101 ๐ บริเวณที่เป็นชายฝั่งทะเล เป็นบริเวณที่มกัจะมีเนินทรายหรือหาดทรายอยู่มากความอุดม สมบูรณ์ค่อนขา้งนอ้ย พบในบริเวณพ้ืนที่ชายฝั่งทวั่ ไป เช่น ชายฝั่งทะเลจงัหวดัประจวบคีรีขนัธ์ ๐ บริเวณที่ห่างจากสองฝั่งแม่น้า ออกไป เป็นดินที่ถูกชะลา้งเนื่องจากการไหลของน้า ความอุดม สมบูรณ์ค่อนขา้งต่า ส่วนมากมกัเป็นดินเหนียว เมื่อเวลาผ่านไปดินบริเวณน้ีจะค่อยๆ ลดความอุดม สมบูรณ์ลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นดินที่ไม่มีคุณภาพ ๐ บริเวณภูเขาที่ไม่สูงชนัส่วนมากเป็นดินที่ถูกปกคลุมดว้ยป่าไมต้ามธรรมชาติ มีอินทรียสาร สะสมอยู่แต่หากป่าไมถู้กทา ลายจะทา ให้เกิดการชะลา้งหนา้ดินโดยน้า และลมอยา่งรุนแรง ท าให้ดิน เสื่อมสภาพลงอยา่งรวดเร็ว ๐ บริเวณดินที่มีสารประเภทเบสปะปนอยู่มากเช่น หินปูน ดินมาร์ล เป็นตน้เมื่อสารเหล่าน้ี สลายตัวลงจะท าให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ เป็นดินที่เหมาะในการเพาะปลูกพืชประเภทพืชไร่ การใชด้ินใหเ้กิดประโยชน์การใช้ดินให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและนานที่สุดสามารถทา ไดด้งัน้ี ๐การปลูกพชืหมุนเวียน
102 ๐ การปลูกพชืแบบข้ันบันได ๐ การปลูกป่าในพนื้ทลี่าดชัน และไม่ใช้พื้นที่ดังกล่าวในการเกษตรกรรม ปัญหาทรัพยากรดิน ในประเทศไทยมี 2 แบบ คือ ปัญหาที่เกิดข้ึนจากธรรมชาติและปัญหาที่เกิดจากการ กระท าของมนุษย์
103 ทรัพยากรน ้า โลกที่เราอาศยัอยปู่ระกอบไปดว้ยพ้ืนน้า ถึง 3 ส่วน เป็นทรัพยากรที่สามารถหมุนเวยีนได้ไม่มี วันหมดไปจากโลกแต่ถูกทา ใหเ้สื่อมสภาพหรือมีคุณภาพต่า ลงได้ แหล่งน้า แบ่งไดเ้ป็น 2 ประเภท คือ ๐ น ้าบนดิน ไดแ้ก่น้า ในแม่น้า ลา คลอง หนอง บึงอ่างเก็บน้า น้า จากแหล่งน้ีจะมีปริมาณมาก หรือนอ้ยข้ึนอยกู่บั ปัจจยัต่อไปน้ี - ปริมาณของน้า ฝนที่ไดร้ับ -อตัราการสูญเสียของน้า ซ่ึงมีสาเหตุมาจากการระเหยและการคายน้า -ความสามารถในการกกัเก็บน้า ๐ น ้าใต้ดิน เป็นน้า ที่แทรกอยใู่ตด้ิน ไดแ้ก่น้า บาดาลการที่ระดบัน้า ใตด้ินจะมีปริมาณมากหรือ นอ้ยเพียงใดข้ึนอยกู่บั ปัจจยัต่อไปน้ี - ปริมาณน้า ที่ไหลจากผวิดิน -ความสามารถในการกกัเก็บน้า ไวใ้นช้นัหิน ความส าคัญของน ้า น้า มีความสา คญัต่อสิ่งมีชีวิตมากมายดงัน้ี ๐ ด้านเกษตรกรรม เพื่อการเพาะปลูกเล้ียงสัตว์ ฯลฯ ๐ ดา้นการคมนาคมขนส่งทางน้า ๐ ด้านการอุตสาหกรรม ๐ ด้านการอุปโภคและการบริโภค การอนุรักษ์ทรัพยากรน า้มีแนวทางในการปฏิบตัิดงัน้ี ๐ การพฒันาแหล่งน้า โดยการขดุลอกแหล่งน้า ต่างๆ ที่ต้ืนเขิน ๐ ใชน้ ้า อยา่งประหยดั ไม่ปล่อยใหน้ ้า ที่ใชเ้สียไปโดยเปล่าประโยชน์ ๐ ไม่ตดัไมท้า ลายป่า ๐ ป้องกนัไม่ใหเ้กิดมลพิษกบัแหล่งน้า
104 ทรัพยากรป่ าไม้ ป่าไมเ้ป็นส่วนที่มีความสา คญัต่อระบบนิเวศเป็นอยา่งยงิ่เป็นตน้น้า เป็นที่อยอู่าศยัของสัตวป์่า มากมาย ช่วยป้องกนัการชะลา้งหนา้ดิน เป็นส่วนสา คญัที่ทา ใหเ้กิดการหมุนเวยีนของสารต่างๆ ใน ธรรมชาติฯลฯ ป่าเป็นสิ่งจา เป็นต่อโลก แนวทางในการอนุรักษ์ป่าไม้ -การทา ความเขา้ใจถึงความสา คญัของป่าต่อการดา รงชีวิตของมนุษย์สัตว์และสิ่งต่างๆ ที่อยใู่นโลก -การสร้างจิตสา นึกร่วมกนั ในการดูแลรักษาป่าไมใ้นชุมชน ซึ่งแนวทางหนึ่งคือการเปิ ดโอกาส โดยภาครัฐในการออกพระราชบัญญัติป่ าชุมชน -การออกกฎหมายเพื่อคุม้ครองพ้ืนที่ป่าและการออกกฎเพื่อป้องกนัการตดัไมท้า ลายป่า - ช่วยกนั ปลูกป่าในพ้ืนที่ป่าเสื่อมโทรม โดยอาจจะเป็นการร่วมมือกบัสมาชิกในชุมชนเพื่อปลูก ป่าในโอกาสต่างๆ - ติดตามข่าวสารเกี่ยวกบัสิ่งแวดลอ้มเป็นประจา เพื่อจะไดท้ราบความเคลื่อนไหวเกี่ยวกบัการ ร่วมอนุรักษป์่าไมร้วมถึงสิ่งแวดลอ้มในดา้นอื่นดว้ย ทรัพยากรแร่ ทรัพยากรแร่หมายถึงแร่ธาตุต่างๆ ที่มีอยใู่นโลก ท้งับริเวณส่วนที่เป็นพ้ืนดินและส่วนที่พ้ืนน้า ซึ่งมนุษย์สามารถน ามาใช้ประโยชน์ได้ตามความต้องการ แหล่งก าเนิดแรู่แร่ธาตุต่างๆ ที่มีอยใู่นบริเวณเปลือกโลกเกิดมาจากสาเหตุหลกัๆ ดงัน้ี - ปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่น การระเบิดของภูเขาไฟ การเคลื่อนที่ของแผน่เปลือกโลกเป็นตน้ ซึ่งจะท าให้แร่ธาตุต่างๆ ที่อยใู่ตผ้วิโลกถูกผลกัดนัข้ึนมา
105 -การแปรสภาพทางเคมีของหินประเภทต่างๆ ที่อยบู่นเปลือกโลกจนไดแ้ร่ชนิดใหม่เป็น องคป์ระกอบประเทศไทยมีแร่ธาตุต่างๆ อยอู่ยา่งอุดมสมบูรณ์โดยสามารถพบแร่ธาตุชนิดต่างๆ กระจายกนัอยทู่วั่ประเทศเช่น -แร่ลิกไนต์พบมากที่อ.ปูดา จ.กระบี่อ.แม่เมาะจ.ลา ปางอ.ล้ีจ.ล าพูน - หินน้า มนัพบมากที่อ.แม่สอด จ.ตาก -แร่เกลือหินโพแทซ พบกระจดักระจายทวั่ ไปในภาคตะวนัออกเฉียงเหนือของประเทศไทย -แร่รัตนชาติพบมากแถบภาคตะวันออกและตะวันตกของประเทศไทย -แร่ดีบุก พบมากที่จ.พงังาและหลายจังหวัดในภาคใต้ของประเทศไทย วธิีการอนุรักษ์ทรัพยากรแร่ ทรัพยากรแร่เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใชแ้ลว้หมดไป ดงัน้นัทุกคนจึงตอ้งร่วมมือกนัอนุรักษ์ ทรัพยากรแร่อยา่งเตม็ความสามารถ วธิีการอนุรักษท์รัพยากรแร่มีหลากหลายวธิีดงัแนวทางต่อไปน้ี - ใชส้ิ่งของเครื่องใชต้่างๆ อยา่งรู้คุณค่า โดยใชใ้หเ้กิดประโยชน์สูงสุดเท่าที่จะทา ได้ - ใชแ้ร่ธาตุให้ตรงกบัความตอ้งการและตรงกบัสมบตัิของแร่ธาตุน้นัๆ -แยกขยะที่จะทิ้งออกเป็นส่วนๆ ตามประเภทของขยะคือขยะที่ไม่สามารถนา กลบัมาใชไ้ด้ เช่น เศษอาหารเป็นตน้ขยะที่สามารถนา กลบัมาใชใ้หม่ได้เช่น ขวดแกว้ กระป๋ องบรรจุภัณฑ์ เป็ นต้น และขยะอนัตรายเช่น ถ่านไฟฉายแบบต่างๆ แบตเตอรี่แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เป็ นต้น ซึ่งจะท าให้การ นา ขยะไปผลิตเป็นผลิตภณัฑ์ใหม่ทา ไดง้่ายข้ึน และลดการขดุใชแ้ร่ธาตุต่างๆ ลง ผลกระทบจากการใชัทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น ในปัจจุบัน ทุกคนคงทราบดีถึงสภาพความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดลอ้มที่กา ลงัเกิดข้ึน และหาก ทุกคนยงัคงนิ่งเฉยไม่ตระหนกัถึงอนัตรายที่กา ลงัเกิดข้ึนกบัสิ่งแวดลอ้ม อีกไม่นานปัญหาสิ่งแวดลอ้ม ต่างๆ ก็จะไม่สามารถแกไ้ขกลบัมาใหม้ีสภาพที่เหมาะสมต่อการดา รงชีวติได้และเราทุกคนซ่ึงเป็นส่วน หนึ่งของสิ่งแวดลอ้มก็จะไดร้ับผลกระทบที่ไม่สามารถคาดเดาไดอ้ยา่งไม่มีทางหลีกเลี่ยง ในฐานะที่เรา ทุกคนเป็ นมนุษย์เราจึงควรตระหนกัและหาแนวทางในการป้องกนัแกไ้ขปัญหาสิ่งแวดลอ้มที่กา ลงั เกิดข้ึนน้ีดว้ยความเขา้ใจอยา่งจริงจงัการอนุรักษท์รัพยากรธรรมชาติต่างๆ น้นั ไม่ใช่เรื่องยากเกินกา ลงั ของเราทุกคน ขอเพียงแค่เราต้งัใจทา และทา การอนุรักษจ์นเป็นนิสัย เพียงเท่าน้ีทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้มที่งดงามก็จะอยกู่บัเราไปอีกนาน แนวทางในการอนุรักษท์รัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้มทา ไดด้งัแนวทางดงัน้ี -การเริ่มตน้อนุรักษค์วรเริ่มตน้จากสิ่งใกลต้วัและทา ไดง้่ายก่อน เช่น เริ่มจากการอนุรักษ์ สิ่งแวดลอ้มบริเวณบา้น บริเวณหมู่บา้น หรือในอา เภอของตนเอง
106 -ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกบัลกัษณะของสิ่งแวดลอ้มที่อยรู่อบตวัเราใหเ้ขา้ใจเพราะลักษณะของ สิ่งแวดลอ้มแต่ละทอ้งถิ่นมีรายละเอียดที่แตกต่างกนั - ปฏิบัติการอนุรักษอ์ยา่งค่อยเป็นค่อยไป และพยายามหาเพื่อนที่มีแนวคิดเดียวกนัมาร่วมกนั ท างาน เพื่อเพิ่มกา ลงัคนและแนวคิดในการอนุรักษ์ การอนุรักษท์รัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้มไม่ใช่เรื่องยากจนเกินความสามารถของทุกคน หากต้งัใจที่จะทา เพราะเพียงแค่การนา ถุงพลาสติกที่ใชแ้ลว้กลบัมาใชใ้หม่ก็เป็นการช่วยลดปริมาณขยะ ได้แล้ว หรือการแยกขยะก่อนทิ้งก็จะเป็นการช่วยลดการใชท้รัพยากรธรรมชาติลงไปไดอ้ีกทางหน่ึง ตวัอยา่งขา้งตน้น้ีเป็นเพียงตวัอยา่งบางประการของการปฏิบตัิการเพื่อสิ่งแวดลอ้มเท่าน้นัหากทุกคน ช่วยกนัคิดช่วยกนัทา เราทุกคนก็จะมีชีวติที่ดีในสิ่งแวดลอ้มที่ดีและมีทรัพยากรต่างๆ ใหเ้ราใชส้อยกนั อยา่งเพียงพอ หลกัการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ในการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้เหมาะสมและได้รับประโยชน์สูงสุด ควร คา นึงถึงหลกัต่อไปน้ี 1. การอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติต้องค านึงถึงทรัพยากรธรรมชาติอื่นควบคู่กนั ไป เพราะทรัพยากรธรรมชาติต่างก็มีความเกี่ยวขอ้งสัมพนัธ์และส่งผลต่อกนัอยา่งแยกไม่ได้ 2. การวางแผนการจดัการทรัพยากรธรรมชาติอยา่งชาญฉลาด ตอ้งเชื่อมโยงกบัการพฒันา สังคม เศรษฐกิจการเมืองและคุณภาพชีวติอยา่งกลมกลืน ตลอดจนรักษาไว้ซึ่งความสมดุลของระบบ นิเวศควบคู่กนัไป 3. การอนุรักษท์รัพยากรธรรมชาติตอ้งร่วมมือกนัทุกฝ่าย ท้งัประชาชนในเมือง ในชนบท และ ผบู้ริหาร ทุกคนควรตระหนกัถึงความสา คญัของทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้มตลอดเวลา โดนเริ่มตน้ที่ ตนเองและทอ้งถิ่นของตน ร่วมมือกนัท้งัภายในประเทศและท้งัโลก 4. ความสา เร็จของการพฒันาประเทศข้ึนอยกู่บัความอุดมสมบูรณ์และความปลอดภยัของ ทรัพยากรธรรมชาติดงัน้นัการทา ลายทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็นการทา ลายมรดกและอนาคตของชาติ ด้วย 5. ประเทศมหาอ านาจที่เจริญทางด้านอุตสาหกรรม มีความต้องการทรัพยากรธรรมชาติเป็ น จ านวนมากเพื่อใช้ป้ อนโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศของตน ดงัน้นั ประเทศที่กา ลงัพฒันาท้งัหลาย จึงตอ้งช่วยกนั ป้องกนัการแสวงหาผลประโยชน์ของประเทศมหาอา นาจ 6. มนุษยส์ามารถนา เทคโนโลยตี่าง ๆ มาช่วยในการจดัการทรัพยากรธรรมชาติได้แต่การ จดัการน้นั ไม่ควรมุ่งเพียงเพื่อการอยดู่ ีกินดีเท่าน้นั ต้องค านึงถึงผลดีทางด้านจิตใจด้วย
