The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ไม้ดอกไม้ประดับ (2) (3) (3)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Siraprapa Promtra, 2020-02-20 00:33:22

ไม้ดอกไม้ประดับ (2) (3) (3)

ไม้ดอกไม้ประดับ (2) (3) (3)

12.ยี่เข่ง ประโยช์นของย์ีเ่ ขง

ชอื่ สามัญ Crape myrtle, Crape flower, Indian lilac (Yi-Kheng) เปลอื ก์ตนย์่เี ขง์ใช์เปนยาลด์ไข์ได (เปลอื ก์ตน)

ยีเ่ ข่ง ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Lagerstroemia indica L. จดั อย่ใู นวงศ์ตะแบก (LYTHRACEAE) ์ชวยทา์ใหเลอื ดไหลเวียน์ไดสะดวกข้นึ (ราก)

สมนุ ไพรยเ่ี ข่ง มีชอื่ ท้องถ่นิ อื่น ๆ วา่ คาฮอ่ (ภาคเหนอื ), จีหมยุ่ อวย (จนี -แต้จ๋ิว) โดยต้นยีเ่ ข่งนนั ้ มีถ่ินกาเนดิ ในประเทศจีนและญี่ป่ นุ ์ชวยแ์กอาการปวด์ฟน์ดวยการ์ใชรากย์่ีเขงผสมกบั เนอ้ื หม์ูตมกับนา้ รบั ประทาน
กระจายพนั ธ์ทุ วั่ ไปในเขตร้อนและเขตหนาว (ราก)

ลกั ษณะของยเ่ี ขง่ เปลือก์ตนย์ี่เขงมีฤทธ์เ์ิ ปนยากระ์ตนุ กระเพาะอาหาร์สวน์ตนและใบจะมฤี ทธ์ใิ น
การยบั ยงั้ (เปลอื ก์ตน)
ต้นยเี่ ข่ง เป็นต้นไม้ขนาดเลก็ หรือไม้พ่มุ ขนาดใหญ่ สงู ประมาณ 3-7 เมตร ขนาดของพ่มุ จะกว้างประมาณ 2-4 เมตร มเี ปลอื กลาต้น
เรียบ สนี า้ ตาลเป็นมนั มีสะเกด็ ขาวลอกเป็นแผน่ สว่ นของผลย่เี ขง่ มลี กั ษณะเป็นผลแห้งแตก เปลอื กแขง็ รูปถ้วย มเี มลด็ จานวนมาก ์ชวยแ์กบดิ จะ์ใชใบหรือรากย์เี่ ขงก์ไ็ ดนามา์ตมกบั น้าดม่ื (ใบ, ราก)

ใบย่ีเข่ง ใบเป็นใบเดีย่ วสเี ขียว ลกั ษณะใบคล้ายรูปไข่ โคนใบจะมน ปลายใบแหลม ขอบใบจะเรียบ ผิวใบจะมีขนสากมือเลก็ น้อย โดย
ขนาดความกว้างของใบประมาณ 0.5-1.5 นิว้ และยาวประมาณ 1-3 นิว้

ดอกยี่เข่ง จะออกดอกเป็นช่อ ๆ ที่ปลายกิ่ง สว่ นลา่ งของดอกจะเป็นเส้นกลมเลก็ ๆ สว่ นบนจะบานแผอ่ อกเป็นกลบี กลมขอบหยกิ ๆ มี
รอยยน่ ยบั มีกลบี ประมาณ 6 กลบี มีเกสรกลางดอกปลายเป็นต้มุ สเี หลอื งสด เมื่อดอกบานเต็มท่ีจะกว้างประมาณ 1.5 นิว้ สว่ นสขี อง
ดอกกม็ ีสขี าว สมี ่วง สชี มพู สชี มพเู ข้มคล้ายสบี านเย็น และสแี ดง สว่ นมากแล้วเราจะเหน็ ดอกย่ีเข่งในชว่ งเดอื นสงิ หาคมถงึ เดอื น
ตลุ าคม

11.รักเร่ ดอกรักเร่ ออกดอกเป็นกระจุกใหญ่ดอกเดียวตรงปลายยอด ดอกมีขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลาง
ประมาณ 4 เซนติเมตร มีหลายสี เชน่ สมี ว่ ง สแี ดงเข้ม สสี ้ม สชี มพู สเี หลอื ง เหลอื งอ่อน สี
ชอื่ สามัญ Dahlia ขาวเป็นลาย หรือมีสองสีในดอกเดียวกนั กลบี ดอกมลี กั ษณะเป็นรูปรางนา้ ขอบอาจตรง
หรือโค้ง สว่ นกลบี ดอกมลี กั ษณะเป็นรูปทอ่ ปลายจักเป็นแฉก 5 แฉก อบั เรณูมีลกั ษณะตรง
ชอื่ วทิ ยาศาสต์ร Dahlia pinnata Cav.จัดอ์ยูในว์งศทานตะวนั (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) โคนเรียบ ปลายแหลม ท่อเกสรเพศเมยี เป็น 2 แฉก ยาวและตรงปลายแหลม มีขน

สมุนไพรรัก์เร มีชอ่ื เรยี กอื่น์วา รักแรก สรรพคณุ ของรักเร่

ลกั ษณะขอ์งตนรัก์เร รากหวั ใช้กบั หมกู ินเป็นยารกั ษาโรคหวั ใจ (รากหัว)

์ตนรัก์เร ์เปน์ไมพ้นื เมอื งของอเมริกากลาง จดั ์เปนพรรณ์ไม์พมุ เนือ้์ออน ลา์ตนตง้ั ตรง แตกกิง่์กานสาขามาก รากมลี กั ษณะ รากหวั ใช้กบั หมกู ินเป็นยารกั ษาอาการไข้ (รากหวั )
ค์ลายหัวอ์ย์ูใตดนิ ขยายพัน์ธ์ดุ วยวิธกี ารเพาะเมลด็ ์ปกชาก่ิง์ตอกง่ิ และ์ใชราก[1],[2] เจรญิ เติบโต์ไดดใี นที่กลางแ์จงแดด
จัด แ์ตมีความช้ืนพอเพียง ดินท์ใ่ี ชปลูกควร์เปนดิน์รวนซยุ ระบายน้า์ไดดี มีธาตุอาหารพชื พอควร และเก็บความชน้ื ์ไดดี นา้ คนั ้ จากต้นมฤี ทธ์ิเป็นยาปฏิชีวนะอ่อน ๆ สามารถฆา่ เชือ้ Staphylococcus ได้ (ต้น)
จงึ จา์เปน์ตองหาวสั ดุคลมุ ดิน์ดวย ์เชน ฟาง ใบ์ไมแ์หง หรอื เปลือกถว่ั ์เปน์ตน
ประโยชน์ของรักเร่
ใบรกั ์เร ใบออกตร์งขามกนั ์เปน์ชอในชน้ั เดยี วกนั แกนกลา์งชอม์ปี ก ปลายใบแหลม์สวนขอบใบจกั ์เปนซ์ฟ่ี นแกม์ฟน
เลือ่ ย ใบ์ยอย์เปนสเี ขยี ว์เขม หรือมขี ุดแ์ตม์เปนส์มี วง ในตา่ งประเทศนิยมนามาปลกู เป็นไม้ประดบั หรือปลกู เป็นไม้ตัดดอก เพราะเป็นไม้ดอกอีก
ชนดิ หนง่ึ ทมี่ ีความสวยงามไมแ่ พ้ดอกไม้ชนดิ อืน่ ๆ สวยทงั ้ รูปทรงของดอกและสีสนั ทสี่ วย
สะดดุ ตา แต่ในบ้านเราไมน่ ิยมปลกู กนั มากนกั เน่อื งจากมีช่ือท่ีไม่เป็นมงคลนกั

