The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ไม้ดอกไม้ประดับ (2) (3) (3)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Siraprapa Promtra, 2020-02-20 00:33:22

ไม้ดอกไม้ประดับ (2) (3) (3)

ไม้ดอกไม้ประดับ (2) (3) (3)

60.ลำดวน ผลลาดวน ผลเป็นผลสดแบบมเี นอื ้ ออกผลเป็นกลมุ่ มีผลยอ่ ยประมาณ 15-27 ผล ลกั ษณะของผลเป็น
รูปทรงกลมรี รูปไข่ หรือรูปกลม ผลออ่ นเป็นสเี ขยี ว ผลมขี นาดกว้างประมาณ 0.5 นิว้ และยาวประมาณ
ชอื่ สามัญ White cheesewood, Devil tree, Lamdman 0.5-1 เซนตเิ มตร เมอื่ แก่แล้วจะเปล่ียนเป็นสแี ดง และผลสกุ มีสนี า้ เงินดา มีคราบขาว ภายในผลมีเมลด็
ประมาณ 1-2 เมลด็ ใช้รบั ประทานได้ โดยจะมีรสหวานอมเปรีย้ ว สว่ นก้านผลยาวประมาณ 1 เซนตเิ มตร
ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Melodorum fruticosum Lour. จดั อย่ใู นวงศ์กระดงั งา (ANNONACEAE) โดยจะติดผลในช่วงเดอื นมกราคมถึงเดือนมนี าคม

ลักษณะของลำดวน สรรพคุณของลำดวน

ต้นลาดวน หรือ ต้นหอมนวล มแี หลง่ กาเนิดในเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้[7] จดั เป็นไม้ยนื ต้นขนาดเลก็ ไม่ผลดั ใบ มี ดอกแห้งมีสรรพคุณเป็นยาบารุงกาลงั (ดอกแห้ง)
ความสงู ของต้นประมาณ 10-15 เมตร ลาต้นตรง แตกก่ิงใบจานวนมาก เรือนยอดเป็นพ่มุ กลมหรือเป็นพ่มุ เป็นรูป
กรวยคว่า เปลอื กต้นเรียบเป็นสเี ทา เม่ือลาต้นแกเ่ ปลอื กต้นจะเป็นสนี า้ ตาลอมดา มีรอยแตกตามแนวยาวของลาต้น ดอกแห้งเป็นยาบารุงโลหติ (ดอกแห้ง) ช่วยบารุงหวั ใจ (ดอกแห้ง)
สว่ นก่งิ ออ่ นเป็นสเี ขียวสด ยอดอ่อนและใบออ่ นเป็นสแี ดง ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวิธีการเพาะเมลด็ และวธิ ีการตอนก่ิง
เจริญเตบิ โตได้ดีในดนิ ร่วนซุย ชอบความชนื ้ สงู และแสงแดดแบบเตม็ วนั ถงึ คร่ึงวนั ชอบขนึ ้ ในทโ่ี ลง่ และมแี สงแดด หมายเหตุ : ตามตารับยาสมนุ ไพรพืน้ บ้านของจงั หวดั อบุ ลราชธานีจะใช้เนือ้ ไม้และดอกแห้ง นามาต้มกบั
พบได้ตามป่ าเบญจพรรณ ป่ าดบิ แล้งทางภาคตะวนั ออก และภาคกลาและพบได้มากในจงั หวดั ศรีสะเกษ เนอ่ื งจาก นา้ ดม่ื เป็นยาบารุงหัวใจ บารุงโลหติ บารุงกาลงั แก้ลมวิงเวียน และเป็นยาแก้ไข้ (เนือ้ ไม้และดอกแห้ง)(แต่
ต้นลาดวนเป็นต้นไม้ประจาจงั หวัดศรีษะเกษ ตารายาไทยจะใช้แต่ดอก) สว่ นข้อมูลจากหนงั สอื พจนานุกรมสมนุ ไพรไทย ของ ดร.วิทย์ เท่ยี งบรู ณธรรม
ระบใุ ห้ใช้เกสรลาดวนเป็นยา ซง่ึ เกสรจะมีสรรพคณุ เป็นยาชูกาลงั บารุงหวั ใจ หากนาไปผสมกบั สมนุ ไพร
ใบลาดวน ใบเป็นใบเดยี่ ว ออกเรียงสลบั ลกั ษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบแหลมหรือ ชนิดอืน่ จะเป็นยาบารุงโลหติ บารุงหวั ใจ บารุงกาลงั และเป็นยาแก้ลม (เกสร)
สอบ สว่ นขอบใบเรียบ ใบมขี นาดกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-10 เซนตเิ มตร แผน่ ใบเป็นสี
เขยี วเข้มเป็นมนั ผวิ ใบเกลยี ้ งทงั ้ สองด้าน ผิวใบด้านบนเป็นมนั สว่ นด้านลา่ งมีสอี ่อนกว่า เส้นกลางใบเป็นสอี อก ประโยชน์ของลำดวน
เหลอื งนนู เด่นทงั ้ สองด้าน สว่ นก้านใบยาวประมาณ 0.5-0.7 เซนติเมตร
ผลสกุ ของลาดวนมีสดี า มีรสหวานอมเปรีย้ ว ใช้รบั ประทานได้
ดอกลาดวน หรือ ดอกหอมนวล ออกดอกเด่ียวหรือออกเป็นชอ่ แบบกระจกุ ประมาณ 2-3 ดอก โดยจะออกตามซอก
ใบหรือปลายก่ิง ดอกเป็นสเี หลอื งนวล มีกลน่ิ หอม ลกั ษณะเป็นรูปไข่ปอ้ มถงึ รูปเกอื บกลม ปลายกลบี แหลม โคน ดอกมีกลน่ิ หอม รสเยน็ นอกจากจะจัดอย่ใู นพิกดั เกสรทงั ้ เก้าแล้ว ยงั ใช้เป็นสว่ นผสมในตารับยาหอมอกี
กลบี กว้าง ดอกมีกลบี 6 กลบี กลบี ดอกหนาแข็ง สเี ขยี วปนเปลอื ง และมขี น แยกเป็น 2 วง ชนั ้ นอกมี 3 กลบี กลบี แผ่ ด้วย
แบน ลกั ษณะของกลบี เป็นรูปสามเหลย่ี มขนาดใหญ่กว่ากลบี ดอกวงใน ปลายกลบี แหลม โคนกลบี กว้าง โดยมี
ขนาดกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.2 เซนติเมตร สว่ นกลบี ดอกชนั ้ ในง้มุ เข้าหากนั ลกั ษณะเป็น ดอกลาดวนมีขนาดใหญ่และงดงามกวา่ ดอกนมแมว จงึ นยิ มนามาใช้บชู าพระและใช้แซมผม อีกทงั ้
รูปโดม มีขนาดเล็กกวา่ แต่จะหนาและโค้งกว่ากลบี ชนั ้ นอก โดยจะมจี ะขนาดกว้างประมาณ 0.6 เซนติเมตร และ หญิงไทยในสมัยกอ่ นก็ชอ่ื ลาดวนกนั ทั่วไป
ยาวประมาณ 0.9 เซนตเิ มตร

59 ดำวกระจำย ผลดาวกระจาย ลกั ษณะของผลเป็นรูปทรงแคบ มีสนั ประมาณ 3-4 สนั ผลค่อนข้างแข็ง มีรยางค์เป็นหนาม
ยาวประมาณ 3-4 มิลลเิ มตร
ชื่อสามญั Spanish needle
สรรพคุณของดำวกระจำย
ช่อื วิทยาศาสตร์ Bidens bipinnata L. จดั อย่ใู นวงศ์ทานตะวนั (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE)
ชว่ ยกระจายลม ฟอกโลหิต (ทงั ้ ต้น)
ลกั ษณะของต้นดำวกระจำย
ทงั ้ ต้นดาวเรืองมีรสขม เป็นยาสขุ ุม ไมม่ พี ิษ โดยออกฤทธ์ิต่อกระเพาะอาหาร ลาไส้ ตบั และไต ใช้เป็นยาดบั
ต้นดาวกระจาย เป็นพรรณไม้พืน้ เมอื งของทวปี อเมริกา โดยจดั เป็นไม้ล้มลกุ มีอายไุ ด้ราว 1 ปี ลาต้นตงั ้ ตรง มี พิษร้อนถอนพิษไข้ (ทงั ้ ต้น)
ความสงู ของลาต้นได้ประมาณ 25-85 เซนตเิ มตร กลางลาต้นแตกก่ิงก้านสาขามาก ลาต้นเป็นเหล่ียมและมขี น
เลก็ น้อย ส่วนโคนต้นเป็นสมี ว่ งและไม่มีขนปกคลมุ ก่ิงก้านมลี กั ษณะเป็น 4 เหลย่ี ม โดยจัดเป็นพรรณไม้ ชว่ ยแก้ระบบทางเดินหายใจตดิ เชอื ้ ลาคอปวดบวม (ทงั ้ ต้น)
กลางแจ้ง ขยายพนั ธ์ุด้วยเมลด็ ในประเทศไทยสามารถพบขนึ ้ ได้ตามท่ีรกร้างทว่ั ไปในชนบท
ทงั ้ ต้นนามาต้มกบั นา้ ด่ืมเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้อาการปวดท้อง ท้องเสยี ปวดกระเพาะ (ทงั ้ ต้น)บ้างว่าใช้ใบ
ใบดาวกระจาย ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลบั ปลายใบค่ี ตรงสว่ นของดอกช่อใบเป็นใบเดยี่ ว และต้นนามาต้มกบั นา้ แล้วรินเอาแตน่ า้ มาด่มื เป็นยาแก้อาการท้องร่วง (ใบและต้น)ใช้แก้บดิ ด้วยการใช้ต้น
และปลายใบจะแหลมกว่าใบอื่น ๆ ช่อใบมใี บยอ่ ยประมาณ 3-5 ใบ ลกั ษณะของใบย่อยเป็นรูปไข่ ปลายใบ สดประมาณ 30-70 กรัม นามาต้มผสมกบั นา้ ตาลเลก็ น้อยแล้วใช้รับประทาน (ต้น) ช่วยแก้ฝีในลาไส้ (ทงั ้ ต้น)
แหลม โคนใบมน สว่ นขอบใบจกั เป็นซ่ฟี ัน 2-3 ซี่ ใบเป็นสเี ขยี ว เนือ้ ใบนิ่ม หลงั ใบและท้องใบมีขนขนึ ้ ประปราย
ข้อควรระวงั ! : สตรีมีครรภ์ห้ามรบั ประทานสมนุ ไพรชนดิ นี ้
ดอกดาวกระจาย ออกดอกเด่ยี วหรือออกเป็นกระจกุ โดยจะออกตามซอกใบหรือท่ีปลายยอด ดอกเป็นสเี หลอื ง
สด มีริว้ ประดบั ลกั ษณะเป็นรูปหอกเรียงกนั เป็นวง มวี งนอกและวงใน เมื่อเวลาท่ดี อกบานจะมขี นาดเส้นผา่ น ข้อมลู ทางเภสชั วิทยาของดาวกระจาย
ศนู ย์กลางประมาณ 6-10 มลิ ลเิ มตร ดอกวงนอกเป็นหมนั กลบี ดอกมีลกั ษณะเป็นรูปรางนา้ สว่ นดอกวงในนนั ้
เป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ กลบี ดอกมีลกั ษณะเป็นรูปทอ่ ปลายมี 5 แฉก มีก้านดอกยาวประมาณ 1.8-8.5 ทงั ้ ต้นดาวเรืองพบวา่ มีสาร Alkaloid, Choline, Glycoside, Lavanol, Saponin, Tannin
เซนติเมตร
ก้านและใบดาวเรืองพบว่ามีสารที่ให้รสขมหรือ Bittera และยงั พบวา่ มนี า้ มนั ระเหยอีกเลก็ น้อย

สารสกดั ทีไ่ ด้จากต้นสดของดาวกระจายรวมกบั หนอนหม่อนแห้ง แล้วนาไปให้หนทู มี่ ีอาการปวดข้อหรือข้อ
อกั เสบ (ใช้ 10 กรัม ต่อนา้ หนกั ตัวหนู 1 กโิ ลกรมั ) กนิ ติดตอ่ กนั เป็นระยะเวลา 5 วนั พบว่าสารสกดั ดังกลา่ วมี
ฤทธ์ิในการยบั ยัง้ อาการปวดข้อและข้ออกั เสบได้ แตต่ ้องใช้ทงั ้ สองชนิดรวมกนั หากแยกใช้ตวั ใดตวั หนงึ่ จะไม่
เหน็ ผล

58.ดองดงึ คาแนะนา : ไมแ่ นะนาให้ประชาชนทว่ั ไปนามาใช้เองและต้องอยภู่ ายใต้การควบคมุ ของ
แพทย์ โดยการใช้หวั ดองดงึ มาปรุงเป็นยานนั ้ จะต้องใช้ในปริมาณน้อย ๆ และเจือจางกอ่ น
ชอ่ื สามญั Climbing lily, Turk's cap, Superb lily, Flame lily, Gloriosa lily การนามาใช้ หากใช้ในปริมาณทีม่ ากจนเกนิ ไปอาจจะทาให้เกดิ อนั ตรายได้

ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ Gloriosa superba L. จดั อย่ใู นวงศ์ดองดงึ (COLCHICACEAE) โทษของดองดงึ แม้สารโคลชซิ ีน (Colchicine) จะมีประโยชน์ แต่ก็ยงั มีผลเสยี ตอ่ การ
แบ่งตวั ของเซลล์ และยงั เป็นพิษตอ่ ทางเดินอาหาร เมือ่ ได้รบั สารชนดิ นีเ้ข้าไปในร่างกายใน
ลกั ษณะของต้นดองดึง จดั เป็นไม้เถาล้มลกุ มีความยาวได้ถึง 5 เมตร มีอายหุ ลายปี มีเหง้าหรือหัวอยใู่ ต้ดินเป็น ปริมาณมาก หรือประมาณ 3 มิลลกิ รัม อาการเป็นพษิ กจ็ ะแสดงออกมาหลงั จากนนั ้
ทรงกระบอกโค้ง มใี บเป็นใบเดย่ี วเรียงสลบั หรือเรียงเป็นวงรอบข้อ 1-3 ใบ ใบคล้ายรูปหอกยาวประมาณ 5-15 ประมาณ 2 ชว่ั โมง โดยจะมอี าการแสบร้อนในปากและลาคอ ทาให้คอแห้ง กระหายนา้
เซนติเมตร ปลายใบแหลมงอเป็นมือเกาะไม่มีก้าน สว่ นลกั ษณะของผลดองดึงจะเป็นรูปขอบขนาน ยาวประมาณ รู้สกึ เหมือนหายใจไม่ออก มอี าการเจบ็ ปวดตามตวั ระบบไหลเวยี นเลอื ดผิดปกติ คลน่ื หัวใจ
5-10 เซนตเิ มตร แตกตามรอยประสาน มีเมลด็ กลม ๆ สแี ดงส้มจานวนมาก ผิดปกติจนวดั ไมไ่ ด้ อาจจะมอี าการไตวายเฉียบพลนั ปากและผิวหนงั ชา กลนื ไมล่ ง มี
อาการชกั อจุ จาระร่วงอย่างแรง อจุ จาระมเี ลอื ดปน ปวดท้องปวดเบ่ง ถา่ ยจนไม่มีอจุ จาระ
ลกั ษณะของดอกดองดงึ จะเป็นดอกเดี่ยวออกตามซอกใบ ดอกด้านบนมีสแี ดง ด้านล่างมีสเี หลอื ง (หรือจะเป็นสี มีอาการคลน่ื ไส้ ปั่นป่ วนในท้องและอาเจยี นอยา่ งรุนแรง ทาให้ร่างกายเสยี นา้ มาก และอาจ
เหลอื งซีดอมเขยี วหรือเป็นสแี ดงทงั ้ ดอกกไ็ ด้) ดอกใหญ่ยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร ก้านดอกยาวประมาณ 5 สง่ ผลทาให้หมดสติได้ในท่ีสดุ
เซนตเิ มตร มีเกสรตวั ผู้ 6 อนั มีก้านยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร อับเรณจู ะยาวประมาณ 1 เซนตเิ มตร ส่วนเกสร
ตวั เมยี จะยาวประมาณ 0.3-0.7 เซนติเมตร แยกเป็น 3 แฉก ดองดงึ มสี ารสาคัญตา่ ง ๆ หลายชนดิ ไม่วา่ จะเป็น
Colchicine, Gloriosine, Superbine รวมไปถงึ สารอลั คาลอยด์อน่ื ๆ ด้วย โดยสารโคลชซิ ีน (Colchicine) นีก้ ม็ ี
สรรพคณุ ในการรักษาอาการปวดข้อได้เป็นอยา่ งดี และยงั มฤี ทธิ์ในการยบั ยงั ้ การแบ่งตวั ของเซลล์ ซง่ึ สามารถ
นาไปรักษาโรคมะเร็งได้ และสารชนิดนีย้ งั ทาให้เกดิ การเปลยี่ นแปลงของโครโมโซม ทีม่ ีการนาไปใช้ผสมพนั ธ์ุ
ให้กบั พชื เพื่อให้ได้สายพนั ธ์ใุ หม่

สรรพคุณของดองดงึ

ดองดงึ เป็นสมนุ ไพรที่สามารถใช้รักษาโรคมะเร็งได้

ชว่ ยลดเสมหะ แก้เสมหะ (ราก, หวั )

ใช้รับประทานแก้ลมพรรดกึ (ราก, หวั )

ชว่ ยแก้อาการจกุ เสยี ดแนน่ ท้อง ท้องอดื ท้องเฟอ้ ด้วยการใช้หวั ดองดงึ นามาต้มแล้วรบั ประทานแก้อาหาร (ราก,
หวั )

ช่วยขบั ลมในกระเพาะ ด้วยการใช้หวั แห้งนามาปรุงเป็นยารับประทาน (ราก, หวั แห้ง)

57.แสมสาร ผลแสมสาร ออกผลเป็นฝักแบน ฝักมักจะบดิ เปลอื กฝักค่อนข้างบาง ผวิ ฝักเรียบเกลยี ้ งไม่มขี น มีขนาด
กว้างประมาณ 2-4 เซนตเิ มตร และยาวประมาณ 15-22 เซนตเิ มตร ผลออ่ นเป็นสเี ขยี ว เมอื่ แก่ฝักมกั จะ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Senna garrettiana (Craib) H.S.Irwin & Barneby (ชอ่ื พ้องวทิ ยาศาสตร์ Cassia garrettiana Craib) จดั บิดและแตกออก และเป็นสนี า้ ตาล ภายในฝักมีเมลด็ ประมาณ 10-20 เมลด็ ลกั ษณะของเมลด็ เป็นรูปไข่
อย่ใู นวงศ์ถวั่ (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยใู่ นวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ มีขนาดกว้างประมาณ 5 มิลลเิ มตร และยาวประมาณ 9 มิลลเิ มตร โดยจะตดิ ฝักในช่วงเดอื นพฤษภาคม
ถงึ เดือนตลุ าคม และผลจะแก่ในช่วงเดอื นตลุ าคมถงึ เดือนธันวาคม
CAESALPINIACEAE)
สรรพคุณของแสมสำร
ลักษณะของแสมสำร
แกน่ มรี สขมเฝื่อน สรรพคณุ เป็นยาแก้โลหิต แก้ลม (แก่น)
ต้นแสมสาร จดั เป็นไม้ยนื ต้น ทมี่ ีความสงู ของต้นประมาณ 10 เมตร ลาต้นตงั ้ ตรง มีเนอื ้ ไม้แขง็ ก่ิงแขนงแตกเป็นเรือน
ยอดกลมทบึ เปลอื กลาต้นหนาเป็นสนี า้ ตาลแกเ่ กอื บดา ลาต้นขรุขระแตกเป็นร่องลกึ แตกเป็นสะเก็ดเหลยี่ ม ตามก่ิงออ่ น รากมีสรรพคุณเป็นยาฟอกโลหิต (ราก)[5] ชว่ ยบารุงโลหิต ดบั พษิ โลหิต (ไมร่ ะบุสว่ นทใี่ ช้)
เป็นเหลย่ี ม นยิ มขยายพนั ธ์ดุ ้วยวิธีการเพาะเมลด็ เพราะได้ผลดที ี่สดุ เจริญเติบโตได้ดีในดนิ ร่วนซุย ชอบแสงแดดจดั ใน
ประเทศไทยพบได้มาทางภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอื่น ๆ ยกเว้นภาคใต้ โดยมกั ขนึ ้ ในบริเวณป่ าโปร่ง ป่ าเบญจ ชว่ ยเจริญธาตไุ ฟ (ไมร่ ะบสุ ว่ นทีใ่ ช้)
พรรณ ป่ าเตง็ รัง ป่ าทีร่ าบตา่ ทวั่ ไป และป่ าผลดั ใบที่ระดบั ความสงู จากระดบั นา้ ทะเลไม่เกนิ 500 เมตร สว่ นใน
ตา่ งประเทศพบขนึ ้ กระจายในแถบเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ยอดใช้ต้มกบั นา้ ดื่มเป็นยาแก้โรคเบาหวาน (ยอด)

ใบแสมสาร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลบั มใี บย่อยประมาณ 6-9 คู่ ลกั ษณะของใบเป็นรูปไข่ รูปหอก หรือ ดอกใช้ต้มกบั นา้ ดื่มเป็นยาแก้นอนไมห่ ลบั (ดอก)
รูปหอกถงึ รูปไข่กว้าง ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนหรือกลม สว่ นขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-5 เซนติเมตร
และยาวประมาณ 5-9 เซนติเมตร หลงั ใบเรียบเป็นสเี ขยี วเข้มและเป็นมนั สว่ นท้องใบเรียบเป็นสอี อ่ นกวา่ มีเส้นแขนงใบ ประโยชน์ของแสมสำร
ข้างละประมาณ 10-15 เส้น ก้านใบย่อยยาวประมาณ 4-6 มิลลเิ มตร สว่ นหูใบเรียวเลก็ และหลดุ ร่วงได้ง่าย
ดอกออ่ นและใบออ่ นใช้รับประทานเป็นผกั ได้ แต่ต้องนามาต้มเพอ่ื ลดความขมลงกอ่ นจะนาไปแกง คล้าย
ดอกแสมสาร ออกดอกเป็นช่อใหญ่ โดยจะออกตามปลายกิ่งหรือออกตามมมุ ก้านใบ แต่ละชอ่ ดอกจะมีดอกยอ่ ยจานวน กบั แกงขเี ้หล็ก
มากเบยี ดกนั แน่นเป็นกระจกุ ช่อดอกมคี วามยาวประมาณ 9-20 เซนตเิ มตร มขี นนมุ่ อยทู่ ว่ั ไป ดอกย่อยเป็นสเี หลอื ง สี
เหลอื งเข้ม หรือสเี หลอื งทอง กลบี ดอกมี 5 กลบี ปลายกลบี ดอกมน โคนกลบี ดอกเรียว สว่ นกลบี เลยี ้ งดอกมีลกั ษณะเป็น เนือ้ ไม้แสมสารมีความทนทาน เหนียว เสยี ้ นตรง ไมห่ กั ง่าย และไม่แข็งมากจนเกนิ ไป ในสมัยก่อนนิยม
รูปกลม เป็นสเี ขียวออกเหลอื ง แต่ละดอกเม่อื บานเต็มท่ีจะมีขนาดกว้างประมาณ 1-3 เซนติเมตร นามาใช้ในการต่อเรือ แต่ในปัจจบุ นั นยิ มนามาใช้ทาเครื่องเรือน เครื่องมอื ช่าง ทาสลกั เขียง ฝักมดี ฯลฯ
หรือนามาใช้ทาเป็นถ่านไม้และฟื น ซงึ่ จะเป็นถ่านทีใ่ ห้ความร้อนสงู ถงึ 6,477 แคลอร่ี/กรัม ถ้าเป็นฟื นจะ
ให้ความร้อน 4,418 แคลอร่ี/กรมั (มีสถานภาพเป็นไม้หวงห้ามธรรมดาประเภท ก.)

ในปัจจบุ นั นิยมนาต้นแสมสารมาปลกู เป็นไม้ประดบั ไว้ตามข้างทางทว่ั ไป โดยเป็นไม้ขนาดค่อนข้างเลก็ มี
ทรงพมุ่ เป็นเรือดยอดสวยงาม เมอื่ ยามออกดอกจะมีดอกขาวโพลนหนาแนน่ และหากนามาปลกู ในพืน้ ที่
จากดั (ขนาดกว้างยาว 3*3 เมตร) กจ็ ะชว่ ยเพมิ่ ความสวยงามได้มากยง่ิ ขนึ ้

56.ทรงบำดำล ผลทรงบาดาล ออกผลเป็นฝักแบน เรียบ มีขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 7-
20 เซนตเิ มตร เมือ่ ฝักแกแ่ ล้วจะแตกออกตามตะเขบ็ ภายในฝักมเี มลด็ ประมาณ 15-25 เมลด็ ผิวของ
ชอื่ สามัญ Scrambled eggs, Kalamona เมลด็ เป็นมนั เงา มีขนาดกว้างประมาณ 4 มิลลเิ มตรและยาวประมาณ 8 มลิ ลเิ มตร

ทรงบาดาล ชื่อวิทยาศาสตร์ Senna surattensis (Burm.f.) H.S.Irwin & Barneby (ชือ่ พ้อง สรรพคุณของทรงบำดำล
วทิ ยาศาสตร์ Cassia surattensis Burm.f.) จัดอย่ใู นวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)
และอย่ใู นวงศ์ยอ่ ยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE) รากใช้รบั ประทานเป็นยาถอนพษิ ไข้ (ราก)

ลักษณะของทรงบำดำล รากมีรสขมเบ่ือ ใช้ต้มกบั นา้ ด่ืมเป็นยาถอนพษิ ผดิ สาแดงหรือไข้ซา้ (ราก)

ต้นทรงบาดาล เป็นพรรณไม้พืน้ เมืองดงั ้ เดมิ ของไทย โดยมถี ่นิ กาเนิดในเขตร้อนของทวปี เอเชีย ซง่ึ รวม รากนามาต้มกบั นา้ ด่ืมเป็นยาแก้สะอกึ หรือจะใช้รากร่วมกบั เถาสะอกึ และรากมะกลา่ เครือ เป็นยาแก้
ไปถงึ ประเทศไทยด้วย โดยจดั เป็นไม้พมุ่ กง่ึ ไม้ยืนต้นขนาดเลก็ ถงึ ขนาดกลางท่มี ีความสงู ได้ถงึ 7 เมตร อาการสะอกึ อนั เน่ืองมาจากกระเพาะอาหารขยายตวั (ราก)
ลาต้นแตกก่ิงก้านสาขามากเป็นเรือนยอด เปลอื กลาต้นเป็นสนี า้ ตาลปนสเี ทา แตกเป็นสะเก็ดเลก็ ๆ
พรรณไม้ชนิดนีเ้ป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ขนึ ้ ได้ดใี นดินทกุ ชนดิ ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวิธีการเพาะเมลด็ และ ประโยชน์ของทรงบำดำล
วธิ ีการตอนกง่ิ แต่วิธีท่นี ิยมและได้ผลดที ี่สดุ คือวธิ ีการเพาะเมลด็
ยอดอ่อนและใบอ่อนสามารถนามาใช้รับประทานเป็นผกั ได้
ใบทรงบาดาล ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกชนั ้ เดียว ออกเรียงสลบั กนั มใี บยอ่ ยประมาณ 5-10 คู่
ลกั ษณะของใบเป็นรูปรี ปลายใบมน โคนใบมน สว่ นขอบใบเรียบ ใบมขี นาดกว้างประมาณ 1-2 ในสมัยกอ่ นต้นทรงบาดาลได้รับความนิยมในการนามาปลกู ไว้ในบริเวณวดั อยพู่ อสมควร เพราะ
เซนติเมตรและยาวประมาณ 2.5-4 เซนตเิ มตร หลงั ใบเรียบ สว่ นท้องใบมีขนประปราย นอกจากจะปลกู เพอ่ื ความสวยงามแล้ว ดอกสเี หลอื งของทรงบาดาลยงั นาไปใช้ในการบชู าพระได้
อยา่ งเหมาะสมอีกด้วย
ดอกทรงบาดาล ออกดอกเป็นช่อตามศอกใบใกล้กบั ปลายยอด ในชอ่ ดอกมีดอกประมาณ 10-15 ดอก
มกี ้านดอกรวมยาวประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร สว่ นก้านดอกย่อยยาวประมาณ 1-2 เซนตเิ มตร ดอก ต้นทรงบาดาลเป็นไม้มงคลอีกชนิดหนึ่ง ทแ่ี ม้จะไม่มีอย่ใู นรายชื่อไม้มงคลที่ปลกู ในบริเวณบ้าน แต่กถ็ ือ
ย่อยเป็นสเี หลอื ง มีกลบี ดอก 5 กลบี ลกั ษณะของกลบี ดอกเป็นรูปไข่ มีขนาดประมาณ 4-5 มิลลเิ มตร เป็นไม้มงคลทใี่ ช้ในการประกอบพธิ ีก่อฤกษ์หรือวางศลิ าฤกษ์ในการก่อสร้างอาคารหรือถาวรวตั ถตุ ่าง
เม่อื ดอกบานจะมีขนาดกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร ดอกมีกลบี เลยี ้ ง 5 กลบี สเี ขียวอมเหลอื ง ดอกมี ๆ โดยจดั เป็น 1 ใน 9 ชนิดท่ีใช้เป็นเสาเข็มตอก รองรับแผ่นศิลาฤทธ์ิ และเป็นไม้มงคลลาดบั ที่ 6 อีกทงั ้
เกสรเพศผ้จู านวน 10 ก้าน เป็นหมนั 3 ก้าน โดยต้นทรงบาดาลมีดอกดก และสามารถออกดอกได้ ยงั มีเชือ่ วา่ ด้วยว่าจะทาให้เกิดความมนั่ คง มีเทวดาให้ความค้มุ ครอง และยงั ถอื ว่าจะชว่ ยบนั ดาลโชค
ตลอดทงั ้ ปี ลาภด้วย เพราะคาว่า "ทรงบาดาล" นนั ้ มีความหมายว่า ผ้เู ป็นใหญ่แหง่ นาคพิภพ เชือ่ ว่าการปลกู ต้น
ทรงบาดาลจะช่วยดลบนั ดาลให้เกดิ โชคลาภ ทาให้มฐี านะดขี นึ ้ แตบ่ างคนกก็ ลา่ ววา่ ทรงบาดาลหรือ
ทรงยนั ดาลนนั ้

55.จนั ผา (จนั ทร์ผา, จนั ทน์ผา, จนั ทน์แดง) ดอกจนั ผา ออกดอกเป็นชอ่ ขนาดใหญ่ทป่ี ลายยอด โค้งห้อยลง ออกดอกเป็นพวงใหญ่ตามซอกใบและปลาย
ยอด แตล่ ะช่อจะมีความยาวประมาณ 45-100 เซนติเมตร มดี อกย่อยขนาดเลก็ และมีจานวนมากมายหลาย
ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Dracaena cochinchinensis (Lour.) S.C.Chen. (ชอื่ พ้องวทิ ยาศาสตร์ พนั ดอก ดอกเป็นสขี าวนวล หรือขาวครีม หรือเขยี วอมเหลอื ง ดอกมีกลน่ิ หอม ตรงกลางดอกมจี ดุ สแี ดงสด
Dracaena loureiroi Gagnep. มกั เขยี นผดิ เป็น Dracaena loureiri Gagnep.) ปัจจบุ นั จดั อยู่ กลบี ดอกมี 6 กลบี ดอกมขี นาดประมาณ 0.7-1 เซนตเิ มตร มเี กสรตวั ผ้จู านวน 6 ก้าน ก้านเกสรมคี วามกว้าง
ในวงศ์หน่อไม้ฝรัง่ (ASPARAGACEAE) และอย่ใู นวงศ์ย่อย NOLINOIDEAE เทา่ กบั อบั เรณู ส่วนก้านเกสรตวั เมยี ปลายแยกเป็นพู 3 พู ชนั ้ กลบี เลยี ้ งเป็นหลอด ที่ปลายกลบี แยกเป็นพู
แคบ ๆ 6 พู ไมซ่ ้อนกนั โดยจะออกดอกในช่วงเดอื นกรกฎาคมถงึ เดือนสงิ หาคม
ลกั ษณะของจนั ผำ
ผลจนั ผา ออกผลเป็นช่อพวงโต ผลเป็นผลสด ลกั ษณะของผลเป็นรูปทรงกลมขนาดเลก็ อย่รู วมกนั เป็นพวง
ต้นจนั ผา จดั เป็นไม้พ่มุ ขนาดกลาง หรือเป็นไม้ต้นขนาดเลก็ ไม่ผลดั ใบ มคี วามสงู ของต้นประมาณ 1.5-4 ผลมีขนาดประมาณ 1 เซนตเิ มตร ผิวผลเรียบ ผลอ่อนเป็นสเี ขยี วอมสนี า้ ตาล สว่ นผลแกเ่ ป็นสแี ดงคลา้
เมตร (ต้นโตเต็มท่อี าจมีความสงู ถงึ 17 เมตร) เรือนยอดเป็นรูปทรงไข่ มีเรือนยอดได้ถงึ 100 ยอด เม่ือต้นโต ภายในผลมีเมลด็ เดยี ว โดยผลจะแก่ในช่วงเดอื นสงิ หาคมถงึ เดอื นกนั ยายน
ขนึ ้ จะแผ่กว้าง ลาต้นตงั ้ ตรง กลม มีแผลใบเป็นร่องขวางคล้ายข้อถี่ ๆ เปลอื กต้นเป็นสนี า้ ตาลหรือสนี า้ ตาลอม
สเี ทา แตกเป็นร่องตามยาว ไม่มกี งิ่ ก้าน ใบจะออกตามลาต้น ส่วนแกน่ ไม้ด้านในเป็นสแี ดง ต้นเม่ือมีอายมุ าก สรรพคณุ ของจันผำ
ขนึ ้ แก่นจะเปลยี่ นจากสขี าวเป็นสแี ดง เราจะเรียกแกน่ สแี ดงวา่ "จนั ทน์แดง" เมื่อแกน่ เป็นสแี ดงเตม็ ต้น ต้นก็จะ
คอ่ ย ๆ โทรมและตายลง พรรณไม้ชนดิ นีม้ ถี น่ิ กาเนดิ อย่ใู นประเทศไทย ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวธิ ีเพาะกล้าจากเมลด็ แก่นมรี สขมเย็น ช่วยบารุงหวั ใจ (แกน่ ทงั ้ ต้น)
หรือการแยกกอ ชอบดนิ ปนทรายหรือหินทม่ี กี ารระบายนา้ ดี ความชนื ้ ปานกลาง และชอบแสงแดดเตม็ วนั และ
แสงราไร มกั พบขนึ ้ ตามป่ าภูเขาหินปนู สงู ๆ และมีแสงแดดจดั แกน่ ท่ีมีเชอื ้ ราลงจนทาให้แกน่ เป็นสแี ดงและมีกลนิ่ หอมมสี แี ดง (เรียกว่า จนั ทน์แดง[4]) มรี สขมและฝาด
เลก็ น้อย ใช้สาหรบั เป็นยาเย็นดบั พษิ ไข้ แก้ไข้ได้ทกุ ชนิด และจากการทดลองในสตั ว์พบว่าสารสกัดด้วยนา้ มี
ใบจนั ผา ใบเป็นใบเด่ียวออกเรียงสลบั กนั ถี่ ๆ ท่ีปลายกิ่ง ลกั ษณะของใบเป็นรูปยาวรีขอบขนาน หรือเป็นรูป ฤทธ์ิในการลดไข้ แตต่ ้องใช้ในปริมาณมากกวา่ ยาแอสไพริน 10 เทา่ และจะออกฤทธ์ิช้ากวา่ ยาแอสไพริน
แถบยาวแคบ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแผเ่ ป็นกาบห้มุ ลาต้น สว่ นขอบใบเรียบ ใบมขี นาดกว้างประมาณ 4- ประมาณ 3 เท่า (แกน่ , แก่นทีร่ าลง) ช่วยแก้ไข้ แก้ไข้เพือ่ ดพี กิ าร (แกน่ , เนือ้ ไม้)
5 เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 45-80 เซนตเิ มตร เนือ้ ใบหนากรอบ โคนใบจะตดิ กบั ลาต้นหรือโอบคลมุ ลาต้น
ไมม่ ีก้านใบ และมกั จะทิง้ ใบเหลอื เพียงยอดเป็นพ่มุ ประโยชน์ของจันผำ