107 7. การใชท้รัพยากรธรรมชาติในสิ่งแวดลอ้มแต่ละแห่งน้นั จ าเป็ นต้องมีความรู้ในการรักษา ทรัพยากรธรรมชาติที่จะใหป้ระโยชน์แก่มนุษยท์ุกแง่ทุกมุม ท้งัขอ้ดีและขอ้เสียโดยค านึงถึงการสูญ เปล่าอนัเกิดจากการใชท้รัพยากรธรรมชาติดว้ย 8. รักษาทรัพยากรธรรมชาติที่จ าเป็ นและหายากด้วยความระมัดระวัง พร้อมท้งัประโยชน์และ การทา ใหอ้ยใู่นสภาพที่เพิ่มท้งัทางดา้นกายภาพและเศรษฐกิจเท่าที่ทา ได้รวมท้งัจะตอ้งตระหนกัเสมอวา่ การใชท้รัพยากรธรรมชาติที่มากเกินไปจะไม่เป็นการปลอดภยัต่อสิ่งแวดลอ้ม 9. ต้องรักษาทรัพยากรที่ทดแทนได้โดยใหม้ีอตัราการผลิตเท่ากบัอตัราการใชห้รืออตัราการเกิด เท่ากบัอตัราการตายเป็นอยา่งนอ้ย 10. หาทางปรับปรุงวธิีการใหม่ๆ ในการผลิต และการใชท้รัพยากรธรรมชาติอยา่งมี ประสิทธิภาพ อีกท้งัพยายามคน้ควา้สิ่งใหม่มาใชท้ดแทน 11. ให้การศึกษาเพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงความส าคัญในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สา หรับวธิีการในการอนุรักษท์รัพยากรธรรมชาติน้นั ศิริพรต ผลสิทธุ์ (2531 : 196-197) ได้เสนอวิธีการ ไวด้งัน้ี 1. การถนอม เป็นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติท้งัปริมาณและคุณภาพใหม้ีอยนู่านที่สุดโดย พยายามใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพ เช่น การเลือกจบั ปลาที่มีขนาดโตมาใชใ้นการบริโภค ไม่จบั ปลาที่มีขนาดเล็กเกินไป เพื่อใหป้ลาเหล่าน้นั ไดม้ีโอกาสโตข้ึนมาแทนปลาที่ถูกจบัไปบริโภคแลว้ 2. การบูรณะซ่อมแซม เป็นการบูรณะซ่อมแซมทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดความเสียหายใหม้ีสภาพ เหมือนเดิมหรือเกือบเท่าเดิม บางคร้ังอาจเรียกวา่พฒันาก็ได้เช่น ป่าไมถู้กทา ลายหมดไป ควรมีการปลูก ป่าข้ึนมาทดแทน จะทา ใหม้ีพ้ืนที่บริเวณน้นักลบัคืนเป็นป่าไมอ้ีกคร้ังหน่ึง 3. การปรับปรุงและการใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นการนา แร่โลหะประเภทต่าง ๆ มาถลุงแลว้ น าไปสร้างเครื่องจักรกล เครื่องยนต์หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ซ่ึงจะใหป้ระโยชน์แก่มนุยษเ์รามากยงิ่ข้ึน 4. การน ามาใช้ใหม่ เป็ นการน าทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วมาใช้ใหม่ เช่น เศษเหล็ก สามารถนา กลับมาหลอม แลว้แปรสภาพสา หรับการใชป้ระโยชน์ใหม่ได้ 5. การใช้สิ่งอื่นทดแทน เป็นการนา เอาทรัพยากรอยา่งอื่นที่มีมากกวา่หรือหาง่ายกวา่มาใช้ ทดแทนทรัพยากรธรรมชาติที่หายากหรือกา ลงัขาดแคลน เช่น นา พลาสติกมาใชแ้ทนโลหะในบางส่วน ของเครื่องจักรหรือยานพาหนะ 6.การส ารวจหาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มเติม เพื่อเตรียมไว้ใช้ประโยชน์ในอนาคต เช่น การ สา รวจแหล่งน้า มนั ในอ่าวไทย ทา ใหค้น้พบแหล่งก๊าซธรรมชาติเป็นจา นวนมาก สามารถน ามาใช้ ประโยชน์ท้งัในระยะส้ันและในระยะยาวอีกท้งัช่วยลดปริมาณการนา เขา้ก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ 7.การประดิษฐ์ของเทียมขึ้นมาใชู้เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ชนิดอื่น ๆ ที่นิยมใชก้นัของเทียมที่ผลิตข้ึนมา เช่น ยางเทียม ผา้เทียม และผา้ไหมเทียม เป็ นต้น
108 8. การเผยแพร่ความรู้เป็นการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม เพื่อที่จะไดร้ับความร่วมมืออยา่งเต็มที่และรัฐควรมีบทบาทในการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ม โดยการวางแผนจดัทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้มอยา่งรัดกุม 9.การจัดตั้งสมาคม เป็นการจดัต้งัสมาคมหรือชมรมในการอนุรักษท์รัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ม
109 เรื่องที่ 2 สิ่งแวดล้อม ความหมายสิ่งแวดล้อม รูปธรรม (สามารถจับต้องและมองเห็นได้)และนามธรรม (ตวัอยา่งเช่นวฒันธรรมแบบ แผน ประเพณี ความเชื่อ) มีอิทธิพลเกี่ยวโยงถึงกนัเป็นปัจจยัในการเก้ือหนุนซ่ึงกนัและกนัผลกระทบ จากปัจจยัหน่ึงจะมีส่วนเสริมสร้างหรือทา ลายอีกส่วนหน่ึงอยา่งหลีกเลี่ยงมิได้สิ่งแวดลอ้มเป็นวงจร และวฏัจกัรสิ่งแวดลอ้ม คือ ทุกสิ่งทุกอยา่งที่อยรู่อบตวัมนุษยท์ ้งัที่มีชีวติและไม่มีชีวติรวมท้งัที่เป็น วัฏจกัรที่เกี่ยวขอ้งกนัไปท้งัระบบ สิ่งแวดลอ้มแบ่งออกเป็นลกัษณะกวา้ง ๆ ได้2 ส่วนคือ 1. สิ่งแวดลอ้มที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติเช่น ป่าไม้ภูเขา ดิน น้า อากาศ ทรัพยากร 2. สิ่งแวดลอ้มที่มนุษยส์ร้างข้ึน เช่น ชุมชนเมือง สิ่งก่อสร้างโบราณสถาน ศิลปกรรม สาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อม สาเหตุหลกัของปัญหาสิ่งแวดลอ้มมีอยู่2 ประการดว้ยกนัคือ 1. การเพิ่มของประชากร (Population growth) ปริมาณการเพิ่มของประชากรก็ยงัอยใู่นอตัราทวคีูณ (Exponential Growth) เมื่อผคู้นมากข้ึนความตอ้งการบริโภคทรัพยากรก็เพิ่มมากข้ึนทุกทางไม่วา่จะเป็น เรื่องอาหาร ที่อยอู่าศยัพลงังาน 2. การขยายตัวทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี(Economic Growth & Technological Progress)ความเจริญทางเศรษฐกิจน้นัทา ใหม้าตรฐานในการดา รงชีวิตสูงตามไปดว้ย มี การบริโภคทรัพยากรจนเกินกวา่ความจา เป็นข้นัพ้ืนฐานของชีวติมีความจา เป็นตอ้งใชพ้ลงังานมากข้ึน ตามไปด้วย ในขณะเดียวกนัความกา้วหนา้ทางดา้นเทคโนโลยกี็ช่วยเสริมใหว้ธิีการนา ทรัพยากรมาใชไ้ด้ ง่ายข้ึนและมากข้ึน ผลที่เกิดจากปัญหาสิ่งแวดล้อม ผลสืบเนื่องอนัเกิดจากปัญหาสิ่งแวดลอ้ม คือ ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอเนื่องจากมี การใชท้รัพยากรกนัอยา่งไม่ประหยดัอาทิป่าไมถู้กทา ลาย ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ขาดแคลนน้า ภาวะมลพิษ (Pollution) เช่น มลพิษในน้า ในอากาศและเสียง มลพิษในอาหาร สารเคมีอนัเป็นผลมา จากการเร่งรัดทางดา้นอุตสาหกรรมนนั่เอง การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดลอ้มในทอ้งถิ่นโดยธรรมชาติ ไดแ้ก่การเกิดอุทกภยัจากน้า ป่าไหลหลาก ทา ใหส้ิ่งมีชีวติโดยเฉพาะพืชถูกน้า ท่วม พืชบางชนิดไม่สามารถดา รงชีวิตอยไู่ดใ้นที่ที่มีน้า ท่วม จึงตาย ไปในที่สุด และอุทกภยัยงัก่อใหเ้กิดความเสียหายต่อสิ่งมีชีวติทุกชนิด โดยเฉพาะสัตวแ์ละมนุษย์ การเกิดลมพายกุ็เป็นสาเหตุที่ทา ใหส้ิ่งแวดลอ้มเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยลมพายอุาจพัดพา รุนแรงจนทา ใหต้น้ ไมสู้ง ๆ บางตน้ตา้นแรงลมไม่ไหว จึงโดนลมลม้ลงไป ทา ใหเ้กิดความเสียหายต่าง ๆ ตามมาทา ใหส้ิ่งแวดลอ้มเปลี่ยนไป
110 การเกิดภูเขาไฟระเบิดก็เป็นสาเหตุที่ทา ใหส้ิ่งแวดลอ้มเกิดการเปลี่ยนแปลง ความร้อนของลาวา ที่ไหลออกมาจากปล่องภูเขาไฟ ทา ใหส้ิ่งมีชีวติไม่สามารถดา รงชีวติได้อีกท้งัก๊าซต่าง ๆ ที่ปล่อยออกมา จากปล่องภูเขาไฟทา ใหส้ภาพอากาศเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดลอ้มในทอ้งถิ่นโดยมนุษย์ไดแ้ก่มนุษยท์า ใหภู้เขาไม่มีตน้ ไม้กลายเป็น ภูเขาหวัโลน้ตน้ ไมใ้นป่าถูกตดัโค่นทา ลาย สัตวป์่าไม่มีที่อยอู่าศยัและขาดอาหาร น้า เสีย อากาศเป็นพิษ ดินเสีย และเสื่อมสภาพ ภาวะโลกร้อน (Global Warming) ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็ นปัญหา ใหญ่ของโลกเราในปัจจุบนัสังเกตไดจ้ากอุณหภูมิของโลกที่สูงข้ึนเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหาน้ีมา จากก๊าซเรือนกระจก(Greenhouse gases) ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสา คญักบัโลกเพราะก๊าซจา พวกคาร์บอนไดออกไซด์หรือ มีเทน จะกกัเก็บความร้อนบางส่วนไวใ้นโลกไม่ใหส้ะทอ้นกลบัสู่บรรยากาศท้งัหมด มิฉะน้นั โลกจะ กลายเป็ นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลงังาน จาก ดวงอาทิตย)์ซ่ึงการทา ใหโ้ลกอุ่นข้ึนเช่นน้ีคลา้ยกบัหลกัการของ เรือนกระจก(ที่ใช้ ปลูกพืช)จึงเรียกวา่ ปรากฏการณ์เรือนกระจก(Greenhouse Effect) แต่การเพิ่มข้ึนอยา่งต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการ กระทา ใดๆที่เผา เช้ือเพลิงฟอสซิล(เช่น ถ่านหิน น้า มนัก๊าซธรรมชาติหรือ สารประกอบ ไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลใหร้ะดบั ปริมาณ CO2 ในปัจจุบนัสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ลา้นส่วน) เป็น คร้ังแรกในรอบกวา่ 6 แสนปี ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ที่มากข้ึนน้ีไดเ้พิ่มการกกัเก็บความร้อนไวใ้นโลกของเรามากข้ึน เรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดงัเช่นปัจจุบนั ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนบัต้งัแต่ปีพ.ศ. 2533 มาน้ีไดม้ีการบนัทึกถึงปีที่มีอากาศร้อน ที่สุดถึง 3 ปี คือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แมว้า่พยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศยงัมีความไม่แน่นอนหลายประการแต่การถกเถียงวพิากษว์จิารณ์ไดเ้ปลี่ยนหวัขอ้จากคา ถาม ที่วา่ "โลกกา ลงัร้อนข้ึนจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนข้ึนจะส่งผลร้ายแรงและต่อเนื่อง ต่อสิ่งที่มีชีวติในโลกอยา่งไร" ดงัน้นัยงิ่เราประวงิเวลาลงมือกระทา การแกไ้ขออกไปเพียงใด ผลกระทบ ที่เกิดข้ึนก็จะยงิ่ร้ายแรงมากข้ึนเท่าน้นัและบุคคลที่จะไดร้ับผลกระทบมากที่สุดก็คือลูกหลานของพวก เราเอง