การกระจายพัน์ธุ : ปลกู ์ไดทัว่ ไป
ประโยช์น : ปลกู ์เปน์ไมประดับ

10.มงั กรคาบแก้ว

มังกรคาบแ์กว ์เปน์ไม์พมุ รอเลอ้ื ยสงู 3 - 6 เมตร มีถน่ิ กาเนดิ ในแอฟริกาตะวนั ตกจากประเทศ
แคเมอรูนถึงประเทศเซเนกลั ์เปน์ไม์ไมผลดั ใบ ออกดอก์เปน์ชอ กลีบดอกมีสีแดง์เขม 5 กลบี
หลอดดอกเช่อื มตดิ กบั กลบี เล้ยี งสขี าวค์ลายรูปหวั ใจ นยิ มปลกู ์เปน์ไมประดบั ์เปน์ไมที่ชอบ
แสงแดด วลิ เลียม คเู ปอ์ร ธอมสนั

ชอ่ื วทิ ยาศาสต์ร: Clerodendrum thomsoniae

สายพนั์ธุท่ีเหนอื ก์วา: Clerodendrum

ชน้ั : ส์ปช์ีส

ลกั ษณะ

์ไมเถาเลอื้ ย ใบเด่ียว เรยี งตร์งขาม รปู รหี รอื รูป์ไข โคนใบมนหรือ์เวาเลก็ ์นอย ปลายใบแหลม
ดอกออก์เปน์ชอตามซอกใบใก์ลปลายกง่ิ กลบี เล้ยี ง 5 กลบี สขี าว โคนเชื่อมตดิ กันค์ลายถุง
ปลายสอบ์เขาหากัน กลีบดอก 5 กลีบ สีแดง เชอื่ มติดกนั ์เปนหลอด ปลายกลีบแ์ผแบน ถิ่น
กาเนิด แอฟรกิ าตะวนั ตก ออกดอก ตลอด์ป การปลกู เล้ยี ง ดิน์รวน ระบายน้าดี แสงแดดปาน
กลางถ์งึ รมราไร นา้ ปานกลาง ขยายพัน์ธุ เพาะเมล็ด์ปกชาก่งิ

9.มกิ กีเ้มาส์ ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ochna kirkii Oliv. ไม้พ่มุ ขนาดเลก็ สงู 1.5-2.0 ม. แตกกงิ่ ก้านสาขาออกรอบๆ ต้น
ชื่อวงศ์ : Ochnaceae (วงศ์เดยี วกบั กระแจะ (ทานาคา))
ชื่อสามญั : Mai flower, Mickey mouse plant (Ochna integerrima), ใบ ใบเรียงสลบั ใบเด่ียว รูปรี กว้าง 2.0-2.5 ซม. ยาว 5-8 ซม. โคนใบมน ปลายใบแหลม
ขอบใบมหี นามอ่อน แผ่นใบหนา เป็นมนั พืน้ ใบสเี ขยี ว
Vietnamese New year's flower
ดอก ดอกช่อ ออกตามซอกใบ 2-3 ดอก ฐานรองดอกโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม กลบี เลยี ้ ง 5
ถน่ิ กาเนิด : อเมริกา กลบี สเี ขียว เม่ือแกเ่ ปลยี่ นเป็นสแี ดง กลบี ดอก 5 กลบี ร่วงงา่ ย เมื่อบานเส้นผ่านศนู ย์กลาง
ชนดิ พชื [Plant Type] : ไม้พ่มุ ประมาณ2.5 ซม. ตรงกลางมเี กสรเพศผ้เู ป็นฝอยแข็งจานวนมาก
ขนาด [Size] : สงู 1.5-2 เมตร
สดี อก [Flower Color] : สเี หลอื ง ผล ผลกลมคล้ายลกู ปัด มขี นาดเลก็ ติดอย่บู นฐานรองดอกสแี ดง ผลอ่อนมสี เี ขียว พอสกุ มี
ฤดทู ่ีดอกบาน [Bloom Time] : ตลอดปี แดง เมอ่ื แกจ่ ดั จะเป็นสดี า

การใช้งานด้านภูมิทศั น์ (Landscape Used) : ดอกและผลสวยเดน่ สะดดุ ตา ปลกู เป็นต้น
เดยี่ ว ๆ หรือ

เป็นกลมุ่ หลาย ๆ ต้น เพ่ือโชว์ทรงพมุ่ ดอก กลบี เลยี ้ ง และฐานรองดอก

ประดบั ตามมมุ หรือขอบแนวอาคาร ในสว่ นทมี่ แี สงแดดสอ่ งเข้าถงึ ได้ไมน่ ้อยกวา่ 8 ชวั่ โมง
ต่อวนั

ถ้าแสงแดดจดั ใบจะกร้านไม่สวยงาม ขนึ ้ งา่ ยแตโ่ ตช้ามาก

8.พวงไข่มกุ ดอกพวงไข่มกุ ออกดอกเป็นชอ่ ขนาดใหญ่บริเวณปลายกิ่ง ขนาดประมาณ 20-45 เซนติเมตร ดอกย่อยมีจานวน
มาก ขนาดเล็ก กลบี รองดอกเป็นหลอดยาว 1 มิลลเิ มตร สว่ นกลบี ดอกเป็นสขี าว ท่โี คนกลบี ดอกเชือ่ มตดิ กนั
ชือ่ สามัญ American elder ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก ขนาดดอกประมาณ 4-4.5 มิลลเิ มตร ดอกมเี กสรเพศผ้สู เี หลอื ง 5 อนั ยอดเกสรเพศ
เมยี แยกออกเป็น 5 แฉก ออกดอกและตดิ ผลในชว่ งประมาณเดือนมิถนุ ายนถงึ เดือนสงิ หาคม
พวงไขม่ กุ ชื่อวิทยาศาสตร์ Sambucus canadensis L. (ชอื่ พ้องวทิ ยาศาสตร์ Sambucus
simpsonii Rehder) จดั อยใู่ นวงศ์ ADOXACEAE ผลพวงไข่มกุ ผลเป็นผลสด ลกั ษณะของผลเป็นรูปกลม ผิวมนั ผลอ่อนเป็นสเี ขยี ว เม่ือแกแ่ ล้วจะเปลย่ี นสมี ่วงเข้ม
เกอื บดา ขนาดประมาณ 4-5 มิลลเิ มตร ภายในมเี มล็ดประมาณ 4-5 เมลด็ ลกั ษณะของเมล็ดเป็นรูปรีแกมขอบ
สมนุ ไพรพวงไข่มกุ มชี ่อื ท้องถน่ิ อื่น ๆ ว่า อนุ อนุ ฝร่งั (แพร่), ระป่ า (ปราจนี บรุ ี), ซติ าโหระ ขนาน ขนาดประมาณ 2.5 มิลลเิ มตร
(กะเหรี่ยงเชียงใหม)่ , พอตะบุ (กะเหร่ียงแม่ฮอ่ งสอน), อนู บ้าน (คนเมอื ง), หมากอนู บ้าน ไม้
ขปี ้ า้ น (ไทใหญ่), อนู นา้ เป็นต้น สรรพคณุ ของพวงไข่มกุ

ลกั ษณะของพวงไข่มกุ ดอกแห้งใช้เป็นยาชงช่วยขบั เหงอื่ (ดอกแห้ง)