ต้นจนั ผาเป็นไม้ทมี่ ที รงพ่มุ สวยงาม อกี ทงั ้ ดอกยงั มกี ลน่ิ หอม จงึ ใช้ปลกู เป็นไม้ประธานในสวนหิน ใช้ปลกู เป็น
กลมุ่ หรือปลกู ประดบั ในอาคาร ตามสนามหญ้า สวนหย่อม ตามสระวา่ ยนา้ หรือจะปลกู ตามริมทะเลก็ได้
เพราะเป็นไม้ทนลมแรง ทนเค็ม แตไ่ ม่ทนนา้ ทว่ มขงั

สว่ นของลาต้นท่เี กิดบาดแผลนานเข้าจะเปลีย่ นเป็นสนี า้ ตาลแดง สามารถนามาใช้เป็นสว่ นประกอบในการ
ปรุงนา้ ยาอทุ ยั ได้

54.มะลิ ผลมะลิ ผลเป็นผลสด

ชือ่ สามัญ Arabian jasmine Seented star jusmine[6], Jusmine, Kampopot สรรพคุณของมะลิ

ชอื่ วิทยาศาสตร์ Jasminum sambac (L.) Aitonจดั อย่ใู นวงศ์มะลิ (OLEACEAE) ดอกมะลมิ ีรสหอมเยน็ มีสรรพคุณบารุงหวั ใจ ทาให้ชืน่ ใจ จติ ใจชมุ ชน่ื แก้อาการอ่อนเพลยี ชกู าลงั (ดอก)

ลักษณะของต้นมะลิ ชาวโอรังอสั ลี ในรัฐเประ ประเทศมาเลเซีย จะใช้รากนาไปต้มแล้วดื่มนา้ เป็นยาแก้เบาหวาน (ราก)

ต้นมะลิ มถี ิน่ กาเนิดดงั ้ เดิมอย่ใู นแถบประเทศเอเชีย เช่น อินเดีย คาบสมทุ รอาระเบยี [7] โดยจดั เป็นไม้พ่มุ ขนาดเลก็ หากมีอาการนอนไมห่ ลบั ให้ใช้รากแห้งประมาณ 1-1.5 กรัมนามาฝนกบั นา้ รับประทาน (ราก)
ถงึ ขนาดกลาง เป็นทรงพ่มุ มีใบแนน่ มคี วามสงู ประมาณ 5 ฟตุ แตกก่ิงก้านสาขาออกรอบ ๆ ลาต้น ขยายพนั ธ์ดุ ้วย
วธิ ีการปักชา (ในช่วงฤดูฝนเป็นวิธีการทีด่ ที ่ีสดุ ) และการตอนกิ่ง (เป็นวธิ ีทใี่ ช้ได้ผลดี) เจริญเติบโตได้ดใี นดนิ ร่วนซุย ดอกสดนามาตาให้ละเอยี ดใช้พอกขมบั จะช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้ (ดอก)[1] หรือจะใช้รากสดประมาณ 1-
และเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ท่ีชอบแสงแดดจดั การให้นา้ มากเกนิ ไปจะทาให้ออกดอกน้อยลง และการตดั แต่งใบ 1.5 กรมั นามาต้มกบั นา้ ดื่มเป็นยาแก้ปวดศีรษะกไ็ ด้ (ราก)
ภายหลงั การออกดอกชุดใหญ่จะทาให้การออกดอกดขี นึ ้ (ทงั ้ จานวนและขนาดของดอก)
ประโยชน์ของมะลิ
ใบมะลิ ใบออกเรียงตรงข้าม เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยใบเดยี ว ลกั ษณะของใบเป็นรูปไข่ รูปรี รูปขอบ
ขนาน หรือรูปมนปอ้ ม ปลายใบแหลม โคนใบมนสอบเข้าหากนั สว่ นขอบใบเรียบไม่มีหยกั ใบมีขนาดกว้างประมาณ ดอกมะลเิ ป็นดอกไม้ที่มีกลนิ่ หอมและยงั มีสขี าวบริสทุ ธิ์ คนไทยนยิ มยกย่องดอกมะลใิ ห้เป็นดอกไม้ของวนั แม่
3-5 เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบมนั เป็นสเี ขียวแก่ ทีท่ ้องใบเหน็ เส้นใบได้ชดั เจน เส้น แหง่ ชาตแิ ละดอกมะลลิ ายงั เป็นดอกไม้ประจาชาตขิ องประเทศฟิ ลปิ ปินสอ์ ีกด้วย[9]
ใบมีขนาดใหญ่ มปี ระมาณ 4-6 คู่ ก้านใบมีขนาดสนั ้ มากและมขี น
นยิ มเก็บดอกเพือ่ นามาร้อยเป็นพวงมาลยั หรือใช้ทาดอกไม้แห้ง ใช้ในอตุ สาหกรรมนา้ มนั หอมระเหย ใช้แต่งกลน่ิ
ดอกมะลิ ออกดอกตามซอกใบและปลายก่ิง ลกั ษณะของดอกมที งั ้ ดอกซ้อนและดอกไมซ่ ้อน ดอกซ้อนเราจะเรียกว่า ใบชา ใช้อบขนมต่าง ๆ
"มะลซิ ้อน" สว่ นดอกทีไ่ มซ่ ้อนจะเรียกวา่ "มะลลิ า" โดยทงั ้ สองชนิดจะเป็นดอกสขี าวและมีกลนิ่ หอม ซงึ่ ดอกมะลลิ า
จะมกี ลนิ่ หอมมากกวา่ ดอกมะลซิ ้อน[1] ขนาดของดอกเมอ่ื บานเต็มทีจ่ ะมีขนาดกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร ดอก ในทางสคุ นธบาบดั (Aromatherapy) หรือการบาบดั โดยการใช้กล่ินหอม จะใช้นา้ มนั หอมระเหยของดอกมะลิ
มะลลิ าปลายแยกเป็น 5-8 กลบี โคนกลบี ดอกเชือ่ มกนั เป็นหลอดยาวประมาณ 1.5 เซนตเิ มตร ดอกทอี่ ย่ตู รงกลาง ในการกระต้นุ ระบบประสาทสาหรับผ้ทู ี่มีภาวะอ่อนล้าทางจติ ใจ เฉื่อยชา ออ่ นเพลยี งว่ ง ชว่ ยปรับอารมณ์และ
จะบานก่อน แต่ละดอกมีกลบี เลยี ้ งเป็นหลอดสเี ขียวอมสเี หลอื งอ่อน สว่ นปลายแยกเป็นเส้น มีเกสรเพศผู้ 2 ก้านติด สภาพสมดลุ ของจติ ใจให้ดีขนึ ้ บรรเทาอาการปวดศีรษะ ความเครียด ความกลวั และช่วยบรรเทาอาการปวด
กบั กลบี ดอกในหลอดสขี าว และมกั ไม่ติดผล กล้ามเนือ้ (ดอก)

ใช้ปลกู เป็นไม้ประดบั ทวั่ ไป สามารถออกดอกได้ตลอดทงั ้ ปี สง่ กล่ินหอมตลอดทงั ้ วนั ยงิ่ ในช่วงท่ีมีอณุ หภมู ิต่าจะ
ย่งิ สง่ กลนิ่ แรง เป็นพนั ธ์ไุ ม้หอมท่ีปลกู ได้งา่ ย ปลกู ได้ดที งั ้ ในพืน้ ท่แี คบหรือในกระถาง เจริญเติบโตเร็ว ไม่ค่อยมี
โรคและแมลงมารบกวน และสามารถควบคมุ การออกดอกได้โดยการควบคมุ การให้นา้ และการใสป่ ๋ ยุ อยา่ ง
เหมาะสม

53. กวาวเครือแดง คำแนะนำและข้อควรระวงั

ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Butea superba Roxb. จดั อยใู่ นวงศ์ถว่ั (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอย่ใู นวงศ์ กวาวเครือเป็นสมนุ ไพรท่หี ายากและใกล้สญู พนั ธ์ุ จงึ ถูกขนึ ้ บญั ชเี ป็นสมนุ ไพรควบคมุ ประกาศของ
ย่อยถว่ั FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE) เช่นเดียวกบั กวาวเครือขาว กระทรวงสาธารณสขุ พ.ศ.2549 เพอ่ื จากดั การครอบครองในกรณีที่ขดุ จากป่ าและเพาะปลกู เอง เม่ือ
ขดุ แล้วต้องปลกู ทดแทน โดยผ้ปู ระกอบวิชาชพี แพทย์แผนไทยหรือหมอพนื ้ บ้าน (40-120 กโิ ลกรมั )
สมนุ ไพรกวาวเครือแดง เป็นสมนุ ไพรสาหรับเพศชายอย่างแท้จริง เพราะมีสรรพคุณในการบารุงร่างกาย เป็นยา หรือหน่วยงานศกึ ษาวิจยั ต่าง ๆ (80-240 กโิ ลกรัม) โรงงานอตุ สาหกรรม (400-1,200 กิโลกรัม) และ
อายวุ ฒั นะ และที่สาคญั ที่สดุ ยงั ช่วยเพ่มิ สมรรถภาพทางเพศ ชว่ ยเพม่ิ จานวนของอสจุ ิ มีฤทธิ์เพ่ิมความแขง็ ตวั ของ สาหรับเกษตรกรหรือประชาชนทว่ั ไป (20-60 กิโลกรัม) สามารถครอบครองสมนุ ไพรควบคมุ ดงั กลา่ วได้
อวยั วะเพศ เช่นเดียวกบั ยาไวอากรา ในปริมาณตามทร่ี ะบไุ ว้ในประกาศตาม พ.ร.บ. ค้มุ ครองและสง่ เสริมภูมปิ ัญญาการแพทย์แผนไทย
พ.ศ.2542 หากฝ่ าฝืนจะมโี ทษจาคกุ ไมเ่ กนิ 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บ. หรือทงั ้ จาทงั ้ ปรบั
สรรพคุณของกวำวเครือแดง ดงั นนั ้ การนาสมนุ ไพรกวาวเครือทุกชนดิ มาใช้จงึ ต้องคานงึ ถงึ กฎหมายด้วย และควรได้รับการแนะนา
จากแพทย์แผนไทย แม้ว่าปริมาณท่ีรับประทานจะปลอดภยั มากกวา่ ยาไวอากราก็ตาม
หวั กวาวเครือแดง มีรสเยน็ เบ่อื เมา ช่วยบารุงสขุ ภาพร่างกาย และใช้เป็นยาอายวุ ฒั นะ (หวั )
ผลข้ำงเคียงกวำวเครือแดง ตามตาราสมนุ ไพรไทยระบไุ ว้ว่า กวาวเครือชนิดหวั แดงนีม้ พี ิษมาก ปกติ
ชว่ ยทาให้เซลลต์ ่าง ๆ ในร่างกายมอี ายยุ นื ยาวขนึ ้ ชว่ ยทาให้ร่างกายและเนือ้ เยอื่ เสอ่ื มช้าลง แล้วจะไม่นยิ มนามาทาเป็นยาสมนุ ไพร เพราะการรบั ประทานในปริมาณมากเกินไปอาจจะทาให้เกดิ
อนั ตรายกบั ร่างกายได้ เชน่ อาจมอี าการมนึ เมา มีอาการคลน่ื ไส้อาเจยี น เป็นต้น
ผลช่วยเจริญธาตไุ ฟในร่างกาย (ผล) ช่วยบารุงผวิ พรรณ บารุงสขุ ภาพเนือ้ หนงั ให้ เต่งตงึ (หวั ) ชว่ ยทาให้หน้าอก
โต (หวั ) สมนุ ไพรกวาวเครือแดงมีพษิ เมามากกว่าสมนุ ไพรกวาวเครือขาว

ประโยชน์กวำวเครือแดง

มีการใช้กวาวเครือแดงเพอ่ื ทาเป็นยาคมุ กาเนดิ สาหรับสตั ว์

ใบกวาวเครือแดงมีขนาดใหญ่มาก จงึ สามารถนามาใช้หอ่ ข้าวแทนใบตองได้

มีการนาสมนุ ไพรกวาวเครือแดงมาทาเป็นแชมพู สตู รทาให้เส้นผมแขง็ แรง ปอ้ งกนั การหลดุ ร่วงของเส้นผม ป้องกนั
ผมหงอกก่อนวยั เน่ืองจากกวาวเครือแดงเป็นสมนุ ไพรทมี่ คี ณุ สมบัติชว่ ยบารุงหลอดเลอื ด ทาให้เลอื ดหมนุ เวียนได้ดี
จงึ สามารถนาสารอาหารไปหลอ่ เลยี ้ งรากผมได้ดี และเม่ือใช้ผสมกับสมนุ ไพรกวาวเครือขาวทมี่ ีสรรพคณุ ช่วยบารุง
เร่ืองหนงั ศีรษะทาให้มนี า้ หลอ่ เลยี ้ งแบบธรรมชาติ แถมยงั ช่วยลดอาการคนั หนงั ศีรษะและรงั แคอนั เกิดจากหนงั
ศีรษะแห้งได้อีกด้วย และเม่อื นามาใช้ทาเป็นแชมพกู ็จะย่ิงทาให้มีประสทิ ธิภาพเพ่ิมขนึ ้ เป็นเทา่ ตวั

ใบโคลงเคลง ใบ์เปนใบเดีย่ ว ออกเรียงตร์งขามกนั ์เปน์คู ๆ และสลบั ตง้ั ฉาก
ลกั ษณะของใบ์เปนรปู ใบหอก ปลายใบและโคนใบแหลม มขี นาดก์วางประมาณ
1.7-5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 4-14 เซนติเมตร แ์ผนใบ์คอน์ขางแขง็ ผวิ ใบมี
เล็ดเล็กแหลม ม์เี สนใบออกจากโคนใบไปจรดกนั ท่ีปลายใบประมาณ 3-5 ์เสน์สวน
์เสนใบ์ยอยเรียงแบบขนั้ บันไดและ์ไมมีหูใบ

ดอกโคลงเคลง ดอกออก์เปน์ชอท่ปี ลายยอด์ชอละประมาณ 3-5 ดอก ดอกเมอ่ื

บานจะมขี นาด์เสน์ผานศนู ์ยกลางประมาณ 4-5 เซนตเิ มตร ดอก์เปนส์ีมวงอมสี

ชมพู โดยทัว่ ไปดอกจะมีกลบี ดอก 5 กลบี หรือมกี ลีบ 4 กลบี หรือ 6 กลบี กม็ ์ี สวน

กลีบเลย้ี งดอกมี 5 กลบี ม์ีถวยรองดอกปกคลุม์ดวยเกล็ดแบนเรียบ ดอก์เปน์ชอ

52.โคลงเคลง แบบสมบรู ์ณเพศ ดอกมเี กสรเพศ์ผสู ีเหลอื ง 10์กานเรยี ง์เปนวง 2 วง และมีรยา์งค
ส์มี วง์โคงงอ์สวนรงั ์ไขอ์ย์ใู ตวงกลบี สามารถออกดอก์ไดตลอดทั้ง์ป แ์ตจะมีมาก

โคลงเคลง ชือ่ สามัญ Malabar gooseberry, Malabar melastome, Melastoma, Indian rhododendron, Singapore ใน์ชวงฤดูฝน

rhododendron , Straits rhododendron[1],[2],[3],[6] ผลโคลงเคลง ผลมลี กั ษณะค์ลายลกู์ขาง มขี นาดก์วางประมาณ 0.6 เซนตเิ มตรและ

โคลงเคลง ชอื่ วทิ ยาศาสต์ร Melastoma malabathricum L. (ช่ือ์พองวทิ ยาศาสต์ร Melastoma malabathricum subsp. ยาวประมาณ 0.8-1 เซนติเมตร และมีขนปกคลมุ เน้ือในผล์เปนสีแดงอมส์มี วง ผล

malabathricum) จัดอ์ยใู นว์งศโคลงเคลง (MELASTOMATACEAE)[1],[2],[3],[6] เมอื่ แ์กเปลอื กผลจะแ์หงแ์ลวแตกออกตามขวาง ผลมีความยาวประมาณ 0.5-1.2

สมุนไพรโคลงเคลง มชี ื่อ์ทองถ่นิ อนื่ ๆ์วา โคลงเคลงขน้ี ก โคลงเคลงขหี้ มา (ตราด), มายะ (ชอง-ตราด),์อา์อาหลวง (ภาคเหนือ), เบ์ร เซนติเมตร ภายในผลมเี มล็ดขนาดเลก็ จานวนมาก หรอื ผลมเี นอ้ื ์นมุ อ์ยหู ลายเมลด็

มะเหร มังเค์ร มงั ์เร สาเร สาเร (ภาค์ใต), ซซิ ะ์โพะ (กะเหร่ยี ง-กาญจนบุร)ี , ตาลา์เดาะ (กะเหรยี่ ง-แ์ม์ฮองสอน), กะดูดุ กาด์ูโดะ (มลายู-สรรพคณุ ของโคลงเคลง

์ปตตานี), เห์ม[4] ์เปน์ตน ดอก์เปนยาระงบั ประสาท (ดอก)[3],[6]

ลักษณะของโคลงเคลง ์ชวยบารุงธาตุใน์รางกาย (ราก)[5]

์ตนโคลงเคลง มถี ่นิ กาเนดิ ในประเทศไทย มาเลเซีย ออสเตรเลยี [6] โดยจัด์เปน์ไม์พุม มคี วามสงู ประมาณ 1-3 เมตร ลา์ตนและก์่งิ กาน ์ชวยบาร์งุ รางกาย (ราก)[5]
์เปนสีน้าตาลแดง กง่ิ ์เปนเหลยี่ ม ทกุ์สวนของลา์ตนมีขนละเอยี ดสนี ้าตาล์ออนปกคลมุ ขยายพนั์ธ์ดุ วยวธิ ีการ์ใชเมล็ดและวธิ ีการแยกกอ
กระจายพัน์ธ์ุดวยเมล็ด สามารถเกิดขึ้น์ไดเองตามธรรมชาติ โดยพนั์ธ์ไุ มในสกลุ น้ี ในเมอื งไทยมีอ์ยปู ระมาณ 10 ก์วาชนิด แ์ตสาหรบั ราก์ใชปรงุ ์เปนยาแ์กมะเรง็ (ราก)[4]

ชนิดนจ้ี ะพบขน้ึ ์ไดตามท์ลี่ ุม ในพน้ื ราบท์่ีชุมชืน้ ขอบ์ปาพรุ ตลอดจนถงึ บนภเู ขาสงู ท่ัวทุกภาคของประเทศไทย[1],[3],[4],[6] ราก์ใชปรงุ ์เปนยาดบั พษิ ์ไข (ราก)[3],[6]

ผลแคแสด มผี ล์เปน์ฝกค์ลายรปู เรอื สีดา ปลายผลแหลม ผลเม่ือแ์กจะ์เปนสนี ้าตาล
เม่อื ผลแ์กจะแตก์เปน์ดานเดยี ว ภายในผลมเี มล็ดจานวนมาก เมลด็ มีขนาดเลก็
แบน และม์ีปก โดยจะออกผลตลอดทง้ั์ป และจะออกผลมากใน์ชวงฤดูฝนคือ์ชวง
เดือนมถิ นุ ายนจนถึงเดือนกันยายน[1],[2]

สรรพคุณของแคแสด

51.แคแสด เปลือก์ใช์ตมกิน์เปนยาบารงุ ธาตุใน์รางกาย (เปลอื ก)[2],[4]
์ชวยแ์กบดิ (เปลอื ก)[1],[2],[4]

แคแสด ชือ่ สามญั Africom tulip tree, Fire bell, Fountain tree, Pichkari, Nandi flame, Syringe เปลอื ก์ใชพอกรกั ษาแผลเรอ้ื รัง (เปลือก[1],[2], ดอก[4])

ชอ่ื วิทยาศาสต์ร Spathodea campanulata P.Beauv. จดั อ์ยูในว์งศแคหา์งคาง (BIGNONIACEAE) ใบและดอก์ใชพอกแผล (ใบ, ดอก)[1],[4]

สมุนไพรแคแสด มีช่อื ์ทองถ่นิ อ่ืน ๆ์วา แคแดง (กรุงเทพ), ยามแดง ์เปน์ตน โดยแคแสดนนั้ ์เปนพืชพ้นื เมืองของแอฟรกิ าตอน์ใต เปลอื ก ใบ ดอก และผล ์ใชพอกรักษาโรคผวิ หนงั และแผลเรอื้ ร์ังตาง ๆ (เปลอื ก,

และในภายหลงั ์ไดแพ์รกระจายไปยงั ประเทศอนื่ ๆ ของโลกท่ีมอี ากาศ์คอน์ขา์งรอน[1],[2],[4],[5] ใบ, ดอก, ผล)[2],[4]

ลักษณะทัว่ ไปของแคแสด ประโยช์นของแคแสด

์ตนแคแสด หรือ์ตนแคแดง จัด์เปน์ไมยนื ์ตนผลดั ใบขนาดกลาง มีความสูงของ์ตนประมาณ 15-20 เมตร ลักษณะของ์ตน์เปนทรง ์ใชปลกู ์เปน์ไมประดบั หรือปลกู ์ให์รมเงา โดยจะนิยมปลกู ตามสวนสาธารณะ ปลูก
เรอื นยอด์พุมกลมและ์คอน์ขางทบึ เปลือก์ตน์เปนสนี า้ ตาล์เขมและมรี อยแตก์เปนรวงตามยาว ขยายพัน์ธ์ดุ วยวธิ ีการเพาะเมลด็ หรอื ตามสถานทร่ี าชการหรอื ตามรมิ ทางทวั่ ไป[1],[2],[3],[4]

์ใชห์นอ หากปลูกในที่แ์หงมากจะผลดั ใบ แ์ตจะ์ไมพ์รอมกันทั้ง์ตน และ์ถาหากตัดแ์ตงก่ิง์ใหแตก์เปน์พมุ กลม กจ็ ะ์ใหดอกท์พ่ี ุมกลม ดอกแคแสดสามารถนามา์ใชประกอบอาหาร์ไดเหมือนแค์บาน[3]
ตามรปู ของเรอื นยอดและดสู วยงามมาก[1],[2],[4]

ใบแคแสด ใบ์เปนใบผสมแบบขนนก มีใบ์ยอยประมาณ 4-7์ค์ู สวนปลาย์เปนใบเดยี ว ลกั ษณะของใบ์เปนรปู รี ปลายใบแหลม ขอบ
ใบเรยี บ ผิวใบจับแ์ลวสากระคายมอื [1],[2]

ดอกแคแสด ออกดอก์เปน์ชอตามปลายกิ่ง์ชอดอกตั้งตรง ม์กี าน์ชอดอกยาว แ์ตละ์ชอจะมดี อกจานวนมากและจะทยอยกนั บานครั้ง
ละ 2-6 ดอก มีขนาด์เสน์ผานศนู ์ยกลางประมาณ 6-9 เซนตเิ มตร กลบี ดอกติดกัน ลักษณะของกลบี ดอก์เปนรปู ระฆัง ค์ลายดอกทิว
ลิป ์เปนสแี สดหรือสีเลือดหมู ดอกแคแสดมีขนาดให์ญ กลบี ดอกหลดุ์รวง์ได์งาย โดยจะเริ่มออกดอกเมื่อมอี าย์ุไดประมาณ 4-8์ป
และจะออกดอกตลอดทั้ง์ป แ์ตจะออกดอกมากใน์ชวงฤดหู นาว ใน์ชวงระห์วางเดือนตลุ าคมไปจนถึงเดอื นกมุ ภาพัน์ธ์ปห์นา[1],[2]

50.เขม็ เศรษฐี สรรพคณุ ของเขม็ เศรษฐี

ชือ่ วิทยาศาสต์ร Ixora macrothyrsa (Teijsm. & Binn.) T.Moore (ชือ่ ์พองวิทยาศาสต์ร Pavetta macrothyrsa รากมรี สเยน็ หวาน ์ใช์เปนยาบารงุ ธาตไุ ฟ (ราก)[1]
Teijsm. & Binn.) จดั อ์ยใู นว์งศเขม็ (RUBIACEAE)
ราก์ใช์เปนยาแ์กโรคตา (ราก)[1]
สมุนไพรเข็มเศรษฐี มีช่ือเรียกอ่นื์วา เขม็ แดง[1]
์ใช์เปนยาแ์กเสมหะและกาเดา (ราก)[1]
ลกั ษณะของเข็มเศรษฐี
รากและดอก์ใช์เปนยาแ์กบิด (รากและดอก[1])
์ตนเขม็ เศรษฐี จดั ์เปนพรรณ์ไม์พุม มีความสงู ์ไดประมาณ 2-4 เมตร แตกกงิ่์กาน์เปน์พมุ เตี้ย ๆ เปลอื กลา์ตนเรียบ์เปนสี
น้าตาล์เขม[1] ์ใช์เปนยาแ์กบวม (ราก)[1]

ใบเข็มเศรษฐี ใบ์เปนใบเดยี่ ว ออกเรียงตร์งขามกนั ลกั ษณะของใบ์เปนรปู รีแกมขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน ประโยช์นของเขม็ เศรษฐี
์สวนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดก์วางประมาณ 6-9 เซนติเมตร และยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร หลังใบและ์ทองใบ
เรียบ มหี ูใบอ์ยรู ะห์วา์งกานใบ[1] ์ใชปลูก์เปน์ไมประดบั ท่วั ไป จดั์วา์เปน์ไมมงคลชนิดหน่งึ ตามความเช่อื โบราณถอื์วา
ดอกเขม็ ทีแ่ หลมเรียว เปรียบเสมอื นการม์ปี ญญาทเี่ ฉียบแหลม ดอกเขม็ จงึ ถกู ยก
ดอกเขม็ เศรษฐี ออกดอก์เปน์ชอ โดยจะออกท่ีปลายยอด ดอก์ยอย์เปนสแี ดง กลีบดอกมี 4 กลบี โคนกลบี ดอกเชื่อม ์ยอง์ให์เปนดอก์ไมประจาวันครู และมักถูกนาไป์ใชบูชาพระและประดบั แจกัน หรือ
ตดิ กัน์เปนหลอดยาวสแี ดง ปลายกลบี แหลม์สวนกลีบเลยี้ ง์เปนสแี ดง์เขม ปลายแยกออก์เปนแฉกแหลม 5 แฉก ดอกมี ์ใชในงานพิธกี รรม์ตาง ๆ
เกสรเพศ์ผูตดิ อ์ยรู ะห์วางกลบี ดอกมี 4 อนั [1]

ผลเขม็ เศรษฐี ลกั ษณะของผล์เปนรูปทรงกลม ผิวผลเรยี บ ผล์ออน์เปนสีเขยี ว เมือ่ สกุ แ์ลวจะเปล่ียน์เปนส์ีมวงดา ภายใน
ผลมีเมล็ด 1 เมลด็ [1]

49.ดอกแก้ว ดอกแก้ว ออกดอกเป็นช่อสนั ้ ๆ ตามซอกใบ ดอกยอ่ ยเป็นสขี าวและมีกลน่ิ หอมจดั กลบี ดอกมี 5 กลบี หลดุ ร่วงได้ง่าย
กลบี ดอกมีลกั ษณะเป็นรูปกลมรี ยาวประมาณ 2-2.5 เซนตเิ มตรและกว้างประมาณ 7-9 มิลลเิ มตร โคนกลบี ดอก
ชอ่ื สามญั Andaman satinwood, Chanese box tree, Cosmetic bark tree, Orange ติดกนั ดอกมีเกสรเพศผ้จู านวน 10 ก้าน สว่ นกลบี เลยี ้ งดอกมี 5 กลบี สามารถออกดอกได้ตลอดทงั ้ ปี

jasmine, Orange jessamine, Satin wood ผลแก้ว ลกั ษณะของผลเป็นกลมรีหรือเป็นรูปไข่ ปลายสอบเล็กน้อย ผลมขี นาดกว้างประมาณ 5-8 มลิ ลเิ มตรและยาว
ประมาณ 1 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสเี ขยี ว เมอ่ื สกุ เป็นสแี ดงอมส้ม ผิวผลมีตอ่ มนา้ มนั เหน็ ได้ชัดเจน ภายในผลมเี มลด็
ชื่อวิทยาศาสตร์ Murraya paniculata (L.) Jack (ช่อื พ้องวิทยาศาสตร์ Murraya exotica ประมาณ 1-2 เมลด็ เมล็ดมีลกั ษณะรีหรือเป็นรูปไข่ ปลายสอบ มีขนหนาและเหนียวห้มุ โดยรอบเมลด็ สขี าวข่นุ เมลด็ มี
L.) จดั อย่ใู นวงศ์ส้ม (RUTACEAE) ขนาดกว้างประมาณ 4-6 มลิ ลเิ มตรและยาวประมาณ 6-9 มลิ ลเิ มตร

สมนุ ไพรแก้ว มีชือ่ ท้องถนิ่ อืน่ ๆ วา่ จ๊าพริก (ลาปาง), แก้วลาย (สระบรุ ี), แก้วขีไ้ ก่ (ยะลา), สรรพคุณของต้นแก้ว
แก้วพริก ตะไหลแก้ว (ภาคเหนอื ), แก้วขาว (ภาคกลาง), กะมนู ิง (มลาย-ู ปัตตาน)ี , จ๋ิวหล่ี
เซียง (จีนกลาง) เป็นต้น ใบมรี สร้อนเผ็ดและขม ช่วยบารุงธาตใุ นร่างกาย (ใบ)

ลกั ษณะของต้นแก้ว ชว่ ยคลายการอุดตนั ของเส้นเลอื ด ทาให้การไหลเวียนของเลอื ดลมเป็นไปได้ดีขนึ ้ (ราก)

ต้นแก้ว เป็นพนั ธ์ไุ ม้ทม่ี ถี น่ิ กาเนดิ ในเอเชียใต้ เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ประเทศจีน และใน ชว่ ยแก้อาการวงิ เวยี นศรี ษะ (ดอก, ใบ) ช่วยแก้อาการไอ (ดอก, ใบ)
ออสเตรเลยี [7] ในประเทศไทยสามารถพบได้ท่วั ทกุ ภาคในป่ าดิบแล้งจากทร่ี าบสงู จนถงึ ที่
ระดบั ความสงู จากระดบั นา้ ทะเลประมาณ 400 เมตร[8] โดยจดั เป็นไม้พ่มุ กง่ึ ไม้ยืนต้นไม่ ประโยชน์แก้ว
ผลดั ใบขนาดเลก็ มคี วามสงู ของต้นประมาณ 5-10 เมตร ต้นแตกกิ่งก้านเป็นพมุ่ กลมแนน่
ทบึ เปลอื กลาต้นเป็นสเี ทาแตกเป็นร่อง ๆ เนือ้ ไม้สขี าวนวล เจริญเติบโตได้ดใี นดินร่วนที่ ก้านใบสามารถนามาใช้ทาความสะอาดฟันได้
ระบายนา้ ได้ดี ชอบแสงแดดเต็มวนั -ราไร และความชนื ้ ปานกลาง-ตา่ ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวธิ ีการ
เพาะเมลด็ และวิธีการตอน ผลสกุ สามารถนามาใช้รบั ประทานเป็นอาหารได้

ใบแก้ว ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายใบคี่ ออกเรียงสลบั มใี บย่อยประมาณ 5-9 ใบ ต้นแก้วเป็นไม้ประดบั ทีม่ ีทรงพ่มุ สวยงาม ตัดแตง่ เป็นพมุ่ ได้ง่าย เป็นไม้ที่มีความทนทานตอ่ สภาพแวดล้อมได้ดแี ละไม่
ลกั ษณะของใบเป็นรูปไข่ ปลายและโคนใบแหลม ขอบใบเป็นคลนื่ หรือหยกั มนเลก็ น้อย ใบ ต้องการการบารุงรักษามากนกั เพียงแต่รดนา้ เพยี งครัง้ คราวเท่านนั ้ จงึ นิยมนามาใช้ปลกู เป็นไม้ประดบั หรือไม้ประธาน
มขี นาดกว้างประมาณ 1-3 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2-7 เซนติเมตร แผน่ ใบคล้ายแผ่น ตามสวนหยอ่ ม ริมทะเล ฯลฯ โดยจะปลกู เป็นต้นเด่ียว ๆ หรือใช้ปลกู แบบเป็นกลมุ่ ๆ ก็ได้ หรือใช้ปลกู เป็นรวั ้ บงั สายตา
หนงั บาง ๆ หลงั ใบเป็นสเี ขียวเข้มเป็นมนั สว่ นท้องใบเรียบมีสอี อ่ นกวา่ ใบมตี อ่ มนา้ มนั เม่อื ใช้ปลกู เพ่ือให้ร่มเงากไ็ ด้ อกี ทงั ้ ยงั ออกดอกดก ดอกมีความสวยงามและมกี ลนิ่ หอม (การปลกู จากกิง่ ตอนจะเป็นไม้พ่มุ
ขยจี ้ ะมกี ลนิ่ ฉนุ คล้ายผวิ ส้มเป็นนา้ มนั ติดมือ แต่การปลกู ในทีร่ ่มใบจะเขียวเข้ม มีกิ่งยดื ยาว และให้ดอกน้อย)

