คำ�อนโุ มทน�
หนังสอื ธรรมะแต่ละเลม่ จะส�ำ เร็จข้ึนม�เพอื่ แจกท�นให้ท่�นผใู้ คร่ธรรมไดอ้ �่ น ย่อม
ส�ำ เร็จดว้ ยอ�ำ น�จแห่งศรัทธ�ของท่�นผูใ้ จบุญท้งั หล�ยชว่ ยกนั บริจ�คและจดั ทำ� แม้เล่มน้ีก็
ส�ำ เร็จขึน้ ม�เพร�ะแรงศรทั ธ�ของท�่ นผู้ใจบุญหนุนโลกเชน่ เดยี วกนั ล�ำ พงั ผู้แสดงก็มีเพยี ง
ลมป�กอย�่ งเดียวเท่�นน้ั พอแสดงจบลงลมป�กก็ห�ยสูญไปในขณะน้นั ไม่อ�จเหนีย่ วรัง้
ธรรมท่แี สดงออกน้ันๆ ใหจ้ รี ังยง่ั ยืนสบื ไปไดเ้ ลย เพร�ะไม่มปี ญั ญ�สร�้ งธรรมให้จีรังยง่ั ยืน
ไดด้ ้วยวิธกี �รใดๆ ท่เี หน็ ว�่ เหม�ะสม จ�ำ ต้องอ�ศยั บุญบ�รมขี องท�่ นคณะศรทั ธ�ผ้ใู จบุญ
ท้ังหล�ย ชว่ ยเสรมิ สร้�งคว�มจีรังถ�วรแห่งธรรม ดว้ ยก�รรว่ มกนั บรจิ �คและจดั พิมพเ์ ปน็
เลม่ ขึ้นม� เพ่ือท่�นผูอ้ ่�นไดอ้ �ศยั พ่ึงร่มเง�แห่งใบบญุ หนนุ โลกอนั ไมม่ ปี ระม�ณน้นั ผู้แสดง
จึงขออนโุ มทน�กับท่�นทัง้ หล�ยเปน็ อย่�งยงิ่ ม�พรอ้ มนี้ บญุ กศุ ลทั้งมวลที่เกิดขึน้ เพร�ะก�ร
บ�ำ เพ็ญน้ี จงส�ำ เรจ็ ผลอันพงึ หวงั ดงั ใจหม�ยโดยทวั่ กนั เทอญ
ค�ำ อนโุ มทน�ในก�รพมิ พ์เมอื่ ๙ มถิ นุ �ยน ๒๕๒๗
ค�ำ น�ำ
ก่อนอ่ืนต้องขออภยั ต่อท่�นผู้อ�่ นโดยทัว่ กนั ท่ไี ม่อ�จดัดแปลงแก้ไขเนอื้ ธรรมและสำ�นวน
ต�่ งๆ ให้เหม�ะสมกบั หนงั สอื เล่มนี้ ที่จะออกส่สู �ยต�ส�ธ�รณชนซึ่งมคี ว�มรสู้ ึกในแงแ่ หง่ ธรรม
หนกั เบ�ต�่ งกัน เนอ่ื งจ�กก�รแสดงธรรมแต่ละกัณฑ์แกท่ ่�นผฟู้ งั ซึง่ ลว้ นเปน็ นักปฏบิ ัติธรรมดว้ ยกนั
ประสงคอ์ ย�กฟงั ธรรมป�่ ที่เกีย่ วกบั ภ�คปฏบิ ัตจิ ิตภ�วน�ม�กกว่�ภ�คอืน่ ๆ ผู้แสดงซ่ึงเปน็ พระป่�ๆ
อยู่แลว้ จงึ เรม่ิ แสดงธรรมป่�โดยล�ำ ดบั ต�มนิสยั ป�่ แตก่ ณั ฑ์เริม่ แรกจนถึงกัณฑ์สดุ ท้�ย ซงึ่ รวมก�ร
เทศนต์ ิดตอ่ กันม�โดยล�ำ ดบั ในชว่ งนนั้ คงไม่ตำ่�กว�่ ๘๐ กณั ฑ์ ซง่ึ ส่วนม�กมักเปน็ ธรรมเผ็ดร้อน
ม�กกว�่ จะสมนำ�้ สมเนอื้ เท�่ ท่คี วร
หลงั จ�กก�รแสดงธรรมผ�่ นไปแล้วเปน็ ปๆี จึงมีท่�นผศู้ รทั ธ� คอื ม.ร.ว.เสรมิ ศรี เกษมศรี
ม�แสดงคว�มประสงค์ขออนญุ �ตพมิ พก์ ณั ฑเ์ ทศนเ์ หล่�น้ีขึน้ เป็นเลม่ เพ่อื แจกท�น และประสงค์ให้
กณั ฑ์เทศนเ์ หล่�น้ที พ่ี ิมพ์เปน็ เลม่ แลว้ จรี งั ย่ังยืนไปน�น จึงได้อนุญ�ตต�มอัธย�ศยั โดยไม่มหี นท�ง
แกไ้ ขกัณฑเ์ ทศนเ์ หล�่ นใี้ หเ้ หม�ะสมแก่ท่�นผู้อ่�นท่วั ๆ ไปไดแ้ ต่อย�่ งใด ถ้�เรอ่ื งใดประโยคใดไม่
เหม�ะสมกับจรติ นสิ ัยก็กรณุ �ผ�่ นไป ยดึ ไว้เฉพ�ะทีเ่ หน็ ว�่ ควรแก่นิสัยของตนๆ เพ่ือประโยชน์ในก�ล
ต่อไป
หนงั สอื ทผี่ ู้เขียนเรยี บเรียงข้ึน หวังใหท้ ุกท�่ นท่มี ีจติ ศรัทธ�ได้เป็นเจ้�ของพมิ พแ์ จกเปน็ ธรรม
ท�นด้วยกันได้ทกุ โอก�ส โดยไมต่ อ้ งขออนุญ�ตแต่อย�่ งใด สว่ นก�รพมิ พ์เพ่ือจ�ำ หน่�ย จึงขอสงวนสิทธิ์
ทุกๆ เล่มไป ดงั ทเ่ี คยปฏบิ ตั มิ �
คำ�นำ�ในก�รพมิ พเ์ มือ่ ๙ มิถุน�ยน ๒๕๒๗
ปฐมเหตุ ธรรมชุดเตรยี มพรอ้ ม
ผู้จัดทำ�ขอนำ�บทคว�มที่หลวงต�พระมห�บัวได้กล่�วถึงคุณเพ�พง�
วรรธนะกลุ ซึง่ คัดลอกบทคว�มบ�งตอนจ�ก “ญ�ณสัมปนั นธมั ม�นุสรณ์”
หน้� ๔๕๗-๔๕๘ จ�กหนงั สืออนสุ รณเ์ นอ่ื งในง�นพระร�ชท�นเพลงิ ถว�ย
แด่พระสรรี ะสงั ข�รพระธรรมวิสุทธมิ งคล (หลวงต�พระมห�บัว ญ�ณสัมปัน
โน)
ผแู้ ต่ง : วัดป่าบ้านตาด
ISBN : 978-974-350-988-9; Year/Edition : สงิ หาคม ๒๕๕๔/๙๒๘
บทคว�มบ�งตอนจ�กหน้� ๔๕๗ “เร่มิ เทศนเ์ พอื่ คนป่วย”
ในปี พ.ศ.๒๕๑๘ สตรซี ง่ึ เป็นศิษยอ์ งคห์ ลวงต�ท�่ นหนึง่ ชื่อคณุ เพ�พง� วรรธนะกลุ ได้ป่วยไขไ้ ม่
สบ�ยจงึ ไมค่ ดิ ท�ำ ง�นท�งโลกอกี ต่อไป คุณเพ�พง�ได้เขยี นจดหม�ยขอม�ปฏบิ ตั จิ ิตตภ�วน�เตรยี มรบั กับ
มรณภัยที่วดั ป�่ บ้�นต�ด ซึง่ องคห์ ลวงต�ท่�นกไ็ ด้ใหค้ ว�มอนเุ คร�ะหต์ �มท่ขี อและตง้ั ใจไปแสดงธรรมเปน็
กรณีพิเศษ ดังนี้
“...คุณเพ�เร�เสยี (ชีวิต)ไปกปี่ แี ลว้ ปี ๒๕๑๙-๒๕๒๐ ไม่รู้นะ เหตทุ ี่ว�่ อย่�งน้ันกค็ อื ว่� คุณเพ�นี้เป็น
โรคมะเรง็ กระดกู ข�้ งๆ น้ี หมอเข�บอกว่�อยูอ่ ย�่ งน�นได้ ๖ เดอื น แกก็หมดหวงั ละ เลยเขยี นจดหม�ย
‘อย�กม�ภ�วน�ก่อนต�ย’
เร�ก็พูดเป็นสองพักเอ�ไว้ (ตอบจดหม�ย) ‘ถ�้ ไปภ�วน�ธรรมด�ๆ น้ี อย�กอยู่ทไ่ี หน ไปทใี่ ดไปกไ็ ม่
ได้ ไม่ไปก็ไม่ว่�’ เร�ว่�ง้ันนะ ข้อสอง ‘ถ้�ตัง้ ใจจะภ�วน�จรงิ ๆ เพ่อื เห็นโทษแห่งคว�มต�ยของตวั เองแล้ว
ก็ เอ�! ไปได้’
เร�ว่�สองพัก พอแกได้รับจดหม�ยเย็นวันนี้แกก็ออกเดินท�งเลย ตอนเช้�ไปถึงแล้ว ไปรถยนต์
‘อ�้ ว จดหม�ยได้รบั หรือยงั ’
‘ไดร้ ับเมือ่ เยน็ ว�นน้ี พอไดร้ ับแล้วกม็ �เลย’
‘เอ�้ ถ้�อย�่ งน้ันให้เลือกเอ� กฏุ ิทีอ่ ุไร ห้วยธ�ร อยู่ กับกฏุ ิคุณหญงิ กอ้ ย สองหลงั นใ้ี หเ้ ลือกเอ�
เป็นทสี่ งดั จะพักหลงั ไหนกไ็ ด้’
กต็ อบว�่ ‘พกั หลังคณุ หญงิ ก้อย’ แต่กอ่ นมันเตยี้ ๆ พงึ่ ยกขน้ึ เมอื่ เรว็ ๆ น.้ี ..
ตงั้ แต่วันนน้ั ม�เร�เข�้ ไปเทศน์ใหฟ้ งั ทกุ วนั นะ ดเู หมือนเป็นปี ๒๕๑๘-๒๕๑๙ เทศนใ์ ห้ฟังทุกเย็น
พอตกเย็นม�จวนมดื แลว้ ไปกบั ท�่ นปญั ญ� ท่�นปญั ญ�เปน็ ผอู้ ัดเทป เร�ไปเทศนใ์ หฟ้ งั ทุกๆ เย็นเลย
เว้นแต่วันไหนประชุมพระ หรือเร�มีธุระจำ�เป็นเร�ก็บอกล่วงหน้�เอ�ไว้ว่�วันพรุ่งนี้จะไม่เข้�ม�
นอกจ�กนน้ั เทศน์ทกุ วนั ๆ ดเู หมอื น ๙๐ กว่�กณั ฑ์ ไปอยู่น้นั ตง้ั ๓ เดือนนน้ั ละจึงได้หนังสอื เล่มท่ีว่�
“ศ�สน�อยทู่ ไี่ หน” หน่ึง “ธรรมชุดเตรยี มพรอ้ ม” หนึง่ สองเล่มน่ีท่เี ทศน์ตดิ กันไปเร่อื ยๆ เปน็ หนังสือสอง
เลม่ นี้ กอ็ ยู่ย�่ นปี ๒๕๑๙ ม้ัง แกเสียปนี ัน้ เร�ลมื ๆ เสยี ...”
บทคว�มบ�งตอนจ�กหน้� ๔๕๘
“โยมแมไ่ ด้หลักใจฟังเทศนล์ ูก”
ในช่วงท่ีท่�นเมตต�สงเคร�ะห์คนป่วยในคร�วนี้เองทำ�ให้โยมแม่ขององค์หลวงต�ท่�นมีโอก�สฟัง
ธรรมอย่�งตอ่ เน่อื ง เกิดผลด�้ นจิตใจดงั นี้
“...โยมแม่ก็ไดม้ �ฟังเทศน์ ไม่ม�กละเทศน์กด็ เู หมือนประม�ณสกั ๓๐ น�ทีละมง้ั แตล่ ะกัณฑ์ๆ
ละ ๓๐ หรืออย่�งม�กก็ ๔๐ น�ที ห�กเทศน์ทกุ วนั เลย... นล่ี ะก็เทศน์สอนคุณเพ�พง� เทศน์ตดิ เทศน์
ต่อ เทศนไ์ ม่หยดุ ไมถ่ อย ตงั้ แตน่ ้นั ม�แล้วก็ไม่เคยเทศน์อย�่ งน้นั อกี นะ มหี นเดียวเท�่ น้นั ในชวี ติ ของเร�ที่
เทศนต์ ดิ กันไปเลยใน ๓ เดอื นเทศน์ทุกๆ คนื เวน้ วนั ประชุมพระ ถ�้ วนั ไหนประชุมอบรมพระไมเ่ ข้�หรือ
มีธรุ ะจ�ำ เป็นท่ีจะไปไหนก็ไป”
โยมแม่จงึ ได้กำ�ลงั ใจท่ีไปเทศน์สอนคุณเพ� โยมแมไ่ ด้ก�ำ ลงั ใจตอนน้นั ถึงขน�ดท่ีว่�พอคณุ เพ�
กลบั ไปแลว้ กพ็ ดู เปิดอกกับเร� นมิ นตเ์ ร�ใหไ้ ปเทศน์ “วนั ไหนไมม่ แี ขกคนม� ถ�้ อ�จ�รย์ว่�งกข็ อนมิ นต์ม�
เทศนส์ อนอบรมแม่บ้�งนะ เวล�ฟังเทศน์นีไ้ มไ่ ดบ้ ังคบั จิตใจ พอเริม่ เทศนจ์ ิตจอ่ ป๊ับเท�่ น้ี เทศนน์ ้จี ะกล่อม
ลง แล้วแน่วเลยไม่ตอ้ งบงั คบั จิตสงบทุกครัง้ เลยไม่มีพล�ด ฟงั กณั ฑ์ไหนไดเ้ หตผุ ลเลย ไม่ตอ้ งบงั คบั พอ
เสยี งธรรมเริม่ สติก็เริม่ จับจิตเกย่ี วโยงกันโดยลำ�ดับ คว�มรกู้ ล่อมลงๆ ธรรมเทศน�กล่อมใจแน่วลง สงบ
แน่วๆๆ ถ้�แม่ทำ�โดยลำ�พงั ตนเอง นั่งจนหลงั จะหกั มันก็ไม่ลง อย�กนิมนต์อ�จ�รย์ม�เทศน์เปน็ ก�รช่วย
ท�งด�้ นจติ ตภ�วน�ไดด้ ี”
องคห์ ลวงต�ไดป้ ร�รภถงึ โยมม�รด�ของท่�นว่�
“...พดู ถงึ โยมแม่เร�พอใจในก�รปฏิบตั ิธรรม โยมแม่ได้หลักไม่สงสยั เลย ดีไม่
ดจี ะไม่กลบั ม�เกดิ อกี กไ็ ด้... หยดุ พักน่แี ล้วออกจ�กน่ีก�้ วผึงเลย ถึงไมถ่ ึงท่ีสดุ ในขณะ
นน้ั กก็ �้ วเตรียมพร้อมแลว้ ท่จี ะพุ่ง...
โยมแมเ่ ร�ไม่กลับม�เกดิ แลว้ ล่ะ ไปนพิ พ�นข�้ งหน้�เลย...”