ต้นพวงไข่มกุ มีถ่นิ กาเนิดทางทวปี อเมริกาเหนือ จดั เป็นไม้พ่มุ เตีย้ ลาต้นมลี กั ษณะตงั ้ ตรง ชาวกะเหร่ียงเชยี งใหมจ่ ะใช้รากนามาต้มกบั นา้ ดื่มเป็นยาแก้อาการท้องร่วง (ราก)
สงู ได้ประมาณ 2-4 เมตร แตกก่งิ ก้านจานวนมาก พ่มุ โปร่ง ก่ิงแก่กลวง ขยายพนั ธ์ดุ ้วย
วธิ ีการเพาะเมลด็ และวธิ ีการตอนกง่ิ ต้องการนา้ ในการเจริญเติบโตในระดบั ปานกลาง ควร ชาวไทใหญ่จะใช้ทงั ้ ต้นนามาต้มกบั นา้ อาบแก้อาการตวั บวม (ทงั ้ ต้น)[3]
ปลกู ในบริเวณที่มีแสงแดดตลอดวนั เพราะจะทาให้ต้นมีความแข็งแรง มกั ขนึ ้ ตามชายป่ า
ทวั่ ไปทมี่ คี วามชมุ่ ชนื ้ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ พบได้ท่ีระดบั ความสงู ประมาณ 200- ตารายาพนื ้ บ้านล้านนาจะใช้ใบพวงไข่มกุ นามาต้มใส่ไขก่ นิ หรือใช้ผสมกบั สมนุ ไพรอน่ื หมกประคบ บรรเทา
1,300 เมตร อาการมอื เท้าเคล็ด (ใบ)

ใบพวงไข่มกุ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงตรงข้าม ใบย่อยมปี ระมาณ 2-6 คู่ บ้างวา่ ใช้ดอกทม่ี นี า้ มนั หอมระเหยและสารทีม่ ีรสขม ผสมกบั สมนุ ไพรอ่ืนหมกประคบแก้มอื เท้าเคล็ด (ดอก)
ลกั ษณะของใบเป็นรูปขอบขนานแกมรูปใบหอกหรือรูปไขแ่ กมใบหอก ปลายใบแหลมเป็น
ต่ิง โคนใบมน สว่ นขอบใบหยกั เป็นฟันเลอื่ ย ใบมขี นาดกว้างประมาณ 2-5 เซนตเิ มตร และ ประโยชน์ของพวงไขม่ กุ
ยาวประมาณ 6-15 เซนติเมตร
ยอดอ่อนใช้รบั ประทานเป็นอาหาร

ผลสกุ ใช้รับประทานได้ หรือนามาใช้ทาแยมและขนมพาย

ในบางประเทศจะนาดอกมาใช้ปรุงอาหาร หรือชงนา้ ดม่ื ทาไวน์

ชอ่ ดอกใช้ไปวดั เพ่อื บชู าพระ หรือใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ

7.ชมนาด ลกั ษณะนิสยั : ขนึ ้ ได้ในดนิ ทวั่ ไป

ชื่อวิทยาศาสตร์: Vallaris glabra (L.) Kuntze อตั ราการเจริญเติบโต: ปานกลาง

ชอ่ื วงศ์: Apocynaceae ความชนื ้ : ปานกลาง

ชอ่ื สามัญ: Bread flower แสง: แดดเตม็ วนั

ชือ่ พืน้ เมอื ง: ชามะนาด, ชามะนาดฝรัง่ , ดอกข้าวใหม่, อ้มส้าย ลกั ษณะทว่ั ไป: ไม้เถาเลอื ้ ย เนือ้ แขง็ อายหุ ลายปี เลอื ้ ยไปได้ไกลถงึ 6 เมตร ทกุ สว่ นของ
ต้น มีนา้ ยางสขี าว แต่ละเถาจะแตกกงิ่ ตงั ้ จานวนมาก

ใบ: ใบเด่ยี ว เรียงตรงข้าม รูปไขแ่ กมรูปรี กว้าง 4-6 เซนตเิ มตร ยาว 7-9 เซนตเิ มตร
ปลายใบ แหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นคลนื่ เลก็ น้อย ผิวใบด้านบนสเี ขียวเข้ม
เป็นมนั

ดอก: สขี าว มีกลน่ิ หอมแรงคล้ายใบเตย ออกเป็นช่อแบบช่อกระจกุ ตามซอกใบและ
ปลายก่ิง ช่อละ 15-30 ดอก ดอกรูปถ้วยตนื ้ โคนกลบี ดอกเชือ่ มกนั เป็นรูปถ้วยตนื ้ ๆ ปลาย
แยก 5 แฉก ดอกบานเตม็ ที่กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร

ประโยชน์: ยางใสแ่ ผลสดสมานแผลและห้ามเลอื ด

ชนดิ พืช: ไม้เลอื ้ ย, ไม้ดอก, พชื สมนุ ไพร

ขนาด: เถาขนาดกลาง

สดี อก: สขี าว

ฤดดู อกบาน: ตลอดปี

ลกั ษณะนิสยั : ขนึ ้ ได้ในดินทวั่ ไป

อตั ราการเจริญเติบโต: ปานกลาง

ความชนื ้ : ปานกลาง

แสง: แดดเตม็ วนั

6.ดอกผกากรอง ใบผกากรอง ใบเป็นใบเด่ียวออกเรียงตรงข้ามกนั ลกั ษณะของใบเป็นรูปไขส่ เี ขียวเข้ม ปลาย
ชื่อสามญั Cloth of gold, Hedge flower, Lantana, Weeping lantana, White sage ใบแหลม ส่วนขอบใบหยกั เป็นฟันเลอื่ ย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-3.5 เซนติเมตรและยาว
ประมาณ 3-9 เซนตเิ มตร ผวิ ใบด้านบนหยาบ ผวิ ใบด้านบนและด้านลา่ งมีขนปกคลมุ
ช่อื วิทยาศาสตร์ Lantana camara L. จดั อย่ใู นวงศ์ผกากรอง (VERBENACEAE)[1] เลก็ น้อย เมือ่ ลบู จะรู้สกึ ระคายมือ เส้นใบมีลกั ษณะยน่ ก้านใบยาวประมาณ 1 เซนตเิ มตร