48. กาหลง ดอกกาหลง ออกดอกเป็นชอ่ กระจะแบบสนั ้ ๆ โดยจะออกบริเวณปลายกงิ่ ประมาณช่อละ 2-3 ดอก ก้าน
ดอกยาวประมาณ 0.5-1.5 เซนติเมตร ดอกยอ่ ยเป็นสขี าว มีกลน่ิ หอมอ่อน ๆ โคนก้านดอกมีใบประดบั
ชอื่ สามญั Snowy orchid tree, Orchid tree ขนาดเลก็ ประมาณ 2-3 ใบ ลกั ษณะเป็นรูปสามเหลย่ี มเรียวแหลม สว่ นดอกมลี กั ษณะตูมเป็นรูปกระสวย
ยาวประมาณ 2.5-4 เซนตเิ มตร เม่อื ดอกบานเต็มทจ่ี ะมีขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลางประมาณ 5-8 เซนตเิ มตร
กาหลง ชื่อวิทยาศาสตร์ Bauhinia acuminata L. จดั อยใู่ นวงศ์ถวั่ (FABACEAE หรือ ดอกมีกลบี สขี าว 5 กลบี ขนาดไมเ่ ทา่ กนั มีลกั ษณะเป็นรูปวงรีหรือรูปไข่กลบั ปลายกลบี มน โคนสอบ
LEGUMINOSAE) และอย่ใู นวงศ์ยอ่ ยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ กว้างประมาณ 2 เซนติเมตรและยาวประมาณ 4-6 เซนตเิ มตร สว่ นกลบี เลยี ้ งเป็นสเี ขียวมกี ลบี 5 กลบี
ตดิ กนั คล้ายกาบ กว้างประมาณ 1-1.8 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2.5-4 เซนตเิ มตร ปลายกลบี มี
CAESALPINIACEAE) ลกั ษณะเรียวแหลมและแยกเป็นพเู ส้นสนั ้ ๆ 5 เส้น

ลักษณะของกำหลง ผลกาหลง ผลมีลกั ษณะเป็นฝักแบน มคี วามกว้างของฝักประมาณ 1-1.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 9-
15 เซนติเมตร ขอบฝักเป็นสนั หนา สว่ นปลายฝักและโคนฝักสอบแหลม ปลายฝักมีต่ิงแหลม ยาว
ต้นกาหลง เป็นพนั ธ์ไุ ม้ที่มถี ิ่นกาเนิดในป่ าเมืองร้อนของหลายประเทศตงั ้ แต่ไทย ลาว พม่า กมั พชู า ประมาณ 8 มิลลเิ มตร ขอบของฝักเป็นสนั หนา ฝักอ่อนเป็นสเี ขยี ว เม่ือแกแ่ ล้วจะเปลยี่ นเป็นสนี า้ ตาล
มาเลเซยี อินเดยี อินโดนเี ซยี ฟิ ลปิ ปินส์ ฯลฯ โดยจดั เป็นไม้พ่มุ ขนาดเลก็ มคี วามสงู ของต้นประมาณ และในแต่ละฝักจะมีเมลด็ อยปู่ ระมาณ 5-10 เมล็ด เมลด็ มขี นาดเลก็ และแบนหรือเป็นรูปขอบขนาน โดย
1-3 เมตร เปลอื กลาต้นเรียบเป็นสนี า้ ตาล ก่งิ อ่อนและยอดออ่ นมีขนสขี าวขนึ ้ ปกคลมุ สว่ นกิ่งแก่ผิว ฝักจะแก่ในชว่ งเดอื นกนั ยายนถงึ เดอื นธนั วาคม
คอ่ นข้างเกลยี ้ งและไมค่ อ่ ยมขี น ต้นกาหลงเป็นพนั ธ์ไุ ม้ทม่ี อี ตั ราการเจริญเตบิ โตปานกลาง
เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนทีร่ ะบายนา้ ได้ดี ชอบความชนื ้ ปานกลางและชอบแสงแดดแบบเต็มวนั สรรพคุณของกำหลง
ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวธิ ีการตอนและการเพาะเมลด็ หากปลกู จากเมลด็ จะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-4 ปีจงึ
จะออกดอกและติดฝัก ดอกมีรสสขุ มุ ชว่ ยลดความดนั โลหิต (ดอก) ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (ดอก)

ใบกาหลง ใบเป็นใบเดยี่ วออกเรียงสลบั ลกั ษณะของใบเป็นรูปรีกว้าง ปลายใบเว้าลกึ เข้ามาเกือบครึง่ ใบใช้รักษาแผลในจมกู (ใบ) ดอกชว่ ยแก้เลอื ดออกตามไรฟัน (ดอก)
ใบ ทาให้ปลายแฉกสองข้างแหลม แยกเป็น 2 พู โคนใบมนเว้าเป็นรูปหวั ใจ สว่ นขอบใบเรียบ ใบมี
ขนาดกว้างประมาณ 9-13 เซนติเมตรและยาวประมาณ 10-14 เซนติเมตร แผ่นใบเป็นสเี ขียวออ่ น มี ประโยชน์ของกำหลง
เส้นใบออกจากโคนใบประมาณ 9-10 เส้น ปลายเส้นกลางใบมีติ่งเลก็ แหลม เส้นใบสเี ขียวสด หลงั ใบ
เรียบเกลยี ้ ง ดอกสามารถใช้รับประทานได้ และชาวเขาจะนิยมใช้ยอดอ่อนมารับประทาน[6]

ต้นกาหลงนยิ มนามาใช้ปลกู เป็นไม้ประดบั กลางแจ้งในบริเวณอาคารบ้านเรือน และใช้ปลกู ตามท่ี
สาธารณะ อาจจะเป็นต้นแบบเด่ยี ว ๆ หรือใช้ปลกู เป็นกลมุ่ ๆ มดี อกสขี าวสวยงามและมกี ลนิ่ หอม
สามารถออกดอกได้ตลอดปี อีกทงั ้ รูปร่างของใบและทรงพ่มุ กง็ ดงาม สามารถจดั แตง่ ทรงพมุ่ ได้งา่ ย ปลกู
เลยี ้ งได้สบาย ไม่ต้องการป๋ ยุ มาก และขนึ ้ ได้ดใี นดินแทบทกุ ชนดิ เพราะสามารถจบั ป๋ ยุ จากอากาศได้เอง

47.ปีบทอง ดอกปีบทอง ออกดอกเป็นชอ่ สนั ้ ๆ หรือออกเป็นช่อกระจุกทว่ั ไปตามกิง่ ก้านและตามลาต้น ในหนง่ึ กระจุกจะมี
ดอกอยปู่ ระมาณ 3-10 ดอก และจะทยอยบานครงั ้ ละ 3-5 ดอก ดอกมกี ้านช่อดอกสนี า้ ตาลอมสแี ดงและมีขน
ชอ่ื สามัญ Tree jasmine ออ่ น ๆ ขนึ ้ อยปู่ ระราย ก้านช่อดอกยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร และยงั มีกลบี เลยี ้ งหรือกลบี รองดอกท่ีเป็นสี
นา้ ตาลอมสแี ดง ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร มรี อยผา่ เปิดด้านเดยี ว ด้านหน้าตามทางยาวติดกนั เป็นหลอด
ปีบทอง ชอื่ วิทยาศาสตร์ Mayodendron igneum (Kurz) Kurz (ชอ่ื พ้องวิทยาศาสตร์ หอ่ ห้มุ กลบี ดอก สว่ นกลบี ดอกจะเชอ่ื มติดกนั เป็นหลอดรูปทรงกระบอกโคนแคบ ตรงกลางค่อย ๆ โป่ งออก หรือ
Radermachera ignea (Kurz) Steenis) จดั อย่ใู นวงศ์แคหางค่าง (BIGNONIACEAE) เป็นรูปกรวยหรือเชอ่ื มตดิ กนั เป็นรูประฆงั ยาว

หมายเหตุ : ปีบทองที่กลา่ วถงึ ในบทความนี ้เป็นพรรณไม้คนละชนิดกนั กบั ต้นปีบทองทีม่ ชี อ่ื ผลปีบทอง ผลเป็นผลแห้ง ลกั ษณะของผลเป็นรูปฝักดาบยาวและห้อยลง หรือเป็นรูปทรงกระบอกยาวเรียวคล้าย
วิทยาศาสตร์ว่า Radermachera hainanensis Merr. กบั ฝักของถว่ั ฝักยาว ฝักมีขนาดกว้างประมาณ 0.5-0.7 เซนตเิ มตรและมคี วามยาวประมาณ 30-45 เซนตเิ มตร
ฝักเมื่อแก่จะบิดเวยี นเป็นเกลยี วเลก็ น้อย เมือ่ ฝักแห้งจะแตกได้เป็นพู 2 พู หรือ 2 ซกี ภายในฝักมแี กนทรงกระบอก
ลักษณะของปี บทอง เลก็ ๆ ยาวเรียวซงึ่ เป็นท่อี ย่ขู องเมลด็ เมอื่ ฝักแห้งจะแตกออกและเมลด็ จะปลวิ ไปตามลม เมลด็ เป็นเมลด็ แห้ง
แบน บาง และมีปีกเป็นเยื่อบาง ๆ สขี าว ยาวออกทางด้านข้าง ขอบปีกเสมอกบั ตวั เมลด็ และมขี นาดกว้าง
ต้นปีบทอง หรือ ต้นกาซะลองคา มีเขตการกระจายพนั ธ์กุ ว้างตงั ้ แตใ่ นประเทศจีนตอนใต้ พม่า ประมาณ 0.2-1.0 เซนตเิ มตร
ลาว และเวียดนาม สว่ นในประเทศไทยพบได้ตงั ้ แต่ทางภาคใต้ในแถบจงั หวดั สรุ าษฎร์ธานี
เพชรบรุ ี อทุ ยั ธานี ขนึ ้ ไปถงึ ทางภาคเหนือของประเทศ จดั เป็นไม้ยืนต้นเลก็ ถงึ ขนาดกลาง และ สรรพคุณของปี บทอง
เป็นไม้ผลดั ใบแต่จะผลดั ไม่พร้อมกนั มคี วามสงู ของต้นประมาณ 6-20 เมตร ต้นมเี รือนยอดเป็น
รูปใบหอกหรือไข่ ทรงพ่มุ แน่นทบึ กิ่งก้านแผอ่ อกเป็นชนั ้ ๆ ออกกว้าง ลาต้นใช้ผสมกบั สมนุ ไพรชนิดอ่นื (ลาต้นกาซะลองคา, ต้นขางปอย, ต้นขางนา้ ข้าว, ต้นขางนา้ นม, ต้นอวดเชือก)
ใช้ฝนกบั นา้ กินแก้ซาง (ลาต้น)
ใบปีบทอง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกแบบสามชนั ้ ยาวประมาณ 18-60 เซนตเิ มตรเรียงตรง
ข้ามกนั มใี บประกอบย่อยประมาณ 3-4 คู่ สว่ นใบยอ่ ยมีประมาณ 3-5 คู่ ลกั ษณะของใบเป็นรูป ลาต้นใช้แก้ซางในเดก็ ท่ีมกั จะมเี ม็ดขนึ ้ ในปากและลาคอ (ลาต้น)
ไขแ่ กมรูปหอก รูปขอบขนานแกมใบหอก หรือรูปวงรีแกมใบหอก ปลายใบแหลมบางครงั ้ ยาว
คล้ายหางหรือเป็นตง่ิ แหลม โคนใบแหลมสอบ หรือบางใบโคนในอาจเบีย้ วเลก็ น้อย สว่ นขอบใบ ชว่ ยแก้ลนิ ้ เป็นฝา้ (ลาต้น)
เรียบบิดเป็นคลน่ื ๆ เลก็ น้อย และมักมีตอ่ มอย่ทู ี่โคนด้านหลงั ของใบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-
6 เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 5-12 เซนติเมตร ช่วยรักษาอาการปวดฟัน (เปลอื กต้น)

ประโยชน์ของปี บทอง

ดอกนามารบั ประทานโดยการทอดหรือใช้ลวกเป็นผกั จิม้ กบั นา้ พริก[4],[6]

ดอกสามารถนามาใช้ทาสยี ้อมผ้าได้[4]

ต้นปีบทองเป็นไม้ต้นที่มที รงพ่มุ แน่นทบึ ดสู วยงาม ให้ความร่มร่ืนได้ดี ทรงพมุ่ ไม่สงู หรือใหญ่มากจนเกนิ ไป อีกทงั ้
ยงั มดี อกสวยและออกดอกได้ตลอดทงั ้ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชว่ งท่ีมีอากาศหนาว จะมีความสวยงามและออก
ดอกได้มากขนึ ้ จงึ นิยมนาใช้ปลกู เป็นไม้ประดบั ทวั่ ไปตามสวนสาธารณะ สถานที่ราชการ ริมถนน ริมสระนา้ หรือ
ตามอาคารบ้านเรือนตา่ ง ๆ

46.ปีบ (กาสะลอง) ดอกปีบ ลกั ษณะดอกเป็นชอ่ กระจกุ แยกแขนง มีความยาวประมาณ 10-25 เซนตเิ มตร ดอกยอ่ ยจะประกอบไป
ด้วยกลบี เลยี ้ งสเี ขยี ว ดอกมีกลนิ่ หอม มีความกว้างประมาณ 0.5 เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร
ชื่อสามญั Cork tree, Indian cork เชอื่ มกนั เป็นหลอดปากแตร แยกออกเป็น 5 แฉก 3 แฉกรูปขอบขนาน 2 แฉกลา่ งคอ่ นข้างแหลม มีเกสรตวั ผู้
จานวน 4 ก้าน สองค่จู ะยาวไม่เท่ากนั และมีเกสรตวั เมียจานวน 1 ก้าน อย่เู หนอื วงกลบี โดยดอกปีบจะออก
ปีบ ช่อื วิทยาศาสตร์ Millingtonia hortensis L.f. จดั อย่ใู นวงศ์แคหางคา่ ง (BIGNONIACEAE) ดอกในชว่ งเดอื นพฤศจกิ ายนถงึ เดอื นพฤษภาคม

ต้นปีบ มชี ่ือท้องถ่นิ อน่ื ๆ เชน่ เต็กตองโพ่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบรุ ี), กาซะลอง กาสะลอง กาดสะลอง ผลปีบ ลกั ษณะเป็นผลแห้งแตก ผลแบนยาว ขอบขนาน มีเนอื ้ และเมลด็ จานวนมาก เป็นแผ่นบางมีปีก
กาสะลองคา (ภาคเหนอื ), ปีบ ก้องกลางดง (ภาคกลาง) กางของ (ภาคอีสาน) เป็นต้น
สรรพคุณของปี บ
ลกั ษณะของปี บ
ดอกมีสรรพคณุ เป็นยาบารุงกาลงั (ดอก)
ต้นปีบ เป็นไม้ยนื ต้นขนาดเลก็ ถงึ ขนาดกลาง ลาต้นตรง มีความสงู ประมาณ 5-10 เมตร เปลอื กต้น
เป็นสเี ทาเข้มแตกเป็นร่องลกึ มชี ่องอากาศ รากเกิดเป็นหน่อ เจริญเป็นต้นใหม่ได้ ขยายพนั ธ์ดุ ้วย ชว่ ยบารุงโลหิต (ดอก)
วิธีการนาเมล็ดมาเพาะ หรือใช้ต้นออ่ นที่เกิดจากรากรอบ ๆ ของต้นแม่ นามาตดั เป็นท่อนสนั ้ ๆ แล้ว
นามาปักชาในกระบะกรวยที่ผสมด้วยขเี ้ถ้าแกลบก็ได้ ปีบเป็นพนั ธ์ไุ ม้พืน้ เมอื งของพม่าและไทยท่ีขนึ ้ รากช่วยบารุงปอด (ราก)
กระจดั กระจายอย่ทู ว่ั ไปตามป่ าเบญจพรรณและป่ าดิบแล้งทางภาคเหนือ ภาคตะวนั ตก และทาง
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ช่วยรักษาวณั โรค (ราก)

ใบปีบ ลกั ษณะของใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 3 ชนั ้ มีความกว้างประมาณ 13-20 เซนติเมตร ใช้เป็นยารักษาไซนสั อกั เสบ (ดอก)
และยาวประมาณ 16-26 เซนตเิ มตร ก้านใบยาว 3.5-6 เซนตเิ มตร ทีต่ วั ใบจะประกอบไปด้วย
แกนกลางยาวประมาณ 13-19 เซนติเมตร มีใบยอ่ ย 4-6 คู่ กว้างประมาณ 2.5-3 เซนตเิ มตรและ ประโยชน์ของปี บ
ยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร ลกั ษณะใบมีรูปร่างคล้ายรูปหอกแกมรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลม ฐาน
ใบเป็นรูปลม่ิ ขอบใบหยกั เป็นซหี่ ยาบ ๆ เนือ้ ใบเกลยี ้ งบางคล้ายกบั กระดาษ ดอกนามาตากแห้งแล้วผสมกบั ยาสบู มวนบหุ รี่ ใช้สบู ทาให้ชมุ่ คอ ทาให้ปากหอม และยงั มีกลน่ิ ควนั บหุ ร่ีท่ีหอมดี
อกี ด้วย

ดอกช่วยเพ่ิมการหลงั่ นา้ ดี (cholagogue) และเพมิ่ รสชาติ (ดอก)

ดอกปีบนามาตากแห้ง นามาชงใสน่ า้ ร้อนด่ืมเป็นชาก็ได้ โดยดอกปีบชงนีจ้ ะมกี ลน่ิ หอมละมนุ อ่อน ๆ มรี สชาติ
หวานแบบนมุ่ นวล ไม่ขม แถมยงั ดีตอ่ สขุ ภาพอกี ด้วย
สารสกัดจากใบทีส่ กดั ด้วยเอทานอลมฤี ทธ์ิในการยบั ยงั ้ การเจริญเติบโตของคะน้า (ใบ)

เนือ้ ไม้ของต้นปีบมีสขี าวออ่ น สามารถเลอื่ ยหรือไสกบเพอื่ ตกแต่งให้ขนึ ้ เงาได้ง่าย จงึ เหมาะแก่การนามาใช้ทา
เป็นเคร่ืองเรือน เครื่องตกแต่งภายในบ้านได้

45.ถวั่ แปบช้าง ผลถวั่ แปบช้าง ผลมีลกั ษณะเป็นฝักแบนนนู รูปรีหรือรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 7-9 เซนติเมตร และ
หนาประมาณ 3 เซนติเมตร ผิวฝักมขี นสนี า้ ตาลขนึ ้ ปกคลมุ ฝักออ่ นเป็นสเี ขียว เม่อื แกแ่ ล้วจะเปลยี่ นเป็น
ชอื่ สามญั Silky afgekia สนี า้ ตาลและแตกออกได้ตามแนวตะเข็บ ภายในฝักมเี มลด็ ประมาณ 2-3 เมลด็ ลกั ษณะของเมลด็ เป็น
รูปไข่มีลาย ก้านผลยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร
สมนุ ไพรถวั่ แปบช้าง มชี ่ือท้องถ่ินอน่ื ๆ ว่า กนั ภยั (สระบรุ ี), กนั ภยั ใบขน (กรุงเทพฯ), ปากเี ดดิ (มหาสารคาม) เป็นต้น[1]
หมายเหตุ : ถว่ั แปบช้างจะมลี กั ษณะของช่อดอกที่คล้ายคลงึ กบั พืชอีกชนดิ หน่ึงในวงศ์เดยี วกนั คือ
ลกั ษณะของถ่วั แปบช้ำง กนั ภยั มหิดล (ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Afgekia mahidolae B.L. Burtt & Chermsir.) ซง่ึ เป็นพนั ธ์ไุ ม้หายาก แต่
จะมีความแตกตา่ งกนั ตรงท่ดี อกของถว่ั แปบช้างจะมีใบประดบั เป็นสชี มพเู รียงกนั แน่น สว่ นดอกของ
ต้นถวั่ แปบช้าง จดั เป็นไม้เถาเลอื ้ ยพาดพนั กบั ต้นไม้อ่นื เป็นพ่มุ แน่น ทอดเลอื ้ ยยาวได้ถงึ 15 เมตร เถาเป็นสนี า้ ตาลมี กนั ภัยมหิดลจะมีใบประดบั เป็นสมี ว่ ง
ลกั ษณะกลมเรียบ ทกุ สว่ นของต้นมขี นสขี าวนมุ่ ขนึ ้ ปกคลมุ ขยายพนั ธ์โุ ดยใช้เมลด็ เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยและปน
ทราย ชอบความชนื ้ ปานกลาง แสงแดดจดั หรือกลางแจ้ง มีถน่ิ กาเนิดในประเทศไทย พบได้ทวั่ ทกุ ภาคของประเทศ โดย สรรพคุณของถ่วั แปบช้ำง
พบขนึ ้ กระจายหา่ ง ๆ ทางภาคกลางท่ีจงั หวดั สระบรุ ี และทางภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือทีจ่ งั หวดั นครราชสีมา ชยั ภูมิ
ปราจนี บุรี และบรุ ีรัมย์ แตจ่ ะไมพ่ บบนภูเขาสงู ท่ีมอี ากาศหนาวเย็นจดั โดยมักจะขนึ ้ ทว่ั ไปตามป่ าเต็งรังและตามป่ าดิบ เมลด็ ใช้กนิ เป็นยาบารุงไขมนั และเส้นเอน็ เหมาะสาหรับคนผอม (เมลด็ )
แล้ง ทร่ี ะดบั ความสงู จนถงึ ประมาณ 300 เมตร
ตารายาพนื ้ บ้านจะใช้รากถ่ัวแปบช้างผสมกบั เปลอื กต้นมะกอกเหลยี่ ม เปลอื กต้นหนามหนั และเปลอื ก
ใบถว่ั แปบช้าง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายค่ี ออกเรียงสลบั ตรงข้าม มใี บยอ่ ยประมาณ 13, 15 หรือ 17 ใบ ต้นยางนา นามาต้มกบั นา้ ดื่มเป็นยารักษาโรคอีสกุ อใี สและซาง (โรคของเดก็ ท่มี กั มอี าการเบ่ืออาหาร ซมึ
แกนกลางเป็นร่องด้านบน เป็นครีบคล้ายปีกชดั เจนชว่ งปลายก้าน ยาวประมาณ 15-23 เซนติเมตร ก้านใบประกอบยาว มีเมด็ ขนึ ้ ในปากและคอ ลนิ ้ เป็นฝา้ ) (ราก)
ประมาณ 2-5 เซนตเิ มตร โคนโป่ งพอง ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร สว่ นก้านใบยอ่ ยยาวประมาณ 2-4 มลิ ลเิ มตร
ลกั ษณะของใบยอ่ ยเป็นรูปรีหรือรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ปลายใบแหลมหรือมนมตี ่ิงแหลม โคนใบกลมหรือมนเบีย้ ว ประโยชน์ของถ่วั แปบช้ำง
เลก็ น้อย ส่วนขอบใบเรียบ ใบมขี นาดยาวประมาณ 4-8 เซนตเิ มตร
นิยมนามาปลกู เป็นไม้ประดบั ทว่ั ไปตามบ้านเรือนและตามสวนทวั่ ไป ช่อดอกมคี วามสวยงาม และมี
ดอกถวั่ แปบช้าง ออกดอกเป็นช่อท่ีปลายกงิ่ มีใบประดบั สชี มพเู รียงกนั แนน่ ท่ีปลายช่อ ใบประดบั มขี นนนุ่ ดอกย่อยเป็นสี ลกั ษณะพเิ ศษ คือ ไมต่ ายง่ายและไม่พกั ตวั เหมือนพืชเถาชนิดอ่ืน ๆ ถ้าปลกู ในดินท่ีดีแล้วจะออกดอกดก
ชมพู ลกั ษณะเป็นรูปดอกถวั่ กลบี ดอกมี 5 กลบี ขนาดไมเ่ ทา่ กนั ด้านนอกมขี นสขี าว สว่ นกลบี เลยี ้ งมี 5 กลบี ท่โี คนกลบี มาก (หากปลกู เพยี งต้นเดยี วจะไมส่ ามารถติดฝักได้ เนื่องจากไม่ผสมตวั เอง)
เลยี ้ งเช่อื มติดกนั เป็นรูปถ้วย สชี มพู ดอกมเี กสรเพศผู้ 10 อนั ก้านเกสรเชอื่ มติดกนั เมอ่ื ดอกบานจะมขี นาดกว้าง
ประมาณ 3-3.5 เซนติเมตร โดยดอกจะทยอยบานจากโคนช่อไปสปู่ ลายชอ่ ออกดอกในชว่ งฤดฝู น (ช่วงประมาณเดือน ในด้านของความเชือ่ ถวั่ แปบช้างถอื เป็นไม้มงคลที่มีอทิ ธิฤทธิ์สมช่ือวา่ "กนั ภัย"
มิถนุ ายนถงึ เดอื นตลุ าคม)

44.กากหมากตาฤาษี (ขนนุ ดิน) สว่ นช่อดอกเพศเมยี จะเป็นสนี า้ ตาลอมแดง ลกั ษณะค่อนข้างกลมหรือรี มขี นาดประมาณ 2-10
เซนติเมตร ดอกเลก็ ละเอียดจานวนมากอย่ชู ิดกนั แนน่ ออกดอกในชว่ งประมาณเดอื นกนั ยายนถงึ
ช่ือวิทยาศาสตร์ Balanophora fungosa J.R.Forst. & G.Forst. จดั อย่ใู นวงศ์ขนนุ ดนิ เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ พบออกดอกนอกฤดกู าลบ้าง แตก่ ไ็ ม่บ่อยนกั
(BALANOPHORACEAE)
สรรพคุณของกำกหมำกตำฤำษี
ลกั ษณะของกำกหมำกตำฤำษี
ทงั ้ ต้นกากหมากตาฤาษี มรี สฝาด แพทย์ตามชนบทจะเอาผลตากแห้ง นามาฝนกบั นา้ ฝนบนฝาละมี
ต้นกากหมากตาฤาษี จดั เป็นพืชเบียน เกาะอาศยั แย่งอาหารจากรากพืชชนิดอ่นื มีความสงู ได้ประมาณ หม้อดิน ใช้เป็นยาแก้หเู ป็นนา้ หนวก แก้แผลเนา่ เรือ้ รังเป็นอย่างดี (ต้น)
10-25 เซนตเิ มตร ลาต้นอย่รู วมกนั เป็นก้อนขนาดใหญ่อยใู่ ต้ดนิ โดยลาต้นจะมีอยหู่ ลายสี เช่น สนี า้ ตาล สี
แดง สแี ดงปนนา้ ตาล สเี หลอื ง หรือสเี หลอื งปนส้ม[1] มีเขตการกระจายพนั ธ์ใุ นอนิ เดีย จีนตอนใต้ พม่า ชาวบ้านในแถบตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนลา่ ง จะนาหวั ของกากหมากตาฤาษี ไปผสมกบั สมนุ ไพรอ่ืน
ภมู ิภาคอนิ โดจีน มาเลเซยี และทวปี ออสเตรเลยี สว่ นในประเทศไทยพบได้ทว่ั ทกุ ภาคของประเทศ โดยพบ ๆ ทาเป็นยาแก้หอบหืดมานมนาน ซง่ึ ว่านบั เป็นภมู ิปัญญาท้องถ่นิ ทีน่ า่ ทงึ่ เพราะมีรายงานทางด้าน
ขนึ ้ ในป่ าดบิ ชนื ้ ทวั่ ไป บนเขาสงู ที่ความสงู 500-2,000 เมตร จากระดบั นา้ ทะเล โดยมกั เกาะเบยี นพืชใน การแพทย์ว่า ลาต้นทมี่ ีลกั ษณะเป็นหวั ท่ีฝังอย่ใู ต้ดนิ นามาสกดั ได้สารโคนเิ ฟอริน (coniferin)
วงศ์ LEGUMINOSAE และพชื ในวงศ์ VITACEAE หรือ VITIDACEAE สามารถใช้ทายาแก้โรคหอบหืดได้ (ต้น)

ใบกากหมากตาฤาษี ใบเป็นใบเดี่ยว เรียบเวยี นรอบลาต้น ใบมขี นาดเลก็ มีประมาณ 10-20 ใบ ใบเป็นสี
เหลอื งอมส้ม สเี หลอื งอมแดง หรือสนี า้ ตาล ปลายใบแหลม มีขนาดกว้างมากท่ีสดุ ประมาณ 2 เซนติเมตร
และยาวประมาณ 3 เซนตเิ มตร

ดอกกากหมากตาฤาษี ออกดอกเป็นชอ่ ดอกเป็นสแี ดงอมนา้ ตาล มกี ลน่ิ หอมเอยี น ดอกเป็นแบบแยกเพศ
อยคู่ นละต้น ชอ่ แกจ่ ะชูก้านขนึ ้ พ้นผิวดินเป็นกลมุ่ หรือเป็นกระจกุ กลมุ่ หนง่ึ อาจมดี อกถงึ 10 ดอก โดยชอ่
ดอกเพศผ้มู ลี กั ษณะเป็นรูปไข่แกมรี มขี นาดกว้างประมาณ 2-6 เซนตเิ มตร และยาวประมาณ 4-15
เซนติเมตร สว่ นก้านดอกยาวประมาณ 0.7-1 เซนตเิ มตร กาบรองดอกเป็นรูปเหล่ยี มหรือมน ยาวประมาณ
5 มิลลเิ มตร ดอกมีจานวนมาก กลบี ดอกมีประมาณ 4-5 กลบี สเี หลอื งอมเขยี วออ่ น

43.กหุ ลำบมอญ ดอกกหุ ลาบมอญ หรือ ดอกย่ีสนุ่ ออกดอกเป็นช่อแบบกระจะหรือชอ่ แบบกระจุกแตกแขนง มีประมาณ 3-10 ดอก
หรืออาจมีมากกวา่ นี ้โดยจะออกดอกบริเวณปลายยอด ดอกยอ่ ยเป็นสีชมพแู ละมกี ลนิ่ หอม มขี นาดเส้นผา่ นศนู ย์กลาง
ชอื่ สามัญ Damask rose, Pink damask rose, Summer damask rose, Rose กว้างถึง 8 เซนตเิ มตร กลบี ดอกมีลกั ษณะค่อนข้างกลมเรียงซ้อนกนั เป็นชนั ้ ๆ ปลายกลบี ดอกมน หรือเป็นหยกั ตนื ้ ๆ
หรือเป็นคลน่ื กลบี ดอกโดยปกติแล้วจะมีประมาณ 20-30 กลบี ถ้ากลบี ไม่ปกตจิ ะมีประมาณ 5-10 กลบี ต่อดอก กลบี
กหุ ลาบมอญ ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Rosa × damascena Mill. จดั อย่ใู นวงศ์กหุ ลาบ (ROSACEAE) ดอกมีตงั ้ แต่สแี ดงจนถงึ สขี าว แตส่ ว่ นใหญ่จะเป็นสชี มพกู หุ ลาบถงึ แดง ดอกมเี กสรเพศผ้จู านวนมาก มีประมาณ 100-
120 ก้าน สว่ นเกสรเพศเมยี กม็ ีจานวนมากเชน่ กนั ก้านเกสรมีขน สว่ นกลบี เลยี ้ งดอกเป็นสเี ขยี ว มีลกั ษณะเป็นรูป
สมนุ ไพรกหุ ลาบมอญ มีชื่อเรียกตามท้องถน่ิ อ่ืน ๆ วา่ ย่ีสนุ่ (ภาคกลาง), กุหลาบออน (เงยี ้ ว- สามเหลยี่ ม เป็นตงิ่ แหลมกว้าง ม้วนโค้งตอนดอกบาน และจะร่วงในเวลาต่อมา มตี ่อม สว่ นฐานรองดอกมีลกั ษณะ
แมฮ่ อ่ งสอน) เป็นต้น เป็นรูปถ้วย ด้านนอกมตี อ่ มขนอย่เู ป็นจานวนมากและด้านในมีขน สว่ นก้านชอ่ ดอกยาวได้ถงึ 7 เซนตเิ มตรและมี
หนามเลก็ ๆ
ลกั ษณะของกุหลำบมอญ
ผลกหุ ลาบมอญ ลกั ษณะของผลเป็นรูปทรงกลม บ้างว่ารูปไข่ ยาวได้ถงึ 2.5 เซนตเิ มตร ผลเป็นผลสดและเป็นผลกลมุ่
ต้นกหุ ลาบมอญ หรือ ต้นยสี่ นุ่ เป็นกหุ ลาบพนั ธ์พุ ืน้ เมอื งของหงสาวดี (เมอื งของชาวมอญใน ผลเป็นสแี ดงออ่ นถงึ เข้ม ในผลมเี มลด็ สอี อกนา้ ตาลประมาณ 1-3 เมลด็ ลกั ษณะของเมลด็ เป็นรูปสามเหลย่ี มกลม
อดีต) โดยเป็นดอกไม้ท่ที รงโปรดของสมเดจ็ พระนเรศวร พระองค์ทรงนากลบั มาปลกู หลงั จาก ยาวประมาณ 0.3-0.5 เซนตเิ มตร
เสร็จสงครามท่เี มืองมอญ โดยจัดเป็นไม้พ่มุ ลาต้นตงั ้ ตรง มคี วามสงู ของต้นประมาณ 1-2 เมตร
แตกกิง่ ก้านตงั ้ แต่โคนต้น เปลอื กต้นเรียบ มีหนามแหลมตามกิ่งและตามลาต้น ปกติมหี นาม สรรพคุณของกุหลำบมอญ
มากและมีความยาวไมเ่ ท่ากนั มีลกั ษณะตรงถงึ โค้งเล็กน้อย หนามอ่อนเป็นสนี า้ ตาลแกมสแี ดง
สว่ นหนามแก่เป็นสเี ทา ต้นกหุ ลาบมอญเป็นไม้ดอกกลางแจ้ง ตารายาไทยใช้กลบี ดอกมีรสสขุ ม ใช้เข้ายาหอมเป็นยาบารุงหวั ใจ (กลบี ดอก, ดอกแห้ง)

ใบกหุ ลาบมอญ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ปลายใบค่ี ออกเรียงสลบั กนั มใี บยอ่ ยประมาณ ดอกแห้งชว่ ยแก้อาการออ่ นเพลยี (ดอกแห้ง)
3-5 ใบ ลกั ษณะของใบยอ่ ยเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน ส่วนขอบใบเป็นจกั แบบฟัน
เลอ่ื ยตลอดทงั ้ ขอบใบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตรและยาวประมาณ 3-6 นา้ ดอกไม้เทศท่ีมสี ว่ นผสมของกหุ ลาบมอญ ช่วยแก้อาการออ่ นเพลยี และกระวนกระวาย
เซนติเมตร แผน่ ใบด้านลา่ งมีขนไม่มีต่อม หใู บสว่ นใหญ่ขอบเรียบ ปลายย่ืนยาว สว่ นก้านใบมี
ขนสนี า้ ตาลแดง กลบี ดอกช่วยขบั นา้ ดี (กลบี ดอก)

ประโยชน์ของกุหลำบมอญ

ท่เี ห็นกนั อย่ทู ว่ั ไปก็คือ การนาดอกมาใช้ในการร้อยพวงมาลยั ใช้ในการร้อยพวงอบุ ะดอกไม้ในงานมงคลหรือในงาน
พธิ ีต่าง ๆ โดยนากลบี มาร้อยเป็นพวง

กลบี ดอกสามารถนามาชบุ แปง้ ทอด ใช้รบั ประทานเป็นผกั ร่วมกบั นา้ พริกได้ หรือใช้ทาเป็น “ยาดอกกหุ ลาบ”

สาหรับการใช้ในงานด้านอาหาร เชน่ การนามาแต่งหน้าขนมตะโก้ หรือนามาใช้โรยบนทอ่ นอ้อยควนั่ เพม่ิ ความ
สวยงามให้กบั อาหารให้ดนู ่ารับประทานยิ่งขนึ ้

42.กะเมง็ ตวั ผู้ สรรพคุณของกะเมง็ ตวั ผู้

ชอื่ สามญั Chinese wedelia ใบกะเม็งตวั ผ้ใู ช้เป็นยาบารุง (ใบ)