จดหม�ยล�ยมือหลวงต�
จดหม�ยของท�่ นพระอ�จ�รยม์ ห�บัว ญ�ณสมปฺ นฺโน มถี ึงน�งเพ�พง� วรรธนะกุล
เมื่อวันที่ ๒๖ กมุ ภ�พนั ธ์ ๒๕๑๙
ก�รปฏบิ ัตธิ รรมสมควรแก่ธรรม ท่ปี ระท�นไวด้ ว้ ยพระเมตต�สุดสว่ นไม่มใี คร
เสมอในโลก น้นั คือก�รบูช�พระองค์ท�่ นแท้ ก�รเห็นคว�มจริงทีม่ อี ยกู่ ับตวั ตลอด
เวล�ดว้ ยปัญญ�โดยล�ำ ดบั น้นั กค็ ือก�รเห็นพระตถ�คตโดยล�ำ ดับ
ก�รเหน็ คว�มจรงิ อย่�งเต็มใจดว้ ยปัญญ�นัน้ แล คือก�รเหน็ พระพุทธเจ้�เตม็
พระองค์ พระพุทธเจ�้ แท้ ธรรมแท้อยูท่ ่ใี จ ก�รอปุ ฏั ฐ�กใจตวั เอง คอื ก�รอุปัฏฐ�ก
พระพทุ ธเจ�้ ก�รเฝ้�ดูใจตัวเองดว้ ยสติปญั ญ� คือก�รเข้�เฝ�้ พระพุทธเจ้� พระ
ธรรม พระสงฆ์ อย่�งแท้จริง
พญ�มจั จรุ �ชเตอื น และบุกธ�ตขุ นั ธ์ของสัตวโ์ ลกต�มหลกั คว�มจริงของเข�
เร�ต้องต้อนรบั ก�รเตือน และก�รบุกของเข�ดว้ ยสติ ปญั ญ� ศรัทธ� คว�มเพียร
ไม่ถอยหลงั และขนสมบัติ คอื มรรค ผล นิพพ�น ออกม�อวดเข�ซ่งึ ๆ หน้� ดว้ ย
คว�มกล้�ต�ย โดยท�งคว�มเพยี ร เข�กบั เร�ทถ่ี อื ว�่ เป็นอรศิ ตั รกู นั ม�น�น จะเป็น
มติ รกนั โดยคว�มจรงิ ดว้ ยกัน ไมม่ ใี ครไดใ้ ครเสียเปรยี บกนั อีกตอ่ ไปตลอดอนันตก�ล
ธ�ตขุ นั ธ์เป็นส่ิงทโี่ ลกจะพึงสละทั้งทเ่ี สยี ด�ย เร�พงึ สละด้วยสติปัญญ�ก่อน
หน�้ ทจ่ี ะสละขันธ์แบบโลกสละกนั นัน่ คอื คว�มสละอย�่ งเอก ไม่มีสองกบั อันใด
กรุณ�ฟงั ใหถ้ งึ ใจ เพร�ะเขียนด้วยคว�มถงึ ใจ เอวำฯ
ที่มา รปู แสกนจดหมายจาก ญาณสมั ปนั นธมั มานสุ รณ์ 458, ขอ้ ความอกั ษรจากเวบ็ ไซต์ www.luangta.com
สารบญั ๑๔๑
๑๔๘
อะไรคอื จติ จิตพระอรหนั ต์ ๑๖๐
จะฝกึ จิต ตอ้ งฝนื ๑๗๓
จติ วุ่นว�ย ๑๘๕
อบุ �ยฝกึ จติ ท�งลดั ๑๙๗
อบุ �ยชำ�ระจติ ให้เปน็ ธรรม ๒๐๙
จิตต�นุปัสสน� ๒๒๔
จิตผ่องใส คอื อวชิ ช� ๒๓๙
จติ ว�่ งเพร�ะว�งก�ย ๒๕๑
ก�ยวเิ วก จติ วเิ วก อุปธิวเิ วก ๒๗๓
สร�้ งธรรมให้จิตให้พอก่อนต�ย ๒๘๕
จงสร้�งว�สน�ท่ใี จ ๒๙๖
จงสร�้ งใจ ใหช้ ่วยตวั เอง ๓๑๐
จิตบรสิ ทุ ธิ์ ๓๒๐
พระนิพพ�นกงั ว�นอยใู่ นจิต
สร้�งเรือนส�มชนั้ ให้จิต
๒ภาค
“เรา กับ จิต’’
อะไรคือจิต จิตพระอร๑ห๒๖นั ต์
เทศนโ ปรดคุณเพาพงา วรรเธทนศะนก์โปุลรดณคุณวดัเพปาา พบงา นวตรารดธนะกลุ ณ วัดปา่ บ้านตาด
เม่อื วันท่ี ๒๔ พฤศจกิ ายน พทุ ธเศมกัือ่ วรนัาชที่ ๒๒๔๕๑พ๘ฤศจิกายน พทุ ธศักราช ๒๕๑๘
อะไรคือจติ –จิตพระอรหนั ต
ทานอาจารยม น่ั ทา นวา “ใจ” มีภาษาเดียวเหมือนกนั หมด ไมว าจะเปนชาติใด
ภาษาใด มีเพยี งความรคู ือใจน้ี ฉะน้นั ทา นจงึ วาเปน ภาษาเดียว พอนกึ ออกมากเ็ ขา ใจ
แตเ วลาแยกออกมาพดู ตองเปน ภาษานั้นภาษานี้ ไมค อ ยเขา ใจกนั ความรูสกึ ภายในจติ
ใจนน้ั เหมอื นๆ กนั ธรรมกบั ใจจึงเขา กนั สนทิ เพราะธรรมกไ็ มไดเปนภาษาของอะไร
ธรรมก็คอื ภาษาของใจ ธรรมอยูก บั ใจ”
ความสขุ ความทกุ ขอ ยูกบั ใจ การทําใหส ขุ หรอื ใหท กุ ขเกิดข้ึนก็ใจเปน ผคู ดิ ขน้ึ มา
ผลทีป่ รากฏขน้ึ เปนสุขเปน ทุกข ใจเปน ผูรับรู เปน ผรู ับภาระในผลของตนท่ีคดิ ขน้ึ มา ใจ
กับธรรมจงึ เขา กันไดสนทิ ไมว า จะเปนชาตใิ ดภาษาใด เรอ่ื งธรรมนัน้ เขากันไดท ง้ั นนั้
เพราะใจกบั ธรรมเปน ของคูค วรกนั อยแู ลว
ใจนี้คอื แกน ในสกลกายของเรา เปนแกนอนั หน่งึ หรือเปน ของแข็ง หรอื เปน
สาระสําคญั ท่ีมอี ยูในรางกายน้ี ไดแกใจเปน หลักใหญ อาการทเี่ กิดขน้ึ จากใจ เชน ความ
คดิ ความปรงุ เกิดแลวดบั ๆ ก็หมายถงึ ความกระเพื่อมของใจกระเพอ่ื มข้ึนมา คอื ความ
คิดปรุง ความหมายเกย่ี วกบั การคาดการจดจาํ น้ันหมายถงึ สัญญา ยาวออกไปก็เปน
สญั ญา สน้ั กเ็ ปน สงั ขาร คือปรุงแพล็บกเ็ ปนสังขาร สญั ญา คือความหมายความจํา
วิญญาณหมายถงึ การรบั รูในขณะที่ส่ิงภายนอกเขามาสมั ผสั อายตนะภายใน เชน ตากบั
รปู สัมผัสกนั เกิดความรขู น้ึ มา เปนตน เหลา นี้มกี ารเกดิ การดบั อยปู ระจาํ ตวั ของเขาเอง
ทา นจงึ เรียกวา “ขนั ธ” แตละหมวดแตละกองรวมแลว เรียก วา “ขนั ธ”
ขันธหา กองนี้มกี ารเกิดการดับกนั อยเู ปน ประจาํ แมแตพ ระขณี าสพทา นกม็ ี
อาการเหลานีเ้ ชน เดยี วกับสามญั ชนทั่วๆ ไป เปนแตว าขันธของทานเปนขนั ธล ว นๆ ไม
มีกเิ ลสเปน เครอ่ื งบงั คบั บัญชาใชใหทาํ น้ี ปรุงนี้คดิ นั้น เปน ขนั ธท ี่คดิ โดยธรรมชาติของ
มันเอง เปน อสิ ระของขนั ธ ไมม ีอะไรมาบงั คบั ใหค ิดนน่ั ปรงุ นี่เหมือนจิตสามญั ชนท่วั ๆ
ไป ถาจะเทยี บขนั ธของสามัญชนทั่วไป ก็เหมือนนกั โทษท่ถี กู บงั คับบัญชาอยูตลอดเวลา
ความคิดความปรุง ความสาํ คญั มน่ั หมายตา งๆ เหลานี้ ลวนแตมีผบู งั คบั บัญชาออกมา
ใหคดิ อยา งน้ันใหปรุงอยางนี้ ใหสาํ คัญมน่ั หมายอยางนัน้ อยางนี้ คอื มกี เิ ลสเปน นาย หวั
หนา บังคบั บัญชาขนั ธเ หลานใ้ี หแ สดงตัวข้ึนมา
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ภาค ๒ “๑เ๑ร๔า๒๑ ก๖บั จติ ’’
๑๒๗
สวนพระขีณาสพคือพระอรหนั ตทานไมม ี ปรุงก็ปรุงธรรมดา พอปรุงแลว ก็ดบั
ไปธรรมดาไมมเี ช้อื ตอ ไมม ีเชอื้ กดถว งจติ ใจ เพราะไมม อี ะไรบงั คับเหมอื นดงั ขันธทีม่ ี
กเิ ลสปกครองหรือมกี เิ ลสเปน หวั หนา ผิดกันตรงน้ี แตค วามจริงนน้ั เหมือนกัน
ท่ีกลาวมาทัง้ หมดนเี้ ปน อนจิ จัง คอื ความไมเ ทย่ี ง ความแปรสภาพของแตละ
ขนั ธๆ มปี ระจาํ ตัวดวยกนั นับแตรปู ขันธค อื กายของเรา เวทนาขนั ธ ไดแ กความสุข
ความทกุ ข ความเฉยๆ นกี่ ็เกิดดบั ๆ สัญญา สังขาร วญิ ญาณ มีเกิดมีดับประจําตนอยู
ตลอดไป
สว นความรจู ริงๆ ทเ่ี ปน รากฐานแหงความรูเกย่ี วกับสิง่ ตางๆ ทเ่ี กิดดบั ๆ นี้ไม
ดบั เราจะพูดวา “จิตนด้ี ับไมได” เราจะพูดวา “จติ นเี้ กิดไมได” เพราะฉะนนั้ จติ ท่ีบรสิ ุทธ์ิ
แลว จึงหมดปญ หาในเรือ่ งเกดิ เรือ่ งตาย ท่ีเกย่ี วกบั ธาตุขนั ธไ ปถอื กําเนดิ เกิดท่ีนน่ั ทีน่ ่ี
แสดงตวั อนั หยาบออกมา เชน เปน สัตวเ ปน บคุ คลเหลาน้นั เปนตน จงึ ไมมสี าํ หรับจติ
ทานทีบ่ รสิ ทุ ธิ์แลว
แตถา ไมบ รสิ ทุ ธิ์ กพ็ วกนแ้ี หละไปเกดิ ไปตาย หมายปา ชาอยูไ มห ยุด เพราะจติ
ท่ีไมตายน้ีแหละ
ฉะน้ันพระพุทธเจาจงึ ทรงสอนโลก เฉพาะอยา งย่ิงคือโลกมนุษยเ รา ผทู ี่รดู ีรูชั่ว รู
บาปบุญคณุ โทษ และรูวธิ ีการทีจ่ ะแกไ ขดัดแปลงหรอื สง เสริมได เขาใจในภาษาธรรมที่
ทานแสดง ทา นจึงไดป ระกาศสอนโลกมนษุ ยเ ปน สาํ คัญกวา โลกอ่นื ๆ เพ่อื จะไดพ ยายาม
ดัดแปลงหรอื แกไ ขส่งิ ทเ่ี ห็นวา ไมเ กิดประโยชนและเปน โทษ ออกจากจติ ใจกายวาจา
และสอนใหพ ยายามบํารุง สงเสริมความดที ี่พอมอี ยบู า งแลวหรือมอี ยูแ ลว และที่ยังไมมี
ใหม ใี หเ กดิ ขึ้น สิง่ ที่มีแลว บาํ รุงรักษาใหเ จริญ เพอื่ เคร่ืองหลอ เลยี้ งจิตใจใหมคี วามชมุ
เยน็ มคี วามสงบสขุ มีหลกั มีเกณฑด วยคุณธรรมคือความดี หากไดเ คลื่อนยายจากธาตุ
ขนั ธปจจุบันนไ้ี ปสสู ถานท่ใี ด ภพใดชาตใิ ด จิตท่ีมีความดเี ปน เครื่องหลอ เล้ียงอยเู สมอ
ยอ มเปน จิตทด่ี ี ไปก็ไปดี แมจะเกดิ กเ็ กดิ ดี อยกู อ็ ยดู ี มคี วามสขุ เรอ่ื ยๆไป
จนกวา จติ นี้จะมีกาํ ลังสามารถอํานาจวาสนา มบี ญุ ญาภิสมภารท่ีไดส รา งโดย
ลาํ ดบั ลาํ ดา นบั ตง้ั แตอดีตมาจนกระทั่งปจจุบนั นต้ี อเนื่องกันมา เชน วานน้เี ปน อดตี
สาํ หรบั วนั น้ี วนั น้ีเปน อดีตสาํ หรับวนั พรุง นี้ ซง่ึ เปนวันท่เี ราไดสรา งความดีมาดวยกันท้งั
นนั้ และหนุนกนั เปน ลําดับ จนกระทงั่ จติ มกี ําลงั กลาสามารถ เพราะอํานาจแหง ความดี
นี้เปน เคร่อื งสนบั สนนุ แลว ผานพน ไปได
คาํ วา “สมมุต”ิ คือการเกดิ การตายดังทีเ่ ปนอยนู ั้น จะไปเกิดในภพทีเ่ งยี บๆ
ละเอยี ดขนาดไหนก็ตาม ท่เี ปนเร่ืองของสมมตุ ิแฝงอยูนัน้ จึงไมม ี ทา นผานไปหมดโดย
ประการทั้งปวง น่ีไดแกจิตพระอรหันตแ ละจิตพระพุทธเจา พูดถึงเร่อื งน้กี ย็ ังมเี ร่อื งของ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชุด๑๑เ๔ต๒๒รยี ๗มพร้อม
๑๒๘
“พระวังคีสะ” พระวังคีสะ ทานเกง มากในการทด่ี ูจติ ผทู ่ตี ายแลว ไปเกดิ ในภพใดแดนใด
ต้งั แตท านเปน ฆราวาส ใครตายกต็ าม จะวาทา นเปน หมอดกู พ็ ูดไมถ นัด ทา นเกง ทาง
ไสยศาสตรน ่ันแหละ เวลาใครตายเขานาํ เอากะโหลกศีรษะมาใหเคาะ ปอ ก ๆๆ
กาํ หนดดทู ราบวาอันนั้นไปเกดิ ทนี่ น่ั ๆ เชนไปเกดิ เปนสัตวนรกกบ็ อก ไปเกิดในสวรรค
กบ็ อก ไปเกิดเปน สตั วเ ดรจั ฉาน ไปเกดิ เปน เปรตเปน ผอี ะไรทานบอกหมดไมม ีอดั มีอน้ั
บอกไดทง้ั น้นั ขอใหไดเ คาะกะโหลกศรี ษะของผตู ายน้นั ก็แลว กัน
พอทา นวังคีสะไดท ราบจากเพ่อื นฝงู เลาใหฟ ง วา พระพุทธเจายงั เกงกวา นอี้ กี
หลายเทา ทา นอยากไดค วามรเู พิม่ เตมิ จงึ ไปยังสํานกั พระพุทธเจาเพอ่ื ขอเรยี นวิชา
แขนงนีเ้ พ่ิมเติมอีก พอไปถึงพระพุทธเจาทานก็เอาศีรษะพระอรหันตมาใหเคาะ “เอา
ลองดูซไิ ปเกดิ ท่ีไหน?” เคาะแลวฟง เงียบ, เคาะแลวฟง เงียบ, คดิ แลว เงียบ กาํ หนด
แลว เงียบ ไมปรากฏวาเจาของกะโหลกศรี ษะนี้ไปเกดิ ทีไ่ หน!
ทา นจนตรอก ทา นพูดสารภาพอยางตรงไปตรงมาวา “ไมทราบทเี่ กิด”
ทแี รกพระวังคีสะนีว้ าตัวเกงเฉลียวฉลาด จะไปแขงกับพระพุทธเจาเสียกอนกอน
จะเรียนตอ พอไปถึงพระพุทธเจา พระองคเ อากะโหลกศรี ษะพระอรหันตมาใหเ คาะน่ี
ซิ ! ทานมาติดตรงน้ี! ทนี ้ีกอ็ ยากจะเรียนตอ ถา เรยี นไดแ ลว ก็จะวิเศษวิโสมาก เม่อื
การณเ ปนไปเชน นนั้ ก็ขอเรยี นท่สี าํ นกั พระพุทธเจา พระพุทธเจากท็ รงสอนวชิ าให สอน
วธิ ใี ห คือสอนวชิ าธรรมนใี่ ห ฝกปฏิบัตไิ ป ๆ พระวังคสี ะกเ็ ลยสําเร็จพระอรหันตข ึน้ มา
เลยไมสนใจจะไปเคาะศีรษะใครอีก นอกจากเคาะศีรษะเจาของ รูแจง ชัดเจนแลว หมด
ปญ หาไปเลย นี่เรียกวา “เคาะศีรษะท่ีถูกตอ ง”!
เมื่อยกเร่อื งจิตทไี่ มเ กิดขึ้นมา กะโหลกศีรษะของทา นผูบริสทุ ธิ์แลว เคาะเทา
ไรกไ็ มร วู า ไปเกดิ ทไ่ี หน! ทั้งๆ ท่พี ระวงั คีสะแตกอ นเกง มาก แตจติ ท่บี รสิ ุทธ์แิ ลว หาที่
เกดิ ไมไ ด ! เชน “พระโคธิกะ” ก็เหมือนกัน นี้กน็ า เปน คตอิ ยไู มนอ ย ทา นไปบาํ เพญ็
สมณธรรมเจริญขึ้นไปโดยลําดับๆ แลวเสอ่ื มลง เจริญข้ึนเสือ่ มลง ฟงวา ถงึ หกหน หนที่
เจด็ ทา นจะเอามดี โกนมาเชอื ดคอตนเอง “โอ เสียใจ” แตก ลับไดส ติขึ้นมา จงึ ได
พิจารณาธรรมจนไดเปนพระอรหันตในวาระสุดทาย อนั นเ้ี ราพดู ยอ เอาเลย ตอนทา น
นพิ พาน พวกพญามารก็มาคนหาวญิ ญาณของทา น พดู ตามภาษาเราก็วา “ตลบเมฆ
เลย” การขุดการคนหาวิญญาณของทา นน้นั ไมเ จอเลย ไมท ราบวาทานไปเกิดท่ีไหน
พระพุทธเจาจึงรบั สั่งวา “การท่ีจะคนหาวิญญาณของพระโคธิกะทเี่ ปน บตุ รของ
เรา ซง่ึ เปน ผสู าํ เร็จเสร็จสน้ิ ไปแลว โดยประการทงั้ ปวงนนั้ จะขุดจะคนจะพิจารณาเทาไร
ธรรมชุดเตรียมพรอม ภาค ๒ “๑เ๔ร๑า๓๒ก๘ับ จติ ’’
๑๒๙
หรอื พลกิ แผน ดินคน หาวญิ ญาณทา นกไ็ มเ จอ มนั สดุ วสิ ยั ของ “สมมตุ ิ” แลวจะเจอ
อยางไร! มันเลยวสิ ัยของคนทม่ี กี ิเลสจะไปทราบอาํ นาจจิตของพระอรหันตทา นได!
ในวงสมมตุ ิทง้ั หลาย ไมม ีผูใดจะสามารถตามวถิ จี ติ ของพระอรหนั ตท านได
เพราะทานนอกสมมุตไิ ปแลว จะเปน จิตเหมือนกนั ก็ตาม ลองพิจารณาดูซิ จิตของเราที่
กาํ ลงั ลม ลุกคลกุ คลานอยเู วลาน้กี ็ตาม เม่ือไดถ ูกชําระเขาไปโดยสมํา่ เสมอไมห ยุดไม
ถอย ไมล ะความเพียรแลว จะคอยละเอียดไปได จนละเอยี ดถึงท่สี ุด ความละเอยี ดก็
หมดไป เพราะความละเอยี ดนั้นเปนสมมตุ ิ เหลือแตธรรมชาตทิ องท้งั แทง หรอื ธรรมทงั้
ดวง ที่เรียกวา “จิตบรสิ ทุ ธ”์ิ แลวก็หมดปญ หาอีกเชน เดยี วกนั เพราะกลายเปนจิต
ประเสริฐ เชนเดยี วกบั จิตของทานที่พนไปแลวน้ันนั่นแล
จติ ประเภทนเี้ ปน เหมอื นกันหมด ไมน ิยมเปนผหู ญงิ ผชู าย นี่เปนเพศหรือสมมุติ
อันหนงึ่ ตางหาก สวนจิตนัน้ ไมไดนิยมวา เปน หญิงเปน ชาย ความสามารถในอรรถใน
ธรรมจึงมีไดท ง้ั หญงิ ทง้ั ชาย และความสามารถท่ีบรรลธุ รรมข้ันตางๆ จนกระทง่ั ถงึ
วิมุตติหลดุ พนไปได กเ็ ปนไปไดท ั้งผหู ญิงผชู าย ไมมีกฎเกณฑท ่ีจะบังคบั กนั ได ขอแต
ความสามารถอาํ นาจวาสนาของตนพอแลว เปน อันผานไปไดด วยกนั ท้งั นั้น
เพราะฉะนนั้ เราจึงควรพยายามอบรมจติ ใจของเรา อยางนอ ยก็ใหไดค วามสงบ
เย็น จะดวยธรรมบทใดกต็ าม ที่เปนธรรมซงึ่ จะกลอ มใหจ ิตมคี วามสงบ แลว ปรากฏ
เปน ความรมเย็นเปนสุขขึ้นมาภายในจติ ใจ พงึ นําธรรมบทน้นั มาเปน เครื่องกํากบั มา
เปนเคร่ืองพึ่งพึง เปน เคร่ืองยึดของจิต เชน อานาปานสติ ซึง่ เปนกรรมฐานสาํ คญั บท
หนง่ึ ในวงปฏิบัตทิ ัง้ หลาย รูสึกวา อานาปานสตจิ ะเปน ธรรมที่ถูกกบั จรติ นสิ ยั ของคน
จํานวนมากกวา ธรรมบทอน่ื ๆ และนําเขามาประพฤติปฏิบัตภิ ายในจติ ใจของเราใหไ ด
รับความสงบเย็น
เมื่อใจเริ่มสงบ เราก็จะเร่ิมเห็นสาระของใจ หรือจะเรม่ิ เหน็ ใจวา เปน อะไร เปน
อยางไร ก็คอื ความท่ีจิตรวมกระแสของตัวเขา มาสูจ ุดเดยี ว เปนความรลู วนๆ อยู
ภายในตัว นน้ั แหละทานเรยี กวา “จิต” ความรวมตวั เขามาของจิตนี้ รวมเขา มาตามข้นั
ตามความสามารถ ตามความละเอยี ดของจติ ตามขน้ั ของจติ ทีม่ ีความละเอียดเปน
ลําดบั ถา จิตยังหยาบ รวมตัวเขา มาก็พอทราบไดเ หมอื นกัน เม่ือจิตละเอียดเขา ไปก็
ทราบความละเอยี ดลงไปอีกวา จิตน้ีละเอียด จิตน้ีผองใส จติ น้สี งบย่งิ จติ นเ้ี ปนของ
อัศจรรยย่ิง ย่งิ ขน้ึ ไปโดยลําดบั ๆ จิตดวงเดียวน้แี หละ!