111 สาเหตูุ ภาวะโลกร้อนเป็ นภัยพิบัติที่มาถึง โดยที่เราทุกคนต่างทราบถึงสาเหตุของการเกิดเป็นอยา่งดี นนั่คือการที่มนุษยเ์ผาผลาญเช้ือเพลิงฟอสซิลเช่น ถ่านหิน น้า มนัและก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตพลังงาน เราต่างทราบดีถึงผลกระทบบางอยา่งของภาวะโลกร้อน เช่น การละลายของน้า แขง็ในข้วัโลก ระดบัน้า ทะเลที่สูงข้ึน ความแหง้แลง้อยา่งรุนแรงการแพร่ระบาดของโรคร้ายต่างๆ อุทกภยั ปะการัง เปลี่ยนสีและการเกิดพายุรุนแรงฉับพลัน โดยผทู้ี่ไดร้ับผลกระทบมากที่สุด ไดแ้ก่ประเทศตามแนว ชายฝั่ง ประเทศที่เป็นเกาะและภูมิภาคที่กา ลงัพฒันาอยา่งเอเชียอาคเนย์ จากการท างานของคณะกรรมการของรัฐบาลนานาชาติวา่ดว้ยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศที่มีองค์การวิทยาศาสตร์ไดร้่วมมือกบัองคก์ารสหประชาชาติเฝ้าสังเกตผลกระทบต่างๆ และ ไดพ้บหลกัฐานใหม่ที่แน่ชดัวา่จากการที่ภาวะโลกร้อนข้ึนในช่วง 50 กวา่ ปีมาน้ีส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก การกระท าของมนุษย์ซ่ึงส่งผลกระทบอยา่งต่อเนื่องใหอุ้ณหภูมิของโลกเพิ่มข้ึนในทุกหนทุกแห่ง ประมาณ 1.4-5.8 องศาเซลเซียส การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ไดเ้ปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กทีละนอ้ยแต่เป็นการ เปลี่ยนแปลงอยา่งรุนแรงซ่ึงเกิดข้ึนบ่อยคร้ังและมีความรุนแรงมากข้ึนเรื่อยๆ ตวัอยา่งที่เห็นไดช้ดัไดแ้ก่ ความแหง้แลง้อยา่งรุนแรงวาตภยัอุทกภยัพายฝุนฟ้าคะนอง พายทุอร์นาโด แผน่ดินถล่ม และการเกิด พายรุ ุนแรงฉบัพลนัจากภาวะอนัตรายเหล่าน้ีพบวา่ผทู้ี่อาศยัอยใู่นเขตพ้ืนที่ที่เสี่ยงกบัการเกิดเหตุการณ์ ดงักล่าว ซ่ึงไดร้ับผลกระทบมากกวา่พ้ืนที่ส่วนอื่นๆ ยงัไมไ่ดร้ับการเอาใจใส่และช่วยเหลือเท่าที่ควร นอกจากน้ียงัมีการคาดการณ์วา่ การที่อุณหภูมิของโลกสูงข้ึน เป็นเหตุใหป้ริมาณผลผลิตเพื่อการบริโภค โดยรวมลดลง ซ่ึงทา ใหจ้า นวนผอู้ดอยากหิวโหยเพิ่มข้ึนอีก60-350 ล้านคน ในประเทศไทยและฟิ ลิปปิ นส์มีโครงการพลงังานต่างๆ ที่จดัต้งัข้ึน และการดา เนินงานของ โครงการเหล่าน้ีไดส้่งผลกระทบต่อระบบนิเวศวทิยาอยา่งเห็นไดช้ดัตวัอยา่งเช่น การเปลี่ยนแปลงของ ฝนที่ไม่ตกตามฤดูกาลและปริมาณน้า ฝนที่ตกในแต่ละช่วงไดเ้ปลี่ยนแปลงไป การบุกรุกและท าลายป่ า ไม้ที่อุดมสมบูรณ์การสูงข้ึนของระดบัน้า ทะเลและอุณหภูมิของน้า ทะเล ซึ่งส่งผลกระทบอยา่งมากต่อ ระบบนิเวศวทิยาตามแนวชายฝั่งและจากการที่อุณหภูมิของน้า ทะเลสูงข้ึนน้ีไดส้่งผลกระทบต่อการ เปลี่ยนสีของน้า ทะเล ดงัน้นัแนวปะการังต่างๆ จึงไดร้ับผลกระทบและถูกทา ลายเช่นกนั ประเทศไทยเป็นตวัอยา่งของประเทศที่มีชายฝั่งทะเล ที่มีความยาวประมาณ 2,490 กิโลเมตร และเป็นแหล่งที่มีความสา คญัอยา่งมากต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะอยา่งยงิ่การประมง การ เพาะเล้ียงสัตวน์ ้า และความไม่แน่นอนของฤดูกาลที่ส่งผลกระทบต่อการทา เกษตรกรรม มีการ คาดการณ์วา่หากระดบัน้า ทะเลสูงข้ึนอีกอยา่งนอ้ย 1 เมตรภายในทศวรรษหน้า หาดทรายและพ้ืนที่
112 ชายฝั่งในประเทศไทยจะลดนอ้ยลง สถานที่ตากอากาศชายทะเลรวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวใน สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น พทัยาและระยองจะไดร้ับผลกระทบโดยตรงแมแ้ต่กรุงเทพมหานครก็ไม่ สามารถหลีกเลี่ยงจากผลกระทบของระดบัน้า ทะเลที่สูงข้ึนน้ีเช่นกนั ปัญหาด้านสุขภาพ ก็เป็นเรื่องสา คญัอีกเรื่องหน่ึงที่ไดร้ับผลกระทบอยา่งรุนแรงจากสภาพ ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงน้ีดว้ยเนื่องจากอุณหภูมิและความช้ืนที่สูงข้ึน ส่งผลใหม้ีการเพิ่มข้ึนของยงมากุ ข้ึน ซ่ึงนา มาสู่การแพร่ระบาดของไขม้าเลเรียและไขส้่า นอกจากน้ีโรคที่เกี่ยวขอ้งกบัน้า เช่น อหิวาห์ตก โรค ซ่ึงจดัวา่เป็นโรคที่แพร่ระบาดไดอ้ยา่งรวดเร็วโรคหน่ึงในภูมิภาคน้ีคาดวา่จะเพิ่มข้ึนอยา่งรวดเร็ว และต่อเนื่องจากอุณหภูมิและความช้ืนที่สูงข้ึน คนยากจนเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงน้ีประกอบกบัการใหค้วามรู้ในดา้นการดูแลรักษาสุขภาพที่ดียงัมีไม่เพียงพอ ปัจจุบนัน้ีสัญญาณเบ้ืองตน้ของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ไดป้รากฏข้ึนอยา่งแจง้ชดั ดงัน้นัสมควรหรือไม่ที่จะรอจนกวา่จะคน้พบขอ้มูลมากข้ึน หรือ มีความรู้ในการแกไ้ขมากข้ึน ซ่ึง ณ เวลาน้นัก็อาจสายเกินไปแลว้ที่จะแกไ้ขได้ ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน แมว้า่ โดยเฉลี่ยแลว้อุณหภูมิของโลกจะเพิ่มข้ึนไม่มากนกัแต่ผลกระทบที่เกิดข้ึนจะส่งผลต่อเป็นทอด ๆ และจะมีผลกระทบกบัโลกในที่สุด ขณะน้ีผลกระทบดงักล่าวเริ่มปรากฏใหเ้ห็นแลว้ทวั่ โลกรวมท้งั ประเทศไทย ตวัอยา่งที่เห็นไดช้ดัคือการละลายของน้า แขง็ทวั่ โลก ท้งัที่เป็นธารน้า แข็ง (glaciers) แหล่งน้า แขง็บริเวณข้วัโลกและในกรีนแลนดซ์ ่ึงจดัวา่เป็นแหล่งน้า แขง็ที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้า แขง็ที่ ละลายน้ีจะไปเพิ่มปริมาณน้า ในมหาสมุทรเมื่อประกอบกบัอุณหภูมิเฉลี่ยของน้า สูงข้ึน น้า ก็จะมีการ ขยายตวัร่วมดว้ย ทา ใหป้ริมาณน้า ในมหาสมุทรทวั่ โลกเพิ่มมากข้ึนเป็นทวคีูณ ทา ใหร้ะดบัน้า ทะเลสูงข้ึน มาก ส่งผลให้เมืองส าคัญ ๆ ที่อยรู่ ิมมหาสมุทรตกอยใู่ตร้ะดบัน้า ทะเลทนัที มีการคาดการณ์วา่หากน้า แขง็ดงักล่าวละลายหมด จะทา ใหร้ะดบัน้า ทะเลสูงข้ึน 6-8 เมตรทีเดียว ผลกระทบที่เริ่มเห็นไดอ้ีกประการหน่ึงคือการเกิดพายหุมุนที่มีความถี่มากข้ึน และมีความรุนแรงมาก ข้ึนดว้ย ดังเราจะเห็นไดจ้ากข่าวพายเุฮอริเคนที่พดัเขา้ถล่มประเทศสหรัฐอเมริกาหลายลูกในช่วงสอง สามปีที่ผา่นมาแต่ละลูกก็สร้างความเสียหายในระดบัหายนะท้งัสิ้น สาเหตุอาจอธิบายไดใ้นแง่พลงังาน กล่าวคือเมื่อมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงข้ึน พลงังานที่พายไุดร้ับก็มากข้ึนไปดว้ย ส่งผลใหพ้ ายุมีความ รุนแรงกวา่ที่เคย
113 นอกจากน้นัสภาวะโลกร้อนยงัส่งผลใหบ้างบริเวณในโลกประสบกบัสภาวะแหง้แลง้อยา่งไม่เคยมีมา ก่อน เช่น ขณะน้ีไดเ้กิดสภาวะโลกร้อนรุนแรงข้ึนอีกเนื่องจากตน้ ไมใ้นป่าที่เคยทา หนา้ที่ดูดกลืนแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ไดล้ม้ตายลงเนื่องจากขาดน้า นอกจากจะไม่ดูดกลืนแก๊สต่อไปแลว้ยงัปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากกระบวนการยอ่ยสลายดว้ยและยังมีสัญญาณเตือนจากภัยธรรมชาติอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งหากเราสังเกตดี ๆ จะพบวา่เป็นผลจากสภาวะน้ีไม่นอ้ย การแก้ปัญหาโลกร้อน แลว้เราจะหยุดสภาวะโลกร้อนไดอ้ยา่งไร เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงวา่เราคงไม่อาจหยดุย้งัสภาวะโลกร้อนที่กา ลงัจะเกิดข้ึนในอนาคตได้ถึงแมว้า่เรา จะหยดุผลิตแก๊สเรือนกระจกโดยสิ้นเชิงต้งัแต่บดัน้ีเพราะโลกเปรียบเสมือนเครื่องจกัรขนาดใหญ่ที่มี กลไกเล็ก ๆ จา นวนมากทา งานประสานกนัการตอบสนองที่มีต่อการกระตุน้ต่าง ๆ จะตอ้งใชเ้วลานาน กวา่จะกลบัเขา้สู่สภาวะสมดุลและแน่นอนวา่สภาวะสมดุลอนั ใหม่ที่จะเกิดข้ึนยอ่มจะแตกต่างจาก สภาวะปัจจุบนัอยา่งมาก แต่เราก็ยงัสามารถบรรเทาผลอนัร้ายแรงที่อาจจะเกิดข้ึนในอนาคตเพื่อใหค้วามรุนแรงลดลงอยใู่นระดบั ที่พอจะรับมือได้และอาจจะชะลอปรากฏการณ์โลกร้อนให้ช้าลง กินเวลานานข้ึน สิ่งที่เราพอจะทา ได้ ตอนน้ีคือพยายามลดการผลิตแก๊สเรือนกระจกลงและเนื่องจากเราทราบวา่แก๊สดงักล่าวมาจาก กระบวนการใช้พลังงาน การประหยดัพลงังานจึงเป็นแนวทางหน่ึงในการลดอตัราการเกิดสภาวะโลก ร้อนไปในตัว