สมนุ ไพรผกากรอง มีชอื่ ท้องถิน่ อ่ืน ๆ วา่ ขะจาย มะจาย ตาปู (แมฮ่ ่องสอน), คาขีไ้ ก่ (เชยี งใหม่), ดอกไม้จนี (ตราด), ไม้จนี ดอกผกากรอง ออกดอกเป็นช่อคล้ายซ่ีร่ม โดยจะออกตามง่ามใบหรือสว่ นยอดของกง่ิ
(ชมุ พร), ขกี ้ า (ปราจนี บรุ ี, ประจวบคีรีขนั ธ์), สามสบิ (จนั ทบุรี), ยี่สนุ่ (ตรงั ), เบ็งละมาศ สาบแร้ง หญ้าสาบแร้ง (ภาคเหนือ), ขนาดชอ่ ดอกกว้างประมาณ 3-5 เซนตเิ มตร ประกอบไปด้วยดอกหลายสบิ ดอก (ชอ่ ละ
ก้ามก้งุ เบญจมาสป่ า หญ้าสาบแร้ง (ภาคกลาง), จนี , โงเซกบ๊วย (จนี แต้จว๋ิ ), อเู่ ซอ่ เหมย หมา่ อิงตาน (จีนกลาง) เป็นต้น ประมาณ 20-25 ดอก) ก้านชอ่ ดอกยาวประมาณ 4-10 เซนตเิ มตร ดอกย่อยมีขนาดเลก็
เป็นรูปกรวย มกี ลนิ่ ฉนุ กลบี ดอกบานออกเป็นกลบี 4 กลบี มขี นาดประมาณ 0.5
ลกั ษณะของผกากรอง เซนติเมตร ดอกจะทยอยบานจากด้านนอกเข้าไปในชอ่ ดอก ดอกมีเกสรเพศผ้อู ย่กู ลางดอก
4 ก้านอยตู่ ดิ กบั กลบี ดอก ดอกมหี ลายสี เช่น สขี าว (ผกากรอง), สเี หลอื ง (ผกากรอง
ต้นผกากรอง มีถ่นิ กาเนิดอย่ใู นแถบอเมริกาและแอฟริกาเขตร้อน[7] และภายหลงั ได้มีการแพร่ขยายไปทวั่ โลกในเขตร้อน แต่ เหลอื ง), สแี ดง (ข้าวเหนียวหน้าก้งุ ) และยงั มีสีแสด สีชมพู และหลายสใี นชอ่ ดอกเดียวกนั
ไม่มหี ลกั ฐานว่าเข้ามาในไทยเมอ่ื ใด แต่สนั นิษฐานวา่ คงเข้ามาในช่วงกรุงรัตนโกสนิ ทร์นีเ้อง[3] โดยจดั เป็นไม้พ่มุ กง่ึ เลอื ้ ย เป็นต้น (แต่ในปัจจบุ นั มกี ารผสมพนั ธ์จุ นเกิดสีผสมใหม่มากขนึ ้ เร่ือย ๆ และขนาดของดอก
ขนาดเลก็ มคี วามสงู ของต้นประมาณ 1-2 เมตร ลาต้นแตกกง่ิ ก้านสาขามาก ทาให้ทรงพ่มุ มีลกั ษณะคอ่ นข้างกลม ใบขนึ ้ ดก หรือช่อดอกกโ็ ตขนึ ้ ด้วย) และยงั สามารถออกดอกได้ตลอดทงั ้ ปีหากอยใู่ นสภาพแวดล้อมท่ี
หนา ตามลาต้นเป็นร่องมีหนามเลก็ น้อย เม่อื ขยดี ้ มจะมกี ล่ินเหมน็ ทว่ั ทงั ้ ต้นมขี นปกคลมุ ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวิธีการเพาะเมลด็ เหมาะสม
และวิธีการปักชา (สว่ นใหญ่จะใช้วธิ ีการปักชา เพราะสะดวกและรวดเร็วกว่า) ผกากรองเป็นพรรณไม้ดอกกลางแจ้งที่มีอายุ
หลายปี ชอบแสงแดดจดั ควรได้รับแสงแดดอยา่ งพอเพียง ชอบสภาพค่อนข้างแห้งแล้ง เจริญเติบโตได้ดใี นดนิ ร่วนปนทราย สรรพคุณของผกากรอง
และระบายนา้ ได้ดีมากกวา่ ดนิ ชมุ่ ชืน้ หรือดินเหนียว จงึ จดั เป็นพืชท่ีมคี วามแข็งแรงทนทานมาก หลาย ๆ แหง่ ถอื ว่ามนั เป็น
วชั พชื ชนิดหนึ่ง เพราะสามารถขนึ ้ และขยายพนั ธ์ไุ ด้ดีตามธรรมชาติ จงึ มกั พบขนึ ้ ตามป่ าละเมาะท่ีคอ่ นข้างโปร่งและแห้งแล้ง รากช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (ราก)

รากแห้งนามาต้มกบั นา้ ดมื่ จะชว่ ยแก้อาการเวียนศีรษะจากอากาศท่รี ้อนอบอ้าวได้ (ราก)

ใช้เป็นยาบารุงกาลงั (ไม่ระบสุ ว่ นที่ใช้)

ใช้แก้เดก็ ซมึ เซา งว่ งนอนเสมอ ด้วยการใช้ดอกผกากรอง แห้งหนกั 1 บาท ผสมกบั ดอก
ทานตะวนั แห้ง 1 ดอก นามาต้มกบั นา้ สะอาดแล้วนามาดื่ม (ดอก)

ชว่ ยแก้อาการปวดฟัน ด้วยการใช้รากสดนามาต้มเอานา้ อมบ้วนปาก จะช่วยแก้อาการปวด
ฟันได้ (ราก)

4.ทิวาราตรี ์ขอแนะนา:
เมื่อดอกโรย์กานดอกจะเริ่มแ์หง ควรตัด์กานดอกทด่ี อกโรยแ์ลวทิ้ง จะ
ชอ่ื อื่นๆ: หอมดึก
ชอ่ื สามญั : Night blooming jasmine, Night Hessamine, Queen of the night ์ชวย์ใหแตกกิง่ ทรง์พุมสวยงาม และออกดอกเร็วขนึ้
ชื่อวิทยาศาสต์ร: Cestrum nocturnum L. ์ตองการแสงแดดจัดตลอดวัน และ์ตองการนา้ มาก
ว์งศ: SOLANACEAE อาการยอด์ออนแ์หงเกิดจากการขาดนา้ ในบา์งชวง
ถน่ิ กาเนดิ :ประเทศอนิ เดีย
ลกั ษณะท่ัวไป :์ไม์พุมขนาดเลก็ ทรง์พมุ กลม และมีการแตกกง่ิ์กานสาขามาก ์ขอมูลอ่ืนๆ:
ฤดูการออกดอก: ออกดอกตลอด์ป ลา์ตน ์เปนยาแ์กโรคเร้ือน
เวลาที่ดอกหอม: หอมแรงตลอดคนื (ยิ่งดึกยิ่งหอมครับ) ราก ์เปนยาแ์กกามโรค และหนองใน
ผล ์เปนยาแ์ก์ไข์ทองเสยี

์ขอควรระวัง:
ใบ มีสาร steroid sapogenin มพี ษิ ์ตอหวั ใจ
ผลดบิ มีสารชอ่ื Solanine ทา์ให์ทอ์งรวง และอาเจียรอ์ยางรนุ แรง
ผลสุก มสี ารช่อื Atropine ทา์ใหวิงเวียน ปวดศรี ษะ ประสาทหลอน ใจ

สนั่ ์มานตาขยาย ปากแ์หง หลับ์ถารบั ประทานอาจถึงตาย์ได

3.ชงโค ประวตั์ิตนชงโค ช่ือของชงโคนน้ั มาจากใบชงโคมีลักษณะ์เปนใบแฝดติดกันค์ลาย
ชอ่ื สามญั Orchid tree, Purple orchid tree, Butterfly tree, Purple bauhinia, Hong kong orchid tree รอย์เทาววั สาหรบั ์บานเรายัง์ไม์ไดรบั ความนิยม์เทาทค่ี วร สาเหตอุ าจมาจากชื่อท่ี
ยงั ์ไมไพเราะ มคี วามหมายดถี กู ใจคนไทยก์็เปน์ได แ์ตถงึ อ์ยางไรก็ตาม์ตนชงโคก็
ชงโค ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ Bauhinia purpurea L. จดั อย่ใู นวงศ์ถวั่ (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอย่ใู นวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ จดั ์เปน์ไมมงคลชนดิ หนง่ึ เพราะสาหรับชาวฮินดูแ์ลวถือ์วา์ตนชงโค์เปน์ตน์ไมของ
(CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE) สวรร์คทอ่ี์ยใู นเทวโลก และยงั นบั ถือ์วา์เปน์ตน์ไมของพระลกั ษมี (พระชายาของ
พระนาราย์ณ) จงึ ควร์คาแ์กการเคารพบูชาและปลกู ์ไวในบรเิ วณ์บานหรอื สถานท่ี
สมนุ ไพรชงโค มชี ่ือท้องถิ่นอน่ื ๆ วา่ ดอกตีนววั , เสยี ้ วหวาน กะเฮอ สะเปซี (แมฮ่ อ่ งสอน), เสยี ้ วดอกแดง (ภาคเหนอื ), ชงโค เสยี ้ วเลอ่ื ย (ภาคใต้) ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ในฐานะ์ตน์ไมประดบั นอกจากนย้ี งั ์เปน์ตน์ไมประจามหาวิทยาลยั และ
เป็นต้น โดยเป็นพชื ทีม่ ีถ่ินกาเนิดทางตอนใต้ของประเทศจนี รวมไปถงึ ฮอ่ งกง และทางเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ โรงเรยี น์ตาง ๆ อกี หลายโรงเรียน ์เชน คณะอักษรศาสต์ร จฬุ าลงกร์ณ
มหาวิทยาลัย, คณะวศิ วกรรมศาสต์ร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเก์ลา์เจาคณุ ทหาร
ลกั ษณะของต้นชงโค ลาดกระบัง, มหาวิทยาลัยราชภัฏ์บานสมเดจ็ ์เจาพระยา, โรงเรียนเทพลลี า, ฯลฯ

