ
ี
้
ิ
้
ิ
ข้ำงแรม โดยจะเกดขึ้นรวมกัน 4 ครั้งใน 1 เดือน
ผลกระทบของน ้ำขึ้น-น ้ำลง
ี
่
ี
น ้ำขึ้น-น ้ำลงมผลต่อกำรเพิมหรือลดของระดับน ้ำในมหำสมุทร กำรทน ้ำลงอำจ
่
ท ำให้บริเวณช่องทำงเดินเรือตื้นเขน กำรเดินเรือจึงไม่สะดวก ดังนั้น นักเดินเรือ
ิ
ี
ิ
จึงต้องคอยติดตำมกำรเกดน ้ำขึ้นและน ้ำลงอยู่เสมอ ปรำกฏกำรณ์น้ยังส่งผล
ี
ี
ต่อระดับน ้ำบริเวณปำกแม่น ้ำอกด้วย กำรทน ้ำขึ้นท ำให้น ้ำในมหำสมุทรไหล
่
่
เข้ำสูแม่น ้ำ น ้ำเพิมขึ้นสูง ท่วมบ้ำนเรือนทีอยู่ริมชำยฝง และเกดน ้ำเค็มและน ้ำ
ิ
ั
่
่
่
ื
็
จดผสมผสมกันเปนน ้ำกร่อย หำกมน ้ำขึ้นหนุนสูงมำกเกนไปอำจท ำให้พืชสวน
ี
ิ
หรือกำรเกษตรเสียหำยได้
บรรณำนุกรม
้
ื่
ื
มหำสมุทร สภำพแวดลอมและอุณหภูมิ. สบคนเมอวันที่ 4 มีนำคม 2564
้
ึ
เข้าถงได้จาก : https://sites.google.com/site/wyundersea/mhasmuthr-
sphaph-waedlxm-laea-xunhphumi
ลักษณะน้ำในมหำสมุทร. สบคนเมอวันที่4 มีนำคม 2564
้
ื
ื่
้
้
เขำถึงไดจำก :https://sites.google.com/site/welcomewaterwold/our-
pastors
ี
ื
มหัศจรรย์น ้าทะเลเรองแสง. สบค้นเมอวันท 4 มนาคม 2564
ื่
ี่
ื
ึ
เข้าถงได้จาก :https://www.scimath.org/article-
science/item/10979-2019-10-25-07-25-14
้
ื่
น้ำขึ้น-น้ำลง เกิดขึ้นไดอยำงไร.สบคนเมอวันที่ 4 มีนำคม 2564
ื
่
้
ึ
เข้าถงได้จาก :https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/68024/-blo-
sciear-sci-