เอกสารประกอบการเรียน
รายวชิ าชีววทิ ยา 5 รหสั วิชา ว30245 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6
กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ
เล่มท่ี 4 เรอ่ื ง อาณาจกั รของสง่ิ มชี ีวิต
นางสาวนภศร เสรกี ุล
ตาํ แหนง่ ครู
โรงเรยี นโนนกลางวิทยาคม อําเภอพิบลู มังสาหาร จังหวัดอบุ ลราชธานี
สงั กดั องค์การบรหิ ารส่วนจงั หวดั อุบลราชธานี
ก
คำนำ
เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาชีววิทยา 5 รหสั วิชา ว33245 ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 6
เร่ือง ความหลากหลายทางชีวภาพ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยเอกสาร
ประกอบการเรยี นทง้ั หมด 6 เลม่ ผู้สอนจัดทาข้นึ เพื่อใหผ้ ูเ้ รยี นใชป้ ระกอบกิจกรรมการเรียนการสอน
และสามารถเรยี นรดู้ ้วยตนเอง หรือนาไปใช้ในการเรียนการสอนซ่อมเสรมิ ได้ หรือใชใ้ นการสอนแทน
ได้เป็นอย่างดี เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ อย่างคงทน
และนาผลไปสูก่ ารยกระดบั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนไดด้ ยี ง่ิ ขนึ้
ภายในเล่มประกอบด้วย คาชี้แจงในการใช้เอกสารประกอบการเรียนสาหรับครู
คาชี้แจงในการใช้เอกสารประกอบการเรียนสาหรับนักเรียน แผนภูมิลาดับข้ันการใช้เอกสาร
ประกอบการเรียน มาตรฐานการเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรียน ใบความรู้ แบบฝึกหัด ใบงาน
แบบทดสอบหลังเรียน เฉลยแบบฝึกหัด เฉลยใบงาน เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
นักเรยี นจึงสามารถใช้เอกสารประกอบการเรียน เล่มน้ีได้ด้วยตนเอง ซึ่งก่อนใชน้ กั เรียนจะต้องศึกษา
คาชี้แจงการใช้ให้เข้าใจ หากมีข้อสงสัยให้สอบถามครูผู้สอนจนเกิดความเข้าใจก่อนลงมือปฏิบัติ
กิจกรรมเพอ่ื ใหเ้ กดิ ประสิทธิภาพสูงสุด
ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงว่าเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ความหลากหลายทาง
ชีวภาพ นี้จะทาให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพได้เป็นอย่างดี
และมีผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นสูงขึน้ สามารถใช้เพอ่ื ศกึ ษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง เป็นสอ่ื ท่ีมีประสิทธภิ าพ
สามารถอานวยประโยชนต์ อ่ การเรยี นการสอนใหบ้ รรลวุ ตั ถุประสงค์ของหลักสตู รได้
นภศร เสรกี ลุ
ข
สำรบัญ
เรื่อง หน้ำ
คานา ก
สารบญั ข
คาช้แี จงเกย่ี วกับเอกสารระกอบการเรียน ค
คาแนะนาในการใช้เอกสารประกอบการเรยี นสาหรบั ครู ง
คาแนะนาในการใช้เอกสารประกอบการเรียนสาหรับนักเรียน จ
แผนภูมิลาดับขั้นการใช้เอกสารประกอบการเรยี น เร่ือง อาณาจักรของสง่ิ มีชวี ิต ฉ
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 1
แบบทดสอบก่อนเรยี น เร่อื ง อาณาจักรของสิ่งมชี วี ิต 3
ใบความรู้ เรอื่ ง อาณาจกั รของสิง่ มีชวี ติ 6
แบบฝกึ หดั เร่อื ง อาณาจกั รของส่ิงมีชวี ิต 45
ใบงานท่ี 4 เรื่อง อาณาจกั รของสง่ิ มชี ีวติ 48
แบบทดสอบหลงั เรียน เรื่อง อาณาจกั รของสิง่ มชี ีวิต 49
เฉลยแบบฝึกหดั เรอื่ ง อาณาจกั รของสง่ิ มชี วี ติ 52
เฉลยใบงานที่ 4 เร่ือง อาณาจักรของสงิ่ มชี ีวติ 55
เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน / หลงั เรยี น เร่ือง อาณาจักรของส่งิ มีชวี ติ 56
บรรณำนกุ รม 57
ประวัตยิ ่อเจ้ำของผลงำน 59
ค
คำชแี้ จงในเกยี่ วกบั เอกสำรประกอบกำรเรยี น
1. เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ รายวิชาชีววิทยา 5
รหัสวิชา ว33245 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประกอบด้วยเอกสารประกอบการเรียน ทั้งหมด 6 เล่ม
ดงั นี้
เลม่ ท่ี 1 ความหลากหลายของส่ิงมีชวี ติ เวลา 2 ชวั่ โมง
เลม่ ท่ี 2 การศึกษาความหลากหลายของสง่ิ มชี ีวิต เวลา 2 ช่ัวโมง
เลม่ ที่ 3 กาเนิดของชวี ิต เวลา 2 ช่ัวโมง
เล่มท่ี 4 อาณาจกั รของสงิ่ มชี วี ิต เวลา 2 ชั่วโมง
เล่มที่ 5 ความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย เวลา 2 ชวั่ โมง
เลม่ ที่ 6 การสูญเสยี ความหลากหลายทางชวี ภาพ เวลา 2 ช่วั โมง
2. เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ รายวิชาชีววิทยา 5
รหสั วิชา ว33245 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ประกอบด้วย
- คาชแ้ี จงเก่ยี วกับเอกสารประกอบการเรียน
- คาแนะนาสาหรบั ครู
- คาแนะนาสาหรบั นกั เรียน
- มาตรฐานการเรียนรู้ / จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ / สาระการเรียนรู้
- แบบทดสอบกอ่ นเรียน / แบบทดสอบหลังเรียน
- ใบความรู้ / ใบงาน / แบบฝกึ หดั
- เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น
- เฉลยใบงาน / แบบฝกึ หัด
ง
คำแนะนำในกำรใช้เอกสำรประกอบกำรเรียนสำหรับครู
เอกสารประกอบการเรียน เร่อื ง ความหลากหลายทางชีวภาพ รายวิชาชวี วทิ ยา 5 รหัสวชิ า
ว33245 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 ครูผู้สอนเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการดาเนินการจัดการเรียนรู้ของ
นักเรยี นใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ ครูผู้สอนควรปฏิบตั ิ ดังนี้
1. จัดเตรยี มเอกสารประกอบการเรยี นให้พรอ้ มและเพยี งพอสาหรับนักเรียน
2. ใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี น เพ่ือประเมินความรเู้ ดมิ ของนกั เรยี น
3. แจ้งจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรูส้ ูต่ ัวชี้วดั ใหน้ กั เรยี นทราบ
4. แจกเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ ให้นักเรียน
ศกึ ษาและแนะนาวิธใี ช้เอกสารประกอบการเรียนเพอื่ นกั เรียนจะได้ปฏบิ ัตไิ ด้อยา่ งถกู ต้อง
5. ดาเนินการสอนตามกิจกรรมการเรียนรู้ท่กี าหนดไว้ในแผนการจดั การเรยี นรู้
6. หากมีนักเรยี นบางคนเรียนไมท่ ัน ครูควรใหค้ าแนะนา หรอื อาจมอบหมายงาน
หรอื เอกสารใหศ้ ึกษาเพ่มิ เติมในเวลาวา่ ง
7. หลังจากนักเรียนศึกษาเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง ความหลากหลายทาง
ชวี ภาพ เรยี บรอ้ ยแล้ว ครูและนักเรียนควรช่วยกันสรุป พร้อมท้ังให้นักเรยี นทาแบบฝึกหดั และทา
แบบทดสอบหลงั เรยี น
8. ครูเฉลยแบบฝึกหัด แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน และบนั ทึกคะแนนของ
นกั เรียนแตล่ ะคนไว้ เพอื่ ประเมนิ การพฒั นาและความกา้ วหน้า หากมนี ักเรยี นไม่ผ่านเกณฑค์ รคู วร
จดั สอนซ่อมเสริม
9. ครสู งั เกตความตั้งใจของนักเรียน ความสนใจในการเรียน การทางานรว่ มกันเป็น
กลมุ่ ของนกั เรียนทุกกลุ่มอยา่ งใกลช้ ิด ถา้ กลุ่มใดมีปัญหาครทู าหน้าที่ให้คาแนะนา
10.การตรวจนับคะแนนแบบทดสอบหลังเรียน ตอบถูกได้คะแนนข้อละ 1 คะแนน
โดยใชเ้ กณฑก์ ารผา่ นร้อยละ 80 ถ้านกั เรียนทาคะแนนไดน้ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 80 ควรจดั ใหม้ ีการสอน
ซอ่ มเสรมิ
จ
คำแนะนำในกำรใช้เอกสำรประกอบกำรเรียนสำหรับนกั เรยี น
ในการศึกษาเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง ความหลากหลายทางชีวภาพ รายวิชา
ชวี วทิ ยา 5 รหัสวชิ า ว33245 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 เลม่ ท่ี 4 เร่อื ง อาณาจกั รของสง่ิ มชี วี ิต นักเรียน
ควรปฏบิ ัตติ ามคาแนะนา ดงั นี้
1. อ่านคาชี้แจงเกี่ยวกับเอกสารประกอบการเรียนและคาแนะนาสาหรับนกั เรียนให้