ชงโค เป็นไม้ยนื ต้นสงู ประมาณ 5-15 เมตร กิง่ อ่อนมขี นปกคลมุ ลกั ษณะของใบชงโคเป็นใบเดี่ยวคล้ายรูปหวั ใจ ปลายของใบเว้าลกึ มาก ปลาย ชงโคฮอลแลน์ดหรือชงโคออสเตรเลยี ์เปนลูกผสมระห์วาง "ชงโค" กับ "เส้ยี ว" ์เปน
ใบทงั ้ สองด้านกลมมนดคู ล้ายใบแฝดตดิ กนั (คล้าย ๆ กบั ใบกาหลง) สว่ นลกั ษณะของผลจะเป็นฝักแบนคล้ายฝักถว่ั กว้างประมาณ 1.5 ชื่อทีต่ ง้ั มา์ใชในทางการ์คาเพ่อื เพิ่มความ์นาสนใจ์ชวยทา์ใหซอ์้ื งายขายค์ลอง และ
เซนติเมตร ยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร เมลด็ ในฝักคอ่ นข้างแบน ฝักแกจ่ ะแตกออกเป็นสองซกี ตามความยาวของฝัก โดยเป็นต้นไม้ที่ผลดั ์ไม์ได์เปนพนั์ธ์ไุ มท่ีมาจากประเทศฮอลแลน์ดหรอื ออสเตรเลยี หรือมคี วามเกีย่ ว์ของ
ใบในช่วงฤดหู นาว (ปลายปี) แล้วจะผลใิ บในช่วงเดอื นเมษายนถงึ พฤษภาคม และเป็นต้นไม้ท่ีชอบแสงแดด การเพาะปลกู จงึ นยิ มปลกู ในทีม่ ี กันแ์ตอ์ยางใด โดยจะมีความแตก์ตางกบั ชงโคท่ัวไป โดยจะมลี กั ษณะ์เดนตรงทมี่ ี
แสงแดดตลอดทงั ้ วนั ขนาดของดอกท่ีให์ญก์วา กลีบดอกให์ญก์วา มสี สี ันสดใสก์วาเล็ก์นอย

ลกั ษณะของดอกชงโค ดอกจะมกี ลน่ิ หอมออ่ น ๆ โดยจะออกดอกเป็นช่อตามปลายก่ิง แต่ละชอ่ มีดอกประมาณ 6-10 ดอก แต่ละดอกมีกลบี 5 ประโยช์นของชงโค
กลบี โดยกลบี ดอกจะมสี ชี มพถู งึ สมี ่วงแดง ลกั ษณะของดอกจะคล้ายกบั ดอกกล้วยไม้ เมื่อบานเต็มทด่ี อกชงโคจะกว้างประมาณ 7-9 เซนตเิ มตร
ตรงกลางของดอกจะมีเกสรตัวผ้เู ป็นเส้นยาว 5 เส้น ยื่นออกไปด้านหน้า โค้งขนึ ้ ด้านบน และมเี กสรตวั เมยี อย่ตู รงกลาง 1 เส้น ยาวกว่าเกสรตวั ผู้ ใบชงโคนาไป์ตม์ชวยรักษาอาการไอ์ได (ใบ)

์ชวยแ์กพิษ์ไข์รอนจากเลือดและน้าดี (ดอก)

ชงโคมีสรรพคณุ ์ใช์เปนยาระบาย (ดอก, ราก)

์ชวยแ์กอาการ์ทองเสยี (เปลือก์ตน)

์ชวยแ์กอาการ์ทอ์งรวง (เปลอื ก์ตน)

2.กล้วยบวั สชี มพู ผลกล้วยบวั สชี มพู ผลเป็นสเี ขียว เรียงชิดกนั คล้ายนิว้ มือ ผลย่อยยาวประมาณ 6-8
เซนตเิ มตร มี 4-5 สนั ก้านผลนนั ้ สนั ้ ผลมีลกั ษณะเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนานเป็นเหลยี่ ม
ชอื่ สามญั Flowering Banana ปลายและโคนเรียว ผิวเปลอื กเรียบ หวีหนง่ึ มีแถวเดียวเรียงไม่เป็นระเบยี บ เมือ่ สกุ จะเป็นสี
กล้วยบวั สชี มพู ช่อื วิทยาศาสตร์ Musa ornata Roxb. (ชอื่ พ้องวทิ ยาศาสตร์ Musa rosacea N. J. von Jacquin., Musa speciosa M. เหลอื ง ข้างในผลมีเมลด็ สดี า เมลด็ มีลกั ษณะเป็นเหลยี่ มและแบน มีขนาดเส้นผา่ น
ศนู ย์กลางประมาณ 5 มลิ ลเิ มตร
Tenore, Musa carolinae A. Sterler, Musa rosea J. G. Baker, Musa rosea Jacq., Musa salaccensis H. Zollinger, Musa
หมายเหตุ : กล้วยบวั สีชมพมู ีลกั ษณะทว่ั ไปคล้ายกบั กล้วยบวั (Musa laterita Cheesman)
mexicana E. Matuda) จดั อย่ใู นวงศ์กล้วย (MUSACEAE) แตจ่ ะมีการเจริญของลาต้นชิดกนั มากกวา่ มีเหง้าสนั ้ กว่า ก้านชอ่ ดอกไม่มขี น และใบ
ประดบั เป็นสชี มพู สว่ นผลสนั ้ กวา่ เลก็ น้อย
สมนุ ไพรกล้วยบวั สชี มพู มชี อ่ื ท้องถิ่นอนื่ ๆ ว่า กล้วยบวั (กรุงเทพฯ) เป็นต้น
สรรพคุณของกล้วยบวั สชี มพู
ลักษณะของกล้วยบัวสีชมพู
แพทย์ตามชนบทจะใช้กาบหวั ปลี ผล และรากเหง้าของกล้วยบวั สชี มพู เป็นยาแก้ท้องเสยี
ต้นกล้วยบัวสีชมพู จดั เป็นกล้วยไม้ล้มลกุ มีความสงู ได้ประมาณ 1-3 เมตร ลาต้นอย่ใู ต้ดิน กาบใบหอ่ ห้มุ กบั ลาต้นเทยี ม สว่ นมาก ในเดก็ ได้เป็นอยา่ งดี (หวั ปล,ี ผล, รากเหง้า)
ลาต้นเทียมจะมีขนาดเส้นผา่ นศนู ย์กลางไมเ่ กิน 10 เซนตเิ มตร ขยายพนั ธ์ดุ ้วยการแยกหน่อ ขนึ ้ ได้ดีในดนิ ทวั่ ไป ต้องการนา้ มากและ
แสงแดดจดั เม่อื อยใู่ นที่ราไรลาต้นจะสงู หากอย่ใู นทก่ี ลางแจ้งต้นจะเตยี ้ พรรณไม้ชนิดนีม้ ีถิ่นกาเนิดในอินเดีย พม่า และบงั กลาเทศ ประโยชน์ของกล้วยบวั สชี มพู