ช่อื วิทยาศาสตร์ Sphagneticola calendulacea (L.) Pruski (ชอ่ื พ้องวิทยาศาสตร์ Wedelia chinensis ชว่ ยบารุงโลหติ ด้วยการใช้ทงั ้ ต้นสดหรือแห้งนามาต้มหรือทาเป็นผงใช้กิน (ทงั ้ ต้น)
(Osbeck) Merr.) จัดอยใู่ นวงศ์ทานตะวนั (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) เชน่ เดยี วกบั
กะเมง็ ตวั เมีย ชว่ ยแก้อาการปวดศีรษะ (ใบ)

สมนุ ไพรกะเม็งตวั ผู้ มีชื่อท้องถ่ินอน่ื ๆ วา่ ฮอ่ มเกี่ยวคา (เชยี งใหม)่ , กะเม็งดอกเหลอื ง (คนไทย), องึ ้ ใบกะเมง็ ตวั ผ้ชู ่วยแก้อาการไอ (ใบ) หรือจะใช้ทงั ้ ต้นสดหรือแห้งนามาต้มหรือทาเป็นผงใช้
ปัว้ กเี ชา (จนี ) กินก็ได้ (ทงั ้ ต้น)

ลกั ษณะของกะเม็งตวั ผู้ ชว่ ยแก้อาการอาเจียนเป็นเลอื ด โดยนาลาต้นมาตากแห้งใช้ชงเป็นยาด่ืม หรือจะใช้ทงั ้ ต้น
สดหรือแห้งนามาต้มหรือทาเป็นผงใช้กนิ กไ็ ด้ (ลาต้น, ทงั ้ ต้น)
ต้นกะเม็งตวั ผู้ จดั เป็นไม้ล้มลกุ มลี าต้นเลอื ้ ยและชขู นึ ้ ลาต้นมีความสงู ประมาณ 4-20 นิว้ เป็นพรรณ
ไม้ท่ีสามารถเจริญเตบิ โตได้ดีในดินท่ีชนื ้ แฉะ และขยายพนั ธ์ดุ ้วยวิธีการเพาะเมลด็

ใบกะเม็งตวั ผู้ ลกั ษณะของใบเป็นรูปหอกแกมรูปขอบขนาน โคนใบสอบแคบ สว่ นปลายใบเรียวแหลม
หลงั ใบและท้องใบมีขนขนึ ้ ประปราย สว่ นขอบใบเป็นหยกั ตนื ้ ๆ ใบมีความยาวประมาณ 0.5-3 นิว้ และ
กว้างประมาณ 0.5-1 นิว้ มีก้านใบสนั ้

ดอกกะเมง็ ตวั ผู้ ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวท่ีบริเวณยอด ลกั ษณะของดอกมขี นาดเลก็ เมอื่ บานเต็มทจี่ ะมี
ขนาดเส้นผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 2 เซนตเิ มตร กลบี ดอกวงนอกมีลกั ษณะเป็นรูปรางนา้ ปลายกลีบ
ดอกเป็นหยกั 3 หยกั โดยกลบี ดอกมีความยาวประมาณ 8-11 มิลลเิ มตร สว่ นกลบี ดอกวงในลกั ษณะ
เป็นรูปทอ่ ที่ปลายของกลบี ดอกหยักเป็นแฉก 5 แฉก โดยกลบี ดอกมคี วามยาวประมาณ 4 มิลลเิ มตร
ทก่ี ลางดอกมเี กสรตวั ผ้โู ผลพ่ ้นมาจากกลบี ดอก และมเี กสรตวั เมยี ทีแ่ ยกออกเป็นแฉกโค้ง

ผลกะเม็งตวั ผู้ ลกั ษณะเป็นรูปสอบแคบ ผวิ ผลขรุขระไม่เรียบ ผลมีรยางค์เป็นรูปถ้วย มขี นาดเลก็
ประมาณ 4-5 มิลลเิ มตร

41.หญ้าฝรั่น เกสรหญ้าฝรน่ั หรือท่ีเรียกวา่ หญ้าฝร่ัน คือยอดเกสรเพศเมียสแี ดงสดยืน่ ยาวออกมาโผลพ่ ้นเหนอื ดอก มี
ลกั ษณะเป็นงา่ ม 3 งา่ ม แต่ละง่ามมีความประมาณ 25-30 มลิ ลเิ มตร มกั เกบ็ ดอกเมอ่ื ตอนดอกเริ่มบาน ส่วนท่ี
หญ้าฝรน่ั (ออกเสยี งวา่ ฝะ-หรัน่ ) ช่อื สามัญ Saffron, True saffron, Spanish saffron, Crocus เก็บคือเกสรตวั เมีย โดย 1 ดอกจะมเี กสรอย่เู พียง 3 เส้นเทา่ นนั ้ สว่ นวธิ ีการเกบ็ กค็ อื เดด็ ออกจากดอกแล้วเอา
มาทาให้แห้งด้วยการควั่ นอกจากนีก้ ารเก็บเกสรต้องรีบเกบ็ ในวนั เดียวเพราะว่าดอกจะโรยหมด แล้วยงั ต้องรีบ
หญ้าฝร่ัน ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Crocus sativus L. จดั อย่ใู นวงศ์วา่ นแม่ยบั (IRIDACEAE) และยงั ไม่มชี ่อื นามาควั่ ให้แห้งในทนั ที
ท้องถ่ินหรือชือ่ พนื ้ เมอื งอน่ื ๆ เนือ่ งจากเป็นพชื สมนุ ไพรของต่างประเทศ โดยประเทศที่ปลกู หญ้าฝรนั่ เพ่ือ
สง่ ออกได้แก่ ประเทศสเปน เยอรมนั ฝร่งั เศส อนิ เดีย และอิหร่าน โดยอิหร่านเป็นประเทศที่สามารถผลติ สรรพคุณของหญ้ำฝร่ัน
หญ้าฝร่ันท่มี ีคณุ ภาพและมปี ริมาณการผลติ มากที่สดุ ในโลก โดยคิดเป็นร้อยละ 81 ของหญ้าฝรนั่ ทั่วโลก
ใช้เป็นยาบาบดั รักษาโรคมะเร็ง ชว่ ยตอ่ ต้านมะเร็ง และตอ่ ต้านสารกอ่ กลายพนั ธ์ุ
ลักษณะของหญ้ำฝร่ัน
มสี ารต่อต้านอนมุ ลู อิสระทีช่ ว่ ยเสริมสร้างภูมิค้มุ กนั ให้กบั ร่างกาย
ต้นหญ้าฝรนั่ จดั เป็นพืชล้มลกุ ลาต้นมีความสงู ประมาณ 10-30 เซนติเมตร และมีความสงู เฉลยี่ น้อยกวา่ 30
เซนติเมตร มีลาต้นอย่ใู ต้ดินลกั ษณะคล้ายหวั เผือกหรือหวั หอม มอี ายหุ ลายปี ในประเทศไทยยงั ไม่มกี าร ชว่ ยลดระดบั ไขมนั และคอเลสเตอรอลในหลอดเลอื ด
เพาะปลกู หญ้าฝร่นั
ช่วยบารุงธาตุในร่างกาย ชว่ ยทาให้เจริญอาหาร
หวั หญ้าฝรน่ั ลกั ษณะคล้ายกบั หวั หอม เป็นทีส่ ะสมกกั ตนุ แป้ง หวั เป็นเมลด็ กลมสนี า้ ตาล มเี ส้นผ่าน
ศนู ย์กลางประมาณ 4.5 เซนตเิ มตร และหอ่ ห้มุ ด้วยเส้นใยขนานกันหนา ประโยชน์ของหญ้ำฝร่ัน

ใบหญ้าฝร่ัน ลกั ษณะยาวเรียวแหลมแคบ มสี เี ขยี ว แต่ละใบมีความยาวถงึ 40 เซนติเมตร เชอ่ื ว่าหญ้าฝร่ันมสี รรพคณุ ช่วยทาให้ผวิ พรรณเปลง่ ปลงั่ และมอี ายุยืนยาว[5]

ดอกหญ้าฝร่นั ก้านดอกจะแทงออกมาจากหัวใต้ดนิ ลกั ษณะของดอกมีรูปร่างคล้ายดอกบวั ดอกมีสมี ว่ ง มี หญ้าฝร่นั มีรสขมอมหวานและมีกลน่ิ หอมแบบโบราณ นามาใช้ทาเป็นยาหอมได้[5]
กลบี ดอก 5-6 กลบี กลบี ดอกลกั ษณะเรียวยาวคล้ายรูปไข่ มเี กสรขนาดยาวโผลพ่ ้นเหนอื ดอก เกสรตัวเมยี มี
สแี ดงเข้ม ดอกอย่ไู ด้นานประมาณ 2-3 สปั ดาห์ มักออกดอกในช่วงฤดใู บไม้ร่วง หญ้าฝรั่นนิยมนามาใช้ในการประกอบอาหาร ใช้แต่งกลน่ิ และสขี องอาหาร โดยจะช่วยทาให้อาหารมีสเี หลอื ง
ส้มสว่าง อย่างเชน่ ลกู กวาด ขนมหวาน เค้ก พดุ ดงิ คัสตาร์ด รวมไปถงึ เหล้าและเคร่ืองดืม่ [1],[4],[8]

หญ้าฝรนั่ เป็นเครื่องเทศทม่ี ีกลนิ่ หอมและกลนิ่ ติดทนนาน เม่อื นามาใช้ทาอาหารจึงไมต่ ้องใช้มาก และนิยม
นามาใสใ่ นขนั ้ ตอนสดุ ท้ายของการปรุงอาหาร เนื่องจากเป็นเครื่องเทศทม่ี รี าคาแพงมากจงึ มกั นยิ มใสใ่ นอาหาร
ในโอกาสพเิ ศษต่าง ๆ เพ่อื เฉลมิ ฉลอง

40.อนิ ทนลิ นํ้า ผลอนิ ทนิลนา้ ลกั ษณะเป็นรูปไข่เกลยี ้ ง ๆ กว้างประมาณ 1.5-2 เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 2-2.6
เซนติเมตร ที่ผวิ ของผลอินทนิลจะเรียบ ไมม่ ขี นปกคลมุ ผลมีสนี า้ ตาลแดง ผลเป็นผลแห้ง เม่ือแก่จะแยก
ชอ่ื สามัญ Queen’s flower, Queen's crape myrtle, Pride of India, Jarul ออกเป็น 6 เสย่ี ง และจะเผยให้เห็นเมล็ดเลก็ ๆ ที่มปี ีกเป็นครีบบาง ๆ ทางด้านบน

ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Lagerstroemia speciosa (L.) Pers. จดั อย่ใู นวงศ์ LYTHRACEAE (เป็นคนละชนิดกบั ต้นอนิ ทนิลบก ซงึ่ มีชื่อ สรรพคุณของอนิ ทนิล
วทิ ยาศาสตร์วา่ Lagerstroemia macrocarpa Wall.)
ใบอินทนิลนา้ มีรสขมฝาดเยน็ ชว่ ยรักษาโรคความดนั โลหติ สงู โดยใช้ใบแกเ่ ตม็ ทป่ี ระมาณ 1 กามือ นามา
ลักษณะของอนิ ทนลิ นำ้ ต้มกบั นา้ ดื่มในตอนเช้า (ใบแก่)

ต้นอนิ ทนิลนา้ เป็นพนั ธ์ไุ ม้ที่มีถิน่ กาเนิดในประเทศไทย โดยจดั เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ เจริญเตบิ โตเร็วหากปลกู ใน ช่วยลดระดบั ไขมนั ในเลอื ด ในประเทศญ่ีป่ นุ ได้มีการสกดั สารจากใบอนิ ทนิลนา้ ด้วยแอลกอฮอล์ นาไปทาให้
ทเี่ หมาะสม ต้นมคี วามสงู ประมาณ 5-20 เมตร ลาต้นเลก็ และมกั คดงอ แต่พอใหญ่ขนึ ้ จะเปลา ตรง เป็นไม้ผลดั ใบแต่ผลใิ บใหมไ่ ว เข้มข้นจนได้สารสกดั 3 mg./ml. แล้วนาไปทาเป็นยาเม็ดขนาดเม็ดละ 250 mg. ให้ผ้ปู ่ วยท่ีเป็น
โคนต้นไม้ไมค่ ่อยพบพพู อน มกั มกี ิ่งใหญ่แตกจากลาต้นสงู เหนือจากพืน้ ดินขนึ ้ มาไม่มาก จงึ มเี รือนยอดทแ่ี ผ่กว้าง เป็นพมุ่ ลกั ษณะ โรคเบาหวานและมภี าวะไขมนั ในเส้นเลอื ดสงู รับประทานครัง้ ละ 1 เม็ด วนั ละ 3 ครงั ้ นานตดิ ตอ่ กนั 4
คล้ายรูปร่มและคลมุ สว่ นโคนต้นเลก็ น้อยเท่านนั ้ (ถ้าเป็นต้นท่ขี นึ ้ ตามธรรมชาติในป่ ามกั จะมเี รือนยอดคลมุ ลาต้นประมาณ 9/10 สปั ดาห์พบว่าผ้ปู ่ วยมีระดบั คอเลสเตอรอลในเลอื ดท่ีลดลง (ใบ)
สว่ นของความสงู ของต้น)
ชว่ ยลดระดบั นา้ ตาลในเลอื ด ซง่ึ ได้มกี ารทดลองทงั ้ ในประเทศไทย อินเดยี และฟิ ลปิ ปินส์ โดยใช้สว่ นของใบ
ใบอินทนลิ นา้ มใี บเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกนั หรือออกเยอื ้ งกนั เลก็ น้อย ลกั ษณะของใบเป็นรูปทรงขอบขนานหรือรูปขอบขนาน แกเ่ ตม็ ท่ี เมลด็ และเปลอื กผลในการทดลอง ซง่ึ พบว่ามนั มีฤทธิ์เหมอื นอินซลู นิ (ใบแก่, เมลด็ , เปลอื กผล)
แกมรูปหอก มีความกว้างประมาณ 5-10 เซนตเิ มตร และยาวประมาณ 11-26 เซนตเิ มตร ใบมีสเี ขียว เนือ้ ใบคอ่ นข้างหนาและ
เกลยี ้ งเป็นมนั ทงั ้ สองด้าน โคนใบบนหรือเบีย้ วเยอื ้ งกนั เลก็ น้อย ขอบใบเรียบหรือเป็นคลน่ื เลก็ น้อย สว่ นปลายใบเรียวและเป็นตง่ิ ประโยชน์ของอนิ ทนลิ นำ้
แหลม มเี ส้นแขนงใบประมาณ 9-17 คู่ เส้นโค้งออ่ นและจรดกบั เส้นถดั ไป บริเวณใกล้ ๆ ขอบของเส้นใบย่อยจะเหน็ ไม่คอ่ ยชดั นกั
ก้านใบยาวประมาณ 1 เซนติเมตร เกลยี ้ งและไม่มขี น นยิ มปลกู ไว้เป็นไม้ริมทางและเป็นไม้ประดบั เนอื่ งจากมดี อกและใบทสี่ วยงาม ให้ร่มเงาและเจริญเตบิ โตเร็ว

ดอกอินทนลิ นา้ ดอกใหญ่มหี ลายสี เช่น สมี ว่ งอมชมพู สมี ่วงสด หรือมว่ งล้วน ออกดอกรวมกนั เป็นช่อใหญ่ตามปลายก่ิงหรือตาม ใบอ่อนนามาตากแดดใช้ชงเป็นชาไว้ด่ืมได้ ช่วยแก้เบาหวานและช่วยลดความอ้วนได้อีกด้วย จนได้มีการ
งา่ มใบตอนใกล้ ๆ ปลายก่งิ มีความยาวถงึ 30 เซนตเิ มตร ที่ส่วนบนสดุ ของดอกตมู จะมีต่มุ กลม ๆ เลก็ ๆ ตงั ้ อยตู่ รงกลาง ที่ผิวนอก นาไปแปรรูปเป็นสมนุ ไพรอินทนิลนา้ แบบสาเร็จรูปในรูปแบบแคปซลู และแบบชงเป็นชา
ของกลบี ฐานดอกจะตดิ กนั เป็นรูปถ้วยหรือรูปทรงกรวยหงาย จะมีสสี นั นนู ตามยาวเห็ดชัด และมเี ส้นขนสนั ้ ๆ ปกคลมุ อยู่
ประปราย ดอกอนิ ทนิลนา้ มกี ลบี ดอกบาง ลกั ษณะเป็นรูปช้อนท่ีมีโคนกลบี เป็นก้านเรียว ผวิ กลบี จะเป็นคลนื่ ๆ เลก็ น้อย เม่ือดอก
บานเตม็ ท่ีจะมีรศั มีความกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร และมีรงั ไข่กลมเกลยี ้ ง จะเริ่มออกดอกได้เมื่อมอี ายปุ ระมาณ 4-6 ปี



39. องั กำบ ผลองั กาบ หรือ ฝักองั กาบ ลกั ษณะเป็นฝักรูปยาวรี ปลายและโคนฝักแหลม สว่ นปลายฝัก
จะกว้างกวา่ สว่ นโคนฝัก ในฝักองั กาบมเี มลด็ 4 เมลด็ เมล็ดแบนกลม มขี นาดเส้นผ่าน
ชือ่ สามัญ Philippine violet, Bluebell barleria, Crested Philippine violet ศนู ย์กลางประมาณ 4 มิลลเิ มตร มขี นแบนราบ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Barleria cristata L. จัดอย่ใู นวงศ์เหงอื กปลาหมอ (ACANTHACEAE) สมนุ ไพรต้นองั กาบ โดยท่วั ไปแล้วจะแยกออกเป็น 3 สี 3 ชนิด ได้แก่ ชนดิ ดอกสมี ่วง ชนิด
ดอกสขี าว และชนิดดอกสเี หลอื ง โดยดอกสมี ่วงนนั ้ จะมีถ่นิ กาเนิดที่ประเทศจีนและอินเดีย
สมนุ ไพรไทยองั กาบ มชี อื่ ท้องถิน่ อ่ืน ๆ ว่า ก้านชง่ั คนั ชง่ั ลมื เฒา่ ใหญ่ ทองระอา ทองระย้า องั กาบกานพลู องั กาบ สว่ นชนดิ ดอกสขี าวและเหลอื งนนั ้ สามารถพบได้ทวั่ ไปตามป่ าราบหรือท่ีรกร้างว่างเปลา่ ใน
เมือง เป็นต้น ประเทศไทย แตใ่ นปัจจบุ นั แทบจะไม่เห็นแล้ว ซง่ึ สว่ นใหญ่ที่เห็นจะมแี ตช่ นิดสมี ว่ ง

ลักษณะของอังกำบ สรรพคุณขององั กำบ

ต้นองั กาบ มถี ่ินกาเนดิ ในประเทศอินเดยี และจีน จดั เป็นไม้พมุ่ เตยี ้ ขนาดเลก็ มีลาต้นเป็นข้อ มคี วามสงู ประมาณ 1- ชว่ ยบารุงธาตใุ นร่างกาย ชว่ ยเจริญธาตไุ ฟ (ราก, ดอกของต้นองั กาบดอกสขี าว)
1.5 เมตร ก่ิงก้านและลาต้นจะมขี นสเี หลอื งอ่อนโดยเฉพาะตามข้อ ไมม่ หี นามเหมอื นต้นองั กาบหนู เป็นไม้ท่ีชอบ
แสงแดดปานกลาง เจริญเติบโตได้ดใี นดินร่วนหรือดนิ ร่วนปนทราย ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวิธีการปักชาก่ิงและการใช้เมลด็ ช่วยฟอกโลหิตในร่างกาย (รากของต้นองั กาบดอกสีม่วง)
ในประเทศไทยนนั ้ สามารถพบเหน็ ได้ทว่ั ไปตามหวั ไร่ปลายนา ป่ าละเมาะ หรือป่ าดงดบิ ป่ าเตง็ รัง รวมไปถงึ ป่ ากอ่
รากช่วยแก้ลม (ราก, ดอกของต้นองั กาบดอกสมี ่วง)
ใบองั กาบ ลกั ษณะของใบคล้ายรูปหอก ปลายใบเรียวแหลมหรือยาว โคนใบเรียวสอบ ขอบใบเรียบ แผน่ ใบมีขนสนั ้
นมุ่ กระจายอยทู่ งั ้ สองด้าน โดยเฉพาะตามเส้นใบ ใบมีความยาวประมาณ 3-12 เซนตเิ มตรและกว้างประมาณ 2-5 ดอกมีสรรพคณุ เป็นยาช่วยขบั เสมหะ (ดอกของต้นองั กาบสมี ว่ ง)
เซนตเิ มตร ใบออกตรงข้ามกนั เป็นคู่ ๆ ก้านใบสนั ้ มีความยาวประมาณ 0.3-2 เซนติเมตร ใบตามกิง่ จะสนั ้ และมี
ขนาดเลก็ กว่าตามลาต้น รากใช้เป็นยาขบั ปัสสาวะ (รากของต้นองั กาบดอกสมี ว่ ง)

ดอกองั กาบ ออกดอกเป็นช่อคล้ายช่อเชงิ ลดสนั ้ ๆ หรือเป็นกระจกุ คอ่ นข้างแนน่ ท่ปี ลายยอด หรือบริเวณใกล้ปลาย ประโยชน์ขององั กำบ
ยอด ลกั ษณะของดอกองั กาบเป็นรูปทรงกลมหรือรูปแตร ดอกมีสีมว่ ง สว่ นทโี่ คนช่อดอกจะมใี บประดบั รูปขอบขนาน
ยาวหรือรูปใบหอก ยาวประมาณ 0.8-1.5 เซนติเมตร ขอบใบเว้า มีกลบี เลยี ้ ง 4 กลบี เรียงซ้อนเหลอ่ื มกนั มขี นาดไม่ โดยทวั่ ไปแล้วจะนิยมปลกู ไว้เป็นกลมุ่ ไม้ประดบั สวนหย่อมเพ่ือใช้ปรบั ภูมิทศั น์เป็นหลกั จงึ
เท่ากนั คนู่ อกจะมขี นาดใหญ่กวา่ ลกั ษณะเป็นรูปไขแ่ กมรูปขอบขนาน มีความยาวประมาณ 1.5-2 เซนตเิ มตร ขอบ ใช้ปลกู ทาเป็นรวั ้ ริมทางเดิน รวมไปถงึ ริมธารนา้ ตก ริมทะเล เป็นต้น เนอื่ งจากองั กาบมี
จกั เป็นตงิ่ หนาม ปลายแหลมยาว สว่ นกลบี คมู่ ีลกั ษณะเป็นรูปใบหอกหรือรูปแถบ ยาวประมาณ 6-7 มลิ ลเิ มตร มี ดอกที่สวยงามนนั่ เอง โดยปัจจบุ นั ได้มกี ารปรับปรุงพนั ธ์เุ พื่อให้มีดอกสขี าวหรือดอกสมี ่วง
ปลายแหลมยาว กลบี ดอกคล้ายรูปปากเปิด หลอดกลบี ยาวประมาณ 3-4 เซนตเิ มตร ดอกองั กาบมกี ลบี ดอก 5 กลบี สลบั ขาว (ตามภาพด้านลา่ ง)
มสี มี ่วง สชี มพู หรือสขี าว

38.สเี สยี ดเหนือ ดอกสเี สยี ดเหนอื ออกดอกเป็นชอ่ ตามซอกใบใกล้บริเวณปลายยอด ชอ่ ดอกยาวได้ประมาณ 5-10
เซนติเมตร ดอกยอ่ ยมจี านวนมากอดั กนั แนน่ รวมกนั เป็นชอ่ ยาวคล้ายหางกระรอก ก้านชอ่ มีขน ดอกย่อย
ชือ่ สามญั Catechu tree, Cutch tree[1], Cutch, Black Catechu[6] มีขนาดเลก็ เป็นสขี าวอมเหลอื งหรือสเี หลอื งอ่อน ลกั ษณะเป็นพู่ รูปทรงกระบอกตรง ไม่มกี ลบี ดอก กลบี
รองดอกเป็นสเี ขยี วออ่ นหรือสเี ขียวนวล มีกลบี 5 กลบี ยาวประมาณ 2-3 มลิ ลเิ มตร ติดกนั ท่ีฐาน ดอกมี
สเี สยี ดเหนอื ช่ือวิทยาศาสตร์ Acacia catechu (L.f.) Willd. จดั อยใู่ นวงศ์ถว่ั (FABACEAE หรือ เกสรเพศผ้จู านวนมาก ก้านเกสรไมต่ ิดกนั เกสรเป็นเส้นเลก็ ๆ สขี าวโดยจะออกดอกในช่วงประมาณเดอื น
LEGUMINOSAE) และอยใู่ นวงศ์ยอ่ ยสเี สียด (MIMOSOIDEAE หรือ เมษายนถงึ เดอื นพฤษภาคม
MIMOSACEAE)[1],[3]
ผลสเี สียดเหนอื ผลมีลกั ษณะเป็นฝักแบนยาว รูปบรรทดั กว้างประมาณ 1-1.5 เซนตเิ มตร ยาวประมาณ
สมนุ ไพรสเี สยี ดเหนือ มชี ื่อท้องถิ่นอ่ืน ๆ ว่า สเี สียดเหลอื ง (เชยี งใหม่), สเี สยี ดแก่น (ราชบรุ ี), สเี สยี ด 5-10 เซนตเิ มตร สว่ นปลายและส่วนโคนฝักเรียวแหลม ตวั ฝักตรง ผิวฝักเรียบเป็นมนั ซงึ่ เมื่อแก่เต็มท่จี ะ
ขเี ้สยี ด (ภาคเหนอื ), สเี สียดเหนอื (ภาคกลาง), สะเจ (เงยี ้ ว-แมฮ่ อ่ งสอน), สเี สยี ดลาว (ลาว), สเี สยี ด เป็นสนี า้ ตาลดา เมือ่ ฝักแก่จะแห้งและแตกอ้าออกตามด้านข้าง มองเห็นเมลด็ ภายในซงึ่ มีประมาณ 3-7
หลวง, สเี สียดไทย เป็นต้น เมลด็ เมลด็ มขี นาดเลก็ สนี า้ ตาลเป็นมนั ลกั ษณะของเมล็ดเป็นรูปแบน (เมลด็ จานวน 1,000 เมลด็ จะมี
นา้ หนกั ประมาณ 65 กรมั ) โดยจะออกผลในชว่ งประมาณเดอื นพฤษภาคมถงึ เดือนกรกฎาคม
ข้อควรรู้ : ต้นสเี สยี ดเหนือเป็นต้นไม้ประจาจงั หวดั กาแพงเพชร
ก้อนสเี สียด (บ้างเรียกว่า "สเี สยี ดลาว", "สเี สียดไทย") คอื ยางท่ไี ด้จากต้นสเี สียดทถี่ กู นามาเคี่ยวจนงวด
ลักษณะของสีเสียดเหนือ เป็นก้อนสดี า หรือแกน่ สเี สยี ดท่ีถกู นามาสบั เป็นชนิ ้ เลก็ ๆ ต้มเค่ียวด้วยไฟอ่อน ๆ กบั นา้ กรองเคี่ยวตอ่ จะ
ได้ยางสนี า้ ตาลดา มีลกั ษณะเหนยี ว แล้วนามาปัน้ เป็นก้อน ทิง้ ไว้จนแห้งแข็งเกบ็ ไว้ใช้ ไม่มกี ลนิ่ มรี สขม
ต้นสเี สยี ดเหนอื มถี น่ิ กาเนดิ ดงั ้ เดิมอย่ใู นประเทศอินเดียตะวนั ตกของปากสี ถานจนถงึ พม่า จดั เป็นไม้ และฝาดจดั นามาบดหรือต้มรับประทานเป็นยา
ยืนต้นผลดั ใบขนาดเล็กถงึ ขนาดกลาง มีความสงู ของต้นได้ประมาณ 10-15 เมตร เปลอื กลาต้นเป็น
สเี ทาอมดาหรือสเี ทาเข้ม แตกเป็นสะเก็ดตามยาว ผิวเปลอื กคอ่ นข้างขรุขระ และสามารถลอกเปลอื ก สรรพคุณของสีเสียดเหนือ
ผวิ ออกมาได้เป็นแผน่ ๆ เปลอื กข้างในเป็นสแี ดง ตามก่งิ ก้านมีหนามเลก็ ๆ เป็นค่ขู นึ ้ อยทู่ วั่ ไป
ขยายพนั ธ์โุ ดยใช้เมลด็ เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ท่ีทนตอ่ แสงแดดและความแห้งแล้งได้ดี สามารถ เปลอื กต้นใช้ผสมกบั สมนุ ไพรชนิดอน่ื ปรุงเป็นยาแก้ธาตพุ ิการ (เปลอื กต้น)
เจริญเตบิ โตได้ในดินทกุ สภาพ ขนึ ้ ได้ดีในที่แห้งแล้งและภูเขาหิน แตต่ ้องการนา้ และความชนื ้ ในระดบั
ปานกลาง ไม่ชอบนา้ ขัง พบขนึ ้ ทวั่ ไปในป่ าเบญจพรรณ ป่ าโปร่งทางภาคเหนอื และป่ าละเมาะบน ใช้เป็นยาบารุงธาตแุ ละแก้อติสาร (ก้อนสเี สยี ด)
พืน้ ทร่ี าบและท่ีแห้งแล้งทว่ั ไป
ก้อนสเี สยี ดและเปลอื กต้นสเี สยี ด มีสรรพคุณชว่ ยปิดธาตุ คุมธาตุ แก้อาการลงแดง (เปลอื กต้น, ก้อน
ใบสเี สยี ดเหนือ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชนั ้ ออกเรียงสลบั ยาวประมาณ 9-17 เซนติเมตร สเี สยี ด)
ใบย่อยมีจานวนมากและมีขนาดเลก็ ออกเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกนั มอี ย่ปู ระมาณ 20-50 คู่ เรียงชดิ
ซ้อนทบั กนั ลกั ษณะของใบยอ่ ยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบมน โคนใบมนเบีย้ ว มีขนขนึ ้ ประปราย ใช้เป็นยาแก้ไข้จบั สน่ั แก้อาการไอ (ก้อนสเี สียด)
หลงั ใบและท้องใบเรียบ ไมม่ ีก้าน
ชว่ ยแก้ปากเป็นแผล ช่วยห้ามเลอื ดทอ่ี อกจากจมกู รวมถงึ อาการเจบ็ ที่มเี ลอื ดออก (ก้อนสเี สียด)

37.หมาก ผลหมาก ผลออกเป็นทะลาย ลกั ษณะของผลเป็นรูปทรงกลม รูปกลมรี รูปไข่ รูปไข่ปลายแหลม หรือเป็นรูป
กระสวยขนาดเลก็ โดยเฉลยี่ แล้วผลที่รวกมนั เป็นทะลาย ในหนง่ึ ทะลายจะมีผลอยปู่ ระมาณ 10-150 ผล ผิว
ชอ่ื สามญั Areca nut, Areca nut palm, Areca palm, Betel nut palm, Betel Nuts[1],[5] ผลเรียบ มกี ลบี เลยี ้ งติดเป็นขวั ้ ผล ผลมขี นาดกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 7 เซนตเิ มตร
ผลดบิ หรือผลสดเปลอื กผลจะเป็นสเี ขียวเข้ม เรียกว่า "หมากดบิ " ผลเมอ่ื แก่เปลอื กผลจะเปลยี่ นเป็นสเี หลอื ง
หมาก ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Areca catechu L. จัดอยใู่ นวงศ์ปาล์ม (ARECACEAE) ซง่ึ แต่เดิมใช้ชอื่ วงศ์ว่า PALMAE หรือ ส้มทงั ้ ผลหรือสแี ดงแกมส้ม เรียกว่า "หมากสกุ " หรือ "หมากสง" ผลประกอบไปด้วย 4 สว่ น คือ เปลอื กชนั ้ นอก

PALMACEAE สรรพคุณของหมำก

สมนุ ไพรหมาก มีชอ่ื ท้องถ่นิ อ่ืน ๆ ว่า หมากเมยี (ทวั่ ไป), หมากสง (ภาคใต้), แซ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), สีซะ (กะเหรี่ยง- ผลอ่อนมรี สฝาดหวาน สรรพคุณเป็นยาชว่ ยทาให้เจริญอาหาร (ผล)
ภาคเหนือ), มะ (ชอง-ตราด), เซียด (ชาวบน-นครราชสมี า), ปีแน (มลาย-ู ภาคใต้), ปิงน๊อ (จีนแต้จิ๋ว), ปิงหลาง (จนี กลาง)
เป็นต้น[1],[3] เปลอื กผลมีสรรพคณุ เป็นยาบารุงธาตุ (เปลอื กผล)

ลักษณะของต้นหมำก รากมีรสฝาดเย็น มีสรรพคณุ เป็นยาแก้โรคกษัย (ราก)

ต้นหมาก มีถิ่นกาเนิดในทวปี เอเชยี เขตร้อน จัดเป็นไม้ยืนต้นจาพวกปาล์ม มคี วามสงู ของต้นประมาณ 10-15 เมตร ลาต้น ผลใช้เป็นยาแก้โรเบาหวาน ด้วยการใช้หมากทีก่ นิ กบั พลแู บบสด 1 ลกู นามาผา่ เป็น 4 ซีก ต้มกบั นา้ 1 ลติ ร
ตงั ้ ตรง เป็นต้นเดีย่ วไมแ่ ตกก่งิ ก้าน ลกั ษณะของลาต้นเป็นรูปทรงกระบอก มขี นาดเส้นผ่านศนู ย์กลาง 8-12 เซนติเมตร จนเดอื ดหรือประมาณ 10 นาที ใช้ดื่มกอ่ นอาหารครงั ้ ละครึ่งแก้วเช้า กลางวนั และเยน็ เม่ือนาตาลในเลอื ด
เปลอื กลาต้นเป็นรอยขวนั ้ รอบ ๆ ขนึ ้ ไปตลอดลาต้น ในระยะแรกจะเจริญเติบโตด้านกว้างและด้านสงู ลดลงก็ให้นามาต้มดืม่ แบบวนั เว้นวนั ได้ ซึ่งหมากจะมีฝาด จงึ ชว่ ยสมานแผลของผ้เู ป็นโรคเบาหวานให้หาย
เร็วขนึ ้ ได้อีกด้วย (ผล)
ใบหมาก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงเวียนหนาแนน่ ท่ีปลายยอด ก้านใบรวมยาวได้ประมาณ 130-200
เซนติเมตร ลกั ษณะของใบย่อยรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบเรียวแคบ ใบออ่ นมีรอยแยก ใบมีขนาดกว้างประมาณ ใบมสี รรพคณุ เป็นยาแก้ไข้ แก้หวดั
2.5-6 เซนตเิ มตร และยาวประมาณ 50-70 เซนตเิ มตร แผน่ ใบเรียบหนา กาบใบห้มุ ลาต้น
ประโยชน์ของหมาก
ดอกหมาก (จนั่ หมาก) โดยจะออกตามซอกโคนก้านใบหรือกาบนอก ดอกออกรวมกนั เป็นช่อขนาดใหญ่ประกอบไปด้วย
โคนจน่ั ยดึ ตดิ อยทู่ ี่ข้อของลาต้น ก้านชอ่ ดอกเป็นเส้นยาวแตกออกโดยรอบแกนกลาง มีกลบี ห้มุ ชอ่ ขนาดใหญ่ยาวประมาณ เมลด็ ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิในสตั ว์ เชน่ สนุ ขั ไกช่ น และแกะ ด้วยการนาผลแก่มาบดให้สตั ว์กิน
40 เซนตเิ มตร เป็นมนั เงา มใี บประดบั ห้มุ อยู่ ดอกเป็นแบบแยกเพศอยบู่ นต้นเดยี วกนั กลบี ดอกเป็นสขี าวแกมสเี หลอื งมี 6
กลบี เรียงเป็นชนั ้ 2 ชนั ้ สเี ขยี ว ยาวประมาณ 5-6 มลิ ลเิ มตร ใช้กาจัดหนอน ในเวลาท่ีววั หรือควายเป็นแผลมหี นอน จะทาให้หนอนตายหมด