114 กิจกรรมที่ 1 1. ใหน้กัศึกษายกตวัอยา่งสิ่งที่มนุษยท์า ใหส้ิ่งแวดลอ้มเกิดการเปลี่ยนแปลงมา 1 อยา่ง ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… 2. ใหน้กัศึกษายกตวัอยา่งผลกระทบที่มีต่อมนุษย์เมื่อสิ่งแวดลอ้มถูกทา ลายมา 2 อยา่ง ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… 3. พลงังานชนิดแรกที่ก่อใหเ้กิดสิ่งมีชีวติข้ึนมาบนโลกคือ..................... 4. ทรัพยากรป่ าไม้ในประเทศไทย ในระยะ 30 ปีลดลงเท่าตวัซ่ึงทา ใหส้ ่งผลกระทบต่อสิ่งใด ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… 5. สาเหตุสา คญัที่ทา ให้เกิดวิกฤตทางธรรมชาติซึ่งเป็นปัญหาที่มนุษยก์า ลงัเผชิญอยใู่นปัจจุบัน คือ …………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………
115 6. แหล่งพลงังานที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ....................................................................... 7. การใช้ทรัพยากรอยา่งสิ้นเปลืองของมนุษยก์ ่อใหเ้กิดวกิฤตดา้นใด................................... 8. เพื่อรักษาสมดุลทางธรรมชาติไว้ให้ประชาชนรุ่นหลงัควรปรับสภาพการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อยา่งไร ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… 9. วธิีสร้างความสมดุลใหช้ีวติมนุษยก์บัธรรมชาติไดพ้ ่ึงพากนัยาวนานข้ึน มนุษยค์วรปฏิบตัิอยา่งไร. ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… กิจกรรมที่ 2 แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม และให้แต่ละกลุ่มไปศึกษาปัญหาสิ่งแวดล้อมและแนวทางการแก้ไข ปัญหาแล้วออกมาน าเสนอหน้าช้ันเพอื่การแลกเปลยี่นข้อมูลซึ่งกนัและกนั ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………
116 บทที่ 6 ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สาระส าคัญ ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกี่ยวขอ้งกบัชีวิตประจา วนัการเกิดเมฆ หมอก น้า คา้ง ฝน ลูกเห็บ สภาพอากาศของทอ้งถิ่นเพื่อการดา รงชีวติไดอ้ยา่งปกติสุข ผลการเรียนรู้ทคี่าดหวงั 1. อธิบายการเกิดเมฆ หมอก น้า คา้งฝน และลูกเห็บได้ 2. บอกสภาพอากาศของทอ้งถิ่นได้ ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1การเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เรื่องที่2การรายงานสภาพอากาศของทอ้งถิ่น
117 เรื่องที่ 1 การเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ 1.1 เมฆ (Clouds) “เมฆ” เป็นไอน้า ที่ลอยตวัอยใู่นอากาศเมื่อไดร้ับความร้อนจากดวงอาทิตยก์ ็จะลอยตวัสูงข้ึนจน ไปกระทบกบัมวลอากาศเยน็ที่อยดู่า้นบนทา ใหก้ลนั่ตวัเป็นละอองน้า ขนาดเล็กและเมื่อละอองน้า เหล่าน้นัรวมตวักนัก็จะเป็นเมฆ ตวัอยา่งการเกิดเมฆที่เห็นไดช้ดั ไดแ้ก่ “คอนเทรล” ซึ่งเป็ นเมฆที่สร้าง ข้ึนโดยฝีมือมนุษย์เมื่อเครื่องบินไอพน่บินอยใู่นระดบัสูงเหนือระดบัควบแน่น ไอน้า ซ่ึงอยใู่นอากาศ ร้อนที่พ่นออกมาจากเครื่องยนต์ปะทะเขา้กบัอากาศเยน็ซ่ึงอยภู่ายนอกเกิดการควบแน่นเป็นหยดน้า โดยการจบัตวักบัเขม่าควนัจากเครื่องยนตซ์ ่ึงทา หนา้ที่เป็นแกนควบแน่น เราจึงมองเห็นควนัเมฆสีขาว ถูกพน่ออกมาทางทา้ยของเครื่องยนตเ์ป็นทางยาวในการสร้างฝนเทียมก็เช่นกนัเครื่องบินทา การโปรย สารเคมี“ซิลเวอร์ไอโอไดด์” เพื่อทา หนา้ที่เป็นแกนควบแน่นใหไ้อน้า ในอากาศมาจบัตวัและควบแน่น เป็ นเมฆ การเรียกชื่อเมฆ เมฆที่เกิดข้ึนในธรรมชาติมี2 ลกัษณะคือ เมฆกอ้น และเมฆแผน่เราเรียกเมฆกอ้นวา่ “เมฆ คิวมูลัส” และเรียกเมฆแผน่วา่ “เมฆสเตรตัส” หากเมฆกอ้นลอยชิดติดกนัเรานา ชื่อท้งัสองมารวมกนั และเรียกวา่ “เมฆสเตรโตคิวมูลัส” ในกรณีที่เป็นเมฆฝน เราจะเพิ่มคา วา่ “นิมโบ” หรือ “นิมบัส” ซึ่ง แปลวา่ “ฝน” เขา้ไป เช่น เราเรียกเมฆกอ้นที่มีฝนตกวา่ “เมฆคิวมูโลนิมบัส”และเรียกเมฆแผน่ที่มีฝนตก วา่ “เมฆนิมโบสเตรตัส” เราแบ่งเมฆตามระดบัความสูงเป็น 3ระดับ คือ เมฆช้นัต่า เมฆช้นักลางและเมฆช้นัสูง หากเป็นเมฆช้นักลาง (ระดบัความสูง 2 - 6 กิโลเมตร) เราจะเติมคา วา่ “อัลโต” ซ่ึงแปลวา่ “ช้นั กลาง” ไวข้า้งหนา้เช่น เราเรียกเมฆกอ้นช้นักลางวา่ “เมฆอัลโตคิวมูลัส” และเรียกเมฆแผน่ช้นักลางวา่ “เมฆอัลโตสเตรตัส” หากเป็นเมฆช้นัสูง (ระดบัความสูง 6 กิโลเมตร ข้ึนไป ) เราจะเติมคา วา่ “เซอโร” ซ่ึงแปลวา่ “ช้นัสูง” ไวข้า้งหนา้เช่น เราเรียกเมฆกอ้นช้นัสูงวา่ “เมฆเซอโรคิวมูลัส” เรียกเมฆแผน่ช้นัสูงวา่ “เมฆ เซอโรสเตรตัส” และเรียกช้นัสูงที่มีรูปร่างเหมือนขนนกวา่ “เมฆเซอรัส” รูปที่ 1 แผนผังแสดงการเรียกชื่อเมฆ
118 ประเภทของเมฆ นกัอุตุนิยมวทิยาแบ่งเมฆท้งัสิบชนิดออกเป็น 4 ประเภท ดงัน้ี 1. เมฆช้ันสูง เป็นเมฆที่ก่อตวัที่ระดบัความสูงมากกวา่ 6 กิโลเมตร เมฆในช้นัน้ีส่วนใหญ่ มกัจะมีลกัษณะเป็นกอ้นเล็ก ๆ และมกัจะค่อนขา้งโปร่งใส แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ เมฆเซอโรคิวมูลสัเมฆสีขาวเป็นผลึกน้า แขง็มีลกัษณะ เป็น ริ้ว คลื่นเล็กๆ มกัเกิดข้ึนปกคลุมทอ้งฟ้าบริเวณกวา้ง เมฆเซอโรสเตรตัส มีลักษณะคลา้ยกบัเมฆเซอรัสแต่จะแผ่ ออกเป็นแผน่บางๆ ตามทิศทางของลม แผน่บาง สีขาวเป็น ผลึกน้า แขง็ ปกคลุมทอ้งฟ้าเป็นบริเวณกวา้งโปร่งแสงต่อ แสงอาทิตย์บางคร้ังหกัเหแสง ทา ใหเ้กิดดวงอาทิตย์ทรงกลด และดวงจันทร์ทรงกรด เมฆเซอรัส เมฆริ้ว สีขาวรูปร่างคลา้ยขนนกเป็นผลึกน้า แขง็ มกัเกิดข้ึนในวนัที่มีอากาศดีทอ้งฟ้าเป็นสีฟ้าเขม้ 2. เมฆชั้นกลาง เป็นเมฆที่ก่อตวัข้ึนจากหยดน้า หรือผลึกน้า แขง็อยทู่ ี่ระดบัความสูงจากพ้ืนดิน 2 -6กิโลเมตร สามารถจา แนกตามลกัษณะรูปร่างไดด้งัน้ี เมฆอลัโตคิวมูลสัเมฆกอ้น สีขาวลกัษณะเป็นกลุ่มกอ้นเล็ก ๆ คลา้ยฝงูแกะมีช่องวา่งระหวา่งกอ้นเล็กนอ้ย บางคร้ังอาจก่อตวั ต่า ลงมาดูคลา้ย ๆ กบัเมฆสเตรโตคิวมูลสัหรือเกิดเป็นกอ้น ซ้อน ๆ กนัคลา้ยกบัยอดปราสาท เมฆอัลโตสเตรตัส มีลกัษณะเป็นแผน่ ปกคลุมบริเวณ ทอ้งฟ้าบริเวณกวา้ง ส่วนมากมกัมีสีเทา เนื่องจากบงัแสงดวง อาทิตยห์รือดวงจนัทร์ไม่ให้ลอดผา่น ทา ใหเ้ห็นเป็นฝ้าๆ อาจทา ใหเ้กิดละอองฝนบางๆได้
119 3. เมฆชั้นต ่า เป็นเมฆที่เกิดข้ึนที่ระดบัความสูงจากพ้ืนดินไม่เกิน 2 กิโลเมตร ซึ่งสามารถ จา แนกตามลกัษณะรูปร่างไดด้งัน้ี เมฆสเตรตัส เป็นเมฆแผน่บาง สีขาว ปกคลุมทอ้งฟ้า บริเวณกว้างและอาจทา ใหเ้กิดฝนละอองได้มกัเกิดข้ึนตอน เชา้หรือหลงัฝนตก บางคร้ังอาจลอยต่า ปกคลุมพ้ืนดิน เรียกวา่ “หมอก” เมฆสเตรโตคิวมูลสัเมฆกอ้น ลอยติดกนัเป็นแพ ไม่มี รูปทรงที่ชดัเจน มีช่องวา่งระหวา่งกอ้นเพียงเล็กนอ้ย มกั เกิดข้ึนเวลาที่อากาศไม่ดีและมีสีเทา เนื่องจากลอยอยใู่นเงา ของเมฆช้นับน เมฆนิมโบสเตรตัส เมฆแผน่หนาสีเทาเขม้คลา้ยพ้ืนดินที่ เปียกน้า ทา ใหเ้กิดฝนตกพร าๆ หรือฝนตกแดดออก ไม่มี พายฝุนฟ้าคะนอง ฟ้าร้องฟ้าผา่มกัปรากฏใหเ้ห็นสายฝนตก ลงมาจากฐานเมฆ 4. เมฆก่อตัวในแนวตั้ง เป็นเมฆที่อยสูู่งจากพ้ืนดินต้งัแต่500-20,000 เมตรแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ เมฆคิวมูลสัเมฆกอ้นปุกปุย สีขาวรูปทรงคลา้ยดอกกะหล่า ฐานเมฆเป็ นสีเทาเนื่องจากมีความหนามากพอที่จะบดบัง แสงจนทา ใหเ้กิดเงา มกัปรากฏใหเ้ห็นเวลาอากาศดีทอ้งฟ้า เป็ นสีฟ้ าเข้ม เมฆคิวมูโลนิมบัส เมฆก่อตวัในแนวต้งัพฒนามาจากเมฆั คิวมูลสัมีขนาดใหญ่มากปกคลุมพ้ืนที่ครอบคลุมท้งัจงัหวดั ทา ใหเ้กิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ เช่น ฟ้าแลบ ฟ้า ร้อง พายฝุนฟ้าคะนองและบางคร้ังอาจมีลูกเห็บตก
120 สีของเมฆ สีของเมฆบ่งบอกถึงปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนภายในเมฆ เนื่องจากเมฆเกิดจากไอน้า ลอยตวัข้ึนสู่ที่ สูงเยน็ตวัลงและควบแน่นกลายเป็นละอองน้า ขนาดเล็กละอองน้า เหล่าน้ีมีความหนาแน่นสูง แสงอาทิตยไ์ม่สามารถส่องทะลุผา่นไปไดไ้กลภายในกลุ่มละอองน้า น้ีจึงเกิดการสะทอ้นของแสงทา ให้ เราเห็นเป็นกอ้นเมฆสีขาว ในขณะที่กอ้นเมฆกลนั่ตวัหนาแน่นข้ึน ทา ใหล้ะอองน้า เกิดการรวมตวัขนาดใหญ่ข้ึนจนในที่สุด ก็ตกลงมากลายเป็นฝน ซ่ึงในระหวา่งกระบวนการน้ีละอองน้า ในกอ้นเมฆซ่ึงมีขนาดใหญ่ข้ึนจะมี ช่องวา่งระหวา่งหยดน้า มากข้ึน ทา ใหแ้ สงสามารถส่องทะลุผา่นไปไดม้ากข้ึน ซ่ึงถา้กอ้นเมฆน้นัมีขนาด ใหญ่พอและช่องวา่งระหวา่งหยดน้า น้นัมากพอแสงที่ผา่นเขา้ไปก็จะถูกซึมซบัไปในกอ้นเมฆและ สะท้อนกลับออกมาน้อยมาก ซ่ึงการซึมซบัและการสะทอ้นของแสงน้ีส่งผลใหเ้ราเห็นเมฆต้งัแต่สีขาว สีเทา ไปจนถึง สีด า โดยสีของเมฆนั้นสามารถใช้ในการบอกสภาพอากาศได้ - เมฆสีเขียวจางๆ น้นัเกิดจากการกระเจิงของแสงอาทิตยเ์มื่อตกกระทบน้า แขง็ เมฆคิวมูโลนิมบัส ที่มีสีเขียวน้นับ่งบอกถึงการก่อตวัของพายฝุน พายลุ ูกเห็บ ลมที่รุนแรง หรือ พายุทอร์นาโด - เมฆสีเหลือง ไม่ค่อยไดพ้บเห็นบ่อยคร้ังแต่อาจเกิดข้ึนไดใ้นช่วงปลายฤดูใบไมผ้ลิไปจนถึง ช่วงตน้ของฤดูใบไมร้่วง ซ่ึงเป็นช่วงที่เกิดไฟป่าไดง้่ายโดยสีเหลืองน้นัเกิดจากฝ่นุควนั ในอากาศ - เมฆสีแดง สีส้ม หรือสีชมพูโดยปกติเกิดในช่วงพระอาทิตยข์้ึน และพระอาทิตยต์กโดยเกิด จากการกระเจิงของแสงในช้นับรรยากาศไม่ไดเ้กิดจากเมฆโดยตรง เมฆเพียงเป็ นตัวสะท้อนแสงน้ี เท่าน้นัแต่ในกรณีที่มีพายฝุนขนาดใหญ่ในช่วงเดียวกนัจะทา ใหเ้ห็นเมฆเป็นสีแดงเขม้เหมือนสีเลือด 1.2 หมอก หมอกเกิดจากกลนั่ตวัของไอน้า ในอากาศเมื่อไปกระทบกบัความเยน็จะเปลี่ยนสถานะ ควบแน่นเป็นละอองน้า คลา้ยควนัสีขาวลอยติดพ้ืนดิน บางคร้ังจะหนามากจนเป็นอุปสรรคในการ คมนาคม ซ่ึงในวนัที่มีอากาศช้ืน และทอ้งฟ้าใส พอตกกลางคืนพ้ืนดินจะเยน็ตวัอยา่งรวดเร็ว ทา ใหไ้อ น้า ในอากาศเหนือพ้ืนดินควบแน่นเป็นหยดน้า หมอกซ่ึงเกิดข้ึนโดยวธิีน้ีจะมีอุณหภูมิต่า และมีความ หนาแน่นสูง เคลื่อนตวัลงสู่ที่ต่า และมีอยอู่ยา่งหนาแน่นในหุบเหวแต่เมื่ออากาศอุ่นมีความช้ืนสูง ปะทะกบัพ้ืนผวิที่มีความหนาวเยน็เช่น ผวิน้า ในทะเลสาบ อากาศจะควบแน่นกลายเป็นหยดน้า ใน ลกัษณะเช่นเดียวกบัหยดน้า ซ่ึงเกาะอยรู่อบแกว้น้า แขง็