เขา้ ใจกอ่ นทีจ่ ะลงมอื ศกึ ษาเอกสารประกอบการเรียน เรือ่ ง ความหลากหลายของสง่ิ มีชวี ติ
2. นักเรียนศึกษาสาระ/มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ จดุ ประสงค์
การเรยี นร้ขู องเรื่องทเ่ี รียนให้เขา้ ใจ
3. ทาแบบทดสอบก่อนเรียน จานวน 10 ข้อ โดยใช้เวลา 10 นาที เพ่ือประเมิน
ความร้เู ดิมของนกั เรยี น
4. ศึกษาเอกสารประกอบการเรียนจากใบความรู้ท่ีครูจัดเตรียมไว้ด้วยความต้ังใจ
โดยปฏบิ ัตติ ามขั้นตอนที่กาหนดไว้ในกรอบคาส่ัง
5. เมื่อนักเรียนศึกษาสาระการเรียนรู้เสร็จเรียบร้อย ให้นกั เรียนทาแบบฝึกหัดท่ีครู
จัดเตรียมไว้ หากนักเรียนไม่เข้าใจสาระการเรียนรู้ใดให้กลับไปศึกษาอีกคร้ัง และให้นักเรียน
ปฏิบตั ติ ามขั้นตอนเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขน้ึ
6. ทาแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อเปรียบเทียบความก้าวหน้าในการเรียนของ
นกั เรียน
7. นักเรียนศึกษาและทากิจกรรมร่วมกับครูหรือร่วมกับกลุ่มตามท่ีกาหนดไว้ใน
แบบฝึกหัดและใบงาน
8. นักเรียนควรมีความซ่ือสัตย์และวินัยในการทากิจกรรมการเรียนรูท้ ่ีกาหนดไว้ใน
เอกสารประกอบการเรยี น
9. ในการทาแบบฝึกหัด แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนให้นักเรียนทาด้วย
ความตั้งใจและมีความซ่ือสัตย์ต่อตนเองให้มากท่ีสุด โดยไม่ดูเฉลยก่อนทาแบบฝึกหัดและ
แบบทดสอบ
ฉ
แผนภมู ิลำดับขน้ั กำรใช้เอกสำรประกอบกำรเรยี น
อ่านคาชี้แจงและคาแนะนาในการใช้เอกสารประกอบการเรยี น
ศึกษาจดุ ประสงค์การเรยี นร้สู ู่ตวั ชี้วัด เสรมิ พ้นื ฐาน
ทดสอบกอ่ นเรียน ผ้มู พี ้นื ฐาน
ศึกษาบทเรยี นและฝึกปฏิบตั ิตามขน้ั ตอน ตา่
ประเมนิ ผลการทาเอกสารประกอบการเรยี น
ไม่ผ่าน ทดสอบหลังเรยี น
การทดสอบ ผ่านการทดสอบ
c[ศกึ ษาเอกสารประกอบการเรียนเร่อื งตอ่ ไป
ลำดบั ขนั้ กำรใช้เอกสำรประกอบกำรเรียน เรอื่ ง ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ
เลม่ ท่ี 4 อำณำจักรของสงิ่ มชี ีวติ
1
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ 1 ส่ิงมีชีวติ กับกระบวนการดารงชีวติ
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่มีผลต่อมนุษย์
และส่ิงแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ ส่ือสารส่ิงที่เรียนรู้
และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์
ผลการเรยี นรู้
สบื คน้ ขอ้ มลู ทดลอง อธิบาย อภิปรายและวิเคราะหส์ ภาพปัญหาเก่ียวกับความหลากหลาย
ทางชีวภาพ การศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ กาเนิดของชีวิต อาณาจักรของสิ่งมีชีวิต ความ
หลากหลายทางชวี ภาพในประเทศไทย
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. สืบค้นข้อมูล สารวจตรวจสอบ อภิปรายและสรุปลักษณะของ ท่ีเหมือนและแตกต่างกัน
ของสิ่งมชี ีวิตในอาณาจักรตา่ งๆ
2. อธิบายหลักเกณฑ์การจาแนกส่ิงมีชีวิตและระบุลาดับกาเนิดของส่ิงมีชีวิตในอาณาจักร
ตา่ ง ๆ ตามสายววิ ฒั นาการ
3. สารวจตรวจสอบ สังเกตลกั ษณะทส่ี าคัญของส่งิ มีชีวิตตา่ ง ๆ ในท้องถ่นิ
4. สืบค้นข้อมูล อภิปรายเพ่ืออธิบายลักษณะท่ีเหมือนกันและแตกต่างกันของส่ิงมีชีวิตใน
อาณาจกั รมอเนอรา อาณาจกั รโพรทสิ ตา อาณาจกั รพืช อาณาจกั รฟังใจ และอาณาจกั รสัตว์
5. สืบค้นข้อมูล อภิปรายและนาเสนอคุณค่าของความหลากหลายของส่ิงมีชีวิตใน
อาณาจกั รต่าง ๆ กบั การใชป้ ระโยชน์ของมนษุ ย์ที่มีผลต่อสังคมและสิ่งแวดลอ้ ม
สาระสาคญั
ความหลากหลายทางพันธุกรรม ความหลากหลายของสปีชีส์และความหลากหลายของ
ระบบนิเวศ ทาให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายของส่ิงมีชีวิตในปัจจุบัน
สามารถจาแนกได้ 5 อาณาจกั ร
อาณาจกั รมอเนอรา เป็นโพรคารโิ อตเซลลเ์ ดียว มีการดารงชวี ิตท่ีหลากหลาย ส่งิ มีชีวติ ใน
อาณาจักรนีม้ ีบทบาทสาคัญในการหมุนเวียนสารในระบบนเิ วศ ในการรักษาสภาพแวดลอ้ ม และใน
อตุ สาหกรรมหลายชนดิ รวมท้งั เป็นสาเหตุทาให้เกดิ โรคในสิ่งมีชวี ิตอื่น ๆ
2
อาณาจักรโพรทิสตา เป็นยูคาริโอตกลุ่มแรกที่มีวิวฒั นาการมาจากโพรคาริโอต มีท้ังเป็น
เซลล์เดียวขนาดเลก็ จนถึงหลายเซลลข์ นาดใหญ่ที่มโี ครงสร้างซับซ้อน แตย่ ังไม่พฒั นาเป็นเน้อื เย่ือ มี
การดารงชีวิตที่หลากหลายแตกต่างกัน หลายชนิดมีบทบาทเป็นผู้ผลิต เป็นปรสิตที่ทาให้เกิดโรคใน
ส่งิ มชี ีวิตอ่นื ทาใหเ้ กิดมลภาวะในแหล่งน้า และทาให้เกิดการหมนุ เวียนของสารในระบบนิเวศ
อาณาจักรพืช เป็นยูคาริโอตหลายเซลล์ที่เซลล์ประกอบกันเป็นเนื้อเยื่อทาให้มีโครงสร้าง
ซับซ้อน ดารงชีวิตเป็นผู้ผลิตที่สาคัญในระบบนิเวศ พืชมีวิวัฒนาการในการปรับตัวด้านโครงสร้าง
ด้านองค์ประกอบทางเคมีและด้านการสืบพันธ์ุเพื่อมาดารงชีวิตบนบก นอกจากเป็นแหล่งอาหาร
สาคัญแล้ว ยงั นามาใชเ้ ปน็ วัสดสุ ร้างทีอ่ ยู่อาศยั ทาเคร่ืองน่งุ ห่มและนามาเปน็ ยารกั ษาโรค
อาณาจักรฟังไจ เป็นยูคาริโอตเซลล์เดียวและหลายเซลล์ท่ียังไม่พัฒนาเป็นเนื้อเยื่อ
ดารงชีวิตเป็นผู้ย่อยสลายอินทรียสารท่ีสาคัญในระบบนิเวศ นามาใช้ประยุกต์ในด้านอุตสาหกรรม
ด้านสงิ่ แวดล้อม ทางการแพทยแ์ ละเป็นแหล่งอาหารของส่งิ มีชีวิตอ่ืน แตบ่ างชนิดเป็นปรสิตกอ่ ใหเ้ กิด
โรคในมนุษยแ์ ละสิง่ มชี ีวติ อื่นดว้ ย
อาณาจักรสัตว์ เป็นยูคาริโอตท่ีประกอบกันเป็นเน้ือเยื่อ ดารงชีวิตเป็นผู้บริโภคในระบบ
นิเวศหลายชนิด เปน็ แหล่งอาหารทส่ี าคัญของมนษุ ย์ รวมทั้งมีคุณคา่ ทางเศรษฐกิจอกี ดว้ ย มนษุ ยเ์ ป็น
สตั วเ์ ล้ยี งลกู ด้วยน้านมทม่ี ีววิ ัฒนาการมาจากบรรพบรุ ษุ ของสัตวใ์ นกลุม่ ไพรเมต
ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพท่ีอุดมสมบูรณ์ แต่ ยังมีการศึกษาความ
หลากหลายทางชีวภาพไม่มากนัก ผลจากการทากิจกรรมต่างๆ ของคนก่อให้เกิดการสูญเสียความ
หลากหลายทางชีวภาพเป็นอย่างมาก ทกุ คนจึงควรตระหนักถงึ ความสาคัญของความหลากหลายทาง
ชีวภาพและหาแนวทางป้องกันความสูญเสียความหลากหลายทางชวี ภาพของประเทศไทย
3
แบบทดสอบก่อนเรยี น เร่อื ง อาณาจกั รของสง่ิ มีชวี ติ
ชน้ั มัธยมศกึ ศสาปที ่ี 6
บทที่ 20 ความหลากหลายทางชีวภาพ
รายวชิ าชวี ิวิทยา 5 (ว33245)
คาช้ีแจง 1. แบบทดสอบฉบบั นี้ จานวน 10 ขอ้ คะแนนเตม็ 10 คะแนน เวลาที่ใช้ 10 นาที
2. จงเลอื กคาตอบทีถ่ กู ตอ้ งที่สุด แล้วเขียนเครือ่ งหมาย ลงในกระดาษคาตอบ
1. ไฟลัม Porifera มลี กั ษณะท่ไี ม่มีใครเหมือนคอื
ก. มเี ซลล์ 3 ชนดิ คือ ammoebocyte/coanocyte/porocyte
ข. มหี นวดท่มี เี ขม็ พิษอยู่ด้านใน
ค. มที างน้าเขา้ ostium ทางนา้ ออก osculum และมี spicule
ง. มที างนา้ เขา้ osculum ทางนา้ ออก ostium และมี spicule
2. ปัจจยั ใดท่ีทาให้พืช มอส และลิเวอรเ์ วริ ์ตมีขนาดเลก็ และมักขน้ึ ในทช่ี มุ ชน้ื
ก. แสงสวา่ ง
ข. การคายนา้
ค. ระบบลาเลยี ง
ง. ความแห้งแลง้
3. อาณาจักรสัตวแ์ บ่งเป็นกีไ่ ฟลัม
ก. 7
ข. 8
ค. 9
ง. 10
4. ขอ้ ใดไม่ใช่ลกั ษณะของสาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงิน
ก. เป็นพวกโปรคารโิ อต
ข. ผนงั เซลล์เป็น cellulose และ pectin
ค. อยู่ได้ในลกั ษณะเซลล์เดี่ยว กลมุ่ และเปน็ สาย
ง. มี chlorophyll phycocyanin phycorythin กระจายในเซลล์ และรวมเป็น
chloroplast
4
5. ยสี ต์ จัดอยู่ในรากลุ่มใด
ก. Basidomycota
ข. Zygomycota
ค. Ascomycota
ง. Chytridomycota
6. วอลวอกซ์ (Volvox) ทีอ่ ย่ใู น Phylum Chlorophyta มรี ปู ร่างลักษณะอยา่ งไร
ก. หลายเซลล์ต่อกนั เปน็ สายยาว
