สรุปผลโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไทย วันที่ 12 มีนาคม 2564 ณ ที่ท าการผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่6 ต าบลสัตหีบ อ าเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี กศน.ต าบลสัตหีบ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอ าเภอสัตหีบ ส านักงาน กศน.จังหวัดชลบุรี
บทสรุปผู้บริหาร โครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไทย จัดขึ้นในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาของประวัติศาสตร์ชาติไทย ความรักชาติ เทิดทูนสถาบัน พระมหากษัตริย์ และบรรพบุรุษไทย และได้แสดงถึงความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์โดยมี กลุ่มเป้าหมายคือ ประชาชน เยาวชน ทั่วไปในพื้นที่ต าบลสัตหีบ จ านวน 15 คน โดยจะใช้กลุ่มเป้าหมายทั้งหมด ในการค านวณโดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูปคอมพิวเตอร์ (โปรแกรมตารางค านวณ) เพื่อสรุปผลการด าเนินงานใน ครั้งนี้ วิธีการด าเนินงาน โดยการส ารวจความต้องการของประชาชนและน าผลจากการส ารวจมาจัดท า กิจกรรมโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไทย ให้กับประชาชน และเยาวชน ทั่วไปในพื้นที่ต าบลสัตหีบ จ านวน 15 คน ในวันที่ 12 มีนาคม 2564 ณ ที่ท าการผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 ต าบลสัตหีบ อ าเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี ร.อ. ประโยชน์ ประสมพงษ์เป็นวิทยากร จัดการเรียนการสอน ในครั้งนี้ หลังจากการจัดกิจกรรมโครงการแล้วมีการแจกแจงแบบประเมินความพึงพอใจ ส าหรับผู้เข้าร่วม โครงการทั้งหมด จ านวน 15 ชุด แล้วน าข้อมูลที่ได้มาค านวณทางสถิติ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย การแจกแจง ความถี่ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ในการแปรผล ผลการด าเนินงาน จากการน าข้อมูลที่ได้มาท าการค านวณหาค่าสถิติต่างๆ สรุปว่า ผู้เข้าร่วม กิจกรรม มีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมากที่สุด (µ =4.53)
ค าน า ประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่น่าสนใจ น่าค้นหา และเป็นสิ่งที่บอกเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง ซึ่งข้อมูลที่ผู้จัดท าน ามาเผยแพร่นี้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย ประเทศไทยถือเป็น ประเทศหนึ่งที่ประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายร้อยปีมีเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้น ความเป็นมาและการก่อตั้ง ของอาณาจักรต่างๆ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่เราทุกคนควรจะศึกษาเรียนรู้เอาไว้ เพราะในอดีตนั้นได้เกิดเหตุการณ์มากมายที่ ควรค่าแก่การจดจ า และได้น าเอาข้อคิด บทเรียน ที่แฝงอยู่ในเรื่องราวเหล่านั้น มาปรับใช้กับชีวิตในสมัย ปัจจุบัน ประวัติศาสตร์มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีเกิดขึ้น ฉะนั้นการศึกษาเรื่องราวของประวัติศาสตร์นั้น ควรใช้ วิจารณญาณและหาแหล่งศึกษาข้อมูลให้มาก เพื่อที่เราจะได้ทราบถึงข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องมากที่สุด กศน.อ าเภอสัตหีบ เห็นความส าคัญในการส่งเสริมให้ประชาชนและเยาวชนมีความรักในชาติศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ดังนั้นจึงจัดโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ไทยขึ้น นางปิยวดี เตชะวงศ์ เมษายน 2564
สารบัญ บทที่ หน้า 1 บทน า.....................................................................................................................................................1 หลักการและเหตุผล.....................................................................................................................1 วัตถุประสงค์.................................................................................................................................1 เป้าหมาย......................................................................................................................................1 ผลที่คาดว่าจะได้รับ......................................................................................................................2 ดัชนีวัดผลส าเร็จของโครงการ......................................................................................................2 2 เอกสารการศึกษาและรายงานที่เกี่ยวข้อง..............................................................................................4 นโยบายและจุดเน้นการด าเนินงาน กศน.ปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ...........................................4 นโยบายและจุดเน้นการด าเนินงาน กศน.ต าบลสัตหีบประจ าปีงบประมาณ พ.ศ.2564...............16 เอกสารที่เกี่ยวข้อง......................................................................................................................22 3 วิธีด าเนินงาน.........................................................................................................................................50 ประชุมบุคลากรกรรมการสถานศึกษา.........................................................................................50 จัดตั้งคณะท างาน ........................................................................................................................50 ประสานงานกับหน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้อง.........................................................................50 ด าเนินการตามแผน.....................................................................................................................50 วัดผล/ประเมินผล/สรุปผลและรายงาน.......................................................................................50 4 ผลการด าเนินงานและการวิเคราะห์ข้อมูล.............................................................................................52 ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนตัวผู้แบบสอบถามของผู้เข้ารับการอบรมในโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไทย.........................................................................................52 ตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ไทย..............................................................................................................53 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ................................................................................................55 สรุปผลการด าเนินงาน.................................................................................................................55 ปัญหาและอุปสรรค.....................................................................................................................56 ข้อเสนอแนะ................................................................................................................................56 บรรณานุกรม ภาคผนวก
สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยจ าแนกตามเพศ.........................................................52 2 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยจ าแนกตามอายุ………………………..……………………….52 3 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยจ าแนกตามอาชีพ………………………………………………52 4 ผลการประเมินโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไทย.............53
1 บทที่ 1 บทน ำ โครงกำรเสริมสร้ำงอุดมกำรณ์รักชำติ ศำสนำ และพระมหำกษัตริย์ไทย หลักกำรและเหตุผล สถาบันหลักส าคัญของประเทศ ประกอบด้วย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจที่น าพา ประเทศชาติไปสู่ความมั่นคงปลอดภัย และความเจริญก้าวหน้า ชาติไทยเป็นชาติที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง ได้แก่ วัฒนธรรมที่ดีงาม มีศิลปกรรม สถาปัตยกรรมที่น่าภาคภูมิใจ มีศาสนาเป็นหลักใจ และมีสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันหลักที่สร้างชาติบ้านเมือง และปกครองดูแลให้อาณาประชาราษฎร์มีความร่มเย็นผาสุกมาตั้งแต่เริ่ม ความเป็นชาติไทย ให้ด ารงคงอยู่จนถึงพวกเราคนไทยในทุกวันนี้ พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ได้ทรงท านุบ ารุง ประเทศชาติ โดยทรงพระวิริยะอุตสาหะ ทุ่มเทพระวรกาย และพระสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองให้ ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่าง ๆ มาได้จนถึงปัจจุบัน ดังนั้นการถวายความจงรักภักดี และพิทักษ์รักษาสถาบันหลักของ ชาติ จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกันรักษาไว้ด้วยชีวิต ซึ่งได้ยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาตั้งแต่ครั้ง โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน จากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกและความขัดแย้งทางการเมืองได้ก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นในกลุ่ม บุคคลบางกลุ่มของสังคมไทย ซึ่งยังหาแนวทางสร้างความสามัคคีกันได้ยาก ซึ่งเป็นการบั่นทอนความเจริญก้าวหน้า ของประเทศ และมีผลกระทบต่อวิถีการด ารงชีวิตของคนไทยทั่วทั้งประเทศ กศน.ต าบลสัตหีบ จึงได้จัดโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไทยเพื่อให้ ประชาชนมีความรู้ เห็นความส าคัญของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ปลูกฝังนิสัย ความรักและภูมิใจในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์แสดงความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ถูกต้องกับกาลเทศะ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาของชาติไทย ความรักชาติ เทิดทูนสถาบัน พระมหากษัตริย์ 2. เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและส านึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในบุญคุณพระมหากษัตริย์ไทย เป้ำหมำย เชิงปริมาณ ประชาชนและเยาวชนต าบลสัตหีบ จ านวน 15 คน เชิงคุณภาพ ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการเกิดความรักและภูมิใจในชาติ ศาสนาและส านึกในพระมหา กรุณาธิคุณ ในบุญคุณพระมหากษัตริย์ไทย
2 วิธีกำรด ำเนินกำร กิจกรรมหลัก วัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมาย เป้าหมาย พื้นที่ด าเนินการ ระยะเวลา งบประมาณ 1.จัดท าโครงการ เพื่อขออนุมัติ 2.ประชุมชี้แจง เจ้าหน้าที่ รับผิดชอบ 3.ประสานงาน เครือข่ายที่ เกี่ยวข้อง 4.ด าเนินการจัด กิจกรรม อบรมให้ความรู้ 5.สรุปผลและ รายงานผล 1. เพื่อให้ประชาชนมี ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับความเป็นมา ของชาติไทย ความรัก ชาติ เทิดทูนสถาบัน พระมหากษัตริย์ 2. เพื่อให้ประชาชนมี ความรู้ความเข้าใจและ ส านึกในพระมหา กรุณาธิคุณ ในบุญคุณ พระมหากษัตริย์ไทย ประชาชนและ เยาวชนต าบล สัตหีบ จ านวน 15 คน ที่ท าการผู้ช่วย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 12 มีนาคม 2564 1.จัดท าโครงการ เพื่อขออนุมัติ 2.ประชุมชี้แจง เจ้าหน้าที่ รับผิดชอบ 3.ประสานงาน เครือข่ายที่ เกี่ยวข้อง 4.ด าเนินการจัด กิจกรรม อบรมให้ความรู้ 5.สรุปผลและ รายงานผล เงินงบประมำณทั้งโครงกำร 5,200.- บาท ผู้รับผิดชอบโครงกำร นางสาวสุภาวดี บางโสก หัวหน้า กศน. ต าบลสัตหีบ นางสาวปารย์พิชชา เจริญศรี ครู กศน. ต าบลสัตหีบ นางปิยวดี เตชะวงศ์ ครู ศรช. ต าบลสัตหีบ เครือข่ำย - ประชาชนต าบลสัตหีบ - ชมรมผู้สูงอายุต าบลสัตหีบ โครงกำรที่เกี่ยวข้อง - โครงการสถานศึกษาเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ผลลัพธ์ (Out come) กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาของชาติไทย ศาสนา และ ส านึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในบุญคุณพระมหากษัตริย์ไทย ดัชนีชี้วัดควำมส ำเร็จของโครงกำร ตัวชี้วัดผลผลิต (Outputs) - มีผู้เข้าร่วมโครงการ ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 ของกลุ่มเป้าหมาย - ผู้เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจในระดับดีมากขึ้นไปไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
3 ตัวชี้วัดผลลัพธ์(Outcomes) ผู้เข้าร่วมโครงการร้อยละ 80 สามารถน าความรู้ไปใช้ในชีวิตประจ าวัน มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย และบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย มีการน้อมน าหลักการเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับการ ท างานและ 23 หลักการทรงงาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวง รัชกาลที่ 9
4 บทที่ 2 เอกสำรกำรศึกษำและรำยงำนที่เกี่ยวข้อง ในการจัดท ารายงานครั้งนี้ ได้ท าการศึกษาค้นคว้าเนื้อหาจากเอกสารการศึกษาและรายงานที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้ 1. นโยบายและจุดเน้นการด าเนินงาน ส านักงาน กศน.ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 2. แนวทาง/กลยุทธ์การด าเนินงาน กศน.อ าเภอสัตหีบประจ าปีงบประมาณ พ.ศ.2564 2.1 วิสัยทัศน์ 2.2 พันธกิจ 2.3 เป้าประสงค์ 2.4 ตัวชี้วัดความส าเร็จ/ยุทธศาสตร์/โครงการ 3. เอกสารที่เกี่ยวข้อง นโยบำยและจุดเน้นกำรด ำเนินงำน ส ำนักงำน กศน. ประจ ำปีงบประมำณ พ.ศ. 2564 วิสัยทัศน์ คนไทยทุกช่วงวัยได้รับโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีทักษะที่จ าเป็นและ สมรรถนะที่สอดรับกับทิศทางการพัฒนาประเทศ สามารถด ารงชีวิตได้อย่างเหมาะสมบนรากฐานของ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พันธกิจ 1. จัดและส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่มีคุณภาพ สอดคล้อง กับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อยกระดับการศึกษา และพัฒนาสมรรถนะ ทักษะการเรียนรู้ของประชาชนกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย ให้พร้อมรับ การเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวในการด ารงชีวิตได้อย่างเหมาะสม ก้าวสู่การเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต อย่างยั่งยืน 2. พัฒนาหลักสูตร รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการศึกษา การวัดและประเมินผลในทุกรูปแบบให้มีคุณภาพและมาตรฐานสอดคล้องกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้และบริบท ในปัจจุบัน 3. ส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีทางการศึกษา และน าเทคโนโลยีมาพัฒนาเพื่อเพิ่มช่องทางและโอกาส การเรียนรู้ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดและให้บริการการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง 4. ส่งเสริมสนับสนุน แสวงหา และประสานความร่วมมือเชิงรุกกับภาคีเครือข่าย ให้เข้ามามีส่วนร่วม ในการสนับสนุนและจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ ให้กับประชาชน 5. พัฒนาระบบการบริหารจัดการภายในองค์กรให้มีเอกภาพ เพื่อการบริหารราชการที่ดี บนหลัก ของธรรมาภิบาล มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และคล่องตัวมากยิ่งขึ้น 6. ยกระดับการบริหารและการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ ทักษะ สมรรถนะ คุณธรรม และจริยธรรมที่ดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการทางการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