การชําระการอบรมเพ่ือความสงบ การพิจารณาคน ควาแกไขสง่ิ ทข่ี ัดขอ งภายใน
จิตดวยปญญา ซ่ึงเปน วิธีท่ีจะทาํ ใหจ ติ กา วหนา หรือทําใหถ ึงความจริงของจติ ไดโดย
ลําดบั ดวยการกระทาํ ดังทก่ี ลาวน้ี ใจจะหยาบขนาดไหนก็หยาบเถอะ ถา ลงความเพยี ร
ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ๑๒๙
ธรรมะชดุ๑เ๔ต๔รียมพรอ้ ม
๑๓๐
ไดพ ยายามติดตอ กนั อยูเสมอดว ยความอตุ สา หพ ยายามของเราอยูแ ลว ความหยาบนน้ั
ก็จะคอยหมดไป ๆ ความละเอยี ดจะคอยปรากฏขึน้ มาเพราะการกระทําหรอื การ
บําเพ็ญของเรา จนกระทง่ั สามารถผา นพนดวยการฟาดฟน กิเลสใหแหลกไปไดเชน เดียว
กนั หมดไมว าผูหญิงผูช าย
ในขณะท่ีเรายังไมสามารถจะทําอยา งนนั้ ไดก ไ็ มต อ งเดือดรอ นใจ ขอใหทําใจให
มีหลกั มีเกณฑ เปน ที่ยึดเปน ที่พึง่ ของตนเองได สว นสกลกายนเี้ ราก็พึง่ เขามาแลว ตั้งแต
วันเกิด ทราบไดด วยกัน พาอยพู านอน พาขบั พาถา ย พาทาํ งานทาํ การ ทาํ มาหาเลยี้ ง
ชีพ ทั้งเราใชเขา ทั้งเขาใชเรา ทั้งเขาบังคับเรา ทั้งเราบังคับเขา เชน บังคับใหทํางาน
แลวเขาก็บังคับเราใหเปนทุกข ปวดนน่ั เจบ็ น่ี ตอ งไปหาหยูกหายามารักษา ก็เขานั่น
แหละเปนคนเจ็บ และก็เขานั่นแหละเปนคนหาหยูกหายา เงินทองขาวของก็เขาแหละ
หามา มนั หนนุ กนั ไปหนนุ กนั มาอยอู ยา งน้ี
ไมทราบวา ใครเปน ใหญกวา ใคร ธาตุขันธกับเรา? เราบังคับเขาไดชว่ั กาล และ
เขากบ็ งั คบั เราไดต ลอด! การเจบ็ ไขไดป วย การหวิ กระหาย การอยากหลบั อยากนอน
ลว นแตเ ปนเร่ืองกองทุกขซง่ึ เขาบงั คับเราท้งั น้นั และบงั คบั ทุกดาน แตเ ราบังคบั เขาได
เพยี งเล็กๆ นอ ยๆ ฉะน้ันในกาลอนั ควรท่ีเราจะบังคับเขา ใหพ าเขาภาวนา เอา ทําลงไป
เม่ือธาตุขนั ธม นั ปกติอยู จะหนกั เบามากนอยเพยี งไรก็ทาํ ลงไป แตถาธาตขุ นั ธไมป กติ
มีการเจ็บไขไ ดปว ย เราก็ตองรูค วามหนักเบาของธาตุขันธ เรื่องใจใหเปนความเพียร
อยภู ายในตัวอยา ลดละปลอ ยวาง เพราะเปน กจิ จาํ เปน
เราอาศยั เขามานานแลว เวลานี้มนั ชํารดุ ทรุดโทรมกใ็ หท ราบวา มันชาํ รุด อนั ไหน
ที่ควรจะใชได อันไหนทใ่ี ชไมไ ด เราเปนเจาของทราบอยแู กใ จ ทีค่ วรลดหยอ นผอ นผนั
กผ็ อนผนั ไป
สว นใจท่ีไมเจ็บปว ยไปตามขนั ธ ก็ควรเรง ความเพียรอยูภ ายใน ไมขาดประโยชน
ทคี่ วรไดร บั ใหใ จมหี ลักมีเกณฑ อยูกม็ ีหลกั ตายก็มีหลัก เกดิ ทไ่ี หนกใ็ หม หี ลกั เกณฑ
อนั ดีเปน ทพ่ี ึงพอใจ คาํ วา “บญุ ” กไ็ มใ หผ ดิ คาดผดิ หมาย ไมใหผ ิดหวัง ใหม สี งิ่ ทพ่ี งึ พอ
ใจอยูตลอดเวลา สมกับเรา “สรางบุญ” คอื ความสขุ ท่ีโลกตอ งการดวยกัน ไมม ีใครอม่ิ
พอกค็ อื ความสุขนแี่ หละ จะเปนสุขทางไหนกต็ ามเปนสงิ่ ท่ีโลกตองการ เฉพาะอยางย่งิ
สขุ ทางใจ ซงึ่ จะเกดิ ข้ึนเพราะการทําคุณงามความดีเปน ลาํ ดบั ๆ มภี าวนา เปนตน
นี่เปน ความสุขอนั เปน แกน หรอื เปนสาระสาํ คัญภายในใจ ฉะนน้ั ใหพ ากนั
บาํ เพ็ญในเวลารางกายหรอื ธาตุขนั ธยงั เปนไปอยู เม่ือถงึ อวสานแหงชีวติ แลว มันสดุ วิสยั
ดว ยกนั ทําไดมากนอ ยก็ตองหยุดในเวลานน้ั เรยี กวา หยดุ งานพักงาน และเสวยผลใน
อันดบั ตอไป
ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓๐
ภาค ๒ “๑เ๔รา๕ กบั จิต’’
๑๓๑
โนน! ภพตอไปโนน ! ควรจะทําไดเรากท็ าํ ถาผา นไปเสียหรือหลดุ พน ไปได ก็
หมดปญ หาดว ยประการทงั้ ปวง ไมมอี ะไรมาเกี่ยวขอ งยงุ เหยงิ ตอไป นพี่ ดู ถึงเร่ืองจติ
เพราะจิตเปน หลกั ใหญ ที่จะพาเราไปดีไปชั่ว ไปสุขไปทุกข กค็ ือจติ ไมใชสงิ่ อื่นใดทีจ่ ะ
พาใหเปนไป
คาํ วา “กรรม” วา “เวร” กอ็ ยูท่ีจิตเปนผูสรางไว ตนจะจําไดหรือไมไดกต็ าม แต
เชื้อของมนั ซ่งึ มอี ยูภายในใจน้ันก็ปดไมอยใู นการใหผ ล เพราะเปน รากเหงาอยูในจติ
เรากย็ อมรบั ไปตามกรรมนน้ั แตเ ราอยาไปตําหนมิ ัน เมือ่ เราทาํ ลงไปแลว กเ็ ปนอันทาํ
จะไปตําหนิไดอ ยา งไร มอื เขียนตอ งมือลบ ยอมรบั กันไปเหมอื นนักกฬี า เรื่องของกรรม
เปนอยางนน้ั จนกวาจะพนไปได มันก็หมดปญหาน่ันแหละ
ตอไปใหท านปญ ญา (ภกิ ษุปญ ญาวฑั โฒ Peter John MORGAN ชาวองั กฤษ)
อธบิ ายใหท า นเหลา นฟ้ี ง เพราะมีชาวตา งประเทศอยูดวย
ธรรมชดุ เตรียมพรอม ๑๓๑
ธรรมะชุด๑เ๔ต๖รยี มพรอ้ ม
๑๓๒
จะฝกึ จติ ต้องฝนืเทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วดั ปา บา นตาด
เทศนโ์ ปรดคุณเพาพงา วรรธนเะมก่ือลุ วนัณทวี่ ๒ัดป๕่าบธนั้านวตาาคดม พุทธศกั ราช ๒๕๑๘
เมอ่ื วันท่ี ๒๕ ธันวาคม พทุ ธศักราช ๒๕๑จ๘ะฝกจติ ตอ งฝน
เราเปน ชาวพุทธ พระพทุ ธเจาของเราเปน นกั เหตผุ ล เปน นักอรรถนักธรรม นักรู
นกั ฉลาดแหลมคม และเปน คลงั แหง ธรรม ผลธรรมท่อี ยูในคลัง คือพระทัยอนั บริสุทธิ์
ของพระองคนน้ั มีแตพระธรรมดวงประเสริฐเลิศโลก ทา นไดมาดวยเหตผุ ลอันใดทาน
จงึ ไดร่ําลือ เราก็เปน คนๆ หนง่ึ ไมเ หน็ เปนท่ีร่าํ ลือ พระพุทธเจากเ็ ปนคนๆ หนึ่ง แต
ทาํ ไมทา นจึงรํา่ ลอื ทั่วโลกธาตุ “สตถฺ า เทวมนสุ สฺ าน”ํ เปน ครูของเทวดาและมนุษยทงั้
หลาย ทา นร่ําลอื ทุกอยา งบรรดาความดีทง้ั หลายไมวาฝายเหตไุ มว า ฝายผล ทานเปน
“คลังแหง พระธรรมดวงประเสรฐิ ”
พระธรรมท่ีปรากฏใหโ ลกผูสนใจกราบไหวบ ชู าอยูน้ี พระพุทธเจาทรงขุดคนได
มากอ นใครทั้งโลก แลว ทรงนําออกแจกจายโลก แมก ระนั้นโลกยงั ไมเ หน็ สาํ คัญในธรรม
ดวงประเสริฐนั้น เห็นสําคัญแตเรื่องไมประเสรฐิ เร่อื งเหลวไหล ทีก่ ุมอํานาจอยูภายใน
จติ ใจ ความเคลอ่ื นไหวไปมาของใจกายวาจา จงึ เปนไปตามอาํ นาจเหลา น้เี สียโดยมาก
เมอื่ เชนนั้น แมค วามตองการสิง่ ประเสริฐเลศิ โลกก็ “สักแตความตอ งการเทา
นนั้ ” เพราะไมไ ดสนใจดาํ เนนิ ตามเทา ท่ีควร ไมไ ดฝ นส่ิงท่ีกมุ อํานาจไวภายในใจเพอื่ การ
ปฏบิ ตั บิ าํ เพญ็ ธรรม สมกบั เปน ลกู ศษิ ยพระตถาคตผทู รงฝน อยางยิง่
การฝนเพอื่ เหตุเพือ่ ผลเพือ่ อรรถเพือ่ ธรรมนั้นแล เปน ความดียิ่งสําหรับเรา
เพราะครเู ราคือพระศาสดาและสาวก ทานพาฝนและไดดีสิริมหามงคลสงู เดน แกโ ลก
เพราะความฝน ความดีมคี ณุ คาของคนเรามอี ยูทตี่ รงนี้ ไมใชมอี ยทู เ่ี นอื้ ที่หนังเหมอื น
สัตว ตายแลว นําเขา สตู ลาด ผลปรากฏออกมาเปนเงินเปน ทอง เปน อาหารการบรโิ ภคที่
สาํ เร็จประโยชนไ ดท ว่ั โลกดนิ แดน
สวนมนษุ ยเราน้ี ไมไ ดม คี ุณคา อยูท ่เี นือ้ ท่หี นังอยางสตั วเหลาน้นั แตมคี ุณคา ทาง
จติ ใจ มีคุณคา ทางความประพฤตอิ ธั ยาศัยหนาที่การงาน อนั เปนประโยชนแกตนและ
สว นรวม
ความประพฤติ ถาไมดําเนินมาจากจิตใจก็ไมม ีทางดาํ เนิน จิตใจถา ไมม เี หตผุ ล
เปนเคร่ืองดําเนินก็ไมปลอดภยั เพราะฉะนน้ั มนษุ ยเ ราจึงควรมีเหตุผลแนบสนทิ กบั ใจ
ใจตอ งใครค รวญเหตุวาดหี รอื ไมด อี ยเู สมอ ทุกอาการทเี่ คลอ่ื นไหวไปมา ผลทีส่ ําเร็จ
ออกไปจากเหตนุ ้ีจะเปน อยางไร? เมอื่ เหตไุ มด ีแลว ผลกต็ อ งไมด ี เพราะไมข ้นึ อยกู ับ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ธรรมะชุด๑๑เ๔ต๓๘ร๒ียมพรอ้ ม
๑๓๓
ความเสกสรรปน ยอหรอื เสกเปา แลว กว็ า ดี ดังที่โลกๆ มักนยิ มใชก ันเสมอมา แตดแี ละ
ชัว่ อยูที่การทาํ เหตุเปน สําคญั กวา การ “เสก” ใดๆ นเ่ี ปน หลักธรรมชาตทิ ใ่ี ครๆ ไมค วร
ฝน เพราะเปนความจริง เม่อื เหตดุ ผี ลตอ งดี ใครจะติเตยี นวันยังคา่ํ หรอื ยกโลกธาตมุ า
ตาํ หนิตเิ ตียนวา “ทาํ ชัว่ ไดด ี ทําดีกลับไดช ัว่ ” อยา งน้ี ก็สกั แตค ําพูดหรือความเสกสรร
ปนยอของคนตา งหาก แตน าํ มาใชเ ปนการยนื ยันรับรองไมได เพราะเปนความคดิ การ
กระทําของคนผูจะทาํ ลายตนและสงั คมตา งหาก ธรรมแทไมเ กยี่ วกับเรอื่ งจอมปลอม
อยา งน้ี เพราะความจริงเปนเรื่องใหญโตมาก ในโลกทง้ั สามไมมอี ะไรจะจรงิ ย่ิงกวา
ความจริงดังท่กี ลาวมาน้ี
พระพุทธเจาทานก็ทรงส่งั สอนโลกตามหลักความจรงิ นี้ท้ังนน้ั ไมว า ธรรมในแง
ใด ไมว า พระสูตร พระวนิ ัย พระปรมัตถ ลว นแสดงตามหลกั ความจรงิ จะเคลอ่ื นคลาด
จากน้ไี ปไมมี ฉะนัน้ พวกเราทเี่ ปน ชาวพุทธ จึงตอ งพยายามประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ น และพึง
คํานึงถึงพระพุทธเจาเสมอ แมจ ะไมไดมงุ ความเปน พระพทุ ธเจาเหมอื นพระองคกต็ าม
แตก็ควรคาํ นึงถึงความเปน “ลกู ศิษยข องตถาคต” คอื พุทธบริษัท ไดแ กอ บุ าสก
อบุ าสกิ า เปน ตน แลวพยายามปฏบิ ตั ิบําเพญ็ ตามธรรมของพระองค พระพุทธเจาทรง
ฝนทกุ ส่งิ ทกุ อยา งบรรดาทีเ่ ปนขา ศึกตอความดี เราก็ตองฝนเชนเดียวกบั พระพุทธเจา
เพราะตองการความดหี รอื ของดที ี่ปราชญท า นวา ดี ไมใ ชดีแบบเสกสรรปน ยอเสกเปา
แลว กต็ น่ื ลมกนั โดยไมย อมเหลอื บมองดูปราชญทานวาเปนอยางไรบาง
อนั ความไมดนี นั้ มีอยูแลวภายในจิตใจ ส่ิงทฝ่ี นไมใหท ําความดีนี้ลวนแตส งิ่ ทชี่ ่ัว
ทงั้ นนั้ ถา เราไมยอมฝน กแ็ สดงวา เรายอมจํานนตอ ความชว่ั ความตา่ํ ทรามท่มี อี ยภู ายใน
จิตใจมากนอ ยนัน้ ถา เราฝนก็แสดงวา เราเหน็ โทษแหง ความไมด ีนัน้ และฝน ใหหลดุ พน
จากความไมดี หรือทําลายความไมด ีโดยลําดบั ดว ยความฝน ความบากบน่ั กลน่ั กรอง
ตวั เอง ความเห็นโทษเปนเหตปุ จ จยั ใหฝ นสิ่งต่ําทรามเหลาน้ี เพ่ือความดีทัง้ หลาย
เร่ืองของศาสนาเปน เร่ืองฝนสิ่งทไี่ มดที งั้ หลาย ไมใชเ ปน สิง่ ท่ีคลอยตามของไมดี
แตเ ปน สงิ่ ทีฝ่ น ฝน ต้งั แตเ บือ้ งตนจนถงึ ท่ีสดุ จนหาส่ิงท่ีใหฝ นไมไ ด จิตก็สะดวกสบาย
ไมม อี ะไรมาฝนกนั อกี ตอไป ส่ิงท่ฝี น มีมากมนี อยเพียงไรนัน้ แลคอื ตัวภัย สิ่งน้นั เม่อื เรา
ดําเนินไปตามหรือคลอยไปตาม จะมีกําลังมากข้ึนโดยลําดับจนกลายเปน นิสัย คาํ วา
“กลายเปน นสิ ยั ” คอื ทโ่ี ลกเขาวา “ตามใจตวั เองจนเปน นสิ ัย” แตความจริงก็ตามธรรม
ชาตฝิ ายต่ํานน้ั แหละ เพราะใจไมมอี ํานาจเหนอื สิ่งน้ัน และสงิ่ นั้นอยเู หนือใจ โลกเลย
พดู เสยี วา “เอาแตใจตวั เอง ไมคาํ นึงถึงเหตุผลบางเลย”
ทีนกี้ ารท่ีเรามาประพฤตปิ ฏบิ ัติ เราจาํ ตอ งฝน ดังท่ที านทงั้ หลายมาสสู ถานทีน่ ้ี
หรือไปสสู ถานทีใ่ ดเพ่ือคณุ งามความดที ัง้ หลาย กต็ องฝน เชนเดียวกนั ถา ไมฝนก็ไมไ ด
ธรรมชุดเตรยี มพรอม ภาค ๒ “๑เ๑๔ร๓๙า ๓กบั จิต’’
๑๓๔
ของดี ปกตขิ องคนสว นมาก เวลํ่าเวลาจะมมี ากนอยเทาไร สิ่งทมี่ นั กดข่ีบงั คับอยภู ายใน
ใจ ซง่ึ เปนผูก ุมอาํ นาจหรือผูค มุ อาํ นาจน้นั จะแยง ชงิ เอาไปกินจนหมดไมมีเหลอื เลย จน
กระทั่งโนนละ ขณะทจ่ี ะสิน้ ลมหายใจมันจึงจะปลอ ย กอ นนน้ั มนั ไมคอยปลอยใหม เี วลา
วา งกนั ! ดวยเหตุนี้โลกจึงไมค อ ยมเี วลาทําความดีกนั จําตองมืดทั้งมา มดื ทง้ั อยแู ละมืด
ทง้ั เวลาจะไปและไปกนั ไมม เี วลาสวา งสรางซา
วนั คืนปเ ดือนมีอยเู ทา เดมิ ปห นึ่งมี ๓๖๕ วนั วันหน่ึงคืนหน่ึงมี ๒๔ ชั่วโมง ก็ไม
มวี า ง! สําหรับธรรมชาตเิ จาอาํ นาจนี้จะไมย อมวางใหใครเลย กุมอํานาจอยูตลอดเวลา
จนขณะจะสิน้ ลมหายใจถงึ จะเปด โอกาสใหวา “เวลานว้ี า ง จึงไดตาย!” น่ัน จงพจิ ารณา
ใหถ งึ ใจ เคยี ดเเคน ใหถงึ ธรรม ดาํ เนนิ ใหถึงแดนปลดปลอ ยอยา ถอยมันเปน อันขาด
ชาตมิ นษุ ยพทุ ธบรษิ ทั ท่ีฉลาดและแข็งแกรง ในโลก มีศาสดาเปนจอมทัพ ไมเคยพาพวก
เราใหกลับแพนี่
เมอื่ คิดเรอ่ื งเหลา น้ีมันนา สลดสงั เวชมากทส่ี ดุ เพราะส่งิ เหลานี้เคยกดถวง เคย
ทรมาน เคยทาํ ใหเราไดรบั ความทุกขมามากตอมากจนไมอาจคณนาได แมเ ชน นัน้ กย็ งั
ไมทราบวา สิ่งเหลา น้ีเปน ภัยแกตัวเอง ถึงจติ ใจจะวุน วายเดอื ดรอ นขนาดหนักแทบไมม ี
สติ กว็ า “วันนใ้ี จไมดเี ลย!” แลวกไ็ มทราบวา ไมดีเพราะอะไรเปนเหตุทําใหใจไมดี
ความจริงก็คือธรรมชาตอิ ันนนั้ แลทาํ คน จะเปน อะไรมาจากโลกไหนเลา ? แตเรา
ไมอาจทราบได จึงตอ งอาศยั การอบรมใหทราบวา ส่งิ ไหนผดิ สงิ่ ไหนถกู สงิ่ ไหนดีสง่ิ
ไหนช่วั ความดีเปนคุณแกจติ ใจ ความช่วั เปน ภยั ตอ จิตใจ มันติดอยกู ับใจดวงเดียวทัง้
สองอยา ง มเี พียงมากกบั นอ ยทต่ี างกัน
เพราะฉะน้ันเราจะหาอุบายวิธใี ด แกส ่งิ ไมด ีซ่งึ มอี ยูในจิตอนั เดยี วกนั ใหอ อกไป
ไดโ ดยลาํ ดับ? นอกจากอรรถธรรมและตัวเราเองที่จะฝน โดยอาศัยหลักธรรมเปน
เครอ่ื งมือเทาน้นั ไมม ีวันท่ีจะไดร ับการปลดปลอยตัวออกสูค วามวางไดตลอดไป
“พระพทุ ธเจาทา นทาํ ไมจึงวาง?” เราตอ งคิดไปเชน นัน้ เพื่อแกต วั เอง “ทานก็เปน
ถึงพระมหากษัตริย ทาํ ไมทานถึงวา งและออกบาํ เพ็ญพระองคไ ด” เราไมมุงบาํ เพ็ญตาม
แบบพระพุทธเจา กต็ าม แตเ รายกทา นเปน ครใู นสว นท่ีเราจะยดึ ได มาปฏบิ ตั เิ พ่อื ตวั เอง
ทาํ ไมพระพทุ ธเจาทา นวา ง ทานไมม กี เิ ลสหรือ? ทา นไมห งึ ไมห วงอะไรบา งหรอื ?
ลกู ก็มี เมียกม็ ี สมบัตพิ สั ถานมากนอย ไพรฟา ประชาชีท้งั หลายเต็มแผน ดนิ ซ่งึ เปน
สมบตั ิอนั มีคา มหาศาลของพระองคทั้งนน้ั ทําไมพระองคว า งได พระองคป ลอยไดและ
วางได จนไดตรสั รูแ ละสะเทือนโลกธาตุ
ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ธรรมะชดุ ๑เ๕๑ต๐๓รีย๔มพร้อม
๑๓๕
เราไมถ งึ กบั จะตอ งปลอ ยอยางพระพทุ ธเจา แตปลอยแบบลกู ศิษยมคี รู จึงควร
หาเวลาวางสําหรับตนใหไ ดบ า ง อะไรที่มสี าระสาํ คัญทสี่ ดุ ในโลกน?้ี จติ ของเรามุงตอ
อะไรทกุ วนั น้?ี วา อะไรเปน ศกั ดิ์สทิ ธิ์และวิเศษที่สดุ ทีจ่ ะเปนสารคณุ อนั สาํ คัญพ่งึ เปนพึ่ง
ตายไดจริง ๆ มีอะไรบา งอยูในโลกน?้ี เราเปนมนษุ ยพ ทุ ธบรษิ ทั ท้งั คน ควรคดิ ใหเตม็
ใจกอนจะหมดโอกาสคดิ และทํา เพ่อื สงิ่ ที่พึงหวงั ดังใจหมาย คดิ รอบ ๆ ตัวกพ็ อสะดุด
สะเทือนใจไมเสียผล ดูเอาซไี ปที่ไหนเห็นมแี ตป า ชา เกล่ือนไปหมด ไมวาสัตววา บุคคล
“ปาชา” เต็มตวั ดวยกัน เราหวังอะไรเปน “สรณะ” เราหวังอะไรเปน หลกั เปนฐานเปน ที่
ม่นั ใจเรา? เมื่อมองไปไหนมแี ตภยั รอบดา น จนจะหาทางคบื คลานออกไมมี
ทัง้ น้ถี าไมมีอรรถมธี รรมภายในใจบางแลว คนเราจะหาหลกั เกณฑไ มไ ดเลย จะ
รวนเรเล่ือนลอย จนกระทง่ั วนั ส้ินชพี วายชนมกเ็ ล่ือนลอยไปอยางนั้น ไมม อี ะไรเปน หลัก
ในอนาคต ถา ไมรบี สรา งหลักยึดไวเสียแตใ นบัดน้ี เมอื่ จติ ใจในปจจบุ ันมนั เล่ือนลอย
อยา งไร ไมม ีหลักเกณฑอ ยางไร อนาคตไมตอ งพดู กค็ อื ผนู แ้ี หละ ผเู ลอ่ื นลอยนแ้ี หละ
จะไปเปนผเู ดือดรอ นระทมขมข่ืนในอนาคต ไมใ ชอะไรจะพาใหเปน ตองใจดวงรวนเร
เลือ่ นลอยน้แี ลจะพาใหเ ปน
พระสาวกทานมีจํานวนมาก ทานทําไมวางได? ทา นทาํ ไมฝน ได คาํ วา “ฝน” เปน
สิ่งสาํ คัญมาก ทาํ ไมทา นฝนได กิเลสของทานเปนกเิ ลสประเภทใดทานจึงฝนได? กเิ ลส
ของเราเปนกิเลสประเภทใดเราจึงฝนไมได กเ็ ปน กิเลสประเภทเดยี วกนั ธรรมเครื่องแก
ไขกเ็ ปน ประเภทเดียวกัน ทาํ ไมจะนํามาแกส ิง่ ที่ฝน ธรรมไมไ ด!
บคุ คลผูจะตอสแู กไ ข หาเวลาํ่ เวลาหรอื หาโอกาสเพือ่ ตัวเอง กเ็ ปน บคุ คลเชน
เดียวกบั เราไมผดิ กนั เลย ถา ผิดก็ผิดแตวาทานมีความเขม แข็ง เรามคี วามออ นแอ ทาน
เปน “นกั ตอ สู” เราเปน “นกั ถอยหลงั ” ทา นกลา หาญ เราขขี้ ลาดหวาดกลัวเทา น้ันท่ผี ดิ
กนั ! แลวจะทําอยางไรกบั ตัวเราจึงจะเขากนั ไดก บั ทานและหลักธรรมของทาน จะไมเปน
ขา ศกึ กนั
ความออ นแอ เปนตน น้ีแลเปน สงิ่ ท่จี ะทาํ ใหเ ราไดรับความทุกขความลําบากบน
เพอ อยูตลอดเวลา ทั้งๆ ทค่ี วามบน ไมเกดิ ประโยชนอะไรเลย แตเมอ่ื ไดบนบา งก็อาจ
เปนทางระบายออกแหง ความทุกขทางหนง่ึ ความจริงไมใ ชทางระบายออกแหง ทุกข
ความบนมันเปน แงทีน่ าคดิ อนั หนง่ึ เหมอื นกัน เพราะความคดิ ท่ีจะบนกเ็ ปน งานของจิต
การบนออกมาก็เปนงาน นอกจากนน้ั ยงั ทาํ ใหบ างคนราํ คาญ อกี อยา งหนึ่งเขาก็มอี ะไร
อยใู นใจของเขา พอมาพบเร่ืองของเรากม็ าบวกกันเขา เลยไปกันใหญ สุดทายมแี ตก อง
ทุกขทง้ั สองฝาย จึงตา งคนตา งหาบหามอยางเต็มกาํ ลงั ไมม ีคําวา “ปลง”!
ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ภาค ๒ “๑เ๕๑รา๑๓ก๕บั จติ ’’
๑๓๖
เพราะฉะน้ันเพื่อปลดเปลือ้ งส่งิ ที่เราไมพ งึ ปรารถนาท้งั หลาย จึงขึ้นอยูก บั
“ความฝน ” ฝน มากฝน นอ ย ฝน เถอะ การฝนเรา ฝน ส่งิ ไมด ีของเราเปนความชอบธรรม
ไมผิด ฝนไดมากไดน อ ยเปน สริ ิมงคล เปนความดีประจาํ ตัวของเรา จนกลายเปนนสิ ัย
แหง การฝน สง่ิ ไมด ีทัง้ หลาย ใจจะมีความองอาจกลาหาญข้นึ มา ผลสดุ ทา ยเรื่องท่เี ราฝน
นั้นกเ็ ลยยอมจาํ นน
จะไปไหนมาไหน จะพูดอะไร มีเหตุผลอยา งไร ทเ่ี หน็ วา ถกู วา ควรแลว กด็ าํ เนนิ
ตามนั้น ไมม อี ะไรมาขัดแยงกีดขวาง ยอ มเปน ไปตามเหตุผลนน้ั อยางเดยี ว สิ่งที่จะมา
ฝน ส่ิงทีม่ าคอยกีดกนั ขวางทางเดินของเรานัน้ มนั คอ ยสลายคอ ยละลายไป ในทส่ี ุดก็
ลมละลายไป เมอ่ื เราเคยฝนเสมอๆ เคยตอ สูตา นทานมันเสมอ และเคยไดร บั ชัยชนะมา
แลว ส่งิ น้ันจะมาชนะเราอกี ไมไ ด เราไดชยั ชนะโดยลาํ ดบั ชนะไปเรือ่ ยๆ และชนะจนไม
มอี ะไรจะตอ สูกบั เราอกี น่นั ! ความฝนเปน ผลอยางนีแ้ ล
ใจชอบอยา งนี้ แตเหตุผลเปนอยางนัน้ เราตอ งฝน ความชอบใจเพ่อื เหตุผลนน้ั ๆ
ซง่ึ เปน ความถูกตอง ถาจะดําเนินหรือทําไปตามความชอบใจ กค็ วามชอบใจนีม้ เี หตุผล
อะไรบาง? สวนมากไมมี นอกจากเหตุผลของกเิ ลสเพื่อหาทางเล็ดลอดธรรมเทา น้ัน ซึ่ง
มอี ะไรก็อา งมาตามเร่ืองของมนั สว นมากเราชอบเหตุผลของกิเลสมากกวา เหตผุ ลของ
ธรรม ฉะนั้นผลท่ไี ดรบั จึงมีแตความทุกขความรอ นภายในใจ ทเ่ี กิดข้นึ จากการทําตาม
เหตุผลของกิเลส
แมน่ังอยนู งิ่ ๆ แตจติ ไมไดนงิ่ จติ มคี วามคดิ ปรงุ ยงุ เหยงิ อยตู ลอดเวลา ไมมี
อริ ยิ าบถใดมาหา มมนั ไดนอกจาก “สติปญญา” ปกติแลว จิตลวนสรางความทกุ ขขน้ึ แก
ตน ดวยความคิดปรุงในแงตา งๆ ซง่ึ เปน ทางไมด ี เราก็ไมยอมเห็นโทษ นี่แหละเหตุผล
ของกเิ ลสเปนอยางน้ี หาความถกู ตอ งไมไดเ ลยแตไ หนแตไรมา
สว นเหตุผลของธรรมนัน้ มีความถูกตอ ง ผลทไ่ี ดร ับคอื ความสขุ ความเยน็ ใจ
ตลอดไป ตั้งแตข ัน้ เร่ิมฝก หัดจนถงึ ขั้นสงู สุด
การปฏิบัติตัวหรอื การปฏบิ ตั ศิ าสนา เปน ความลําบากผิดธรรมดาอยูบาง ถึงจะ
ผิดธรรมดา เราก็ทราบวา เราหักหามใจ ไมใหเ ปน ไปตามสิ่งตาํ่ ทรามทีก่ ิเลสต้งั ช่อื ตง้ั
นามในส่ิงที่ตนชอบวา “ธรรมดา” ฉะนน้ั จําตอ งฝน กนั เม่อื ฝนคร้งั น้ไี ดผล ครง้ั ตอ ไปส่งิ
ทจ่ี ะใหเราฝน กอ็ อ นลง ๆ ความเขมแขง็ ทางดา นเหตผุ ลและความเพยี รกเ็ พ่มิ ขึ้น เลยไม
คาํ นึงถงึ ส่งิ ทจี่ ะมาขัดขวางเรายงิ่ กวา เหตผุ ลทีจ่ ะดาํ เนินไปตามทเ่ี ห็นวาถูกตอ ง นแ่ี หละ
นกั ธรรมะมพี ระพทุ ธเจาเปนตน ทา นทรงดําเนินอยา งน้ี!
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชดุ ๑เ๑๕ต๓๒รยี ๖มพรอ้ ม
๑๓๗
ทําไมทา นจึงไมห ึงไมหวงไมห ว งไมใยครอบครัวเหยาเรอื น ทานเปนมนษุ ย
ปถุ ุชนเชน เดยี วกัน ทา นตองหว ง ทา นตองฝน อยา งยง่ิ เพ่อื ธรรมดวงเลิศ นั่นแลครูของ
พวกเรา! สาวกท้ังหลายทา นกฝ็ นเต็มกาํ ลงั ของทาน จนไดเปน “พุทฺธํ ธมมฺ ํ สงฺฆํ สรณํ
คจฉฺ าม”ิ เขา มาสูใจของพวกเรา
เราท่เี ปนผูรบั เอา “พุทธฺ ํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ” เขา มาสใู จ ก็อยา เอาเขา มา
เหยียบย่าํ ทําลายทา นเลน โดยไมคาํ นงึ ถึงคุณสมบัติแหง ธรรมนนั้ ๆ หรือแหง พุทธ แหง
ธรรม แหงสงฆ วา มคี ุณคามากเพียงไร จึงเอามาเหยยี บยํ่าทาํ ลายกับความขเ้ี กียจออน
แอ ความเห็นแกตัว ความไมม เี หตุผล นําพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ มาสกปรก
ดว ยทําไม ตอ งคิดอยางนเี้ สมอ ซ่งึ เปนเคร่อื งเตอื นใจเราใหต ื่นตวั จะไดพ ยายามแกไ ข
ตนตามทา นไปโดยลําดบั
อะไรโลงก็สจู ิตใจโลงไมได อะไรคบั แคบตบี ตันกส็ จู ติ ใจคบั แคบตีบตันไมได
อะไรจะทกุ ขกส็ ูจิตทุกขไ มได อะไรจะสุขก็สจู ิตสุขไมไ ด แนะ ! รวมลงท่จี ติ แหงเดียว!
ดนิ ฟา อากาศกโ็ ลง อยา งนน้ั เอง เม่ือมคี วามทกุ ขภ ายในจติ ใจ แมจะอยใู นกลาง
ทุงโลงๆ นั้น อากาศโลงๆ ก็ชว ยอะไรไมไ ด จงึ วา มันอยูท ่ีจติ ถาจิตมีความปลอดโปรง
โลง สบายแลวอยูท่ไี หนกส็ บาย อยใู นถาํ้ ในเหว ในกระตอ บ อยใู นรม ไมชายภเู ขา ก็
สบายท้งั นนั้ ไมจ าํ เปนตอ งคิดหาวา อากาศโปรงทน่ี ัน่ อากาศโปรงท่ีนี่ เพราะผขู ัดขอ ง
จรงิ ๆ ก็คอื จติ ซง่ึ เปน ตวั กอ เร่ืองเทานนั้ ฉะนั้นความสุขความทุกข ตลอดท้งั สาเหตใุ ห
เกิดสขุ เกิดทกุ ข จงึ รวมอยูท ่จี ติ เปน สาํ คญั กวา สงิ่ อืน่ ๆ ปราชญทา นจงึ สอนลงท่ใี จอันเปน
ตวั การสําคัญ ใครจะสอนไดถูกตอ งยง่ิ กวาปราชญค ือพระพุทธเจา ไมม ี! อยา พากนั ลบู
คลําทนี่ ่ันทน่ี ี่ เดีย๋ วเวลามือไปโดนเอาแมงปองเขา จะรองไมเ ปน เสยี งคน จะวา “ไมบ อก”
สมบตั อิ นั มคี า มากกค็ อื ใจ เปนหลกั เปนประธานของส่งิ ทงั้ หลายกค็ ือใจ จงึ ไม
ควรปลอ ยใจใหส ่ิงเลวทรามทั้งหลายเขา มาเหยยี บย่ําทาํ ลาย จนแหลกเหลวไปอยา งนา
เสียดาย สวนผลอนั ไมพ ึงปรารถนามนั โยนใหเราเปน คนรบั เคราะห แมทุกขแ ทบเปน
แทบตายกค็ อื เราเองเปน ผรู บั ! สวนกิเลสความต่าํ ทรามเหลานน้ั ไมไดมารับทุกขก ับเรา
เลย ผูเสยี เปรยี บจงึ คือเรา ผูโงเ ขลาตอเลห เหล่ยี มของมนั อยูเ รื่อยไป
ฉะน้นั จงพยายามแกไขถอดถอนมนั ดว ยเหตุดว ยผล ความสขุ อันพงึ หวงั นน้ั เรา
จะไปหาทไ่ี หนในโลกน้ี มนั ก็เพยี งผา นๆ ไปดงั ทีเ่ คยไดป ระสบพบเหน็ กนั มาแลว ผาน
มาชว่ั ขณะๆ เทา นน้ั แลวก็ผานไป มันไมเ ปนความสุขทจ่ี ีรงั ถาวรอะไรเลย
แตค วามสุขท่เี ปนขึ้นในจิตใจ เกดิ ข้นึ ตามหลักธรรมชาติของจติ ดวยการ
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรม นเี้ ปนความสุขที่จรี งั ถาวร จนกลายเปน ความสขุ อนั ตายตวั เปน
ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ภาค ๒ “๑เร๑๕า๓๓ก๗ับ จติ ’’
๑๓๘
“อกุปปธรรม” คือเปน ความสขุ ท่ีไมก ําเรบิ เพราะจติ ใจไมก ําเริบไมเปลย่ี นแปลง
ตลอดอนนั ตกาล
สมบตั ิในโลกนก้ี ็คอื ใจซ่งึ เปนสมบตั อิ ันลนคา จงพยายามรกั ษาใจใหด โี ดย
สมาํ่ เสมอ เฉพาะอยา งยง่ิ จิตตภาวนาอยา ถือเปน เรื่องเลก็ นอ ย เชน ทําพอเปนพธิ ีรตี อง
กเ็ ราไมใชเปนคนพิธี แตเ ราเกดิ มาเปน คนท้ังคนไมใ ชตุกตา พอจะภาวนาเปนพิธี นัง่
ภาวนาทลี ะ ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที กแ็ ทบลม แทบตาย แทบจะหามกายเขา โรง
พยาบาล ซง่ึ เปน เรอื่ งอับอายขายหนา ชาวพทุ ธและนักปฏิบัตจิ รงิ ๆ เกินกวาจะอภยั กนั
ได
เวลากิเลสพาเอาไปถลุงท้ังวันทงั้ คนื ยงั สนุกกบั มนั ไดชนิดลมื ตัวลืมตายลมื ปา ชา
ทม่ี อี ยูกบั ตวั นน่ั เรารูไหม? กเิ ลสมันกลอ มคนดีขนาดไหนดเู อากร็ เู อง เพราะเคยถูก
กลอ มถกู ถลงุ มาดว ยกนั แมผ เู ทศนก ไ็ มม ีการยกเวน ในการถกู ตม ตุน ฟงเอามนั กลอมดี
ขนาดนน้ั แหละ กลอ มจนเคล้ิมหลบั ไมร ูสึกตัวเลย แมจ ะเขาโลงผอี ยแู ลว ยังอยากฟง
เสียงเพลงลูกทุงมันอยเู ลยไมม วี นั เวลาอิ่มพอ จนหมดลมหายใจไปเปลาๆ
ส่งิ เหลานี้นกั ปราชญทานตาํ หนินกั แตพวกเราทําไมจงึ ชอบนกั ชอบอะไรมันก็
ไมรู ตามความจริงแลว คนเราชอบอะไรยอมจะเจอสง่ิ น้ัน ชอบกเิ ลสกเ็ จอกิเลสและทุกข
ที่แฝงมากบั กเิ ลส ชอบธรรมก็เจอธรรมและสขุ ที่แฝงมากบั ธรรม เพราะสิ่งเหลา นี้มีอยู
ในโลกไมบ กพรอ งจึงหาไดด ว ยกัน สขุ ก็หาไดจากเราคนเดยี ว ทกุ ขก ห็ าไดจ ากเราคน
เดียวตามสาเหตุทีเ่ ราดาํ เนนิ ไป ผลกต็ องเปนอยา งนน้ั ไมเ ปน อยางอืน่
นเ่ี ราแนใ จแลว วาเราเกดิ เปนมนษุ ย เปน ภมู ทิ สี่ งู สง ในโลกนถ้ี อื วา มนษุ ยส งู กวา
สตั ว และไดพ บพระพทุ ธศาสนาซึง่ เปนคาํ สง่ั สอนท่ถี กู ตองแมนยาํ มาจากหลกั แหง
“สวากขาตธรรม” พระพทุ ธเจา ตรสั ไวช อบแลว พยายามดําเนนิ ใหเ ปน ไปตามหลกั แหง
“สวากขาตธรรม” ผลทพ่ี ึงไดร ับจะเปนทพ่ี งึ พอใจ เราอยาถือใครเปน หลักเปน เกณฑย่งิ
ไปกวา พระพทุ ธเจา พระธรรม พระสงฆ ในการยดึ และการดาํ เนนิ
วิถที างแหงการครองชพี ก็ตาม วถิ ที างแหง การปฏิบตั ธิ รรมเพอื่ ความอบอนุ แก
จิตใจก็ตาม ไมมีใครจะเกินพระพทุ ธเจา ไปไดใ นความฉลาดแหลมคม ดว ยอบุ ายวธิ ี
ปอ งกันหรือรักษาตวั ทัง้ เกีย่ วกับสงิ่ ภายนอกและสิ่งภายใน พระพุทธเจาเปน “นกั รนู กั
ฉลาดแหลมคมทกุ อยา ง” “นักปกครองบา นเมือง” ก็เปนพระองคห นึง่ “นกั ปกครองดาน
จติ ใจ” กเ็ ปนพระองคหนึ่ง นักปกครองโลกทว่ั ๆ ไปดว ยอบุ ายวธิ ีการอบรมส่งั สอนโดย
ถกู ตอ งเหมาะสม ไมม ศี าสดาองคใดจะแซงพระองคไ ปได โดยความฉลาดแหลมคมยิ่ง
ธรรมชุดเตรียมพรอม ธรรมะช๑ดุ ๕เ๑ต๔๓รยี ๘มพร้อม
๑๓๙
กวาพระพุทธเจา พระองคท รงสอนจนถึงข้นั “นพิ พาน” เราจะหาขนาดไหนอีก มีใครที่
จะสอนใหเ ลย ‘นิพพาน” ไปเคยไดยนิ บา งไหม? ไมเ คยไดยนิ !
เพราะถงึ ที่น่นั แลว เปนสถานท่สี ุดจุดหมายปลายทางโดยสมบรู ณแ ลว เชนเดียว
กบั เราขนึ้ มาถึงบนบานแลว เปน ทเี่ หมาะสมและถงึ จุดที่หมายแลว เพราะไมใชขรัวตา
ดงั ทีท่ านอาจารยมน่ั ทา นเคยนาํ มาพดู เปน อบุ ายเพื่อเปนคตแิ กพระเสมอวา “ทําอะไร
ทาํ แบบเถรตรงนี่ มันไมไ ดเรอ่ื งอะไร? ทา นวา แลว ทานกย็ กนิทานขรัวตาขึ้นมาวา “ขรัว
ตาคนนั้นเดนิ เขา ไปในบาน ถกู เขานมิ นตขน้ึ ไปบนบาน การนมิ นตขน้ึ ไปบนบา นกค็ ือ
นิมนตขนึ้ นง่ั บนบานนน่ั เอง แตข รวั ตาไมเขา ใจอยา งนัน้ พอถูกเขานมิ นตใหข น้ึ ไปบน
บา นกป็ นข้ึนไปบนขื่อโนน “อา ว! ทานปน ขนึ้ ไปบนขอื่ โนน ทําไมละ แลวกันพสิ ดารเกิน
เหตแุ ลวน่ี นมิ นตท า นลงมา” พอขรัวตาองคน้ันลงมาแลว กเ็ ผนออกจากบานเขาไปเลย
ไมม องหนามองหลงั นั่น! เปนอยางนั้นไปเสยี
ความจรงิ เขานิมนตข น้ึ ไปน่งั บนบา นเขาตางหาก แตทานกลับปนขึ้นไปบนขอื่
บา นเขาโนน เวลาถกู นมิ นตใหลงมากล็ งและเตลดิ เลยบานเขาไปเสีย นคี่ อื ความไมพ อดี
ไมมีประมาณ ไมม ีเหตุมีผลเอาเลย เพราะความซอื่ เสียจนเซอ ไปแบบไมร ูสึกตัว
การสั่งสอนนั้น เมอ่ื สอนถงึ นพิ พานแลว จะสอนไปไหนกนั อกี เมอ่ื จติ บรรลถุ งึ
นพิ พานแลว จะเตลดิ ไปไหนกันอกี ถา ไมควาเอาแบบขรัวตามาใชก ็ตอ งยตุ กิ ารกาวไป
เพยี งเทานี้ เพราะสดุ ยอดแหงธรรมแลว หรือสดุ ยอดแหงสมมตุ ิ จิตเปนวิมุตติเต็มภูมิ
อรรถภมู ธิ รรมแลว ปญญาท้ังมวลก็ยตุ ิกนั ลงแคน ้ี
การกลา วนทิ านเร่อื งขรวั ตามาแทรกกเ็ พ่อื ใหทราบวา เร่อื งความไมใครค รวญ
คนไมใ ครครวญพนิ ิจพิจารณา คนแบบ “เถรตรง” ตรงเสียจนเซอ นัน้ ไมยังประโยชน
ใดๆ ใหเ กิดขนึ้ จึงควรถือเปนคตติ วั อยา งไดด ี
ในวงปฏบิ ตั ิของเรานมี้ บี า งไหมท่ีปนขน้ึ บนข่ือ มีซ!ิ มีแตจาํ พวกทีค่ อยจะปน ขึ้น
บนขือ่ นนั่ แหละเปน สว นมาก ไมไปกนั ละตามหลัก “มชั ฌมิ า” ตามหลกั ที่พระพุทธเจา
ทรงสอน ชอบปน ขึน้ บนขอื่ กนั แทบทัง้ นั้น ทา นยกนิทานขรวั ตาปน ขน้ึ บนขือ่ มาประกอบ
การแสดงธรรม นา ฟง! เพราะขบขันดี “พวกบนขอื่ ” ทา นวา อยา งนน้ั เปนคติสาํ คัญนา
ฟงมาก ฟงแลวซ้งึ ใจ ท้งั อดหัวเราะอยูภายในไมไ ด นี่ทา นพดู ถงึ เรื่องคนไมใ ชความคิด
ไมใชค วามพนิ จิ พิจารณาเหตุผลวา ควรไมควร เรียกวา “เถรตรง” คาํ วา “เถรตรง” นบ้ี าง
ทานกจ็ ะไมเ ขาใจ น่ีทา นพดู ถึงครบู าอาจารย
ทา นลางบาตรและเชด็ บาตรแหงแลว ทา นเอาปากบาตรคว่ําลง แลว ทานสองดู
กน บาตรทาน สอ งใหตรงกับตะวนั การสองดกู น บาตรตรงตะวนั นัน้ ทา นมคี วามหมาย
ธรรมชดุ เตรียมพรอม ภาค ๒ ๑“เ๑๕ร๕๓า ๙กบั จิต’’
๑๔๐
วาบาตรนอ้ี าจมีกนทะลุ เปน ชอ งเปนรูตรงไหนบา ง สอ งออกไปที่แจง หรือสอ งกับแสง
พระอาทิตย มองออกไป ถามีชองทะลกุ ็จะมองเหน็ ชดั เจนตรงทท่ี ะลนุ นั้ แลว กจ็ ะไดอ ดุ
ยาเสีย
ทนี ีล้ ูกศิษย “เถรตรง” เหน็ อาจารยส องดูกนบาตร ตนกท็ าํ ตามบา งโดยไมท ราบ
เหตผุ ลความมุงหมายวา ทานทําเพ่ืออะไร เวลาถูกถามวา “ทําเพื่ออะไร?” กบ็ อกแบบ
เถรตรงวา “เหน็ ครูอาจารยท านสองเรากเ็ ลยสอ งบา ง เพราะทา นขลงั ดี บางทเี ราอาจ
ขลัง” นี่ฟงซิ เรือ่ งบนขื่อขาํ ดีไหม? ฟงไดไหม ในวงผปู ฏบิ ัติเพ่ืออรรถเพื่อธรรม ในคาํ ที่
วา “บางทเี ราอาจขลงั อยางทา นบา ง” ถาอยา งนกี้ ป็ ฏิบตั ิเพ่ือ “ความขลงั ” ไมไดปฏิบัติ
เพ่ือ “ความหลดุ พน ” อยางนอยกเ็ พอื่ ความเปน คนดีมีความสงบสุข
ครอู าจารยผ ฉู ลาดมเี หตุผล ทา นทาํ อะไรยอมเปน ไปตามเหตผุ ลทุกอยาง ไมได
ทาํ แบบลอยๆ เราผูมาศึกษากับทานควรพจิ ารณาดวยดใี นสง่ิ ที่ตนทํา ไมส กั แตวาพูดวา
ทาํ ไปแบบสุมเดา เพราะความไมส นใจดูตวั อยา งทา น จงึ เปนราวกับทัพพีอยกู ับแกง ไม
รรู สชาติของแกงวา เปร้ยี วหวานเคม็ ประการใดบางเลย จึงหาความฉลาดรอบรูอะไรไม
ได นอกจากแสวงหาความขลงั ไปแบบโลกๆ ที่ทาํ กนั
การศกึ ษาขึน้ อยูกบั สติ ปญญา ศรัทธา ความเพียร เปนสาํ คญั มไิ ดข้นึ อยกู ับการ
กนิ อยหู ลบั นอนในสาํ นกั ของทา นเฉยๆ โดยไมส นใจกับอะไร การปฏิบัติธรรมของพวก
เราทกุ วันนี้ก็เหมอื นกนั เห็นทานเดนิ จงกรมกเ็ ดิน แตไมมีสติสตัง มแี ตค วามคิดผดิ คิด
เพลนิ เลินเลอ เผลอตวั ยุงไปหมด พอออกจากทางจงกรม “แหม วนั น้จี ติ ไมเ ห็นมีความ
สงบบา งเลย เราเดนิ จงกรมต้งั นานไมเหน็ ไดเ ร่อื งอะไร?” จะไดเรื่องอะไร เพราะไมเอา
เรือ่ งอรรถเรือ่ งธรรมเรอ่ื งความสงบเปนอารมณบ า งเลย เอาแตเรื่องวนุ วายมาพวั พันหน่ั
แหลกอยกู บั จิตตลอดเวลาในทางจงกรม
จากนน้ั กม็ านง่ั ภาวนา พอนง่ั ก็ “เอาละ เทานี้พอ!” เวลานง่ั ก็นงั่ คดิ น่งั ปรงุ ยงุ
เหยงิ วนุ วายแบบ “ตามรอยโคในคอก” น่ันแล แลว กม็ าตาํ หนแิ บบลมๆ แลง ๆ ไปวา
“นั่งไดเ ทานัน้ นาทีเทาน้นี าที ไมเห็นไดเ รื่องอะไร นอนเสยี ดกี วา ” นน่ั ! ไปลงเอยท่ีหมอน
นน่ั แล เลยกลายเปนท่ีตัดสินกเิ ลสอยบู นหมอนไปเสีย คาํ วา “นอนเสียดกี วา ” นน้ั แม
นอนก็ไมไดเร่อื งอยนู น่ั แล เพราะคนไมไ ดเ รือ่ งอยแู ลว ก็ไดแตเรอื่ ง “หมอน” เทา น้ัน
นะซี ไมไ ดมรรคผลนพิ พานอะไร จิตลง “ภวงั คห ลวง” หลบั ครอกๆ จนตะวนั สองกนก็
ไมถอนขนึ้ มา (ไมตนื่ นอนนนั่ เอง)
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ธรรมะชดุ ๑เ๕ต๑๖ร๔ียม๐พรอ้ ม
๑๔๑
อยทู ่ีใดไปท่ใี ดกม็ แี ตก เิ ลสตามเหยียบย่ําทําลายอยตู ลอดเวลา ท่จี ะไดเ หยียบยาํ่
ทาํ ลายกเิ ลสบา งไมป รากฏ เพราะสติสตังไมมี ความจงใจไมม ี มีแตกเิ ลสตามลาอยู
ตลอดทุกอริ ยิ าบถ เรามันพวก “กเิ ลสตามลา ’ จะวา ยังไง? ถา ไมว า อยา งนน้ั
เอา! พยายามตามลากิเลสนะ ทนี ้เี ปนนายกเิ ลสเสียบา ง ตอ งฝน กนั บาง! ทน
และฝนตรงนี!้ จิตไมอ ยากคดิ ไปในอรรถในธรรม เราตองบังคับใหค ดิ ทําไมจะบังคับ
ไมไดจิตเปนของเรา เราเปนเจาของจิต เราบังคับไมได ใครจะบังคับไดล ะ ถา จติ แหวก
แนวแลวจติ จะมหี ลกั แหลง ที่ตรงไหน ผลทเี่ กิดขนึ้ จากการแหวกแนวจะเปนอยางไร เรา
ตอ งรบั เคราะหก รรมอยดู ี ฉะนน้ั เราตอ งคดิ ตองรูไวล วงหนา จงึ เรยี กวา “ปญญา” มนั
อยากไปไมยอมใหไป เอา ! มันอยากทําส่งิ นน้ั ไมย อมใหท ํา มนั จะฝน เราไปไดอ ยา งไร!