121 รูปที่2 แสดงลักษณะของหมอก 1.3 น ้าค้าง น้า คา้งเป็นหยดน้า ขนาดเล็กเกาะติดพ้ืนดินหรือตน้ ไม้เกิดจากการควบแน่นของไอน้า บนพ้ืนผวิ ของวตัถุซ่ึงมีการแผร่ ังสีออกจนกระทงั่อุณหภูมิลดต่า ลงกวา่จุดน้า คา้งของอากาศซ่ึงอยรู่อบๆ เนื่องจากพ้ืนผวิแต่ละชนิดมีการแผร่ ังสีที่แตกต่างกนัดงัน้นั ในบริเวณเดียวกนั ปริมาณของน้า คา้งที่ปก คลุมพ้ืนผวิแตล่ะชนิดจึงไม่เท่ากนัเช่น ในตอนหวัค่า อาจมีน้า คา้งปกคลุมพ้ืนหญา้แต่ไม่มีน้า คา้งปก คลุมพ้ืนคอนกรีต เหตุผลอีกประการหน่ึงซ่ึงทา ใหน้ ้า คา้งมกัเกิดข้ึนบนใบไมใ้บหญา้ก็คือใบของพืช คายไอน้า ออกมา ทา ใหอ้ากาศบริเวณน้นัมีความช้ืนสูง รูปที่3 แสดงลักษณะของน ้าค้าง
122 1.4 ฝน คือไอน้า ที่กลนั่ตวัเป็นหยดน้า แลว้ตกลงมาบนพ้ืนผวิโลก ซ่ึงเป็นรูปแบบหน่ึงของการตกลงมา จากฟ้าของน้า นอกจากฝนแลว้ยงัมีการตกลงมาในรูป หิมะเกล็ดน้า แขง็ ลูกเห็บ น้า คา้ง.ฝนน้นัอยใู่นรูป หยดน้า ซ่ึงตกลงมายงัพ้ืนผวิโลกจากเมฆ ลกัษณะของการเกิดฝน สามารถแบ่งตามสาเหตุการเกิดได ้ ดงัน้ี 1. ฝนเกิดจากการพาความร้อน มวลอากาศร้อนลอยตวัสูงข้ึน 2. ฝนภูเขา มวลอากาศที่อุม้ไอน้า พดัจากทะเล ปะทะภูเขาจะลอยตวัสูงข้ึน 3. ฝนพายหุมุน ความกดอากาศสูงเคลื่อนไปสู่บริเวณความกดอากาศต่า มวลอากาศในบริเวณ ความกดอากาศต่า ลอยตวัสูงข้ึน 4. ฝนในแนวอากาศ มวลอากาศร้อนปะทะมวลอากาศที่มีอุณหภูมิเย็น มวลอากาศร้อนลอยตวัสูงข้ึน 1.5 ลูกเห็บ คือหยดน้า ที่กลายสภาพเป็นน้า แขง็เกิดจากมวลอากาศร้อนที่ลอยตวัสูงข้ึนพดัพาเมด็ฝนลอยข้ึน ไปปะทะกบัมวลอากาศเยน็ที่อยดู่า้นบน ทา ใหเ้มด็ฝนจบัตวักลายเป็นน้า แขง็เมื่อตกลงมายงัมวลอากาศ ร้อนที่อยดู่า้นล่าง ความช้ืนจะเขา้ไปห่อหุม้เมด็น้า แขง็ใหเ้พิ่มข้ึน จากน้นักระแสลมก็จะพดัพาเมด็น้า แขง็ วนซ้า ไปซ้า มาหลายคร้ังจนเมด็น้า แขง็มีขนาดใหญ่ข้ึน และกระแสลมไม่สามารถพยงุเอาไวไ้ดจ้ึงตกลง มายงัพ้ืนดิน ส่วนใหญ่จะมีขนาดเส้นผา่ศูนยก์ลางประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ซ่ึงมกัจะเกิดข้ึนในเขตพ้ืนที่ที่ มีอากาศร้อนมาก และเกิดในช่วงเปลี่ยนจากฤดูร้อนไปเป็นฤดูฝน ทา ใหเ้กิดความเสียหายต่อการเล้ียง สัตว์เรือกสวนไร่นา บา้นเรือน และเครื่องบิน รูปที่4 แสดงลกัษณะของลูกเห็บ 1.6 กรณีศึกษาน ้าค้างแข็ง สาเหตุและผลกระทบ
123 น้า คา้งแขง็หรือ“แม่คะนิ้ง”และ“เหมยขาบ” เกิดจากไอน้า ในอากาศที่ใกลๆ้กบัพ้ืนผวิดินลด อุณหภูมิลงจนถึงจุดน้า คา้งจากน้นัก็จะกลนั่ตวัเป็นหยดน้า โดยอุณหภูมิยงัคงลดลงอยา่งต่อเนื่องจนถึง จุดต่า กวา่จุดเยอืกแขง็จากน้นัน้า คา้งก็จะเกิดการแขง็ตวักลายเป็นน้า คา้งแขง็เกาะอยตู่ามยอดไมใ้บหญา้ ซ่ึงการเกิดแม่คะนิ้งน้นั ไม่ใช่จะเกิดข้ึนไดง้่ายๆ แต่จะเกิดก็ต่อเมื่อมีอากาศหนาวจดัจนน้า คา้งยอดหญ้า หรือยอดไม้แข็งตัว ในอุณหภูมิประมาณศูนย์องศาเซลเซียสหรือติดลบเล็กน้อย ผลกระทบของน ้าค้างแข็ง การเกิดแม่คะนิ้งอาจจะน่าสนใจสา หรับใครหลายๆคน แต่ก็มีท้งัผลดีและผลเสีย ซึ่งถ้ามองใน ดา้นการท่องเที่ยวก็เป็นตวักระตุน้นกัท่องเที่ยวแต่ในทางตรงกนัขา้มจะมีผลกระทบโดยตรงทาง การเกษตรเพราะสร้างความเสียหายแก่พืชไร่และผกัต่างๆ เช่น ขา้วที่กา ลงัออกรวงก็จะมีเมล็ดลีบ พืชไร่ ชะงกัการเจริญเติบโต พืชผกัใบจะหงิกงอไหมเ้กรียม ส่วนพวกกลว้ย มะพร้าวและทุเรียนใบจะแห้ง ร่วง เป็นตน้ซ่ึงหากแม่คะนิ้งเกิดติดต่อกนัยาวนาน ถือวา่ชาวนา ชาวไร่ชาวสวนเดือดร้อนแน่นอน
124 เรื่องที่ 2 การรายงานสภาพอากาศของท้องถิ่น การพยากรณ์อากาศ หมายถึงการคาดหมายสภาพลมฟ้ าอากาศ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ในอนาคต เช่น การคาดหมายสภาพอากาศของวนัพรุ่งน้ีเป็นตน้ซ่ึงการที่จะพยากรณ์อากาศไดต้อ้งมี องค์ประกอบ 3 ประการคือ 1. ความรู้ความเข้าใจในปรากฏการณ์และกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบรรยากาศ โดยได้มา จากการเฝ้ าสังเกตและบันทึกไว้ ซึ่งมนุษย์ได้มีการสังเกตลมฟ้ าอากาศมานานแล้ว เพราะมนุษยอ์ยภู่ายใต้ อิทธิพลของลมฟ้าอากาศโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จึงมีความจ าเป็ นที่ต้องทราบลักษณะลมฟ้ าอากาศที่ เป็ นประโยชน์และลักษณะอากาศที่เป็ นภัยการสังเกตทา ใหส้ามารถอธิบายถึงสาเหตุของการเกิด ลกัษณะอากาศแบบต่าง ๆ ได้ 2. สภาวะอากาศปัจจุบัน ซ่ึงจา เป็นตอ้งใชเ้ป็นขอ้มูลเริ่มตน้ สา หรับการพยากรณ์อากาศโดย ขอ้มูลน้ีไดม้าจากการตรวจสภาพอากาศ ซ่ึงมีท้งัการตรวจอากาศผวิพ้ืน การตรวจอากาศช้นับนในระดบั ความสูงต่าง ๆ สิ่งสา คญัที่ตอ้งทา การตรวจเพื่อพยากรณ์อากาศไดแ้ก่อุณหภูมิความกดอากาศความช้ืน ลม และเมฆ 2.1 อุณหภูมิของอากาศ หมายถึงระดบัความร้อนของอากาศ ซ่ึงมีความสา คญัต่อการ หมุนเวียนของอากาศ โดยอากาศจะเคลื่อนที่จากบริเวณที่มีอุณหภูมิต่า ไปยงับริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกวา่ ท้งัน้ีอุณหภูมิของอากาศในแต่ละบริเวณน้นัจะมีลกัษณะที่แตกต่างกนัออกไป และสามารถเปลี่ยนแปลง ไดต้ลอดเวลาโดยปกติอากาศที่อยเู่หนือพ้ืนดินจะอบอุ่นและแหง้ ส่วนอากาศที่อยเู่หนือพ้ืนน้า จะเยน็ และช้ืน เครื่องมือที่เราใชส้า หรับวดัอุณหภูมิคือเทอร์โมมิเตอร์ซ่ึงมีหน่วยเป็นองศาเซลเซียส หรือองศา ฟาเรนไฮต์ปัจจุบนัการตรวจอุณหภูมิอากาศที่ช่วยใหก้ารพยากรณ์แม่นยา ยงิ่ข้ึนคือการตรวจอากาศด้วย เรดาร์และดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา 2.2 ความกดอากาศ คือ น้า หนกัของอากาศที่กดทบัเหนือบริเวณน้นัๆ สามารถวัดได้ โดยใชเ้ครื่องมือที่เรียกวา่" บารอมิเตอร์" มีหน่วยเป็น มิลลิบาร์หรือ ปอนดต์ ่อตารางนิ้ว ความกด อากาศแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ บริเวณความกดอากาศต ่า หรือ ความกดอากาศต ่า หมายถึง บริเวณซึ่งมี ปริมาณอากาศอยนู่อ้ย ซ่ึงจะทา ใหน้ ้า หนกัของอากาศนอ้ยลงตามไปดว้ย ท าให้อากาศเบาและลอยตัว สูงข้ึน เกิดการแทนที่ของอากาศทา ใหเกิดลม ้ บริเวณความกดอากาศสูง หรือ ความกดอากาศสูง หมายถึง บริเวณที่มีค่า ความกดอากาศสูงกวา่บริเวณโดยรอบ เรียกอีกอยา่งหน่ึงวา่ "แอนติไซโคลน" เกิดจากศูนยก์ลางความกด อากาศสูงเคลื่อนตัวออกมายังบริเวณโดยรอบ ท าให้อากาศข้างบนเคลื่อนตัวจมลงแทนที่ ท าให้อุณหภูมิ สูงข้ึนไม่เกิดการกลนั่ตวัของไอน้า สภาพอากาศโดยทวั่ ไปจึงปลอดโปร่ง ทอ้งฟ้าแจ่มใส
125 2.3 ลม คือการเคลื่อนไหวของอากาศถา้ลมแรงก็หมายถึงวา่มวลของอากาศเคลื่อนตวั ไปมากและเร็วการวดัลมจา ตอ้งวดัท้งัทิศและความเร็วของลม ส าหรับการวดัทิศของลมน้นัเราใชศรลม้ ส่วนการวดัความเร็วของลม เราใชเ้ครื่องมือที่เรียกวา่ "แอนนีมอมิเตอร์" การวัดความเร็วและทิศของ ลม อาจท าได้โดยใช้เครื่องมืออีกชนิดหนึ่ง เรียกวา่"ใบพดัลม" ซึ่งสามารถวัดความเร็วและทิศได้พร้อม กนั 3. ความสามารถที่จะผสมผสานองคป์ระกอบท้งัสองขา้งตน้เขา้ดว้ยกนัเพื่อคาดหมาย การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศที่จะเกิดข้ึนในอนาคต
126 บทที่ 7 สารและสมบัติของสาร สาระส าคัญ ความหมายความสา คญัของสารในชีวติประจา วนัการนา ไปใชป้ระโยชน์การเขา้สู่ร่างกายของ สาร ประเภทของสาร และผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจ าวัน การใช้สารในชีวิตประจ าวันและผลกระทบจาก การใชส้ารการเลือกใชส้ารและผลิตภณัฑอ์ยา่งถูกตอ้ง เหมาะสม ผลการเรียนรู้ทคี่าดหวงั - อธิบายความหมายความส าคัญและความจ าเป็ นในการใช้สารได้ - อธิบายสมบตัิทวั่ ไปของสารได้ - จ าแนกสารโดยใช้สถานะและการจัดเรียงอนุภาคได้ - อธิบายปัจจยัที่มีผลต่อการเปลี่ยนสถานะของสารได้ ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1 สารและสมบัติของสาร เรื่องที่ 2 ปัจจยัที่มีผลต่อการเปลี่ยนสถานะของสาร