5 เป้ำประสงค์ 1. ประชาชนผู้ด้อย พลาด และขาดโอกาสทางการศึกษารวมทั้งประชาชนทั่วไปได้รับโอกาส ทางการศึกษาในรูปแบบการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาต่อเนื่อง และการศึกษา ตามอัธยาศัยที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง เป็นไปตามบริบท สภาพปัญหาและความต้องการของแต่ละ กลุ่มเป้าหมาย 2. ประชาชนได้รับการยกระดับการศึกษา สร้างเสริมและปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม หน้าที่ความเป็น พลเมืองที่ดีภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่สอดคล้องกับ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อันน าไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน เพื่อ พัฒนาไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืนทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 3. ประชาชนได้รับการพัฒนาทักษะการเรียนรู้และแสวงหาความรู้ด้วยตนเองผ่านแหล่งเรียนรู้ ช่องทางการเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งมีเจตคติทางสังคม การเมือง วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม สามารถคิด วิเคราะห์ แยกแยะอย่างมีเหตุผล และน าไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวัน รวมถึงการแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างสร้างสรรค์ 4. หน่วยงานและสถานศึกษา กศน. มีหลักสูตร สื่อ นวัตกรรม ช่องทางการเรียนรู้ และกระบวนการ เรียนรู้ ในรูปแบบที่หลากหลาย ทันสมัย และรองรับกับสภาวะการเรียนรู้ในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหา และพัฒนาคุณภาพชีวิตตามความต้องการของประชาชนและชุมชน รวมทั้งตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงบริบท ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 5. หน่วยงานและสถานศึกษา กศน. สามารถน าเทคโนโลยีทางการศึกษา และเทคโนโลยีดิจิทัล มาพัฒนาเพื่อเพิ่มช่องทางการเรียนรู้ และน ามาใช้ในการยกระดับคุณภาพในการจัดการเรียนรู้และโอกาส การเรียนรู้ให้กับประชาชน 6. ชุมชนและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในการจัด ส่งเสริม และสนับสนุนการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย รวมทั้งการขับเคลื่อนกิจกรรมการเรียนรู้ของชุมชน 7. หน่วยงานและสถานศึกษามีระบบการบริหารจัดการองค์กรที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และเป็นไป ตามหลักธรรมาภิบาล 8. บุคลากร กศน. ทุกประเภททุกระดับได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มทักษะและสมรรถนะในการปฏิบัติงาน และการให้บริการทางการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย รวมถึงการปฏิบัติงาน ตามสายงานอย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่มเป้ำหมำย 2. ประชาชนได้รับการยกระดับการศึกษา สร้างเสริมและปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และ ความเป็นพลเมือง อันน าไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน เพื่อพัฒนาไปสู่ ความมั่นคงและยั่งยืนทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม 3. ประชาชนได้รับโอกาสในการเรียนรู้ และมีเจตคติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เหมาะสม สามารถคิด วิเคราะห์ และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวัน รวมทั้งแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิต ได้อย่างสร้างสรรค์ 4. ประชาชนได้รับการสร้างและส่งเสริมให้มีนิสัยรักการอ่านเพื่อการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 5. ชุมชนและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ร่วมจัด ส่งเสริม และสนับสนุนการด าเนินงานการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย รวมทั้งการขับเคลื่อนกิจกรรมการเรียนรู้ของชุมชน 6. หน่วยงานและสถานศึกษาพัฒนา เทคโนโลยีทางการศึกษา เทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้
6 ในการยกระดับคุณภาพในการจัดการเรียนรู้และเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ให้กับประชาชน 7. หน่วยงานและสถานศึกษาพัฒนาสื่อและการจัดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนา คุณภาพชีวิต ที่ตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงบริบทด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งตามความต้องการของประชาชนและชุมชนในรูปแบบที่หลากหลาย 8. หน่วยงานและสถานศึกษามีระบบการบริหารจัดการที่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล 9. บุคลากรของหน่วยงานและสถานศึกษาได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการปฏิบัติงาน การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดเชิงปริมำณ 1. จ านวนผู้เรียนการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาชั้นพื้นฐานที่ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายตาม สิทธิที่ก าหนดไว้ 2. จ านวนของคนไทยกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้/เข้ารับบริการกิจกรรม การศึกษาต่อเนื่อง และการศึกษาตามอัธยาศัยที่สอดคล้องกับสภาพ ปัญหา และความต้องการ 3. ร้อยละของก าลังแรงงานที่ส าเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นขึ้นไป 4. จ านวนภาคีเครือข่ายที่เข้ามามีส่วนร่วมในการจัด/พัฒนา/ส่งเสริมการศึกษา (ภาคีเครือข่าย : สถานประกอบการ องค์กร หน่วยงานที่มาร่วมจัด/พัฒนา/ส่งเสริมการศึกษา) 5. จ านวนประชาชน เด็ก และเยาวชนในพื้นที่สูง และชาวไทยมอแกน ในพื้นที่ 5 จังหวัด 11 อ าเภอ ได้รับบริการการศึกษาตลอดชีวิตจากศูนย์การเรียนชุมชนสังกัดส านักงาน กศน. 6. จ านวนผู้รับบริการในพื้นที่เป้าหมายได้รับการส่งเสริมด้านการรู้หนังสือและการพัฒนาทักษะชีวิต 7. จ านวนนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับบริการติวเข้มเต็มความรู้ 8. จ านวนประชาชนที่ได้รับการฝึกอาชีพระยะสั้น สามารถสร้างอาชีพเพื่อสร้างรายได้ 9. จ านวน ครู กศน. ต าบล จากพื้นที่ กศน.ภาค ได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการเรียน การสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 10. จ านวนประชาชนที่ได้รับการฝึกอบรมภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารด้านอาชีพ 11. จ านวนผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงในระบบ Long Term Care มีผู้ดูแลที่มีคุณภาพและมาตรฐาน 12. จ านวนประชาชนที่ผ่านการอบรมจากศูนย์ดิจิทัลชุมชน 13. จ านวนศูนย์การเรียนชุมชน กศน. บนพื้นที่สูง ในพื้นที่ 5 จังหวัด ที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะ การฟัง พูดภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ร่วมกันในสถานศึกษาสังกัด สพฐ. ตชด. และกศน. 14. จ านวนบุคลากร กศน. ต าบลที่สามารถจัดท าคลังความรู้ได้ 15. จ านวนบทความเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตในระดับต าบลในหัวข้อต่าง ๆ 16. จ านวนหลักสูตรและสื่อออนไลน์ที่ให้บริการกับประชาชน ทั้งการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาต่อเนื่อง และการศึกษาตามอัธยาศัย ตัวชี้วัดเชิงคุณภำพ 1. ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ การศึกษานอกระบบ (N-NET) ทุกรายวิชาทุกระดับ 2. ร้อยละของผู้เรียนที่ได้รับการสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเทียบกับค่าเป้าหมาย 3. ร้อยละของประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ลงทะเบียนเรียนในทุกหลักสูตร/กิจกรรมการศึกษา ต่อเนื่องเทียบกับเป้าหมาย
7 4. ร้อยละของผู้ผ่านการฝึกอบรม/พัฒนาทักษะอาชีพระยะสั้นสามารถน าความรู้ไปใช้ ในการประกอบอาชีพหรือพัฒนางานได้ 5. ร้อยละของผู้เรียนในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพ หรือทักษะ ด้านอาชีพ สามารถมีงานท าหรือน าไปประกอบอาชีพได้ 6. ร้อยละของผู้จบหลักสูตร/กิจกรรมที่สามารถน าความรู้ความเข้าใจไปใช้ได้ตามจุดมุ่งหมาย ของหลักสูตรกิจกรรม การศึกษาต่อเนื่อง 7. ร้อยละของประชาชนที่ได้รับบริการมีความพึงพอใจต่อการบริการ/เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ การศึกษาตามอัธยาศัย 8. ร้อยละของประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับบริการ/ข้าร่วมกิจกรรมที่มีความรู้ความเข้าใจ/เจตคติ ทักษะ ตามจุดมุ่งหมายของกิจกรรมที่ก าหนด ของการศึกษาตามอัธยาศัย 9. ร้อยละของนักเรียน/นักศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาที่ได้รับบริการติวเข้มเต็มความรู้ เพิ่มสูงขึ้น 10. ร้อยละของผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย มีโอกาสมาเข้าร่วมกิจกรรมการศึกษาตลอดชีวิต จุดเน้นกำรด ำเนินงำนประจ ำปีงบประมำณ พ.ศ. 2564 1. น้อมน ำพระบรมรำโชบำยด้ำนกำรศึกษำสู่กำรปฏิบัติ 1.1 สืบสานศาสตร์พระราชา โดยการสร้างและพัฒนาศูนย์สาธิตและเรียนรู้ “โคก หนอง นา โมเดล” เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการบริหารทรัพยากรรูปแบบต่าง ๆ ทั้งดิน น้ า ลม แดด รวมถึงพืชพันธุ์ ต่าง ๆ และส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนอย่างมีประสิทธิภาพ 1.2 จัดให้มี “หนึ่งชุมชน หนึ่งนวัตกรรม การพัฒนาชุมชน” เพื่อความกินดี อยู่ดี มีงานท า 1.3 การสร้างกลุ่มจิตอาสาพัฒนาชุมชน รวมทั้งปลูกฝังผู้เรียนให้มีหลักคิดที่ถูกต้องด้านคุณธรรม จริยธรรม มีทัศนคติที่ดีต่อบ้านเมือง และเป็นผู้มีความพอเพียง ระเบียบวินัย สุจริต จิตอาสา ผ่านกิจกรรม การพัฒนาผู้เรียนโดยการใช้กระบวนการลูกเสือและยุวกาชาด 2. ส่งสริมกำรจัดกำรศึกษำและกำรเรียนรู้ตลอดชีวิตส ำหรับประชำชนที่เหมำะสมกับทุกช่วงวัย 2.1 ส่งเสริมการจัดการศึกษาอาชีพเพื่อการมีงานท า ในรูปแบบ Re-Skill& Up-Skill และการสร้าง นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีความหลากหลาย ทันสมัย และตอบสนองความต้องการของประชาชน ผู้รับบริการ และสามารถออกใบรับรองความรู้ความสามารถเพื่อน าไปใช้ในการพัฒนาอาชีพได้ 2.2 ส่งเสริมและยกระดับทักษะภาษาอังกฤษให้กับประชาชน (English for All) 2.3 ส่งเสริมการเรียนการสอนที่เหมาะสมส าหรับผู้ที่เข้าสู่สังคมสูงวัย อาทิ การฝึกอบรมอาชีพ ที่เหมาะสมรองรับสังคมสูงวัย หลักสูตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมสมรรถนะผู้สูงวัย และหลักสูตร การดูแลผู้สูงวัย โดยเน้นการมีส่วนร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัย 3. พัฒนำหลักสูตร สื่อ เทคโนโลยีและนวัตกรรมทำงกำรศึกษำ แหล่งเรียนรู้ และรูปแบบ กำรจัดกำรศึกษำและกำรเรียนรู้ ในทุกระดับ ทุกประเภท เพื่อประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาที่เหมาะสม กับทุกกลุ่มเป้าหมาย มีความทันสมัย สอดคล้องและพร้อมรองรับกับบริบทสภาวะสังคมปัจจุบัน ความต้องการของ ผู้เรียน และสภาวะการเรียนรู้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 3.1 พัฒนาระบบการเรียนรู้ ONIE Digital Learning Platform ที่รองรับ DEEP ของ กระทรวงศึกษาธิการและช่องทางเรียนรู้รูปแบบอื่น ๆ ทั้ง Online On-site และ On-air
8 3.2 พัฒนาแหล่งเรียนรู้ประเภทต่าง ๆ อาทิ Digital Science Museum/ Digital Science Center/ Digital Library ศูนย์การเรียนรู้ทุกช่วงวัย และศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ กศน. (Co-Learning Space) เพื่อให้ สามารถ “เรียนรู้ได้อย่างทั่วถึง ทุกที่ ทุกเวลา 3.3 พัฒนาระบบรับสมัครนักศึกษาและสมัครฝึกอบรมแบบออนไลน์ มีระบบการเทียบโอนความรู้ ระบบสะสมหน่วยการเรียนรู้ (Credit Bank System) และพัฒนา/ขยายการให้บริการระบบทดสอบอิเล็กทรอนิกส์ (E-exam) 4. บูรณำกำรควำมร่วมมือในกำรส่งเสริม สนับสนุน และจัดกำรศึกษำและกำรเรียนรู้ให้กับ ประชำชนอย่ำงมีคุณภำพ 4.1 ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้ง ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน อาทิ การส่งเสริมการฝึกอาชีพที่เป็นอัตลักษณ์และบริบทของชุมชน ส่งเสริมการตลาดและขยายช่องทางการจ าหน่ายเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์/สินค้า กศน. 4.2 บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งในส่วนกลาง และภูมิภาค 5. พัฒนำศักยภำพและประสิทธิภำพในกำรท ำงำนของบุคลำกร กศน. 5.1 พัฒนาศักยภาพและทักษะความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy & Digital Skills) ให้กับบุคลากรทุกประเภททุกระดับ รองรับความเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งพัฒนาครูให้ มีทักษะความรู้ และความช านาญในการใช้ภาษาอังกฤษ การผลิตสื่อการเรียนรู้และการจัดการเรียน การสอนเพื่อฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและมีเหตุผล เป็นขั้นตอน 5.2 จัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ของบุคลากร กศน.และกิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพ ในการท างานร่วมกันในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การแข่งขันกีฬา การอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาประสิทธิภาพ ในการท างาน 6. ปรับปรุง และพัฒนำโครงสร้ำงและระบบบริหำรจัดกำรองค์กร ปัจจัยพื้นฐำนในกำรจัดกำรศึกษำ และกำรประชำสัมพันธ์สร้ำงกำรรับรู้ต่อสำธำรณะชน 6.1 เร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. ... ให้ส าเร็จ และปรับโครงสร้างการบริหาร และอัตราก าลังให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลง เร่งการสรรหา บรรจุ แต่งตั้งที่มีประสิทธิภาพ 6.2 น านวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการ พัฒนาระบบการท างานและข้อมูล สารสนเทศด้านการศึกษาที่ทันสมัย รวดเร็ว และสามารถใช้งานทันที โดยจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลาง กศน. เพื่อจัดท า ข้อมูล กศน. ทั้งระบบ (ONE ONIE) 6.3 พัฒนา ปรับปรุง ซ่อมแซม ฟื้นฟูอาคารสถานที่ และสภาพแวดล้อมโดยรอบของหน่วยงาน สถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้ทุกแห่ง ให้สะอาด ปลอดภัย พร้อมให้บริการ 6.4 ประชาสัมพันธ์/สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับการบริการทางวิชาการ/กิจกรรม ด้านการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และสร้างช่องทางการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านวิชาการ ของหน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัด อาทิ ข่าวประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อรูปแบบต่าง ๆ การจัดนิทรรศการ/ มหกรรม วิชาการ กศน.
9 กำรจัดกำรศึกษำและกำรเรียนรู้ในสถำนกำรณ์กำรแพร่ระบำดของเชื้อโรคไวรัสโคโรนำ 2019 (COVID - 19) ของส ำนักงำน กศน. จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) เมื่อเดือนธันวาคม 2562 ส่งผลกระทบต่อระบบการจัดการเรียนการสอนของไทยในทุกระดับชั้น ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกประกาศและมีมาตรการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสดังกล่าว อาทิ ก าหนดให้มี การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ห้ามการใช้อาคารสถานที่ของโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ทุกประเภท เพื่อจัดการเรียนการสอน การสอบ ฝึกอบรม หรือการท ากิจกรรมใด ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมเป็นจ านวนมาก การปิดสถานศึกษาด้วยเหตุพิเศษ การก าหนดให้ใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ อาทิ การจัดการเรียนรู้แบบออนไลน์ การจัดการเรียนรู้ผ่านระบบการออกอากาศทางโทรทัศน์ วิทยุ และโซเซียลมีเดีย ต่าง ๆ รวมถึงการสื่อสารแบบทางไกลหรือด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ ในส่วนของส านักงาน กศน. ได้มีการพัฒนา ปรับรูปแบบ กระบวนการ และวิธีการด าเนินงาน ในภารกิจต่อเนื่องต่าง ๆ ในสถานการณ์การใช้ชีวิตประจ าวัน และการจัดการเรียนรู้เพื่อรองรับการชีวิต แบบปกติวิถีใหม่ (New Normal) ซึ่งกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ให้ความส าคัญกับการด าเนินงานตามมาตรการ การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) อาทิ การจัดกิจกรรม การเรียนรู้ทุกประเภท หากมีความจ าเป็นต้องมาพบกลุ่ม หรืออบรมสัมมนา ทางสถานศึกษาต้องมีมาตรการ ป้องกันที่เข้มงวด มีเจลแอลกอฮอลล้างมือ ผู้รับบริการต้องใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ต้องมีการเว้น ระยะห่างระหว่างบุคคลเน้นการใช้สื่อดิจิทัลและเทคโนโลยีออนไลน์ในการจัดการเรียนการสอน ภำรกิจต่อเนื่อง 1. ด้ำนกำรจัดกำรศึกษำและกำรเรียนรู้ 1.1 กำรศึกษำนอกระบบระดับกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน 1) สนับสนุนการจัดการศึกษานอกระบบตั้งแต่ปฐมวัยจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยด าเนินการให้ผู้เรียนได้รับการสนับสนุนค่าจัดซื้อหนังสือเรียน ค่าจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และ ค่าจัดการเรียนการสอนอย่างทั่วถึงและเพียงพอเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพโดยไม่ เสียค่าใช้จ่าย 2) จัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้กับกลุ่มเป้าหมายผู้ด้อย พลาด และขาดโอกาสทางการศึกษา ผ่านการเรียนแบบเรียนรู้ด้วยตนเอง การพบกลุ่ม การเรียนแบบชั้นเรียน และการจัด การศึกษาทางไกล 3) พัฒนาประสิทธิภาพ คุณภาพ และมาตรฐานการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ทั้งด้านหลักสูตรรูปแบบ/กระบวนการเรียนการสอน สื่อและนวัตกรรม ระบบการวัดและประเมินผล การเรียน และระบบการให้บริการนักศึกษาในรูปแบบอื่น ๆ 4) จัดให้มีการประเมินเพื่อเทียบระดับการศึกษา และการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ ที่มีความโปร่งใส ยุติธรรม ตรวจสอบได้ มีมาตรฐานตามที่ก าหนด และสามารถตอบสนองความต้องการ ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5) จัดให้มีกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนที่มีคุณภาพที่ผู้เรียนต้องเรียนรู้และเข้าร่วมปฏิบัติ กิจกรรม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการจบหลักสูตร อาทิ กิจกรรมเสริมสร้างความสามัคคี กิจกรรมเกี่ยวกับการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดการแข่งขันกีฬา การบ าเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างต่อเนื่อง การส่งเสริมการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี
10 และยุวกาชาด กิจกรรมจิตอาสา และการจัดตั้งชมรม/ชุมนุม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนน ากิจกรรมการบ าเพ็ญ ประโยชน์อื่น ๆ นอกหลักสูตรมาใช้เพิ่มชั่วโมงกิจกรรมให้ผู้เรียนจบตามหลักสูตรได้ 1.2 กำรส่งเสริมกำรรู้หนังสือ 1) พัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ไม่รู้หนังสือ ให้มีความครบถ้วน ถูกต้อง ทันสมัยและเป็นระบบ เดียวกันทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค 2) พัฒนาและปรับปรุงหลักสูตร สื่อ แบบเรียนเครื่องมือวัดผลและเครื่องมือการด าเนินงานการ ส่งเสริมการรู้หนังสือที่สอดคล้องกับสภาพและบริบทของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย 3) พัฒนาครู กศน. และภาคีเครือข่ายที่ร่วมจัดการศึกษา ให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะ การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้ไม่รู้หนังสืออย่างมีประสิทธิภาพ และอาจจัดให้มีอาสาสมัครส่งเสริมการรู้หนังสือ ในพื้นที่ที่มีความต้องการจ าเป็นเป็นพิเศษ 4) ส่งเสริม สนับสนุนให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมส่งเสริมการรู้หนังสือ การคงสภาพการรู้หนังสือ การพัฒนาทักษะการรู้หนังสือให้กับประชาชนเพื่อเป็นเครื่องมือในการศึกษาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ของประชาชน 1.3 กำรศึกษำต่อเนื่อง 1) จัดการศึกษาอาชีพเพื่อการมีงานท าอย่างยั่งยืน โดยให้ความส าคัญกับการจัดการศึกษาอาชีพ เพื่อการมีงานท าในกลุ่มอาชีพเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม คหกรรม และอาชีพเฉพาะทางหรือการ บริการ รวมถึงการเน้นอาชีพช่างพื้นฐาน ที่สอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียน ความต้องการและศักยภาพของแต่ละ พื้นที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงาน และการพัฒนาประเทศ ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งให้กับศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน โดยจัดให้มีการส่งเสริมการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน การ พัฒนาหนึ่งต าบลหนึ่งอาชีพเด่น การประกวดสินค้าดีพรีเมี่ยม การสร้างแบรนด์ของ กศน. รวมถึงการส่งเสริมและ จัดหาช่องทางการจ าหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ และให้มีการก ากับ ติดตาม และรายงานผลการจัดการศึกษาอาชีพ เพื่อการมีงานท าอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง 2) จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตให้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะคนพิการ ผู้สูงอายุ ที่สอดคล้องกับความต้องการจ าเป็นของแต่ละบุคคล และมุ่งเน้นให้ทุกกลุ่มเป้าหมายมีทักษะการด ารงชีวิต ตลอดจนสามารถประกอบอาชีพพึ่งพาตนเองได้มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการชีวิตของตนเอง ให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขสามารถเผชิญสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจ าวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมพร้อมส าหรับการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของข่าวสารข้อมูลและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในอนาคต โดยจัดกิจกรรมที่มีเนื้อหาส าคัญต่าง ๆ เช่น การอบรมจิตอาสา การให้ความรู้เพื่อการป้องการการแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) การอบรมพัฒนาสุขภาพกายและสุขภาพจิต การอบรมคุณธรรมและ จริยธรรม การป้องกันภัยยาเสพติด เพศศึกษา การปลูกฝั่งและการสร้างค่านิยมที่พึงประสงค์ ความปลอดภัยใน ชีวิตและทรัพย์สิน ผ่านการอบรมเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ ค่ายพัฒนาทักษะชีวิต การจัดตั้งชมรม/ชุมนุมการ อบรมส่งเสริมความสามารถพิเศษต่าง ๆ เป็นต้น 3) จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน โดยใช้หลักสูตรและการจัดกระบวนการเรียนรู้ แบบบูรณาการในรูปแบบของการฝึกอบรมการประชุม สัมมนา การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดกิจกรรม จิตอาสา การสร้างชุมชนนักปฏิบัติ และรูปแบบอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และบริบทของชุมชน แต่ละพื้นที่ เคารพความคิดของผู้อื่น ยอมรับความแตกต่างและหลากหลายทางความคิดและอุดมการณ์ รวมทั้ง สังคมพหุวัฒนธรรม โดยจัดกระบวนการให้บุคคลรวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน สร้างกระบวนการจิต สาธารณะ การสร้างจิตส านึกความเป็นประชาธิปไตย การเคารพในสิทธิและเสรีภาพ และรับผิดชอบต่อหน้าที่
11 ความเป็นพลเมืองที่ดีภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การส่งเสริม คุณธรรม จริยธรรม การเป็นจิตอาสา การบ าเพ็ญประโยชน์ในชุมชนการ บริหารจัดการน้ า การรับมือกับ สาธารณภัย การอนุรักษ์พลังงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการพัฒนา สังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน 4) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงผ่านกระบวนการเรียนรู้ตลอด ชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ ให้กับประชาชน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง และมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ตามทิศทางการพัฒนาประเทศสู่ความสมดุลและยั่งยืน 1.4 กำรศึกษำตำมอัธยำศัย 1) พัฒนาแหล่งการเรียนรู้ที่มีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอ่านและพัฒนา ศักยภาพการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและทั่วถึง เช่น การพัฒนา กศน. ต าบล ห้องสมุดประชาชนทุกแห่งให้มีการบริการที่ทันสมัย ส่งเสริมและสนับสนุนอาสาสมัครส่งเสริมการอ่าน การสร้างเครือข่ายส่งเสริมการอ่าน จัดหน่วยบริการห้องสมุดเคลื่อนที่ ห้องสมุดชาวตลาด พร้อมหนังสือและ อุปกรณ์เพื่อจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ที่หลากหลายให้บริการกับประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ อย่าง ทั่วถึง สม่ าเสมอ รวมทั้งเสริมสร้างความพร้อมในด้านบุคลากร สื่ออุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการอ่าน และการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการอ่านอย่างหลากหลายรูปแบบ 2) จัดสร้างและพัฒนาศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ให้เป็นแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตลอดชีวิตของประชาชน เป็นแหล่งสร้างนวัตกรรมฐานวิทยาศาสตร์และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปะวิทยาการ ประจ าท้องถิ่น โดยจัดท าและพัฒนานิทรรศการสื่อและกิจกรรมการศึกษาที่เน้นการเสริมสร้างความรู้และสร้างแรง บันดาลใจด้านวิทยาศาสตร์สอดแทรกวิธีการคิดเชิงวิเคราะห์ การคิดเชิงสร้างสรรค์ และปลูกฝังเจตคติทาง วิทยาศาสตร์ผ่านการกระบวนการเรียนรู้ที่บูรณาการความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ควบคู่กับเทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์รวมทั้งสอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง บริบทของชุมชน และ ประเทศ รวมทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลกเพื่อให้ประชาชนมีความรู้และสามารถน าความรู้และทักษะ ไปประยุกต์ใช้ในการด าเนินชีวิต การพัฒนาอาชีพ การรักษาสิ่งแวดล้อม การบรรเทาปละป้องกันภัยพิบัติ ทางธรรมชาติ รวมทั้งความสามารถในการปรับตัวรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เป็นไป อย่างรวดเร็วและรุนแรง (Disruptive Changes) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) ประสานความร่วมมือหน่วยงาน องค์กร หรือภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีแหล่งเรียนรู้อื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาตามอัธยาศัยให้มีรูปแบบที่หลากหลาย และตอบสนองความต้องการของประชาชน เช่น พิพิธภัณฑ์ศูนย์เรียนรู้ แหล่งโบราณคดี วัด ศาสนาสถาน ห้องสมุด รวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น 2. ด้ำนหลักสูตร สื่อรูปแบบกำรจัดกระบวนกำรเรียนรู้ กำรวัดและประเมินผลงำนบริกำรทำงวิชำกำร และกำร ประกันคุณภำพกำรศึกษำ 2.1 ส่งเสริมกำรพัฒนำหลักสูตร รูปแบบกำรจัดกระบวนกำรเรียนรู้และกิจกรรม เพื่อส่งเสริมการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่หลากหลาย ทันสมัย รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ และ หลักสูตรท้องถิ่นที่สอดคล้องกับสภาพบริบทของพื้นที่และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและชุมชน 2.2 ส่งเสริมกำรพัฒนำสื่อแบบเรียน สื่ออิเล็กทรอนิกส์และสื่ออื่น ๆ ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ของผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายทั่วไปและกลุ่มเป้าหมายพิเศษ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา
12 2.3 พัฒนำรูปแบบกำรจัดกำรศึกษำทำงไกลให้มีควำมทันสมัย หลากหลายช่องทางการเรียนรู้ ด้วยระบบห้องเรียนและการควบคุมการสอบรูปแบบออนไลน์ 2.4 พัฒนำระบบกำรประเมินเพื่อเทียบระดับกำรศึกษำ และกำรเทียบโอนควำมรู้และประสบกำรณ์ เพื่อให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง มีการประชาสัมพันธ์ให้สาธารณชนได้รับรู้และสามารถเข้าถึงระบบการประเมินได้ 2.5 พัฒนำระบบกำรวัดและประเมินผลกำรศึกษำนอกระบบทุกหลักสูตร โดยเฉพาะหลักสูตร ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ได้มาตรฐานโดยการน าแบบทดสอบกลาง และระบบการสอบอิเล็กทรอนิกส์(eExam) มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.6 ส่งเสริมและสนับสนุนกำรศึกษำวิจัย เพื่อพัฒนาหลักสูตร รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ การวัด และประเมินผล และเผยแพร่รูปแบบการจัด ส่งเสริม และสนับสนุนการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย รวมทั้งให้มีการน าไปสู่การปฏิบัติอย่างกว้างขวางและมีการพัฒนาให้เหมาะสม กับบริบทอย่างต่อเนื่อง 2.7 พัฒนำระบบประกันคุณภำพภำยในสถำนศึกษำให้ได้มำตรฐำน มีการพัฒนาระบบการประกัน คุณภาพภายในที่สอดคล้องกับบริบทและภารกิจของ กศน. มากขึ้น เพื่อพร้อมรับการประเมินคุณภาพภายนอก โดยพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความเข้าใจ ตระหนักถึงความส าคัญของระบบการประกันคุณภาพ และสามารถ ด าเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาได้อย่างต่อเนื่องโดยใช้การประเมินภายใน ด้วยตนเอง และจัดให้มีระบบสถานศึกษาพี่เลี้ยงเข้าไปสนับสนุนอย่างใกล้ชิด ส าหรับสถานศึกษาที่ยังไม่ได้เข้ารับ การประเมินคุณภาพภายนอก ให้พัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานที่ก าหนด 3. ด้ำนเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ 3.1 ผลิตและพัฒนำรำยกำรวิทยุและรำยกำรโทรทัศน์เพื่อกำรศึกษำ เพื่อให้เชื่อมโยงและตอบสนองต่อ การจัดกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยของสถานศึกษาเพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษา ส าหรับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ให้มีทางเลือกในการเรียนรู้ที่หลากหลายและมีคุณภาพ สามารถพัฒนาตนเองให้รู้เท่า ทันสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร เช่น รายการพัฒนาอาชีพ เพื่อการมีงานท า รายการติวเข้มเติมเต็มความรู้รายการ รายการท ากินก็ได้ ท าขายก็ดี ฯลฯ เผยแพร่ทางสถานีวิทยุ ศึกษา สถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ (ETV) และทางอินเทอร์เน็ต 3.2 พัฒนำกำรเผยแพร่กำรจัดกำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศัย โดยผ่านระบบ เทคโนโลยีดิจิทัล และช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Youtube Facebook หรือ Application อื่น ๆ เพื่อส่งเสริมให้ ครู กศน. น าเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Do It Yourself : DIY) 3.3 พัฒนำสถำนีวิทยุศึกษำและสถำนีโทรทัศน์เพื่อกำรศึกษำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการ ออกอากาศให้กลุ่มเป้าหมายสามารถใช้เป็นช่องทางการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยขยายเครือข่ายการรับฟังให้สามารถรับฟังได้ทุกที่ ทุกเวลา ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศและเพิ่มช่องทาง ให้สามารถรับชมรายการโทรทัศน์ได้ทั้งระบบ Ku - Band C - Band Digital TV และทางอินเทอร์เน็ต พร้อมที่จะ รองรับการพัฒนาเป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษาสาธารณะ (Free ETV)
13 3.4 พัฒนำระบบกำรให้บริกำรสื่อเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ เพื่อให้ได้หลายช่องทางทั้งทาง อินเทอร์เน็ต และรูปแบบอื่น ๆ อาทิ Application บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ Tablet รวมทั้งสื่อ Offline ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเลือกใช้บริการเพื่อเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ได้ตาม ความต้องการ 3.5 ส ำรวจ วิจัย ติดตำมประเมินผลด้ำนกำรใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำอย่ำงต่อเนื่อง เพื่อน าผลมาใช้ในการพัฒนางานให้มีความถูกต้อง ทันสมัยและสามารถส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ ตลอดชีวิตของประชาชนได้อย่างแท้จริง 4. ด้ำนโครงกำรอันเนื่องมำจำกพระรำชด ำริ หรือโครงกำรอันเกี่ยวเนื่องจำกรำชวงศ์ 4.1 ส่งเสริมและสนับสนุนกำรด ำเนินงำนโครงกำรอันเนื่องมำจำกพระรำชด ำริหรือโครงกำร อันเกี่ยวเนื่องจำกรำชวงศ์ 4.2 จัดท ำฐำนข้อมูลโครงกำรและกิจกรรมของ กศน.ที่สนองงำนโครงกำรอันเนื่องมำจำก พระรำชด ำริหรือโครงกำรอันเกี่ยวเนื่องจำกรำชวงศ์เพื่อน าไปใช้ในการวางแผน การติดตามประเมินผล และการพัฒนางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4.3 ส่งเสริมกำรสร้ำงเครือข่ำยกำรด ำเนินงำน เพื่อสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชด าริ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 4.4 พัฒนำศูนย์ศูนย์กำรเรียนชุมชนชำวไทยภูเขำ “แม่ฟ้ำหลวง” เพื่อให้มีความพร้อมในการจัด การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยตามบทบาทหน้าที่ที่ก าหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ 4.5 จัดและส่งเสริมกำรเรียนรู้ตลอดชีวิตให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชำชนบนพื้นที่สูง ถิ่นทุรกันดาร และพื้นที่ชายขอบ 5. ด้ำนกำรศึกษำในจังหวัดชำยแดนภำคใต้ พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษและพื้นที่บริเวณ ชำยแดน 5.1 พัฒนำกำรจัดกำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศัยในจังหวัดชำยแดนภำคใต้ 1) จัดและพัฒนาหลักสูตร และกิจกรรมส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ที่ตอบสนองปัญหา และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายรวมทั้งอัตลักษณ์และความเป็นพหุวัฒนธรรมของพื้นที่ 2) พัฒนาคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้เรียนสามารถน าความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ได้จริง 3) ให้หน่วยงานและสถานศึกษาจัดให้มีมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยแก่บุคลากรและ นักศึกษา กศน.ตลอดจนผู้มาใช้บริการอย่างทั่วถึง 5.2 พัฒนำกำรจัดกำรศึกษำแบบบูรณำกำรในเขตพัฒนำเศรษฐกิจพิเศษ 1) ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดท าแผนการศึกษาตามยุทธศาสตร์ และบริบทของแต่ละจังหวัดในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 2) จัดท าหลักสูตรการศึกษาตามบริบทของพื้นที่ โดยเน้นสาขาที่เป็นความต้องการของตลาด ให้เกิดการพัฒนาอาชีพได้ตรงตามความต้องการของพื้นที่