เม่ือเหตุผลพรอมแลว ทจ่ี ะไมทาํ เราตองไมทํา เมอื่ เหตุผลพรอมแลวทีจ่ ะทาํ ตองทําลง
ไป เปนก็เปน ตายกต็ าย! น่ีคอื นักธรรมะแท อยางไรกเิ ลสก็ไปไมพน มือ ตองตายใน
เงือ้ มมือไมวันใดเวลาหนง่ึ แนน อน
ทําไมโลกเขาทําได ทําไมเราทําไมได โลกเขาทาํ ไมตาย ทาํ ไมเราทาํ จะตาย ตายก็
ใหตาย ปาชา มที ุกหนทุกแหง ไมต อ งเปน กังวลกบั ความเปน ความตาย ขอใหท ําสง่ิ ท่ถี กู
ตองดงี ามอยางสมใจเถอะ ถาทาํ อยางน้นั บางกเิ ลสมนั กห็ มอบและตอ งไดผ ล ไมมีอะไร
มีอํานาจเหนือธรรมของพระพุทธเจาซึ่งเปนเครื่องแกและปราบปรามกิเลส เพราะกิเลส
ทุกประเภทกลวั ธรรมเทา นั้น อยา งอ่ืนกิเลสไมย อมและไมก ลัว ยิ่งความคลอยตามดวย
แลว กเิ ลสย่งิ รอ งเพลงรน่ื เรงิ สนุกสนานอยูบนหัวใจ ไมม วี ันจบเพลงเลยน่ันแล
ขณะท่ฟี ง เทศนน ี้จติ มีความสงบจติ อยกู ับตวั ถา จิตอยูกบั ตัว เวลาฟงทา นอธบิ าย
กเ็ ขา อกเขาใจไปโดยลําดับๆ ใหจิตอยูกับตวั นนั่ แหละถูกตอง ในการฟงเทศนไมจําตอ ง
สง ใจออกมาขา งนอก ใหอ ยกู บั ตวั กระแสธรรมจะเขาไปสมั ผัสกับความรูคือใจ เมือ่
สมั ผัสกันเรอื่ ยๆ จิตจะไดรบั ความสงบในขณะทฟี่ ง เม่ือจติ สงบแลวความสขุ นั้นเกิดข้ึน
เอง ทค่ี วามสุขไมเ กดิ ความสขุ ไมมีเพราะจิตไมส งบ จิตยงุ อยตู ลอดเวลา กอ กวนตนเอง
อยไู มหยดุ ความทุกขก็มีเรอ่ื ยๆ นะซี เพราะปอนเหตใุ หเ รื่อยๆ ทานจงึ วา
“การฟงธรรมมีผล ๕ ประการ ประการสดุ ทา ยคอื จติ ผูฟงยอ มผองใส” จติ จะ
ผองใสไดจ ติ จะตอ งอยูกับตวั รับสมั ผัสกระแสแหง ธรรมที่ทานแสดงไปโดยลาํ ดบั ไมใ ห
ขาดวรรคขาดตอน ตงั้ ความรูไวเทานนั้ แหละ ไมตอ งไปเสยี ดายอะไรกบั สง่ิ ภายนอก ไม
ตอ งไปวุน วายกับส่ิงใด ทเ่ี ราเคยรูเ คยคิดเคยปรงุ เคยเห็นมาแลว ไมเหน็ เกิดประโยชน!
คราวนเ้ี ราตองการใหร ใู หเ ห็นใหเ ขาใจในอรรถในธรรม จึงใหธรรมเหลานน้ั
สมั ผสั จิตใจ เพราะใจถูกสิ่งอน่ื มาสมั ผสั เสียมากมายจนใจไมเ ปนใจของตน มนั เปน ใจ
ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ภาค ๒ ๑“เ๕ร๑๗า๔ก๑ับ จติ ’’
๑๔๒
กเิ ลสตณั หาอาสวะ หรือเปนใจเปรตใจผอี ะไรไปก็ไมร ลู ะ ใจเปนนรกอเวจีไปหมดเพราะ
ส่งิ ไมเปนทา เขา มากอ กวนวนุ วาย เวลานใี้ หจ ิตเปน ภาชนะสาํ หรบั รบั ธรรม ตัง้ หนา ตงั้ ตา
ฟงโดยเฉพาะ จิตก็สงบ เม่ือสงบแลว ก็เย็น พอจิตเยน็ เทาน้ันแหละกส็ บายไปเองคน
เรา! เราหาความสบายไมใ ชเหรอ? เราไมห าความทกุ ข!
น่แี หละจดุ แหง ความสบายอยทู ่ีตรงนี้ ใหพยายามระงับจิต อยาปลอยใหคดิ มาก
เกินไป ความคิดมากไมใชของดี คดิ มากๆ ไปจนจะเปน บา ก็มี เพราะเหตุไร? เพราะสงิ่
ที่ไมด นี นั่ แหละจติ ชอบคดิ จิตชอบไปเกี่ยวขอ งพัวพัน ยิง่ ความโกรธแคน จิตยง่ิ ติดยิ่ง
ชอบคดิ ก็ยง่ิ เพม่ิ ความรอ นใหจิตใจมากขน้ึ โดยลําดับไมมปี ระมาณ ตั้งตัวไวไมได
ฉะน้ันตองหักหามดวยการฝน ใจ ใจจะขาดกใ็ หข าดไป จิตเปน สมบตั ิของเราทาํ ไมเราจะ
บังคับไมได และจะมอบใหใครเปนคนบงั คบั ใหเรา? ใครเปน คนรบั ผดิ ชอบในจิตของ
เรา? เราเองเทา น้นั เปนผรู ับผิดชอบ
จงทุม กาํ ลังลงไปไมท อ ถอยจิตจะยอมจํานนเอง แลว สงบตวั ลง เห็นผลละทีน!ี้
วา “ออ ! ผลแหงการบังคับจิตเปนอยา งน้หี รือ!” ตอไปก็มีแกใ จ หรอื เกดิ ความกลา หาญ
ทจี่ ะบงั คับทรมานตน สุดทา ยจิตกเ็ ปน สมบัตอิ นั มีคา ข้ึนมาเปน ลาํ ดบั ๆ อยไู หนกส็ บาย
และมีความยับยั้งตัง้ ตวั ไดดวยเหตุดวยผล ดวยสติปญ ญาซึง่ เคยไดบําเพญ็ มาและเคย
ไดห ลักไดเ กณฑมาแลว
นี่คือการปฏิบัติตนตามหลักศาสนา ความอดความทนตอ หลกั ศาสนา การพรํา่
สอนตามหลกั ศาสนาดกี วาการพรํา่ สอนใครทั้งนั้น ยิ่งผทู สี่ อนตนดแี ลว พูดใหคนอนื่ ฟง
หรอื สั่งสอนกจ็ บั ใจไพเราะและเชอื่ ถือไมจดื จาง
ถาตนยงั เหลวไหลพูดออกไปก็ไมม รี สชาติแกผูฟง ถงึ แมจ ะนําคําสอนของพระ
พุทธเจาไปพดู เปน ตๆู หบี ๆ มนั ก็ไมน า ฟง มนั มีลกั ษณะ จืดๆ ชดื ๆ ราวกับอาหารไมมี
รสอรอยนน่ั แล ถา จิตใจเขม แขง็ ความรสู กึ อยูภ ายในกม็ ั่นคง ใจมพี ลงั ธรรมการแสดง
ออกก็มีรสชาติดี จบั ใจซาบซง้ึ เพราะธรรมออกไปจากใจทเ่ี ปนตวั การสาํ คญั ซึ่งบรรจุไว
แลว หรอื บรรจุเต็มแลว
จงึ ขอใหพ ยายามรักษาจติ ใจใหมีสารคณุ ปรากฏเดนข้ึนโดยลําดับ ๆ จากการ
ปฏิบัติ มจี ติ ตภาวนาเปนตน อยาเหน็ วาเปนกจิ นอกประเดน็ หรอื เปนกจิ พิเศษนอกจาก
ความสาํ คัญไปเสยี การภาวนาน้นั แหละคือเรือ่ งสําคัญท่ีสุดในชวี ติ จิตใจของเรา มีธรรม
น้แี หละเปน สาํ คัญมากกวา ส่งิ อ่ืนใด นอกน้ันก็เปน เพียงปรยิ าย อาศยั กันไปชวั่ คราวชั่ว
กาลชว่ั เวลา แลวก็พลดั พรากจากกนั ไปท้งั เขาท้ังเรา จะหาความจรี งั ถาวรไมไ ด ทัว่ ทง้ั
แดนโลกธาตุอนั เปนสมมุตมิ นั เปนอยางเดยี วกัน จึงขอยุตเิ พียงเทานี้
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ๑๔๒
ธรรมะชดุ ๑เ๕ต๘รยี มพรอ้ ม
๑๔๓
จติ วนุ่ วาย เทศนโปรดคณุ เพาพงา วรรธนะกุล ณ วดั ปา บา นตาด
เเมทื่อศวนนั์โปทรี่ ด๙คณุธันเวพาาคพมงาพวทุ รธรศธักนระาเกชมุลื่อ๒ณว๕นั ๑วท๘ดั ่ี ป๙่าบธ้านัจนวติตาาควดมุนพวทุาธยศักราช ๒๕๑๘
คนท่ีมีนสิ ัยวาสนาพรอ มแลว คือจาํ พวก “อุคฆฏติ ญั ”ู เชนพระยสกุลบตุ ร
และพระสารีบตุ ร พระโมคคลั ลาน เปนตน นค่ี อื ทานผทู เี่ ปน “อุคฆฏิตญั ู” ซึ่งคอยจะรู
จะเขาใจในธรรม และบรรลุมรรคผลนิพพานไดอ ยางรวดเร็วกวาทกุ ๆ จาํ พวกที่เปน
เวไนยชน ที่ควรจะรูหรือบรรลุธรรมตามศาสนธรรม
พระยสกุลบุตร อยใู นบา นอยูไมได เมอ่ื ถงึ กาลแลว บน วา “วนุ วายๆ,ขัดขอ งๆ”
จนถงึ กบั ออกจากบา นหนไี ปในเวลาเชา ตรู โดยไมม ีจดุ หมายปลายทางวา จะกลับมาอยู
บานอีกหรือไมก ลับ เพราะความขดั ขอ งวุนวายภายในใจ พอดีไปพบพระพทุ ธเจา ซึ่ง
กําลงั ทรงจงกรมอยขู างทางทพ่ี ระยสกลุ บตุ รเดนิ ผานไป พระองคจ ึงรับสั่งวา “มาทีน่ ่ี ทน่ี ่ี
ไมยงุ ไมว ุนวาย ทนี่ ่ไี มข ดั ของ ทน่ี แ่ี สนสบาย เธอจงเขามาหาเราทีน่ ี่”
พระยสกลุ บุตรเขาไป กป็ ระทานพระโอวาท จนสําเรจ็ มรรคผลขนึ้ ในขณะนน้ั
อยางรวดเรว็
ถาอยา งน้กี ็เหมือนงายๆ งายนิดเดียว และงายจนอาจลมื ความทุกขความลาํ บาก
ของผเู ปนศาสดา ซ่ึงไดส ลบไสลไปถงึ สามครงั้ กอ นไดตรัสรูธรรมนาํ มาสอนโลกทมี่ ี
นสิ ยั มกั งา ยเปนเจา เรือน พระยสกลุ บุตรน้นั เหมือนกับคนเปน โรคซ่งึ คอยรับยาอยแู ลว
ยากพ็ รอ มที่จะยังโรคใหหายอยูดวย พอรบั ประทานยาเขา ไป โรคกห็ ายวนั หายคนื และ
ระงับดับไปโดยลําดับจนหายขาด ไมย ากอะไรเลย! ถาเปน อยา งนห้ี มอกไ็ มตอ งเรยี น
มากมายนกั คนไขกไ็ มตองเปนทกุ ขเดือดรอ นและทรมานไปนาน พอเปน ขึน้ หมอใหรบั
ประทานยาก็หายไปเลย
น่ถี า เราพดู ขั้นงายก็เปนอยางนี้ แตพ ึงทราบในหลายแงข องโรคท่ีเกิดและฝง กาย
ฝงใจในมวลสตั ว วามีประเภทตา งๆ กนั ท้ังรักษายากท้ังรักษางาย เพราะมใิ ชโ รคหวัด
แตอ ยางเดยี ว พอจะนดั ยาแลวก็หายไปเลยอยา งน้นั
อกี ขน้ั หนง่ึ กห็ นกั ลงไปกวา น้ี หนกั ลงไปเปน ขน้ั ๆ จนถงึ ขนาดท่กี ิเลสไมฟ ง
เสยี งธรรม โรคไมฟ งยา ธรรมจะดี ยาจะดีวิเศษวิโส พระพุทธเจา พระอรหันต และ
หมอ จะมคี วามรดู เี ชยี่ วชาญฉลาดขนาดไหน มันก็เขา กนั ไมไ ดก ับกิเลสและโรคชนิดไม
รับยารับธรรม สุดทายกต็ องปลอ ยไปตามบญุ ตามกรรมไมม ีใครชว ยไวได นอกจาก “กุ
สลา ธมมฺ า” ท่ีเช่ือถอื กนั วา รับไดท ้ังคนตายคนเปน ไมเลือกหนา จนพระที่มุงตอ
ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ธรรมะชุด๑เ๖๑ต๐ร๔ียม๓พรอ้ ม
๑๔๔
“ธรรมาภิสมัย” ยุงแทบเปนแทบตายเพราะหาเวลาบาํ เพ็ญ ไมยงุ กบั กสุ ลา ธมฺมา
มาติกาบงั สกุ ลุ แทบเปนลมตาย
จิตของสัตวโ ลกทมี่ กี ิเลสเคร่อื งวนุ วายสับสน กม็ กั เปน กนั อยา งน้ีแตไ หนแต
ไรมาตาํ หนกิ ันไมล ง เพราะตางคนตางมี
โรคที่คอยรับยาคือธรรมอยแู ลว เชนประเภท “อุคฆฏติ ัญู” ถดั ลงมาคือ “วปิ จิ
ตัญู” และถัดลงมาประเภท “เนยยะ” ที่พอแนะนําส่งั สอนหรือพอฉดุ ลากกันไปได ดัง
เราทงั้ หลายท่ไี ดพ ากันอตุ สา หพยายามตะเกยี กตะกายดวยวิธีตางๆ หลายครง้ั หลายหน
บาํ เพญ็ และฟง การอบรมซํา้ ๆ ซากๆ ไมล ดละทอถอย ธรรมก็คอ ยๆ หยง่ั เขา ถึงใจ ๆ
เมื่อรับธรรมดวยการปฏิบตั ิบําเพ็ญไมห ยดุ ไมถ อย ธรรมกเ็ ขา ถงึ ใจและหลอเล้ียงใจให
ชมุ ชืน่ เบิกบานดว ยคุณธรรมในอริ ิยาบถตางๆ กเิ ลสท้งั หลายภายในใจที่เคยหนาแนน ก็
คอ ยๆ จางออกไป เบาบางลงไป ใจคอ ยดีดตวั ข้นึ สูธรรม นาํ ความสุขเขาไปหลอ เล้ียง
นํ้าใจไมขาดสาย ราวกบั นํา้ ซับนํา้ ซมึ ไหลรนิ เยน็ ฉํา่ อยตู ลอดเวลา ความหวังทั้งหลายก็
คอ ยเต็มต้ืนขึ้นมาเรอ่ื ยๆ
ความจริงธรรมมมี ากเพยี งไร อาํ นาจใจกม็ มี าก กเิ ลสกม็ อี าํ นาจนอ ยลง ถา
ธรรมไมม เี ลย กิเลสก็มอี าํ นาจเตม็ ท่ี อยากแสดงอาํ นาจอยา งไรกแ็ สดงออกมาอยางเตม็
เม็ดเต็มหนวย ความเดอื ดรอนจงึ มมี าก เพราะกิเลสมีมากและมีอาํ นาจมาก กอ ความ
เดือดรอนใหแ กโลกไดม าก เม่อื ธรรมแทรกซึมเขาถงึ ใจมากนอ ย กเิ ลสกค็ อ ยออ นกาํ ลงั
ลงไป ธรรมก็มีอาํ นาจมากขน้ึ ไปโดยลาํ ดับๆ
ฉะนัน้ การปฏิบัติธรรมจงึ มีความจําเปนอยา งย่ิง ทจ่ี ะพยายามใหธรรมเขา สูใจ
อยางสมํ่าเสมอ ไมวา จะอยูในสถานทใ่ี ดๆ ควรมธี รรมเปน สรณะ เปน ท่ยี ดึ เหน่ียวใจอยู
เสมอ เพราะกเิ ลสไมไ ดม กี าล ไมมสี ถานที่ เวลาํ่ เวลา อดตี อนาคต ไมข ้นึ อยูกบั ส่งิ ใดทัง้
ส้นิ แตข ึน้ อยูกับการผลิตการกระทาํ ของมันเทา น้ัน อยไู หนกิเลสกส็ รางตัวใหเปนปก
แผนมนั่ คงบนหวั ใจของสัตวโ ลกไมเ วนวนั เวลาเลย กิเลสจงึ ไมม ีขาดแคลนบนหัวใจสตั ว
แตไหนแตไรมา
ถาเราไมระมดั ระวงั ตวั มนั ตองผลิตผลออกมาเรือ่ ยๆ ใหไดร ับความทุกขค วาม
ลําบากไมมีสนิ้ สุดจุดหมายปลายทางเลย ความหวังในสิง่ ท่พี งึ ใจของสตั วโลก ก็มีแตน บั
วันเลือนรางหายไป เพราะกิเลสทีต่ นผลติ ข้นึ ลบลา งไปเสียหมด
การสงั่ สมธรรม การประพฤติปฏิบตั ิธรรม ซึ่งเปนคแู ขงหรอื เครอ่ื งปราบปราม
กิเลส จงึ เปน สงิ่ จาํ เปน สําหรับเราผมู คี วามหวงั ประจาํ ใจ และตอ งการความสงบรม เยน็
เปน มิง่ ขวญั ของใจ ตลอดหนาท่ีการงานทเ่ี ปน ไปเพอ่ื ความราบร่นื ดงี ามสม่าํ เสมอและ
ผลทพี่ ึงพอใจ ตอ งอาศัยการอบรมการประพฤติปฏบิ ัตทิ างดา นศลี ธรรม เมื่อธรรมเขาสู
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ภาค ๒ “๑เ๖ร๑๑า๔ก๔บั จติ ’’
๑๔๕
จิตใจมากนอ ย ใจกค็ อ ยๆ เกดิ ความยม้ิ แยม แจม ใส มีรัศมีแพรวพราว เพราะมี
ความสงบรมเย็นภายในตวั เปน พืน้ ฐานแหง ธรรม พรอ มกับเหน็ คณุ คา แหงใจและคณุ
คา แหงความพากเพียรไปโดยลาํ ดับ ธรรมเปน สมบัติที่จาํ เปน สาํ หรบั ผตู องการความ
สุขความเจรญิ ท้ังภายในและภายนอกโดยทว่ั กนั จึงควรอบรมศีลธรรมใหมขี ้นึ ภาย
ในจิตใจอยา ไดลดละปลอ ยวาง แมจ ะยากแสนยาก ลําบากกายใจเพยี งไร ก็ควรทาํ
ความดีเปนคเู คียงกันไป จะเปนผสู มหวงั ท้งั เบ้ืองหลงั เบอ้ื งหนา ไมข าดทนุ สูญดอกไป
เปลาจากความเปนมนุษย
ความยากลาํ บากเราไมต องยดึ มาเปน อปุ สรรค ท่เี คยไดอ ธบิ ายมาหลายครง้ั
หลายหนแลว การแกก ิเลสจะไมยากไดอยางไร เพราะกเิ ลสมันกอ ตวั และแสนเหนียว
แนนมาแตเ มือ่ ไรไมมีใครทราบไดเ ลย และไมท ราบจนกระทง่ั ปูยา ตายายของมนั คือ
อะไร โคตรแซของกเิ ลสคืออะไร ไมทราบไดเ ลย ทราบไดแตเพียงวา มันเปน โคตรแซท่ี
เหนยี วแนนแสนเอาเปรียบสตั วโ ลกมาเปนประจาํ ไมยอมเสยี เปรยี บใครอยา งงายๆ
เลยแตไ หนแตไรมาเทา นน้ั ฉะน้ันจงพากนั ผกู อาฆาตมนั ใหถ งึ ใจทีเดยี ว
เราจะทาํ ลายกิเลสซง่ึ ฝงรากฐานลงอยางลึกทะลขุ ้วั หัวใจ จะทาํ ลายเอาอยางใจ
คดิ ใจหวัง ใหง า ยอยา งปอกกลว ยมนั เปน ไปไมไ ด เพราะกิเลสไมใ ชกลวยพอที่จะปอก
แลวเอามารับประทานเลยอยางนน้ั ได ผูปฏบิ ัตธิ รรมจงึ ตอ งเปน ผูมีหลักใจแนนหนาม่ัน
คง มคี วามมงุ มน่ั เปน ตน นค่ี อื คนมหี ลกั ใจหรือใจมหี ลกั ใจหนกั แนน พูดงายๆ มี
เหตุมีผลประจําใจเสมอ เปน เครอ่ื งบงั คับใหใจดําเนินตาม หรือเดนิ ตามเหตุผลท่ี