ข. เซลล์เดยี วเคล่ือนที่ไม่ได้
ค. เซลล์เดียวเคลือ่ นท่ีได้
ง. หลายเซลล์เป็นกลุ่ม
7. ข้อใดไมใ่ ช่การแบง่ แบคทีเรยี ตามความต้องการสารอาหาร
ก. Chemoautoproph
ข. Mesophile
ค. Photoheterotroph
ง. Photoautotroph
8. เซลล์หลายเซลลเ์ รยี งกันเป็นกลุ่มกอ้ นคล้ายพวงองุ่นในแบคทีเรยี เรียกวา่ อะไร
ก. Staphylococci
ข. Streptococci
ค. Sarcina
ง. Diplococci
9. สิง่ ในชวี ิตท่ีจะจัดไวใ้ นอาณาจกั รพชื (Kingdom Plantae) ต้องมีลักษณะสาคัญเด่นชดั ในขอ้ ใด
ก. มรี ะยะตน้ อ่อน มีคลอไรปลาสท์และมีวงจรชีวติ แบบสลบั
ข. มผี นงั เซลล์ มีคลอไรปลาสท์ และมีวงจรชีวิตแบบสลับ (alteration of generation)
ค. มหี ลายเซลล์ (multicellular) และมคี ลอไรปลาสท์
ง. มเี นอื้ เยอ่ื มรี ะยะตวั ออ่ น มีการสบื พนั ธแุ์ บบใช้เพศ สลับกบั แบบไมใ่ ชเ้ พศ
5
10. ข้อใดไม่ได้จดั อย่ใู น Kingdom Fungi
ก. ราแดง
ข. ราเมือก
ค. โมเรล
ง. ทรัฟเฟลิ
6
ใบความรู้
เร่ือง อาณาจักรของสง่ิ มีชีวิต
สิ่งมีชีวิต จะมีคุณลักษณะ (properties) ท่ีไม่พบในสิ่งไม่มีชีวิต อันได้แก่ความสามารถใน
การใช้สสารและพลังงานเป็นสาคญั ซึ่งได้รับถ่ายทอดจากบรรพบุรษุ ของสิ่งมชี ีวิตแรกเร่ิม อย่างไรก็
ตามสิ่งมีชวี ิตเร่ิมแรกหรือบรรพบรุ ุษของสงิ่ มีชีวิตซ่ึงถอื กาเนิดมาบนโลกกวา่ 4 พนั ล้านปี เม่อื ผ่านการ
วิวัฒนาการและการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมในแต่ละช่วงเวลา ก่อให้เกิดความหลากหลายทาง
ชีวภาพของส่ิงมีชีวิตเป็นจานวนมากดงั ทีป่ รากฏในปจั จุบนั
สิง่ มีชีวิตในโลกน้ีมมี ากมายหลายชนิด ซึ่งแตล่ ะชนิดจะมีความแตกตา่ งกนั จึงจาเป็นที่จะต้อง
มีการจัดแบ่งหมวดหมู่เพื่อความสะดวกในการศึกษา และการนามาใช้ประโยชน์ วิชาที่ว่าด้วยการ
จัดแบ่งหมวดหมู่ของส่ิงมีชีวิต เรียกว่า อนุกรมวิธาน (Taxonomy) นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยก
ยอ่ งให้เป็นบดิ าแหง่ วชิ าอนุกรมวธิ าน คือ คาโรลสั ลินเนยี ส (Carolus Linnaeus) ชาวสวีเดน
ชอ่ื ของส่ิงมีชวี ติ มี 2 ชนดิ คือ
1. ชื่อสามัญ (common name) คือ ชื่อที่เรียกกันทั่ว ๆ ไป อาจเรียกตามลักษณะ[ทาง
กาย]] ถ่นิ กาเนดิ หรือสถานทีอ่ ยู่กไ็ ด้เชน่ ปากกาทะเล หอยมุก เปน็ ตน้ ซึง่ ชอื่ ดงั กล่าวอาจเรียกตา่ งกัน
ในแตล่ ะทท่ี าใหเ้ กดิ ความเข้าใจผดิ ได้
2. ชื่อวิทยาศาสตร์ (scientific name) ลินเนียสเป็นผู้เร่ิมใช้เป็นคนแรก โดยสิ่งมีชีวิต
ประกอบด้วยชือ่ 2 ช่ือ ช่ือแรกเป็นชื่อ จีนสั ช่ือท่ี2 เป็นชอ่ื สปีชีส์ เขียนด้วยภาษาลาติน ช่ือจีนัสตัว
แรกเขียนดว้ ยอักษรตัวใหญเ่ สมอ ตัวแรกของสปชี สี ์เป็นชอ่ื ตวั เล็กธรรมดา ต้องเขียนให้ตา่ งจากอักษร
อื่นเช่น ตัวเอน ตัวหนา หรือขีดเส้น ท้ัง 2 ชื่อไม่ติดกันเรียกระบบน้ีว่า การตั้งช่ือแบบบทวินาม
(binomial nomenclature)
ลกั ษณะท่ีใชใ้ นการจาแนกสิ่งมีชวี ติ
1. ลกั ษณะภายนอกและโครงสรา้ งภายใน
2. แบบแผนการเจริญเตบิ โตและโครงสร้างระยะตัวออ่ น
3. ซากดึกดาบรรพ์ของสง่ิ มชี วี ติ ทค่ี น้ พบ
4. โครงสร้างของเซลล์และออรแ์ กเนล
5. สรีระวิทยาและการสังเคราะห์สารเคมี
6. ลักษณะทางพันธกุ รรมของส่งิ มชี วี ิต
7
ลาดับข้นั ในการจดั หมวดหมูส่ ง่ิ มชี ีวิต
ลาดับข้ันของหมวดหมู่สิ่งมีชีวิต (taxonomy category) มีการจัดลาดับต้ังแต่ใหญ่ที่สุด
ถงึ เลก็ ทีส่ ุดดงั น้ี
1. อาณาจักร (kingdom)
2. ไฟลมั (phylum) หรือดวิ ชิ นั (division)
3. ชนั้ (class)
4. อันดับ (order)
5. วงศ์ (family)
6. สกุล (genus)
7. สปีชีส์ (species)
อาร์ เอช วทิ เทเคอร์ (R.H.Whittadker) ไดแ้ บง่ ส่ิงมชี วี ิตออกเป็น 5 อาณาจกั ร คือ
1. อาณาจักรมอเนอรา (Kingdom Monera)
2. อาณาจกั รโพรติสตา (Kingdom Protista)
3. อาณาจกั รฟังไจ (Kingdom Fungi)
4. อาณาจกั รพืช (Kingdom Plantae)
5. อาณาจกั รสตั ว์ (Kingdom Animalia)
1. อาณาจกั รมอเนอรา
อาณาจักรมอเนอรา เป็นโพรคารโิ อตเซลล์เดยี ว มีการดารงชีวิตที่หลากหลาย สิง่ มีชีวิตใน
อาณาจักรนีม้ ีบทบาทสาคัญในการหมุนเวียนสารในระบบนเิ วศ ในการรักษาสภาพแวดลอ้ ม และใน
อตุ สาหกรรมหลายชนดิ รวมทง้ั เปน็ สาเหตทุ าใหเ้ กดิ โรคในสง่ิ มีชวี ิตอ่ืน ๆ
ลกั ษณะสาคญั ของสิง่ มีชวี ิตในอาณาจกั รมอเนอรา
- เป็นส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียวที่มโี ครงสร้างเซลล์แบบโพรคาริโอต (prokaryotic cell) ในขณะท่ี
สงิ่ มีชีวติ อื่นๆทุกอาณาจักรมีโครงสรา้ งเซลลแ์ บบยคู ารโี อต (eukaryotic cell)
- ไม่มีออร์แกเนลล์ชนิดมีเย่ือหุ้มเช่น ร่างแหเอนโดพลาสซึม กอลจิคอมเพลกซ์ ไลโซโซม
คลอโรพลาสต์ มเี ฉพาะออร์แกเนลล์ที่ไม่มีเย่ือหุ้มคือไรโบโซม ส่ิงมีชีวิตใรอาณาจกั รน้ีมีความสาคัญ
อย่างมากต่อระบบนิเวศ กล่าวคือ กลุ่มแบคทีเรียทาหน้าท่ีเป็นผู้ย่อยอินทรียสารก่อให้เกิดการ
หมนุ เวียนสารอนินทรียแ์ ละอินทรียส์ ารต่างๆ สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงินทาหน้าท่ีเปน็ ผผู้ ลติ ในระบบ
นิเวศและสิ่งมีชวี ิต 2 กลุม่ นี้ยงั มีความสาคัญในแง่เทคโนโลยีชีวภาพซึ่งได้มีการศึกษาวิจยั เพม่ิ มากขึ่น
8
เพ่อื นาไปใชป้ ระโยชน์ในด้านการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร อตุ สาหกรรม การแพทย์ และการศึกษา
พนั ธศุ าสตรซ์ ึ่งชว่ ยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรให้ดยี ิง่ ขนึ้
สงิ่ มีชีวิตในอาณาจกั รนแ้ี บง่ เป็น 2 ไฟลัม คือ
1. ไฟลัมชิโซไมโคไฟตา (PHYLUM SCHIZOMYCOPHYTA) แบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิต
เซลล์เดียว เซลล์ของแบคทีเรียมีผนังเซลล์ซ่ึงเป็นพวกคาร์โบไฮเดรตและกรดอะมิโน บางชนิดมี
แคปซูลเป็นสารเมือกหุ้มอยู่ เพ่ือป้องกันอันตรายแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือรูปร่างกลม
(COCCUS) รูปร่างเป็นท่อน (BACILLUS) และพวกท่มี ีรปู ร่างเป็นเกลยี ว (SPIRILLUM)
รปู ท่ี 4.1 ตัวอยา่ งแบคทเี รยี งรูปรา่ งตา่ ง ๆ
ทม่ี า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
9
2. ไฟลัมไซยาโนไฟตา (PHYLUM CYANOPHYTA) สาหรา่ ยสเี ขียวแกมนา้ เงนิ (BLUE
GREEN ALGAE) เช่น Oscillatoria Sp.,Spirulina Sp.,Anabaena Sp. เป็นต้น
รปู ที่ 4.2 สาหรา่ ยสีเขยี วแกมน้าเงนิ
ทมี่ า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
รปู ที่ 4.3 โครงสร้างของแบคทเี รีย
ที่มา https://sites.google.com/site/ruethairat2537/home/content2
10
1. เป็นสง่ิ มีชีวติ เซลล์เดียวทม่ี ีขนาดเล็กประมาณ 1- 5 ไมโครเมตร โครงสรา้ งเซลลแ์ บบโพร
คารโิ อต (prokaryotic cell) มีผนงั เซลล์เปน็ สารประกอบเพปทิโดไกลแคน
2. ภายในเซลล์ไม่มีเยื่อหุ้มสารพันธุกรรมและโครงสร้างอ่ืนหลายชนิด เช่น ร่างแห
เอนโดพลาสซึม กอลจิคอมเพลกซ์ ไลโซโซม คลอโรพลาสต์ มีเฉพาะออร์แกเนลล์ที่ไม่มีเยื่อหุ้ม คือ
ไรโบโซม
3. แบคทีเรียท่พี บสว่ นใหญ่ เซลล์เดียวหรอื อาจอยู่รวมกนั เปน็ กลมุ่ หรอื เปน็ สาย เช่น
รปู ท่ี 4.4 ทรงกลม
ท่ีมา https://sites.google.com/site/ruethairat2537/home/content2
รปู ท่ี 4.5 ทรงทอ่ น
ท่มี า https://sites.google.com/site/ruethairat2537/home/content2
11
รูปที่ 4.6 ทรงเกลยี ว
ทม่ี า https://sites.google.com/site/ruethairat2537/home/content2
สิง่ มีชวี ิตในอาณาจกั รนี้มีความสาคญั อยา่ งมากตอ่ ระบบนเิ วศ กล่าวคือ