ดอกกล้วยบวั สีชมพู ปลชี อ่ ดอกตงั ้ ตรง ก้านชอ่ หนา ยาวประมาณ 2-3 เซนตเิ มตร ใบประดบั มี 2 ใบ ลกั ษณะคล้ายใบ ยาวได้ นยิ มนามาปลกู เป็นไม้ประดบั ทว่ั ไป โดยนิยมปลกู เป็นไม้ประดบั มานานแล้ว ก่อนท่ีจะมีการ
ประมาณ 30 เซนติเมตร กาบประดบั เป็นสชี มพู ปลายกาบแหลม กาบด้านลา่ งยาวได้ประมาณ 10 เซนติเมตร มีขนาดเลก็ ลงชว่ ง ตงั ้ ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ (ตงั ้ ในปี 1824) อนั เป็นเหตผุ ลหนงึ่ ท่ที าให้มีช่อื วทิ ยาศาสตร์ผิด
ปลายชอ่ ปลายกลบี เป็นสเี หลอื ง กาบดอกเพศเมียอยชู่ ว่ งลา่ ง มีกาบประมาณ 7 กาบ ดอกเพศเมียจะมี 3-5 ดอก ในแต่ละกาบ เรียง โดยเฉพาะชือ่ Musa rosacea Jacq. ซง่ึ เป็นท่รี ู้จกั กนั ดีในแวดวงไม้ดอกไม้ประดบั นอกจากนี ้
แถวเดียว กลบี ดอกรวมเป็นสเี หลอื งอมส้ม กลบี รวมท่ีติดกนั ยาวประมาณ 3.5 เซนตเิ มตร กลบี ทแ่ี ยกยาวได้ประมาณ 3 เซนตเิ มตร ยงั มีพนั ธ์ผุ สมท่ีมีลกั ษณะใกล้เคยี งกบั กล้วยบัวสชี มพเู ป็นจานวนมาก จนทาให้ใบประดบั
ปลายหยกั เป็นพตู นื ้ ๆ 5 พู พบั งอ เกสรเพศผ้ทู หี่ มนั ยาวได้ประมาณ 1/3 หรือ 1/2 สว่ นของความยาวก้านเกสรเพศเมยี รังไข่ยาว แตล่ ะพนั ธ์มุ ีหลากหลายสี โดยเฉพาะพนั ธ์ทุ ี่ผสมขนึ ้ มาเองเพอ่ื เป็นไม้ตดั ดอกแล้วนามาตงั ้
ประมาณ 4 เซนติเมตร ก้านเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 3 เซนตเิ มตร ดอกเพศผ้มู ี 3-6 ดอก ในแต่ละกาบ เรียงแถวเดยี วกนั กลบี รวม ชื่อเป็น Musa ornata ตามด้วยพนั ธ์ุผสมอนื่ ๆ เชน่ African Red, Bronze, Costa Rican
เป็นสสี ้มครึ่งบน ด้านล่างมีสอี อ่ นกว่า กลบี รวมที่ติดกนั ยาวประมาณ 3.5-4 เซนติเมตร คล้ายกบั ดอกเพศเมีย กลบี รวมที่แยกกว้าง Stripe, Macro, Lavender Beauty, Leyte White เป็นต้น
ประมาณ 1 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3-3.5 เซนติเมตร เกสรเพศผ้ยู าวเทา่ กบั กลบี รวมทแี่ ยก ก้านชอู บั เรณยู าวกว่าอบั เรณู อบั
เรณเู ป็นสีม่วง

1.ดอกกรรณิการ์ ใบกรรณิก์าร ใบ์เปนใบเดีย่ ว ออกตร์งขามกัน ลกั ษณะของใบ์เปนรปู ์ไข มีความ
ก์วางประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-10 เซนตเิ มตร ปลายใบ
ช่อื สามญั Night blooming jasmine, Night jasmine, Coral jasmine แหลม โคนใบมน์สวนขอบใบเรียบหรือบางใบจะหยักแบบ์หาง ๆ กัน และตาม
กรรณกิ าร์ ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Nyctanthes arbor-tristis Linn. จดั อย่ใู นวงศ์มะลิ (OLEACEAE) ขอบใบอาจมขี นแขง็ ๆ หลงั ใบมีขนแข็งสากมอื ์สวน์ทองใบมขี นแข็งสนั้ ๆ ม์ีเสน
แขนงของใบ์ขางละ 3-4 ์เสน ปลาย์เสนจรดกนั ์กอนถึงขอบใบ และม์ีกานใบส้ัน
สมนุ ไพรกรรณกิ าร์ มีชอ่ื ท้องถนิ่ อนื่ ๆ ว่า กณิการ์ กรรณิการ์ กนั ลกิ า กรรณิกา (ภาคกลาง), สะบนั งา (น่าน), ปาริชาติ ยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมต
(ทว่ั ไป) เป็นต้น
ดอกกรรณิก์าร ออกดอก์เปน์ชอ ออกตามซอกใบหรือ์งามใบ์กาน์ชอดอกยาว
หมายเหตุ : P.S.Green ระบวุ ่าสกุล Nyctanthes มคี วามใกล้ชิดกบั วงศ์ VERBENACEAE มากกวา่ วงศ์ ประมาณ 1.2-2 เซนติเมตร มใี บประดบั รปู ค์ลายใบเล็ก ๆ อ์ยู 1์คทู ์ีก่ าน์ชอดอก
OLEACEAE อยา่ งไรก็ตามข้อมลู ในด้านวิวฒั นาการในปัจจบุ นั จัดให้สกลุ NYCTANTHES อยภู่ ายใต้วงศ์ ในแ์ตละ์ชอดอกจะมีดอกอ์ยปู ระมาณ 3-7 ดอก ดอก์เปนดอก์ยอยสขี าวและมกี ลิ่น
OLEACEAE และอย่ใู นวงศ์ย่อย MYXOPYREAE หอม ดอกจะบานใน์ชวงเยน็ และจ์ะรวงใน์ชวง์เชา

ลกั ษณะของกรรณิการ์ ผลกรรณิก์าร ผลมลี กั ษณะ์เปนรปู ์ไขกลบั หรือมลี กั ษณะ์เปนรปู ทรงกลม์คอน์ขาง
แบน ปลายผล์เปนมนและมตี ง่ิ แหลม ผลมีขนาด์เสน์ผานศูน์ยกลางประมาณ 2
ต้นกรรณิการ์ มีถิน่ กาเนิดดงั ้ เดมิ ในตอนกลางของประเทศอินเดยี เข้าใจวา่ เข้ามาในไทยในช่วงปลายสมยั กรุงศรี เซนตเิ มตร ผวิ ผลเรียบ ผล์ออน์เปนสเี ขยี ว ผลเมื่อแ์กจะแตก์อาออก์เปน 2 ซกี ์ขาง
อยธุ ยาหรือในสมยั ตอนต้นของกรุงรัตนโกสนิ ทร์ และมกี ารสนั นษิ ฐานวา่ ชอ่ื "กรรณกิ าร์" นนั ้ มาจากคาว่า "กรรณิกา" ในผลมเี มลด็ ซีกละหนึง่ เมล็ด เมล็ดมลี กั ษณะกลมแบนและ์เปนสีนา้ ตาล
ซง่ึ มีความหมายว่า ชอ่ ฟ้า กลบี บวั ดอกไม้ ต้มุ หู และเคร่ืองประดบั หู ซง่ึ หากสงั เกตจากรูปทรงของดอกกรรณิการ์แล้ว
ก็จะเหน็ ว่าเหมาะจะใช้เป็นเครื่องประดบั หูได้ดี เพราะมีหลอดทใ่ี ช้สอดในรูทีเ่ จาะใสต่ ้มหูได้นนั่ เอง โดยจดั เป็นไม้พ่มุ สรรพคุณของกรรณกิ ์าร
กง่ึ ไม้ยนื ต้นขนาดเลก็ ไม่ผลดั ใบ มเี รือนยอดเป็นรูปทรงพีระมิดแคบ มีความสงู ของต้นประมาณ 3-5 เมตร เปลอื กของ
ลาต้นมีลกั ษณะขรุขระและเป็นสนี า้ ตาล ก่งิ อ่อนเป็นเหล่ียมสเี่ หลยี่ ม และมีขนแข็งสากมอื ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวธิ ีการ รากมรี สขมฝาด ์ใช์เปนยาบารงุ ธาตุ (ราก
เพาะเมลด็ การตอนกิ่ง หรือการปักชากิ่งเจริญเตบิ โตได้ดใี นดินร่วนทรี่ ะบายนา้ ได้ดี มคี วามชืน้ ปานกลาง แสงแดด
แบบเต็มวนั และครง่ึ วนั หากปลกู ในทีแ่ ห้งแล้งจะออกดอกน้อย โดยจะออกดอกในชว่ งประมาณเดอื นสงิ หาคมถงึ ราก์ใช์เปนยาแ์กวาโยกาเรบิ เพอื่ อากาศธาตุ (ราก)
เดือนพฤศจิกายน แตส่ ามารถออกดอกได้ตลอดปีหากมีฝน หรือได้รบั การตดั แตง่ และมีการให้นา้ อย่างเหมาะสม
ดอก์ชวยบารุงหวั ใจ (ดอก)