สว่ นยอดออ่ นของลาต้นสามารถนามารับประทานเป็นอาหารจาพวกผักได้ สว่ นจนั่ หมากหรือดอกหมากเมือ่
ยงั อ่อนอย่กู ็ใช้รบั ประทานเป็นอาหารได้เชน่ กนั

ชอ่ ดอกซง่ึ มีกลน่ิ หอมจะถกู นามาใช้ในงานแตง่ งานและงานศพ

36. หนุมำนนงั่ แทน่ ผลหนมุ านนง่ั แทน่ ผลมีลกั ษณะเป็นรูปทรงกลมรีหรือรูปกระสวย ผิวผลเรียบ แบง่ เป็นพู 3 พู ปลายมน มขี นาด
เส้นผ่านศนู ย์กลางประมาณ 1.5 เซนติเมตร ผลออ่ นเป็นสเี ขียว เม่ือสกุ แล้วจะเปล่ยี นจากสเี หลอื งเป็นสีดา เมื่อ
ช่ือสามัญ Gout Plant, Guatemala Rhubarb, Fiddle-leaved Jatropha ผลแห้งจะไม่แตก ภายในผลมเี มลด็ ลกั ษณะเป็นรูปกระสวยหรือรูปรี มขี นาดกว้างประมาณ 6 มิลลเิ มตร และ
ยาว 12 มลิ ลเิ มตร เมล็ดมีเย่อื สขี าวอย่ทู ี่ขวั ้
หนมุ านนง่ั แท่น ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Jatropha podagrica Hook. จดั อย่ใู นวงศ์ยางพารา
(EUPHORBIACEAE)[1] สรรพคุณของหนุมำนน่ังแท่น

สมนุ ไพรหนมุ านน่ังแทน่ มีช่ือท้องถิน่ อ่นื ๆ วา่ หวั ละมานนงั่ แท่น (ประจวบคีรีขนั ธ์), ว่านเลอื ด (ภาค หวั หรือเหง้าใช้กินเป็นยาบารุงพละกาลงั สาหรบั ผ้ทู ่ีใช้กาลงั แบกหามหรือทางานหนกั (เหง้า)
กลาง), วา่ นหนมุ าน, วา่ นหนมู านนง่ั แทน่ เป็นต้น
เหง้ามีสรรพคณุ เป็นยาฟอกโลหิต (เหง้า)
ลักษณะของหนุมำนน่ังแท่น
ยาพนื ้ บ้านล้านนาจะใช้นา้ ยางเป็นยาทารกั ษาแผลมดี บาด แผลถลอก และใช้ห้ามเลอื ด สว่ นวธิ ีใช้ขนั ้ ตอนแรกก็
ต้นหนมุ านนงั่ แทน่ เป็นพชื ที่มีถ่ินกาเนิดจากอเมริกากลาง พบได้ตงั ้ แตท่ ่ีระดบั ความสงู จากนา้ ทะเลถงึ ให้ล้างแผลด้วยนา้ สะอาดเสยี กอ่ น แล้วซับแผลด้วยสาลใี ห้แห้ง แล้วใช้มือเด็ดบริเวณก้านกลางใบ โดยให้เลอื ด
ระดบั 800 เมตร โดยจดั เป็นพรรณไม้พมุ่ ทมี่ คี วามสงู ของต้นประมาณ 1.5-3 เมตร ลาต้นพองท่โี คน ลา ใบท่ีไม่แกห่ รือออ่ นจนเกินไป เมือ่ นา้ ยางเริ่มไหลออกมาก็ให้ใช้นิ่วมือรองยางท่ีหยดลงมา แล้วนาไปป้ายบริเวณ
ต้นอวบนา้ ผิวไมเ่ รียบ เป็นสนี า้ ตาลอมเขียว และมีเหง้าอย่ใู ต้ดินลกั ษณะกลมยาว อาจเป็นเหลยี่ มเลก็ น้อย แผลวนั ละ 2-3 ครัง้ แผลก็เริ่มแห้งและตกสะเก็ดภายใน 1-2 วนั (นา้ ยาง)[1],[2] สว่ นเหง้าก็มีสรรพคุณเป็นยา
ต้นมีนา้ ยางสขี าวข่นุ ใส ๆ ไมเ่ หนียวเหนอะหนะ ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวธิ ีการเพาะเมลด็ และใช้หวั หรือเหง้าท่อี ยู่ สมานแผลเชน่ กนั (เหง้า)
ใต้ดิน เจริญเตบิ โตได้ดใี นท่ีช่มุ ชนื ้ ชอบแสงแดดจดั แบบเตม็ วนั สามารถทนตอ่ ความแล้งได้ดี
ประโยชน์ของหนุมำนน่ังแท่น
ใบหนมุ านนง่ั แทน่ ใบเป็นใบเด่ียว ออกเรียงสลบั ลกั ษณะของใบเป็นรูปไข่กว้าง โคนใบเป็นรูปหวั ใจ ส่วน
ขอบใบเว้าเป็นแฉก 3-5 แฉก ใบมีขนาดกว้างและยาวประมาณ 5-15 เซนตเิ มตร หลงั ใบและท้องใบเรียบ สมนุ ไพรหนมุ านน่งั แท่นเป็นยาทถี่ กู นามาใช้รักษาแผลในม้า โดยพบวา่ ได้ยางหนมุ านสามารถรักษาแผลให้หาย
ก้านใบยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ติดแผ่นใบแบบก้นปิด หใู บแตกแขนงยาวได้ถงึ 5 มลิ ลเิ มตร ได้ดกี ว่าและเร็วกว่ายาเนกาซนั ท์ ยาปฏิชวี นะ และยาสมานแผลทว่ั ไป และยงั เป็นยาเพียงชนดิ เดียวที่ใช้รักษา
บาดแผลเนือ้ งอกได้ ในขณะที่ยาอน่ื รักษาไมไ่ ด้ สว่ นแผลเนา่ เปื่อยก็รกั ษาให้หายได้โดยใช้ระยะเวลาที่สนั ้ กวา่ ยา
ดอกหนมุ านนง่ั แท่น ออกดอกเป็นช่อกึง่ ชอ่ เชงิ หลน่ั ยาวได้ถงึ 26 เซนติเมตร แกนชอ่ ดอกยาวได้ถงึ 20 อนื่ เทา่ ตวั (แมโ่ จ้)
เซนติเมตร โดยจะออกท่ีปลายยอด มใี บประดบั เป็นรูปสามเหลย่ี ม ยาวประมาณ 2 มลิ ลเิ มตร ดอกยอ่ ย
เป็นสแี ดงมีจานวนมาก กลบี ดอกมี 5 กลบี กลบี ดอกเป็นสสี ้มหรือสแี ดง ดอกเพศผ้มู ีกลบี เลยี ้ งเป็นรูปไข่ ในด้านของความเช่ือ ในสมยั ก่อนมกี ารนามาใช้ในทางคงกระพนั ชาตรี ด้วยการนาหวั ว่านมาแกะเป็นรูปพญา
กว้าง ยาวประมาณ 0.6 มิลลเิ มตร กลบี ดอกเป็นรูปไข่กว้างประมาณ 2 มลิ ลเิ มตร และยาวประมาณ 5-6 วานร แล้วเสกด้วยคาถาพทุ ธคุณ "อติ ิปิโส ภะคะวา - ภะคะวาต"ิ 3-7 จบ แล้วอมไว้หรือพกติดตวั ไว้ จะทาให้
มิลลเิ มตร จานรองดอกเป็นรูปโถ ศตั รูแพ้พา่ ย ถ้านามาแกะเป็นรูปพญานาคราช ให้เสกด้วย "เมตตา" 3-7 จบ เมือ่ ไปเจรจากบั ผ้ใู ด จะมแี ต่ผ้รู ัก
ใคร่ ปราถนาสงิ่ ใดกส็ าเร็จทกุ ประการ ถ้านามาแกะเป็นรูปพระพรหมแผลงศร ให้เสกด้วยคาถา "อติ ปิ ิโส ภะคะ
วา - ภะคะวาติ" 3-7 จบ ใครจะมาทาร้ายท่ิมแทงเราก็จะล้มทบั ตวั เอง

35.นมสวรรค์ ดอกนมสวรรค์ หรือ ดอกพนมสวรรค์ ออกเป็นชอ่ แบบแยกแขนงขนาดใหญ่ที่ปลายยอด ดอกมสี แี ดงหรือสี
ส้ม ช่อดอกเป็นชนั ้ คล้ายฉตั รหรือรูปไข่ ขนาดช่อดอกกว้างประมาณ 20-30 เซนตเิ มตรและยาวประมาณ
ช่อื สามญั Pagoda plant, Pagoda flower 30-35 เซนตเิ มตร ก้านชอ่ ดอกเป็นเหลย่ี ม กลบี ดอกสมมาตรด้านข้าง กลบี ดอกมี 5 กลบี มขี นกระจายด้าน
นอก สว่ นกลบี ดอกเป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ยาวประมาณ 0.7-1.4 เซนติเมตร มีขนและตอ่ มกระจายด้าน
นมสวรรค์ ช่ือวิทยาศาสตร์ Clerodendrum paniculatum L. (ช่ือพ้องวทิ ยาศาสตร์ Clerodendron pyramidale นอก
Andrews) จดั อยใู่ นวงศ์กะเพรา (LAMIACEAE หรือ LABIATAE)[1],[4],[5],[7],[8]
ผลนมสวรรค์ ผลมีลกั ษณะกลม มีขนาดเลก็ สเี ขียว ผลผนงั ชนั ้ ในแข็ง ทรงกลม มี 2-4 พู มเี ส้นผา่ นศนู ย์กลาง
สมนุ ไพรนมสวรรค์ มีชอ่ื ท้องถิน่ อ่นื ๆ วา่ สาวสวรรค์ พนมสวรรค์ เขม็ ฉตั ร (นครพรม), ฉตั รฟ้า สาวสวรรค์ ประมาณ 5-9 เซนตเิ มตร ผลเม่อื สกุ แล้วจะเปล่ียนเป็นสนี า้ เงินแกมเขียวหรือสีดา และในผลมเี มลด็ เดียว มี
(นครราชสีมา), นา้ นมสวรรค์ (ระนอง), พวงพีเหลอื ง (เลย), หวั ลงิ (สระบุรี), ปิง้ แดง (ภาคเหนอื ), นมหวนั (ภาคใต้), ลกั ษณะแขง็
ปรางมาลี (ภาคกลาง), โพโก่เหมาะ (กะเหร่ียงแดง), พ่หู มวก เป็นต้น
สรรพคณุ ของนมสวรรค์
ลักษณะของนมสวรรค์
ต้นนมสวรรค์ชว่ ยลดไขมนั ในเส้นเลอื ด (ราก, ดอก, ต้น)
ต้นนมสวรรค์ หรือ ต้นพนมสวรรค์ จดั เป็นไม้พ่มุ สงู มีลาต้นตรงและเป็นเหลย่ี มสเี่ หลยี่ มเป็นข้อ ๆ และไม่มีกง่ิ แต่มี
ก้านใบซงึ่ จะแตกออกจากตรงลาต้นโดยตรง ลาต้นมคี วามสงู ได้ถึง 3 เมตร สว่ นเปลอื กต้นมีลกั ษณะเรียบ เป็นสี รากและเหง้ามีฤทธ์ิชว่ ยลดความดนั โลหติ โดยพบว่ารากและเหง้ามนี า้ มนั หอมระเหย มกี ลนิ่ เฉพาะตวั และมี
นา้ ตาลแกมเขียว[7] ขยายพนั ธ์ดุ ้วยการใช้เมลด็ มีเขตการกระจายพนั ธ์ใุ นประเทศจนี มาเลเซีย และฟิ ลปิ ปินส์ สาร 2-asarone ซงึ่ มีฤทธ์ิชว่ ยลดความดนั โลหติ แต่มีรายงานพบว่าเป็นพิษต่อตบั และอาจทาให้เกดิ
สว่ นประเทศไทยอาจพบได้ตามชายป่ า โรคมะเร็งได้ จึงต้องรอการศกึ ษาความเป็นพิษเพ่ิมเตมิ กอ่ นการนามาใช้ (ราก)

ใบนมสวรรค์ ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามสลบั ตงั ้ ฉาก ลกั ษณะของใบเป็นฝ่ามอื รูปไขก่ ว้างหรือรูปไขเ่ กือบกลม รากใช้ฝนกบั นา้ ดืม่ แก้ไข้ ช่วยแก้ไข้มาลาเรีย แก้ไข้เหนอื (ราก)
ใบกว้างประมาณ 7-38 เซนติเมตรและยาวประมาณ 4-40 เซนติเมตร ขอบใบหยกั เว้าลกึ เป็นแฉก 3-7 แฉก
ปลายแฉกจะแหลม ฐานใบเป็นรูปหวั ใจ ขอบใบเป็นจกั คล้ายฟันเลื่อย ผวิ ใบมีขนและตอ่ มกระจายอย่ทู งั ้ 2 ด้าน ประโยชน์ของนมสวรรค์
สว่ นหลงั ใบเรียบมีสเี ขียวเข้ม สว่ นท้องใบมขี นสากระคายมือและมีสอี ่อนกว่า และมีก้านใบยาวประมาณ 3-15
เซนติเมตร หรืออาจยาวกว่า มีร่องตามยาว ประโยชน์นมสวรรค์ ในปัจจบุ นั ได้มีการเพาะปลกู ต้นไม้นมสวรรค์เพ่ือเป็นไม้ประดบั กนั มากขนึ ้ เน่ืองจาก
ดอกนมสวรรค์มสี แี ละรูปทรงที่สวยงาม

ยอดอ่อน ใบไม่อ่อนไม่แก่ นามาใช้ประกอบอาหารได้ เช่น การทาแกง (คนเมือง

มีกลน่ิ เหมน็ เขยี วเลก็ น้อย หากนามาปรุงอาหารกลนิ่ จะหายไป ด้วยการหนั่ เป็นฝอยใส่ลงในกะทแิ ล้วใช้รอง
ก้นกระทงสาหรบั หอ่ หมก แล้วนาหอ่ หมกไปนง่ึ ให้สกุ ใบของนมสวรรค์กจ็ ะไม่มกี ลนิ่ เหม็นเขยี ว อกี ทงั ้ ยงั ชว่ ย
ให้มีรสชาติหวานชวนน่ารับประทานยิ่งขนึ ้

ผลนมสวรรค์สามารถนามาเป็นสยี ้อมผ้าได้ โดยจะให้สมี ว่ งแดง

34.ต้นแก้ว ดอกแก้ว ออกดอกเป็นช่อสนั ้ ๆ ตามซอกใบ ดอกยอ่ ยเป็นสขี าวและมีกลน่ิ หอมจดั กลบี ดอกมี 5 กลบี หลดุ ร่วง
ได้ง่าย กลบี ดอกมีลกั ษณะเป็นรูปกลมรี ยาวประมาณ 2-2.5 เซนตเิ มตรและกว้างประมาณ 7-9 มิลลเิ มตร โคน
ชือ่ สามัญ Andaman satinwood, Chanese box tree, Cosmetic bark tree, กลบี ดอกติดกนั ดอกมเี กสรเพศผ้จู านวน 10 ก้าน สว่ นกลบี เลยี ้ งดอกมี 5 กลบี สามารถออกดอกได้ตลอดทงั ้ ปี
Orange jasmine, Orange jesชื่อวิทยาศาสตร์ Murraya paniculata (L.) Jack
(ชือ่ พ้องวิทยาศาสตร์ Murraya exotica L.) จัดอยใู่ นวงศ์ส้ม ผลแก้ว ลกั ษณะของผลเป็นกลมรีหรือเป็นรูปไข่ ปลายสอบเล็กน้อย ผลมขี นาดกว้างประมาณ 5-8 มิลลเิ มตร
(RUTACEAE)[1],[2],[3],[4],[5] และยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ผลออ่ นเป็นสเี ขียว เมอื่ สกุ เป็นสแี ดงอมส้ม ผิวผลมตี ่อมนา้ มนั เห็นได้ชดั เจน
ภายในผลมีเมลด็ ประมาณ 1-2 เมลด็ เมลด็ มีลกั ษณะรีหรือเป็นรูปไข่ ปลายสอบ
สมนุ ไพรแก้ว มีชื่อท้องถน่ิ อืน่ ๆ วา่ จ๊าพริก (ลาปาง), แก้วลาย (สระบรุ ี), แก้วขีไ้ ก่ (ยะลา), แก้ว
พริก ตะไหลแก้ว (ภาคเหนอื ), แก้วขาว (ภาคกลาง), กะมนู งิ (มลาย-ู ปัตตานี), จว๋ิ หลเี่ ซยี ง (จีน สรรพคณุ ของต้นแก้ว
กลาง) เป็นต้น[1],[2],[3],[4]
ใบมรี สร้อนเผด็ และขม ช่วยบารุงธาตใุ นร่างกาย (ใบ)
ลักษณะของต้นแก้ว
ช่วยคลายการอดุ ตนั ของเส้นเลอื ด ทาให้การไหลเวียนของเลอื ดลมเป็นไปได้ดีขนึ ้ (ราก) ชว่ ยแก้อาการวงิ เวียน
ต้นแก้ว เป็นพนั ธ์ไุ ม้ทมี่ ีถิน่ กาเนิดในเอเชยี ใต้ เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ประเทศจีน และใน ศีรษะ (ดอก, ใบ)
ออสเตรเลยี [7] ในประเทศไทยสามารถพบได้ทว่ั ทุกภาคในป่ าดิบแล้งจากทร่ี าบสงู จนถงึ ที่ระดบั
ความสงู จากระดบั นา้ ทะเลประมาณ 400 เมตร[8] โดยจัดเป็นไม้พมุ่ กง่ึ ไม้ยนื ต้นไม่ผลดั ใบขนาด ช่วยแก้อาการไอ (ดอก, ใบ)
เลก็ มคี วามสงู ของต้นประมาณ 5-10 เมตร ต้นแตกกิ่งก้านเป็นพ่มุ กลมแนน่ ทบึ เปลอื กลาต้นเป็น
สเี ทาแตกเป็นร่อง ๆ เนือ้ ไม้สขี าวนวล เจริญเตบิ โตได้ดีในดนิ ร่วนท่ีระบายนา้ ได้ดี ชอบแสงแดดเต็ม ประโยชน์แก้ว
วนั -ราไร และความชนื ้ ปานกลาง-ตา่ ขยายพนั ธ์ุด้วยวธิ ีการเพาะเมลด็ และวธิ ีการตอนsamine,
Satin wood ก้านใบสามารถนามาใช้ทาความสะอาดฟันได้

ใบแก้ว ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายใบค่ี ออกเรียงสลบั มใี บยอ่ ยประมาณ 5-9 ใบ ผลสกุ สามารถนามาใช้รับประทานเป็นอาหารได้
ลกั ษณะของใบเป็นรูปไข่ ปลายและโคนใบแหลม ขอบใบเป็นคลนื่ หรือหยกั มนเลก็ น้อย ใบมขี นาด
กว้างประมาณ 1-3 เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 2-7 เซนติเมตร แผน่ ใบคล้ายแผ่นหนงั บาง ๆ ต้นแก้วเป็นไม้ประดบั ท่ีมที รงพมุ่ สวยงาม ตดั แตง่ เป็นพมุ่ ได้งา่ ย เป็นไม้ที่มีความทนทานตอ่ สภาพแวดล้อมได้ดี
และไม่ต้องการการบารุงรักษามากนกั เพยี งแต่รดนา้ เพยี งครัง้ คราวเท่านนั ้ จงึ นยิ มนามาใช้ปลกู เป็นไม้ประดบั
หรือไม้ประธานตามสวนหยอ่ ม ริมทะเล ฯลฯ โดยจะปลกู เป็นต้นเดี่ยว ๆ หรือใช้ปลกู แบบเป็นกลมุ่ ๆ ก็ได้ หรือใช้
ปลกู เป็นรัว้ บงั สายตา ใช้ปลกู เพ่ือให้ร่มเงากไ็ ด้ อกี ทงั ้ ยงั ออกดอกดก ดอกมีความสวยงามและมกี ลน่ิ หอม (การ
ปลกู จากก่งิ ตอนจะเป็นไม้พ่มุ แตก่ ารปลกู ในที่ร่มใบจะเขยี วเข้ม มีก่ิงยดื ยาว และให้ดอกน้อย)

33.พวงชมพู ดอกพวงชมพู ออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกเป็นแบบช่อกระจะแยกแขนง ออกตามซอกใบ ซอกก่ิง และท่ี
ปลายยอด ช่อแขนงยาวประมาณ 1-5 เซนตเิ มตร สว่ นปลายช่อสดุ จะมีสาหรบั เกาะเก่ยี วสง่ิ อ่นื ๆ เพอ่ื
ชือ่ สามัญ Mexican Creeper, Bee Bush, Bride's tears, Coral Vine, Chain of Love, Confederate Vine, เป็นการพยงุ ตวั ดอกออกเป็นกระจกุ ตามแขนงช่อ ดอกบางทีก็มีสขี าว บางทีกม็ ีสชี มพู แก่บ้างอ่อนบ้าง
แต่สว่ นใหญ่ดอกจะเป็นสชี มพู ก้านดอกยาวประมาณ 1 เซนติเมตร กลบี รวมมี 5 กลบี ยาวประมาณ
Corallita, Hearts on a Chain, Honolulu Creeper, Queen's Jewels, Mountain Rose Coralvine, San 1.2 เซนติเมตร ขยายในผล ยาวได้ประมาณ 2 เซนตเิ มตร กลบี นอกมี 2-3 กลบี ลกั ษณะเป็นรูปไข่
Miguelito Vine, Rose Pink Vine สว่ นกลบี ในเป็นรูปขอบขนาน

พวงชมพู ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Antigonon leptopus Hook. & Arn. (ช่ือพ้องวิทยาศาสตร์ Antigonon amabie ผลพวงชมพู ผลเป็นผลแห้งเมลด็ ลอ่ น ลกั ษณะของผลเป็นรูปสามเหลย่ี ม ยาวประมาณ 0.6-1
เซนติเมตร มีกลบี รวมทีข่ ยายห้มุ
K.Koch, Antigonon cinerascens M.Martens & Galeott, Antigonon cordatum M.Martens & Galeotti,
สรรพคณุ ของพวงชมพู
Antigonon platypus Hook. & Arn., Corculum leptopus Stuntz) จดั อยใู่ นวงศ์ผกั ไผ่
(POLYGONACEAE) รากและเถาใช้เป็นยากลอ่ มประสาท ช่วยทาให้นอนหลบั ด้วยการใช้เถาประมาณ 1 กามือ หรือใช้ราก
ประมาณ 1/2 กามอื นามาต้มกบั นา้ 4 ถ้วยแก้ว แล้วต้มให้เหลือ 2 ถ้วยแก้ว ใช้รบั ประทานกอ่ น
สมนุ ไพรพวงชมพู มีช่ือท้องถน่ิ อ่ืน ๆ ว่า ชมพพู วง (กรุงเทพฯ), หงอนนาก (ปัตตาน)ี , พวงนาก (ภาคกลาง) นอนครงั ้ ละ 3 ช้อนแกง (ราก, เถา)
เป็นต้น
ประโยชน์ของพวงชมพู
ลกั ษณะของพวงชมพู
ยอดอ่อนและชอ่ ดอกทย่ี งั ไมบ่ านเต็มที่ อาจนามาลวกให้สกุ เพ่อื ใช้รับประทานเป็นผกั จิม้ หรือชบุ แป้ง
ต้นพวงชมพู มีถ่นิ กาเนดิ ในแถบอเมริกากลาง พบมากในประเทศเม็กซิโก จดั เป็นไม้เถาเลอื ้ ยท่มี เี ถาเนอื ้ ออ่ น ทอดรับประทานกไ็ ด้[3]
ขนาดเลก็ แตต่ รงสว่ นโคนจะแข็งแรงมาก ลาเถาเป็นสเี ขียวออ่ น มีมือสาหรบั ยดึ เกาะพนั ต้นไม้หรือกิ่งอน่ื เพอื่
การทรงตวั และสามารถเลอื ้ ยพนั สงิ่ ตา่ ง ๆ ไปได้ไกลประมาณ 40 ฟตุ ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวิธีการเพาะเมลด็ การ ใช้ปลกู เป็นไม้ประดบั ทวั่ ไป ดอกมีความสวยงามสเี ย็นตาไม่ฉดู ฉาดเกนิ ไป พวงชมพเู ป็นไม้ปลกู ง่ายและ
ตอน และการปักชากงิ่ พวงชมพเู ป็นไม้กลางแจ้งที่ต้องการแสงแดดมาก ต้องการนา้ ปานกลาง เจริญเตบิ โตได้ สามารถออกดอกได้ตลอดทงั ้ ปี ไม่มโี รคและแมลงมารบกวนจนถงึ ขนั ้ เสยี หาย เหมาะแก่การนามาปลกู
ดีในดนิ แทบทกุ ชนดิ ทมี่ คี วามชนื ้ พอสมควร นยิ มนามาปลกู เป็นไม้ประดบั ทว่ั ไปในเขตร้อน แตใ่ นบางประเทศ ลงในกระถางตงั ้ ท่ีมหี ลกั สาหรับเกาะยดึ เลอื ้ ยขนึ ้ ไป ปลกู ลงในกระถางแขวนให้ห้อยลง ปลกู ประดบั ตาม
พบขนึ ้ เป็นวชั พชื ริมขอบหน้าต่างและระเบียง หรือใช้ปลกู คลมุ ซุ้มทีน่ ง่ั เพื่อให้ร่มเงา หรือปลกู ขนึ ้ คลมุ ต้นก็ดสู วยงามไม่
น้อย ออกดอกดกมากในช่วงฤดแู ล้ง คือในช่วงประมาณเดอื นมนี าคมถงึ เดอื นเมษายน แตค่ วรนามา
ใบพวงชมพู ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลบั กนั ไปตามข้อต้น ใบช่วงโคนมกั มีขนาดใหญ่กว่าใบชว่ งปลายกิง่ ปลกู ในบริเวณท่ีมีแสงแดดสอ่ งถงึ เพราะพรรณไม้ชนิดนีต้ ้องการแสงมาก สว่ นการรดนา้ ควรรดนา้ วนั ละ
ลกั ษณะของใบเป็นใบโพธิ์หรือรูปหวั ใจ ปลายใบแหลมหรือแหลมยาว โคนใบมนเว้าเป็นรูปหวั ใจ สว่ นขอบใบ 1-2 ครงั ้
จกั มนไม่แหลมหรือเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 6-8 เซนติเมตร แผ่นใบ
เกลยี ้ ง เส้นแขนงใบและเส้นแขนงยอ่ ยชดั เจน ก้านใบยาวประมาณ 0.5-1.5 เซนติเมตร

32.สายนา้ ผงึ ้ ดอกสายนา้ ผงึ ้ ออกดอกเป็นชอ่ ตามซอกใบและปลายกิ่ง ชอ่ ละ 2 ดอก ก้านใบชูชอ่ สนั ้ มขี นน่มุ
ลกั ษณะของดอกเป็นหลอดเลก็ ๆ ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร สว่ นปลายแยกเป็นรูปปาก กลบี ดอก
ชอ่ื สามัญ Japanese Honeysuckle, Honeysuckle, Lonicera, Woodbine เป็นสคี รีม โคนกลบี ดอกเช่ือมตดิ กนั เป็นรูปกรวยแหลมยาว ปลายแยกเป็นปาก 2 ปาก ลา่ งและบน
ปากลา่ งมี 1 กลบี สว่ นปากบน 4 กลบี ดอกมีใบประดบั คล้ายใบ 1 คู่ สว่ นนอกกลบี จะมขี นปกคลมุ อยู่
สายนา้ ผงึ ้ ช่ือวิทยาศาสตร์ Lonicera japonica Thunb. (ชอ่ื พ้องวทิ ยาศาสตร์ Lonicera brachypoda Siebold, กลบี รองดอกติดกนั ปลายแยกเป็นรูปสามเหลยี่ ม ใจกลางดอกมเี กสรอยู่ 5 อนั ยื่นออกมา ดอกตมู หรือ
Lonicera japonica var. japonica) จดั อยใู่ นวงศ์สายนา้ ผงึ ้ (CAPRIFOLIACEAE)[1],[2],[3] ดอกท่เี ริ่มบานจะเป็นสขี าว พอตอ่ มาจะเปลย่ี นเป็นสเี หลอื งส้มหรือสเี หลอื งทองประมาณ 2-3 วนั
สามารถออกดอกได้ตลอดปี แตจ่ ะออกดอกมากในช่วงฤดูฝน และดอกจะมีกลน่ิ หอมในชว่ งเยน็ ใกล้
สมนุ ไพรสายนา้ ผงึ ้ มีชื่อท้องถิน่ อ่ืน ๆ ว่า กิมงิง่ ฮวย หยม่ิ ตงั ตงิ ้ (จนี แต้จว๋ิ ), เหย่ินตงเถิง จนิ หยงิ ฮวั จินอนิ๋ ฮวา ซวงฮัว มืดจนถงึ เช้าก่อนแดดออก
(จีนกลาง) เป็นต้น[3],[4]
ผลสายนา้ ผงึ ้ ผลเป็นผลสด ลกั ษณะเป็นรูปทรงกลม มีขนาดประมาณ 6-7 มลิ ลเิ มตร ผิวผลเกลยี ้ ง
ลักษณะของสำยนำ้ ผึง้ เรียบเป็นมนั เงา ผลเม่อื สกุ จะเป็นสดี า

ต้นสายนา้ ผงึ ้ มีถน่ิ กาเนิดในแถบเอเชยี เช่น ประเทศไทย จนี ญี่ป่ นุ จดั เป็นไม้เถาเลือ้ ยพนั มอี ายหุ ลายปี มีความยาว สรรพคุณของสำยนำ้ ผึง้
ประมาณ 9 เมตร เถามีลกั ษณะกลมเป็นสนี า้ ตาล สว่ นเนือ้ ในเถากลวง แตกก่ิงก้านสาขาออกมากมายเป็นทรงพมุ่
ตามกงิ่ อ่อนมขี นสนั ้ น่มุ สนี า้ ตาลปกคลมุ ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวิธีการปักชา ตอนกิง่ และเพาะเมลด็ (แตก่ ารปักชาเป็นวธิ ีที่ ดอกมีรสหวานเย็น ใช้ดอกสดหรือดอกแห้ง นามาชงดืม่ แทนชา จะมีสรรพคุณเป็นยาอายวุ ฒั นะ ทาให้
ได้ผลดีท่ีสดุ ) โดยจดั เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ท่ีเจริญเตบิ โตได้ดสี วยในดนิ ร่วนซุยและมีความชนื ้ ปานกลาง มกั พบขนึ ้ กระปรีก้ ระเปร่าและอายยุ นื (ดอก)
มากทางป่ าแถบภเู ขา
ดอกนามาคนั ้ รับประทานเป็นยาช่วยเจริญอาหาร (ดอกตมู )
ใบสายนา้ ผงึ ้ ใบเป็นใบเด่ยี ว ออกเรียงตรงข้ามกนั เป็นคู่ ก้านใบยาวประมาณ 4-10 มลิ ลเิ มตร ลกั ษณะของใบเป็น
รูปขอบขนานแกมรูปไข่ รูปไข่ รูปรี หรือรูปมนรี ปลายใบแหลมมีหางสนั ้ โคนใบมน หรือตดั หรือเว้าเข้าหากนั คล้าย ดอกมีสรรพคณุ เป็นยาแก้ความดนั โลหิตสงู (ดอก)
รูปหวั ใจ สว่ นขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1-4 เซนตเิ มตร และยาวประมาณ 3-8.5 เซนติเมตร หลงั ใบเป็น
สเี ขยี วเข้ม สว่ นท้องใบเป็นสเี ทาอมเขยี ว เนือ้ ใบออ่ นนมุ่ มีขนขนึ ้ ปกคลุ มเลก็ น้อย ช่วยแก้อาการมนึ เมา (ทงั ้ ต้น)

เถามรี สหวานชมุ่ เป็นยาสขุ มุ ออกฤทธ์ิตอ่ ปอดและหวั ใจ ใช้เป็นยาขบั พษิ ร้อนถอนพิษไข้ ชว่ ยทะลวง
ลมปราณ รักษาไข้อนั เกดิ จากการกระทบจากปัจจัยภายนอก (เถา)

หมายเหตุ : การใช้ดอกตาม ให้ใช้ดอกแห้งหรือดอกสดนามาชงดื่มแทนชา[1] สว่ นการใช้ตาม ถ้าเป็น
ดอกให้ใช้ดอกแห้งครงั ้ ละ 10-15 กรมั นามาต้มกบั นา้ รับประทาน หรือใช้ร่วมกับตวั ยาอืน่ ๆ ในตารบั
ยาตามต้องการ ถ้าใช้ภายนอก ให้นามาต้มเอานา้ ล้างแผล หรือเอากากพอกแผลได้ตามต้องการ สว่ น
เถาให้ใช้เถาแห้งครัง้ ละ 10-30 กรัม นามาต้มกบั นา้ รบั ประทาน หรือใช้ร่วมกบั ตวั ยาอ่ืน ๆ ในตารับยา
ตามต้องการ ถ้าใช้ภายนอกให้นามาต้มเอานา้ ใช้ล้างแผล หรือเอากากพอกแผลได้ตามต้องการ