127 เรื่องที่ 1 สารและสมบัติของสาร ความหมายของสาร สาร หมายถึง สิ่งที่มีตวัตน มีมวล ตอ้งการที่อยู่และสัมผสัได้สารแต่ละชนิดจะมีลกัษณะ เฉพาะตัว หรือ สมบัติของสาร ซ่ึงแตกต่างจากสารอื่น เช่น น้า มีจุดเดือดที่100 องศาเซลเซียส กรดมีรสเปร้ียว แอลกอฮอลต์ิดไฟได้เป็นตน้ สมบัติของสารแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท 1. สมบัติทางกายภาพ หมายถึง สมบัติของสารที่แสดงให้เห็นลักษณะภายนอกของสาร สามารถ สังเกตไดง้่าย เช่น รูปร่าง สีกลิ่น รส สถานะของสาร จุดเดือด จุดหลอมเหลว เป็ นต้น 2. สมบัติทางเคมีหมายถึง สมบัติของสารที่แสดงลักษณะภายในของสารโดยอาศัยการ เปลี่ยนแปลงทางเคมีเช่น เหล็กเป็ นสนิม โลหะเมื่อทา ปฏิกิริยากบักรดแลว้เกิดการผกุร่อน เป็นตน้ สถานะของสารและการจัดเรียงอนุภาค สถานะของสารสามารถแบ่งออกเป็น 3 สถานะ คือ 1. ของแข็ง คือ สารที่มีรูปร่างและปริมาตรที่แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลงตามภาชนะอนุภาคชิด กนัเป็นระเบียบ มีความหนาแน่นและแรงยดึเหนี่ยวระหวา่งโมเลกุลสูงกวา่ของเหลวและก๊าซ เช่น กอ้น หิน ไม้ พลาสติก เหล็ก เป็ นต้น ภาพแสดงการจัดเรียงอนุภาคของของแข็ง 2. ของเหลว คือ สารที่มีปริมาตรแน่นอน แต่มีรูปร่างไม่แน่นอนเปลี่ยนแปลงตามภาชนะที่ บรรจุอนุภาคอยใู่กลเ้คียงกนัแต่ไม่เป็นระเบียบ มีการชนกนัตลอดเวลาจึงมีความหนาแน่นสูงกวา่ก๊าซ เช่น น้า น้า นม สบู่เหลว แชมพูเป็นตน้ ภาพแสดงการจัดเรียงอนุภาคของของเหลว
128 3. ก๊าซ คือ สารที่มีรูปร่างและปริมาตรไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงตามภาชนะที่บรรจุเพราะมีแรง ยดึเหนี่ยวระหวา่งโมเลกุลนอ้ยมากจึงฟุ้งกระจายไดเ้ตม็ภาชนะและมีความหนาแน่นต่า เช่น อากาศ แก๊ซหุงตม้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตน้ ภาพแสดงการจัดเรียงอนุภาคของก๊าซ ตารางที่ 1แสดงสมบัติของสารแต่ละสถานะ ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ 1.มีมวล ตอ้งการที่อยู่ และสัมผัสได้ 1.มีมวล ตอ้งการที่อยู่ และสัมผัสได้ 1.มีมวล ตอ้งการที่อยู่ และสัมผัสได้ 2.รูปร่างแน่นอน เปลี่ยนแปลง รูปร่างยาก 2.รูปร่างไม่แน่นอน ข้ึนอยกู่บั ภาชนะที่บรรจุ 2.รูปร่างไม่แน่นอน ข้ึนอยกู่บั ภาชนะที่บรรจุ 3.ปริมาตรคงที่ไม่สามารถกด หรือบีบให้มีปริมาตรลดลงได้ 3.ปริมาตรคงที่ไม่สามารถกด หรือบีบให้มีปริมาตรลดลงได้ 3.มีปริมาตรไม่คงที่สามารถกด หรือบีบให้มีปริมาตรลดลงได้ 4.อนุภาคของของแข็งเรียงชิด กนัแน่นทา ใหไ้ม่สามารถ เคลื่อนที่ได้ 4.อนุภาคของของเหลวอยชู่ ิดกนั แต่มีช่องวา่งระหวา่งอนุภาค ทา ให้เคลื่อนที่ได้บ้าง 4.อนุภาคของแก๊สอยหู่ ่างกนัทา ให้อนุภาคเคลื่อนที่อิสระจึงฟุ้ ง กระจายเต็มภาชนะที่บรรจุเสมอ 5.ทะลุผา่นไดย้าก 5.ทะลุผา่นได้ 5.ทะลุผา่นไดง้่าย - 6.ระดับผิวหน้าของของเหลวจะ อยใู่นแนวราบเสมอไม่วา่จะอยทู่ ี่ ใด -
129 กิจกรรม สถานะของสาร จงพิจารณาชื่อสารที่กา หนดและจา แนกสารน้นัอยใู่นสถานะใด โดยขีดเครื่องหมาย ลงในตาราง สาร ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ กอ้นหิน โต๊ะ ออกซิเจน น้า มนัพืช ก๊าซหุงตม้ พัดลม น้า เกลือ น้า แขง็ คาร์บอนไดออกไซด์ ควันไฟ คอมพิวเตอร์ ยางลบ สบู่เหลว น้า อดัลม น้า ตาล ไนโตรเจน แอลกอฮอล์ กระดาษ แชมพูสระผม ผงซักฟอก
130 เรื่องที่ 2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานะของสาร สารทุกชนิดสามารถเปลี่ยนแปลงสถานะได้การเปลี่ยนแปลงสถานะของสารเกี่ยวขอ้งกบั อุณหภูมิ จุดเดือดและจุดหลอมเหลวของ สารชนิดน้นัๆ ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงสถานะของสารน้ีจะส่งผล ต่อลกัษณะกายภาพของสารน้นัเช่น น้า แขง็กลายเป็นของเหลว ของเหลวกลายเป็นก๊าซ เป็นตน้ การเปลี่ยนแปลงสถานะในแต่ละรูปแบบ มีชื่อเรียกต่างกนัตามลกัษณะการเปลี่ยนแปลง ดงัน้ี การระเหยคือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารจากของเหลวกลายเป็นก๊าซ โดยมกัเกิดเมื่อของเหลวน้นัๆไดร้ับพลังงานหรือความร้อน โดยไม่จา เป็นตอ้งมีอุณหภูมิถึงจุดเดือด ไดแ้ก่น้า เปลี่ยนสถานะเป็ น ไอน้า น้า ในถว้ยชาระเหยกลายเป็นไอและรวมตวับนกระจก การระเหิด คือ กระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของแข็ง กลายเป็ นก๊าซ โดย ไม่ผา่นสถานะการเป็นของเหลวไดแ้ก่น้า แขง็แหง้ เปลี่ยนสถานะเป็ น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือ ถ้า
131 เราใส่ลูกเหมน็ ในตูเ้ส้ือผา้ไวส้ ักระยะหน่ึงลูกเหม็นจะมีขนาดเล็กลงเพราะลูกเหม็นเปลี่ยนสถานะจาก ของแข็งกลายเป็นไอทา ใหม้ีกลิ่นเหมน็ ไล่แมลง การระเหิดของน้า แขง็แหง้ การควบแน่น คือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารจากก๊าซ กลายเป็นของเหลว โดยมกัเกิดเมื่อก๊าซน้นัๆ สูญเสียความร้อนหรือพลงังาน ไดแ้ก่ไอน้า เปลี่ยนแปลงสถานะเป็น น้า การ เกิดฝน เป็นตน้ การเกิดฝนเกิดจากการควบแน่นของไอน้า การแข็งตัวคือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของเหลว กลายเป็ น ของแขง็ โดยมกัเกิดเมื่อของเหลวน้นัๆ สูญเสียความร้อนหรือพลงังาน ไดแ้ก่น้า เปลี่ยนแปลงสถานะ
132 เป็นน้า แขง็ โดยของแขง็น้น สามารถเปลี่ยนสถานะกลับเป็ นของเหลวได้ โดยการได้รับพลังงานหรือ ั ความร้อน การหลอมเหลว หรือ การละลายคือ กระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จาก ของแขง็กลายเป็นของเหลวโดยมกัเกิดเมื่อของแขง็น้นัๆ ไดร้ับความร้อนหรือพลงังาน ไดแ้ก่น้า แขง็ เปลี่ยนแปลงสถานะเป็น น้า น้า แขง็ ต้งัทิ้งไวจ้ะกลายเป็นน้า นา ไปแช่ตูเ้ยน็จะเปลี่ยนมาเป็นน้า แขง็ การตกผลึกคือกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสารจากของเหลว กลายเป็ นของแข็ง โดยมกัเกิดเมื่อของเหลวน้นัๆ สูญเสียความร้อนหรือพลงังาน ไดแ้ก่น้า เปลี่ยนแปลงสถานะเป็น น้า แขง็ แต่โดยทวั่ ไปแลว้ตกผลึกน้นันิยมใช้กบัการเปลี่ยนแปลงรูปร่างทางเคมีเสียมากกวา่เพราะโดยทวั่ ไป ใชก้บัสารประกอบหรือวตัถุที่ไม่สามารถหลอมเหลว หรือละลายกลบัเป็นของเหลวไดอ้ีก เกลือ เกลือละลายน้า ระเหยน้า ออกไดเ้กลือ
133 กิจกรรม การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร จุดประสงค์ ทดลองและอธิบายการเปลี่ยนแปลงสถานะของสารได้ วสัดุอุปกรณ์ 1. บีกเกอร์ 2. ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ 3.ช้อนโต๊ะ 4. เกลือ 5. น้า แขง็ 6.ไม้ขีดไฟ วิธีทดลอง 1. แบ่งกลุ่มเรียน กลุ่มละ4 – 5 คน 2. นา น้า แขง็ในบีกเกอร์ต้งัทิ้งไว้10 นาที สังเกตการเปลี่ยนแปลงของน้า แขง็และบนัทึกผล 3. น าเกลือ 1 ชอ้นโตะ๊ ใส่ลงไปในบีกเกอร์คนจนเกลือละลายหมด 4. นา บีกเกอร์ต้งัไฟ จนกวา่น้า ในบีกเกอร์ระเหยหมด สังเกตการเปลี่ยนแปลงและบันทึกผล บันทึกผลการทดลอง สาร การเปลี่ยนแปลง ก่อนทดลอง หลังทดลอง น้า แขง็ เกลือ สรุปผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………….. .………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………
134 บทที่ 8 การแยกสาร สาระส าคัญ ความสา คญัวธิีการและกระบวนการแยกสารต่อการนา ไปใชป้ระโยชน์มีการใชว้ธิีการแยก สารที่เหมาะสม ผลการเรียนรู้ทคี่าดหวงั 1. อธิบายความส าคัญวิธีการและกระบวนการแยกสารได้ 2. สามารถเลือกใช้วิธีการแยกสารที่เหมาะสมและน าไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ าวันได้ ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1การแยกสาร เรื่องที่ 2การเขา้สู่ร่างกายของสาร เรื่องที่ 3 ประเภทของสารที่พบในชีวิตประจ าวัน เรื่องที่ 4 สารและผลิตภัณฑ์ของสารที่ใช้ในชีวิตประจ าวัน เรื่องที่5ผลกระทบที่เกิดจากการใชส้ารต่อชีวติและสิ่งแวดลอ้ม
135 เรื่องที่ 1 การแยกสาร สารต่าง ๆ มกัอยรู่วมกบัสารอื่น ๆ ในรูปของสารเน้ือเดียว หรือสารเน้ือผสม ถ้าต้องการสาร เพียงชนิดเดียวเพื่อน ามาใช้ประโยชน์ อาจท าได้โดยแยกสารออกมาโดยอาศัยสมบัติเฉพาะตัวของ สาร การแยกสารเน้ือผสมที่ไม่เป็นเน้ือเดียวทา ไดโ้ดยใชว้ธิีการทางกายภาพ เช่น หยบิออก ร่อนดว้ย ตะแกรง ใชแ้ม่เหล็กดูด การแยกสารที่เป็นเน้ือเดียวอาจแยกไดโ้ดยการระเหยจนแหง้ สารเนื้อเดียว หมายถึง สารที่มีลกัษณะเป็นเน้ือเดียวกนัเมื่อนา ส่วนใดส่วนหน่ึงไปทดสอบจะ มีสมบัติเหมือนกนัเช่น น้า กลนั่น้า โซดา น้า เชื่อม น้า เกลือ เป็นตน้ สารเน้ือเดียวมีไดท้ ้งั 3 สถานะ คือ 1.สารเน้ือเดียวสถานะของแขง็เช่น เหล็ก ทองคา ทองแดง สังกะสี อะลูมิเนียม นาก ทองเหลือง หินปูน เกลือแกง น้า ตาลทราย 2.สารเน้ือเดียวสถานะของเหลว เช่น น้า กลนั่น้า เกลือ น้า ส้มสายชูน้า อดัลม น้า มนัพืช น้า เชื่อม น้า นม 3.สารเน้ือเดียวสถานะแก๊ส เช่น อากาศ แก๊สหุงตม้แก๊สออกซิเจน แก๊สไนโตรเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ สารเนื้อผสม หมายถึง สารผสมที่ไม่ผสมเป็นเน้ือเดียวกนัสามารถมองเห็นสารเดิมไดต้าเปล่า สารแต่ละชนิดจะมีสมบตัิของสารแตกต่างกนัเช่น น้า แป้ง น้า โคลน ยาเคลือบกระเพาะ เป็ นต้น สารเนื้อผสมมีได้ทั้ง 3 สถานะเช่น 1. สารเน้ือผสมสถานะของแขง็เช่น ทราย คอนกรีต ดิน 2. สารเน้ือผสมสถานะของเหลวเช่น น้า คลอง น้า โคลน น้า จิ้มไก่ 3. สารเน้ือผสมสถานะแก๊ส เช่น ฝ่นุละอองในอากาศเขม่าควนัดา ในอากาศ การแยกสารผสมแต่ละชนิดน้นัตอ้งรู้จกัเลือกใชว้ธิีการที่เหมาะสม ข้ึนอยกู่บัสมบตัิของสารที่ ผสมอยใู่นสารน้นัๆ