14 5.3 จัดกำรศึกษำเพื่อควำมมั่นคงของศูนย์ฝึกและพัฒนำอำชีพรำษฎรไทยบริเวณชำยแดน (ศฝช.) 1) พัฒนำศูนย์ฝึกและพัฒนำอำชีพรำษฎรไทยบริเวณชำยแดน เพื่อให้เป็นศูนย์ฝึกและสาธิต การประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม และศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบการจัดกิจกรรมตามแนวพระราชด าริปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ส าหรับประชาชนตามแนวชายแดนด้วยวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย 2) มุ่งจัดและพัฒนำกำรศึกษำอำชีพโดยใช้วิธีกำรหลำกหลำยใช้รูปแบบเชิงรุก เพื่อการเข้าถึง กลุ่มเป้าหมาย เช่น การจัดมหกรรมอาชีพ การประสานความร่มมือกับเครือข่าย การจัดอบรมแกนน าด้านอาชีพที่ เน้นเรื่องเกษตรธรรมชาติที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชนชายแดน ให้แก่ประชาชนตามแนวชายแดน 6. ด้ำนบุคลำกรระบบกำรบริหำรจัดกำร และกำรมีส่วนร่วมของทุกภำคส่วน 6.1 กำรพัฒนำบุคลำกร 1) พัฒนาบุคลากรทุกระดับทุกประเภทให้มีสมรรถนะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งก่อนและระหว่าง การด ารงต าแหน่งเพื่อให้มีเจตคติที่ดีในการปฏิบัติงานให้มีความรู้และทักษะตามมาตรฐานต าแหน่ง ให้ตรงกับสายงานความช านาญ และความต้องการของบุคลากรสามารถปฏิบัติงานและบริหารจัดการ การด าเนินงานของหน่วยงานและสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งส่งเสริมให้ข้าราชการในสังกัดพัฒนา ตนเองเพื่อเลื่อนต าแหน่งหรือเลื่อนวิทยฐานะโดยเน้นการประเมินวิทยฐานะเชิงประจักษ์ 2) พัฒนาศึกษานิเทศก์ กศน. ให้มีสมรรถนะที่จ าเป็นครบถ้วน มีความเป็นมืออาชีพ สามารถ ปฏิบัติการนิเทศได้อย่างมีศักยภาพ เพื่อร่วมยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยในสถานศึกษา 3) พัฒนาหัวหน้า กศน.ต าบล/แขวงให้มีสมรรถนะสูงขึ้น เพื่อการบริหารจัดการ กศน.ต าบล/ แขวงและการปฏิบัติงานตามบทบาทภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการเป็นนักจัดการความรู้และ ผู้อ านวยความสะดวกในการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง 4) พัฒนาครู กศน. และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาให้สามารถจัดรูปแบบ การเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพโดยส่งเสริมให้มีความรู้ความสามารถในการจัดท าแผนการสอน การจัดกระบวนการ เรียนรู้ การวัดและประเมินผล และการวิจัยเบื้องต้น 5) พัฒนาศักยภาพบุคลากร ที่รับผิดชอบการบริการการศึกษาและการเรียนรู้ ให้มีความรู้ ความสามารถและมีความเป็นมืออาชีพในการจัดบริการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน 6) ส่งเสริมให้คณะกรรมการ กศน. ทุกระดับ และคณะกรรมการสถานศึกษา มีส่วนร่วม ในการบริหารการด าเนินงานตามบทบาทภารกิจของ กศน.อย่างมีประสิทธิภาพ 7) พัฒนาอาสาสมัคร กศน. ให้สามารถท าหน้าที่สนับสนุนการจัดการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ 8) พัฒนาสมรรถนะและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรรวมทั้งภาคีเครือข่ายทั้งใน และต่างประเทศในทุกระดับ โดยจัดให้มีกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างสัมพันธภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการท างาน ร่วมกันในรูปแบบที่หลากหลายอย่างต่อเนื่องอาทิการแข่งขันกีฬา การอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาประสิทธิภาพใน การท างาน 6.2 กำรพัฒนำโครงสร้ำงพื้นฐำนและอัตรำก ำลัง 1) จัดท าแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด าเนินการปรับปรึงสถานที่และวัสดุอุปกรณ์ ให้มี ความพร้อมในการจัดการศึกษาและการเรียนรู้
15 2) สรรหา บรรจุ แต่งตั้ง และบริหารอัตราก าลังที่มีอยู่ทั้งในส่วนที่เป็นข้าราชการ พนักงาน ราชการ และลูกจ้าง ให้เป็นไปตามโครงสร้างการบริหารและกรอบอัตราก าลัง รวมทั้งรองรับกับบทบาทภารกิจ ตามที่ก าหนดไว้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติงาน 3) แสวงหาความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการระดมทรัพยากรเพื่อน ามาใช้ ในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้มีความพร้อมส าหรับด าเนินกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัย และการส่งเสริมการเรียนรู้ส าหรับประชาชน 6.3 กำรพัฒนำระบบบริหำรจัดกำร 1) พัฒนาระบบฐานข้อมูลให้มีความครบถ้วน ถูกต้อง ทันสมัย และเชื่อมโยงกันทั่วประเทศ อย่างเป็นระบบเพื่อให้หน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัดสามารถน าไปใช้เป็นเครื่องมือส าคัญในการบริหาร การวางแผน การปฏิบัติงาน การติดตามประเมินผล รวมทั้งจัดบริการการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยอย่างมีประสิทธิภาพ 2) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการงบประมาณ โดยพัฒนาระบบการก ากับ ควบคุม และ เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นตามเป้าหมายที่ก าหนดไว้ 3) พัฒนาระบบฐานข้อมูลรวมของนักศึกษา กศน. ให้มีความครบถ้วน ถูกต้อง ทันสมัย และ เชื่อมโยงกันทั่วประเทศ สามารถสืบค้นและสอบทานได้ทันความต้องการเพื่อประโยชน์ในการจัดการศึกษาให้กับ ผู้เรียนและการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ 4) ส่งเสริมให้มีการจัดการความรู้ในหน่วยงานและสถานศึกษาทุกระดับ รวมทั้งการศึกษาวิจัย เพื่อสามารถน ามาใช้ในการพัฒนาประสิทธิภาพการด าเนินงานที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และชุมชนพร้อมทั้งพัฒนาขีดความสามารถเชิงการแข่งขันของหน่วยงานและสถานศึกษา 5) สร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคมทั้งใน ประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อสร้างความเข้าใจ และให้เกิด ความร่วมมือในการส่งเสริม สนับสนุน และจัดการศึกษาและการเรียนรู้ให้กับประชาชนอย่างมีคุณภาพ 6) ส่งเสริมการใช้ระบบส านักงานอิเล็กทรอนิกส์ (e -office) ในการบริหารจัดการ เช่น ระบบการ ลา ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการขอใช้รถราชการ ระบบการขอใช้ห้องประชุม เป็นต้น 7) พัฒนาและปรับระบบวิธีการปฏิบัติราชการให้ทันสมัย มีความโปร่งใส ปลอดการทุจริต และประพฤติมิชอบ บริหารจัดการบนข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ มุ่งผลสัมฤทธิ์มีความโปร่งใส 6.4 กำรก ำกับ นิเทศติดตำมประเมิน และรำยงำนผล 1) สร้างกลไกการก ากับ นิเทศ ติดตาม ประเมิน และรายงานผลการด าเนินงานการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้เชื่อมโยงกับหน่วยงาน สถานศึกษา และภาคีเครือข่ายทั้งระบบ 2) ให้หน่วยงานและสถานศึกษาที่เกี่ยวข้องทุกระดับ พัฒนาระบบกลไกการก ากับ ติดตามและ รายงานผลการน านโยบายสู่การปฏิบัติ ให้สามารถตอบสนองการด าเนินงานตามนโยบายในแต่ละเรื่องได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 3) ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสื่ออื่น ๆ ที่เหมาะสม เพื่อการก ากับ นิเทศ ติดตาม ประเมินผล และรายงานผลอย่างมีประสิทธิภาพ 4) พัฒนากลไกการติดตามประเมินผลการปฏิบัติราชการตามค ารับรองการปฏิบัติราชการ ประจ าปีของหน่วยงาน สถานศึกษา เพื่อการรายงานผลตามตัวชี้วัดในค ารับรองการปฏิบัติราชการประจ าปี ของ ส านักงาน กศน. ให้ด าเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่ก าหนด
16 5) ให้มีการเชื่อมโยงระบบการนิเทศในทุกระดับ ทั้งหน่วยงานภายในและภายนอกองค์กร ตั้งแต่ ส่วนกลาง ภูมิภาค กลุ่มจังหวัด จังหวัด อ าเภอ/เขต และต าบล/แขวง เพื่อความเป็นเอกภาพในการใช้ข้อมูลและ การพัฒนางานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย แนวทำง/กลยุทธ์กำรด ำเนินงำน ของ กศน.อ ำเภอสัตหีบ ประจ ำปีงบประมำณ พ.ศ.2564 ปรัชญำ คิดเป็น ท าเป็น เน้นคุณธรรม วิสัยทัศน์ “ภายในปี 2565 ผู้เรียน/ผู้รับบริการ ของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอ าเภอสัต หีบ มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ใช้แหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญา สื่อเทคโนโลยี ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยเครือข่ายมีส่วนร่วม” อัตลักษณ์ “เท่าทันเทคโนโลยี” ความหมาย การใช้เทคโนโลยี ในการเรียนรู้และการด ารงชีวิตได้อย่างถูกต้อง เอกลักษณ์ “องค์กร ออนไลน์” หมายถึง สถานศึกษาใช้เทคโนโลยีในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการบริหารงานภายในองค์กร พันธกิจ 1. ออกแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับหลักสูตร 2. จัดระบบสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้และการบริหารการศึกษา 3. พัฒนาบุคลากรด้านการออกแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้/สื่อ/การประเมินผล 4. ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายและชุมชนในการจัดกิจกรรมการศึกษา เป้ำประสงค์ 1. ใช้สื่อเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ 2. จัดการเรียนรู้ร่วมกับเครือข่าย
17 กลยุทธ์ กลยุทธ์ วัตถุประสงค์ 1. พัฒนาคุณภาพผู้เรียน 1. เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรมค่านิยมอันพึงประสงค์ 2. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะและความสามารถในการแสวงหาความรู้ 3. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะและความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ 4. เพื่อให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาตามนโยบายสถานศึกษา 5. เพื่อให้ผู้เรียนการศึกษาต่อเนื่องน าความรู้ไปใช้ได้ 6. เพื่อให้ผู้เรียนการศึกษาเศรษฐกิจพอเพียงสามารถน าความรู้ไปใช้ได้ 7. เพื่อให้ผู้เรียนการศึกษาดิจิทัลชุมชนสามารถน าความรู้ไปใช้ได้ 8. เพื่อให้ผู้รับบริการการศึกษาตามอัธยาศัยน าความรู้ไปใช้ได้ 9. เพื่อให้ผู้เรียน/ผู้รับบริการสามารถเข้าถึงข้อมูลจากระบบสารสนเทศและสามารถน า ความรู้ไปใช้พัฒนาตนเองได้ 2. พัฒนาบุคลาการ 1. เพื่อให้บุคลากรมีความรู้และทักษะด้านการออกแบบการจัดกระบวนการเรียนการสอน 2. เพื่อให้บุคลากรมีความรู้และทักษะด้านการออกแบบสื่อการเรียนการสอน 3. เพื่อให้บุคลากรมีความรู้และทักษะด้านวิธีการประเมินผลที่มีคุณภาพ 3.บริหารการจัดการสถานศึกษา 1. เพื่อจัดระบบสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้และการบริหารสถานศึกษา 4.ภาคีเครือข่ายร่วมจัดกิจกรรม 1. เพื่อให้เครือข่ายมีส่วนร่วมส่งเสริมสนับสนุนและร่วมจัดการจัดกิจกรรมการศึกษา ผลการวิเคราะห์ SWOT (Swot Analysis) ของ กศน.อ าเภอสัตหีบ S = จุดแข็ง 1. ด้านอาคารสถานที่ตั้งอยู่ในเขตชุมชนเมือง สะดวกในการติดต่อ 2. ด้านบุคลากรมีจ านวนเพียงพอต่อการปฏิบัติงาน 3. มีระบบการจัดเก็บและสืบค้นข้อมูลที่ทันสมัยสามารถสืบค้นข้อมูลทางเวปไซด์ได้ W = จุดอ่อน 1. สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ ไม่เพียงพอต่อการด าเนินงานและการบริการ 2. ระบบสารสนเทศ เทคโนโลยี อินเตอร์เน็ต wifi ไม่เพียงพอต่อการด าเนินงานและการบริการประชาชน และนักศึกษา 3. สถานที่คับแคบ ไม่เหมาะสมกับการจัดกิจกรรมขนาดใหญ่ O = โอกาส 1. ได้รับความร่วมมือกบภาคีเครือข่ายเป็นอย่างดี 2. ได้รับการยอมรับจากชุมชนและหน่วยงานอื่นๆ 3. มีแหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่โดดเด่นจากเศรษฐกิจพอเพียง 4. มีกรอบแนวทางการด าเนินงานที่ชัดเจน T = อุปสรรค 1. สถานที่ 2. นักศึกษาไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้บ่อยครั้ง 3. ผู้เรียนไม่ค่อยพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง 4. การจัดสรรงบประมาณจากหน่วยงานล่าช้า
18 นโยบำยและจุดเน้นของ กศน.อ ำเภอสัตหีบ ตัวชี้วัด 1. จ านวนผู้เรียนการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายตามสิทธิที่ก าหนด ไว้ 2. จ านวนของคนไทยกลุ่มเป้าหมายต่างๆ (กลุ่มเป้าหมายทั่วไป กลุ่มเป้าหมายพิเศษ และกลุ่มคนไทยทั่วไป เป็น ต้น) ที่เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้/ได้รับบริการกิจกรรมการศึกษาต่อเนื่อง และการศึกษาตามอัธยาศัยที่สอดคล้อง กับสภาพ ปัญหา และความต้องการ 3. ร้อยละผู้จบหลักสูตร/กิจกรรมการศึกษานอกระบบสามารถน าความรู้ความเข้าใจไปใช้ได้ตามจุดมุ่งหมายของ หลักสูตร/กิจกรรมที่ก าหนด 4. จ านวนแหล่งเรียนรู้ในระดับต าบลที่มีความพร้อมในการให้บริการการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย 5. จ านวนประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่เข้ารับการฝึกอาชีพ เห็นช่องทางในการประกอบอาชีพ 6. ร้อยละของผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่สามารถอ่านออกเขียนได้และคิดเลขเป็นตามจุดมุ่งหมายของกิจกรรม 7. ร้อยละของประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับบริการเข้าร่วมกิจกรรมแหล่งเรียนรู้ตามอัธยาศัย มีความรู้ความเข้าใจ เจตคติทักษะตามจุดมุ่งหมายของกิจกรรมที่ก าหนด 8. จ านวนผู้ดูแลประชาชนที่ผ่านการอบรมตามหลักสูตรที่ก าหนด 9. จ านวนองค์กรภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ที่ร่วมเป็นภาคีเครือข่ายในการด าเนินงานการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 10. จ านวนนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่เข้าถึงบริการการเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ในรูปแบบ 11. จ านวน/ประเภทของสื่อ และเทคโนโลยีทางการศึกษาที่มีการจัดท า/พัฒนาและน าไปใช้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ของผู้เรียน/ผู้รับบริการการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย 12. จ านวนนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่เข้าถึงบริการความรู้นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ผ่านช่องทางสื่อเทคโนโลยีทางการศึกษา และเทคโนโลยีการสื่อสาร 13. ร้อยละของนักศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ได้รับบริการติวเข้มเต็มความรู้เพิ่มสูงขึ้น 14. จ านวนบุคลากรของหน่วยงานและสถานศึกษาได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการปฏิบัติงานการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 15. ร้อยละของสถานศึกษาในสังกัดที่มีระบบประกันคุณภาพภายในและมีการจัดท ารายงานการประเมินตนเอง 16. ร้อยละของหน่วยงาน และสถานศึกษา กศน. ที่มีการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการ จัดท าฐานข้อมูลชุมชนและการบริหารจัดการ เพื่อสนับสนุนการด าเนินงานการศึกษานอกระบบ และการศึกษา ตามอัธยาศัยขององค์การ 17. ร้อยละของหน่วยงาน และสถานศึกษา กศน. ที่สามารถด าเนินงานโครงการ/กิจกรรมตามบทบาทภารกิจที่ รับผิดชอบได้ส าเร็จตามเป้าหมายที่ก าหนดไว้อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้โดยใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า/ตามแผนที่ ก าหนดไว้