31.กกลงั กา ดอกกกลงั กา ออกดอกเป็นช่อแบบช่อซ่ีร่มย่อยทีป่ ลายกงิ่ ชอ่ ดอกแตกแขนงย่อย 20-25 แขนง มีขนาดกว้าง
ประมาณ 12-20 เซนตเิ มตร มใี บประดบั รองรับช่อดอกประมาณ 4-10 ใบ มขี นาดกว้างประมาณ 6-10
ชอ่ื สามัญ Umbrella plant, Flatsedge มลิ ลเิ มตร และยาวประมาณ 15-25 เซนตเิ มตร แตล่ ะแขนงจะมีดอกยอ่ ยช่อละ 8-20 ดอก ดอกย่อยจะมีกาบห้มุ
ขนาดกว้างประมาณ 1 มิลลเิ มตร และยาวประมาณ 1-2 มิลลเิ มตร ดอกย่อยมีขนาดเลก็ เป็นสขี าวแกมเขยี ว เม่อื
กกลงั กา ช่ือวิทยาศาสตร์ Cyperus alternifolius L.[1],[2] สว่ นอีกข้อมลู ระบวุ ่า เป็นชนิดที่มชี ่อื ดอกแกจ่ ะเปลยี่ นเป็นสนี า้ ตาลอ่อน ก้านดอกเป็นเส้นเลก็ ๆ มีสเี ขียวอ่อน ยาวได้ประมาณ 6-7 เซนติเมตร
วิทยาศาสตร์วา่ Cyperus involucratus Rottb. (ชอื่ พ้องวิทยาศาสตร์ Cyperus alternifolius subsp.
flabelliformis Kük., Cyperus flabelliformis Rottb.)[4] โดยจดั อย่ใู นวงศ์กก (CYPERACEAE) ผลกกลงั กา ผลเป็นผลแห้ง ลกั ษณะของผลเป็นรูปทรงรียาว รูปรี หรือรูปไข่ มีขนาดกว้างประมาณ 0.4-0.5
มลิ ลเิ มตร และยาวประมาณ 0.9-1 มลิ ลเิ มตร ผลเป็นสนี า้ ตาล เปลอื กแข็ง มเี มลด็ เดยี ว
สมนุ ไพรกกลงั กา มชี ่อื ท้องถนิ่ อื่น ๆ ว่า กกขนาก, กกต้นกลม, หญ้าสเลบ็ , หญ้าลงั กา, กกดอกแดง
(พระนครศรีอยธุ ยา),[1], กกรังกา หญ้ากก หญ้ารงั กา (กรุงเทพฯ)[4], จิ่วหลงท่จู ู (จีนกลาง), เฟิ งเชอ สรรพคุณของกกลังกำ
เฉา่ (จีนแต้จว๋ิ ) เป็นต้น
ทงั ้ ต้นรวมทงั ้ รากและเหง้า มีรสเปรีย้ ว หวาน ขมเลก็ น้อย เป็นยา เยน็ ใช้เป็นยาฟอกเลอื ด ทาให้เลอื ดลม
ลักษณะของกกลังกำ ไหลเวยี นดี (ทงั ้ ต้น)[3]

ต้นกกลงั กา จัดเป็นพรรณไม้ล้มลกุ อายหุ ลายปี ลาต้นเหนือดินสร้างชอ่ ดอกและแตกเป็นกอ มีลาต้น เหง้ามรี สขม ใช้ต้มเอานา้ ด่ืมหรือนามาบดให้เป็นผงละลายกบั นา้ ร้อนด่มื เป็นยาบารุงร่างกาย บารุงธาตุ แก้ธาตุ
ใต้ดนิ เป็นเหง้าแข็งสนั ้ ๆ คล้ายจาพวกขิงหรือเร่ว ลาต้นตงั ้ ตรงไม่มีกิ่งก้าน มคี วามสงู ได้ประมาณ 100- พกิ าร เป็นยาทาให้เจริญอาหาร (เหง้า)
150 เซนติเมตร ลาต้นมีลกั ษณะเป็นเหล่ียมคอ่ นข้างกลมมน มีสเี ขียว ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวธิ ีการแยกหน่อ
เจริญเตบิ โตได้ดีในดนิ เหนียวท่ีชมุ่ ชนื ้ และมีอนิ ทรีย์วัตถสุ งู จนถงึ นา้ ลกึ 60 เซนติเมตร ชอบความชนื ้ สงู ใช้เหง้าต้มกบั นา้ ด่ืมหรือบดเป็นผงละลายกบั นา้ ร้อนด่ืมเป็นยาขบั เสมหะ แก้เสมหะ เสมหะเฟื่ อง และช่วยขบั
และแสงแดดแบบเตม็ วนั เป็นพรรณไม้ท่ีมักขนึ ้ ตามบริเวณทีท่ ีเ่ ป็นโคลนหรือนา้ เชน่ ข้างแมน่ า้ สระ ลา นา้ ลาย (เหง้า)
คลอง หรือบ่อนา้
ดอกใช้ต้มกบั นา้ ด่มื หรืออมกลวั ้ คอ เป็นยาแก้โรคในปาก เชน่ ปากเป่ือย ปากเป็นแผล ปากซีด (ดอก)
ใบกกลงั กา ใบเป็นใบเด่ียว แผ่นใบบาง ออกแผ่ซ้อน ๆ กนั อย่ปู ลายยอดของลาต้น ลกั ษณะของใบเป็น
รูปยาว ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ใบมขี นาดกว้างประมาณ 1 เซนตเิ มตร และยาวประมาณ 18-19 ประโยชน์ของกกลังกำ
เซนติเมตร แผน่ ใบเป็นสเี ขยี ว ใต้ท้องใบสาก ในต้นหนง่ึ ๆ จะมีใบประมาณ 18-25 ใบ
ในการใช้งานด้านภมู ทิ ศั น์ จะนิยมนาต้นกกลงั กามาปลกู ไว้เป็นไม้ประดบั ตามริมสระนา้ ในสวนหรือใช้ปลกู ใน
ภาชนะร่วมกบั ไม้นา้ อ่ืน ๆ

ใช้เป็นวสั ดใุ นงานหตั ถกรรมพนื ้ บ้าน

30.เสยี ้ วดอกขาว ฝักเสยี ้ วดอกขาว ฝักมีลกั ษณะแบน ฝักออ่ นเป็นสเี ขียว สว่ นฝักแก่เป็นสนี า้ ตาล เมอื่ แก่จะแตกเป็น 2
ซกี
ช่ือสามญั Mountain ebony tree[2], Orchid tree, Purple bauhinia[5]
สรรพคุณของเสีย้ วดอกขำว
เสยี ้ วดอกขาว ช่ือวิทยาศาสตร์ Bauhinia variegata L. (ช่อื พ้องวิทยาศาสตร์ Phanera variegata (L.)
Benth.) จดั อย่ใู นวงศ์ถ่วั (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอย่ใู นวงศ์ยอ่ ยราชพฤกษ์ ดอกใช้เป็นยาดบั พษิ ไข้ (ดอก)
(CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)
ฝักแก่มีรสหวาน ใช้เป็นยาถา่ ย ยาระบาย จงึ เหมาะสาหรบั ผ้ทู ี่มีอาการท้องผกู เป็นประจา (ฝัก)
สมนุ ไพรเสยี ้ วดอกขาว มชี ่ือท้องถ่นิ อน่ื ๆ ว่า เสยี ้ วป่ าดองขาว[5], เปียงพะโก, โพะเพ่[1], เสยี ้ ว(คนเมอื ง),
ลาปาน(ลวั ้ ะ), ไฮ่รูหร่า(ปะหลอ่ ง)[2] เป็นต้น ประโยชน์ของเสีย้ วดอกขำว

ลักษณะของเสีย้ วดอกขำว ดอกสามารถนาไปต้มแล้วนามาผดั กินได้ หรือจะทาเป็นเมนู "ยาดอกเสยี ้ ว" หรือ "ดอกเสยี ้ วชบุ แปง้
ทอด" สว่ นยอดอ่อนนาไปใช้ประกอบอาหาร เช่น ทาแกง ใช้ใสใ่ นแกงหน่อไม้ ส่วนดอกและใบอ่อนก็
ต้นเสยี ้ วดอกขาว จัดเป็นไม้ยืนต้นผลดั ใบ มีความสงู ของต้นได้ถงึ 15 เมตร ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวธิ ีการเพาะ สามารถนามาแกงได้เช่นกนั [2],[3],[4] ใบอ่อนและฝักออ่ นใช้รบั ประทานเป็นอาหาร นามาต้มกนิ กบั
เมลด็ เจริญเตบิ โตได้ดีในดนิ ท่ีระบายนา้ ดี มีความชนื ้ สงู และมแี สงแดดจดั มีถนิ่ กาเนิดในประเทศอินเดยี นา้ พริกหรือนาไปแกงกไ็ ด้
และมาเลเซีย มกั ขนึ ้ ตามป่ าเบญจพรรณทางภาคเหนือและทางภาคตะวนั ออกเฉียงใต้
ใช้ปลกู เป็นไม้ประดบั ริมข้างทางได้เป็นอย่างดี
ใบเสยี ้ วดอกขาว มีใบเป็นใบเดย่ี วออกสลบั กนั ลกั ษณะของใบเป็นรูปไข่กว้างถงึ ค่อนข้างกลม โดยมี
ลกั ษณะเป็น 2 พู ปลายใบเว้าลกึ สว่ นโคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ มขี นาดเส้นผา่ นศนู ย์กลางของใบประมาณ เปลอื กต้นมีสารแทนนนิ สามารถนามาใช้ย้อมแหและอวนให้คงทนแข็งแรงได้
6-18 เซนติเมตร และมเี ส้นใบออกจากโคนของใบ

ดอกเสยี ้ วดอกขาว ดอกมีกลน่ิ หอม ออกดอกเป็นช่อสนั ้ ตามกิง่ จานวนดอกน้อย ดอกมสี ขี าวกลบี ตงั ้ มี
เส้นริว้ ด้านในสเี หลอื งหรือสแี ดงชัดเจน (และสขี องดอกอาจแตกต่างไปจากนีข้ นึ ้ อย่กู บั สายพนั ธ์)ุ มีกลบี
ดอก 5 กลบี เมือ่ ดอกบานจะมขี นาดเส้นผ่านศนู ย์กลางประมาณ 7-12 เซนติเมตรและยาวประมาณ 20-
30 เซนติเมตร โดยจะออกดอกในชว่ งเดอื นมกราคมไปจนถงึ เดือนกมุ ภาพนั ธ์

29. จิกน้ํา ลักษณะของจิกนำ้

ช่อื สามัญ Indian oak, Freshwater mangrove ต้นจกิ นา้ เป็นไม้ยืนต้นประเภทผลดั ใบ มคี วามสงู ประมาณ 5-15 เมตร เรือนยอดเป็นพ่มุ รี
หรือแผก่ ว้าง มีลาต้นเป็นป่ มุ ปม เปลอื กสนี า้ ตาลแตกเป็นร่องและเป็นสนั แหลมตามยาว กิ่ง
จกิ นา้ ชอื่ วิทยาศาสตร์ว่า Barringtonia acutangula (L.) Gaertn. จดั อยใู่ นวงศ์จิก (LECYTHIDACEAE หรือ ก้านมกั คดงอ ปลายกงิ่ มกั ลลู่ ง ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวธิ ีการเพาะเมลด็ และการตอนกิง่ เป็นไม้ท่ีมี
ถิ่นกาเนิดทว่ั ไปในภมู ภิ าคเอเชยี ใต้และอฟั กานิสถาน ฟิ ลปิ ปินส์ ไปจนถงึ ทางตอนเหนือของ
BARRINGTONIACEAE) ประเทศออสเตรเลยี ในแถบรัฐควีนส์แลนด์ และสาหรบั ประเทศไทยบ้านเราก็จะพบต้นจิก
นา้ ได้ทว่ั ทกุ ภาคตามริมฝ่ังนา้ ริมคลอง ริมบงึ ป่ าพรุและป่ าชายเลน
สมนุ ไพรจิกนา้ มชี อ่ื ท้องถน่ิ อ่นื ๆ วา่ จ๊ิก (กรุงเทพ), กระโดนสร้อย (พิษณโุ ลก), ลาไพ่ (อตุ รดติ ถ์), กระโดนท่งุ กระโดน
นา้ (หนองคาย-ภาคอีสาน), ตอง ปยุ สาย (ภาคเหนือ), ตอง จิกนา้ (ภาคกลาง), จกิ , จิกนา, จิกอนิ เดีย, จกิ มจุ ลนิ ท์, ใบจิกนา้ มใี บเป็นใบเดี่ยว ใบออกเวยี นสลบั ถ่ที บ่ี ริเวณปลายก่งิ ลกั ษณะของใบเป็นรูปหอก
เป็นต้น หรือรูปไข่หวั กลบั หรือรูปรี โคนใบแหลม ปลายใบแหลมหรือมน ขอบใบเป็นจกั ถ่ี ๆ ใบอ่อน
เป็นสนี า้ ตาลแดงเข้มและมขี น ใบมีขนาดใหญ่เป็นมนั สวย เมือ่ เวลามีดอกจะทิง้ ใบ เหลอื
จิก เป็นชือ่ ของกลมุ่ ไม้ยนื ต้นที่มีอยมู่ ากกวา่ 10 ชนิด ซง่ึ สว่ นใหญ่จะอย่ใู นสกลุ Barringtonia ซงึ่ จิกที่คนไทยรู้จัก เพียงแตใ่ บอ่อนสแี ดง
ค้นุ เคยกนั ดีก็มแี ค่ 2-3 ชนดิ ได้แก่
ดอกจิกนา้ ออกดอกเป็นช่อกระจายท่ีปลายก่ิง ดอกห้อยลงมาเป็นระย้า ยาวประมาณ 30-
จิกนํ้า หรือ กระโดนสร้อย (Barringtonia acutangula (L.) Gaertn. Subsp. spicata (Bl.) Payens) 40 เซนติเมตร ดอกมีกลบี เลยี ้ ง 4 กลบี ติดทนอยจู่ นเป็นผล กลบี ดอกสนั ้ ปลายแยกเป็น 4
กลบี มีสแี ดงหรือสชี มพู หลดุ ร่วงได้งา่ ย เมื่อบานเตม็ ทีจ่ ะมีเส้นผ่านศนู ย์กลางประมาณ 2
จกิ สวน หรือ จกิ บ้าน ( Barringtonia racemosa Roxb.) เซนติเมตร มเี กสรตวั ผ้อู ย่เู ป็นฝอย ๆ

จกิ นา หรือ กระโดนทงุ่ (Barringtonia acutangula (L.) Gaertn.) ผลจิกนา้ ลกั ษณะของผลเป็นรูปขอบขนานหรือทรงกลม มีสนั เป็นเหลย่ี ม 4 สนั เรียงตาม
ความยาวของผล ในผลมเี มล็ดจกิ นา้ อยู่ 1 เมลด็ ลกั ษณะคล้ายรูปไข่
แต่ละชนิดจะมีลกั ษณะโดยรวมคล้ายคลงึ กนั แต่จะแตกต่างกนั ตรงลกั ษณะของดอก กลบี ดอก กลบี เลยี ้ งดอก
ขนาดของดอก สขี องดอก ลกั ษณะใบ เป็นต้น โดยบทความนเี ้ราจะพดู กนั ถงึ เร่ือง "จกิ นา้ " ซง่ึ สรรพคณุ และประโยชน์ สรรพคุณของจกิ นา้
สว่ นใหญ่ก็จะคล้าย ๆ กนั โดยต้นจิกชนดิ อน่ื ๆ ท่ีอาจพบได้บ้างกไ็ ด้แก่
ใช้รกั ษาเยื่อนยั น์ตาอักเสบ (เมลด็ )
จกิ (Barringtonia coccinea Kostel)
นา้ คนั ้ จากเมลด็ ใช้เป็นยาหยอดตาได้ (เมลด็ )
จกิ ใหญ่ (Barringtonia angusta Kurz)
เปลอื กใช้เป็นยาลดไข้และใช้รักษาไข้มาลาเรีย (เปลอื ก)
จิกเขา (Barringtonia fusifomis King)
จกิ นํ้ามีสรรพคณุ ของผลช่วยแก้หวัด แก้ไอ (ผล)
จิกดง (Barringtonia pauciflor King)
ช่วยแก้อาการไอในเดก็ (เมล็ด
จิกเล หรือ โดนเล (Barringtonia asiatica (L.) Kurz)

จิกนม หรือ จิกน่มุ (Barringtonia macorstachys Kurz)

28. พดุ ซ้อน ดอกพดุ ซ้อน โดยมากแล้วจะออกดอกเป็นดอกเดยี่ ว โดยจะออกตามงา่ มใบและปลายกงิ่ ดอกมขี นาด
ใหญ่ ลกั ษณะของดอกคล้ายกบั ดอกพดุ จีบ ดอกของพดุ ซ้อนจะเป็นสขี าวและมีกลบี ดอกซ้อนกนั หลาย
ชอ่ื สามัญ Cape jasmine, Gareden gardenia, Gerdenia, Bunga cina (มาเลเซีย), Kaca piring ชนั ้ โคนกลบี แหลม ปลายกลบี มนรี มีกลบี ดอกประมาณ 5-7 กลบี มขี นาดเส้นผ่านศนู ย์กลางประมาณ
7 เซนตเิ มตร เนือ้ น่มุ และมกี ลนิ่ หอมแบบออ่ น ๆ ดอกมเี กสรเพศผู้ 6 ก้านรูปแถบ ติดทป่ี ลายหลอดกลบี
พดุ ซ้อน ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Gardenia jasminoides J.Ellis (ช่อื พ้องวทิ ยาศาสตร์ Gardenia augusta Merr., Gardenia ดอก เกสรเพศเมยี ก้านเกสรยาว ยอดเกสรเป็นกระจกุ แน่น รังไข่จะอย่ใู ต้ฐานรองดอก สว่ นกลบี เลยี ้ งมี
florida L., Gardenia grandiflora Siebold ex Zucc., Gardenia radicans Thunb.) จดั อย่ใู นวงศ์เข็ม ประมาณ 5-8 แฉก ก้านดอกสนั ้ หรือไมม่ ีก้านดอก
(RUBIACEAE)
ผลพุดซ้อน ผลมีลกั ษณะกลมเป็นรูปไข่ ออกแบบหวั ทิ่มลง ผลอ่อนเมื่อสกุ แล้วจะเปล่ยี นเป็นสเี หลอื งทอง
สมนุ ไพรพดุ ซ้อน มีชอื่ ท้องถ่นิ อื่น ๆ วา่ เคด็ ถวา แคถวา (เชยี งใหม่), พดุ ป่ า (ลาปาง), พทุ ธรักษา (ราชบรุ ี), พุดฝรั่ง หรือเป็นสสี ้มถงึ แดง ผลมีขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลางประมาณ 1-1.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 3-7
(กรุงเทพฯ), พดุ สา พดุ สวน พดุ จบี (ภาคกลาง), พดุ , พดุ จนี พดุ ใหญ่ พดุ ซ้อน (ไทย), กีจอื ้ จือจอ่ื สยุ่ จือจอ่ื (จีนกลาง) เซนติเมตร เปลอื กผลมีเหลย่ี มตามยาว ประมาณ 5-7 เหลย่ี ม[3] ภายในมเี มล็ดอยปู่ ระมาณ 3-6 เมลด็
เป็นต้น เมลด็ จะมีเนอื ้ เยื่อห้มุ เป็นสแี ดง

ลักษณะของพุดซ้อน สรรพคุณของพุดซ้อน

ต้นพดุ ซ้อน มถี ่นิ กาเนิดในประเทศจีน[4] บ้างก็ว่าจดั เป็นพรรณไม้ดงั ้ เดิมของบ้านเรานเี่ อง[1] โดยจัดเป็นไม้พ่มุ เตีย้ หรือ รากและผลมีรสขม เป็นยาเยน็ ออกฤทธ์ิต่อหวั ใจและตบั ใช้เป็นยาดบั พิษร้อนถอนพิษไข้ ชว่ ยแก้อาการ
ไม้ยืนต้นขนาดเลก็ มีความสงู ได้ประมาณ 1-2 เมตร มลี กั ษณะทว่ั ไปคล้ายต้นพดุ จีบ แตจ่ ะแตกต่างกนั ที่วา่ พดุ ซ้อนจะ ร้อนใน ขบั นา้ ชนื ้ ทาให้เลอื ดเยน็ แก้ตวั ร้อน มไี ข้สงู (ราก, ผล)
ไม่มสี ขี าวอยใู่ นต้นและใบเหมอื นพดุ จีบ ลาต้นแตกกงิ่ ก้านมาก ลาต้นและกิง่ ก้านเป็นสเี ขยี ว ใบขนึ ้ ดกหนาทบึ สว่ นราก
ใต้ดินเป็นสเี หลอื งออ่ น นยิ มขยายพนั ธ์ดุ ้วยวิธีการตอนกงิ่ เนอ่ื งจากเป็นวิธีท่ีเหมาะสมทส่ี ดุ ต้องการแสงแดดจัดและ เนือ้ ไม้เป็นยาเยน็ ชว่ ยลดพิษไข้ (เนือ้ ไม้)[1] เปลอื กต้นและรากเป็นยาแก้ไข้ (เปลอื กต้น, ราก)
ความชนื ้ สงู หากปลกู ในท่ีมแี สงแดดไมเ่ พียงพอจะทาให้ไม่ค่อยออกดอก และการตดั แต่งทรงพมุ่ ให้โปร่งจะชว่ ยทาให้
ดอกมีขนาดใหญ่ขนึ ้ ได้[4],[5] โดยมักพบขนึ ้ ในป่ าดงดบิ ทางภาคเหนอื ช่วยกระจายเลอื ดท่อี ดุ ตนั (ผล)

ใบพดุ ซ้อน พดุ ซ้อนเป็นไม้ที่ออกใบหนาแนน่ ทาให้ดทู บึ โดยใบจะเป็นใบเด่ียวออกเรียงตรงข้ามหรือประกอบเป็นใบ 3 สรรพคุณของผลพุดซ้อนตำมตำรำกำรแพทย์แผนจนี
ใบ ลกั ษณะของใบเป็นรูปมนรีหรือรูปหอก ปลายใบแหลม โคนใบสอบ สว่ นขอบใบเรียบ เป็นขอบสขี าว ใบมีขนาด
กว้างประมาณ 2-5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 7-14 เซนตเิ มตร แผ่นใบเรียบมนั เป็นสเี ขียวเข้ม เนือ้ ใบหนา ก้านใบ กจี อื ้ (ผลพุดซ้อน) มีรสขมเยน็ มีฤทธ์ิขบั ความร้อน ระบายความร้อน แก้ไข้ แก้หงดุ หงิดกระวนกระวาย
สนั ้ มหี ใู บ 2 อนั อยรู่ ะหว่างก้านใบด้านละอนั ลกั ษณะของใบทวั่ ไปคล้ายใบพดุ จีบ แต่จะแตกต่างกนั ตรงทไ่ี ม่มยี างสี ชว่ ยเสริมความชนื ้ ทาให้เลอื ดเยน็ แก้เลอื ดกาเดาไหล แก้ปัสสาวะและอาเจียนเป็นเลอื ด (เนอื่ งจากเลอื ด
ขาวเทา่ นนั ้ มีพิษร้อน) แก้ดซี ่าน (ตวั เหลอื งจากความร้อนหรือร้อนชนื ้ ของตบั และถงุ นา้ ด)ี มีฤทธิ์บรรเทาอาการพษิ
อกั เสบ แก้พษิ อกั เสบของแผล ฝีอกั เสบ อาการบวมจากการกระทบกระแทก ลดบวมจากการอกั เสบ ชว่ ย
ระงบั อาการปวด แก้อาการอกั เสบบวมแดง

27.่วานสี่ทศิ สรรพคณุ ขอ่งวานสีท่ ศิ

ชอื่ วทิ ยาศาสต์ร Hippeastrum johnsonii Bury จัดอ์ยใู นว์งศ ์ใชรักษา์ฝประเภท์ตาง ๆ ์เชน์ฝมะ์มวง ลามะลอก์ฝหัวเดอื ย์ฝมะตอย์ฝประค์ารอย์ดวยการ
AMARYLLIDACEAE ์เชนเดียวกบั กระเทียม กยุ์ชาย พลบั พลึงขาว พลบั พลงึ แดง ์ใชหัวนามาโขลกผสมกบั เห์ลาโรง 40 ดกี รีแ์ลวนามาพอกบริเวณท์เ่ี ปน์ฝ
พลบั พลงึ ตีน์เปด หอมแดง และหอมให์ญ
ประโยช่นขอ่งวานส่ที ศิ
่ตน่วานสีท่ ศิ ์เปน์ไมดอก์พมุ สงู ประมาณ 35-60 เซนติเมตร มีลา์ตน์เปนหัวหรอื
เห์งาอ์ย์ใู ตดนิ โดย์สวนทโี่ ผ์ลขน้ึ มาจะ์เปน์สวนขอ์งกานและใบ โดยหัวขอ์งวานสที่ ศิ ์ใช์เปน์ไมดอก์ไมประดบั เพราะมีดอกและสีทงี่ ดงาม และยงั ถือ์วา์เปน์วานมงคลอีก์ดวย ในการ
จะมลี ักษณะค์ลายกบั หัวหอมให์ญ ข้นึ ์บานให์มคนไทยก็นยิ มปลูก์วานสีท่ ิศ์ไวในบรเิ วณ์บาน์ดวย์เชนกนั โดยจะปลูก์ไวทางทศิ
เหนอื ์ดวยเชอื่์วาจะ์ชวยเสรมิ ดวง์ใหเจรญิ ์กาวห์นา มีวาสนาบารม์ี ชวยปก์ปองคมุ ครองภัย์ตาง
ใบ่วานสี่ทิศ ใบจะมลี ักษณะค์ลายรูปหอกเรยี วยาว มสี เี ขยี วสด์เปนมนั ใบ์คอน์ขาง ๆ
หนา ขอบใบเรียบ ก์วางประมาณ 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 15-30 เซนติเมตร
์วานสี่ทศิ ตามความเชือ่ แ์ลวจะเปรยี บเสมือนกบั ์ตน์ไมเสี่ยงทาย หาก์ผเู ลย้ี ์งวานส่ที ิศสามารถ
ดอก่วานสท่ี ิศ ดอกจะออก์เปน์ชอทปี่ ลาย์กานประมาณ 4-8 ดอก หนั ไปทัง้ 4 ทิศ ปลูก์ใหออกดอกพ์รอมกนั ์ไดทง้ั ส่ดี อกน้ัน เช่ือ์วาจะทา์ให์ผเู ลย้ี งมโี ชคมีลาภ และใน์ชวงท์่วี าน
ดอกค์ลายรปู ์ถวย มขี นาดประมาณ 8-15 เซนติเมตร กลบี ดอกมี 6 กลีบ มที ้ังสี ส่ีทสิ กาลงั ออกดอกทง้ั ส่ีอ์ยนู น้ั ์ผเู ลี้ย์งวานสที่ ิศคิดการใดกจ็ ะประสบความสาเร็จ สมด่ัง
แดง สีชมพู และสขี าว โดย์วานสี่ทศิ จะออกดอกใน์ชวงเดอื นพฤษภาคมถงึ เดือน คาดหมายทุกประการ แ์ตหาก์ว์าวานสท่ี ศิ ทเี่ ลี้ยงอ์ยนู น้ั ออกดอก์ไมครบท้ังสด่ี อกหรอื ออกดอก
มถิ ุนายน และการปลูก์วานสท่ี ศิ จะขยายพัน์ธโุ ดยวิธีการแยกหัวในทรายหรอื ดนิ แ์ค 2 หรือ 3 ดอก กจ็ ะ์เปนเหมอื นจะ์เปนลางบอกเหต์วุ าจะมสี ่งิ ์ไมดเี กดิ แ์ก์ผูเลยี้ ง ดวงชะตา
ปลูก แ์ลวกลบดนิ ตืน้ ๆ เพียงคอหัว กาลังตก ซงึ่ ์ไม์เปนผลด์ีเทาไห์รนกั

่วานส่ที ิศ ( Wan-see-tit) ์เปนพรรณ์ไมอายุสนั้ ท์ตี่ องการน้าและความชืน้ ปาน
กลาง เวลาปลูกควร์ใส์ปยุ สูตรทมี่ ีโพแทสเซียม์ดวย เพราะจะ์ชวยบารงุ หัว์ใหโต เมือ่
ดอกโรยกร็ ดนา้ เลีย้ ์งตอไป์ใหหวั เกบ็ สะสมอาหารจนถ์ึงตนฤดหู นาว ์ไมหัว์สวนให์ญ
จะพกั ตวั จงึ ควรงด์ใหนา้ ใน์ชวงฤดูนี้

25. ลำโพง ผลลาโพงกาสลกั ลกั ษณะของผล์เปนรปู ทร์งคอน์ขางกลม มขี นาดประมาณ 1-1.5 นิ้ว
ผวิ ์เปนขนค์ลายหนาม์เปน์ตมุ เนอื้์ออน์เปน์ตมุ ๆ รอบ ขั้ว์เปนแ์ผนกลมหนาริมคม ผล
อวิทยาศาสตร์ Datura metel L. (Datura metel var. fastuosa (L.) Saff.) (ช่ือพ้องวิทยาศาสตร์ ์เปนสเี ขียวอม์มวง พอผลแ์หงจะแตกออก์ได ภายในผลมเี มลด็ จานวนมาก เมลด็ มี
Datura fastuosa L.) จดั อย่ใู นวงศ์มะเขือ (SOLANACEAE) ลกั ษณะกลมแบนค์ลายเมลด็ มะเขอื

สมนุ ไพรลาโพงกาสลกั มชี อ่ื ท้องถิ่นอืน่ ๆ วา่ มะเขอื บ้าดอกดา (ลาปาง), ลาโพงกาลกั (ชมุ พร, สุ สรรพคณุ ของลาโพงกาสลกั
ราษฎร์ธานี), กาสลกั , ลาโพงแดง, ลาโพงดา, ลาโพงกาสลกั (ภาคกลาง) เป็นต้น[1],[2],[3]
ดอกนามาหั่นตากแดดผสมกบั ยาสบู ์ใชสบู แ์กอาการหอบหดื แ์กการบบี ตวั ของหลอดลม
ต้นลาโพง หลกั ๆ ในบ้านเราท่ีนิยมนามาใช้ทายาจะมอี ย่ดู ้วยกนั 2 ชนิด คือ ลาโพงขาว (ต้นเขยี ว (ดอก)์สวนใบมีสรรพคุณแ์กหอบหดื และขยายหลอดลม (ใบ)
ดอกสขี าว), และลาโพงกาสลกั (ต้นสแี ดงเกือบดา ดอกสมี ่วงเป็นชนั ้ ๆ) และในด้านการทายาจะ
นยิ มใช้ลาโพงกาสลกั ดอกสมี ว่ งมว่ งดา ย่งิ ซ้อนชนั ้ มากยงิ่ มีฤทธิ์แรง[3] ราก์ใชสุม์ให์เปน์ถานปรงุ ์เปนยาแ์ก์ไขพิษ ์ไขกาฬ ์ไขเซื่องซึม (ราก)

ลกั ษณะของลำโพงกำสลกั เมลด็ มีรสเมาเบื่อ นามาคัว่ ์ใหหมดน้ามัน ์ใชปรงุ ์เปนยาแ์ก์ไข แ์ก์ไขกระสับกระ์สาย
(เมล็ด)
ต้นลาโพงกาสลกั จดั เป็นไม้ล้มลกุ มีอายหุ ลายปี มีความสงู ของต้นประมาณ 1-2 เมตร แตกกิ่งก้าน
เป็นพมุ่ ตามลาต้นและกิง่ ก้านเป็นสมี ่วง ใบมรี สขมเมาเบื่อ มีสรรพคุณ์ชวยแ์กสะอึกใน์ไขพษิ กาฬ (ใบ)

ใบลาโพงกาสลกั ใบเป็นใบเดยี่ ว ออกเรียงสลบั ลกั ษณะของใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน น้าค้ันจาก์ตนเม่อื นามาหยอดตาจะทา์ให์มานตาขยาย ์(ตน)
และไมเ่ ทา่ กนั สว่ นขอบใบจักเป็นซฟ่ี ันห่าง ๆ ใบมขี นาดกว้างประมาณ 8-15 เซนติเมตร และยาว
ประมาณ 10-20 เซนติเมตร พิษของลาโพงกาสลกั

ดอกลาโพงกาสลกั ออกดอกเดี่ยว โดยจะออกตามซอกใบ กลบี ดอกเป็นสมี ว่ ง โคนกลบี ดอกเช่ือม ผลและเมล็ดลาโพงกาสลกั ์เปนพิษ โดยมสี ารอัลคาลอย์ด hyoscine และ
ติดกนั ปลายกลบี บานเป็นรูปแตร กลบี ซ้อนกนั 2-3 ชนั ้ ดอกยาวประมาณ 3.5-5.5 นิว้ สว่ นกลบี hyoscyamine หากรบั ประทาน์เขาไป อาการที่แสด์งขา์งตน คือ ปากแ์หง กระหายน้า
เลยี ้ งดอกเป็นสเี ขียวตดิ กนั เป็นหลอดยาวประมาณคร่ึงหนง่ึ ของความยาวดอก มาก สายตาพ์รามัว์มานตาขยายและปรบั สายตา์ไม์ได ทา์ใหตา์ไม์สแู สง ผวิ หน์งั รอนแดง
มผี นื่ แดงตามใบห์นา คอ และห์นาออก มอี าการ์ไขข้นึ สูง ปวดศรี ษะ์รสู ึกสบั สน การ
ทางานของก์ลามเน้อื ผดิ ปกต์ิ ถาหาก์ไดรบั มากมจะมอี าการวกิ ลจรติ ์เพอคลงั่ เคลม้ิ์ฝน
และมีอาการทางจิตและประสาท ตาแข็ง ตื่น์เตน หายใจ์ได์ไมสะดวก พดู ์ไมออก หายใจ
์ได์ชาลง ตัวเขยี ว เม่อื แ์กพษิ จนหายแ์ลว จะมีอาการวกิ ลจริตตลอดไป เพราะรกั ษา์ไม
์คอยหาย

24.นา้ นมราชสหี ์เลก็ ดอกนำ้ นมรำชสีห์เลก็ ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบสนั ้ ๆ และไม่มีก้าน ดอกย่อยเป็นแบบ
Cyathium เรียงชิดกนั อยู่ มีประมาณ 1-3 ช่อ ดอกมีสชี มพอู มแดง สว่ นใบประดบั เป็นรูป
ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Euphorbia thymifolia L.[1] สว่ นอกี ข้อมลู ระบวุ ่าเป็นชนดิ Euphorbia humifusa แถบเลก็ ๆ มีอยหู่ ลายใบ ก้านช่อ Cyathium ยาวได้ประมาณ 1 มิลลเิ มตร และมีขน
Willd. โดยจดั อยใู่ นวงศ์ยางพารา (EUPHORBIACEAE) กระจายอยู่ โดยในแต่ละ Cyathium จะตดิ บนวงใบประดบั รูปถ้วย มีความสงู ประมาณ 0.8
มลิ ลเิ มตร มีต่อม 4 ต่อม แต่ละตอ่ มมขี นาดประมาณ 0.1 มลิ ลเิ มตร สชี มพอู มม่วง มีก้าน
สมนุ ไพรนา้ นมราชสหี ์เลก็ ยงั มีชอ่ื เรียกอน่ื อีกเช่น นมราชสหี ์เลก็ , เซยี วปวยเอย่ี งเชา่ หยจู บ๊ั เช่า (จีน) สนั ้ ทต่ี ่อมมีรยางค์เป็นแผ่นสนั ้ ๆ สชี มพู มขี นาดประมาณ 0.2 มิลลเิ มตร
เป็นต้น โดยต้นนา้ นมราชสหี ์เลก็ นีม้ ีเขตการกระจายพนั ธ์เุ ป็นวงกว้างและไม่ทราบถน่ิ กาเนิดท่แี น่ชดั แต่
สามารถพบได้ทวั่ ไปในเอเชียและแอฟริกา สาหรับในประเทศไทยจะพบขนึ ้ เป็นวชั พืชทว่ั ทกุ ภาคตาม ผลนา้ นมราชสหี ์เลก็ ผลมีลกั ษณะเป็นแบบแคปซลู มพี ู 3 พู มคี วามยาวประมาณ 1
ชายป่ า ที่รกร้าง ตามท้องนา และในพืน้ ท่ีโลง่ จนถงึ ระดบั ความสงู 800 เมตร[1],[2] มลิ ลเิ มตร มีขนสนั ้ และนมุ่ และก้านผลมคี วามประมาณ 0.3-0.4 มิลลเิ มตร เมลด็ มี 1 เมล็ด
ในแตล่ ะซีกผล เมลด็ มีสเี หลอื งอมนา้ ตาล ผิวมรี ่องตนื ้ ๆ ลกั ษณะของเมลด็ เป็นรูปรี เป็น
ลักษณะของนำ้ นมรำชสหี ์เล็ก เหลยี่ มเลก็ น้อย มีความยาวประมาณ 0.8 มิลลเิ มตร