1. "กลุ่มแบคทเี รีย" ทาหน้าท่ีเป็นผู้ย่อยอินทรีย์สารก่อใหเ้ กิดการหมุนเวียนสารอนิ
นทรียแ์ ละอนิ ทรียส์ ารต่างๆ
2. "สาหรา่ ยสเี ขยี วแกมน้าเงนิ " ทาหนา้ ทเ่ี ป็นผูผ้ ลิตในระบบนเิ วศ
ส่ิงมีชีวิต 2 กลุ่มนี้ยังมีความสาคัญในแง่เทคโนโลยีชีวภาพซ่ึงได้มีการศึกษาวิจัยเพ่ิมมากข้ึน
เพอ่ื นาไปใชป้ ระโยชน์ในดา้ นการเพ่ิมผลผลิตทางการเกษตร อุตสาหกรรม การแพทย์ และการศกึ ษา
พนั ธศุ าสตร์ซ่งึ ชว่ ยพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของประชากรให้ดียงิ่ ขนึ้
กลุม่ อาณาจกั รมอเนอรา
เป็นออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ อาณาจักรย่อยอาร์เคียแบคทีเรีย ( Subkingdom
Archaebacteria) และ อาณาจกั รยอ่ ยยูแบคทีเรีย (Subkingdom Eubacteria)
1. อาณาจักรยอ่ ยอาร์เคียแบคทเี รยี (Subkingdom Archaebacteria)
เป็นแบคทีเรียทผี่ นังเซลลไ์ ม่มสี ารเพปทิโดไกลแคน สามารถดารงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่
ส่งิ มีชีวิตกลุ่มอ่ืนอาจไม่สามารถดารงอยู่ได้ เชน่ ในแหล่งน้าพรุ ้อน ทะเลที่มีน้าเค็มจดั ในบริเวณที่มี
ความเป็นกรดสงู และบริเวณทะเลลึกเป็นต้น
แบง่ ได้ออกเปน็ 2 กลุ่ม คือ
12
รูปที่ 4.7
ทีม่ า https://sites.google.com/site/ruethairat2537/home/content2
1.2 กลมุ่ ครีนาร์เคยี โอตา ซึง่ ชอบอณุ หภูมสิ งู และกรดจัด
รปู ท่ี 4.8 กลมุ่ ครนี ารเ์ คยี โอตา
ท่มี า https://sites.google.com/site/ruethairat2537/home/content2
13
2. อาณาจกั รยอ่ ยยแู บคทีเรีย (Subkingdom Eubacteria)
ยแู บคทเี รียเป็นแบคทีเรียที่สามารถพบได้ทัง้ ในดนิ น้า อากาศ อาหาร นม และใน
ร่างกายของส่ิงมีชีวิตอื่น สามารถพบได้ทั้ง ในน้าเค็ม น้าจืด น้ากร่อย ในธารน้าแข็ง หรือแม้กระทั่ง
แหล่งน้าพุร้อน เป็นต้น นอกจากน้ียูแบคทีเรียมีกระบวนการเมแทบอลิซึมในการดารงชีวิตที่
หลากหลาย จึงอาจกล่าวได้วา่ เป็นส่ิงมีชวี ิตที่มีบทบาทสาคญั ต่อระบบนเิ วศ ยูแบคทีเรียแบง่ เปน็ กลุ่ม
ใหญๆ่ ดงั นี้
2.1 กลมุ่ โพรทีโอแบคทีเรยี (Proteobacteria)
เ ป็ น ยู แ บ ค ที เ รี ย แ ก ร ม ล บ ท่ี พ บ ม า ก ที่ สุ ด แ ล ะ มี ก ร ะ บ ว น ก า ร เ ม แ ท บ อ ลิ ซึ ม
ท่ีหลากหลายบางกลุ่มสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้คล้ายพืชบางกลุ่มสามารถดารงชีวืตโดยใช้
ไฮโดรเจนซัลไฟด์ และให้ซัลเฟอรใ์ นกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เช่น เพอเพิลซัลเฟอรแ์ บคทเี รีย
(purple sulfur bacteria) บางกลุ่มมีบทบาทช่วยตรึงแก๊สไนโตรเจนในอากาศมาสร้างเป็น
สารประกอบไนโตรเจนในดิน ซ่ึงเป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น Rhizobium sp. ใน
ปมรากของพืชตระกลู ถว่ั เปน็ ต้น
รปู ท่ี 4.9
ทีม่ า https://sites.google.com/site/ruethairat2537/home/content2
2.2 กลุ่มคลาไมเดีย (Chlamydias)
เป็นยูแบคทีเรียแกรมลบท่ีเป็นปรสิตในเซลล์และทาให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
เชน่ โรคโกโนเรยี หรือหนองใน เป็นต้น
14
รปู ท่ี 4.10
ท่มี า https://sites.google.com/site/ruethairat2537/home/content2
2.3 กลุ่มสไปโรคีท (Spirochetes)
เป็นยูแบคทีเรียแกรมลบที่มีรูปทรงเกลียว มีความยาวประมาณ 0.25 มิลลิเมตร
ยูแบคทีเรียในกลุ่มน้ีมีทั้งดารงชีวิตแบบอิสระและบางสปีชีส์เป็นสาเหตุของ โรคซิฟิลิส โรคฉี่หนู
เป็นต้น
รูปท่ี 4.10
ที่มา https://sites.google.com/site/ruethairat2537/home/content2
15
2.4 แบคทีเรียแกรมบวก (Gram-Positive Bacteria)
เป็นยูแบคทีเรียท่ีพบแพร่กระจายท่ัวไปในดิน อากาศ บางสปีชีส์สามารถผลิตกรด
แลกติกได้ เชน่ Lactobacillus sp. จึงนามาใช้ในอตุ สาหกรรมอาหารหลายชนิด เช่น การทาเนย ผัก
ดอง และโยเกิร์ต เป็นต้น บางสปีชสี ์ เช่น Streptomyces sp. ใช้ยาทาปฏิชีวนะ เช่น ยาสเตร็บ โต
มัยซิน ยาเตตราไซคลิน เป็นต้น ยูแบคทเี รียกล่มุ นบ้ี างสปีชีส์ เชน่ Bacillus sp. สามารถสร้างเอนโด
สปอร์ (endospore) ทาให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมท่ีไม่เหมาะสมได้ดีและบางชนิดเป็นสาเหตุทา
ให้เกดิ โรคแอนแทรกซ์
ยูแบคทีเรียแกรมบวกอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มที่ไม่มีผนังเซลล์มีเพียงเยื่อหุ้มเซลล์ท่ี
ประกอบด้วยชั้นของไขมันได้แก่ ไมโคพลาสมา (mycoplasms) เป็นเซลล์ท่ีมีขนาดใหญ่ท่ีสุด
ประมาณ 0.2-0.3 ไมโครเมตร สามารถเจริญและสืบพันธุ์ได้นอกเซลล์โฮสต์ ส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิด
อันตรายต่อส่งิ มีชีวติ อ่ืน แต่มีบางสปชี ีส์ที่เป็นสาเหตใุ ห้เกดิ โรคปอดบวมในคนและววั
รูปที่ 4.11
ท่มี า https://sites.google.com/site/ruethairat2537/home/content2
2.5 ไซยาโนแบคทีเรีย (Cyanobacteria)
เป็นยูแบคทีเรียที่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ มีสารสีเช่น คลอโรฟิลล์เอ แคโรที
นอยด์ และโฟโคบิลินอยู่ภายในถุงแบนๆท่ีมีเยื่อหุ้มเซลล์ พบแพร่กระจายในสภาพแวดล้อมท่ี
หลากหลายท้งั ในแหล่งน้าจืด น้าเคม็ บางสปชี สี ์พบในบ่อน้าพุรอ้ น และภายใต้นา้ แข็งของมหาสมทุ ร
เป็นต้น จากหลักฐานซากดึกดาบรรพ์ทาให้นักวิทยาศาสตร์คาดคะเนได้ว่าไซยาโนแบคทีเรียทาให้
ออกซิเจนในบรรยากาศเพ่ิมข้ึน มากข้ึนในโลกยคุ น้นั และก่อให้เกิดวิวฒั นาการของสิง่ มีชีวิตที่หายใจ
โดยใชอ้ อกซิเจนในปัจจุบนั
16
รูปท่ี 4.12
ที่มา https://sites.google.com/site/ruethairat2537/home/content2
ไซยาโนแบคทีเรียเป็นผผู้ ลิตท่ีสาคัญในระบบนิเวศและบางชนิดสามารถตรึงแก๊สไนโตรเจน
ในอากาศให้เป็นสารประกอบไนเตรต เช่น แอนาบีนา (Anabaena) นอสตอก (Nostoc) และออ
สซลิ ลาทอเรยี (Oscillatoria)
รปู ท่ี 4.13 Anabaena
ที่มา https://sites.google.com/site/ruethairat2537/home/content2
17
รปู ที่ 4.4 Nostoc
ที่มา https://sites.google.com/site/ruethairat2537/home/content2
รปู ท่ี 4.15 Oscillatoria
ทม่ี า https://sites.google.com/site/ruethairat2537/home/content2
แบคทีเรียมีบทบาทสาคัญอย่างย่ิงในระบบนิเวศ เนื่องจากมีการดารงชีวิตแบบภาวะย่อย
สลายจึงทาให้เกิดการหมนุ เวียนสารในระบบนิเวศ มีการนาแบคทเี รียมาใช้กาจดั ขยะที่มมี ากในเมอื ง
ใหญ่ ใช้สลายคราบน้ามันบริเวณชายฝ่ังและบริเวณทะเล รวมท้ังกาจัดสารเคมีท่ีตกค้างจาก
การเกษตรอีกด้วย นอกจากน้ีอารเ์ คียแบคทีเรียบางกลุ่มสามารถสลายกากของแข็งจากขยะให้เป็น
18
ป๋ยุ ซึ่งสามารถนาไปใช้ประโยชนต์ อ่ ไป ในด้านการหมุนเวยี นสารในระบบนิเวศพบว่าแบคทีเรียหลาย
กลุ่มที่สามารถตรึงไนโตรเจน เช่น แบคทีเรียในกลุ่มไรโซเบียม อะโซโตแบคเตอร์และไซยาโน
แบคทีเรียทางด้านอุตสาหกรรมไดน้ ายแู บคทเี รยี มาใช้ในการผลติ สารเคมี เช่น แอซีโตน กรดแลคติก
ยาปฏิชวี นะหลายชนิดและผลติ ภัณฑอ์ าหาร เชน่ น้าส้มสายชู ปลาร้า ผักดอง ปลาส้ม นมเปรีย้ วและ
เนยแขง็ เปน็ ตน้
2. อาณาจักรโพรทสิ ตา (PROTISTA KINGDOM)
โปรตสิ ต์ เป็นส่งิ มีชีวิตที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน ประกอบดว้ ยเซลลช์ นิดยูคาริโอติกเซลล์โดย
อาจประกอบด้วยเซลล์เดียว หรือ หลายเซลล์ท่ีมิได้รวมกันเป็นเนื้อเยื่อ สามารถทาหน้าท่ีของ
สง่ิ มีชวี ิตได้ครบถ้วนในเซลล์เดยี ว
1. ไฟลมั โปรโตซัว (PHYLUMPROTOZOA) อะมบี า พารามีเซียม ยกู ลนี า
2. ไฟลมั คลอโรไฟตา (PHYLUM CHLOROPHYTA) สาหร่ายสีเขยี วเชน่ สไปโรไจนา
(Spirogyra sp.) และ คลอเรลลา(Chlorella sp.)