136 1.การกรอง เป็ นวิธีการแยกสารผสมที่มีสถานะเป็ นของแข็งออกจากของเหลว วสัดุที่ใชก้รองที่อยหู่ลาย ชนิด เช่น กระดาษกรอง สา ลีผา้ขาว เช่น การกรองน้า กะทิการกรองสิ่งสกปรกในน้า เชื่อม เป็นตน้ 2.การกลั่น เป็นวธิีการแยกสารผสมที่เป็นของเหลวหรือของแขง็ที่ละลายเป็นเน้ือเดียวกนัโดยใชส้ มบัติ ความแตกต่างของจุดเดือดของสารแต่ล่ะชนิด การกลนั่ตอ้งทา ใหส้ารที่เป็นของเหลวกลายเป็นไอโดย การใหค้วามร้อน สารที่กลายเป็นไอเมื่อไดร้ับความเยน็ก็จะเกิดความควบแน่นกลนั่ตวัเป็นสารบริสุทธ์ สารที่มีจุดเดือดต ่าจะกลนั่ตวัออกมาก่อนสารที่มีจุดเดือดสูงกวา่ 3.การระเหย การแยกสารดว้ยวธิีน้ีเหมาะสา หรับใชแ้ยกสารผสมที่เป็นของเหลวและมีของแขง็ละลายใน ของเหลวโดยวธิีการระเหยนิยมใชใ้นการแยกเกลือออกจากน้า ทะเล เมื่อน้า ระเหยหมดก็จะไดเ้กลือ น ามาใช้ การท านาเกลือ โดยวิธีการระเหย
137 4.การตกตะกอน การแยกสารดว้ยวธิีน้ีเป็นการแยกสารผสมที่เป็นของแขง็ที่แขวนลอยอยใู่นของเหลว โดยการ ต้งัสารผสมน้นัทิ้งไว้ของแขง็ที่อยใู่นของเหลวเป็นสิ่งที่มีน้า หนกัดงัน้นัเมื่อต้งัทิ้งไวก้็จะตกตะกอน แยกของจากของเหลว เราจึงสามารถแยกของสารผสมออกจากกนัได้เช่น การแยกแป้งออกจากน้า แป้ ง การแยกดินออกจากน้า โคลน หรือการใชส้ารส้มแกวง่ ในน้า เพื่อใหส้ารแขวนลอยที่อยใู่นน้า ตกตะกอน เป็ นต้น แกวง่สารส้มในน้า เพื่อใหส้ารแขวนลอยในน้า ตกตะกอน 5.การตกผลึก วธิีน้ีเป็นวธิีสา หรับการแยกของผสมที่เป็นของแขง็ โดยการนา ของผสมมาละลายดว้ยตวัทา ละลาย จนสารละลายหมด แลว้ทิ้งไว้สารที่ละลายไดน้อ้ยกวา่จะอิ่มตวัและตกตะกอนออกมาก่อน เช่น เช่น การแยกเกลือโซเดียมคลอไรดอ์อกจากน้า ทะเล การตกผลึกของสารบางชนิด
138 6.การกลั่นล าดับส่วน วธิีน้ีใชแ้ยกสารผสมที่เป็นของเหลว ซ่ึงของเหลวน้ีมีจุดเดือดที่ไม่แตกต่างกนัมากนกัจึงไม่ สามารถใชก้ารแยกสารแบบการกลนั่ธรรมดาได้ตวัอยา่งการกลนั่แบบลา ดบัส่วน เช่น การแยกน้า ออกจากแอลกอฮอล์(น้า มีจุดเดือด 100 องศาเซลเซียส แอลกอฮอล์มีจุดเดือด 78.5 องศาเซลเซียส)และ การกลนั่น้า ดิบ เป็นตน้ 7.การระเหิดหรือการระเหยแห้ง วธิีน้ีเหมาะสา หรับการแยกของผสมที่เป็นของแขง็ที่ละลายอยใู่นของเหลวเช่น เมื่อน าเกลือแกง ซ่ึงเป็นของแขง็มาละลายในน้า จะไดข้องผสมเน้ือเดียวกนัถา้ตอ้งการแยกเกลือแกงออกจากน้า ก็กระทา ไดโ้ดยนา น้า เกลือมาใหค้วามร้อนเพื่อให้น้า ระเหยออกไป สิ่งที่เหลืออยใู่นภาชนะก็คือ เกลือแกง นนั่เอง 8.โครมาโตกราฟฟี เป็ นวิธีแยกสารเน้ือเดียวออกจากกนั ใหเ้ป็นสารบริสุทธ์ิโดยอาศยัหลกัการที่วา่ "สารแต่ละชนิด มีความสามารถในการละลายต่างกนัและถูกดูดซบัต่างกนัจึงทา ใหส้ารแต่ละชนิดแยกออกจากกนัได้
139 เร ื่องที่2 การเข้าสู่ร่างกายของสาร สารพษิเข้าสู่ร่างกายได้3 ทาง คือ 1. ทางจมูก ด้วยการสูดดมไอของสาร ผลคือละอองของสารพิษปะปนเขา้ไปกบัลมหายใจ สารพิษบางชนิดมีฤทธ์ิกดักร่อน ทา ให้เยื่อจมูกและหลอดลมอกัเสบหรือซึมผ่านเน้ือเยื่อเขา้สู่กระแส โลหิตท าให้โลหิตเป็ นพิษ 2. ทางปากอาจจะเขา้ปากโดยความสะเพร่า เช่น ใชม้ือที่เป้ือนสารพิษหยบิอาหารเขา้ปากหรือ กินผกัผลไมท้ี่มีสารพิษตกคา้งอยู่หรืออาจจะจงใจกินสารพิษบางชนิดเพื่อฆ่าตวัตาย เป็นตน้ 3. ทางผิวหนัง เกิดอาการสัมผสัหรือจบัตอ้งสารพิษ สารพิษบางชนิดสามารถซึมผ่านทาง ผวิหนงัได้เพราะเขา้ไปทา ปฏิกิริยาเกิดเป็นพิษแก่ร่างกาย สารพิษเมื่อเขา้สู่ร่างกายทางใดก็ตาม เมื่อมีความเขม้ขน้พอจะมีปฏิกิริยา ณ จุดสัมผัสและซึมเข้า สู่กระแสโลหิต ซ่ึงจะพาสารพิษไปทั่วร่างกาย ความสามารถในการสู่กระแสโลหิตน้ันข้ึนอยู่กับ คุณสมบตัิการละลายของสารพิษน้นัสารพิษบางชนิดอาจถูกร่างกายทา ลายได้บางชนิดอาจถูกขบัถ่าย ออกทางไต ซ่ึงจะมีผลกระทบต่อทางเดินปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะบางชนิดอาจถูกสะสมไว้เช่น ที่ตับ ไขมัน เป็ นต้น
140 เรื่องที่ 3 ประเภทของสารที่พบในชีวิตประจ าวัน ประเภทของสาร ประเภทของสาร สารแต่ละชนิดมีสมบตัิหลายประการและนา มาใชป้ระโยชน์แตกต่างกนัเรา ต้องจ าแนกประเภทของสารเพื่อความสะดวกในการศึกษาและการน าไปใช้ การจ าแนกประเภทของสารตามสมบัติความเป็ นกรด - เบส ประเภทของสารตามสมบัติของสาร คือ สมบัติความเป็ นกรด – เบส ของสารเป็ นเกณฑ์ ซึ่ ง สามารถจดักลุ่มสารที่ใชใ้นบา้นเป็น 3 ประเภทคือ 1. สารที่มีสมบตัิเป็นกรด สารประเภทน้ีมีรสเปร้ียว ทา ปฏิกิริยาเคมีกบัโลหะ เช่น สังกะสีทา ปฏิกิริยาเคมีกบัหินปูน ตวัอยา่งสารประเภทน้ีเช่น น้า ส้มสายชูน้า มะนาว น้า อดัลม น้า มะขาม น้า ยาลา้ง หอ้งน้า เป็นตน้ 2. สารที่มีสมบัติเป็นเบส สารประเภทน้ีมีรสฝาด เมื่อน ามาถูกับฝ่ามือจะรู้สึกลื่นมือ ทา ปฏิกิริยากบัไขมนัหรือน้า มนัพืช หรือน้า มนัสัตว์จะไดส้ารประเภทสบู่ตวัอยา่งสารประเภทน้ีเช่น น้า ปูนใส โซดาไฟ น้า ข้ีเถา้เมื่อนา สารที่มีสมบตัิเป็นเบสทดสอบด้วยกระดาษลิตมัสสีแดง กระดาษลิตมัสสีแดง จะเปลี่ยนสีจากสีแดงเป็นสีน้า เงิน 3. สารที่มีสมบตัิเป็นกลาง สารประเภทน้ีมีสมบตัิหลายประการและเมื่อนา มาทดสอบด้วย กระดาษลิตมสัแลว้กระดาษลิตมสัจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตวัอยา่งของสารประเภทน้ีเช่น น้า น้า เกลือ น้า เชื่อม เป็นตน้
141 เรื่องที่ 4 สารและผลิตภัณฑ์ของสารที่ใช้ในชีวิตประจ าวัน การจ าแนกประเภทของสารตามประโยชน์การใช้งาน 1. สารท าความสะอาด สารเหล่าน้ีมีหลายประเภท เช่น - สารที่ใชท้า ความสะอาดของร่างกายส่วนต่าง ๆ ไดแ้ก่สบู่ยาสีฟัน แชมพสูระผม น้า ยาบว้นปาก - สารที่ใชท้า ความสะอาดเส้ือผา้เครื่องนุ่มห่ม ไดแ้ก่สบู่ซกั ฟอกผงซกั ฟอก น้า ยาขจดัคราบ - สารที่ใช้ทา ความสะอาดภาชนะ เช่น น้า ยาลา้งจาน สารที่ใช้ทา ความสะอาดเฉพาะแห่ง เช่น น้า ยาเช็ดกระจก น้า ยาขดัหอ้งน้า 2. สารทางเกษตร สารกา จดัศตัรูพืช เป็นสารที่นิยมใช้ในการเกษตร โดยเกษตรกรใช้ฉีดพ่นตน้พืชที่ปลูก เพื่อ กา จดัแมลงที่มากดักินตน้พืช สารประเภทน้ีมีผลรุนแรงต่อคน สัตวแ์ละสิ่งแวดลอ้มในบริเวณใกลเ้คียง จึงตอ้งรู้จกัใช้อย่าง ระมดัระวงัไม่ควรใชใ้นปริมาณที่มากเกินไป 3. สารที่ใช้เป็ นยารักษาโรค สารเหล่าน้ีใช้บา บดัรักษาป้องกนั โรคหรือความเจ็บป่วยของคนเรา แบ่ง ตามลักษณะการใช้ได้เป็ น 2 ประเภท คือ - ยาใชภ้ายใน เช่น ยาธาตุน้า ขาวยาธาตุน้า แดงยาพาราเซตามอลยาแกไ้อน้า ดา ยาเมด็โซดามิ้นท์ - ยาใชภ้ายนอกเช่น ยาเหลือง ยาแดงยาลา้งตาแอลกอฮอล์ 4. สารก าจัดแมลงในบ้าน สารประเภทน้ีมีท้งัชนิดที่จดัใหเ้กิดควนัชนิดที่ฉีดพน่และชนิดผง เช่น ยากนั ยุง ดีดีที สารปรุงแต่งอาหาร สารเหล่าน้ีมีมากมายหลายชนิด เราน าใช้ในการประกอบอาหาร เช่น น้า ตาล น้า ปลา ซีอิ๊ว ซอส น้า ส้มสายชู
142 เรื่องที่ 5 ผลกระทบที่เกิดจากการใช้สารต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม อันตรายจากการใช้สารพิษ การใชส้ารพิษอยา่งไม่ถูกตอ้งมีอนัตรายต่อมนุษยแ์ละสิ่งแวดลอ้มดังน้ี 1. ทา ให้เกิดอนัตรายต่อผูใ้ช้โดยตรงต่อผูใ้ช้โดยตรงได้แก่เกษตรกรผูป้ระกอบอาชีพใน โรงงานที่เกี่ยวขอ้งกบัการใชส้ารพิษและประชาชนทวั่ๆ ไป ท้งัน้ีเนื่องมาจากขาดความรู้ความเขา้ใจใน การใช้และการป้องกนัอนัตรายจากสารพิษอย่างถูกตอ้ง จึงทา ให้เกิดอุบตัิเหตุเช่น สารพิษที่ใชอ้าจถูก ร่างกายของผูใ้ช้หรือหายใจเอาก๊าซพิษที่รั่วสู่บรรยากาศเขา้ไปทา ให้อนัตรายหรือเจ็บป่วยถึงชีวิตได้ ในทนัทีหรือสะสมสารพิษในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทา ให้สุขภาพทรุดโทรม เกิดโรคภยัร้ายแรงข้ึนได้ ภายหลัง 2. ทา ให้เกิดอนัตรายต่อชีวิตและสุขภาพอนามยัของประชาชน และสิ่งมีชีวิตที่อาศยัอยู่ใน บริเวณใกลเ้คียงกบัแหล่งที่มีการใชส้ารพิษ 3. ทา ให้สภาวะสมดุลตามธรรมชาติเสียไป เนื่องจากศตัรูธรรมชาติเช่น ตวัห้า ตวัเบียฬ ที่มี ประโยชน์ในการป้องกนักา จดัศตัรูพืช ศัตรูมนุษย์และสัตว์ถูกสารพิษท าลายหมดไป แต่ขณะเดียวกนั ศตัรูที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะพวกแมลงศตัรูพืชสามารถสร้างความตา้นทานสารพิษข้ึนได้ทา ให้เกิด ปัญหาการระบาดเพิ่มมากข้ึนหรือศตัรูพืชที่ไม่เคยระบาด ก็เกิดระบาดข้ึนมาเป็นปัญหาในการป้องกนั กา จดัมากข้ึน 4. ทา ให้เกิดอนัตรายต่อชีวิตของนก ปลา สัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ แมลงที่มีประโยชน์เช่น ผ้ึง พบวา่มีปริมาณลดนอ้ยลงจนบางชนิดเกือบสูญพนัธุ์ท้งัน้ีเนื่องจากถูกทา ลายโดยสารพิษที่ได้รับเข้าไป ทนัทีหรือสารพิษที่สะสมในร่างกายของสัตวเ์หล่าน้นัมีผลใหเ้กิดความลม้เหลวในการแพร่ขยายพนัธุ์ 5. ทา ใหเ้กิดอนัตรายแก่สิ่งมีชีวติและมนุษยใ์นระยะยาวเนื่องจากการไดร้ับสารพิษซ่ึงกระจาย ตกคา้งอยู่ในอาหารและสิ่งแวดลอ้ม เขา้ไปสะสมไวใ้นร่างกายทีละน้อยจนทา ให้ระบบและวงจรการ ทา งานของร่างกายผดิปกติเป็นเหตุใหเ้กิดโรคอนัตรายข้ึนหรือบางคร้ังอาจทา ให้เกิดการกลายพนัธุ์หรือ เกิดความผดิปกติในรุ่นลูกหลานข้ึนได้ 6. ทา ให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจข้ึนกบั ประเทศชาติเนื่องจากการเจ็บไขไ้ด้ป่วยของ ประชาชนทา ให้ไม่สามารถทา งานได้เต็มที่และยงัต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลอีกด้วย นอกจากน้ียงัมีปัญหาไม่สามารถส่งอาหารผลิตผลและผลิตภัณฑ์การเกษตรออกไปจา หน่ายยงั ต่างประเทศได้เนื่องจากมีสารพิษตกคา้งอยู่ในปริมาณสูง เกินปริมาณที่กา หนดไว้ท าให้สามารถที่จะ น ามาพัฒนาประเทศ 7. ทา ให้เกิดความเสียหายต่อคุณภาพของสิ่งแวดล้อมที่ดีปริมาณสารพิษที่ถูกปล่อยและ ตกคา้งอยใู่นสิ่งแวดลอ้ม เช่น สารพิษ โลหะหนกัในแหล่งน้า หรือก๊าซพิษที่ผสมอยใู่นช้นับรรยากาศทา ให้คุณภาพของสิ่งแวดลอ้มเสียหายไม่เหมาะสมต่อการดา รงชีวติของสิ่งมีชีวติ