ต้นนา้ นมราชสหี ์เลก็ จัดเป็นไม้ล้มลกุ ขนาดเลก็ มอี ายเุ พียงปีเดยี ว ลาต้นแตกก่ิงก้านสาขามาก ทอด สรรพคุณของนำ้ นมรำชสหี ์เล็ก
เลอื ้ ยเป็นวง มีขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร หรือลาต้นตงั ้ ตรง มคี วามสงู ได้
ประมาณ 15 เซนติเมตร ลาต้นก่งิ มีสชี มพอู มนา้ ตาลแดง มขี นขนึ ้ ราบเอนกระจายอยทู่ ่ีสว่ นต่าง ๆ ของ ชว่ ยแก้เด็กมอี าการตกใจกลวั งา่ ย ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 60 กรัม นามาล้างให้สะอาด
ลาต้น มนี า้ ยางสขี าว และตาให้ละเอยี ดผสมกบั นา้ ซาวข้าว แล้วเอาแตน่ า้ มาผสมกบั นา้ ผงึ ้ กนิ (ต้น)[2]

ใบนำ้ นมรำชสีห์เลก็ ใบเป็นใบเด่ยี วเรียงตรงข้ามในระนาบเดียวกนั ลกั ษณะของใบเป็นรูปรี มีความ ช่วยแก้หนู า้ หนวก (ทงั ้ ต้น)
ยาวประมาณ 4-9 เซนตเิ มตร กิ่งด้านข้างใบมขี นาดเลก็ กว่า โดยปลายใบมลี กั ษณะกลม มีหยักแหลม
เลก็ น้อย ส่วนโคนใบเบีย้ ว ข้างหนงึ่ เป็นติง่ คล้ายรูปหวั ใจ สว่ นขอบใบเป็นจกั คล้ายฟันเลอ่ื ยแบบหา่ ง ๆ ช่วยแก้ไข้จบั สน่ั ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 120 กรัม นามาต้มกบั นา้ ผสมกบั
ท่ีแผ่นใบจะมขี นขนึ ้ กระจายเลก็ น้อยทงั ้ สองด้าน และมีเส้นโคนประมาณ 3-5 เส้น มีเส้นแขนงใบไม่
ชดั เจนมากนกั โดยมีประมาณ 3 คู่ สว่ นก้านใบยาวได้ประมาณ 1 มิลลิเมตร เกลยี ้ ง ใบเบีย้ วส่วนหใู บ ประโยชน์นำ้ นมรำชสหี ์เล็ก
เป็นรูปแถบ
ทงั ้ ต้นนามาตาพอกผสมแอมโมเนียมคลอไรด์ ใช้นวดศีรษะเพอื่ ชว่ ยแก้รังแค

ใช้ผสมเป็นยาฉดี ไลย่ ุงและแมลง หรือใช้เป็นยาขบั พยาธิของสนุ ขั ในฟาร์มเลยี ้ งสนุ ัขจงิ ้ จอก

23.โกฐจฬุ าลมั พา ต้นโกฐจฬุ ำลัมพำ หรือ ชงิ เฮา (Artemisia annua L.) จะจดั เป็นไม้ล้มลกุ มีอายเุ พยี งปีเดยี ว มีความสงู ได้ประมาณ
0.7-2 เมตร แตกกิง่ มาก ทงั ้ ต้นมกี ลนิ่ แรง มีขนขนึ ้ ประปราย หลดุ ร่วงได้ง่าย สว่ นใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียง
โกฐจฬุ าลมั พา ชนิดท่ใี นหนงั สอื ใช้ชอื่ วิทยาศาสตร์วา่ Artemisia vulgaris L. จะจัดอย่ใู นวงศ์ทานตะวนั สลบั ชอ่ ดอกเป็นแบบช่อแยกแขนง ช่องยอ่ ยแบบชอ่ กระจกุ แน่น ลกั ษณะเป็นรูปกลมและมจี านวนมาก มสี เี หลอื งถงึ สี
(ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) มีชื่อสามญั ว่า Common wormwood และมีช่ือเรียกอ่ืนว่า เหลอื งเข้ม ก้านชอ่ ยอ่ ยมีขนาดสนั ้ ดอกย่อยตรงกลางจะเป็นดอกสมบรู ณ์ สว่ นผลจะเป็นผลแบบผลแห้ง
พิษนาศน์ พิษนาด (ราชบรุ ี), โกฐจฬุ าลาพา (กรุงเทพฯ), ตอน่า (เงีย้ ว-แม่ฮอ่ งสอน), เห่ยี เหยี่ เฮีย๊ ะ (จนี
แต้จ๋ิว), ไอ้เย่ ไอ้ อ้าย (จนี กลาง) เป็นต้น ข้อมลู ทำงเภสัชวิทยำของโกฐจฬุ ำลัมพำ

โกฐจฬุ าลมั พา อกี ชนิดหรือที่มชี ่อื เรียกโดยทว่ั ไปวา่ "ชิงเฮา" จะมีชื่อวิทยาศาสตร์วา่ Artemisia annua L. สารสาคญั ที่พบในโกฐจฬุ าลมั พา (ในหนงั สอื อ้างว่าเป็นชนิด Artemisia vulgaris L.) ในสว่ นของใบจะพบนา้ มนั ระเหย
(ชอ่ื พ้องวทิ ยาศาสตร์ Artemisia chamomilla C.Winkl., Artemisia annua f. annua) จดั อยใู่ นวงศ์ 0.02% ในนา้ มนั จะมีสาร Cineoleathujone, Phellandrene, Potassium Chloride, Vitamin A, Vitamin B, Vitamin
ทานตะวนั เชน่ เดยี วกนั ชนิดนีม้ ีช่อื สามญั วา่ Sweet warm wood, Quinghao และมีช่อื เรียกอ่ืนวา่ โกฐ C, Vitamin D สว่ นทงั ้ ต้นนนั ้ จะมีนา้ มนั ระเหยอย่ปู ระมาณ 0.2-0.33%[3]
จฬุ า โกฐจฬุ าลมั พาจนี (ไทย), แชเฮา แชฮาว (จนี แต้จิว๋ ), ชงิ เฮา ชิงฮาว (จนี กลาง) เป็นต้น
นา้ มนั ระเหยของโกฐจฬุ าลมั พา (ในหนงั สอื อ้างวา่ เป็นชนิด Artemisia vulgaris L.) สามารถกระต้นุ ผิวหนงั ได้เลก็ น้อย
ลักษณะของต้นโกฐจฬุ ำลัมพำ โดยทาให้ผิวหนงั มคี วามรู้สกึ ร้อนหรือมอี าการแดง หากนามารับประทาน 2-5 กรมั พบว่าสามารถช่วยยอ่ ยอาหารและ
เจริญอาหารได้ แตห่ ากรับประทานมากเกนิ อตั ราสว่ น จะทาให้กระเพาะอาหารและลาไส้อกั เสบอยา่ งเฉียบพลนั
ต้นโกฐจฬุ าลมั พา (ชนิดทใี่ นหนงั สอื ระบุชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Artemisia vulgaris L.) นนั ้ จดั เป็นพรรณ นอกจากนีน้ า้ มนั ระเหยยงั สามารถรกั ษาโรคหอบหดื อาการไอ ขบั เสมหะ ใช้แก้หลอดลมอกั เสบในหนทู ดลองได้ด้วย อีก
ไม้ล้มลกุ ขนาดเลก็ ลาต้นมีความสงู ได้ประมาณ 45-120 เซนตเิ มตร หรืออาจสงู ได้ถงึ 2 เมตร โคนต้นเป็น ทงั ้ ยงั มฤี ทธ์ิฆา่ เชือ้ ได้หลายชนิด เชน่ เชือ้ ของโรคคอตีบ เชือ้ แบคทเี รียทที่ าให้เกิดบิด เป็นต้น
เหง้าตดิ พืน้ ดนิ หรืออยใู่ ต้ดิน ลาต้นมีลกั ษณะกลมและมีร่อง ตงั ้ ตรง มขี นขนึ ้ ปกคลมุ แตกกิ่งก้านกลางต้น
ใบออกเรียงสลบั กนั ลกั ษณะของใบเป็นฝอยคล้ายผกั ชี ผิวใบเรียบ สว่ นขอบใบหยกั เป็นฟันเลอ่ื ย หลงั ใบ ประโยชน์ของโกฐจฬุ าลมั พา
มีขนสขี าวเลก็ น้อย สเี ทาเขียว สว่ นหน้าใบเป็นสเี ขยี ว ใบแตกเป็นแฉกแบบขนนก เป็นซ่ี ปลายใบแหลม
ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1.5-9 เซนตเิ มตร และยาวประมาณ 2.5-10.5 เซนตเิ มตร ผวิ ใบเรียบเกลยี ้ ง ก้าน สาหรบั โกฐจฬุ าลมั พาชนิด Artemisia argyi จีนจะนามาใช้เป็นวสั ดบุ าบดั โรคด้วยการรมยา (moxibuston)[1],[7]
ใบสนั ้ ดอกมขี นาดเล็กเป็นสขี าว
ใช้เป็นสมนุ ไพรไลห่ นู ด้วยการใช้ต้นโกฐจฬุ าลมั พา 2 ขดี , นา้ 1 ลิตร และจุลนิ ทรีย์หนอ่ กล้วยอีก 10 ซีซี นามาผสม
รวมกนั หมักทิง้ ไว้ 1 คนื แล้วคนั ้ เอาแต่นา้ ไปใช้ฉีดพน่ รอบแปลงนา (ใช้ในอตั ราสว่ นสารสกดั 100 ซซี ี ต่อนา้ 20 ลติ ร)
โดยใช้ฉดี พ่นรอบแปลงนาในระยะ 7-10 วนั อย่างตอ่ เนือ่ ง เพียงแค่นีก้ จ็ ะช่วยป้องกนั หนูมาทาลายต้นขาวในนาข้าวได้
แล้ว แถมยงั ปลอดภัยไร้สารเคมี ดีตอ่ นาข้าว และไม่เป็นอนั ตรายต่อสขุ ภาพอกี ด้วย

22. ดอกรกั เร่ ผลรัก่เร ผล์เปนผลแ์หงมลี ักษณะ์เปนรปู ขอบขนาน แบน ผวิ ผลเกลย้ี ง

รัก์เร ชื่อวทิ ยาศาสต์ร Dahlia pinnata Cav.จดั อ์ยูในว์งศทานตะวัน (ASTERACEAE หรอื COMPOSITAE) สรรพคณุ ของรกั ่เร

สมุนไพรรัก์เร มชี อ่ื เรยี กอื่น์วา รกั แรก รากหัว์ใชกบั หมูกิน์เปนยารักษาโรคหวั ใจ (รากหวั )[1]

ลกั ษณะของ่ตนรัก่เร รากหัว์ใชกับหมูกิน์เปนยารกั ษาอาการ์ไข (รากหวั )[1]

์ตนรกั ์เร ์เปน์ไมพ้ืนเมอื งของอเมรกิ ากลาง จดั ์เปนพรรณ์ไม์พมุ เนือ้์ออน ลา์ตนต้ังตรง แตกกงิ่์กานสาขามาก รากมี น้าคั้นจาก์ตนมีฤทธ์ิ์เปนยาปฏชิ ีวนะ์ออน ๆ สามารถ์ฆาเชอ้ื Staphylococcus ์ได
ลกั ษณะค์ลายหวั อ์ย์ใู ตดนิ ขยายพัน์ธ์ุดวยวิธกี ารเพาะเมลด็ ์ปกชากงิ่ ์ตอกง่ิ และ์ใชราก[1],[2] เจรญิ เติบโต์ไดดใี นท่ี ์(ตน)[1]
กลางแ์จงแดดจัด แ์ตมคี วามชน้ื พอเพยี ง ดินท์ีใ่ ชปลกู ควร์เปนดิน์รวนซยุ ระบายนา้ ์ไดดี มีธาตอุ าหารพชื พอควร และ
เกบ็ ความชืน้ ์ไดดี จึงจา์เปน์ตองหาวสั ดุคลุมดนิ ์ดวย ์เชน ฟาง ใบ์ไมแ์หง หรือเปลอื กถ่ัว ์เปน์ตน ประโยช่นของรัก่เร

ใบรัก่เร ใบออกตร์งขามกนั ์เปน์ชอในช้นั เดียวกัน แกนกลา์งชอม์ปี ก ปลายใบแหลม์สวนขอบใบจกั ์เปนซ์่ฟี นแกม์ฟน ใน์ตางประเทศนยิ มนามาปลูก์เปน์ไมประดบั หรอื ปลูก์เปน์ไมตดั ดอก เพราะ์เปน์ไม
เลอ่ื ย ใบ์ยอย์เปนสีเขยี ว์เขม หรือมขี ดุ แ์ตม์เปนส์มี วง ดอกอีกชนดิ หน่ึงทีม่ คี วามสวยงาม์ไมแ์พดอก์ไมชนดิ อ่ืน ๆ สวยทัง้ รูปทรงของดอก
และสสี นั ทส่ี วยสะดุดตา แ์ตใน์บานเรา์ไมนิยมปลกู กันมากนกั เนื่องจากมีช่ือท์ีไ่ ม
ดอกรกั ่เร ออกดอก์เปนกระจุกให์ญดอกเดยี วตรงปลายยอด ดอกมีขนาด์เสน์ผานศูน์ยกลางประมาณ 4 เซนตเิ มตร มี ์เปนมงคลนัก
หลายสี ์เชน ส์ีมวง สแี ดง์เขม ส์สี ม สีชมพู สีเหลอื ง เหลอื ง์ออน สีขาว์เปนลาย หรอื มีสองสีในดอกเดียวกัน กลบี ดอกมี
ลกั ษณะ์เปนรปู รางนา้ ขอบอาจตรงหรอื ์โคง์สวนกลีบดอกมลี ักษณะ์เปนรปู ์ทอ ปลายจกั ์เปนแฉก 5 แฉก อับเรณูมี
ลกั ษณะตรงโคนเรียบ ปลายแหลม์ทอเกสรเพศเมีย์เปน 2 แฉก ยาวและตรงปลายแหลม มขี น

22.ซ้องแมว ดอกซ้องแมว ออกดอกเป็นช่อแบบชอ่ กระจกุ โดยจะออกตามปลายยอด ดอกออกเป็นคู่
เรียงตรงข้ามสลบั ตงั ้ ฉาก ช่อดอกยาวได้ประมาณ 50 เซนติเมตร มีใบประดบั ขนาดใหญ่
ชื่อสามญั Parrot’s beak, Hedgelhog, Wild sedge, Ching-chai รองรับ ใบประดบั ลกั ษณะเป็นรูปไขก่ ว้าง สเี ขยี วออ่ นหรือมีสนี า้ ตาลแดงแซม ปลายแหลม
หรือเป็นตง่ิ แหลม ยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ติดทน ใบประดบั ทีป่ ลายชอ่ จะมขี นาดเลก็
ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Gmelina philippensis Cham. (ชือ่ พ้องวทิ ยาศาสตร์ Gmelina hystrix ตามลาดบั ก้านดอกสนั ้ หนา ดอกเป็นสเี หลอื ง กลบี เลยี ้ งเป็นรูปถ้วย ยาวได้ประมาณ 5
Schult. ex Kurz )[1],[2] จดั อยใู่ นวงศ์กะเพรา (LAMIACEAE หรือ LABIATAE)[2] มลิ ลเิ มตร เกอื บเรียบหรือจกั ตนื ้ ๆ 5 จกั ไมข่ ยายในผล สว่ นกลบี ดอกมลี กั ษณะเป็นรูป
ลาโพง ยาวได้ประมาณ 5 เซนติเมตร
สมนุ ไพรซ้องแมว มีชอื่ ท้องถนิ่ อน่ื ๆ ว่า ข้าวจ่ี (ทวั่ ไป), ซ้อแมว (ลาปาง), เลบ็ แมว (สระบรุ ี),
ส้มแมว (ราชบรุ ี), ยวงขนนุ (สรุ าษฎร์ธานี), จิง้ จ๊อ (ปัตตาน)ี , คางแมว หางกระรอกแดง ผลซ้องแมว ลกั ษณะของผลเป็นรูปทรงกลมรีหรือรูปไข่กลบั ยาวได้ประมาณ 1.2
(ภาคกลาง), คางแมว จงิ จาย (ภาคใต้), ปะงางอ (มลาย-ู ปัตตาน)ี เป็นต้น เซนติเมตร ผิวผลเรียบเป็นมนั ผลออ่ นเป็นสเี ขยี ว เมอ่ื สกุ แล้วจะเปลยี่ นเป็นสเี หลอื งเข้ม
ภายในผลมีเมลด็ ประมาณ 2-4 เมลด็
ลกั ษณะของซ้องแมว
สรรพคุณของซ้องแมว
ต้นซ้องแมว มีถิ่นกาเนดิ ในประเทศฟิ ลปิ ปินส์ จดั เป็นพรรณไม้พ่มุ รอเลอื ้ ย มคี วามสงู ได้
ประมาณ 2-6 เมตร เปลอื กลาต้นเรียบเป็นสนี า้ ตาลอ่อน ตามลาต้นมหี นามยาวใหญ่ มีช่อง รากมีรสขมเยน็ ใช้เป็นยาแก้กระษัย (ราก)
อากาศ ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวธิ ีการตอนหรือการปักชา ชอบดนิ ร่วน ต้องการนา้ ปานกลาง ควร
ปลกู ในที่ที่มแี สงแดดทงั ้ วนั ในประเทศไทยพบขนึ ้ ตามป่ าเบญจพรรณทวั่ ไป ออกดอกในช่วง รากใช้เป็นยาแก้ตานขโมย (ราก)
ประมาณเดอื นมีนาคมถงึ เดือนพฤษภาคม
รากหรือผลใช้เป็นยาแก้วัณโรค (ราก, ผล)
ใบซ้องแมว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกนั ลกั ษณะของใบเป็นรูปรีหรือจักคล้ายรูป
สเี่ หลย่ี มข้าวหลามตดั ปลายใบแหลมมน โคนใบมนหรือเรียวสอบ สว่ นขอบใบเรียบ ใบมี ใบมรี สขม นามาตาให้ละเอยี ด ใช้เป็นยาพอกสมุ ลงบนศีรษะ ชว่ ยแก้อาการปวดศีรษะ (ใบ)
ขนาดยาวประมาณ 1.5-7.5 เซนตเิ มตร แผ่นใบเกลยี ้ ง หลงั ใบและท้องใบเรียบ ด้านลา่ งมี
นวล มตี อ่ มประปราย กระจายทว่ั ไป เส้นแขนงใบมขี ้างละ 3-4 เส้น เรียงจรดกนั ก้านใบยาว ประโยชน์ของซ้องแมว
ประมาณ 1-2.5 เซนติเมตร
นยิ มนามาปลกู เป็นไม้ประดบั ทว่ั ไปในอินเดียและเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้

ใบสดนามาขยากบั นา้ ซางข้าวครงั ้ แรก แล้วนามาใช้หมักผม จะชว่ ยทาให้ผมเป็นประกาย
เงางาม

21 หมากผ้หู มากเมีย ใบหมำกผู้หมำกเมีย ใบออกเป็นวงสลบั กนั บริเวณสว่ นยอดของลาต้น ลกั ษณะของใบ
เป็นรูปยาวรี ปลายใบแหลม ใบมขี นาดกว้างประมาณ 2-4 นิว้ และยาวประมาณ 12-20
หมากผ้หู มากเมีย ชื่อสามญั Cordyline[3], Ti plant[5], Dracaena Palm[6] เซนตเิ มตร ใบเป็นสแี ดงเขยี วหรือสแี ดงม่วง[1] ทงั ้ นี ้ลกั ษณะของใบและสขี องใบก็ขนึ ้ อย่กู บั
สายพนั ธ์ทุ ี่ปลกู ด้วยครบั เพราะบางพนั ธ์ใุ บจะเป็นรูปใบหอกปลายแหลม บางพนั ธ์ใุ บเป็น
หมากผ้หู มากเมีย ช่อื วทิ ยาศาสตร์ Cordyline fruticosa (L.) A.Chev.[1] จดั อย่ใู นวงศ์หน่อไม้ฝร่งั (ASPARAGACEAE) รูปใบพาย หรือเป็นรูปเรียวแหลมแคบเป็นรูปเขม็ หรือใบแคบเรียวยาวแตกกิ่ง ใบทเี่ ป็น
และอยใู่ นวงศ์ย่อย LOMANDROIDEAE เหมือนใบอ้อยกม็ ี ซงึ่ แผ่นใบจะยาวเรียวแหลมมาก เป็นต้น

สมนุ ไพรหมากผ้หู มากเมีย มชี อ่ื ท้องถนิ่ อน่ื ๆ วา่ ปหู มาก (เชียงใหม)่ , หมากผู้ (ภาคเหนอื ), มะผ้มู ะเมีย (ภาคกลาง), ทิฉวิ่ ดอกหมำกผู้หมำกเมีย ออกดอกเป็นช่อ ยาวประมาณ 12 นิว้ โดยจะออกบริเวณยอดลา
ทิฉิว่ เฮียะ (จนี แต้จ๋ิว), เท่ียซู่ (จีนกลาง) เป็นต้น ต้น ช่อดอกยาวประมาณ 30 เซนตเิ มตร ลกั ษณะของดอกย่อยมีกลบี เลยี ้ งและกลบี ดอก
อยา่ งละ 6 กลบี กลบี ดอกเป็นรูปทรงกระยอก ดอกเป็นสมี ่วงแดงหรือสชี มพสู ลบั ด้วยสี
หมากผ้หู มากเมียมีอย่ดู ้วยกนั หลายชนดิ เนอื่ งจากมีการผสมพนั ธ์ุจนได้ชนดิ ใหม่ ๆ เพม่ิ ขนึ ้ เรื่อย ๆ จนยากทจ่ี ะทรายว่าต้น เหลอื งอ่อน ดอกมเี กสรเพศผู้ 6 อนั มรี งั ไข่ 3 ห้อง ในแต่ละห้องจะมผี ลอ่อน 4-6 ผล ดอก
ใดเป็นต้นพอ่ ต้นแม่ ซง่ึ สว่ นใหญ่จะเป็นพนั ธ์ุลกู ผสมของ C.terminalis เช่น พนั ธ์เุ พชรชมพู เพชรสายรุ้ง เพชรพนมรุ้ง เพชร ย่อยมีขนาดยาวประมาณ 1 เซนติเมตร
ประกายรุ้ง เพชรเจ็ดสี เพชรดารา เพชรนา้ หนง่ึ เพรชไพลนิ เพชรไพลนิ กลาย เพชรตาแมว เพชรอนิ ทรา เพชรเขอื่ นขนั ธ์ุ
เพชรไพฑรู ย์ เพยี งเพชร พ่มุ เพชร เปลวสรุ ิยา รัศมีเพชร รุ้งเพชร ชมพศู รี ชมพพู าน สไบทอง ไกเ่ ยาวลกั ษณ์ พนั ธ์แุ คระ เป็น ผลหมำกผู้หมำกเมยี ลกั ษณะของผลเป็นรูปทรงกลม ผลมขี นาดเส้นผา่ นศนู ย์กลาง
ต้น ประมาณ 5 มิลลเิ มตร ผลมลี กั ษณะฉ่านา้ ภายในผลมเี มลด็ ประมาณ 1-3 เมลด็

ลกั ษณะของหมำกผู้หมำกเมยี สรรพคุณของหมำกผู้หมำกเมีย

ต้นหมากผ้หู มากเมีย จดั เป็นพรรณไม้พ่มุ ขนาดเล็ก ลกั ษณะของลาต้นตงั ้ ตรง มีความสงู ของต้นประมาณ 1-3 เมตร ไมม่ ี รากมีสรรพคณุ เป็นยาฟอกเลอื ด ด้วยการใช้รากสดครัง้ ละ 30-60 กรัม ถ้ารากแห้งให้ใช้
กิ่งก้านสาขามากนกั จัดเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ขยายพนั ธ์ดุ ้วยการตอน การปักชาลาต้น การปักชายอด การปักชาเหง้า เพยี งครงั ้ ละ 15-20 กรมั นามาต้มกบั นา้ รับประทาน (ราก)
และการแยกลาต้น เจริญเตบิ โตได้ดีในดนิ เกือบทกุ ประเภท ชอบดินร่วนซุย ความชนื ้ ปานกลาง และแสงแดดปานกลางถงึ
ราไร มกั ขนึ ้ ใกล้แหล่งนา้ ที่มคี วามช่มุ ชนื ้ หรือใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มแี สงแดดราไร ใช้เป็นยาแก้พิษกาฬ (พษิ ทีเ่ กิดจากการตดิ เชอื ้ ) หรือนามาต้มหรือแชน่ า้ อาบแก้ไข้หวั (ไข้
ร่วมกบั ผน่ื หรือตมุ่ เชน่ หดั เหอื ด อสี กุ อีใส) (ใบ)

ใบมสี รรพคณุ เป็นยาแก้ไข้หวดั ไข้หวัดน้อย ไข้หวดั ใหญ่ ไข้กาเดา ไข้พษิ ไข้กาฬ ไข้หวั ตา่ ง
ๆ แก้ตวั ร้อน แก้ร้อนในกระหายนา้ (ใบ)

20.เฟิ ร์นเงิน หมายเหตุ : วิธีใช้ตาม [1] ให้ใช้ต้นแห้งครงั ้ ละประมาณ 20-35 กรัม นามาต้มกบั นา้
รบั ประทาน หรือใช้ร่วมกบั ตวั ยาอ่ืน ๆ ในตารบั ยา[1]
ชื่อสามญั Silver lace fern, Sword brake fern, Slender brake fern
ข้อมูลทำงเภสัชวิทยำของเฟิ ร์นเงนิ
เฟิ ร์นเงนิ ชื่อวิทยาศาสตร์ Pteris ensiformis Burm. f. จดั อยใู่ นวงศ์ PTERIDACEAE และอย่ใู นวงศ์ย่อย
PTERIDOIDEAE[3] สารท่ีได้คือสารจาพวก Flavonoid glycoside, Amino acid, Phenols เป็นต้น

สมนุ ไพรเฟิ ร์นเงนิ มชี อ่ื ท้องถิน่ อ่นื ๆ วา่ เฟิ นเงนิ เฟิ นแซเ่ งนิ เฟิ ร์นเงนิ ใบเขยี ว (ไทย), เฟ่ิ งกวนเฉ่า เฟิ งเหวย่ เฉ่า เมอ่ื นานา้ ท่ตี ้มได้จากใบเฟิ ร์นเงินมาทดลองกบั เชอื ้ บิดอะมบี าทอ่ี ยู่ในทดลอง พบว่ามีฤทธ์ิ
(จีนกลาง) เป็นต้น[1],[2] ในการยบั ยงั ้ เชอื ้ บิดอะมบี าได้รายงานทางคลนิ ิก แก้บิดตดิ เชอื ้ ให้ใช้ยาแห้ง 500 กรมั นามา
ต้มกบั นา้ 5,000 ซซี ีประมาณ 1 ชว่ั โมง แล้วเอากากออก นานา้ ท่ตี ้มได้มาสกดั ให้มคี วาม
ลกั ษณะของเฟิ ร์นเงนิ เข้มข้นประมาณ 60 ซซี ตี อ่ ยาแห้ง 35 กรมั แล้วนามาให้คนไข้รบั ประทานครงั ้ ละ 60 ซีซี วนั
ละ 2 ครงั ้ โดยให้รบั ประทานตดิ ต่อกนั ประมาณ 3-4 วนั จากการรักษาผ้ปู ่ วยจานวน 85
ต้นเฟิ ร์นเงนิ จดั เป็นไม้ล้มลกุ มีอายหุ ลายปี มคี วามสงู ของต้นประมาณ 15-60 เซนติเมตร ลกั ษณะเป็นกอ ราย พบว่า ผ้ปู ่ วยมอี าการหายเป็นปกติ คิดเป็น 57% และหากรบั ประทานติดตอ่ กนั 6 วนั
ก้านใบยาวประมาณ 5-20 เซนติเมตร แทงขนึ ้ มาจากรากใต้ดนิ รากมีลกั ษณะกลมสนั ้ มเี กลด็ [1] เจริญเติบโต ขนึ ้ ไปจะสามารถถ่ายได้เป็นปกติ และในขณะทีท่ าการรกั ษาไมพ่ บว่าผ้ปู ่ วยมีอาการแพ้ยา
ได้ดีในบริเวณท่ีมีความชนื ้ สงู แสงแดดพอประมาณ และในสภาพดินโปร่ง หรือมอี าการเป็นพิษ

ใบเฟิ ร์นเงนิ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกซ้อนกนั มีประมาณ 3-5 คู่ และจะแตกแฉกออกอีกถงึ 1-3 คู่ ใบยอ่ ย ประโยชน์ของเฟิ ร์นเงนิ
เป็นรูปรียาว เรียวแคบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-15 เซนติเมตรและยาวประมาณ 10-25 เซนตเิ มตร ขอบใบ
มที งั ้ แบนเรียบและใบทีเ่ ตบิ โตไม่สมบรู ณ์จะเป็นแบบขอบหยักฟันเลอื่ ย บนใบจะมีสปอร์เป็นต่มุ ติดอย่ทู ่ีขอบใบ ใช้ปลกู เป็นไม้ประดบั ทวั่ ไป ใช้ประดบั ตกแตง่ อาคาร และจดั สวนได้ดี
แตใ่ บเลก็ จะไม่มีรงั ไข่ของสปอร์

สรรพคณุ ของเฟิ ร์ นเงนิ
ทงั ้ ต้นมีรสขมเลก็ น้อย เป็นยาเย็น มพี ษิ เลก็ น้อย ออกฤทธิ์ตอ่ ตบั กระเพาะ และลาไส้ ใช้เป็นยาทาให้เลอื ดเย็น
แก้อาการร้อนใน แก้พิษ (ทงั ้ ต้น)

ชว่ ยแก้ต่อมทอนซิลอกั เสบ (ทงั ้ ต้น)

ชว่ ยขบั นา้ ชนื ้ ในร่างกาย (ทงั ้ ต้น)

ชว่ ยรักษาเต้านมอกั เสบ (ทงั ้ ต้น)

19. เทยี นหยด (ฟองสมทุ ร) ผลเทยี นหยด ผลมพี ิษ ออกผลเป็นพวงหรือชอ่ ห้อยลง ผลมีขนาดเลก็ และมจี านวนมาก ลกั ษณะของผลเป็นรูป
กลมรี มขี นาดประมาณ 1 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสเี ขยี ว เมอ่ื สกุ จะเปลย่ี นเป็นสเี หลอื งเป็นมนั สดใส และยงั มกี ลบี
ชอ่ื สามัญ Duranta, Golden Dewdrop, Crepping Sky Flower, Pigeon Berry เลยี ้ งติดอยู่

เทียนหยด ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Duranta erecta L. (ชอื่ พ้องวิทยาศาสตร์ Duranta repens L.) จดั อย่ใู นวงศ์ สรรพคุณของเทยี นหยด
ผกากรอง (VERBENACEAE)[1]
เมลด็ ใช้เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย ด้วยการใช้เมลด็ แกท่ แ่ี ห้งแล้วประมาณ 15-20 เมล็ด นามาตาหรือบดให้เป็นผง
สมนุ ไพรเทยี นหยด มีชอื่ ท้องถิน่ อนื่ ๆ วา่ สาวบ่อลด (เชียงใหม่), เครือออน (แพร่), พวงม่วง ฟองสมทุ ร ผสมรบั ประทานกอ่ นท่ีจะเป็นไข้ประมาณ 2 ชวั่ โมง (เมลด็ แห้ง)
เทยี นไข เทยี นหยด (กรุงเทพฯ), เอยี่ ฉง่ึ (จีน) เป็นต้น[1]
เมลด็ แห้งใช้เป็นยาเร่งคลอด ด้วยการใช้เมลด็ แห้งประมาณ 15-20 เมลด็ นามาตาหรือบดให้เป็นผงผสม
ลักษณะของเทยี นหยด รบั ประทาน (เมลด็ แห้ง)

ต้นเทยี นหยด หรือ ต้นฟองสมทุ ร มถี ิ่นกาเนดิ ในอเมริกาเขตร้อนตงั ้ แต่ฟลอริดาไปจนถงึ บราซิล ตลอดจน ใบสดมีรสชมุ่ มีกลน่ิ ฉนุ ใช้ตาพอกเป็นยาห้ามเลอื ด (ใบสด)
หม่เู กาะอินดีสตะวนั ตก จดั เป็นพรรณไม้พ่มุ แตกกงิ่ ก้านสาขามากรอบ ๆ ลาต้นตงั ้ แตโ่ คนต้นถงึ ยอด
ลกั ษณะรูปทรงไมแ่ นน่ อน ลาต้นมีความสงู ได้ประมาณ 1-3 เมตร กง่ิ มีลกั ษณะลลู่ ง ตามก่ิงอาจมหี นาม ใช้เป็นยาแก้ฝีผกั บวั แก้หนอง แก้อกั เสบ แก้บวม ด้วยการใช้ใบสดในปริมาณพอสมควร นามาตาผสมกบั นา้ ตาล
บ้างเลก็ น้อย เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวธิ ีการเพาะเมลด็ เจริญเตบิ โตได้ดใี นดนิ ร่วนซุย ดนิ ทราย แล้วนามาพอกบริเวณท่ีเป็น (ใบสด)
ร่วนปนทราย ระบายนา้ ได้ดี มีแสงแดดแบบเต็มวนั
ประโยชน์ของเทียนหยด
ใบเทียนหยด ใบเป็นใบเด่ียว ออกเรียงสลบั ตรงข้ามกนั เป็นคู่ ๆ ลกั ษณะของใบเป็นรูปรี ปลายใบแหลม
หรือมนแต่จะสนั ้ โคนใบสอบหรือเรียวยาวไปจนถงึ ก้านใบ สว่ นขอบใบเป็นจกั เป็นฟันเลอ่ื ยเลก็ น้อย ใบมี มกี ารใช้เป็นยาถ่ายพยาธิและใช้ฆ่าลกู นา้ ในบ่อหรือในท่มี นี า้ ขงั ได้ โดยใช้นา้ ที่ได้จากเมลด็ เทียนหยดมาละลายใน
ขนาดกว้างประมาณ 3-3.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-6 เซนตเิ มตร แผ่นใบเป็นสเี ขยี ว ก้านใบสนั ้ นา้ 1/100 สว่ น[4],[5]
ออกใบดกเต็มต้น
ใช้ปลกู เป็นไม้ประดบั ทวั่ ไปตามทางเดิน ริมถนน ริมทะเล สวนสาธารณะ โดยปลกู เป็นไม้ประธาน หรือปลกู เป็น
ดอกเทียนหยด มี 2 สายพนั ธ์ุ คือ พนั ธ์ดุ อกสมี ่วงและดอกสขี าว ดอกจะออกเป็นช่อกระจะตามซอกใบ แนวรวั ้ บงั เนอ่ื งจากเป็นไม้ทม่ี ีทรงพ่มุ สวยงาม ดอกมีสสี นั สวยงาม สง่ กลนิ่ หอมอ่อน ๆ ตลอดทงั ้ วนั
และสว่ นยอดของลาต้น ช่อดอกมีลกั ษณะห้อยลงมีความยาวประมาณ 5-10 เซนตเิ มตร ประกอบกบั มี
ดอกขนาดเลก็ จานวนมาก ดอกยอ่ ยเมอ่ื บานเตม็ ทีจ่ ะมีขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร โดยดอกจะ พิษของเทยี นหยด
ทยอยบานครงั ้ ละ 5-6 ดอก โคนกลบี ดอกเช่ือมตดิ กนั เป็นหลอด สว่ นปลายแยกออกเป็นกลบี 5 กลบี
ขนาดไมเ่ ท่ากนั สว่ นที่เป็นพษิ : ใบ ผล และเมล็ด โดยในใบเทียนหยดพบกรดไฮโดรไซยานคิ (hydrocyanic acid, HCN) หรือ
ไซยาไนด์ สว่ นในผลเทียนหยดพบสารในกลมุ่ ซาโปนนิ ท่ีเป็นพษิ ได้แก่ duratoside IV, duratoside V หาก
รับประทานเข้าไปแล้วเคีย้ ว อาจทาให้เสยี ชวี ิตได้ (แต่ถ้าไม่เคีย้ ว ก็จะไม่กอ่ ให้เกิดอนั ตราย)[2],[4]