ซึ่งเปน็ อาหารท่มี ีโปรตนี สงู เป็นโปรติสตก์ ล่มุ ใหญ่ท่ีสดุ
รูปท่ี 4.16 สาหร่ายสไปโรไจนา
ท่ีมา https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
19
3. ไฟลัมคริโซไฟตา (PHYLUM CHRYSOPHYTA) สาหร่ายสีน้าตาล แกมเหลือง ได้แก่
ไดอะตอม
รูปท่ี 4.17 ตัวอย่างของไดอะตอม
ทม่ี า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
4. ไฟลัมฟีโอไฟตา (PHYLUM PHAEOPHYTA) สาหร่ายสีน้าตาล เช่น เคลป์(KELP) มี
ขนาดใหญ่ สาหร่ายท่ีสาคญั ได้แก่ Laminaria sp. และ สาหรา่ ยทนุ่ (Sargassum sp.)
รูปที่ 4.18 สาหร่ายทุน่
ที่มา https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
20
5. ไฟลมั โรโดไฟตา (PHYLUM RHODOPHYTA) สาหร่ายสีแดง เช่น จีฉ่าย (Prophyra
sp.) และ Gracilaria sp.
รูปท่ี 4.19 สาหร่ายจฉี า่ ยท่ใี สใ่ นแกงจดื
ที่มา https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
6. ไฟลมั มิกไซไมโคไฟตา (PHYLUM MYXOMYCOPHYTA) ราเมอื ก(SLIME MOLD
เป็นสง่ิ มชี ีวิตท่มี ีลกั ษณะร่วมกนั ระหว่างพชื และสตั ว์ สว่ นใหญ่จะดารงชีพเปน็ ผยู้ ่อยสลาย
รปู ที่ 4.20 สง่ิ มชี วี ติ ท่ีมีลักษณะร่วมกันระหว่างพชื และสัตว์
ทมี่ า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
21
ขอ้ สังเกต
การจาแนกสาหร่ายออกเปน็ ดวิ ิช่นั ตา่ งๆ จะใชช้ นิดของรงควตั ถุท่ีใช้ในการสงั เคราะห์แสดง
เป็นหลกั เกณฑ์ท่ีสาคญั
อาณาจักรโพรทิสตา เป็นยูคาริโอตกลุ่มแรกที่มีวิวัฒนาการมาจากโพรคาริโอต มีทั้งเป็น
เซลล์เดียวขนาดเล็กจนถึงหลายเซลล์ขนาดใหญ่ท่ีมีโครงสร้างซับซ้อน แต่ยังไม่พัฒนาเป็นเน้ือเยื่อ
มกี ารดารงชีวิตทีห่ ลากหลายแตกต่างกนั หลายชนิดมีบทบาทเป็นผู้ผลิต เป็นปรสิตทีท่ าให้เกดิ โรคใน
สง่ิ มีชวี ิตอืน่ ทาให้เกิดมลภาวะในแหล่งน้า และทาให้เกดิ การหมนุ เวยี นของสารในระบบนเิ วศ
การจัดแบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็น 2 อาณาจักร คือ อาณาจักรพืชและอาณาจักรสัตว์นั้นเกิด
ปัญหาที่สาคัญ คือ ส่ิงมีชีวิตบางชีวิตมีลักษณะทั้งพืชและสัตว์อยู่ในตัวเอง ดังน้ัน เฮคเคล
(Haeckel)นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันจึงได้เสนอชื่อ โพทิสตา(Protista)ซึ่งหมายถึง สิ่งมีชีวิตพวก
แรกๆ ขึ้นมาใชจ้ ึงทาใหแ้ ยกสิง่ มชี ีวิตท่ีไม่มีลกั ษณะของพชื หรือลกั ษณะของสตั วอ์ ยา่ งชัดเจนออกจาก
อาณาจักรออกจากอาณาจักรพืชและอาณาจักรสัตว์ สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในอาณาจักรโพรทิสตา
ประกอบดว้ ย
1. ไฟลัมโพรโทซวั (Phylum Protozoa)
โพรโทซัว เป็นโพรทิสต์เซลล์เดยี วที่มีลักษณะคล้ายสตั ว์ มลี กั ษณะสาคญั ดงั นี้
1. เป็นเซลลเ์ ดียวบางชนิดเปน็ เซลลอ์ ยู่เดย่ี วๆยางชนิดรวมกนั เป็นกลุ่ม( colony )
2. ไมม่ ีอวัยวะหรอื เน้ือเย่ือใดๆมอี อรแ์ กเนลทาหน้าท่ีต่างๆในเซลล์
3. มีเซลล์เมมเบรนเปน็ กรอบของเซลล์บางชนิดมีโครงแขง็ หมุ้ เป็นสารจาพวกเซลลูโลส
หรือเจลาตนิ
4. ขับถ่ายของเสยี ท่เี ป็นของเหลวโดยคอนแทรกไทล์ของโพรโทซัวว่าเปน็ ออสโมเรกเู ล
เตอร์ ( osmoregulator )
5. การดารงชวี ิตมที งั้ ท่ีหากินเป็นอสิ ระในน้าเนา่
6. การสืบพันธ์ตุ ามปกตจิ ะสบื พันธแ์ุ บบไม่ใช่เพศ คอื การแบง่ ตวั จาก 1 เปน็ 2 การ
สบื พันธแ์ุ บบมเี พศคือ การเขา้ จบั คูก่ ัน
7. การเข้าเกราะ( encystment )พบในโพรโตซวั หลายชนิด
8. อวัยวะเคลื่อนที่ของโพรโทซัวในแต่ละกลุ่มจะแตกต่างกนั
สาหรา่ ย( algae )
สาหร่ายเปน็ โพรทิสตท์ ี่มีลักษณะคล้ายพืช เน่อื งจากมีคลอโรฟิลล์ และมผี นังเซลล์
เชน่ เดยี วกบั พชื
22
รปู ที่ 4.21
ทม่ี า http://cms574.bps.in.th/group12/kingdom-protista
2. ไฟลัมคลอโรไฟตา ( Phylum Chlorophyta )
มลี ักษณะดงั นี้
2.1. มีคลอโรฟิลลเ์ ป็นชนดิ คลอโรฟิลล์ Aและ B และมีแคโรทีน แซนโทฟลิ ล์
2.2. อาหารสะสมเปน็ พวกแป้ง
2.3. ผนังเซลลเ์ ปน็ สารพวกเซลลโู ลส บางชนิดอาจมี แคลเซยี มและซิลิกอนอยดู่ ้วย
2.4. มีแฟลเจลลา 1,2 หรือจานวนมาก อยูท่ างด้านหนา้ ของเซลล์
2.5. ตวั อยา่ งของสาหร่ายในไฟลมั นี้ ไดแ้ ก่
-พวกทีเ่ ป็นเซลล์เดียว
-พวกท่เี ป็นเซลล์เดยี วมีแฟลเจลลาเคลือ่ นท่ีได้
-พวกเป็นสาย
-พวกเป็นแผน่ และมีขนาดใหญ่
23
รปู ที่ 4.22
ทม่ี า http://cms574.bps.in.th/group12/kingdom-protista
3. ไฟลมั คริโซไฟตา (Phylum Chrysophyta )
มีลกั ษณะสาคญั ดังนี้
3.1. มคี ลอโรฟิลลเ์ ปน็ ชนิดคลอโรฟลิ ล์ เอและดี
3.2. อาหารสะสมเปน็ น้าตาลโมเลกลุ ใหญ่
3.3. ผนังเซลลป์ ระกอบด้วยเซลลูโลสมักมซี ิลิกอนและไคทนิ
3.4. มกั เป็นพวกเซลล์เดียว
รปู ท่ี 4.23
ท่ีมา http://cms574.bps.in.th/group12/kingdom-protista
24
4. ไฟลัมยูกลีโนไฟตา ( Phylum Euglenophyta )
สาหร่ายในไฟลมั นเี้ รียกว่า ยกู ลนี อยด์ มีลักษณะดังน้ี
4.1. มคี ลอโรฟลิ ลเ์ ปน็ ชนดิ เอ และ บี แคโรทนี แซนโทฟิลล์
4.2. อาหารสะสมเปน็ แปง้ เรียกว่า พาราไมลมั ( Paramylum )
4.3. ไมม่ ผี นงั เซลล์ มีแต่เยือ่ เซลล์เหนียวๆ
รปู ที่ 4.23
ทีม่ า http://cms574.bps.in.th/group12/kingdom-protista
5. ไฟลัมฟีโอไฟตา ( Phylum Phaeophyta )
มลี ักษณะดังนี้
5.1. มีคลอโลฟิลล์เปน็ ชนิดคลอโรฟิลล์ เอและซี มีแคโรทีน ฟวิ โคแซนทนิ ทาให้ มองดูเปน็
สีนา้ ตาล
5.2. อาหารสะสมเปฯ็ น้าตาลโมเลกลุ ใหญ่เรียกวา่ ลามินาริน และแอลกอฮอล์
เรียกว่า มานติ อล
5.3. ผนังเซลล์เป็นสารพวกเซลลูโลสและกรดแอลจนิ ิก
5.4. สาหร่ายสีนา้ ตาลมสี ่วนท่คี ล้ายรากเรียกวา่ โฮลด์ ฟาสต์( hoid fast )
25
6. ไฟลัมโรโดไฟตา ( Phylum Rhodophyta )
มลี กั ษณะสาคญั ดังน้ี
6.1. มีคลอโรฟิลลเ์ ปน็ ชนิด เอ และ ดี แคโรทนี แซนโทฟลิ ลแ์ ละไฟโคอิริทรนิ ซึง่ เปน็ สารสแี ดง
6.2. อาหารสะสมเปน็ แปง้ มชี อื่ เฉพาะวา่ ฟลอริเดียนสตาร์ช
6.3. ผนงั เซลล์เปน็ สารเซลล์ลูโลส พอลิแซคคาไรดท์ ่ีเปน็ เมือกบางชนดิ มีแคลเซยี มด้วย
6.4. สว่ นใหญ่อยู่ในทะเลบางชนดิ เทา่ นน้ั ทีอ่ ยูใ่ นนา้ จืด
รปู ท่ี 4.24
ทมี่ า http://cms574.bps.in.th/group12/kingdom-protista
7. ไฟลัมไพร์โรไฟตา (Phylum Pyrrophyta )
สาหร่ายในไฟลมั นีเ้ รียกวา่ พวกไดโนแฟลเจลเลต ( dinoflagellate ) เปน็ สาหรา่ ยทมี่ ีแส้ 2
เสน้ ใช้ในการเคล่อื นท่ี มลี ักษณะสาคัญคอื
7.1. มีคลอโรฟิลล์เปน็ ชนดิ คลอโรฟิลล์ เอและคลอโรฟิลล์ซี
7.2. ไมม่ ีอาหารเก็บสะสมในเซลล์ ถ้ามเี ป็นแปง้
26
7.3. มแี ฟลเจลลา 2 เสน้ เส้นหนึง่ ทาหนา้ ทใ่ี นการเคลือ่ นทีแ่ ละอีกเส้นหนงึ่ พันอยใู่ น ร่อง
รอบตวั ทาให้เซลลห์ มุนในขณะเคลอื่ นที่
7.4. ถา้ มีผนังเซลล์จะเปน็ สารเซลลโู ลสและสารท่ีเป็นเมอื กบางชนิดอาจไม่มผี นงั เซลลท์ าให้
เปลยี่ นรูปรา่ งได้