143 วิธีป้ องกันสารเป็ นพิษ 1. พยายามหลีกเลี่ยงการใชส้ารเป็นพิษเพื่อกิจกรรมต่าง ๆ 2. ควรศึกษาใหเ้ขา้ใจถึงอนัตรายและวธิีการใชส้ารเคมีแต่ละชนิด 3. ใช้เครื่องมืออุปกรณ์ เพื่อการป้องกนัอนัตรายขณะที่มีการทา งานหรือเกี่ยวขอ้งกบัสารเคมี 4. ควรมีการตรวจสุขภาพ สา หรับผทู้ี่ทา งานเกี่ยวขอ้งกบัสารเคมีอยา่งนอ้ยปีละคร้ัง 5. หลีกเลี่ยงการอยใู่กลบ้ริเวณที่มีการใชส้ารเคมีเพื่อป้องกนัสารพิษเขา้สู่ร่างกายทางปาก 6. เมื่อมีการใชส้ารเคมีควรอ่านฉลากกา กบัโดยตลอดให้เขา้ใจก่อนใช้และตอ้งปฏิบตัิตามคา เตือนและขอ้ควรระวงัโดยเคร่งครัด 7. อยา่ลา้งภาชนะบรรจุสารเคมีหรืออุปกรณ์เครื่องพน่ยาลงไปในแม่น้า ลา ธาร บ่อคลอง ฯลฯ 8. ภาชนะบรรจุสารเคมีเมื่อใช้หมดแล้วให้ท าลายและฝังดินเสีย 9. ใหค้วามร่วมมือกบัทางราชการในการควบคุมตลอดจนการเผยแพร่ประชาสัมพนัธ์
144 กิจกรรม การกรอง จุดประสงค์ ทดลองและอธิบายการแยกสารด้วยวิธีการกรองได้ วสัดุอุปกรณ์ 1. บีกเกอร์ 2. กรวยกรอง 3. กระดาษกรอง 4.ขวดน้า กลนั่ 5.แป้ งมัน 6. น้า 7. แท่งแกว้คน วิธการทดลอง 1. แบ่งกลุ่มผเู้รียน กลุ่มละ4 -5 คน 2. เทน้า ใส่ในบีกเกอร์และนา แป้งมันผสมลงไป คนจนแป้ งละลายหมด 3. พบักระดาษกรองแลว้นา ไปวางในกรวยกรอง หลงัจากน้นั ใชข้วดน้า กลนั่ฉีดน้า ลงบน ขอบกระดาษกรองใหเ้ปียกเพื่อใหก้ระดาษแนบติดกบักรวยกรอง 4. นา น้า แป้งมันเทลงในกรวยกรอง บันทึกผลการทดลอง บันทึกผล สาร ผลที่สังเกตได้ 1.แป้ งผสมกบัน้า 2.น้า แป้งที่ผา่นการกรองแลว้ สรุปการทดลอง ………………………………………………………………………………………………….. .………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………
145 บทที่ 9 สารในชีวิตประจ าวัน สาระส าคัญ ความเกี่ยวขอ้งของสารในชีวติประจา วนัการเขา้สู่ร่างกายของสาร ท้งัน้ีเป็นประโยชน์และโทษ การจ าแนกประเภทของสารและผลิตภัณฑ์ที่พบในชีวิตประจ าวันได้ ควรเลือกใช้สารบางชนิดที่กระทบ ต่อชีวติและสิ่งแวดลอ้ม หลกัการเลือกซ้ือเลือกใชส้ารอยา่งถูกตอ้งเหมาะสม ผลการเรียนรู้ทคี่าดหวงั - อธิบายสมบัติของสารที่น ามาใช้ในชีวิตประจ าวันได้ - อธิบายการเขา้สู่ร่างกายของสารได้ - จ าแนกประเภทของสารและผลิตภัณฑ์ที่พบในชีวิตประจ าวันได้ - อธิบายวธิีการใชส้ารในชีวติประจา วนับางชนิดและสิ่งแวดลอ้มได้ - อธิบายหลกัการเลือกซ้ือและเลือกใชส้ารได้ - เลือกซ้ือและเลือกใชส้ารไดถู้กตอ้งและเหมาะสม ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1สมบัติของสารที่ใช้ในชีวิตประจ าวัน เรื่องที่ 2สารและผลิตภัณฑ์ของสารที่ใช้ในชีวิตประจ าวัน เรื่องที่ 3การเลือกซ้ือและการใช้สารอยา่งปลอดภยั
146 เรื่องที่ 1 สมบัติของสารที่ใช้ในชีวิตประจ าวัน ในชีวติประจา วนัของเราน้นัเราตอ้งใชส้ารต่าง ๆ อยตู่ลอดเวลา สารบางชนิดให้ประโยชน์แก่ ร่างกายของเรา เช่น อาหาร ยารักษาโรค ผลิตภณัฑ์ทา ความสะอาด เป็นตน้ สารบางถึงแมว้่าจะมี ประโยชน์แต่ก็มีผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้มดว้ย เช่น ยาฆ่าแมลง ยากา จดัศตัรูพืช หรือก๊าซต่าง ๆ ที่เกิด จากกระท าของมนุษย์ เราสามารถจา แนกประเภทของสารที่ใชใ้นชีวติประจา วนัออกเป็นประเภท ไดด้งัน้ี 1.ความเป็ นกรด- เบส เราสามารถจ าแนกสารจากสมบัติของสารจากความเป็ น กรด –เบส ไดด้งัน้ี 1.1 สารที่มีสมบัติเป็ นกรด สารประเภทน้ีมีรสเปร้ียว ทา ปฏิกิริยาเคมีกบัโลหะและหินปูน เมื่อ ทดสอบดว้ยกระดาษลิตมสัสีน้า เงิน กระดาษลิตมสัจะเปลี่ยนเป็นสีแดง และมีค่า pH 1 – 6 เช่น มะนาว น้า ส้มสายชูน้า ยาลา้งหอ้งน้า เป็นตน้ 1.2 สารที่มีสมบัติเป็ นเบส เป็นสารที่มีรสฝาด เมื่อทดสอบกบักระดาษลิตมสั สีแดงจะ เปลี่ยนไปเป็ นสีน้า เงิน เมื่อสัมผสัร่างกายจะรู้สึกลื่น และทา ปฏิกิริยากบัไขมนัหรือน้า มนัพืช และมี ค่า pH 8 – 14 เช่น ผงซกั ฟอก สบู่น้า ข้ีเถา้เป็นตน้ 1.3 สารที่สมบัติเป็ นกลาง เป็นสารที่ทดสอบกบักระดาษลิตมสัแลว้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีค่า pH 7 เช่น น้า เกลือ น้า ดื่ม เป็นตน้
147 กิจกรรม ทดสอบ กรด –เบส จุดประสงค์ ทดลองและอธิบายความเป็ นกรด – เบส ของสารได้ วสัดุอุปกรณ์ 1. สารละลาย (ตามตาราง) 2. หลอดหยดจา นวนเท่ากบัสารละลาย 3. กระจกนาฬิกาหรือภาชนะที่เป็นแกว้ 4. กระดาษลิตมัส 5. ถาดหลุม วิธีท า 1. หยดสารละลายที่เตรียมไว้ลงในถาดหลุม ๆ ละ 3 หยด 2. ใช้กระดาษลิตมสัจุ่มสารละลายเทียบสีที่เกิดข้ึนกบัสีแลว้วางไวบ้นกระจกนาฬิกาหรือ ภาชนะที่เป็นแกว้แลว้บันทึกผล บันทึกผล สาร สมบัติของสาร สี กรด กลาง เบส สบู่เหลว ผงซักฟอก น้า ส้มสายชู น้า อดัลม น้า ยาลา้งจาน น้า เกลือ น้า มะนาว น้า ยาลา้งหอ้งน้า น้า ดื่ม น้า ปูนใส สรุปผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………
148 เรื่องที่2 สารและผลิตภัณฑ์ของสารที่ใช้ในชีวิตประจ าวัน 2.จ าแนกประเภทของสาร การจ าแนกสารนอกจากจ าแนกจากสมบัติของสารแล้ว ยังจ าแนกตามประโยชน์การใช้งาน ได้ ดงัน้ี 2.1 สารท าความสะอาด ในชีวติประจา วนัเราใชส้ารประเภทน้ีกนัอยา่งแพร่หลาย สารทา ความ สะอาด มีท้งัสารที่ใชท้า ความสะอาดร่างกายของคน สารที่ใชท้า ความสะอาดเครื่องนุ่มห่ม หรือภาชนะ ต่าง ๆ เช่น สบู่ผงซกั ฟอก ยาสีฟัน น้า ยาลา้งหอ้งน้า เป็ นต้น 2.2 สารทางการเกษตร สารประเภทน้ีส่วนใหญ่เป็นสารที่ใชใ้นการกา จดัศตัรูพืช เช่น แมลง วชัพืช สารประเภทน้ีในปริมาณที่มากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อผใู้ช้และผบู้ริโภค นอกจากน้ีแลว้สาร ประเภทน้ียงัส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้มอีกดว้ย 2.3 ยารักษาโรค สารเหล่าน้ีใชเ้พื่อบา บดัและรักษาอาการเจบ็ ป่วยของคนเราแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ยาภายใน เช่น ยาพาราเซตามอล ยาธาตุน้า แดง ยาแกไ้อ ยาภายนอก เช่น ยาแดง ยาล้างตา แอลกอฮอล์
149 2.4 สารปรุงแต่ง สารปรุงแต่งอาหารมีมากมายหลายชนิด ข้ึนอยกู่บัวตัถุประสงคใ์นการใช้ดงัน้ี สารปรุงรส - น้า ปลา ซีอิ้ว ซอส สารแต่งสี - สีผสมอาหาร สีจากธรรมชาติ สารแต่งกลิ่น –กลิ่นสังเคราะห์ สารป้องกนัไม่ใหอ้าหารเน่าเสีย - สารกนับูด 4.5 ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม สารที่เป็นผลิตภณัฑเ์สริมความงามหรือเครื่องสา อางมีหลายประเภทข้ึนอยกู่บัวตัถุประสงค์ ของผใู้ช้เช่น ผลิตภัณฑ์บ ารุงผิว - ครีมบ ารุงผิว อาหารเสริม ผลิตภณัฑต์กแต่งร่างกาย –ลิปสติก แป้ งผัดหน้า
150 เรื่องที่ 3 การเลือกซื้อและการใช้สารอย่างปลอดภัย สารที่เราใชอ้ยใู่นชีวติประจา วนัน้นัมีท้งัประโยชน์และโทษ ดงัน้นัก่อนที่เราจะนา สารใด ๆก็ ตามมาใช้ตอ้งคา นึงถึงเรื่องดงัต่อไปน้ี 1.ฉลากของผลิตภัณฑ์ ก่อนซ้ือหรือนา ผลิตภณัฑม์าใชต้อ้งศึกษารายละเอียดบนฉลากใหเ้ขา้ใจ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ด้านอาหารจะต้องดูวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์ด้วย และผู้ใช้จะต้องปฏิบัติตนตาม วธิีข้นัตอนที่อยบู่นฉลากอยา่งเคร่งครัดดว้ย 2. ใช้สารในปริมาณที่จ าเป็ นเท่านั้น สารอยา่งชนิดถา้ใชใ้นปริมาณมากกวา่ที่กา หนดอาจจะเป็น อนัตรายต่อผใู้ชไ้ด้ 3. ต้องมีการก าจัดภาชนะที่ใช้แล้วอย่างเหมาะสม เช่น ภาชนะที่บรรจุสารที่พิษ หา้มทิ้งลงใน แม่น้า ลา คลอง เป็นตน้ การจะเลือกใชส้ารใดก็ตาม เราตอ้งคา นึงความปลอดภยัในการใชส้ารน้นัดว้ย สารบางชนิด เช่น ยาฆ่าแมลง หรือกา จดัวัชพืช ถา้ใชใ้นปริมาณมากก็จะส่งผลต่อสุขภาพของผใู้ช้และถา้ตกคา้งอยู่ ในพืชผกัก็จะเป็นอนัตรายต่อผบู้ริโภค และนอกจากน้ีสารต่าง ๆ ที่เราใชก้็ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ม เช่น การปล่อยน้า เสียลงในแม่น้า ก่อใหเ้กิดน้า เสียเป็นตน้ดงัน้นัก่อนที่เราจะเลือกใชส้ารต่าง ๆ ใน ชีวติประจา วนัเราตอ้งศึกษาถึงวธิีการใช้การเก็บรักษาและวธิีการกา จดัภาชนะบรรจุสารเหล่าน้นัอยา่ง ละเอียด เพื่อจะช่วยป้องกนัอนัตรายที่จะเกิดกบัมนุษยเ์ราและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ม