19 ทิศทำงกำรพัฒนำและโอกำสของ กศน.ต ำบลสัตหีบ 1. กำรพัฒนำชุมชนต ำบลสัตหีบตำมหลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง ชุมชนต าบลสัตหีบ ประชากรในพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพที่หลากหลาย เช่น ท าประมง ค้าขาย รับจ้าง ทั่วไป พนักงานบริษัทเอกชนเนื่องจากอยู่ใกล้เขตใกล้โรงแรม และ อาชีพเกษตรกรเนื่องจากเป็นพื้นที่ราบลุ่มภูเขา ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ทิศทางการพัฒนาชุมชนที่เหมาะสมและมีความยั่งยืนคือการใช้แนวคิด ทิศทางการพัฒนา ประเทศสู่ความยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงโดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ใน ชุมชนอย่างเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และวิถีการด าเนินชีวิตในประจ าวันของคนในชุมชนเป็น 6 ทุน ได้แก่ ทุนมนุษย์ ทุนสังคม ทุนกายภาพ ทุนทางการเงิน ทุนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และทุนวัฒนธรรมมาใช้ ประโยชน์อย่างบูรณาการและเกื้อกูลกัน โดยเฉพาะการสร้างฐานทางปัญญา เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันให้กับคนในสังคม ภาคเกษตร รวมทั้งการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างระบบ ธรรมาภิบาลและความสมานฉันท์ในชุมชน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ต าบลสัตหีบและชุมชนใกล้เคียงอยู่ร่วมกันใน สังคมอย่างมีความสุขและเป็นธรรม 2. กำรส่งเสริมกำรเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชนต ำบลสัตหีบ กศน.ต าบลสัตหีบ มุ่งเน้นให้ประชาชนในพื้นที่ได้เรียนรู้ ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ โดยพัฒนาคุณภาพ การศึกษาและการเรียนรู้ อย่างเป็นระบบโดยใช้ ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนมาช่วยในการจัดการศึกษาเพิ่มโอกาส ทางการศึกษาและการเรียนรู้จากการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในชุมชนเพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายได้ เรียนรู้ ตลอดชีวิตด้านการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัยอย่างมีคุณภาพมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ เป็นคนเก่ง คนดี มีความสุข มีความรู้ ความช านาญด้านทักษะการประกอบอาชีพมีคุณธรรมจริยธรรมใฝ่เรียนรู้ และแสวงหาความรู้ อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ด ารงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีความสุข มีสุขภาพทั้งกายและใจที่สมบูรณ์สามารถประกอบอาชีพและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 3. กำรจัดกำรศึกษำเพื่อส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมในท้องถิ่นธรรม กศน.ต าบลสัตหีบ มุ่งเน้นให้ประชาชนในพื้นที่ศึกษาเรียนรู้ด้านท านุบ ารุงศาสนาศิลปะและวัฒนธรรมใน ท้องถิ่นดังนี้ 3.1 จัดให้มีการศึกษาและการเรียนรู้ ทางเลือกตามความสนใจของผู้เรียนและกลุ่มเป้าหมาย 3.2 สนับสนุนการศึกษาให้สอดคล้องกับความจ าเป็นของผู้เรียนโดยน าแนวทางการใช้คูปองการศึกษาเพื่อ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยมาปรับใช้กับการจัดการศึกษาของ กศน.ต าบลสัตหีบ 3.3 ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต าบลสัตหีบ ก านัน ผู้ใหญ่บ้านและประชาชน ทั่วไปจัดการการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและทั่วถึง 3.4 จัดการศึกษาให้กับทุกกลุ่มเป้าหมายโดยส่งเสริมการเรียนรู้ ตลอดชีวิตโดยเน้นความร่วมมือระหว่าง ผู้เกี่ยวข้อง 3.5 พัฒนาตนเองให้มีคุณภาพและมีจิตวิญญาณของความเป็นครู 3.6 สนับสนุนการมีส่วนร่วมกับองค์กรทางศาสนาในชุมชน เพื่อการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม การสร้าง สันติสุขค่านิยมไทย 12 ประการและจัด กิจกรรมส่งเสริมความปรองดองสมานฉันท์ในชุมชนอย่างยั่งยืน 3.7 สนับสนุนภาคีเครือข่าย ประชาชนในพื้นที่ให้มีการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรม ภาษาไทย และภาษาถิ่น ภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อ การเรียนรู้ การสร้างจิตส านึกความเป็นไทยและการเพิ่มมูลค่าทาง เศรษฐกิจให้แก่คนในชุมชน 3.8 สนับสนุนการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ วัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้านและวัฒนธรรมสากล ตลอดจนส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่นในชุมชน
20 3.9 ปลูกฝังค่านิยมและจิตส านึกดีให้เยาวชนและประชาชนพื้นที่ ได้มีโอกาสแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ตัวชี้วัดควำมส ำเร็จตำมยุทธศำสตร์ และจุดเน้น กศน.ต ำบลสัตหีบ 1. จ านวนกลุ่มเป้าหมายในต าบลสัตหีบมี ผู้ด้อย พลาด และขาดโอกาสทางการศึกษาที่ได้รับบริการ การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมีจ านวนเพิ่ม 2. จ านวนประชากรกลุ่มเป้าหมายในต าบลสัตหีบที่เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้/ได้รับบริการกิจกรรม การศึกษาต่อเนื่อง และการศึกษาตามอัธยาศัยที่สอดคล้องกับสภาพ ปัญหา และความต้องการได้โดยทั่วถึง 3. ร้อยละของผู้เรียนและผู้รับบริการในต าบลสัตหีบที่มีผลสัมฤทธิ์ตามจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ของแต่ละ หลักสูตร/กิจกรรมเพิ่มขึ้น 4. ร้อยละของผู้ไม่รู้หนังสือในต าบลสัตหีบที่ผ่านการประเมินการรู้หนังสือตามหลักสูตรส่งเสริมการรู้ หนังสือเพิ่มขึ้น 5. ร้อยละของชุมชนในต าบลสัตหีบที่มีการจัดการความรู้และกระบวนการเรียนรู้อันเป็นผลเนื่องจากการ เข้าร่วมกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเพิ่มขึ้น 6. ร้อยละของชุมชนในต าบลสัตหีบที่ใช้แหล่งการเรียนรู้ชุมชนในการจัดกระบวนการเรียนรู้ในชุมชน เพิ่มขึ้น 7. จ านวนประชาชนกลุ่มเป้าหมายในต าบลสัตหีบที่ได้รับการศึกษาอบรมในหลักสูตรภาษาอังกฤษ และ ภาษากลุ่มประเทศอาเซียนมีจ านวนเพิ่มมากขึ้น 8. ร้อยละของผู้รับการฝึกอบรมในหลักสูตรภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษากลุ่มประเทศอาเซียน และ อาเซียนศึกษาที่ผ่านเกณฑ์การประเมินตามหลักสูตรมีจ านวนเพิ่มมากขึ้น 9. จ านวนกิจกรรม/หลักสูตรที่ใช้กระบวนการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยีที่เหมาะสมเป็น กระบวนการ/สาระในการเรียนรู้ใน กศน.ต าบลสัตหีบมีกิจกรรมที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น 10. จ านวนองค์กรภาคส่วนต่างๆ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ กศน.ต าบลสัตหีบที่ร่วมเป็นภาคีเครือข่ายใน การด าเนินงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยมีจ านวนเพิ่มขึ้น 11. จ านวน/ประเภทของสื่อ และเทคโนโลยีทางการศึกษาที่มีการจัดท า/พัฒนาและน าไปใช้เพื่อส่งเสริม การเรียนรู้ของผู้เรียน/ผู้รับบริการการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยของ กศน.ต าบลสัตหีบมีจ านวน เพิ่มขึ้นหลากหลาย 12. จ านวนนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ กศน.ต าบลสัตหีบที่เข้าถึง บริการความรู้นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยผ่านช่องทางสื่อเทคโนโลยีทางการศึกษา และเทคโนโลยีการ สื่อสารมีจ านวนเพิ่มขึ้น ปัจจัยหลักแหล่งควำมส ำเร็จ กศน.ต ำบลสัตหีบ 1. กศน.ต าบลสัตหีบ ยึดหลักวิชา หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักปรัชญาคิดเป็น หลัก ธรมมาภิบาล และผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการ ทั้งด้านวิชาการงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการ บริหารทั่วไปทั้งภายในกศน.ต าบลสัตหีบ และการท างานร่วมกันกับภาคีเครือข่าย 2. กศน.ต าบลสัตหีบ ใช้ยุทธศาสตร์/กลยุทธ์ในการด าเนินงาน ทั้งที่ยึดพื้นที่ ยึดสภาวะแวดล้อม ยึดกลุ่ม เป้าหมายาและความต้องการยึดประเด็นปัญหาของกลุ่มเป้าหมายหรือประเด็นการพัฒนา ยึดความส าเร็จ และยึด นโยบายเป็นฐาน 3. กศน.ต าบลสัตหีบ การเน้นการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งเครือข่ายเชิงพื้นที่เครือข่าย เชิงภารกิจและการสร้างความเข้มแข็งร่วมมือและความยั่งยืนในการเป็นภาคีเครือข่าย
21 4. กศน.ต าบลสัตหีบ เป็นฐานและสถานีปลายทาง ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยได้รับการพัฒนาให้มีศักยภาพและพร้อมในการปฏิบัติงานตลอดเวลา 5. กศน.ต าบลสัตหีบ ใช้สถานศึกษาเป็นกลไกขับเคลื่อนการบริหารนโยบายในระดับพื้นที่ โดยมี คณะกรรมการสถานศึกษาคณะกรรมการ กศน.ต าบลเป็นผู้เสนอแนะ ก ากับติดตาม นิเทศการด าเนินงานเพื่อให้ สามารถจัดการศึกษาในระดับพื้นฐานได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ 6. กศน.ต าบลสัตหีบ มีข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มตามจุดเน้น มาใช้ในการวางแผนการจัด การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และ ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 7. กศน.ต าบลสัตหีบ มีระบบการนิเทศก ากับติดตามและรายงานผล การปฏิบัติงานและการใช้จ่าย งบประมาณที่สามารถตรวจสอบความก้าวหน้าในการด าเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 8. กศน.ต าบลสัตหีบ มีกลไก/ระบบที่สามารถเชื่อมโยงการท างานระหว่างส่วนราชการและหน่วยงาน ต่างๆ ที่ได้รับมอบหมายจากสถานศึกษาเช่น ระบบ ฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องและการจัดกิจกรรมเพื่อตอบสนอง นโยบายเร่งด่วนหรือ นโยบายเฉพาะที่ได้รับมอบหมายจากสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 9. กศน.ต าบลสัตหีบ มีหน่วยงาน/สถานศึกษารับผิดชอบตัวชี้วัดความส าเร็จ ตามยุทธศาสตร์และจุดเน้นที่ ตรงตามภารกิจอย่างชัดเจนที่ก ากับติดตามและรายงานผลตัวชี้วัดทั้งส่วนกลางระดับจังหวัด และระดับสถานศึกษา อย่างเป็นระบบ จุดเน้นของ กศน.ต ำบลสัตหีบ และภำคีเครือข่ำย 2.1 ผู้บริหารสถานศึกษา ครู บุคลากรทางการศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษา คณะกรรมการ กศน. ต าบล และครู กศน.ต าบล ทุกคน ได้รับการพัฒนาให้มี ศักยภาพและความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจตามบทบาท หน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ 2.2 มีการประสานเชื่อมโยงการท างานตามโครงสร้างภายใน กศน.ต าบลกับภาคีเครือข่ายทั้งในระดับ นโยบายและระดับปฏิบัติอย่างเป็นระบบโดยมีเอกภาพในเชิงนโยบาย และเน้นผลสัมฤทธิ์เป็นเป้าหมาย ความส าเร็จในการท างาน 2.3 กศน.ต าบลมีแผนจุลภาค (Micro Planning) เป็นเครื่องมือในการจัดกิจกรรมหรือออกแบบกิจกรรม การเรียนรู้ ทางการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ โดยมีข้อมูล พื้นฐานที่ส าคัญ ได้แก่ สภาพทางกายภาพของชุมชน ปัญหา/ความต้องการของประชาทางการศึกษา กลุ่มเป้าหมาย แต่ละกลุ่ม แต่ละประเภท แหล่งวิทยากรชุมชน (ทุนมนุษย์ ทุนสังคมกายภาพ และทุกการเงิน) ซึ่งมี การปรับปรุงข้อมูลดังกล่าวให้เป็นปัจจุบันทุกรอปีงบประมาณ จุดเน้นด้ำนผลสัมฤทธิ์ กศน.ต ำบลสัตหีบ 3.1 ประชากรกลุ่มเป้าหมาย อ าเภอสัตหีบ ที่ส าเร็จหลักสูตรหรือร่วมกิจกรรมการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย มีผลสัมฤทธิ์ที่มีคุณภาพ ตรง ตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรหรือกิจกรรมการศึกษา / การเรียนรู้ที่ก าหนดไว้ และสามารถน าความรู้ และประสบการณ์การเรียนรู้โยชน์ได้จริงที่ได้รับไปใช้ 3.2 นักศึกษา/ผู้เรียนที่ส าเร็จหลักสูตรการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย มีคุณธรรม จริยธรรม ยึดค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ ในการด าเนินชีวิตและมีความใฝ่รู้ ใฝ่เรียนอย่างต่อเนื่องตลอด ชีวิต
22 เอกสำรที่เกี่ยวข้อง ประวัติศำสตร์ไทย การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยมักเริ่มนับตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยเป็นต้นมา หากแต่ในอาณาเขตประเทศ ไทยปัจจุบัน พบหลักฐานของมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดถึงห้าแสนปี ตลอดจนหลักฐานของอารยธรรมและรัฐ โบราณเป็นจ านวนมาก ภูมิภาคสุวรรณภูมิเคยถูกชาวมอญ เขมร และมลายูปกครองมาก่อน ต่อมา คนไทยได้สถาปนาอาณาจักร ของตนเอง เช่น อาณาจักรสุโขทัย ไล่เลี่ยกันกับอาณาจักรล้านนา อาณาจักรเชียงแสน และอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองในช่วงเวลาค่อนข้างสั้นประมาณ 200 ปี ก็ถูกผนวกรวมกับอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมั่งคั่ง เป็นศูนย์กลางการค้าระดับนานาชาติสมเด็จพระบรมไตร โลกนาถทรงปฏิรูปการปกครอง ซึ่งบางส่วนใช้สืบมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ ยังทรงตราพระราชก าหนดศักดินา ท าให้อยุธยาเป็นสังคมศักดินา อยุธยาเริ่มติดต่อกับชาติตะวันตกเมื่อ พ.ศ. 2054 หลังโปรตุเกสยึดครองมะละกา หลังจากนั้นใน พ.ศ. 2112 กรุงศรีอยุธยาตกเป็นประเทศราชของราชวงศ์ ตองอูแห่งพม่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพในอีก 15 ปีให้หลัง อาณาจักรอยุธยาเจริญถึงขีด สุดหลังจากนั้น ทั้งความสัมพันธ์กับต่างประเทศก็รุ่งเรืองมากในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อาณาจักร อยุธยาเริ่มเสื่อมลง จนล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงใน พ.ศ. 2310 พระยาตากได้รวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช และย้ายราชธานีมายังกรุงธนบุรีรัชสมัยของพระองค์ถือเป็น ช่วงเวลาของการท าสงครามและการฟื้นฟูความเจริญของชาติอาณาจักรธนบุรีมีพระมหากษัตริย์ปกครองพระองค์ เดียว กินระยะเวลาเพียง 15 ปีแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 กรุงรัตนโกสินทร์ยังเผชิญกับภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้าน กระทั่งรัชกาลที่ 4 การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง ท าให้ชาติตะวันตกหลายชาติเข้ามาท าสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมอีก หลายฉบับ ต่อมา แม้จะมีการยกดินแดนให้ฝรั่งเศสและอังกฤษหลายครั้ง แต่สยามไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของ ชาติตะวันตก กุศโลบายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ท าให้ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดย อยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร อันท าให้สยามได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ และน ามาซึ่งการแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็น ธรรมทั้งหลาย วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตย ท าให้ คณะราษฎรเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้ลงนามเป็นพันธมิตร ทางทหารกับญี่ปุ่น แต่ในช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยได้ด าเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา มีนโยบาย ต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค หลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ในระบอบเผด็จการในทางปฏิบัติอยู่ หลายทศวรรษ ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และมีการสืบทอดอ านาจรัฐบาลทหารผ่าน รัฐประหารหลายสิบครั้ง อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นได้มีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งส าคัญในเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ประชาธิปไตยในประเทศเริ่มมีความมั่นคงยิ่งขึ้น กำรแบ่งยุคสมัย การจัดแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ของไทยนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด ารงราชานุภาพทรง แสดงพระทัศนะไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง "ต านานหนังสือพระราชพงศาวดาร" ใน พระราชพงศาวดารฉบับ พระราชหัตถเลขาเมื่อ พ.ศ. 2457 ถึงการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของไทยไว้ว่า "เรื่องพระราชพงศาวดาร สยาม ควรจัดแบ่งเป็น 3 ยุค คือ เมื่อกรุงสุโขทัยเป็นราชธานียุค 1 เมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานียุค 1 เมื่อกรุง รัตนโกสินทร์เป็นราชธานียุค 1 ซึ่งการล าดับสมัยทางประวัติศาสตร์แบบเส้นตรง (Linear) โดยวางโครงเรื่องผูกกับ
23 ก าเนิดและการล่มสลายของรัฐ กล่าวคือใช้รัฐหรือราชธานีเป็นศูนย์กลางเช่นนี้ยังคงมีอิทธิพลอยู่มากต่อการเข้าใจ ประวัติศาสตร์ไทยในปัจจุบัน ในปัจจุบัน มีข้อเสนอใหม่ ๆ เกี่ยวกับโครงเรื่องประวัติศาสตร์ไทยขึ้นมาบ้าง ที่ส าคัญคือ ศ. นิธิ เอียวศรีวงศ์ได้ เสนอถึงหัวข้อส าคัญที่ควรเป็นแกนกลางของประวัติศาสตร์แห่งชาติไทยไว้ 8 หัวข้อ ดังนี้ การตั้งถิ่นฐานของผู้คน นับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงยุคประวัติศาสตร์ตอนต้น การเข้ามาของอารยธรรมใหญ่ คืออินเดียและจีน ความเปลี่ยนแปลงที่ส าคัญในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ยุคสมัยของการค้า (คริสต์ศตวรรษที่ 15-17) ก่อนสมัยใหม่ รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม การปฏิวัติ 2475 และก าเนิดรัฐประชาชาติในทางทฤษฎี การปฏิวัติ14 ตุลาคม 2516 ยุคก่อนประวัติศำสตร์และรัฐโบรำณในประเทศไทย หลักฐำนยุคก่อนประวัติศำสตร์ นักโบราณคดีชาวฮอลันดา ดร. เอช. อาร์. แวน ฮิงเกอเรน ได้ขุดค้นพบเครื่องมือหินเทาะซึ่งท าขึ้นโดย มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ บริเวณใกล้สถานีบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรีโดยมีข้อสันนิษฐานว่ามนุษย์เหล่านี้อาจ เป็น มนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง ซึ่งอยู่อาศัยเมื่อประมาณ 5 แสนปีมาแล้ว อันเป็นหลักฐานในยุคหินเก่า ในประเทศไทยพบหลักฐานของมนุษย์ยุคหินกลางในหลายจังหวัด โดยที่อ าเภอไทรโยค ได้ขุดค้นพบ เครื่องมือหินและโครงกระดูก จึงท าให้สันนิษฐานว่าดินแดนซึ่งแม่น้ ากลองไหลผ่านได้มีมนุษย์อยู่อาศัยมานานกว่า 20,000 ปีส่วนเครื่องปั้นดินเผาที่เก่าที่สุดในประเทศไทย อายุเกือบ 1,000 ปี ถูกค้นพบที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน จึงท า ให้เกิดแนวคิดที่ว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นถิ่นก าเนิดของการกสิกรรมครั้งแรกของโลก นอกจากนี้ยังค้นพบ ขวานหินขัดในหลายภาคของประเทศไทย ซึ่งเป็นหลักฐานของมนุษย์ยุคหินใหม่ การขุดค้นโดยวิทยา อันทรโกศัย แห่งกรมศิลปากร ท าให้พบโครงกระดูกและเศษผ้าไหมติดกระดูก เครื่องปั้นดินเผาที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานีซึ่งคาดว่ามีอายุถึง 3,000 ปี ก่อนที่การค้นพบหลักฐานเพิ่มเติมที่ ต าบลโคกพนมดีจังหวัดปราจีนบุรีซึ่งยืนยันว่ามีอายุ 5,000 ปี อาจเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมสูง และเผยแพร่ ไปส่ประเทศจีนและส่วนอื่น ๆ ของทวีปเอเชีย[9] นายดอน ที บายาด ยังได้ขุดค้นขวานทองแดงในบ้านโนนนกทา จังหวัดขอนแก่น ยืนยันถึงการใช้เครื่องส าริดในยุคหินใหม่ซึ่งเก่าแก่กว่าหลักฐานที่ขุดค้นพบในจีนและอินเดียกว่า 500-1,000 ปี ชนพื้นเมืองและกำรอพยพเข้ำมำในประเทศไทย นักมานุษยวิทยาได้จัดประเภทมนุษย์สมัยโบราณรุ่นแรกในตระกูลออสโตเนเซียน ซึ่งเป็นพวกที่อพยพเข้า มาในประเทศไทยเมื่อหลายพันปีที่แล้ว รวมทั้งเป็นบรรพบุรุษของชนชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัจจุบัน ต่อมา มนุษย์ในตระกูลมอญและเขมรจะอพยพเข้ามาจากจีนหรืออินเดียด้วย ก่อนที่พวกไทยจะอพยพเข้ามาแย่งชิง ดินแดนจากพวกละว้า ซึ่งเป็นชนชาติล้าหลัง ชาวเขาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยปัจจุบันจึงสันนิษฐานว่าสืบเชื้อสาย มาจากพวกละว้า