7.5. เปน็ เซลล์เดี่ยวบางครง้ั เพ่มิ จานวนอยา่ งรวดเรว็ ทาให้เกิดการวอเตอร์บลมู
7.6. พบทง้ั ในน้าจดื น้าเคม็ และนา้ กรอ่ ย
รปู ท่ี 4.25
ทม่ี า http://cms574.bps.in.th/group12/kingdom-protista
8. ไฟลมั มกิ โซไมโคไฟตา ( Phylum Myxomycophyta )
เปน็ โพรทิสตท์ ีม่ ีช่วงชีวติ ท่มี ลี ักษณะคล้ายสตั วแ์ ละชว่ งชีวิตทม่ี ีลักษณะคล้ายพชื มีลกั ษณะ
สาคญั ดังนี้
1. มีเซลล์เป็นแบบยูคาริโอต ไม่มีผนงั เซลล์ ไม่มีคลอโรฟลิ ล์ ประกอบด้วยกลุ่มของ
โพรโทพลาซมึ ทีแ่ พรก่ ระจายมลี ักษณะเป็นเมอื ก
2. การสบื พนั ธม์ุ ีวงชวี ิตทมี่ ีลกั ษณะคล้ายสัตว์สลบั กบั วงชวี ิตคล้ายพืช
3. ราเมือกดารงชีวิตแบบภาวะมีการยอ่ ยสลาย( Saprophytism )
ไลเคนส์ ( lichens )
ไลเคนส์ประกอบด้วยราและสาหร่ายท่ีอยู่ร่วมกันแบบภาวะที่ต้องมีการพึ่งพา สาหร่ายท่ีมาอยู่
รว่ มกับราสาหรา่ ยสีเขียวในไฟลมั คลอโรไฟตาส่วนราเป็นพวกราถุง( sac fungi ) ในไฟลมั แอสโคไมโคตา
27
รูปที่ 4.26
ท่ีมา http://cms574.bps.in.th/group12/kingdom-protista
3. อาณาจกั รพืช (PLANT KINGDOM)
อาณาจักรพืช เป็นยูคาริโอตหลายเซลล์ที่เซลล์ประกอบกันเป็นเนื้อเย่ือทาให้มีโครงสร้าง
ซับซ้อน ดารงชีวิตเป็นผู้ผลิตท่ีสาคัญในระบบนิเวศ พืชมีวิวัฒนาการในการปรับตัวด้านโครงสร้าง
ด้านองค์ประกอบทางเคมีและด้านการสืบพันธุ์เพื่อมาดารงชีวิตบนบก นอกจากเป็นแหล่งอาหาร
สาคัญแล้ว ยงั นามาใช้เปน็ วัสดุสรา้ งทอ่ี ยูอ่ าศัย ทาเครอื่ งนงุ่ หม่ และนามาเปน็ ยารกั ษาโรค
พชื ประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์ ผนังเซลล์ประกอบด้วยเซลลูโลสมีคลอโรฟิลล์อยู่ในคลอ
โรพลาสตส์ ามารถสร้างอาหาร ได้เองโดยใชพ้ ลังงานแสงส่ิงมีชวี ิตในอาณาจักรพชื แบง่ ออกเป็นดิวชิ ่ัน
ต่างๆ ดังน้ี
1. DIVISION BRYOPHYTA พืชท่ไี ม่มีระบบทอ่ ลาเลยี ง ไดแ้ ก่ มอส และ ลิเวอรเ์ วิรต์
รปู ท่ี 4.27 มอส
ที่มา https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
28
2. DIVISION PSILOPHYTA หวายทะเล (PSILOTUM)
รปู ที่ 4.28 หวายทะเล
ทมี่ า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
3. DIVISION LYCOPHYTA ชอ้ งนางคล่ี และ ตีนต๊กุ แก
รูปที่ 4.29 ชอ้ งนางคล่ี
ทม่ี า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
29
4. DIVISION SPHENOPHTYA หญา้ ถอดปลอ้ ง หรือ หญา้ หางม้า
รูปที่ 4.30 หญ้าถอดปล้อง
ทม่ี า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
5. DIVISION PTEROPHYTA เฟริ น์ เชน่ แหนแดง จอกหหู นู ชายผา้ สีดา ย่านลิเภา เฟิร์น
ใบมะขาม
รูปท่ี 4.31 ชายผ้าสดี า
ที่มา https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
30
ขอ้ ควรจา
ลกั ษณะทีเ่ ด่นชัดทส่ี ุดของเฟิรน์ คือ ใบออ่ นจะมว้ นเปน็ วงคล้ายลานนาฬกิ า (CIRCINATE
VERNATION)
6. DIVISION CONIFEROPHYTA สน เชน่ สนสองใบ สนสามใบ
รปู ที่ 4.32 สนสองใบ
ทีม่ า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
7. DIVISION CYCADOPHYTA เช่น ปรง
รูปท่ี 4.34 ต้นปรง
ที่มา https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
31
8. DIVISION GINKGOPHYTA เช่นแปะก๊วย (Ginkgo biloba)
รูปท่ี 4.35 ใบแปะกว๊ ย
ท่มี า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
9. DIVISION ANTHOPHYTA พืชมีดอก (ANGIOSPERM) มีมากกว่า พืชอื่นๆ รวมกัน
ทงั้ หมด เปน็ พวกท่ีมีดอกเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ เมลด็ มีรังไข่ห่อห้มุ และมกี ารปฏสิ นธซิ ้อน แบ่งไดด้ งั น้ี
- SUBDIVISION MONOCOTYLEDONAE พืชใบเลี้ยงใบเด่ียวเส้นของใบเรียงขนานกัน
จานวนกลีบดอกเป็น3 หรือ ทวคี ูณของ 3 การจัดเรียงท่อนา้ อาหารในลาต้น กระจัดกระจาย ไมเ่ ป็น
ระเบียบ เช่น มะพรา้ ว อ้อย
รปู ท่ี 4.36 มะพรา้ ว
ทม่ี า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
32
- SUBDIVISION DICOTYLDONAE พืชใบเลยี้ งคู่มใี บเลย้ี งสองใบเสน้ ของใบสานกนั เปน็
รา่ งแห จานวนกลบี ดอกเปน็ 4 หรือ 5 หรือจานวนทเี่ ปน็ ทวคี ูณของ 4 หรือ 5 การจดั เรียงทอ่ นา้ ท่อ
อาหารเปน็ ระเบยี บโดยมที ่ออาหารอยภู่ ายนอก ท่อน้าอยภู่ ายใน เชน่ ถั่ว กหุ ลาบ
4. อาณาจักรฟงั ใจ (KINGDOM FUNGI)
อาณาจักรฟังไจ เป็นยูคาริโอตเซลล์เดียวและหลายเซลล์ที่ยังไม่พัฒนาเป็นเนื้อเยื่อ
ดารงชีวิตเป็นผู้ย่อยสลายอินทรียสารท่ีสาคัญในระบบนิเวศ นามาใช้ประยุกต์ในด้านอุตสาหกรรม
ดา้ นสิ่งแวดล้อม ทางการแพทยแ์ ละเป็นแหล่งอาหารของสง่ิ มีชีวติ อน่ื แตบ่ างชนิดเปน็ ปรสิตก่อให้เกิด
โรคในมนษุ ยแ์ ละสิ่งมีชวี ิตอืน่ ด้วย
กาเนิดฟงั ไจ
เหด็ ราเป็นสง่ิ มีชีวิตเลก็ ๆ ทีอ่ ยใู่ กลช้ ดิ กับมนุษย์ สามารถพบไดท้ ัง้ ภายในรา่ งกายและรอบ ๆ
ตัวเรา สามารถพบได้ท้ังตามพื้นดิน น้า อากาศ ต้นไม้ สัตว์ และสิ่งไม่มีชีวิต แม้ว่าในปี 1991 จะมี
รายงานการศึกษา เก่ียวกับเห็ดราเพยี ง 65,000 ชนิด แต่คาดว่าจริง ๆ แล้วนา่ จะมีถึง 1.5-2.5 ล้าน
ชนิดโดยเฉพาะในแถบร้อน เหด็ รามีทง้ั ประโยชนแ์ ละโทษตอ่ สงิ่ มีชวี ิตอ่ืน และหลายครั้งท่เี หด็ ราเป็น
ตัวต้นเหตขุ องการผุพัง เสื่อมสลายของ วัตถุทไ่ี ม่มีชีวิต มกี ารคน้ พบหลักฐานซากดึกดาบรรพข์ องฟัง
ไจทมี่ ีอายุมากท่ีสุดประมาณ 460 ล้านปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกบั ที่พืชเริ่มมีวิวัฒนาการมาดารงชีวิต
บนบก อีกท้ังซากดึกดาบรรพ์ของกลุ่มพืชมีทอ่ ลาเลยี งในชว่ งปลายยคุ ซลิ ูเรียน นน้ั พบวา่ มี ไมคอร์ไร
ซา(mycorrhiza) ดงั นน้ั อาจเป็นไปได้ว่าพืชได้ถือกาเนิดมาบนพืน้ ดนิ ในระยะเวลาใกลเ้ คียงกันกับฟัง
ไจ
ลักษณะรูปร่างและการดารงชีวติ ของฟังไจ
ส่ิงมีชีวิตในอาณาจักรฟังไจหรืออาณาจักรราเป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอต (eukaryote) คือ
เซลล์มีเยื่อหุ้มนิวเคลียสเหมือนพืชและสัตว์ แต่จะแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตกลุ่มแบคทีเรียและอาร์เคีย
แบคทีเรียท่เี ปน็ โพรคาริโอต (prokaryote) เซลลข์ องรามผี นังเซลล์คล้ายเซลล์พืชแต่มีองค์ประกอบ
ทางเคมีเป็นไคติน ราส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์แต่ยังไม่พัฒนาเป็นเน้ือเยื่อ และราบางกลุ่ม
เช่น ยีสต์มีลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว นอกจากนี้ราส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเส้นใยขนาดเล็ก
เรียกว่า ไฮฟา (hypha) หรือไฮฟี (hyphae) เส้นใยหรือไฮฟาจะยึดเกาะกับอินทรียวัตถุท่ีใช้เป็น
อาหารและเจริญเติบโตแผอ่ อกไปเป็นบริเวณกว้าง เรียกกลุ่มของไฮฟานีว้ ่า ไมซีเลยี ม (mycelium)
ไมซีเลียม ในฟังไจบางชนิดจะพัฒนาเป็นโครงสร้างที่เรียกว่าฟรุตติงบอดี (fruiting body) ซึ่งทา