พจิ ารณาเหน็ วา ถกู ตอ งแลว นน้ั ๆ เมอ่ื ใจดาํ เนินตามหลักของเหตผุ ลอยูโ ดยสม่าํ เสมอ
ความเคยชินของใจก็มดี ว ย สง่ิ ทจี่ ะมากอกวนจติ ใจใหไดร บั ความทกุ ขความลาํ บาก กจ็ ะ
มนี อ ยลงเปนลาํ ดับดว ย ไมก ําเริบเสิบสานดังทมี่ นั มีอํานาจสังหารโลกใหยอ ยยับทางจติ
ใจ และศลี ธรรมอยใู นทา มกลางท่ใี ครๆ กว็ า “โลกเจริญๆ” อยูเวลานแี้ บบไมลมื หลู ืมตา
ดังผเู ทศนอ ยเู วลาน้ีเองซึง่ กาํ ลังมืดบอดเต็มท่ี
น่ีแหละท่ีทานสอนใหไ ปอยปู า หาที่สงบสงดั ดังท่ีพระทานอยูกันเรื่อยมา เชน
พระในคร้ังพทุ ธกาลมจี ํานวนมากมายท่มี งุ ตอแดนพนทกุ ข ไดประพฤติปฏบิ ตั ิตนดวย
วธิ ีทไ่ี ดกลา วมาน้ี องคน น้ั สําเรจ็ มรรคผลอยทู ปี่ า นั้น องคนบี้ รรลุธรรมอยทู ี่ภูเขาลูกนัน้
เรอ่ื ยมาโดยลําดับ ขาวของทานมีแตข า วดีวิเศษวิโส บทขาวของเรามีแตความโลภโกรธ
หลงเต็มตัว แทบเคลื่อนยายตัวไปไมได เพราะมนั หนกั สงิ่ เหลานีเ้ หลือประมาณเกนิ กวา
จะหาบหามไปได
ถา ดเู ผนิ ๆ แบบคนขีเ้ กียจท้ังหลายสมัยจรวดดาวเทยี ม กเ็ หมือนทา นลา งมือ
เปบ เอา ๆ งายเหลอื เชอ่ื ของคนสมัยทีไ่ มอยากเชอ่ื ใคร นอกจากเช่ือตัวผูเดยี วที่กําลัง
ธรรมชุดเตรียมพรอม ธรรมะชุด๑เ๑๖ต๒ร๔ยี ๕มพรอ้ ม
๑๔๖
จะพาจมลงเหวลึกท้งั เปน ๆ อยทู กุ ขณะไมมีขอบเขตอยูแ ลว แตเ หตุคอื การบาํ เพญ็ ของ
ทา น ทา นสละเปนสละตายมาแทบทกุ องค ไมว าจะออกมาจากสกุลใดๆ เมือ่ ไดมงุ หนา
มาประพฤตปิ ฏิบตั ธิ รรม ดว ยความเชอื่ ความเลือ่ มใสตอพระโอวาทคาํ สง่ั สอนของพระ
พุทธเจา แลว ตองเปนผูเปลี่ยนเคร่อื งแบบใหมเ สียทง้ั หมด จรติ นสิ ัยใจคอท่เี คยเปน
อะไรบาง ซง่ึ ไมด ีไมงามมาแตกอ น ทานพยายามสลัดปดทิ้งหมด เหลือแตนสิ ัยดี
ประจาํ เพศความเปน นกั บวช ท่ีกลาหาญตอ ความเพยี รเพื่อแดนพนทุกขโดยถา ยเดยี ว
ทา นพยายามดําเนนิ ตามหลกั ธรรมท่พี ระพทุ ธเจา ทรงส่ังสอนเทา นน้ั
เอา! หนกั กห็ นกั ,เปน กเ็ ปน, ตายก็ตาย, อดกย็ อมอด อม่ิ กย็ อมรบั วา อม่ิ ขอให
ไดบ ําเพ็ญธรรมเพอื่ ความพน ทุกขส มความมงุ หมายก็เปน ทพ่ี อใจแลว สาวกทา นดําเนนิ
อยา งน้ี แลว ก็ถา ยทอดขอปฏิบตั ปิ ฏปิ ทาเคร่อื งดาํ เนนิ อันดงี ามนน้ั มาจนถึงพวกเรา ซงึ่
เปนปฏิปทาท่รี าบรืน่ ดงี ามสมา่ํ เสมอควรแกมรรคผลนพิ พาน และเปนปฏิปทาที่
สามารถแกก เิ ลส ถอดถอนกิเลสทุกประเภทออกจากใจไดโดยสิน้ เชิงไมสงสัย ไมวา กาล
ใดสมัยใด เมื่อผปู ฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมทพ่ี ระองคทรงสอนไวแ ลว ตองไดผ ลเปน ท่พี อใจ
โดยลําดับทกุ ยคุ ทุกสมยั เพราะ “สวากขาตธรรม” ไมข น้ึ กับโลกกับสมัย แตข น้ึ กบั ความ
จรงิ อยางเดียว
คาํ วา “ท่ีน่นั วนุ วาย ทน่ี ว่ี นุ วาย” จะหมายถึงอะไร? ถาไมหมายถึงใจตัวกอเหตนุ ้ี
เทาน้ันพาใหเ ปนไปตางหาก สถานทเ่ี ขาไมไ ดว นุ วาย นอกจากใจเปน ผวู ุน วายแตผ ู
เดียว ดินฟาอากาศเขาไมไ ดวาเขาเปน ทุกขเ ปนรอ นและวุนวายอะไร ถา ดแู บบนกั
ปฏิบัตธิ รรมเพือ่ ธรรมอยางจริงใจ จะเหน็ แตใจดวงเดยี วนเ้ี ทา น้นั ดน้ิ รนวนุ วายอยูตลอด
เวลา ยง่ิ กวา หางจงิ้ เหลนขาด (หางจ้ิงเหลนขาดมนั ดิน้ ริดๆ) สถานท่ีใดกเ็ ปนสถานท่นี ั้น
อยูตามสภาพของเขา ผูทีว่ ุนวายกค็ ือหัวใจทีเ่ ตม็ ไปดว ยกิเลสเคร่อื งกอกวนใหวนุ วาย
นน้ั เอง ขึ้นชอ่ื วา “กิเลส” แลว ทุกประเภทตองทําคนและสตั วใหอ ยูเปน ปกตสิ ขุ ไดยาก
ตอ งลกุ ลล้ี ุกลนกระวนกระวายสายแสไ ปตามความผลกั ดันของมันมากนอยอยนู น่ั เอง
ที่พระพทุ ธเจา ทานวา “จงมาสูสถานท่ีน้ี ที่นไ่ี มวุนวาย!” คือพระองคไ มวุนวาย
พระองคไ ดชาํ ระความวุน วายหมดแลว บรรดาส่ิงท่ที าํ ใหว ุน วายภายในพระทยั ไมมี
เหลอื แลว สถานที่นีจ้ งึ ไมว นุ วายไมข ดั ของ
“ยสกลุ บตุ ร” ถา พดู ถึงชอ่ื กว็ า “ยส” เขามาน่ี ทีน่ ี่ไมว นุ วาย ที่นีไ่ มขดั ของ ที่นี่ไม
เศรา หมองขุนมวั ไปดวยตมดวยโคลนคอื กิเลสโสมมตา งๆ แตคร้ังนัน้ พระพทุ ธเจา จะ
ทรงทราบช่อื ทราบนามของเขาหรือไมก ต็ าม กห็ มายเอาผูน นั้ นน่ั แหละ เมือ่ เราทราบชอื่
ของทา นแลว กถ็ อื เอาความวา สถานท่ีน้ันก็คอื สถานท่บี ําเพญ็ เพือ่ ความไมวนุ วายน่ันเอง
ธรรมชุดเตรยี มพรอม ภาค ๒ “๑เร๑๖า๓๔ก๖บั จิต’’
๑๔๗
สถานท่ีที่พระพทุ ธเจาประทบั อยเู วลานน้ั กเ็ ปน สถานที่ทฆ่ี ากเิ ลส ทําลายกิเลสทัง้ มวล
ไมใชเ ปน ท่ีสง่ั สมกิเลส เปน สถานท่ีไมว นุ วายกบั อะไรบรรดาขา ศึกเครือ่ งกอกวน จึงทรง
เรยี กพระยสเขามาวา
“มาท่นี ่ี ที่นไี้ มย งุ เหยิง ท่ีนีไ่ มวุนวาย ท่นี ่ไี มเ ดือดรอ น” ทีน่ เ่ี ปน ที่อบรมส่งั สอน
ธรรมเพอ่ื แกความเดอื ดรอนวนุ วายภายในใจโดยตรง จนยสกลุ บุตรไดบรรลุธรรมเปน
ท่ีพอใจในที่นน้ั
ที่นนั้ ควรเปนเคร่ืองระลกึ ใหเ ราท้งั หลายไดคิดถึงเร่อื งความวนุ วายวา มนั อยู
ในสถานทใ่ี ดกนั แน? ถาไมอ ยใู นหัวใจนไี้ มมีในทีอ่ นื่ ใด เม่ือความวนุ วายทก่ี อกวนอยู
ภายในใจระงับดบั ลงไปแลว ดว ยความประพฤติปฏบิ ัติธรรมในสถานท่ีอนั เหมาะสม
ความสงบเยน็ ใจก็เกิดขึ้น ไปทีใ่ ดอยทู ่ใี ดก็ไมว นุ วาย เมอื่ หวั ใจไมว ุนวายเสยี อยา ง
เดยี ว อยูท่ไี หนก็อยเู ถอะไมวุน วายทงั้ ส้ิน สบายไปหมด! จะอดบา งอม่ิ บา งกส็ บาย
เพราะใจอมิ่ ธรรม ไมห วิ โหยในอารมณเ ครอ่ื งกอ กวนใหว นุ วาย เราสังเกตดูเผินๆ ก็
พอทราบได ดว ยอาการที่แสดงออกของสตั วแ ละบคุ คล ในเวลามีความทุกขเ ขา ทบั ถม
มากนอ ย เฉพาะอยางย่ิงขณะจะตายสัตวจ ะด้นิ รน คนจะอยเู ปน ปกติสขุ ไมไ ด ตอ ง
กระวนกระวายท้ิงเนือ้ ท้ิงตวั จนไมม สี ตปิ ระคองใจ กระท่ังตายไป
ฉะนน้ั จึงมใี จดวงเดียวเปนตวั กอ เหตใุ หเ กดิ ความวุนวาย แตใจน้ันมีสิ่งท่ีพาให
กอ เหตุ ไมใ ชเ ฉพาะใจเฉยๆ จะกอ เหตุข้นึ มาอยา งดือ้ ๆ ส่งิ ทแ่ี ทรกสิงอยนู ้ันคือสิ่งวนุ
วายหรอื ตวั วนุ วาย เมื่อเขาไปสงิ ในจติ ใจของผูใด ผนู น้ั ก็ตอ งวุนวายไปดว ยมัน การแก
กเิ ลสคอื ธรรมชาติท่ที ําใหวนุ วายนี้ จึงแกลงท่ีใจดว ยขอ ปฏิบัติ เชน ทา นสอนให
กาํ หนด “พุทโธ,ธัมโม,สังโฆ” เปน เครื่องบรกิ รรม หรือกําหนด “อานาปานสต”ิ เปน
อารมณ เพ่ือใจไดรบั ความสงบระงับในขัน้ เรม่ิ แรก ซง่ึ เปน ธรรมเครอื่ งระงบั ความวุน
วาย ตอ ไปกต็ ามดใู จวา มนั วนุ วายกบั เรอ่ื งอะไร? น่คี อื ขั้นเริม่ แรกท่ีปญ ญาจะเร่มิ
ออกกาวเดนิ เพอ่ื คน หาสาเหตุ คือตัวกเิ ลสทท่ี าํ ใหใจวนุ วายไมหยุดหยอ น จนกวา จะรู
เร่อื งของมันไปโดยลาํ ดับ ไมย อมถอยทพั กลบั แพข า ศกึ ตวั แทรกซมึ กอ กวนทแ่ี อบซอน
อยภู ายในจิต
เชน ใจวนุ วายกบั เร่อื งรปู รส กลิ่น เสียง เครอ่ื งสัมผสั ซงึ่ เขา ใจวาอันน้ันดี อันนี้
ช่ัว อนั นั้นเปนอยา งน้นั อนั นเี้ ปน อยา งนี้ ดว ยความสําคัญตา งๆ ปญ ญา พิจารณาคล่ี
คลายดใู หเหน็ ตามความเปน จริงในสง่ิ นน้ั ๆ แลวยอ นเขามาดจู ติ ใจผมู คี วามสําคัญ
มนั่ หมายในส่ิงนั้นๆ วาเปน นน่ั เปนนี่ จนเกดิ ความวุน วายข้ึนภายในตัว ใหเห็นชดั เจน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชดุ ๑๑เ๖ต๔๔รยี ๗มพรอ้ ม
๑๔๘
ท้ังภายในภายนอก ใจกส็ งบระงบั ลงไปได เปนอรรถเปนธรรม พอมที ผ่ี อ นคลายหาย
ทกุ ขไ ปไดไ มร นุ แรง
การแกความวนุ วายแกตรงทีค่ วามวนุ วายมอี ยู คอื ใจน่ีเอง แกไ มหยุดไมถ อย ใจ
จะฝนเราไปทไี่ หน จะตอ งสงบระงับความกําเริบลงจนไดไ มเหนอื ธรรมเคร่ืองฝกทรมาน
ไปได ปราชญท า นเคยฝกทรมานจนเห็นผลมาแลว จงึ ไดน าํ อบุ ายวิธนี ั้นๆ มาสอนสตั ว
โลกเชน พวกเรา ชาวปฏบิ ัตธิ รรมทางใจ
อยา ลมื ! อยาหนจี ากจดุ น้ี! “วฏั จกั ร” ก็คือจิต เร่ืองเกิดเรื่องตาย เรอ่ื งทกุ ข
ลาํ บากทง้ั หมด คอื จติ เปน สาํ คัญ เอา! เอาลงทน่ี ่ีเลย! ตัวนี้เปน ตวั กอเหตุ คําวา “คือ
จิตนี้” ก็คอื กิเลสมอี ยูใ นจิตนน่ั เอง จติ ยงั สาํ รอกปอกกเิ ลสออกไมไ ดห มด จึงตองมี
เรือ่ งไมพ ึงปรารถนาเกิดขึ้นภายในจิตอยเู สมอ ทั้งๆ ทไี่ มต องการใหม ันเกดิ แตมันกเ็ กดิ
เพราะธรรมชาตขิ องมันเปน อยา งนน้ั ทางเดินของมนั อยูท ่นี ่นั จงึ ลบลางไมไ ดด วย
ความสําคญั ดว ยความตองการเฉยๆ
แตตอ งลบลา งดว ยการปฏบิ ัติ กําจดั สิ่งน้นั ๆ ดว ยเหตุผลที่ควร ไดแกอ รรถ
ธรรมนแ่ี หละเปน หลกั ใหญ เอา! บาํ เพญ็ ลงไป คาํ วา “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ” “ตน
เปนที่พง่ึ ของตน” ดังทเ่ี คยแสดงแลว ใหเ ดนภายในใจและความสามารถของเราเอง
อยา หวงั พ่ึงใครอนื่ อันเปน การออนความสามารถไมฟ ตตัวใหเขมแข็ง ดังธรรมทาน
สอน
มนษุ ยเ ราเกดิ มาชอบอาศยั ผูอืน่ อยเู ปน นิสยั อะไรๆ ตองพ่งึ ผูอนื่ อาศยั ผูอ่นื ตง้ั
แตเ ลก็ จนโต ราวกบั ไมม แี ขงมขี าไมมมี ือมเี ทา ไมม สี ติปญญาใดๆ เลย มแี ตป ากกบั
ทอง เวลาเขา จนตรอกจนมุมไมม ีผอู าศัยจะไมจ มไปละหรือ? ฉะนัน้ เราเปนนกั ปฏิบตั ิ
ธรรม ตอ งหัดพึง่ ตัวเองตามหลักธรรมท่ีสอนไว จะเปนผไู มจนมุมในเวลาจําเปน
พยายามสราง “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ” ขึ้นในตวั สตไิ มมีพยายามสรา งใหม ี ปญญาไม
มพี ยายามสรางใหมี ความขเี้ กยี จพยายามปราบปรามมนั ลงไปใหส น้ิ ซาก อยา ใหม ากดี
ขวางลวงใจอีกตอไป ความขยันผลติ ขึน้ มาดว ยความมีเหตุมีผล เมือ่ มีเหตมุ ผี ลความ
ขยนั มันเกดิ ขึน้ ไดเอง
ความขเ้ี กยี จข้คี รา นน้ี เราเคยไดเงินหมื่นเงินแสนเงนิ ลานจากมันบา งไหม? ถา
เราสรา งโลกดวยความข้ีเกยี จ จะเปน คนมง่ั มีไดไ หม? ความโงมนั จะทําใหค นฉลาด
แหลมคมไดไ หม? คนโงจ ะทําอะไรใหส ําเรจ็ ลุลวงไปดวยความนา ชมมีไหม? ความโง
ความข้เี กียจออ นแอนําหนา ทําอะไรทันเขาไหม? ความโง ความขี้เกยี จ เม่อื ไดเขาเปน
อนั เดยี วกันแลวทําอะไรไมส าํ เรจ็ ทสี่ าํ เร็จของมันคือบนหมอน “กอนแลว นนิ กนิ แลว
ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ภาค ๒ “๑เ๑๖รา๕๔ก๘ับ จติ ’’
๑๔๙
นอน!” อยูน ั่นแล นแ่ี หละโทษของมันเปนอยา งนี้ แตคณุ ของมันยังมองไมเ ห็น อาจเปน
เพราะขรัวตาเรียนนอยจึงไมอาจรูเทา ทันมัน จงึ ขอมอบใหผเู รียนมากนาํ ไปวินจิ ฉัยเอง
จะเหมาะสมกวา
ทต่ี อ งการเหน็ อรรถเหน็ ธรรม เห็นความจริงของศาสนธรรมซ่ึงมีอยูภ ายในใจ
เรา ดงั ทพี่ ระพทุ ธเจาไดท รงสอนไว เราจะทาํ วิธีไหน? จะนําความขี้เกียจข้คี รา นน้เี ขามา
เปน ผนู าํ ทางเหรอ? หรือจะเอาความโงเขา มาเปน เครื่องบกุ เบิกทาง นอกจากมนั จะเพมิ่
ความขเ้ี กียจและความโงข นึ้ อกี หาอะไรเปนชน้ิ เปน อนั บางไมไ ดเ ทานัน้ ไมม อี ยางอนื่ จะ
เปน สารคุณของทงั้ สองสงิ่ นี้
เพราะฉะน้ันสิ่งใดทีจ่ ะแกสง่ิ ท้ังสองน้ีได จะตอ งพยายามผลติ ส่ิงนั้นข้ึนมา ความ
ฉลาดผลิตได ความพยายามคิดอานไตรต รองอยเู สมอ เปน สิง่ ที่ผลิตไดทาํ ไดไมส ุด
วิสยั มนษุ ยเรา ทีแรกตอ งพยายามพาคดิ พาคนไปกอ นเพราะยังไมเ หน็ ผล ก็ยังไมมี
กําลังใจดดู ด่มื ในงานคดิ คนไตรต รองเปน ธรรมดา จนกวาผลปรากฏขนึ้ มาแลว เรอ่ื ง
ความอตุ สา หพ ยายาม ความบกึ บนึ ความเชื่อความเล่ือมใส ความดูดด่มื ภายในจิต จะ
เปนไปเอง เพราะผลเปนเครือ่ งดงึ ดดู ใหเปนไป
จงนาํ สตปิ ญญาแกลงที่น่ี กเิ ลสมนั อยูท ่ีใจ อยา ไปคาดไปหมายทีโ่ นนท่ีนี่ เปน
ความผดิ ทั้งน้นั กิเลสตัวพาเปน พาคาดพาหมายเราไมด มู นั คาดวาท่ีน่นั จะดี ที่นี่จะดี
ท่นี ่ันจะเปน สขุ ทน่ี ี่จะสบาย ลวนแตม นั หลอกเรา เมอ่ื ไปแลว กอ็ ยางวานน่ั เอง เพราะ
“ตวั น้ี” มนั รอน ไปไหนๆ กต็ อ งรอน ตัวนม้ี ันทุกข ไปไหนๆ ก็ทุกข ถา ไมดตู ัวมันกอ
ทุกขก อ เหตุกอ ความวนุ วายอยูเสมอภายในใจนี้ จะไมเหน็ ทจ่ี อดแวะ จะไมเ หน็ ที่แกไข
จะไมเหน็ ท่รี ะงบั ดบั มันลงไปไดเ ลย ความสงบสุขความเยน็ ใจจะไมป รากฏ ถา ไมร ะงับ
ดับลงทน่ี ่ี ดว ยการพจิ ารณาท่ีนี่ แกม ันทตี่ รงนี้
มนั รอนทจ่ี ดุ ไหนกาํ หนดดทู ่มี ันรอ นนน้ั มันวนุ วายที่ตรงไหนกําหนดดูท่มี นั วนุ
วายนน้ั ต้งั สตจิ อเขา ไป! ที่ตรงนัน้ ใหเห็นความจริงและความวุนวายนี้วา มันเกิดข้นึ มา