ราก์ใช์เปนยาบารงุ กาลงั (ราก)

์ใช์เปนยาแ์กอาการ์ออนเพลยี (ราก)

ปัจจัยทม่ี ผี ลต่อการเจริญเติบโตของไม้ดอกไม้ประดบั ค

1. ดิน ์เปน์ปจจัยที่สาคญั อนั ดับแรกเพราะดินจะ์ชวยพยงุ ลา์ตน ์เปนแห์ลง์ใหน้า์ใหอากาศตลอดจนแ์รธาต์ุตาง ๆ ดนิ ทอ่ี ดุ มสมบรู ์ณพชื กจ็ ะเจริญเติบโต์ไดดี

2. ความชมุ ชื่นหรอื น้า หมายถงึ ความ์ชมุ ชื้นที่อ์ยูในดิน และความ์ชมุ ชน้ื ท่อี์ยใู นอากาศดนิ ทีอ่ ดุ มสมบรู ์ณมีธาตุอากาศหากขาดนา้ ในดินรากก์็ไมสามารถดดู ไป์ใช์ได
ความ์ชุมชื้นในอากาศมีความจา์เปน์ตอ์ตน์ไมเพราะจะ์ชวย์ให์ตน์ไมสดชื่นอ์ยเู สมอ

3. แสงส์วาง มบี ทบาทสาคัญ์ตอการเจริญเติบโตของ์ตนพชื นับตั้งแ์ตเมลด็ เรมิ่ งอก การส์รางฮอ์รโมนในพชื การส์รางเมด็ สี ตลอดจนการออกดอกผลและอนื่ ๆ พชื
บางชนดิ จะออกดอกเม่อื ์ไดรบั แสงส์วางเพียงพอ

4. อณุ หภูมิ ์เปน์ปจจัยสาคญั อกี อ์ยางหนง่ึ ทมี่ อี ทิ ธพิ ล์ตอการเจรญิ เตบิ โตและคณุ ภาพของดอกและปรมิ าณดอก

5. ์ปยุ การเจริญเติบโตของพชื์ตองการอาหารธาตุ ในการเจริญเตบิ โตจะ์ไดรับอาหารธาตเุ ห์ลานนั้ จากดนิ น้าและอากาศ ใน์ปจจุบันธาตใุ นดนิ ์ไมเพียงพอ์ตอการ
เจริญเตบิ โต จา์เปน์ตอง์ใส์ปุยเพื่อปรงุ ดนิ ์ใหมีธาตตุ ามทพี่ ืช์ตองการ

6. โรคและแมลง โรคทเ่ี กดิ กบั พืชมที ง้ั โรคทีเ่ กดิ จากเชือ้ ราแบคทเี รยี ์สวนแมลงนัน้ มมี ากมายหลายชนดิ ์เชน เพลี้ยหนอน์ตาง ๆ การฉดี ยา์ปองกันโรคและแมล์งกอน
จะ์ชวย์ใหพืชสามารถเจรญิ เติบโต์ไดดี

7. การตดั แ์ตง จะมผี ลการเจริญเตบิ โต แตกก์่ิงกานสาขาของ์ตน์ไม ซงึ่ จะ์ชวยในการกาหนดรปู์รางรปู ทรงของพชื นั้น รวมทงั้ การตดั กง่ิ ท์ี่ไม์ตองการ

8. ตาแห์นงทีป่ ลกู มีผล์ตอการเจรญิ เตบิ โตอีกประการหนง่ึ การเรียน์รู ลกั ษณะนิสัยของพืชนัน้ ๆ จะทาใหสามารถเลอื กสถานทที่ ่ีจะปลกู พชื นนั้ ๆ ์ใหเหมาะสม
เพ่ือ์ใหมีการเจรญิ เติบโต์ไดดี

ประเภทของไมด้ อกไมป้ ระดบั ข
1. การใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจาวนั

1.1 ์ใชเพือ่์กอ์ใหเกิดความสวยงาม ์เชน์รอยพวงมาลยั ตกแ์ตงอาคารสถานที่

1.2 ์ใช์ไมดอก์ไมประดบั เพอ่ื ความสดช่ืน สบายใจ หรือ์ฟนฟู สภาพจติ ใจ ์เชน การจดั กระ์เชาดอก์ไมหรอื จดั แจกนั ์ให์ผ์ปู วยเกดิ ความสดช่นื

1.3 ์ชวยลดการเกิดวัชพชื ์ไมดอก์ไมประดบั บางชนดิ สามารถปลกู คลมุ ดิน์ได์เปนอ์ยางด์ี ชวยรักษาระดบั อณุ ภมู แิ ละความชน้ื ภายในดิน

1.4 ์ใช์ไมดอก์ไมประดบั เพอื่ ์เปนยารกั ษาโรค

1.5 ์ใช์ไมดอก์ไมประดบั ในการประกอบอาหาร ์เชน การ์ใชสีจากใบเตย ฯลฯ

1.6 ์ใชประดับในงานพธิ์ตี าง ๆ ์เชน วันเกดิ งานแ์ตงงาน ฯลฯ

1.7 ์ใชแสดงความยินดีและ์ใชโอกาส์ตาง ๆ ์เชน รบั ปริญญา ฯลฯ

2. การ์ใชประโยช์นท์ีก่ อ์ใหเกดิ ราย์ไดหรอื การประกอบธรุ กิจ

2.1 การปลกู ์ไมดอก์ไมประดับเพ่ือ์เปนราย์ไดเสรมิ ์เชน การปลูก์เปนพชื แซม หรอื ในสวนบรเิ วณ์บาน

2.2 การปลูก์ไมดอก์ไมประดับ์เพอการ์คา หรอื จาห์นายทัง้ ภายในประเทศและ์ตางประเทศ

ความสาคัญของ์ไมดอก์ไมประดบั มนษุ ์ยจะ์ใช์ไมดอก์ไมประดบั เพอ่ื กจิ การ์ตาง ๆ ดอก์ไมทมี่ ีการซ้อื ขายกนั มากทส่ี ุดในตลาดโลก 3 ลาดบั แรกคือ ค์ารเนช่นั กหุ ลาบ และ เบญจมาศ ดอก์ไมทีป่ ระเทศไทย
์สงออก์สวนให์ญคือ ก์ลวย์ไม และ กหุ ลาบ มปี ระเทศลูก์คาทส่ี าคัญ คอื สงิ คโป์ร องั กฤษ์ฮองกง เยอรมนี ญ์ป่ี นุ และ เนเธอ์รแลน์ด