33
หนา้ ทีส่ รา้ งสปอร์ที่ได้จากการสืบพนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศ ลกั ษณะของเส้นใยราหรอื ไฮฟาแบ่งออกเป็น 2
ชนิด คือ เส้นใยที่ไม่มีผนังก้ัน (Nonseptate hypha) หรือ (Coenocytic hypha)และ เส้นใยที่มี
ผนังก้นั (Septate hypha) โดยเสน้ ใยท่มี ีผนังก้นั จะแบง่ ไดเ้ ป็น 2 กลุ่มคอื มผี นงั กั้นแบบไม่สมบูรณ์มี
นิวเคลยี สหลายอัน และ มผี นงั กัน้ แบบสมบรู ณ์โดย 1 เซลล์จะมีหนงึ่ นิวเคลียส
(ก) (ข)
รูปท่ี 4.37 (ก) ลักษณะเส้นใยที่มผี นังก้ันหรือ septate hypha (ข) เส้นใยทีไ่ มม่ ผี นังก้นั หรือ
coenocytic hypha (ที่มา: http://www.sysp.ac.th/files/1403271111004763)
รูปท่ี 4.37 แสดงไฮฟาทง้ั 3 แบบของฟงั ไจ (A) ไฮฟาแบบไม่มีผนังกั้น (B) ไฮฟาแบบมผี นงั กนั้
แบบไม่สมบูรณ์ (C) ไฮฟาทม่ี ีผนังกน้ั แบบสมบูรณ์
(ทีม่ า: นงลักษณ์ สวุ รรณพินิจ,2552)
34
การสืบพันธุ์ของฟงั ไจ
การสืบพันธุ์ของรามีท้ังการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศและอาศัยเพศ โดยการสืบพันธ์ุ
แบบไมอ่ าศัยเพศจะไม่มีการรวมกันของนิวเคลยี สหรือเซลล์สบื พันธ์ุ (gametes) เช่น การหักของไมซี
เลยี ม การแตกหน่อ หรือการสร้างสปอร์ท่ีเกิดจากการแบง่ นิวเคลียสแบบไมโทซิส (mitosis) เรยี กว่า
ไมโทสปอร์ (mitospores) การสร้างสปอร์ลักษณะเช่นนี้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
sporangiospores และ conidia ในขณะท่ีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศจะเกิดจากการรวมตวั กันของ
นิวเคลียสท่ีมีพันธุกรรมแตกต่างกัน 2 นิวเคลียส (karyogamy) จากน้ัน จึงเกิดการแบ่งนิวเคลียส
แบบไมโอซีส (meiosis) ในการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของราบางกลมุ่ เสน้ ใยหรือไฮฟาท่มี พี ันธกุ รรม
แตกต่างกันสองสายมารวมตัวกัน และสานพันกันข้ึนมาเป็นโครงสรา้ งท่ีมีขนาดใหญ่เรียกว่า ฟรุตติง
บอดี (fruiting body) เพื่อทาหน้าที่สรา้ งสปอรท์ เี่ กิดจากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (sexual spore)
รูปแบบหนึ่งของฟรุตติงบอดีท่ีพบเห็นได้ในชีวิตประจาวัน คือ ดอกเห็ดชนิดต่างๆ ซ่ึงอาจมีรูปร่าง
และสสี ันทห่ี ลากหลาย และมกั จะโผล่พ้นจากพื้นดิน จึงสามารถมองเหน็ ไดง้ า่ ยด้วยตาเปล่า
รปู ที่ 4.38 ตัวอย่างการสบื พันธแุ์ บบอาศยั เพศ
และการสร้างฟรุตติงบอดขี องราในไฟลัม Basidiomycota
(ท่ีมา : http://www.griswold.k12.ia.us/pcarlsonweb/fungi_kingdom)
35
รูปแบบการดารงชวี ติ ของฟงั ไจ
เห็ดราและสัตวเ์ ปน็ ส่ิงมีชีวติ ทส่ี ร้างอาหารเองไมไ่ ด้ เนื่องจากไมม่ ีกระบวนการสงั เคราะห์ด้วย
แสงเหมอื นพชื แตก่ ารได้มาของอาหารระหวา่ งเหด็ ราและสตั ว์นนั้ มคี วามแตกต่างกัน โดยสตั วจ์ ะกิน
ส่ิงมีชีวิตอ่นื เข้าไปและมีกลไกของระบบย่อยอาหารทเ่ี กดิ ขนึ้ ภายในร่างกาย สว่ นเหด็ รามีรูปแบบใน
การดารงชวี ิต 3 ลกั ษณะ ดงั นี้
1. เปน็ ผ้ยู ่อยสลาย (saprophytes)
เห็ดราจะได้รับสารอาหารโดยการสร้างเอนไซมแ์ ล้วปล่อยออกสภู่ ายนอกเซลล์เพ่ือย่อย
สลายสารอนิ ทรยี ์ท่ีเปน็ ซากสิ่งมชี ีวิตและดดู ซึมสารอาหารที่ย่อยแล้วกลับเขา้ สู่ภายในเซลล์ เน่ืองจาก
เห็ด ราส่วนใหญ่มีการดารงชวี ิตในรูปแบบน้ี ดังนน้ั เห็ดราจึงทาหน้าท่ีเป็นผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ท่ี
สาคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการย่อยสลายสารลิกนินและเซลลูโลสซ่ึงเป็นชีวมวลที่มีปริมาณมากท่ีสุด
สง่ ผลให้เกิดการหมุนเวียนของธาตุอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส ซ่ึงจะ
สร้างความสมดุลใหก้ บั ระบบนเิ วศ
2. เป็นปรสิต (parasite) ของสิ่งมีชีวิตอ่ืน ในการดารงชีวิตแบบน้ีเส้นใยราจะเปลี่ยนเป็น
โครงสรา้ งพิเศษเรยี กวา่ haustorium ยนื่ เข้าไปภายในเซลล์ของสิง่ มีชวี ติ ทีร่ านน้ั เกาะยดึ อยู่ เพอื่ ดูด
ซบั สารอาหาร ตัวอยา่ งราท่ีดารงชวี ติ เช่นน้ี ได้แก่ ราทีก่ ่อโรคในใบพืช หรือราท่ีขึน้ บนแมลง เป็นต้น
รูปท่ี 4.39 ลกั ษณะของ haustorium
ทมี่ า http://science.kennesaw.edu/~jdirnber/Bio2108/Lecture/LecBiodiversity
3. แบบภาวะพึ่งพา (mutualism) กับสิ่งมีชีวิตอื่น เช่น การอยู่ร่วมกันของรากับรากพืช
ชั้นสงู เรยี กว่า ไมคอร์ไรซา (mycorrhiza) ซ่งึ พืชจะได้รบั น้าและแรธ่ าตุท่จี าเป็นตอ่ การดารงชีวติ จาก
รา ส่วนราเองจะได้รับสารอาหาร จาพวกแป้ง น้าตาล โปรตนี กรดอะมิโนและวิตามนิ จากพืชผ่านมา
36
ทางระบบราก ทาให้พชื ท่มี ีความสมั พนั ธด์ ังกลา่ วมีการเจริญเติบโตดี อีกทั้งทนตอ่ สภาวะเครยี ดต่างๆ
เช่น ทนแลง้ ทนเค็ม ทนความเปน็ พิษของโลหะหนกั ทเี่ จือปนในดนิ เปน็ ตน้
รูปท่ี 4.40 ลักษณะของรากพชื ที่เกดิ ความสัมพันธแ์ บบไมคอร์ไรซา
(ท่ีมา : https://fragilewat.wordpress.com)
นอกจากนี้ การอยู่ร่วมกันระหว่างรากับสาหร่ายสีเขียวหรือไซยาโนแบคทีเรีย ยงั ทาให้เกิด
รูปแบบของชีวิตท่ีเรยี กว่า ไลเคน (lichen) โดยสาหรา่ ยจะได้รับความช้ืนหรือสารอาหารจากรา สว่ น
ราก็จะได้อาหารที่สาหร่ายสร้างข้นึ จากกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง โดยสาหร่ายอาจเรยี งตัวกัน
เป็นระเบียบ หรอื อยู่กนั อยา่ งกระจดั กระจาย และมไี มซีเลยี มของราหุ้มไว้
รูปท่ี 4.41 ลักษณะของการเรียงตัวของราและสาหรา่ ยในไลเคน
ทมี่ า: http://www.sysp.ac.th/files/1403271111004763_14042614140453.pdf
37
ไลเคนพบได้ทั้งบนก้อนหิน บนเปลอื กไมห้ รอื ก่ิงไม้ และสามารถจาแนกไลเคนตามลักษณะการ
เจรญิ เติบโต รูปแบบของแทลลัส (thallus) และการยดึ เกาะกับพ้ืนผิว (substratum) ออกได้เป็น 3
ประเภท ได้แก่
1. Crustose เป็นไลเคนท่ีมีลักษณะของแทลลัสบางและแนบสนิทไปกับพ้ืนผิวที่ยึดเกาะ
2. Foliose เป็นไลเคนที่มแี ทลลัสมีลักษณะคล้ายแผ่นใบ ไม่แนบสนิทไปกบั พื้นผิวท่ียึดเกาะ
3. Fruticose เปน็ ไลเคนทแี่ ทลลสั มีลักษณะเปน็ ฝอยและมกี ารแตกแขนง
เห็ด ราและยีสต์มีลักษณะทัว่ ไปคล้ายกับพชื และโปรติสต์ ต่างกันตรงท่ีไมม่ รี งควัตถเุ พ่อื ใชใ้ น
การสงั เคราะห์ด้วยแสง ส่วนใหญจ่ ึงดารงชพี โดยเป็นผู้ยอ่ ยสลายอินทรยี ์สาร ประกอบดว้ ยกล่มุ ของ
เซลล์ ซงึ่ มลี ักษณะเป็นเส้นใยเรยี กว่า (HYPHA) ซงึ่ เจริญมาจากสปอร์ กลุม่ ของไฮฟา เรยี กวา่ ไมซี
เลียม(MYCELIUM) โดยมีไรซอยด์ชว่ ยยึด ไฮฟาติดกับแหล่งท่อี ยู่
ราแยกเป็นกลุม่ ตา่ งๆ ดังนี้
1. DIVISION ZYGOMYCOTA ราดา(Rhizopus sp.)ทีข่ น้ึ บนขนมปงั
รปู ที่ 4.42 ภาพราดาที่ขนึ้ ขนมปัง
ทีม่ า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
38
2. DIVISION ASCOMYCOTA ยีสต์ (Saccharocyces sp.) และราสีแดง(Monascus
sp.)