จากอะไร? ความทุกขเกิดขนึ้ มาจากอะไร? อะไรเปนสาเหตใุ หเกิดทุกข คนมันลงไปที่จติ
นนั้ ทุกขนนั้ มนั เปน สนามรบดวยดีแลว น่ี ความทุกขเ กิดขน้ึ กเ็ อาความทุกขเปนเปา
หมาย กําหนดลงไป หาเหตุมนั เกดิ ขน้ึ มาจากอะไร คนความันอยูที่ตรงนน้ั คน มันที่ตรง
นั้น ความวนุ วายกับความทกุ ขม ันเกย่ี วพันกันอยู มนั เกดิ ข้นึ มาจากอะไร เกดิ มาจาก
ความสําคญั มั่นหมายนั้นแลไมใชเกดิ จากอนื่ วา อนั นัน้ เปนนั้น อนั นเ้ี ปน อยางน้ี ทั้งๆ
ที่มันไมเปน จิตไปสาํ คญั เอาเองแลวหลงความสาํ คัญของตวั กโ็ กยทกุ ขข นึ้ มาเผาลนตน
ธรรมชดุ เตรียมพรอม ธรรมะชดุ ๑เ๑ต๖ร๖๔ยี ๙มพรอ้ ม
๑๕๐
เองใหไ ดร บั ความทกุ ขค วามเดือดรอน มเี ทา นี้ เรือ่ งสาํ คญั อยทู ่ตี รงนี้ เพราะฉะนน้ั จึง
ใหยอ นจิตเขามาดทู ีจ่ ุดนี้
เอา ! เปน ก็ใหร ู ตายกใ็ หรู ใหเหน็ ความจริงกบั สิง่ ที่ปรากฏอยูใ นเวลาน้ี มนั ทกุ ข
แคไหนใหดูตัวทุกข แตก อ นมนั ยงั ไมเกิด ทําไมมาเกดิ ในขณะน้ี แลวมนั เกิดข้นึ มาจาก
อะไร ตวั ทกุ ขม ันเปน “ทุกฺขํ” อยแู ลว น่ี และเปนตวั “อนิจฺจํ อนตตฺ า” อยแู ลว น่ี ดใู หชดั
ดวยปญญาจริงๆ นแี่ หละเปนหินลบั ปญ ญา กาํ หนดพจิ ารณาลงทจ่ี ดุ น้นั แลว ความ
เปลี่ยนแปลงของมันจะแสดงใหเราเห็น เม่อื สติจดจอ อยทู ีต่ รงนน้ั ไมย อมใหจ ติ คดิ ไป
ทางอ่ืน ซงึ่ เปนการเพ่มิ กเิ ลสขึน้ มาอีก ไมมสี ิน้ สุดยุตลิ งไดส กั ที
จงดูเฉพาะจิตท่ีวา มนั เปน ทุกขน้นั ดวยปญญา ดว ยสติ ใครครวญดว ยความ
ละเอยี ดถ่ถี ว น นแ่ี หละช่อื วาพจิ ารณาถกู ตอง และเปนทางระงับดับทุกขลงไดโดยไม
ตองสงสัย ปราชญท า นดับทกุ ขทานดับทนี่ ่ี ผูมสี ตปิ ญ ญาทา นดับกันทีน่ ี่ ตรงนแี้ หละ
คือสถานทีท่ าํ ความเพยี รใหเ กดิ ปญญา ไมต อ งไปปรารถนาวา ใหท กุ ขน ด้ี บั ไปเสยี ไม
ตอ งไปต้งั ความอยากใหท กุ ขม ันดบั ความอยากนเ้ี ปน สง่ิ กอ กวนและเปน สมทุ ยั จะ
เพ่มิ ทุกขขน้ึ มาเมอ่ื มนั ไมดับอยา งใจหมาย เพราะฉะนนั้ สงิ่ ทีถ่ กู ตองเหมาะสมกับสง่ิ ท่ี
ปรากฏอยูค อื ความทกุ ขเวลาน้ี กค็ อื การกาํ หนดใหรูเรอื่ งราวรรู าวของความทุกขว าเกดิ
ขึน้ มาจากอะไร จะเห็นความจริงทั้งทกุ ขด วย จะเหน็ ความจรงิ ทง้ั สิ่งที่ทําใหเกิดทกุ ข
ดว ยปญ ญา น่แี หละเปนอบุ ายที่จะยตุ คิ วามทุกขได และเปน อุบายทีจ่ ะระงบั ดับทกุ ขลง
ไดโดยไมต อ งสงสัย มจี ดุ นีเ้ ปน จดุ สําคญั
ไมตอ งไปปรารถนา ไมตอ งไปหมาย มันจะเพิ่มทกุ ข ตองการแตความจรงิ ใหรู
ความจรงิ ดคู วามจรงิ ใหเ ห็น เมอ่ื ทุกขไมดับมันจะตายไปดว ยกันก็ใหรู “มันจะไปไหน
วะ?” เอายงั งเี้ ลย เอาลงใหเดด็ ถงึ คราวเด็ด จิตไมต ายไมตองกลวั ! เอา! พจิ ารณาใน
สนามรบน้ี ระหวางขนั ธก บั จติ นเ่ี ปน สนามรบของสตปิ ญญากับกเิ ลสทต่ี อ สกู นั สติ
ปญ ญา กเิ ลส นน้ั เปนอนั หนงึ่ ขนั ธเ ปน อนั หน่งึ มนั เปนคนละอยางกนั ตามความจริง
ถาขันธไมป กติจะเปนขันธใ ดกต็ าม จิตตอ งกระเทอื น ถาสตปิ ญญาไมท ันจติ ตอ ง
กระเทอื นและทกุ ขรอนไปดวย เพราะตามปกตจิ ิตแลว ตอ งยึดถอื ขันธเหลา น้วี า เปน ตน
อยางฝงใจ เพราะอะไร? เพราะกเิ ลสพาใหฝ ง การพจิ ารณาสิง่ เหลานีโ้ ดยแยกสวนแบง
สว นออกไป ยอมเปนการถอดถอนกเิ ลส คือความสําคัญน้ันๆ ใหเบาบางลง จนกระท่ัง
ความสาํ คัญเหลานีห้ มดไป คาํ วา “นนั่ เปนเรา,นี่เปนเรา” กห็ มดไปไมต อ งบงั คบั แตม ัน
หมดไปดวยการพิจารณา นี่แหละทว่ี า “ปญญาตดั ขาด ตัดขาดอยางนเี้ อง”
ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ภาค ๒ “๑เร๖๑า๗๕ก๐ับ จิต’’
๑๕๑
กรณุ าฟงใหถ งึ ใจ เพราะเทศนอ ยา งเต็มภมู แิ บบถงึ ใจ ทไี่ ดปฏิบตั หิ รอื สรู บกับสง่ิ
เหลา นี้ ชนิดเอาชวี ติ เขา ประกันความเปนความตาย ไมอ าลยั เสียดายชีวิตมาแลว จงตัด
ความสําคัญวา “นั้นเปนเรา นี้เปนของเรา” ออกใหไ ด เพราะทกุ ขจ ะพาใหจ ม ยงั วาเปน
เราเปนของเราอยูอีกหรือ? ยึดเอามาทาํ ไม ทุกขน ้นั เปนเหมือนไฟ ยงั วา เปน เราและนาํ
มาเผาเราทาํ ไมกนั ความรอ นกร็ วู า รอ น ความทุกขกร็ ูว าทุกข ยงั จะกวาดเขามาเผาเจา
ของเขา ไปอีกหรอื ทกุ ขก ็ใหรวู ามันเปน ทกุ ข กําหนดดูตรงท่วี า มันทุกขดว ยปญญา น่ัน
เปนความถกู ตองท่ีสุดแลว อยา ไปลูบคลํา หาขวากหาหนามมาทิม่ แทงหัวใจเพิ่มเขาอีก
ถาไมอยากจมไปกับกองทุกขไ มมีวันโผลขน้ึ มาไดน ะ
เอา ทกุ ขตั้งอยูกใ็ หร วู าทกุ ขต้งั อยู ทกุ ขเ กิดขน้ึ ขณะนี้ ต้งั อยูขณะน้ี แลวมนั จะดบั
ไปขณะตอไปน้ัน ก็ควรจะรูเห็นตามความเคลือ่ นไหวของมัน แตจ ิตทําไมไมเ ห็นมนั
เกดิ มนั ดบั จิตกบั ทุกขมนั เปนผูเดียวกันหรอื ? ทกุ ขเกิดทุกขดับ ทาํ ไมไมเ หน็ จติ ดบั ไป
ดว ยกนั ? นอกจากรอู ยตู ลอดเวลาเทา นัน้ ถามสี ติคอยดูจอ งดมู นั ฉะนั้นจงพิจารณา
ใหชัดเจน เมอ่ื ทุกขไมดบั และมันจะตายไปดวยกันก็ใหม นั ตายไป จิตยงั ไงมนั ก็ไมตาย
แนน อน ขอใหร ูตามความจริงอันนีเ้ ถดิ อยากลัวทกุ ขก ลัวตายซ่งึ เปนสัจธรรม
นีค่ ือวิธเี ผาผลาญกิเลสในหลกั ปจ จุบันธรรมตามทางของพระพุทธเจา ทานสอน
อยา งน้ี ทานประพฤติปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี ทา นรเู ห็นมาอยางนี้ ไดผลมาอยา งนี้ ไมเปนอยา ง
อ่ืน เพราะกิเลสไมเปน อยางอน่ื คือเปน กิเลสอยโู ดยดี และธรรมคอื สติปญญาก็สามารถ
แกไ ดจ รงิ ๆ ไมส งสยั
การแกก ิเลสชนิดตา งๆ ดว ยศลี สมาธิ ปญ ญา ท่เี ราบําเพ็ญปฏิบัตอิ ยเู วลานี้
เปนการกระทาํ ที่ถกู ตอง และเหมาะสมแกการแกกิเลสทุกประเภทดังพระพทุ ธเจา พา
ดําเนินมา อยูท่ไี หนกต็ ามอยาละกิจทค่ี วรแกไข ควรถอดถอน กิจที่ควรจดจอ กจิ ทคี่ วร
สอดรู กจิ ทีค่ วรพยายามใหเขา ใจ อยา เผลอตัวนอนใจวากิเลสจะตายไปเองโดยไมถ กู ฆา
ดว ยความเพยี รทาตางๆ เพราะกเิ ลสไมใชหนพู อจะใหแมวชวยกัดชวยฆาได โดยเจาตัว
ไมตองทํางาน
สว นอาการของจติ จะมีการเปลีย่ นแปลงไปเรื่อยๆ ถามกี ารชําระสะสางดวย
ขอปฏิบัตอิ ยูเสมอ แมแตสมาธกิ ็ยังตองเปล่ียนสภาพไป จากความหยาบในเบ้อื งตน
จนเขาสคู วามละเอยี ดขึน้ ไปเรือ่ ยๆ ฐานของจิตคอื ความแนนหนาม่นั คง ก็จะแนน
หนามนั่ คงข้นึ ไปเรอื่ ยๆ ตามความละเอยี ดของสมาธิ
สตปิ ญญาเม่อื เรานาํ มาใชอยเู สมอ ก็จะคอยมีกําลังข้นึ เร่อื ยๆ และรวดเรว็ ข้ึน
โดยลาํ ดับเพราะฝกซอ มอยูเสมอ นีแ่ หละส่ิงทจี่ ะทาํ หนาท่ปี ราบปรามกเิ ลสคอื สตกิ บั
ปญญา มีมากเพยี งไรกเิ ลสยงิ่ กลัวมากขนึ้ ถา มนี อยกเิ ลสกเ็ หยียบยา่ํ ทําลายจนแทบไม
ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ธรรมะชุด๑๑เ๖ต๕๘รยี ๑มพรอ้ ม
๑๕๒
ปรากฏสติปญญาเลย มีแตน ั่งเฝา ทุกขอ ยูเทา นนั้ ปลอยใหทกุ ขมนั เหยยี บยํ่าทาํ ลายเอา
และบน อยเู ทา นั้น บนเทา ไรก็ไมเปนประโยชน จะบนไปทาํ ไม
หนาท่ขี องเรามยี ังไง ฟาดฟนมนั ลงไปใหเหน็ เหตเุ ห็นผล เหน็ ความสตั ยความ
จริงซ่งึ มอี ยภู ายในจิตใจดวงน้ี เมอื่ เหน็ ชดั เจนแลวกเิ ลสไมต อ งบอก มันแตกกระจายไป
หมด น่ัน! และจะสูเหนอื ปญญาไปไมไ ด
นัน่ แหละจึงเห็นไดชัดวา อะไรเปน กิเลส อะไรเปนกงจกั ร อะไรเปนตวั พาใหเกิด
ใหตาย อะไรเปน ตวั ทุกขตัวลําบากทงั้ หลาย อะไรเปน ตัวยงุ เหยงิ วุนวาย ทไ่ี หนเปน ที่
เดือดรอน ทีไ่ หนเปนที่วนุ วาย ปญ ญารชู ัดประจักษใ จส้ินสงสยั เพราะความเดือดรอน
วุนวายหมดไป เพราะกิเลสตวั กอ ใหเกดิ ความเดือดรอนวนุ วาย สน้ิ ไปดว ยอาํ นาจของ
ปญญา น่นั !
ความหมดทุกขหมดทใ่ี จ รา งกายมกี เ็ ปนเร่ืองของมนั จะเปน ไรไป มนั มีของ
มันอยจู นกระทั่งวนั สลายนน่ั แหละ ยงั เปนอยูเด๋ียวแสดงนูน เด๋ียวแสดงนี้ เดี๋ยวเจ็บ
ทอ ง เด๋ยี วปวดหัวไหล ปวดหลัง ปวดเอว ปวดน้ีปวดนั้นอยูย งั ง้ัน เรอื่ งของขนั ธไ มม ี
เวลาเปน ปกติสขุ ไดจะวายงั ไง เราอยา ไปสาํ คัญมัน่ หมายมัน ใหเ หน็ ความจริงของมันจะ
ไมเ ดือดรอ น ถึงคราวจริงๆ มันก็เปน อยา งนั้น นเี่ ราเห็นชัดตามเปน จรงิ อยแู ลว มันจะ
แตกกแ็ ตก ยม้ิ กับมนั ไดจ ะวา ยังไง เพราะไมม อี ะไรจะมาทาํ ลายใจไดน ่ี
การตายของธาตขุ องขนั ธ การสลายของธาตุของขนั ธ ไมใ ชส่ิงท่จี ะมาลบลา งหรือ
ทาํ ลายจติ ใจใหฉิบหายไป มนั เปนเรื่องของเขาทําหนาทตี่ ามธรรมชาติของเขา คือเขาทํา
หนา ทต่ี าม “ไตรลกั ษณ” ไดแ ก “อนิจจฺ ํ ทกุ ฺขํ อนตฺตา” เขากท็ ําของเขาไป สติปญญาเรา
มีเพยี งไรก็พิจารณาไปไมห ยดุ ย้งั จนรรู อบตวั โดยสมบรู ณ
ผทู ี่รูกฎไตรลักษณก ็พิจารณาเหน็ ตามความเปนจริงไปชื่อวา “ผฉู ลาด” นแ่ี หละ
ทา นวา “กสุ ลา ธมมฺ า” ใหฉ ลาดท่ีตรงนี้ สวดใหดนี ะ “กสุ ลา ธมมฺ า” อยา คอยแตจ ะให
เขาเอาพระไปสวดใหเ วลาตาย เคาะโลง ปก ๆ แปกๆ เฮอ! ราํ คาญจะตายไป เรานะไม
อยากพบอยากเหน็ “กสุ ลา” แบบนน้ั นน่ั มนั แบบคนตายสน้ิ ทา แลว ตอ ง”กสุ ลา” แบบ
มีทา นา กเิ ลสกลวั ซิ! คอื คิดคน ลงท่ี “เบญจขันธ” ใหเ กดิ ความฉลาดข้นึ มา และฆา กเิ ลส
ไปดว ยซิ ตอนยงั เปน คนอยูไมอ ยากฉลาด เวลาตายแลว ไปกวา นเอาพระมาสวด “กสุ ลา
ธมฺมา” ยุงไปหมด กสุ ลา ธมมฺ า กเ็ ทา เดมิ น่ันแหละจะวายังไง ตองสวดใหถกู จดุ
ประสงคและความหมายซิ
สวด “กสุ ลา ธมฺมา” แปลวา ความฉลาด เรยี นเรื่องของตัวใหร อบคอบใหร รู อบ
ความโงกอ็ ยูในตัวนี่ ความฉลาดกอ็ ยูในตัว ผลิตขึน้ มาได “อกสุ ลา ธมมฺ า” ก็อยูท ่ีจติ
ธรรมชุดเตรยี มพรอม ภาค ๒ “๑เ๖๑ร๙า๕ก๒บั จิต’’
๑๕๓
แกจ ติ จนบริสทุ ธ์ิแลว ไมต องพูดไมต องสวด! “กสุ ลา ธมมฺ า” ใหเ สยี เวลา “อกสุ ลา ธมฺ
มา” ก็เสยี เวลา “อพยฺ ากตา ธมฺมา” กเ็ สยี เวลา ถาตัวเราเปน “โมฆะ” ไมสนใจกับ “กสุ ลา
ธมฺมา” เพอื่ ความฉลาดดวยสติปญ ญา ดงั พระพุทธเจา ไดส ัง่ สอนไว ขณะท่ยี งั มชี ีวิตอยู
และสามารถทาํ ไดอ ยูขณะนยี้ อมฉลาด รอบรูตามความจรงิ แลวสบายดี ตายแลว ไมต อง
หาพระมา กสุ ลา ธมมฺ า นะ ! จงทาํ ใหถ งึ เหตถุ งึ ผลเถอะ เวลารมู นั รูจริงๆ นะภายในจิต
ใจนี่ เพราะความจริงมีอยูก บั ทกุ คน ถาต้งั ใจคนหาตอ งเจอ
พระพุทธเจาไมห ลอกลวงโลกนี่ พระองคเหน็ กอนแลวรกู อนแลว จึงนําความรู
จรงิ เห็นจรงิ มาสอนโลก แลวธรรมนน้ั ๆ จะปลอมไปไหน! นอกจากจิตใจเรามนั ถูกกิเลส
พาใหปลอมเทานัน้ เอง มันถงึ ปลอมไดวนั ยงั ค่ําคนื ยงั รุง ไดย ินไดเ ห็นอะไรปลอมไป
หมด เพราะกเิ ลสมันพาใหป ลอม ถา สตปิ ญญาไดหยั่งเขาไปตรงไหน ความจริงกช็ ดั ขนึ้
มาตรงนั้น ปญ ญาเตม็ ที่ความจริงแสดงเต็มภมู ไิ มสงสัย นแี่ หละทานเรยี กวา “เรียน
ธรรมปฏิบัติธรรมจบ” จบทด่ี วงใจนี้
เรยี นเร่ืองของ “วฏั จกั ร” “แก วฏั จกั ร” จบท่จี ิตแลวแสนสบาย! ทา นวา
โลกตุ รธรรม ธรรมเหนอื โลก” ทั้งๆ ทอ่ี ยใู นโลกอยใู นขนั ธ กเ็ หนอื โลกเหนอื ขนั ธ ไม
ยอมใหข นั ธก ดขี่บงั คับไดเ หมอื นแตกอ น รูตามความจรงิ ของมันเสียทุกอยางแลว ไมมี
อะไรมากระเทือนจิตใจ ไมมากดขบ่ี ังคับจติ ใจไดเลย จึงเรียกวา “เหนอื โลก” “โลก” คือ
“ขันธ” เหนือทตี่ รงนเ้ี อง
“โลกุตรธรรม” แปลวา “ธรรมเหนอื โลก” “นิพฺพานํ ปรมํ สขุ ”ํ ถามหาอะไร? ขอ
ใหจิตบริสุทธเ์ิ ทาน้ัน กบั คาํ “นพิ พฺ านํ ปรมํ สขุ ํ” กเ็ ขา กนั ไดเ อง เพราะเปนธรรมอัน
เดยี วกนั
สวดไมส วด วา ไมว าก็อนั เดียวกนั จงพยายามสวด “กสุ ลา ธมมฺ า” ใหตัวเองนะ
อยาไปคอยเอาพระมาสวด “กสุ ลา ธมมฺ า” ใหยุง ไป โดยท่ีตนไมส นใจกบั “กสุ ลา ธมฺมา”
ทม่ี ีอยูในตนน้เี ลย
ถา เปน พระผูมุงอรรถมงุ ธรรมจริงๆ ทา นไมอ ยากยุง ทา นรําคาญทา นไมอ ยาก
ไป เพราะเสียเวลาบําเพ็ญเพียร นอกจากเปน “พระหากิน” นน่ั แลทอ่ี ยากไป เชน หลวง
ตาบวั อยา งน้ีนะ ไมแนนะอาจเปน ขรัวตา “กสุ ลา” กไ็ ดใครอยาดว นเช่อื นัก ใหใ ชสติ
ปญ ญาดว ยดี
“เฮอ! วนั นค้ี นตายนะ กสุ ลาอาหารวา งเถดิ วนั น!้ี ” มนั อาจเปน ไปได
ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ธรรมะชดุ ๑เ๑๗ต๕ร๐ยี ๓มพร้อม
๑๕๔
แตพระทา นมุงอรรถมงุ ธรรมทา นไมสนใจอะไร ทานขี้เกียจยงุ เวลาสอนให “กุ
สลา ธมฺมา” ไมส นใจ เวลาตายแลว มากวานพระไป “กสุ ลา ธมฺมา” ใหยุงทําไม? นน่ั !