คณุ ภาพของ์ไมดอก์ไมประดับ

คณุ ภาพของ์ไมดอก์ไมประดับ ์ไมดอกและ์ไมประดบั ์เปนอวัยวะของพชื ท์่คี อน์ขางซับ์ซอนซง่ึ เมื่อมกี ารสญู เสียคุณภาพขอ์งกาน ใบ หรอื ดอก จะ์ไมสามารถจาห์นาย์ได เพราะตลาด์ไมยอมรบั การสญู เสยี คุณภาพ
มสี าเหตุมาจากหลายประการ ์เชน การเห่ียว กา์รรวงของใบหรอื กลบี ดอก การ์โคงงอ ์เปน์ตน ในการคัดคณุ ภาพหรอื จัดมาตรฐาน์ไมดอก์ไมประดับนัน้ ์ตอง์เขาใจสาเหตทุ ท่ี า์ใหคณุ ภาพของ์ไมดอก์ไมประดับเสียไป
์ไดแ์ก

1. การเจรญิ เตบิ โตและการแ์ก ทา์ใหคณุ ภาพเสอื่ มลง และอาจทา์ใหเกิดการ์โคงขอ์งกานดอก์ได

2. การเสอื่ มสภาพ์เปน์ชวงเวลาทีด่ อก์ไมกาลงั จะหมดอายุซง่ึ คุณภาพจะตา่ ลง

3. การเหีย่ ว อายุการ์ปกแจกนั ของดอก์ไมและใบ์ไมขนึ้ อ์ยกู บั การ์ไดรับน้าอ์ยา์งตอเน่อื งและพอเพียง

4. การเหลืองของใบและอวัยวะอืน่ ๆ ทา์ใหดอกหมดอายกุ าร์ใชงาน

5. กา์รรวงของกลบี ดอกและใบหรืออวัยวะอืน่ ๆ จากสาเหต์ตุ าง ๆ

ประวตั ิความเป็นมา ก

ไมด้ อกไมป้ ระดบั
ความ์รเู บือ้ ์งตนเกย่ี วกบั ์ไมดอก์ไมประดบั

ความหมายของ์ไมดอก์ไมประดบั

์ไมดอก หมายถึง พนั์ธ์ุไมทกุ ชนิดทีป่ ลกู เพื่อ์ใชประโยช์นจากความสวยงามของดอก มีดอกสวยงาม ดอกดก บานทน นยิ มปลกู ์ไวทั้งทบ่ี านสวยงานอ์ยกู ับ์ตนหรือตัดออกไป์ใชประโยช์น
หรือจาห์นายซึ่งสามารถแ์บงก์ลมุ ์ได 2 ก์ลุม คอื ์ไมดอกประดบั ์ไมตัดดอก

์ไมดอกประดบั คือ พนั์ธ์ุไมดอกทกุ ชนดิ ทปี่ ลูก์ไวเพือ่ ประดับ์บานเรอื นอาคารสถานทีโ่ ดย์ไดดอกบานตดิ อ์ยกู บั ์ตน เพอื่ เพิม่ บรรยากาศ์ใหสถานท่นี ่ัน์นาอ์ยอู าศัยหรือ์นาทางาน ์ไดแ์ก เข็ม
ญ์ปี่ นุ พทิ เู รีย แพงพวย พทุ ธรกั ษา บานชน่ื ปทุมมา บัวสาย ฯลฯ ซ่ึงหลายชนดิ สามารถนาไปปลกู ์เปน์ไมตดั ดอก์ได

ดงั นั้นจงึ สรุป์ได์วา ์ไมดอก์ไมประดับหมายถงึ พัน์ธ์ุไมทปี่ ลกู ขึ้นเพอ่ื ทา์ใหเกิดความสวยงามทงั้ ภายในบรเิ วณ์บาน์เชน ในบรเิ วณสนามรอบ ๆ ตัว์บาน แขวน์ไวตามชาย์บาน และตง้ั
ประดบั ์ไวตาม์สวน์ตาง ๆ ภายนอกตวั์บานหรอื อาคาร

การจาแนกประเภทและแ์บงพนั์ธ์ุไมน้นั มหี ลักพจิ ารณาและจาแนก์ตาง ๆ กนั แ์ลวแ์ตความ์มงุ หมายและความประส์งค ซงึ่ อาจแ์บงจาพวกพัน์ธ์ไุ มดอก์ไมประดบั ์เปน 3 พวกให์ญ ๆ คอื

1. การแ์บงพนั์ธ์ไุ มดอก์ไมประดับตามความ์มงุ หมายท์ใ่ี ช หมายถงึ การแ์บงพัน์ธ์ไุ มตามความ์ตองกรและ์มงุ หมายทจี่ ะนามา์ใชเพ่อื ประโยช์นและ ์ใช์สวนไหนเพื่อประโยช์นท์ีต่ องการ

2. การแ์บงพัน์ธ์ไุ มดอก์ไมประดับตามลักษณะนสิ ยั ของพนั์ธ์ุไม์เชนการแ์บงตามถ่ินกาเนิดแ์บงตามอายคุ วามเจรญิ เตบิ โตของพัน์ธ์ไุ มตามลกั ษณะเนือ้ ์ไม ตามสงิ่ แวด์ลอม และตามลักษณะ
ของลา์ตน

3. การแ์บงพัน์ธ์ุไมดอก์ไมประดบั ตามหลกั พฤกษศาสต์ร มีความ์มุงหมายเพอ่ื จาแนกพัน์ธ์ไุ มท่ัว ๆ ไป์ใหแ์นชดั ในรปู์ราง ลักษณะนิสัยการดารงชพี และการสบื พนั์ธุ ของพัน์ธ์ไุ ม์ใหอ์ย์เู ปน
ก์ลุมทีแ่ ์นนอน ์ไมปะปนสบั สนกนั

สารบญั ห์นา
ก-ค
ประวัตคิ วาม์เปนมาของ์ไมดอก์ไมประดบั 1-60
รวม์ไมดอก์ไมประดบั

คานา

ดอก์ไม์เปนสอ่ื แสดงความ์รูสกึ ขอ์งผ์ูให์ตอ์ผูรบั ดอก์ไมมีความสวยงาม มเี ส์น์ห

บอกถึงความหมายอ์ยูในตวั ของดอก์ไมนน้ั เอง ดังนั้นการจัดดอก์ไมจึงควร์ใชดอก์ไม์ใหเหมาะสมกับโอกาส
ดอก์ไม คือ โครงส์รางการขยายพนั์ธุของพชื ดอก (ใน์สวน Magnoliphyta หรือเรียก์วา anhiosperm)

การทางานเชงิ ชีววิทยาของดอก์ไมมักจะ์เปนการขยายพนั์ธ์ุดวยกลไกลแบบส์เป์รมกบั ์ไข

การปฎสิ นธิของดอก์ไมสามารถเกิด์ได์ขามดอก(การรวมตัวของส์เป์รมและ์ไขในดอกเดยี วกันนน้ั )ดอก์ไมบาง
ชนดิ ผลิต์สวนแพ์รพัน์ธุ (diaspore)

โดยมีการปฎิสนธิ(การเกิดผลลม) ดอก์ไมจะมีอับสเปอ์ร (Sporangia) ์เปนแห์ลงส์รางแกมโิ ทโฟ์ด ดอก์ไมคอื
์สวนทีเ่ กิด์เปนผล์ไมและเมล็ด

ดอก์ไมหลายชนดิ ววิ ฒั นาการตัวเองเพ่อื ดงึ ดูดสัต์ว์เชนแมลง เพือ่ ์ให์เปนตัว์ชวย์ส์งถายละอองเรณู

นอกจากนี้การเอือ้ อานวย์ตอการขยายพนั์ธุของพืชดอก ดอก์ไมยัง์เปนทนี่ ยิ มชอบและ์ใชเพื่อตกแ์ตง
สภาพแ์วด์ลอมในสังคมมนุษ์ย และดอก์ไมก็

์เปนตัวแทนแ์หงความรกั ใค์ร ความเช่ือถือ ศาสนา สามารถ์ใช์เปนยารกั ษาโรคและแห์ลงอาหาร์ได

ค ไมด้ อก1 ไม้
ระดบั


Click to View FlipBook Version