24 แนวคิดเกี่ยวกับถิ่นก ำเนิดของชนชำติไทย รัฐโบรำณในประเทศไทย จากหลักฐานด้านโบราณคดี ต านาน นิทานพื้นบ้าน บันทึกราชการของจีน และบันทึกของพระภิกษุจีนใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในพุทธศตวรรษที่ 12 ท าให้ทราบว่ามีอารยธรรมมนุษย์ได้สถาปนาอ านาจในประเทศไทย เป็นเวลานานแล้ว โดยอาณาจักรโบราณในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน สามารถจ าแนกได้ดังรายชื่อด้านล่าง อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรละโว้ อาณาจักรฟูนัน อาณาจักรขอม แคว้นจ าปาศักดิ์ อาณาจักร เจนละ แคว้นศรีจนาศะปุระ อาณาจักรโคตรบูร อาณาจักรหริภุญชัย อาณาจักรโยนกเชียงแสน รัฐผั่น-ผั่น อาณาจักรตามพรลิงก์ รัฐลังกาสุกะ รัฐเชียะโท้ สมัยอำณำจักรสุโขทัย และยุครุ่งเรืองของอำณำจักรล้ำนนำ นครรัฐของไทยค่อย ๆ เป็นอิสระจากจักรวรรดิขะแมร์ที่เสื่อมอ านาจลง กล่าวกันว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ทรงสถาปนาราชอาณาจักรที่เข้มแข็งและมีเอกราชเมื่อ พ.ศ. 1781 อาณาจักรสุโขทัยมีการปกครองแบบสม บูรณาญาสิทธิราช แต่ในรูปแบบที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า ปิตุราชา หรือ พ่อปกครองลูก ที่ผู้ปกครองใกล้ชิดกับผู้ ใต้ปกครอง ราษฎรสามารถสั่นกระดิ่งหน้าพระราชวังเพื่อร้องทุกข์แก่พระมหากษัตริย์ได้โดยตรง อาณาจักรสุโขทัย แผ่ขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยพ่อขุนรามค าแหงมหาราช ผู้ประดิษฐ์อักษรไทย หากเป็น ช่วงสั้น ๆ เสถียรภาพของอาณาจักรได้อ่อนแอลงภายหลังการสวรรคตของพระองค์รัชสมัยพญาลิไทมีการเปลี่ยน รูปแบบการปกครองมาเป็นธรรมราชา จากการรับอิทธิพลของศาสนาพุทธนิกายเถรวาท แบบลังกาวงศ์อาณาจักร สุโขทัยเสื่อมลงและตกเป็นเมืองขึ้นของรัฐไทยอีกรัฐหนึ่งที่อุบัติขึ้น คือ อาณาจักรอยุธยาในพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง ในเวลาไล่เลี่ยกัน พญามังรายได้สถานปนาอาณาจักรล้านนาขึ้นในปีพ.ศ. 1802 โดยได้ขยายอ านาจมา จากลุ่มน้ าแม่กกและอิง สู่ลุ่มแม่น้ าปิง พญามังรายได้สร้างเมืองเชียงใหม่ และทรงมีสัมพันธ์อันดีกับพ่อขุน รามค าแหงแห่งสุโขทัย อาณาจักรเชียงใหม่หรือล้านนา มีอ านาจสืบต่อมาในแถบลุ่มแม่น้ าปิง อย่างไรก็ตาม เชียงใหม่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นนักกับอาณาจักรอยุธยาหรือกรุงศรีอยุธยา ที่เรืองอ านาจในพุทธศตวรรษที่ 19–20 มีการท าสงครามผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอย่างต่อเนื่อง สำเหตุกำรเลือกอำณำจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศำสตร์ไทย นักวิชาการให้เหตุผลในการเลือกเอาอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทยไว้ 2 เหตุผล ได้แก่: 1. วิชาประวัติศาสตร์มักจะยึดเอาการที่มนุษย์เริ่มมีภาษาเขียนเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ หลักฐาน ประเภทลายลักษณ์ถือเป็นสิ่งส าคัญที่สุด ซึ่งเมื่อประกอบกับการประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นในรัชสมัยพ่อขุน รามค าแหงมหาราช จึงเหมาะสมที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย 2. เป็นการสะดวกในด้านการนับเวลาและเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน ทั้งนี้ นักประวัติศาสตร์มีหลักฐานความ สืบเนื่องกันตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน ทว่า เหตุผลทั้งสองประการก็ยังไม่ เป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นเอกฉันท์นัก
25 สมัยอำณำจักรอยุธยำ พระเจ้าอู่ทองทรงก่อตั้งอาณาจักรอยุธยาในปี พ.ศ. 1893 ซึ่งในช่วงแรกนั้นก็มิได้เป็นศูนย์กลางของชาว ไทยในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีนทั้งปวง แต่ด้วยความเข้มแข็งที่ทวีเพิ่มขึ้นประกอบกับวิธีการทางการสร้าง ความสัมพันธ์กับชาวไทยกลุ่มต่าง ๆ ในที่สุดอยุธยาก็สามารถรวบรวมกลุ่มชาวไทยต่าง ๆ ในดินแดนแถบนี้ให้เข้า มาอยู่ภายใต้อ านาจได้นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นรัฐมหาอ านาจทางการเมืองและเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้อย่างรวดเร็ว การเข้าแทรกแซงสุโขทัยอย่างต่อเนื่องท าให้อาณาจักรสุโขทัยตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรอยุธยาใน ที่สุด สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครองโดยการรวมอ านาจเข้าสู่ศูนย์กลาง การยึดครองมะละกา ของโปรตุเกสในปี พ.ศ. 2054 ท าให้อยุธยาเริ่มการติดต่อกับชาติตะวันตก ในสมัยอาณาจักรอยุธยามีการติดต่อกับ ต่างประเทศอยู่หลายชาติ โดยชาวโปรตุเกสได้เดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 หลังจากนั้น ชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นจ านวนมากและมีบทบาทส าคัญ ได้แก่ ชาวดัตช์ ชาวฝรั่งเศส ชาวจีน และชาวญี่ปุ่น ราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อราชวงศ์ตองอูของพม่าเริ่มมีอ านาจมากขึ้น การสงครามอันยาวนาน นับตั้งแต่ พ.ศ. 2091 ส่งผลให้อยุธยาตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรตองอูในที่สุด ก่อนที่สมเด็จพระนเรศวร มหาราชจะทรงประกาศอิสรภาพในอีก 15 ปีต่อมา อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล จากทิศเหนือจรดอาณาจักรล้านนา ไปจรด คาบสมุทรมลายูทางทิศใต้ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอยุธยารุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในรัชสมัยสมเด็จพระ นารายณ์มหาราช อย่างไรก็ตาม ความสงสัยในตัวของคอนสแตนติน ฟอลคอน ท าให้ถูกสังหารโดยพระเพทราชา อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมอ านาจลงราวพุทธศตวรรษที่ 24 การท าสงครามกับพม่าหลังจากนั้นส่งผลท าให้อยุธยา ถูกปล้นสะดมและเผาท าลาย เมื่อปี พ.ศ. 2310 สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ รัชสมัยสมเด็จพระเจ้ำกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในปีพ.ศ. 2310-2325 เริ่มต้นหลังจากที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ขับไล่ทหารพม่าออกจากแผ่นดินไทย ท าการรวมชาติ และได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบุรีโดยจัดตั้งการเมืองการปกครอง มีลักษณะการเมืองการ ปกครองยังคงด ารงไว้ซึ่งการเมืองการปกครองภายในสมัยอยุธยาอยู่ก่อน โดยมีพระมหากษัตริย์มีอ านาจเด็ดขาดใน การเมืองการปกครอง อย่างไรก็ตาม ภายหลังสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกได้สถาปนาตนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีและทรงย้ายเมืองหลวงมายังกรุงเทพมหานคร เริ่ม ยุคสมัยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1790 กองทัพพม่าถูกขับไล่ออกจากดินแดนรัตนโกสินทร์อย่างถาวร และท าให้ แคว้นล้านนาปลอดจากอิทธิพลของพม่าเช่นกัน โดยล้านนาถูกปกครองโดยราชวงศ์ที่นิยมราชวงศ์จักรีนับตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา จนกระทั่งถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยามอย่างเป็นทางการ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยยังเผชิญกับการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ สงครามเก้าทัพ, สงครามท่าดินแดงกับพม่า ตลอดจนกบฏเจ้าอนุวงศ์กับลาว และอานามสยามยุทธกับญวน
26 ในช่วงนี้กรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่ค่อยมีการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกมากนัก ต่อมาเมื่อชาวตะวันตกเริ่ม เข้ามาค้าขายอีก ได้ตระหนักว่าพวกพ่อค้าจีนได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนไทยและพวกตน จึงได้เริ่มเรียกร้องสิทธิพิเศษ ต่าง ๆ มาโดยตลอด มีการเดินทางเยือนของทูตหลายคน อาทิ จอห์น ครอเฟิร์ต ตัวแทนจากบริษัทอินเดีย ตะวันออกของอังกฤษ ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ยังไม่บรรลุข้อตกลงใด ๆ สนธิสัญญาที่มีการลงนามในช่วงนี้ เช่น สนธิสัญญาเบอร์นีและสนธิสัญญาโรเบิร์ต แต่ก็เป็นเพียงข้อตกลงที่ไม่มี ผลกระทบมากนัก และชาวตะวันตกไม่ค่อยได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ได้มีคณะทูตตะวันตกเข้ามาเสนอสนธิสัญญาข้อตกลงทางการค้าอยู่เรื่อย ๆ เพื่อขอสิทธิทาง การค้าให้เท่ากับพ่อค้าจีน และอังกฤษต้องการเข้ามาค้าฝิ่นอันได้ก าไรมหาศาล แต่ไม่ประสบความส าเร็จ ทั้งคณะ ของเจมส์ บรุคจากอังกฤษ และโจเซฟ บัลเลสเตียร์จากสหรัฐอเมริกา ท าให้ชาวตะวันตกขุ่นเคืองต่อราชส านัก กำรเผชิญหน้ำกับมหำอ ำนำจตะวันตก ภายหลังจากที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปีพ.ศ. 2369 พระมหากษัตริย์ไทยในรัชสมัยถัดมาจึง ทรงตระหนักถึงภัยคุกคามที่มาจากชาติมหาอ านาจในทวีปยุโรป และพยายามด าเนินนโยบายทอดไมตรีกับชาติ เหล่านั้น อย่างไรก็ตาม สยามมีการเปลี่ยนแปลงดินแดนหลายครั้ง รวมทั้งตกอยู่ในสถานะรัฐกันชนระหว่างอังกฤษ และฝรั่งเศส ถึงกระนั้น สยามก็ไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก กำรปฏิวัติเปลี่ยนแปลงกำรปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า คณะราษฎร ได้ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบ การปกครอง จากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองแก่ประเทศไทยอย่างมาก และท าให้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เคยเป็น ผู้ปกครองสูงสุดของประเทศมาช้านานต้องสูญเสียอ านาจส่วนใหญ่ไปในที่สุด โดยมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2475 ขึ้นเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอย่างถาวรเป็นฉบับแรก ภายหลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงดังกล่าว การต่อสู้ทางการเมืองยังคงมีการต่อสู้กันระหว่างผู้น าใน ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช กับระบอบใหม่ รวมทั้งความขัดแย้งในผู้น าระบอบใหม่ด้วยกันเอง โดยการต่อสู้ทาง การเมืองและทางความคิดอุดมการณ์นี้ได้ด าเนินต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 25 ปีภายหลังจากการปฏิวัติ และ น าไปสู่ยุคตกต่ าของคณะราษฎรในกาลต่อมา ท าให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าวถูกมองว่าเป็นพฤติการณ์ "ชิงสุกก่อนห่าม" เนื่องจากชนชั้นน ามองว่าชาวไทยยังไม่พร้อมส าหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อีกทั้ง การปกครองในระยะแรกหลังการปฏิวัติยังคงอยู่ในระบอบเผด็จการทหาร สงครำมโลกครั้งที่สอง ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีการเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลเอาดินแดนคืนของนิสิตนักศึกษา จอมพลแปลก พิบูลสงคราม จึงส่งทหารข้ามแม่น้ าโขงและรุกรานอินโดจีนฝรั่งเศส จนได้ดินแดนคืนมา 4 จังหวัด ภายหลังการเข้าไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น โดยมีการรบที่เป็นที่รู้จักกันมาก ได้แก่การรบที่เกาะช้าง ต่อมา หลังจากการโจมตีกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่เพิร์ลฮาร์เบอร์กองทัพญี่ปุ่นก็ได้รุกรานประเทศไทย โดยต้องการเคลื่อนทัพผ่านดินแดน รัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงครามได้ด าเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น รวมทั้งลงนามในสนธิสัญญาพันธมิตรทางการทหารกับญี่ปุ่น และประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและสหราช
27 อาณาจักร ซึ่งนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลถูกต่อต้านจากทั้งในและนอกประเทศ เนื่องจากไทยประสบกับภาวะ เศรษฐกิจตกต่ า หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 แม้ว่าประเทศไทยจะตกอยู่ในสถานะประเทศผู้แพ้ สงคราม แต่เนื่องจากการเคลื่อนไหวของขบวนการเสรีไทย ท าให้ฝ่ายสัมพันธมิตรยอมรับ และไม่ถูกยึดครอง เพียงแต่ต้องคืนดินแดนระหว่างสงครามให้กับอังกฤษและฝรั่งเศส และจ่ายค่าเสียหายทดแทนเท่านั้น สงครำมเย็น รัฐบาลไทยได้ด าเนินนโยบายเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาในระหว่างสงครามเย็น ดังจะเห็นได้จาก นโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในคาบสมุทรอินโดจีน และยังส่งทหารไปร่วมรบกับฝ่ายพันธมิตร ได้แก่สงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม ประเทศไทยประสบกับปัญหากองโจรคอมมิวนิสต์ในประเทศระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวก็ไม่ค่อยจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศสักเท่าไหร่ และกองโจรก็หมดไป ในที่สุด กำรพัฒนำประชำธิปไตย หลังจากปัจจัยแวดล้อมด้านต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาขึ้น ประชาชนมีความพร้อมต่อการใช้อ านาจอธิปไตย เพิ่มมากขึ้น การเรียกร้องอ านาจอธิปไตยคืนจากฝ่ายทหารก็เกิดขึ้นเป็นระยะ กระทั่งในที่สุด ภายหลังจาก เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ฝ่ายทหารก็ไม่สามารถถือครองอ านาจอธิปไตยได้อย่างถาวรอีกต่อไป อ านาจ อธิปไตยจึงได้เปลี่ยนไปอยู่ในมือของกลุ่มนักการเมือง ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มบุคคลสามกลุ่มหลัก คือ กลุ่มทหารที่ เปลี่ยนบทบาทมาเป็นนักการเมือง กลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพล และกลุ่มนักวาทศิลป์ แต่ต่อมาภายหลังจากการ สิ้นสุดลงของยุคสงครามเย็น โลกได้เปลี่ยนมาสู่ยุคการแข่งขันกันทางการค้าซึ่งมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก กลุ่มการเมืองที่มาจากกลุ่มทุนนิยมสมัยใหม่ได้เข้ามามีบทบาทแทน
28 ประวัติรัชกำลที่1-10 พระบำทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ำจุฬำโลกมหำรำช (รัชกำลที่1) พระราชประวัติรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ประสูติ พ.ศ. 2279 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2325พ.ศ. 2352) มีพระนามเดิมว่า ทองด้วง พระรำชประวัติ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรีทรงพระนาม เต็มว่า "พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ธรณินทราธิ ราชรัตนากาศภาสกรวงศ์องค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตรวรนารถนายก ดิลกรัตน ชาติอาชาวศรัย สมุทัยวโรมนต์ สกลจักรฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทรหริหรินทรธาดาธิบดี ศรีสุวิบุลยคุณธขนิษฐ์ ฤทธิราเมศวรมหันต์บรม ธรรมิกราชาธิราชเดโชไชย พรหมเทพา ดิเทพนฤดินทร์ภูมินทรปรามาธิเบศร โลกเชฎฐวิสุทธิ์รัตนมกุฎประเทศค ตามหาพุทธางกูร บรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว "ทรงประสูติเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 พระราชบิดา ทรงพระนามว่า ออกอักษรสุนทรศาสตร์ พระราชมารดาทรงพระนามว่า ดาวเรือง มีบุตรและธิดารวม ทั้งหมด 5 คน คือ คนที่ 1 เป็นหญิงชื่อ "สา" ( ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าพี่นางเธอกรมสมเด็จพระเทพสุดาวดี ) คนที่ 2 เป็นชายชื่อ "ขุนรามนรงค์" ( ถึงแก่กรรมก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ 2 ) คนที่ 3 เป็นหญิงชื่อ "แก้ว" ( ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าพี่นางเธอกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ ) คนที่ 4 เป็นชายชื่อ "ด้วง" (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช )
29 คนที่ 5 เป็นชายชื่อ "บุญมา" ( ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สมเด็จพระ อนุชาธิราช ) เมื่อเจริญวัยได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอุทุมพร พระชนมายุ21 พรรษา ออกบวชที่วัดมหาทลาย แล้วกลับมาเป็นมหาดเล็กหลวงในแผ่นดินพระเจ้า อุทุมพร พระชนมายุ25 พรรษา ได้รับตัวแหน่งเป็นหลวงยกกระบัตร ประจ าเมืองราชบุรีในแผ่นดินพระที่นั่ง สุริยามรินทร์ พระองค์ได้วิวาห์กับธิดานาค ธิดาของท่านเศรษฐีทองกับส้ม พระชนมายุ32 พรรษา ในระหว่างที่รับราชการอยู่กับพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้เลื่อนต าแหน่งดังนี้ พระชนมายุ33 พรรษา พ.ศ. 2312 ได้เลื่อนเป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีปราบ ชุมนุมเจ้าพิมาย พระชนมายุ34 พรรษา พ.ศ. 2313 ได้เลื่อนเป็นพระยายมราชที่สมุหนายกเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีไป ปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง พระชนมายุ35 พรรษา พ.ศ. 2314 ได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยาจักรี เมื่อคราวเป็น แม่ทัพไปตีเขมรครั้งที่ 2 พระชนมายุ41 พรรษา พ.ศ. 2321 ได้เลื่อนเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เมื่อคราวเป็นแม่ทัพใหญ่ไปตีเมืองลาวตะวันออก พ.ศ. 2323 เป็นครั้งสุดท้ายที่ไปปราบเขมร ขณะเดียวกับที่กรุงธนบุรีเกิดจลาจลจึงเสด็จยกกองทัพ กลับมากรุงธนบุรี เมื่อ พ.ศ. 2325 พระองค์ทรงปราบปรามเสี้ยนหนามแผ่นดินเสร็จแล้วจึงเสด็จขึ้นครองราช สมบัติปราบดาภิเษก แล้วได้มีพระราชด ารัสให้ขุดเอาหีบพระบรมศพของพระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นตั้ง ณ เมรุวัดบางยี่ เรือพระราชทานพระสงฆ์บังสุกุลแล้วถวายพระเพลิงพระบรมศพ เสร็จแล้วให้มีการมหรสพ พระรำชกรณียกิจด้ำนกำรสถำปนำกรุงรัตนโกสินทร์เป็นรำชธำนี พระราชกรณียกิจประการแรกที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงจัดท าเมื่อเสด็จขึ้น ค รอง ร าช ย์คือ ก า รโป ร ดเกล้ าฯ ให้ตั้งก รุง รัตนโกสินท ร์เป็น ร าช ธ านีใหม่ ท าง ตะ วันออ กของ แม่น้ าเจ้าพระยา แทนกรุงธนบุรี ด้วยเหตุผลทางด้านยุทธศาสตร์ เนื่องจากกรุงธนบุรีตั้งอยู่บนสองฝั่งแม่น้ า ท าให้
30 การล าเลียงอาวุธยุทธภัณฑ์ และการรักษาพระนครเป็นไปได้ยาก อีกทั้งพระราชวังเดิมมีพื้นที่จ ากัด ไม่สามารถ ขยายได้ เนื่องจากติดวัดอรุณราชวราราม และวัดโมฬีโลกยาราม ส่วนทางฝั่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้นมีความ เหมาะสมกว่าตรงที่มีพื้นแผ่นดินเป็นลักษณะหัวแหลม มีแม่น้ าเป็นคูเมืองธรรมชาติ มีชัยภูมิเหมาะสมและ สามารถรับศึกได้เป็นอย่างดีการสร้างราชธานีใหม่นั้นใช้เวลาทั้งสิ้น ๓ ปีโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช ทรงท าพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์เดือน ๖ ขึ้น ๑๐ ค่ า ปีขาล จศ.๑๑๔๔ ตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พศ.๒๓๒๕ และโปรดเกล้าฯให้สร้าง พระบรมมหาราชวัง สืบทอดราชประเพณีและสร้างพระ อารามหลวงในเขตพระบรมมหาราชวังตามแบบกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการสร้างเมืองและพระบรมมหาราชวังเป็นการ สืบทอดประเพณีวัฒนธรรม และศิลปะกรรมดั้งเดิมของชาติซึ่งปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และได้ พระราชทานนามแก่ราชธานีใหม่นี้ว่า “กรุงเทพมหำนคร บวรรัตนโกสินทร์มหินทรำยุทธยำ มหำดิลกภพ นพรัตนรำชธำนีบูรีรมย์อุดม รำชนิเวศน์มหำสถำน อมรพิมำนอวตำรสถิต สักกะทัตติยะวิษณุกรรมประสิทธิ์” ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลงสร้อย “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมร รัตนโกสินทร์” นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯให้สร้างสิ่งต่างๆ อันส าคัญต่อการสถาปนาราชธานีได้แก่ ป้อม ปราการ คลอง ถนนและสะพานต่างๆ มากมาย
31 พระบำทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ำนภำลัย (รัชกำลที่2) พระราชประวัติรัชกาลที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ประสูติ พ.ศ. 2310 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2353 - พ.ศ. 2367) มีพระนามเดิมว่า ฉิม พระรำชประวัติ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี ทรง ประสูติเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 ตรงกับวันพุธ ขึ้น 7 ค ่า เดือน 3 ปีกุน มีพระนามเดิมว่า "ฉิม" พระองค์ทรง เป็นพระบรมราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและกรมสมเด็จพระอมรินท รามาตย์พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประสูติ ณ บ้านอัมพวา แขวงเมืองสมุทรสงคราม ขณะนั้นพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นหลวงยกกรับัตรเมืองราชบุรี พระบิดาได้ให้เข้าศึกษากับสมเด็จพระวันรัต ( ทองอยู่ ) ณ วัดบางหว้าใหญ่ พระองค์ทรงมีพระชายาเท่าที่ปรากฎ 1. กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระอัครมเหสี 2. กรมสมเด็จพระศรีสุราลัย พระสนมเอก ขณะขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2352 มีพระชนมายุได้42 พรรษา พระรำชกรณียกิจที่ส ำคัญ พ.ศ. 2317 ขณะที่เพิ่งมีพระชนมายุได้8 พรรษา ได้ติดตามไปสงครามเชียงใหม่ อยู่ในเหตุการณ์ครั้งที่ บิดามีราชการไปปราบปรามเมืองนางรอง นครจ าปาศักดิ์ และบางแก้ว ราชบุรี จนถึงอายุ11 พรรษา พ.ศ. 2322 พระราชบิดาไปราชการสงครามกรุงศรีสัตนาคนหุต ก็ติดตามไป พ.ศ. 2323 พระชนมายุ13 พรรษา ได้เข้าเป็นศิษย์สมเด็จพระวันรัต (ทองอยู่ ) พ.ศ. 2324 พระราชบิดาได้เลื่อนเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ ไปร่วมปราบปรามเขมรกับพระ บิดา
32 พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ปราบดาภิเษกแล้วได้ทรงสถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร" พ.ศ. 2329 พระชนมายุ19 พรรษา ได้โดยเสด็จสมเด็จพระบรมชนกนาถ ไปสงครามต าบลลาดหญ้า และ ทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ พ.ศ. 2330 ได้โดยเสด็จพระบรมชนกนาถ ไปสงครามที่ต าบลท่าดินแดง และตีเมืองทวาย พ.ศ. 2331 ทรงผนวชเป็นพระภิกษุในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นพระองค์แรกที่ อุปสมบทในวัดนี้ เสด็จไปจ าพรรษา เมื่อครบสามเดือน ณ วัดสมอราย ปัจจุบันคือวัดราชาธิราช ครั้นทรงลาผนวช ในปีนั้น ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จเจ้าหญิงบุญรอด พระธิดาในพระพี่นางเธอ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดา รักษ์ พ.ศ. 2336 โดยเสด็จพระราชบิดาไปตีเมืองทวาย ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2349 ( วันอาทิตย์ เดือน 8 ขึ้น 7 ค ่า ปีขาล ) ทรงพระชนมายุได้40 พรรษาได้รับสถาปนาเป็น "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" ซึ่งด ารงต าแหน่งพระมหาอุปราชขึ้นแทน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ที่ได้ สวรรคตแล้วเมื่อ พ.ศ. 2346 พระรำชกรณียกิจส ำคัญในรัชกำลที่ 2 ด้ำนกำรปกครอง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้านการปกครองโดยยังคงรูปแบบ การปกครองแบบเดิม แต่มีการตั้งเจ้านายที่เป็นเชื้อพระวงศ์เข้าดูแลบริหารงานราชการตามหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมพระคลัง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เป็นผู้ก ากับดูแล เป็นต้น ส่วนด้านการออกและปรับปรุงกฎหมายในการปกครองประเทศที่เอื้อประโยชน์แก่ประชาชนมากขึ้น ได้แก่ พระ ราชก าหนดสักเลก โดยพระองค์โปรดให้ด าเนินการสักเลกหมู่ใหม่ เปลี่ยนเป็นปีละ 3 เดือน ท าให้ไพร่สามารถ ประกอบอาชีพได้ นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายว่าด้วยสัญญาที่ดินรวมถึงพินัยกรรมว่าต้องท าเป็นลายลักษณ์ อักษร และกฎหมายที่ส าคัญที่พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ก าหนดขึ้น คือ กฎหมายห้ามซื้อขายสูบฝิ่น ด้ำนเศรษฐกิจ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้านเศรษฐกิจ ที่ส าคัญคือการ รวบรวมรายได้จาการค้ากับต่างประเทศ ซึ่งในสมัยนี้ได้มีการเรียกเก็บภาษีอากรแบบใหม่คือ การเดินสวนและการ เดินนา การเดินสวนเป็นการแต่งตั้งเจ้าพนักงานไปส ารวจพื้นที่เพาะปลูกของราษฎร เพื่อคิดอัตราเสียภาษีอากรที่ ถูกต้อง ท าให้เกิดความยุติธรรมแก่เจ้าของสวน ส่วนการเดินนาคล้ายกับการเดินสวน แต่ให้เก็บหางข้าวแทนแทน การเก็บภาษีอากร
33 พระบำทสมเด็จพระนั่งเกล้ำเจ้ำอยู่หัว (รัชกำลที่3) พระราชประวัติรัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ประสูติ พ.ศ. 2330 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2367 - พ.ศ. 2394) มีพระนามเดิมว่า พระองค์ชายทับ พระรำชประวัติ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี เป็นพระ ราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และสมเด็จพระศรีสุราลัย ( เจ้าจอมมารดาเรียม ) ประสูติ ณ วันจันทร์ เดือน 4 แรม 10 ค ่า ปีมะแม ตรงกับวันที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2330 มีพระนามเดิมว่า "พระองค์ ชายทับ" พ.ศ. 2365 พระองค์ชายทับ ได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ก ากับราชการกรมท่า กรมพระ คลังมหาสมบัติ กรมพระต ารวจว่าการฎีกา นอกจากนี้ยังได้ทรงรับพระกรุณาให้แต่งส าเภาหลวงออกไปค้าขาย ณ เมืองจีน พระองค์ทรงได้รับพระสามัญญานามว่า "เจ้าสัว" ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชการที่ 2 ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต โดยมิได้ตรัส มอบราชสมบัติให้แก่พระราชโอรสองค์ใด พระบรมวงศานุวงศ์ และบรรดาเสนาบดีผู้เป็นประทานในราชการจึง ปรึกษากัน เห็นควรถวายราชสมบัติแก่พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ อันที่จริงแล้วราชสมบัติควรตกแก่ เจ้าฟ้ามงกุฎ ( พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ) เพราะเจ้าฟ้ามงกุฎ เป็นราชโอรสที่ประสูติจากสมเด็จพระ บรมราชินีในรัชกาลที่ 2 โดยตรง ส่วนกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เป็นเพียงราชโอรสที่เกิดจากเจ้าจอมเท่านั้น โดยที่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งพระราชหฤทัยไว้แล้วว่าเมื่อสิ้นรัชกาลพระองค์แล้วจะคืนราชสมบัติ ให้แก่ สมเด็จพระอนุชา ( เจ้าฟ้ามงกุฎ) ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงสถาปนาพระบรมราชินี คงมีแต่เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์ในวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ขึ้น 7 ค ่า เดือน 9 ปีวอก
34 พระรำชกรณียกิจส ำคัญในรัชกำลที่ 3 ด้ำนกำรปกครอง ลักษณะการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังคงเป็นแบบอย่างที่สืบทอดมาจากสมัยอยุธยาและ กรุงธนบุรี คือ การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในต าแหน่งสูงสุดของการปกรอง ประเทศ ทรงเป็นประมุขผู้พระราชทานความพิทักษ์รักษาบ้านเมืองให้ปลอดภัยต าแหน่งรองลงมา คือพระมหา อุปราช ซึ่งด ารงต าแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เช่นเดียวกับในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ต าแหน่ง บังคับบัญชาในด้านการปกครองแยกต่อมา คืออัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร คือ พระสมุหพระกลาโหม และฝ่ายพล เรือน คือ สมุหนายก ต าแหน่งรองลงมา เรียก เสนาบดีจตุสดมภ์ คือ เสนาบดีเมืองหรือเวียง กรมวัง กรมพระคลัง และกรมนา ส่วนการบริหารราชการแผ่นดิน ยังคงจัดแบ่งออกเป็นหัวเมืองชั้นนอก หัวเมืองชั้นใน และหัวเมือง ประเทศราช ดังที่เคยปกครองกันมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการแบ่งการปกครองในลักษณะนี้ก่อให้เกิด ปัญหาในการปกครองหัวเมืองประเทศราช เช่น ลาว เขมร และมลายู เพราะหัวเมืองเหล่านี้พยายามหาทางเป็น เอกราช หลุดจากอ านาจของอาณาจักรไทย ด้ำนกำรท ำนุบ ำรุงประเทศ ในสมัยรัตนโกสินทร์ เน้นหลักไปในด้านการก่อสร้างบ้านเมือง ตลอดจนการขุดลอกคูคลอง สร้างป้อม สร้างเมือง ฯลฯ เพราะอยู่ในระยะการสร้างราชธานีใหม่ และพระมหากษัตริย์ในสามรัชกาลแรกทรงยึดถือนโยบาย ร่วมกันในอันที่จะสร้างบ้านเมืองให้ใหญ่โตสง่างามเทียบเท่ากับกรุงศรีอยุธยา นับตั้งแต่การสร้าง พระบรมมหาราชวัง วัดวาอารามต่าง ๆ เป็นต้น ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วัตถุสถานต่าง ๆ ที่สร้างมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ทรุด โทรมลงเป็นอันมาก พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ อาทิ พระบรม มหาราชวัง และ วัดวาอารามต่าง ๆ และยังทรงเป็นพระธุระในการขุดแต่งคลองเพิ่มเติม คือ คลองสุนัขหอน คลองบางขุนเทียน คลองพระโขนง และคลองแสนแสบ (คลองบางขนาก)
35 พระบำทสมเด็จพระจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัว(รัชกำลที่4) พระชนมายุได้37 พรรษา พระราชประวัติรัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ประสูติพ.ศ. 2347 ขึ้นครองราชย์พ.ศ. 2393 - พ.ศ. 2411) มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้ามหามาลา พระรำชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย กับสมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินีประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ตรงกับปีชวด มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้ามหามาลา ขณะนั้นพระราชบิดายังดัารงพระยศเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เมื่อทรง พระเยาว์ได้ทรงศึกษาอักขะสมัยกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เมื่อพระชนมายุได้9 พรรษา ได้รับสถาปนาเป็น เจ้าฟ้ามงกุฎ มีพระราชอนุชาร่วมพระราชมารดา คือ เจ้าฟ้าจุธามณีซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น พระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระชนมายุได้9 พรรษา สมเด็จพระบรมชนกนาถก็โปรดให้มีการพระราชพิธีลงสรง (พ.ศ.2355 ) เป็นครั้งแรกที่กระท าขึ้นในกรุงรัตนโกสินทร์ได้รับพระราชทานนามจารึกในพระสุพรรณปัฎว่า " สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทววงศ์พงศ์อิสรค์กษัตริย์ขัตติยราชกุมาร " สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ได้ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 4เมษายน พุทธศักราช 2394 ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว" เรียกขานในหมู่ชาวต่างชาติว่า "คิงส์มงกุฎ" ขณะที่พระองค์ขึ้นเสวย สิริราชย์สมบัตินั้น พระชนมายุ37 พรรษา เมื่อได้เสด็จขึ้นครองราชย์แล้วทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศ รังสรรค์( พระนามเดิมเจ้าฟ้าจุธามณีโอรสองค์ที่ 50 ของรัชกาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ) ขึ้นเป็น สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีฐานะเสมือนพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์หนึ่ง พระรำชกรณียกิจที่ส ำคัญของรัชกำลที่ 4 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ทรงท านุบ ารุงบ้านเมืองให้ เจริญุรุ่งเรื่องในทุก ๆ ด้าน ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เริ่มศักราชการติดต่อกับนานาอารยประเทศอย่างจริงจัง ดังจะเห็นได้จากการที่ ประเทศต่าง ๆ
36 ส่งคณะทูตเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีและติดต่อค้าขาย และพระองค์ได้ทรงแต่งคณะทูต ออกไปเจริญ สัมพันธไมตรีตอบแทนหลายครั้ง เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา โปรตุเกส เดนมาร์ค ฯลฯ ทรงสนับสนุนให้ มีการศึกษาศิลปะวิทยาการใหม่ ๆเช่น วิชาการต่อเรือใบ เรือกลไฟ เรือรบ การฝึกทหารอย่างยุโรป การยกเลิก ธรรมเนียมที่ล้าสมัยบางประการเช่น ประเพณีการเข้าเฝ้าให้ใส่เสื้อเข้าเฝ้า การให้ประชาชนเฝ้าแหนรับเสด็จ ตลอดระยะรายทางเสด็จได้และหากประชาชนมีเรื่องเดือนเนื้อร้อนใจก็สามารถถวายฏีกาเพื่อขอความเป็นธรรม ได้โดยตรงไม่ต้องผ่านข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก่อน ฯลฯ พระปรีชาสามารถส่วนพระองค์ที่ส าคัญประการหนึ่งคือ วิชาการด้านโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ ทรงสามารถค านวณระยะเวลาการเกิดสุริยุปราคาได้อย่างแม่นย า ดังได้เสด็จพระราชด าเนินพร้อมพระราช อาคันตุกะทั้งปวงไปชมสุริยุปราคาที่หว้ากอ ประจวบคีรีขันธ์เมื่อ พ.ศ.2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งภาณุมาศจ ารูญ เมื่อวันที่1 ตุลาคม พุทธศักราช 2411 สิริพระชนมายุได้64 พรรษา รวมเวลาที่ปกครองประเทศนาน 17 ปีเศษ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมทั้งสิ้น 82 พระองค์