ทา นวา อยา งน้ี เพราะทานแสวงธรรม ไมไ ดแ สวงอะไรอนื่ น่ี
เอาละ เอวัง จบเสยี ที ขนื พูดไปมากคนเขาจะแชงเอา
ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ภาค ๒ “๑เ๑ร๗า๕๑ก๔บั จติ ’’
๑๕๕
อบุ ายฝึกจติ ทางลดัเทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เม่ือวันที่ ๔ มกราคม พเททุศธนศ์โปักรรดาคชุณ๒เพ๕า๑พง๙า วรรธนะกุล ณ วดั ป่าบา้ นตาด
อบุ ายฝก จิตทางลดั เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พุทธศกั ราช ๒๕๑๙
มีผถู ามปญหาพอระลึกไดบางก็ปญหา “ปากคอก” นแ่ี หละ มอี ยกู บั ทกุ คน วา
“โลกหนามไี หม? โลกหนา กบั ผไู ปโลกหนา โลกหลงั อะไรเหลา นี้ มันก็ไมใชเ ร่อื งของใคร
แตเปน เร่ืองของเราทุกคนท่กี าํ ลังแบกภาระอยูน ้ี มีผถู ามอยา งน้ัน เรากถ็ ามเขาวา “เมอ่ื
วานนม้ี ไี หม แลวเม่อื เชา นีม้ ีไหม? ปจจบุ นั ณ บดั น้ีมไี หม?” เขากย็ อมรับวามี “แลว วนั
พรุงนี้จะมีไหม วนั มะรนื เดือนน้เี ดอื นหนา ปนีป้ ห นา ปตอๆ ไปจะมีไหม?
ส่ิงท่ีมีมาแลว พอจําไดกพ็ อเดาไปได ถงึ เรอื่ งยังไมม าถงึ กต็ าม ก็เอาส่ิงทจี่ ําไดซง่ึ
ผา นมาแลว มาเทียบเคยี งกับสิ่งท่เี คยมเี คยเปนมาแลว ขางหนา จะตอ งเปนไปตามทเี่ คย
เปนมาน้ี เชนเมือ่ วานนม้ี มี าแลว วนั นกี้ ม็ ี มันเคยผา นมาอยางน้เี ปนลําดบั เรารแู ละจาํ
ไดไมลืม แลว ตอนบา ย ตอนคาํ่ ตอนกลางคนื จนถึงวนั พรุง นเ้ี ชา เราก็เคยรูเคยเห็นมา
แลว เรื่องมันเปน มาผา นมาอยา งนนั้ ซึ่งไมม ีอะไรผิดกัน และยอมรบั วามีดว ยกัน
ความสงสัยโลกน้โี ลกหนา หรอื เกี่ยวขอ งกบั ตวั กค็ ือความหลงเรื่องของตัวน่ัน
แหละ มันจึงกลายเปน เร่อื งใหญโต และกวนใจใหยุง อยูไ มหยุดทั่วโลกสงสาร วา “โลก
หนามีไหม? คนตายแลว ไปเกดิ อีกไหม?” นน่ั มันคูก ัน กท็ ่เี กดิ ทต่ี ายนค้ี อื ใครละ? กค็ อื
เรานน่ั เองทีเ่ กดิ ทีต่ ายอยูตลอดมา มาโลกนไ้ี ปโลกหนา กค็ อื เราจะเปน ใคร ถา ไมใช
“สตั วโ ลก” ผูเปนนักทองเทย่ี วน้ี ไมมีใครเปน ผูแบกหามปญ หาและภาระเหลาน้ี!
นโี่ ทษแหงความหลง ความจาํ ไมไ ด มนั มาแสดงอยูกบั ตัวเรา แตเ ราจับสาเหตุ
ของมนั ไมไ ดว า เปน มาเพราะเหตใุ ด สิ่งที่เปน มาที่ผานมาแลวมนั ก็จําไมได เรอ่ื งของ
ตวั เลยหมนุ ตวั เอง พนั ตวั เอง ไมทราบจะไปทางไหน ความหลงตัวเองจึงเปนเร่ืองยงุ
ยากอยูไ มห ยุด หลงสง่ิ อื่นกย็ ังคอยยงั ชั่ว หลงตวั เองน้มี ันปด ตันหาทางออกไมไ ด ผลก็
สะทอ นกลับมาหาตวั เราเองไมไ ปท่อี ื่น คอื นาํ ความทุกขมาสตู ัวเรานัน่ แล เพราะความ
สงสัยเชนนเ้ี ปน ปญ หาผูกมดั ตวั เอง มใิ ชป ญหาเพอ่ื แกตัวเองใหหลุดไปไดเพราะความ
สงสยั นน้ั ถา ไมพสิ จู นด ว ยธรรมทางจติ ตภาวนาไมม ีหวงั เขา ใจได
พระพทุ ธเจา จงึ ทรงสอนใหคลีค่ ลายดูเรอื่ งของตัว แตก ารจะคลีค่ ลายเร่อื ง
ของตัวนัน้ สาํ คญั มาก จะทาํ แบบดนเดาเอาดว ยวิธคี าดคดิ หรอื ดวยวธิ อี น่ื ใดไมสําเรจ็
ได! นอกจากจะทําคุณงามความดีขนึ้ มาโดยลาํ ดบั เปน เครอื่ งสนบั สนุน และยนเขา มาสู
ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ภาค ๒ “๑เ๑๗รา๕๓ ก๕บั จติ ’’
๑๕๖
“จติ ตภาวนา” เพ่อื คล่คี ลายดเู รือ่ งของตวั อนั รวมอยูในวงของจติ ตภาวนา ซ่งึ จะพาใหร ู
แจง แทงความสงสัยนน้ั ใหท ะลุไปได พรอ มทั้งผลอันเปนทพ่ี ึงใจ หายสงสยั ทง้ั การตาย
เกิดตายสูญ
เรื่องของตวั คืออะไร? กค็ อื เรอื่ งของใจ ใจเปน ผูแสดง เปนผกู อ เหตุกอผลใสต วั
อยตู ลอดเวลา ทงั้ ความสขุ ความทกุ ข ความยุง เหยงิ วนุ วายตางๆ สว นมากมกั แสดง
ความผกู มดั ตวั เองมากกวา การบาํ รงุ สง เสรมิ ถาไมใชค วามบงั คับบญั ชาในทางที่ดี ใจ
จึงมีแตค วามรมุ รอนเปน ผล คอื ความทกุ ขท ี่เกิดขน้ึ จากความฟุงซา นวนุ วาย ใจคิดสา ย
แสไปในแงตางๆโดยหาเหตุหาสาระไมได แตผ ลทจ่ี ะพงึ ไดรับนนั้ มนั เปนสิง่ สําคัญอนั
หนึ่งทจ่ี ะทาํ ใหเราเกดิ ความทกุ ขค วามกระทบกระเทอื นได จึงเปนเรื่องยากเรื่องหนกั
สาํ หรบั บรรดาผยู งั หลงโลกหลงตัวเอง และตน่ื โลกตน่ื ตวั เองอยู โดยไมส นใจพิสจู นต วั
เองดวยหลกั ธรรมอนั เปนหลักรบั รองความจรงิ ทงั้ หลาย เชน ตายแลว ตองเกิดอกี
เปนตน เมื่อยงั มีเช้ือใหง อกทพ่ี าใหเ กิดอยูภ ายในใจ ตอ งเกิดอกี อยูร ่ําไปไมเปน อยา งอื่น
เชน ตายแลว สญู เปนตน
พระพทุ ธเจา ทา นทรงสอนใหด ูตวั เรอื่ ง คอื ดูใจตวั เองผพู าใหเ กดิ ตาย ถา ยงั ไม
เขา ใจก็ตองบอกวิธีการในแงต างๆ จนเปน ทเ่ี ขาใจและปฏิบัตไิ ดถ กู ตอ ง เฉพาะอยา ง
ย่ิงการสอนใหภ าวนา โดยนําธรรมบทใดก็ตามมาบรกิ รรมภาวนา เพอื่ ใหจิตดวงท่ีหา
หลักยดึ ยงั ไมได กําลังวุนวายหาทพ่ี ึง่ ยงั ไมเ จอ จนกลายเปน ความหลงใหลใฝฝน ไมมี
ประมาณ ไดย ดึ เปน หลักพอต้งั ตัวได และมีความสงบเยน็ ใจไมวอกแวกคลอนแคลน
อนั เปนการทําลายความสงบสุขทางใจท่ีเราตองการ เชน ทานสอนใหภาวนา “พุทโธ ธมั
โม สังโฆ” หรอื “อฏั ฐิ เกสา โลมา” บทใดบทหนึง่ ตามแตจ ริตชอบ โดยความมสี ติควบ
คุมในคาํ บริกรรมภาวนาของตน อยา ใหเ ผลอสง ใจไปท่ีอืน่ จากคาํ บริกรรมภาวนา เพื่อ
ใหจิตที่เคยสงไปในทีต่ างๆ นั้น ไดเกาะหรืออาศัยอยูก บั อารมณแหงธรรม คือคํา
บรกิ รรมภาวนาน้นั ๆ ความรทู ่เี คยฟุงซานไปในอารมณตา งๆ กจ็ ะรวมตวั เขา มาอยใู น
จุดนัน้ คอื จิตซ่ึงเปนท่ีรวมแหง ความรู กระแสแหง ความรูทงั้ หมดจะรวมตวั เขา มาสู
อารมณแหงธรรม ทบ่ี รกิ รรมหรือภาวนาอยูดว ยความสนใจ ก็เพราะบทธรรมบริกรรม
อนั เปน เครอ่ื งเกาะของจิต เปนเครื่องยดึ ของจิต ใหต ง้ั หลกั ขน้ึ มา เปนความรูอ ยาง
เดนชดั เปน ลาํ ดบั นั้นแล ฉะนัน้ ขน้ั เรมิ่ แรกของการภาวนา คําบรกิ รรมจึงสาํ คัญมาก
เมือ่ ไดเห็นคณุ คาสารธรรม ทป่ี รากฏขน้ึ เปน ความสงบสขุ เชน นแ้ี ลว ในขณะ
เดียวกันก็เห็นโทษแหงความฟุงซานวนุ วายของจิตทีห่ าหลักยดึ ไมไ ด และกอ ความ
เดือดรอนใหแ กต วั อยา งประจักษใจในขณะน้ัน โดยไมต อ งไปถามใคร คุณและโทษของ
ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ธรรมะชดุ๑เ๗๑ต๔ร๕ยี ๖มพร้อม
๑๕๗
จติ ที่สงบและฟงุ ซา น เราทราบภายในจติ ของเราเองดว ยการปฏบิ ตั จิ ติ ตภาวนา นี่
เปน ข้นั หน่งึ อันเปน ขนั้ เรม่ิ แรกที่ทา นสอนใหร ูเ รอ่ื งของจิต
แลวพยายามทาํ จติ ใหม ีความสงบแนวแนล งไปเปนลําดบั ดว ยการภาวนากบั บท
ธรรมดงั ท่กี ลาวมาน้ี เจรญิ แลว เจรญิ เลาจนมีความชาํ นชิ าํ นาญ กระทั่งจติ สงบไดต าม
ความตอ งการ ความสขุ เกิดข้ึนเพราะใจสงบก็ยงิ่ เดน ชัดขึ้นทุกวนั เวลา พอจติ สงบตวั ขนึ้
มาปรากฏเปน ความรเู ดน ชดั แลว ในขณะเดยี วกนั กเ็ ปน การรวมกเิ ลสเขา มาสจู ดุ
เดยี วกนั เพอ่ื เหน็ ไดชัด และสงั เกตความเคลือ่ นไหวของมันไดง า ยขน้ึ และสะดวกแก
การแกก ารถอดถอนดวยปญญา ตามข้ันของปญญาทค่ี วรแกกิเลสประเภทหยาบ กลาง
ละเอยี ด ตามลาํ ดบั ไป
คาํ วา “กเิ ลส” ซึ่งเปน เครื่องบังคับจติ ใจใหฟ ุงซานไปในแงตางๆ จนคํานงึ
คาํ นวณไมไ ดน นั้ เราไมส ามารถท่ีจะจับตัวของมนั ไดวาอะไรเปนกิเลส อะไรเปนจติ
เปนธรรม ตอ งอาศัยความสงบของใจเปนพ้ืนฐานกอน เม่อื จิตสงบตวั เขามา กเิ ลสก็
สงบตวั เขามาดวย เม่ือจิตหดตัวเขา มาเปนตัวของตวั หรือเปนจดุ หมายพอเขา ใจได
เร่อื งของกเิ ลสกร็ วมตวั เขา สวู งแคบในจุดเดียวกนั คอื รวมตวั เขามาท่ีจิต ไมคอยออก
เพน พา นกอ กวนจติ ใจเหมือนแตก อ นท่ีจิตยงั ไมส งบ พอจติ สงบเยน็ พอต้งั ตวั ไดบา ง
แลว หรอื ตั้งตวั ไดแลว จากนนั้ ทานสอนใหพจิ ารณาคลค่ี ลายดอู าการตางๆ ของราง
กายอนั เปนทซ่ี มุ ซอ นของกเิ ลสทางดานปญญาวา “จิตไปสนใจกบั อะไร? ในขณะที่ไม
สงบใจไปยงุ กบั เรอื่ งอะไรบา ง?” แตใ นขณะทีใ่ จสงบเปนอยางน้ี ไมก อ กวนตวั เอง
แตป กตนิ สิ ยั ของคนเรา พอมีความสงบสบายบา งมักขี้เกียจ คอยแตล ม ลง
หมอน ไมอ ยากคลค่ี ลายรา งกายธาตขุ ันธด ว ยสตปิ ญ ญาเพอื่ รคู วามจรงิ และถอดถอน
กิเลสตา งๆ ออกจากใจ โดยไมค าํ นึงวาการละการตัดกเิ ลสประเภทตางๆ ที่แทรกสิงอยู
ในกายในขนั ธน น้ั ทานละทานถอนดวยสตปิ ญ ญา สว นความสงบของจิตหรือ “สมาธ”ิ
นั้น เปนเพียงการรวมตวั ของกเิ ลสเขา มาสวู งแคบเทา น้นั มใิ ชเ ปน การละการถอน
กเิ ลส จึงกรณุ าทราบไวอยา งถงึ ใจ
ใจขณะท่ยี ังไมสงบ มกั ไมย งุ กับรูป เสียง กล่นิ รส เครอื่ งสมั ผัส แลว นํามาเปน
อารมณก วนใจ บรรดารูป เสยี ง ฯลฯ น้นั จิตไปหนักในอารมณอะไร ซึ่งพอทราบได
ดวยสตปิ ญญา ขณะพิจารณาจติ แสดงออกไปเกย่ี วของกบั อารมณอนั ใด กพ็ อทราบกนั
ไดโดยทางสตปิ ญญา เร่อื งราวของจิตกพ็ อมองเหน็ ได เพราะจิตเคยสงบ พอเริม่ ออกไป
สอู ารมณตา งๆ ก็ทราบ ทานจึงสอนใหพิจารณาคล่ีคลายดวยปญ ญาเพ่ือใหทราบวา สิ่ง
ทจี่ ิตไปเกี่ยวของน้นั คืออะไรบา ง พยายามดใู หรูใหเห็นอยางชดั เจนดวยสติปญ ญาขณะ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ภาค ๒ ๑“เ๗ร๑า๕๕ก๗บั จติ ’’
๑๕๘
ออกพิจารณา เวนแตขณะทาํ ใจใหส งบโดยทางสมาธิก็ไมพิจารณา เพราะ “สมาธ”ิ
กบั “ปญ ญา” น้นั ผลัดเปล่ยี นทาํ งานคนละวาระ ดงั ทไ่ี ดเคยอธบิ ายแลว
ขณะทพี่ จิ ารณา “รูป” คือรูปอะไรทีใ่ จไปเกี่ยวของมากกวาเพ่ือน เพราะเหตุใด?
ดูรูปขยายรปู แยกสวนแบงสวนรปู น้ัน ใหเ หน็ ชดั เจนตามความจริงของมัน เมอ่ื แยก
แยะสว นรูป จะเปนรูปอะไรก็ตาม ใหเ หน็ ตามเปนจรงิ ของมันดว ยปญญา ในขณะเดียว
กันกจ็ ะไดเ หน็ ความเหลวไหลหลอกลวงของจติ ทไี่ ปยึดม่นั ถือมัน่ สําคญั ผิดตา งๆ โดย
หาสาเหตอุ ะไรไมได หามลู ความจริงไมได เพราะเมอ่ื พจิ ารณาละเอียดแลว ไมม อี ะไร
เปน สาระตามทใ่ี จไปสาํ คญั มน่ั หมาย มแี ตค วามสาํ คัญของจติ ไปลุม หลงเขาเทานนั้
เมอ่ื พิจารณาแยกแยะสว นตา งๆ ของรางกาย “เขา” หรอื รางกาย “เรา” ออกดโู ดย
ละเอียดถีถ่ วนแลว ไมเ หน็ สาระอะไร ใจกเ็ หน็ โทษของความสําคญั มั่นหมาย ความยดึ
ม่นั ถือมนั่ ของใจไปเอง เมือ่ พจิ ารณาหลายคร้ังหลายหนเทาไรกย็ ิง่ ชดั เจนย่ิงข้นึ ทั้งรูป
และเสียง กลิน่ รส เครอื่ งสมั ผัสตา งๆ ทั้งอาการของจิตท่ไี ปเก่ียวขอ งกบั อาการนั้นๆ
จนรูแจง เหน็ ชดั ดวยปญญา เพราะคลี่คลายอยูอยางสมาํ่ เสมอทง้ั ภายนอกและภายใน รู
แจงเหน็ ชดั อาการของจติ ทางภายในที่ไปเก่ยี วขอ งวา เปนเพราะเหตุนั้นๆ อันเปน เร่ือง
เหลวไหลทง้ั เพ
แตก อ นไมท ราบวามนั เกยี่ วขอ งกันเพราะเหตุไร ตอมาก็ทราบชัดวามนั ไปเกยี่ ว
ของเพราะเหตุนั้นๆ คือเพราะความหลงความสาํ คญั ผดิ เมอ่ื พจิ ารณาตามความจรงิ
เห็นความจรงิ ในสง่ิ ภายนอกแลว ก็ทราบชดั ทางภายในวา “จิต ไปสาํ คัญวา สภาวธรรม
ตางๆ เปนอยางนั้นๆ จึงเกดิ อุปาทานความยึดม่ันถือม่ัน หรือเกดิ ความรกั ความชังขึน้
มา เปน กเิ ลสเพิ่มพนู ไปเรื่อยๆ ใจกท็ ราบถึงความเหลวไหลของตน
จติ เมอื่ ทราบวา ตัวเปนผูล ุมหลงเหลวไหลแลว ก็ถอนตัวเขา มา เพราะแมจะฝน
คิดไปยึดมั่นถือมนั่ สง่ิ เหลานนั้ กถ็ ูกปญญาแทงทะลไุ ปหมดแลว ไปยดึ ม่นั ถือมนั่ หา
อะไร! การพิจารณาทราบชัดแลว วา ส่งิ น้นั เปน นั้น สิ่งน้เี ปน น้ี ตามความจริงของแตล ะสิ่ง
ละอยา ง นแ่ี หละคอื วิธีคลค่ี ลาย “กองปญ หาใหญ” ที่รวมแลว เปน ผลคอื กองทุกขภ าย
ในใจ ทา นสอนใหค ลค่ี ลายอยางน้ี
เมอ่ื ปญ ญาคล่ีคลายอยูโดยสม่ําเสมอไมล ดละ จนเขาใจแจม แจง ชัดเจนแลว ไม
ตอ งบอกใหป ลอ ย จิตรแู ลว ปลอยเอง ยอ มปลอ ยเอง จติ ทีย่ ดึ คอื จติ ทีย่ งั ไมรูไ มเขา ใจ
ดวยปญญา เมอื่ รอู ยา งเตม็ ใจแลว ก็ตองปลอ ยเตม็ ที่ ไมมีอาลยั เสยี ดาย ความกงั วลท้งั
หลายทจ่ี ติ เคยกังวลเสยี ดายน้นั กห็ ายไปเอง เพราะปญ ญาสอดสอ งมองทะลุเห็นแจง
ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ธรรมะชดุ๑๑เ๗ต๕๖รยี๘มพรอ้ ม