รปู ที่ 4.43 ยสี ต์
ที่มา https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
3. DIVISION BASIDIOMYCOTA เหด็ ชนิดต่างๆ ตวั อย่างเช่น เหด็ ฟาง เห็ดหอม และราสนิม
รปู ท่ี 4.44 เหด็ ฟาง
ทม่ี า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
39
4. DIVISION DEUTEROMYCOTA ราสเี ขียว (Penicillium sp.) ทใ่ี ช้ในการผลิตยาเพนซิ ิ
ลิน เราใช้ในการผลิตกรดซติ ริก (Aspergillus niger) เป็นต้น
ขอ้ สงั เกต
นักชวี วิทยาแยกเห็ดรา ออกมาจากอาณาจกั รโปรติสตาเน่อื งจากมีขอ้ แตกต่างกันหลาย
ประการ เช่น รูปแบบของการหาอาหารของสิ่งมีชีวิต
5. อาณาจักรสตั ว์ (KINGDOM ANIMALIA)
อาณาจักรสัตว์ เป็นยูคาริโอตท่ีประกอบกันเป็นเน้ือเยื่อ ดารงชีวิตเป็นผู้บริโภคในระบบ
นิเวศหลายชนิด เป็นแหล่งอาหารท่ีสาคัญของมนษุ ย์ รวมท้ังมีคณุ คา่ ทางเศรษฐกิจอกี ดว้ ย มนษุ ยเ์ ป็น
สัตว์เลี้ยงลกู ดว้ ยนา้ นมท่ีมีววิ ัฒนาการมาจากบรรพบรุ ษุ ของสตั ว์ในกลุม่ ไพรเมต
ด้วยจานวนสิ่งมีชีวิตกว่าสองล้านชนิดท่ีรู้จักกันแล้ว รวมกับที่กาลังรอการค้นพบอีกหลาย
ชนิด สัตว์จัดวา่ เป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกใบน้ที ่ีมีความหลากหลายมากท่ีสุด เป็นเวลากว่าหนึ่งพันลา้ นปีท่ี
สัตว์ชนิดต่างๆ มีวิวัฒนาการให้อยู่รอดในสภาพแวดล้อมของโลกที่เปล่ียนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา
ก่อให้เกิดรูปร่างลักษณะและครรลองชีวิตท่ีหลากหลาย อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia)
จัดเป็นอาณาจักรท่ีประกอบด้วยสิ่งมชี ีวิตจานวนมากมายหลายชนิด และเปน็ สง่ิ มชี ีวิตทม่ี ีอทิ ธพิ ลต่อ
สภาพแวดล้อมของโลกในปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง สัตว์พบได้ท้ังในแหล่งน้าจืด น้าเค็ม และบนบกมี
รปู รา่ งแตกต่างกัน บางชนดิ มีขนาดเล็กมาก สตั ว์ตา่ งๆมวี ิวัฒนาการมาจากบรรพบุรษุ ร่วมกัน
กาเนิดของสตั ว์
นักวิทยาศาสตร์ได้สนั นิษฐาน สตั ว์น่าจะมีววิ ฒั นาการเกิดขึน้ ในช่วงประมาณ 1,000 ถึง 580
ลา้ นปีที่ผ่านมา แตพ่ บหลกั ฐานจากซากดึกดาบรรพ์ของสตั ว์น้อยมากอาจเป็นไปไดว้ ่าสัตว์ท่เี กดิ ขน้ึ ใน
ยคุ แรกๆมีรา่ งกายทีอ่ อ่ นนุ่ม ไม่มโี ครงร่างแข็ง จงึ ไม่ปรากฏร่องรอยในซากดึกดาบรรพ์ แต่จะพบซาก
ดกึ ดาบรรพ์จานวนมากในช่วงเวลาประมาณ 540 ล้านปี ระหว่างปลายมหายุคพรีแคมเบรียน และ
ตอนต้นของยุคแคมเบรียน โดยซากดึกดาบรรพ์ที่พบในยุคแรกๆเป็นซากดึกดาบรรพ์ของสัตว์ ใน
ไฟลัมไนดาเรีย ที่เหมือนไฮดราในปัจจุบัน และสัตว์ในไฟลัมมอลลัสคา ที่มีลาตัวอ่อนนุ่ม และจาก
หลักฐานต่างๆ สนับสนุนแนวความคดิ ที่วา่ สตั วน์ า่ จะววิ ัฒนาการมาจากบรรพบุรุษพวกแฟลเจลเลต
ลกั ษณะของสัตว์
สัตว์ทุกชนิดมีลักษณะร่วมกันท่ีทาให้จัดอยู่ในอาณาจักรของส่ิงมีชีวิตอาณาจักรเดียวกันน้ี
ลักษณะอย่างหน่ึงที่ทาให้สตั วแ์ ตกต่างจากส่ิงมชี ีวิตกลุ่มอน่ื ๆ ก็คือการท่มี ันเคลื่อนทีไ่ ด้ อย่างไรก็ตาม
40
การเคลื่อนท่ีได้คงไม่สามารถใช้ระบุลงไปได้เสมอว่าสิ่งมีชีวิตใดเป็นสัตว์หรือไม่ โดยเฉพาะสาหรับ
สัตว์ทอี่ าศัยอยู่ในนา้ เพราะสัตวห์ ลายชนดิ ที่อาศัยอยใู่ นน้าเม่อื โตเต็มทีแ่ ล้วจะอาศัยอยู่เฉพาะในท่ใี ด
ท่ีหน่ึง ไม่เคล่ือนท่ีไปไหนอีกเลยตลอดชีวิตของมนั ในทางชีววิทยานั้น มีลกั ษณะสาคญั บางประการที่
พอจะใชบ้ ง่ บอกได้วา่ สิง่ มีชวี ิตนัน้ เป็นสตั วห์ รอื ไม่ ลักษณะเหล่าน้นั ได้แก่
1. เป็นส่ิงมีชีวิตกลมุ่ ยูคารโิ อตที่มีหลายเซลล์โดยเซลล์ส่วนใหญ่จะยึดเกาะตดิ กันด้วยโปรตีน
คอลลาเจน และเซลล์สัตว์แตกตา่ งจากเซลลพ์ ชื ตรงท่ีเซลลส์ ัตว์ไม่มผี นังเซลล์
2. สัตว์มีเน้ือเย่ือประสาทและเนื้อเยื่อกล้ามเน้ือ เพอื่ ทาหนา้ ที่นากระแสประสาท และทาให้
รา่ งกายเคล่ือนไหวได้
3. สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหารเองไม่ได้ (heterotrophs) ต้องกินอาหารซ่ึงคือส่ิงมีชีวิต
อื่นๆหรอื อินทรียส์ ารต่างๆ เพอ่ื นาไปใชใ้ นการสร้างพลงั งานสาหรับการดารงชีวติ
4. สัตวเ์ ป็นสง่ิ มชี ีวิตที่ต้องใชอ้ อกซเิ จนในการหายใจ
5. สตั ว์สะสมคารโ์ บไฮเดรตไว้ในร่างกายในรปู ของไกลโคเจน
6. สตั ว์ส่วนใหญส่ ืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศ และในวัฏจักรชีวติ จะต้องมรี ะยะหน่งึ ท่ีเปน็ การเจริญ
ของเอ็มบริโอ
7. สัตว์ส่วนใหญ่เคลอื่ นทีไ่ ด้ อย่างนอ้ ยกใ็ นชว่ งใดชว่ งหนึ่งของชวี ิต
สตั ว์ เปน็ สง่ิ มีชวี ิตหลายเซลล์ ไมม่ คี ลอโรฟิลล์จงึ ไม่สามารถสร้างอาหารได้เอง และมีระยะ
ตวั อ่อน (EMBRYO) สิง่ มีชวี ิตในอาณาจกั รสตั วแ์ บ่งออกเปน็ ไฟลัมต่างๆ ดังนี้
1. ไฟลมั พอรเิ ฟอรา(PHYLUM PORIFERA)สตั วท์ ่ีลาตวั เปน็ รพู รนุ ไดแ้ ก่ ฟองน้า
รูปที่ 4.45 ฟองนา้
ทมี่ า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
41
2. ไฟลัมไนดาเรีย (Phylum Cnidaria) สัตวท์ ่ีมลี าตวั กลวง ระบบประสาทเปน็ แบบ
รา่ งแหประสาท(NERVE NET) ไดแ้ ก่ แมงกะพรนุ ดอกไมท้ ะเล ปะการงั กัลปงั หา และไฮดรา
รูปท่ี 4.46 ดอกไมท้ ะเล
ท่ีมา https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
3. ไฟลัมแพลทิเฮลมนิ ทสิ (PHYLUM PLATYHELMINTHES) หนอนตัวแบนเปน็ สตั ว์
กลมุ่ แรกทม่ี ีเน้อื เยอื่ 3 ชน้ั ได้แก่ พยาธิใบไม้ พยาธติ วั ตืด และพลานาเรีย
รปู ท่ี 4.46 พยาธใิ บไม้
ท่ีมา https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
42
4. ไฟลัมนมี าโทดา(PHYLUM NEMATODA) หนอนตัวกลม ไม่มปี ล้อง เคล่ือนท่ดี ้วยการ
เอ้ยี วตวั สลับกนั ไปมา ได้แก่ พยาธติ ัวกลมต่างๆ เช่น พยาธิไสเ้ ดอื น ไสเ้ ดอื นฝอย และหนอนใน
น้าส้มสายชู
รูปท่ี 4.47 ไส้เดอื นฝอย
ท่มี า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
5. ไฟลัมแอนนิลิดา (PHYLUM ANNILIDA) หนอนปล้องเป็นพวกแรกที่มีระบบเลือด
แบบปิด ขับถ่ายโดยเนฟริเดียม (NEPRIDIUM) ได้แก่ ไส้เดือนดิน แม่เพรียง ทากดูดเลือด และปลิง
น้าจืด
รปู ท่ี 4.48 ปลงิ น้าจืด
ทม่ี า https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
43
6. ไฟลัมอาร์โทรโปดา (PHYLUM ARTHROPODA) สัตว์ท่ีมีขาและรยางค์อื่นๆ ต่อกัน
เปน็ ขอ้ ๆ เปน็ สตั วก์ ลุม่ ใหญ่ที่สดุ ในอาณาจักรสตั ว์ ได้แก่ กุ้ง ก้งั ปู แมลง ตะขาบ กงิ้ กือ เปน็ ต้น
7. ไฟลัมมอลลสั กา(PHYLUM MOLLUSCA) สัตวท์ ่ีมลี าตัวอ่อนนุ่ม ไดแ้ ก่ หมึกและหอย
ชนดิ ตา่ งๆ
8. ไฟลัมเอไคโนเดอร์มาตา (PHYLUM ECHINODERMATA) สัตว์ที่ผิวหนังมีหนาม
ขรุ ขระ ได้แก่ ดาวทะเล เม่นทะเล เหรยี ญทะเล ปลงิ ทะเล ดาวเปราะ
รูปที่ 4.49 ภาพดาวเปราะ
ท่ีมา https://sites.google.com/site/biologyroom610/biodiversity/biodiversity4
9. ไฟลมั คอร์ดาตา (PHYLUM CHORDATA) สตั ว์ทม่ี ีแกนกลางของรา่ งกายสัตว์ใน
ไฟลัมนีม้ ีลกั ษณะร่วมกัน 3 ประการคอื
1. มแี ทง่ โนโตคอร์ด(NOTOCHORD) อย่างนอ้ ยชั่วระยะหนง่ึ ชองชวี ิต
2. มไี ขสันหลังเปน็ หลอดยาวอยู่ทางด้านหลัง
3. มีอวัยวะสาหรบั แลกเปลีย่ นกา๊ ซท่ีบรเิ วณคอหอย(หรอื อาจเปลยี่ นแปลงไปเป็นอวัยวะอืน่ เชน่
ปอด)