37 พระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัว(รัชกำลที่5) พระราชประวัติรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ประสูติพ.ศ. 2396 ขึ้นครองราชย์พ.ศ. 2411 - พ.ศ. 2453) มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระรำชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า " เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์" เป็นพระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 กับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี( สมเด็จพระนาง ร าเพยภมรภิรมย์ ) พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 ตรงกับวันอังคาร แรม 3 ค ่า เดือน 10 ได้ทรงรับสถาปนาเป็นกรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ และกรมขุนพอนิจประชานาถ ด้านการศึกษา พระองค์ทรงได้รับการศึกษาเป็นมาอย่างดีคือ ทรงศึกษาอักษรศาสตร์โบราณราช ประเพณีภาษาบาลีภาษาอังกฤษ ภาษาไทยรัฐประศาสนศาสตร์วิชากระบี่ กระบอง วิชาอัศวกรรม วิชามวยปล ้า การยิงปืนไฟ เมื่อพระชนมายุได้16 พรรษา ได้ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติโดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรม มหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้ส าเร็จราชการ พ.ศ. 2410 พระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ได้ส่งพระแสงกระบี่มาถวาย ครั้นพระชนมายุครบที่จะว่าราชการได้พระองค์จึงได้ทรงท าพิธีราชาภิเษกใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2416 ท าให้ เกิดผลใหญ่ 2 ข้อ 1. ท าให้พวกพ่อค้าชาวต่างประเทศหันมาท าการติดต่อกับพระองค์โดยตรง เป็นการปลูกความนิยมนับถือ กับชาวต่างประเทศได้เป็นอย่างดีเยี่ยม 2. ท าให้พระองค์ มีพระราชอ านาจที่จะควบคุมก าลังทหารการเงินได้โดยตรงเป็นได้ทรงอ านาจใน บ้านเมืองโดยสมบูรณ์
38 พระรำชกรณียกิจที่ส ำคัญของรัชกำลที่ 5 ได้แก่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีเลิกทาส การป้องกันการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และจักรวรรดิ อังกฤษ ได้มีการประกาศออกมาให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในประเทศ โดยบุคคลศาสนาคริสต์และศาสนา อิสลามสามารถปฏิบัติการในศาสนาได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ได้มีมีการน าระบบจากทางยุโรปมาใช้ในประเทศ ไทย ได้แก่ระบบการใช้ธนบัตรและเหรียญบาท ใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล จังหวัด และอ าเภอ และได้มีการสร้างรถไฟ สายแรก คือ กรุงเทพฯ ถึง เมืองนครราชสีมา ลงวันที่ 1 มีนาคม ร.ศ.109 ซึ่ง ตรงกับ พุทธศักราช 2433 นอกจากนี้ได้มีงานพระราชนิพนธ์ที่ส าคัญ กำรเสียดินแดน ภาพการรบระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ในวิกฤตการณ์ร.ศ. 112 ที่ปากน้ าเมืองสมุทรปราการ ซึ่งน าไปสู่ การเสียดินแดนของไทยให้แก่ฝรั่งเศสเป็นจ านวนมาก พระบรมราชนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ปากน้ า เมืองสมุทรปราการ[แก้] การเสียดินแดนให้ฝรั่งเศส ครั้งที่ 1 เสียแคว้นเขมร (เขมรส่วนนอก) เนื้อที่ประมาณ 123,050 ตารางกิโลเมตร และเกาะอีก 6 เกาะ วันที่ 15 กรกฎาคม 2410 ครั้งที่ 2 เสียแคว้นสิบสองจุไท หัวพันห้าทั้งหก เมืองพวน แคว้นหลวงพระบาง แคว้นเวียงจันทน์ ค าม่วน และแคว้นจ าปาศักดิ์ฝั่งตะวันออก (หัวเมืองลาวทั้งหมด) โดยยึดเอาดินแดนสิบสองจุไทย และได้อ้างว่า ดินแดนหลวงพระบาง เวียงจันทน์และนครจ าปาศักดิ์เคยเป็นประเทศราชของญวนและเขมรมาก่อน จึงบีบ บังคับเอาดินแดนเพิ่มอีก เนื้อที่ประมาณ 321,000 ตารางกิโลเมตร วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2431 ฝรั่งเศสข่มเหง ไทยอย่างรุนแรงโดยส่งเรือรบล่วงเข้ามาในแม่น้ าเจ้าพระยา เมื่อถึงป้อมพระจุลจอมเกล้า ฝ่ายไทยยิงปืนไม่บรรจุ กระสุน 3 นัดเพื่อเตือนให้ออกไป แต่ทางฝรั่งเศสกลับระดมยิงปืนใหญ่เข้ามาเป็นอันมาก เกิดการรบกันพักหนึ่ง ในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 ฝรั่งเศสน าเรือรบมาทอดสมอ หน้าสถานทูตของตนในกรุงเทพฯ ได้ส าเร็จ (ทั้งนี้ประเทศอังกฤษ ได้ส่งเรือรบเข้ามาลอยล าอยู่ 2 ล า ที่อ่าวไทยเช่นกัน แต่มิได้ช่วยปกป้องไทยแต่อย่างใด) ฝรั่งเศสยื่นค าขาดให้ไทย 3 ข้อ ให้ตอบใน 48 ชั่วโมง เนื้อหา คือ ให้ไทยใช้ค่าเสียหายสามล้านแฟรงค์โดยจ่ายเป็นเหรียญนกจากเงินถุงแดง พร้อมส่งเช็คให้สถานทูต ฝรั่งเศสแถวบางรัก ให้ยกดินแดนบนฝั่งซ้ายแม่น้ าโขงและเกาะต่างๆ ในแม่น้ าด้วย ให้ถอนทัพไทยจากฝั่งแม่น้ าโขงออกให้หมดและไม่สร้างสถานที่ส าหรับการทหาร ในระยะ 25 กิโลเมตร ทางฝ่ายไทยไม่ยอมรับในข้อ 2 ฝรั่งเศสจึงส่งกองทัพมาปิดอ่าวไทย เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม พ.ศ. 2436 และยึดเอาจังหวัดจันทบุรีกับจังหวัดตราดไว้เพื่อบังคับให้ไทยท าตาม
39 พระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ำเจ้ำอยู่หัว(รัชกำลที่6) พระราชประวัติรัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ประสูติพ.ศ. 2423 ขึ้นครองราชย์พ.ศ. 2453 - พ.ศ. 2468) มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระรำชประวัติ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2421 พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า เสาวภาผ่องศรี( สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชเทวี) เมื่อยังทรงพระเยาว์ทรงพระนามว่า "สมเด็จเจ้าฟ้ามหา วชิราวุธ" ได้รับสถาปน าเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเทพทวาราวดีในปีพ.ศ. 2431 และต่อมาในปี พ.ศ. 2437 สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมารด ารงต าแหน่งรัชทายาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ จึงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระ บรมโอรสาธิราชสยามมงกุฎราชกุมาร ด ารงต าแหน่งรัชทายาทแทน พระรำชกรณียกิจที่ส ำคัญของรัชกำลที่ 6 ด้ำนกำรศึกษำ ในด้านการศึกษา ทรงริเริ่มสร้างโรงเรียนขึ้นแทนวัดประจ ารัชกาล ได้แก่ โรงเรียนมหาดเล็กหลวง ซึ่งใน ปัจจุบันคือโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ทั้งยังทรงสนับสนุนกิจการของโรงเรียนราชวิทยาลัยซึ่งพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นในปีพ.ศ. 2440 (ปัจจุบันคือโรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ใน พระบรมราชูปถัมภ์) และในปีพ.ศ. 2459 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐาน “โรงเรียนข้าราชการพล เรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย แห่งแรกของประเทศไทย
40 กำรเปิดโรงเรียนในเมืองเหนือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งยังทรงด ารงพระอิสริยยศสยามมกุฎราชกุมารได้เสด็จ พระราชทานนามโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2449 ซึ่งไม่เป็นเพียงแต่การน า รูปแบบการศึกษาตะวันตกมายังหัวเมืองเหนือเท่านั้น แต่ยังแฝงนัยการเมืองระหว่างประเทศเอาไว้ด้วย[16] เห็น ได้จากการเสด็จประพาสมณฑลพายัพทั้งสองครั้งระหว่าง พ.ศ. 2448-2450 พระองค์ได้ทรงสนพระทัยในกิจการ โรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ทั้งสิ้น โดยพระองค์ทรงบันทึกไว้ในพระราชนิพนธ์"เที่ยวเมืองพระร่วง" และ "ลิลิต พายัพ"ทั้งนี้เป้าหมายของการจัดการศึกษายังแฝงประโยชน์ทางการเมืองที่จะให้ชาวท้องถิ่นกลมเกลียวกับไทย อีกด้วย ด้ำนกำรเศรษฐกิจ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติคลังออมสิน พ.ศ. 2456 ขึ้น เพื่อให้ประชาชนรู้จัก ออมทรัพย์และเพื่อความมั่นคงในด้านเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังทรงริเริ่มก่อตั้งบริษัทปูนซิเมนต์ไทยขึ้น ด้ำนกำรคมนำคม ในปีพ.ศ. 2460 ทรงตั้งกรมรถไฟหลวง และเริ่มเปิดการเดินรถไฟสายกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ สายใต้จาก ธนบุรีเชื่อมกับปีนังและสิงคโปร์อีกทั้งยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานพระราม 6 เพี่อเชื่อมทางรถไฟไปยัง ภูมิภาคอื่น
41 พระบำทสมเด็จพระปกเกล้ำเจ้ำอยู่หัว(รัชกำลที่7) พระราชประวัติรัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ประสูติพ.ศ. 2436 ขึ้นครองราชย์พ.ศ. 2468 - พ.ศ. 2477) มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดช กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา พระรำชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นโอรสองค์ที่ 76 ทรงเป็นพระโอรสองค์เล็กของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงประสูติแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนารถ นับว่าเป็น พระราชโอรสองค์เล็กสุด ประสูติเมื่อวันที่ 8 พฤศจิการยน พ.ศ. 2436 ตรงกับวันพุธ แรม 14 ค ่า เดือน 11 ปี มะเส็ง ทรงพระนามเดิมว่า “เจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดช กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา” เมื่อทรงมีพระชนมายุได้12 พรรษา พระองค์ได้เข้าศึกษา ในวิทยาลัยทหารบก ณ ประเทศอังกฤษ จนจบและได้เสด็จกลับมารับราชการในรัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นพระเชษฐาธิราชของพระองค์โดยได้รับยศเป็นนายพัน โททหารบกมีต าแหน่งเป็นราชองครักษ์และผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยชั้นประถม ต่อมาภายหลังได้เลื่อน ต าแหน่งเป็นล าดับจนเป็นนายพันเอก มีต าแหน่งเป็นปลัดกรมเสนาธิการทหารบก ก่อนขึ้นครองราชสมบัติมี ต าแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 พระรำชกรณียกิจที่ส ำคัญของรัชกำรที่ 7 ด้ำนกำรท ำนุบ ำรุงบ้ำนเมือง เศรษฐกิจ สืบเนื่องจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศทั่วโลกประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจ ตกต่ า ซึ่งมีผลกระทบกระเทือนมาสู่ประเทศไทย พระองค์ได้ทรงพยายามแก้ไขการงบประมาณของประเทศให้งบดุล อย่างดีที่สุดโดยทรงเสียสละตัดทอนรายจ่ายส่วนพระองค์โดยมิได้ขึ้นภาษีให้ราษฎร เดือดร้อน การสุขาภิบาลและสาธารณูปโภค โปรดให้ปรับปรุงงานสุขาภิบาลทั่วราชอาณาจักรให้ทัดเทียมอารยประเทศ ขยายการสื่อสารและการคมนาคม โปรดให้สร้างสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งแรกใน ประเทศไทย ในส่วนกิจการ รถไฟ ขยายเส้นทางรถทางทิศตะวันออกจากทางจังหวัดปราจีนบุรีจน กระทั่งถึงต่อเขตแดนเขมร
42 การส่งเสริมกิจการสหกรณ์ให้ประชาชนได้มีโอกาสร่วมกันประกอบกิจการทางเศรษฐกิจ โดยทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติสหกรณ์พ.ศ. 2471 ขึ้น ทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างโรงภาพยนตร์ ศาลาเฉลิมกรุง ซึ่งนับเป็นโรงภาพยนตร์ทันสมัยในสมัยนั้น ติดเครื่องปรับอากาศ เพื่อเป็นสถานบันเทิงให้แก่ผู้คน ในกรุงเทพมหานคร ส าหรับในเขตหัวเมือง ทรงได้จัดตั้ง สภาจัดบ ารุงสถานที่ชายทะเลทิศตะวันตกขึ้น เพื่อท านุ บ ารุงหัวหินและใกล้เคียงให้เป็นสถานที่ตากอากาศชายทะเลแก่ประชาชนที่มาพักผ่อน ในปีพ.ศ. 2475 เป็นระยะเวลาที่กรุงเทพฯ มีอายุครบ 150 ปีทรงจัดงานเฉลิมฉลองโดยท านุบ ารุง บูรณปฏิสังขรณ์สิ่งส าคัญอันเป็นหลักของกรุงเทพฯ หลายประการ คือ บูรณะวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง สร้างสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์เพื่อเชื่อมกรุงเทพฯและธนบุรีเป็นการขยายเขต เมืองให้ กว้างขวาง และสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
43 พระบำทสมเด็จพระปรเมนทรมหำอำนันทมหิดล(รัชกำลที่8) พระราชประวัติรัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (ประสูติพ.ศ. 2468 ขึ้นครองราชย์พ.ศ. 2472 - พ.ศ. 2489) มีพระนามเดิมว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระรำชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล มีพระนามเดิมว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า อานันทมหิดล ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 ตรงกับวันขึ้น 3 ค ่า เดือน 11 ปีฉลู ณ เมืองไฮเดลแบร์ก ประเทศเยอรมันนีทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 ของสมเด็จพระราชบิดาเจ้าฟ้ามหิดล อดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์และสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ทรงมีพระพี่นางและพระอนุชาร่วม สมเด็จพระราชบิดาและสมเด็จพระราชชนนีเดียวกันคือ 1. สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา 2. สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช พ.ศ. 2472 สมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชกรมหลวงสงขลานครินทร์เสด็จทิวงคต พ.ศ. 2474 พระองค์ได้เสด็จไปทรงศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีถนนเพลินจิต พ.ศ. 2476 เสด็จพระราชด าเนินไปทวีปยุโรป ประทับ ณ เมืองโลซานน์ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ พ.ศ. 2477 ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 เนื่องจากพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดาที่จะสืบราชสันตติวงศ์และด้วยความเห็นชอบของ ผู้ส าเร็จราชการแผ่นดินที่ได้ด าเนินการไปตามกฎมณเฑียรบาล พ.ศ. 2481 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เสด็จพระราชด าเนินกลับเยี่ยมประเทศไทย พร้อมด้วยสมเด็จพระชนนีสมเด็จพระพี่นางเธอและสมเด็จพระเจ้าน้องเธอ ได้ทรงประประทับอยู่ที่พระต าหนัก จิตรลดารโหฐานประมาณ 2 เดือน จึงเสด็จไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์เพื่อเข้าศึกษาวิชานิติศาสตร์และการ ปกครองในมหาวิทยาลัยประเทศนั้น พ.ศ. 2488 วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2488 พระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะ จึงเสด็จกลับมาถึงประเทศไทย อีกครั้งหนึ่ง และในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 ได้ทรงประทับอยู่ ณ พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง ผู้ส าเร็จราชการแทนคนล่าสุดคือ นายปรีดีพนมยงค์ได้ถวายพระราชภารกิจแด่พระองค์เพื่อได้ทรงบริหารเต็มที่ ตามพระราชอ านาจ
44 พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช(รัชกำลที่9) พระราชประวัติรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (ประสูติพ.ศ. 2470 ขึ้นครองราชย์พ.ศ. 2489 - 2559) พระรำชประวัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ เมือง เคมบริจดจ์มลรัฐเมสสาชูเสท ประเทศสหรัฐอเมริกา ทรงเป็นพระราชโอรสาธิราช องค์ที่ 3 ในสมเด็จพระราช ชนนีศรีสังวาลย์( สมเด็จพระศรีนครินทรทรา บรมราชชนนี) พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์เล็ก ทรงมีพระ เชษฐาธิราชว่า " พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล " พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ รัชกาลที่ 8 และมีพระพี่ นาง พระนามว่า " สมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา " พระองค์ได้เสด็จกลับเถลิงถวัลยราชสมบัติต่อจากพระบรมเชษฐาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ขณะ มีพระชันษา 19 ปีก่อนครองราชย์ได้ทรงศึกษาวิชาวิศวกรรมศาสตร์และได้เสด็จกลับไปศึกษาวิชานิติศาสตร์และ รัฐประศาสนศาสตร์ต่ออีกภายหลังที่ได้ครองราชย์แล้ว ทรงสนพระทัยในอักษรศาสตร์และการดนตรีทรงรอบรู้ภาษาต่างประเทศหลายภาษาและตรัสได้อย่าง คล่องแคล่ว จนเป็นที่ประจักษ์แก่คณะทูตานุทูตและประชาชนชาวเมืองนั้นๆ เป็นอย่างดีต่างพากันชมว่า พระองค์ทรงมีความรู้ทันสมัยที่สุดพระองค์หนึ่ง ส าหรับดนตรีนั้นทรงประพันธ์เนื้อร้องและท านองเพลงแด่คณะวง ดนตรีต่างๆ มีเพลงพระราชนิพนธ์ที่คนไทยรู้จักเช่น เพลงสายฝน เพลงประจ ามหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์เพลง ประจ ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พระองค์เคยเข้าร่วมวงดนตรีกับชาวต่างประเทศมาแล้ว โดยไม่ถือพระองค์
45 รัชกำลที่10 สมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวมหำวชิรำลงกรณ บดินทรเทพยวรำงกูร พระนามเต็ม รัชกาลที่ 10 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระนามเดิมของพระองค์ เดิมว่า สมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธ ารง สุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์บรมขัตติย ราชกุมาร ซึ่งเป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระองค์ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ เมื่อเวลา ๑๗ นาฬิกา ๔๕ นาทีณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต กำรศึกษำ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงได้รับการศึกษาระดับอนุบาลศึกษาที่ พระที่นั่งอุดร พระราชวังดุสิต และทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา โรงเรียน จิตรลดา ระหว่างพุทธศักราช ๒๔๙๙ –๒๕๐๕ ที่ประเทศอังกฤษระหว่างพุทธศักราช ๒๕๐๙ – ๒๕๑๓หลังจากนั้น ได้ทรงศึกษาระดับเตรียมทหารที่โรงเรียนคิงส์ นครซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย แล้วเข้ารับการศึกษา ระดับอุดมศึกษา ทรงได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต (การศึกษาด้านทหาร) คณะการศึกษาด้านทหาร จาก มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลล์ประเทศออสเตรเลีย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