อาการเป็นพษิ : ผ้ปู ่ วยทรี่ ับประทานใบเทยี นหยดในปริมาณมาก สาร hydrocyanic acid จะทาให้เกิดอาการขาด
ออกซเิ จนได้ จนทาให้มอี าการตวั เขียว และอาจถงึ กบั เสยี ชวี ติ ได้

18. พดุ ตำน ดอกพดุ ตำน มีดอกซ้อนใหญ่สวยงาม ออกดอกตามซอกใบและปลายก่งิ เมื่อดอกบานช่วงแรกจะเป็นสี
เขยี ว แล้วจะเปลย่ี นเป็นสชี มพแู ละสแี ดง มีริว้ ประดบั อยู่ 7-10 อนั มีกลบี เลยี ้ ง 5 กลบี มีขน ท่ีกลบี ดอกมี
ช่อื สามญั Cotton rose, Cotton rose hibiscus, Confederate rose, Confederate rose ทงั ้ แบบชนั ้ เดยี วและแบบซ้อนกนั 2 ชนั ้ กลบี ดอกจะเปลย่ี นสไี ปตามอณุ หภูมิของวนั โดยในตอนเช้าจะเป็น
mallow, Dixie rosemallow, Changeable Rose, Changeable rose mallow, Rose of Sharon สขี าว พอกลางวนั จะเปลย่ี นเป็นสชี มพู และตอนเยน็ จะเปลย่ี นเป็นสชี มพเู ข้มหรือสแี ดงเข้ม

ชอ่ื วิทยาศาสต์ร Hibiscus mutabilis L. จัดอ์ยใู นว์งศชบา (MALVACEAE) ผลพุดตำน ลกั ษณะของผลเป็นรูปทรงกลม ขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร เม่ือผลแกจ่ ะแตกออกเป็น 5
แฉก ในผลมีเมลด็ ลกั ษณะคล้ายรูปไต มขี นยาว
สมุนไพรพุดตาน มชี ่ือ์ทองถน่ิ อนื่ ๆ์วา ดอกสามสี สามผิว (ภาคเหนือ) ์เปน์ตน
สรรพคุณของพดุ ตำน
ลักษณะของพดุ ตาน
ดอกพดุ ตานมีรสฉนุ และสขุ มุ สรรพคณุ ช่วยแก้อาการไอ อาเจียนเป็นเลอื ด มรี ะดขู าว (ดอก)
่ตนพดุ ตาน มถี น่ิ กาเนดิ มาจากประเทศจนี ชาวจนี เช่ือ์วา์ตนพุดตาน์เปน์ไมมงคล เพราะดอกพดุ ตาน
สามารถเปลีย่ นส์ไี ดถึง 3 สภี ายในวนั เดียว เปรยี บเสมอื นของชวี ติ คนท่ีเร่ิม์ตนเหมอื นเด็กท์่ีเปน์ผาขาว รากช่วยแก้อาการไอหอบ มรี ะดขู าว (ราก)
แ์ลว์คอย ๆ เจรญิ เตบิ โตพ์รอมกบั สสี นั ท่แี์ตงแ์ตมขนึ้ มา เมือ่ อายุมากขน้ึ กพ็์รอมทจี่ ะเปลย่ี นส์เี ปนส์เี ขม
จนกระทง่ั ์ได์รวงโรยลงไป เชอื่์วา์ตนพุดตานน์ี้ไดมกี ารนา์เขามาปลกู ในประเทศไทยใน์ชวงสมยั ใบชว่ ยแก้อาการตาแดงบวม (ใบ)
รัตนโกสินท์ร ซง่ึ ์เปน์ชว์งคาขายกบั ชาวจนี โดยจัด์เปนพรรณ์ไม์พุมท่ีมีความสงู ประมาณ 5 เมตร์ตน
และกิง่ มีขนสเี ทา์ตนพุดตานชอบอ์ยูกลางแ์จง ชอบแสงแดดจดั ๆ ์ไมชอบท่มี ีน้าขงั หรอื ท่ีแฉะ ใช้เป็นยารักษาคางทมู ด้วยการใช้ใบแห้งประมาณ 10-15 ใบ นามาบดให้ละเอยี ดแล้วเติมไขข่ าวลงไป
เจริญเตบิ โต์ไดดีในที่ดอน มีดิน์รวนซุย ขยายพนั์ธ์ดุ วยวิธกี ารตอนก่งิ และวิธีการ์ปกชา ผสมให้เข้ากนั เพือ่ ให้ยาจบั กนั เป็นแผ่น แล้วนามาพอกปิดบริเวณทีบ่ วมเป็นคางทมู โดยให้เปลยี่ นยาวนั
ละ 2 ครงั ้ จนกวา่ จะหายบวม หรืออีกวิธีจะใช้ดอกพุดตานแห้งกไ็ ด้ โดยใช้ประมาณ 3-12 กรัม และใบสด
ใบพดุ ตาน มีใบ์เปนใบเด่ยี วออกสลบั กนั ลักษณะของใบค์ลายรูป์ไขโคนรปู หวั ใจ ปลายใบแหลม ขอบ ประมาณ 30-40 กรัม นามาต้มกบั นา้ รบั ประทานแก้อาการ หรือจะใช้ทาภายนอกด้วยการนามาบดเป็นผง
ใบ์เวาลึกมแี ฉก 3-5 แฉก แ์ผนใบสเี ขียว์คอน์ขางหนา ผวิ ใบมีขนสาก ๆ ใบก์วางประมาณ 9-20 ผสมหรือใช้แบบสด ๆ นามาตาแล้วพอกก็ได้ (ใบ, ดอก)
เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 10-22 เซนตเิ มตร
ประโยชน์ของพดุ ตำน

ดอกพดุ ตานมีสารฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ (Flavonoid glycosides) ซงึ่ เป็นสารที่ตอ่ ต้านอนมุ ูลอิสระใน
ร่างกายได้เป็นอยา่ งดี

ต้นพดุ ตานสามารถใช้ปลกู เป็นไม้ประดบั ได้ เน่ืองจากมีดอกท่ีสวยงาม มีทงั ้ ดอกลาและดอกซ้อน หรือใช้
ปลกู บงั กาแพง หรือในท่ที ่ีมีทิวทศั น์ไมส่ วยงาม หรือเหมาะสาหรับปลกู ในสวนไทย

ผงบดละเอียดของเปลอื กและรากใช้เป็นแปง้ ผดั หน้าของคนตงั ้ แตเ่ หนือจรดใต้แหลมมลายู

รากและลาต้นมีเนือ้ ไม้สเี หลอื งแขง็ ลายละเอียด สามารถใช้ตกแต่งทาเป็นด้ามเคร่ืองมือเครื่องใช้ได้อยา่ ง
สวยงาม สว่ นก้านสามารถนามาใช้ทาความสะอาดฟันได้

17. กำหลง ดอกกำหลง ออกดอกเป็นช่อกระจะแบบสนั ้ ๆ โดยจะออกบริเวณปลายกง่ิ ประมาณช่อละ 2-3 ดอก ก้าน
ดอกยาวประมาณ 0.5-1.5 เซนตเิ มตร ดอกย่อยเป็นสขี าว มีกลนิ่ หอมออ่ น ๆ โคนก้านดอกมีใบประดบั
ช่ือสามญั Snowy orchid tree, Orchid tree[1],[2] ขนาดเลก็ ประมาณ 2-3 ใบ ลกั ษณะเป็นรูปสามเหลย่ี มเรียวแหลม สว่ นดอกมีลกั ษณะตมู เป็นรูปกระสวย
ยาวประมาณ 2.5-4 เซนติเมตร เมอ่ื ดอกบานเตม็ ท่ีจะมีขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลางประมาณ 5-8 เซนติเมตร
กาหลง ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Bauhinia acuminata L. จดั อย่ใู นวงศ์ถว่ั (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และ ดอกมกี ลบี สขี าว 5 กลบี ขนาดไม่เทา่ กนั มีลกั ษณะเป็นรูปวงรีหรือรูปไขก่ ลบั ปลายกลบี มน โคนสอบ กว้าง
อยใู่ นวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE) ประมาณ 2 เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร

สมนุ ไพรกาหลง มีชื่อท้องถ่ินอืน่ ๆ วา่ เสยี ้ วน้อย (เชียงใหม)่ , โยธิกา (นครศรีธรรมราช), กาแจ๊กโู ด (มลาย-ู ผลกำหลง ผลมีลกั ษณะเป็นฝักแบน มคี วามกว้างของฝักประมาณ 1-1.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 9-
นราธิวาส), ส้มเสยี ้ ว (ภาคกลาง) เป็นต้น[1] 15 เซนติเมตร ขอบฝักเป็นสนั หนา สว่ นปลายฝักและโคนฝักสอบแหลม ปลายฝักมตี ่ิงแหลม ยาวประมาณ
8 มลิ ลเิ มตร ขอบของฝักเป็นสนั หนา ฝักอ่อนเป็นสเี ขียว เม่ือแกแ่ ล้วจะเปลย่ี นเป็นสนี า้ ตาล และในแตล่ ะ
ลกั ษณะของกาหลง ฝักจะมีเมลด็ อย่ปู ระมาณ 5-10 เมลด็ เมลด็ มีขนาดเลก็ และแบนหรือเป็นรูปขอบขนาน โดยฝักจะแกใ่ นช่วง
เดอื นกนั ยายนถงึ เดอื นธันวาคม
ต้นกาหลง เป็นพนั ธ์ไุ ม้ที่มถี ิน่ กาเนิดในป่ าเมืองร้อนของหลายประเทศตงั ้ แต่ไทย ลาว พม่า กมั พชู า มาเลเซีย
อินเดีย อนิ โดนีเซยี ฟิ ลปิ ปินส์ ฯลฯ โดยจดั เป็นไม้พ่มุ ขนาดเลก็ มีความสงู ของต้นประมาณ 1-3 เมตร เปลอื กลาต้น สรรพคุณของกำหลง
เรียบเป็นสนี า้ ตาล ก่งิ ออ่ นและยอดอ่อนมีขนสขี าวขนึ ้ ปกคลมุ สว่ นกง่ิ แกผ่ ิวค่อนข้างเกลยี ้ งและไมค่ อ่ ยมขี น ต้น
กาหลงเป็นพนั ธ์ไุ ม้ที่มีอตั ราการเจริญเติบโตปานกลาง เจริญเติบโตได้ดีในดนิ ร่วนที่ระบายนา้ ได้ดี ชอบความชนื ้ ดอกมีรสสขุ มุ ช่วยลดความดนั โลหติ (ดอก)
ปานกลางและชอบแสงแดดแบบเตม็ วนั ขยายพนั ธ์ดุ ้วยวิธีการตอนและการเพาะเมลด็ หากปลกู จากเมลด็ จะใช้
ระยะเวลาประมาณ 2-4 ปีจงึ จะออกดอกและติดฝัก ชว่ ยแก้อาการปวดศีรษะ (ดอก ราก )

ใบกาหลง ใบเป็นใบเด่ียวออกเรียงสลบั ลกั ษณะของใบเป็นรูปรีกว้าง ปลายใบเว้าลกึ เข้ามาเกอื บครง่ึ ใบ ทาให้ ใบใช้รักษาแผลในจมกู (ใบ)
ปลายแฉกสองข้างแหลม แยกเป็น 2 พู โคนใบมนเว้าเป็นรูปหวั ใจ สว่ นขอบใบเรียบ ใบมขี นาดกว้างประมาณ 9-13
เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 10-14 เซนตเิ มตร แผน่ ใบเป็นสเี ขยี วออ่ น มเี ส้นใบออกจากโคนใบประมาณ 9-10 เส้น ประโยชน์ของกาหลง
ปลายเส้นกลางใบมีตง่ิ เลก็ แหลม เส้นใบสเี ขียวสด หลงั ใบเรียบเกลยี ้ ง สว่ นท้องใบมีขนละเอียดสขี าว ก้านใบยาว
ประมาณ 3-4 เซนติเมตร สว่ นหใู บลกั ษณะเรียวแหลมยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ร่วงได้ง่าย และมแี ท่งรยางค์เลก็ ดอกสามารถใช้รบั ประทานได้ และชาวเขาจะนิยมใช้ยอดออ่ นมารับประทาน[6]
ๆ อย่รู ะหวา่ งหใู บ[1],[3],[4] โดยปกตแิ ล้วต้นกาหลงจะผลดั ใบในช่วงฤดหู นาวและเร่ิมแตกใบออ่ นในช่วงฤดรู ้อน
ต้นกาหลงนยิ มนามาใช้ปลกู เป็นไม้ประดบั กลางแจ้งในบริเวณอาคารบ้านเรือน และใช้ปลกู ตามที่
สาธารณะ อาจจะเป็นต้นแบบเด่ียว ๆ หรือใช้ปลกู เป็นกลมุ่ ๆ มีดอกสขี าวสวยงามและมกี ลน่ิ หอม สามารถ
ออกดอกได้ตลอดปี อีกทงั ้ รูปร่างของใบและทรงพ่มุ ก็งดงาม สามารถจดั แต่งทรงพ่มุ ได้งา่ ย ปลกู เลยี ้ งได้
สบาย ไม่ต้องการป๋ ยุ มาก และขนึ ้ ได้ดใี นดินแทบทกุ ชนิด เพราะสามารถจบั

16. จำปี สรรพคุณของจา่ป
์ใช์เปนยาบารุงธาตุใน์รางกาย (ดอก, ผล)
ชือ่ สามญั White champaka, White sandalwood, White jade orchid tree ์ชวยแ์กคลื่นเหียน อาเจียน (ดอก, ผล)
ดอกมสี รรพคุณ์เปนย์าชวยบารุงหัวใจ (ดอก)
อวทิ ยาศาสต์ร Michelia alba DC. (ช่อื ์พองวทิ ยาศาสต์ร Michelia longifolia var. racemosa ์ชวยบารุงประสาท (ดอก)
Blume) จัดอ์ยใู นว์งศจาปา (MAGNOLIACEAE) กลบี ดอกมีน้ามนั หอมระเหย สามารถ์ใชทาแ์กอาการปวดศรี ษะ์ได (กลบี
ดอก)
สมนุ ไพรจา์ป มชี ่ือ์ทองถน่ิ อื่น ๆ์วา จมุ ์ป์จมุ ์ป (ภาคเหนอื ) ์เปน์ตน
ประโยช่นของจา่ป
ลักษณะของจา่ป
์ใชปลูก์ไว์เปน์ไมดอก์ไมประดับ โดยสามารถออกดอก์ไดตลอดทง้ั์ป
์ตนจา์ป มีถน่ิ กาเนิดในเอเชียตะวนั ออกเฉียง์ใต (แ์ตก็ม์ขี อสนั นษิ ฐาน์วามันมีถ่ินกาเนดิ ในประเทศจนี ตอน ดอก์ใชทาอุบะ์หอยชายพวงมาลัย
์ใต หรือประเทศมาเลเซยี และประเทศอินโดนเี ซีย) สามารถแ์บงส์ปช์ีส์ไดประมาณ 50 ชนิด โดยจัด์เปน ดอก์ใชบูชาพระ์ได
พรรณ์ไมยืน์ตนขนาดกลาง ลา์ตนสูงให์ญก์วาจาปาเลก็์นอย ความสงู ประมาณ 10-20 เมตร ลา์ตนมีสี ดอกสามารถนามา์ใชแ์ตงกลิน่ เครื่องสาอาง์ได
นา้ ตาลแตก์เปน์รองถี่ ๆ ก่ิงมขี นสีเทา เปราะและห์กั งาย ขยายพนั์ธ์ดุ วยวิธีการตอนกง่ิ และการเพาะเมล็ด ดอกสามารถนามา์ใชอบเสอื้์ผา์ใหมีกล่นิ หอม์ได
เนอื้ ์ไมขอ์งตนจา์ป สามารถนามา์ใชทา์เปนเครอ่ื งเรอื น์ได
ใบจา์ป มีลักษณะ์เปนใบเด่ยี ว ใบสเี ขยี ว โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเรยี บ ใบหนาและมขี นาดให์ญ
ก์วางประมาณ 8 เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 20 เซนติเมตร

ดอกจา์ป ลกั ษณะ์เปนดอกเด่ยี ว มกี ล่ินหอม มีสขี าวค์ลายกับสงี ์าชาง ดอกมกี ลบี ์ซอนกนั อ์ยู 8-10 กลีบ
กลบี ดอกจะเรยี วก์วาดอกจาปา และมีความยาวประมาณ 2 นิ้ว์สวนตรงกลางดอกจะมเี กสร์เปนแ์ทงกลม
เลก็ ๆ ยอดแหลมค์ลาย์ฝก์ขาวโพดเลก็ ๆ โดยดอกจา์ปจะออกดอก์ไดตลอดท้งั์ป

ผลจา์ป ลักษณะของผล์เปนก์ลมุ เม่ือแ์กจะแ์หงแตก ลักษณะค์ลายทรง์ไขหรือทรงกลม บิดเบย้ี วเล็ก์นอย
ผลแ์กมสี แี ดง์ดานในมเี มลด็ เล็ก ๆ สีดาประมาณ 1-4 เมล็ด

15.ช้อยนำงรำ ดอก์ชอยนางรา ดอกแทงออกจาก์ดาน์ขางหรือทยี่ อด ์เปน์ชอดอกแบบตดิ ดอกสลบั ์กาน์ชอดอกมีขน
ดอกมีขนาดเล็กค์ลายดอกถ่วั แปบ แ์ตจะมีขนาดเล็กก์วาถั่วแปบมาก โดยกลบี ดอกจะ์เปนส์ีมวงปนขาว
ช้อยนางรา ชอ่ื สามญั Telegraph plant, Semaphore plant หรอื ส์ีมวงแดง และมีกลีบเลยี้ ง์เปนรูปกระดง่ิ

ช้อยนางรา ชือ่ วิทยาศาสตร์ Codariocalyx motorius (Houtt.) H.Ohashi (ชอื่ พ้องวทิ ยาศาสตร์ Codariocalyx ผล์ชอยนางรา ผลมีลกั ษณะ์เปน์ฝกแบน มขี นาดก์วางประมาณ 0.3 เซนตเิ มตร และยาวประมาณ 2.5
เซนติเมตร ภายใน์ฝกจะมเี มล็ดประมาณ 2-6 เมล็ด เมลด็ ์เปนสีดา ลักษณะค์ลายกับเมล็ดถั่วดา แ์ตจะ
gyrans (L.f.) Hassk., Codoriocalyx motorius var. glaber X.Y. Zhu & Y.F. Du, Desmodium gyrans (L.f.) DC., มขี นาด์เทาหัว์ไมขีด
Desmodium gyrans var. roylei (Wight & Arn.) Baker, Desmodium motorium (Houtt.) Merr., Desmodium
roylei Wight & Arn., Hedysarum gyrans L.f., Hedysarum motorium Houtt., Meibomia gyrans (L.f.) Kuntze) สรรพคณุ ขอ์งชอยนางรา

จดั อย่ใู นวงศ์ถัว่ (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอย่ใู นวงศ์ยอ่ ยถว่ั FABOIDEAE ์ตน ราก และใบ ์ใช์ตมดืม่ ์เปนยารักษาอาการเจ็บ์ปวย ์(ตน, ราก, ใบ)
(PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)
ใบ์ใช์เปนยาแ์ก์ไขต์วั รอน แ์ก์ไขพิษ และแ์ก์ฝภายใน (ใบ)
สมนุ ไพรช้อยนางรา มีชื่อท้องถ่นิ อน่ื ๆ วา่ วา่ นมีดยบั หว้านมดี ยบั (ลาพนู ), แพงแดง (ประจวบคีรีขนั ธ์), ค่อยช้างรา
ช้อยชา่ งรา นางรา (ไทย), แพวแดง (อรัญประเทศ), เคยแนะคว้า (กะเหรี่ยงแม่ฮอ่ งสอน) เป็นต้น[1],[2],[3] ์ใช์เปนยาแ์ก์ไขประสาทพิการ แ์ก์ไขราเพราพดั ์(ตน, ราก, ใบ)

ลกั ษณะของช้อยนำงรำ ลา์ตนมีสรรพคณุ ์เปนยาดับพิษ์รอนภายใน (ลา์ตน)

ต้นช้อยนางรา จดั เป็นพรรณไม้พ่มุ ขนาดเลก็ จาพวกหญ้า ลาต้นมีความสงู ได้ประมาณ 90 เซนติเมตร สว่ นผิวของลา ลา์ตน์ใช์เปนยาแ์ก์ฝภายใน์ฝใน์ทอง (ลา์ตน)
ต้นนนั ้ จะเป็นสไี ม้แห้ง จดั เป็นว่านชนดิ หนงึ่ แต่กลบั ไม่ใช่พชื ลงหวั อยา่ งวา่ นท่วั ไป พรรณไม้ชนดิ นีข้ ยายพนั ธ์โุ ดยใช้
เมลด็ มกั ขนึ ้ เองตามป่ าชนื ้ ทวั่ ไป หรือมีปลกู ไว้ตามบ้านเพ่อื ไว้ดเู ลน่ เป็นของแปลก ๆ และได้มีผ้นู าเข้ามาปลกู ไว้ท่ีสวน ประโยช์นขอ์งชอยนางรา
หลงั วดั พญา ในปัจจบุ นั หาได้คอ่ นข้างยาก
พรรณ์ไมชนดิ น้ีมีปลูกกัน์บาง์ไวด์ูเลน์เปน์ไมแปลก ๆ แ์ต์คอน์ขางปลูกเลี้ยงยาก กระทบกระเทือนมากก็
ใบช้อยนางรา ใบแยกเป็นใบย่อย 3 ใบ ใบยอ่ ยแต่ละใบมีลกั ษณะเป็นรูปไข่ ปลายใบมน ใบมขี นาดกว้างประมาณ 1-3 อาจตายเอาดื้อ ๆ จ์งึ ตองปลูกและกระทาอ์ยางระมัดระวงั
เซนติเมตร และยาวประมาณ 2-7 เซนตเิ มตร แผ่นใบเป็นสเี ขยี ว ผิวใบด้านบนเป็นมนั ส่วนด้านลา่ งมขี นละเอยี ด
พรรณ์ไมชนดิ น้บี างคนจะนามาปลกู ์ไวในกระถาง แ์ลวนาไป์ใสใน์ต์ูไวโดย์ไม์ใหถกู ลมพัด แ์ลวจ์ึงชวยกัน
ตบมอื ใบ์ออนของพรรณ์ไมชนิดน้กี จ็ ะกระดกิ ์ได์เปนจังหวะ ถงึ แ์ม์วาเราจะ์จองดูอ์ยูโดย์ไม์ใหมัน
เคลื่อนไหว ซ่งึ มันจะกระดิกไปเองตามธรรมชาตขิ องมัน จึงจดั์วา์เปนพรรณ์ไมท์่นี าอัศจรร์ยชนิดหน่ึง

14.ยีโ่ ถ ในปัจจบุ นั นบี ้ ้านเราจะรู้จกั และใช้ต้นยี่โถในฐานะไม้ดอกไม้ประดบั ซะมากกวา่ เพราะมีดอกทง่ี ดงามคล้ายดอก
กหุ ลาบ มีกลนิ่ หอม ออกดอกได้ตลอดปี และท่สี าคญั ยงั ปลกู ง่ายและทนทานตายยากอกี ด้วย สว่ นในด้านของ
ชื่อสามญั Oleander, Sweet Oleander, Rose Bay สมนุ ไพรนนั ้ กม็ ีสรรพคุณทางยาอยเู่ หมอื นกนั ซงึ่ กม็ ีทงั ้ คุณและโทษ ซง่ึ สว่ นทีน่ ามาใช้เป็นยาก็ได้แก่ ผล ใบย่ีโถ และ
ดอกย่โี ถ
ยี่โถ ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Nerium oleander L. (ช่อื พ้องวทิ ยาศาสตร์ Nerium indicum Mill., Nerium odorum Aiton)
จดั อยใู่ นวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) และอย่ใู นวงศ์ยอ่ ยส้มลม (APOCYNOIDEAE) แตเ่ น่ืองจากนา้ ยางตามสว่ นตา่ ง ๆ ของต้นย่โี ถนนั ้ เป็นพิษต่อมนษุ ย์และสตั ว์อย่างมาก จงึ นามาใช้เป็นสรรพคณุ ทาง
ยาได้ค่อนข้างจากดั โดยมรี ายงานว่าแพทย์แผนไทยนนั ้ มีการใช้ใบย่ีโถมาปรุงเป็นยาบารุงหวั ใจ แต่ต้องมคี วาม
สมนุ ไพรย่โี ถ มีชอื่ ท้องถนิ่ อน่ื ๆ วา่ ย่โี ถไทย ย่ีโถจีน ย่ีโถดอกขาว ย่ีโถดอกแดง (ภาคกลาง) อินโถ (ภาคเหนือ) เป็นต้น ระมดั ระวงั สงู มาก เพราะมีรายงานว่าผ้ทู ี่กนิ ใบยี่โถเข้าไปนนั ้ จะมอี าการปวดศีรษะ คลนื่ ไส้ อาเจียน เพ้อคลง่ั หวั
ใจเต้นออ่ น ท้องเสยี ความดนั เลอื ดลดลง ตาพร่ามวั มองเหน็ ไมช่ ดั และถงึ ขัน้ เสยี ชีวติ ได้เลย ซึง่ ในอินเดยี นนั ้ เคย
ลกั ษณะของยีโ่ ถ พบว่าสตั ว์ทก่ี ินใบย่ีโถ เช่น ววั ควาย ม้า แพะ แกะ แล้วเป็นพิษถงึ ตาย หรือแม้แตค่ นทีก่ นิ เนือ้ ย่างเสยี บด้วยไม้ยโ่ี ถก็
เป็นพษิ จนหมดสติ รวมไปถงึ นา้ ผงึ ้ จากดอกย่โี ถก็ยงั เป็นพษิ ท่มี อี นั ตรายร้ายแรงมากเช่นกนั และไมค่ วรรบั ประทาน
ต้นย่โี ถ มีถ่ินกาเนิดในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนยี น เช่น โปรตเุ กส ไปถงึ อินเดยี และอิหร่าน (เปอร์เซยี ) โดยมีข้อ โดยการแก้พษิ ในเบือ้ งต้นนนั ้ ให้รบั ประทานกาแฟก่อนนาสง่ โรงพยาบาล ด้วยเหตนุ ีจ้ งึ ได้มีการนาใบยโ่ี ถมาใช้ทาเป็น
สนั นษิ ฐานวา่ มีการแพร่เข้ามาในไทยโดยชาวจนี ในปลายรชั กาลที่ 2 หรือต้นรัชกาลที่ 3 ช่วงปี พ.ศ.2352 - 2364 โดย ยาเบ่อื หนแู ละยาฆ่าแมลง !
มีลกั ษณะเป็นไม้พ่มุ ทีม่ ีความสงู ประมาณ 2 เมตร เปลอื กของลาต้นมีสเี ทาเรียบ มยี างสขี าวคล้ายนา้ นม
ประโยชน์ของยโี่ ถ
ใบยโ่ี ถ เป็นใบเดี่ยว มีรูปร่างรี ปลายและโคนใบแหลมคล้ายหอก ขอบใบเรียบหนาแขง็ มีสเี ขยี วเข้ม ยาวประมาณ 15
เซนติเมตร กว้างประมาณ 1.7 เซนตเิ มตร ใช้เป็นยาบารุงและรักษาโรคหัวใจ ปรบั ชพี จรให้เป็นปกติ แตม่ ีความเป็นพษิ สงู ควรใช้ด้วยความระมดั ระวงั (ใบ)

ดอกยี่โถ ดอกมีสชี มพู ขาว มีทงั ้ ดอกซ้อนและดอกชนั ้ เดียว โดยดอกทม่ี ีชนั ้ เดียวจะมีกลบี ดอก 5 กลบี เวลาดอกบาน ใช้เป็นยาขบั ปัสสาวะ (ผล)
จะมีกลน่ิ หอม เมื่อดอกผสมกบั เกสรและร่วงหลดุ ไปจะตดิ ผลดอกละ 2 ฝัก
ดอกยี่โถ สรรพคุณช่วยแก้อาการปวดศรี ษะ (ดอก)
ผลย่โี ถ ผลเป็นรูปฝักยาว เมอื่ แก่เปลอื กแขง็ จะแตกออก และมเี มลด็ อยภู่ ายในจานวนมาก จะมีขนคล้าย ๆ เส้นไหม
ติดอย่ทู าให้ลอยลมไปได้ไกล โดยต้นยโี่ ถนนั ้ สามารถออกดอกได้ทงั ้ ปี และสามารถปลกู ได้ทกุ ท่ี ขนึ ้ ได้ทกุ สภาพดนิ จะ ชว่ ยแก้อาการอกั เสบ (ดอก)
ด้วยการเพาะเมลด็ การปักชากงิ่ หรือตอนกิง่
รากและเปลอื กย่โี ถใช้เป็นยาทาภายนอก ชว่ ยรกั ษากลากเกลอื ้ น แผลพพุ องได้ (เปลอื ก, ราก)

13.ประทดั จีน ดอกประทดั จีน ดอกประทดั จีน มีลกั ษณะคล้ายกบั ดอกประทดั ทั่วไป คอื ดอกจะเป็นหลอด
สแี ดงเข้มหรือสีส้มเป็นมนั ขนาดเลก็ ออกเป็นชอ่ แบบชอ่ กระจกุ ท่ีปลายก่ิง ช่อดอกยาว
ชื่อสามัญ Fountain Plant, Coral fountain, Coral plant, Coralblow, Firecracker plant ประมาณ 3 เซนติเมตร หนง่ึ ชอ่ จะมดี อกยอ่ ยประมาณ 2-4 ดอก กลบี เลยี ้ งเป็นรูปถ้วยสนั ้ ๆ
ปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉกตนื ้ ๆ ติดทน สว่ นกลบี ดอก ดอกตดิ กนั เป็นหลอด ยาวได้
ประทดั จนี ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ Russelia equisetiformis Schltdl. & Cham. ประมาณ 2.5 เซนตเิ มตร ด้านในเกลยี ้ ง โคนกลบี ดอกเชื่อมติดกนั เป็นหลอดแคบ ปลาย
กลบี ดอกแยกออกเป็น 5 แฉกเลก็ ๆ คล้ายรูปปากเปิดตนื ้ ๆ แบ่งเป็นกลบี บน 2 กลบี และ
(ชื่อพ้องวทิ ยาศาสตร์ Russelia juncea Zucc.) จดั อยใู่ นวงศ์เทียนเกลด็ หอย (PLANTAGINACEAE)[2] กลบี ลา่ ง 3 กลบี ดอกมีเกสรเพศผ้ทู ่ีสมบรู ณ์ 4 อนั มคี วามยาวไมเ่ ทา่ กนั ยน่ื พ้นออกมาจาก
ปากหลอดกลบี เลก็ น้อย เกสรเพศผ้ทู ่เี ป็นหมนั มี 1 อนั รังไขม่ ี 2 ช่อง ก้านเกสรเพศเมียมี 1
สมนุ ไพรประทัดจนี มชี ่อื ท้องถนิ่ อ่ืน ๆ วา่ ประทดั เลก็ , ประทดั ฝร่ัง,ประทดั ทอง, ประทดั ใหญ่ (กรุงเทพฯ) เป็นต้น อนั ตดิ ทน และยงั มอี ีกชนดิ หนง่ึ ที่ดอกเป็นสชี มพอู มส้ม

ลกั ษณะของประทดั จนี ผลประทดั จีน ผลเป็นแบบแคปซลู มีลกั ษณะกลม ผวิ ด้านในมีขน เมลด็ มจี านวนมากและมี
ขนาดเลก็ ผิวมีขนและเป็นเส้นคล้ายกบั รงั นก
ต้นประทดั จนี มีถ่นิ กาเนิดในประเทศเม็กซิโกและกัวเตมาลา (อเมริกาเหนือ)[2] บ้างกว็ า่ มีถิ่นกาเนิดอยใู่ นอเมริกาใต้[1]
โดยจดั เป็นพรรณไม้ล้มลกุ ที่มีหวั หรือเหง้า แตกก่งิ ก้านสาขาออกเป็นกอพ่มุ แน่น มีความสงู ของต้นประมาณ 1-2 เมตร สรรพคณุ ของประทดั จนี
ตามลาต้นมีลกั ษณะเป็นข้อปล้อง ขยายพนั ธ์ุด้วยวิธีการแยกหนอ่ เป็นพรรณไม้กลางแจ้งทขี่ นึ ้ ได้ในดินทวั่ ไป เตบิ โตเร็ว
เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ชอบความชนื ้ ปานกลาง และแสงแดดแบบเตม็ วนั เนือ้ ไม้นามาดองกบั เหล้า ใช้กนิ เป็นยาเพ่ือช่วยทาให้เจริญอาหาร (เนือ้ ไม้)

ใบประทดั จนี ใบเป็นใบเด่ียว ออกเรียงเป็นวงรอบ ลกั ษณะของใบเป็นรูปเรียวยาวหรือเป็นรูปเขม็ เส้นเลก็ ๆ เรียว ๆ ยาว รากประทดั จีน มีรสชาติขม ใช้เป็นยาแก้ไข้ ไข้จบั สนั่ (ราก)
ประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ปลายใบแหลมเป็นติ่ง โคนใบแหลม แผน่ ใบเป็นสเี ขยี วสดมีขนาดเลก็ ออกเรียงต่อ ๆ กนั ตาม
ข้อ โดยจะออกรอบ ๆ ลาต้น ก้านใบสนั ้ ร่วงได้ง่าย รากมีสรรพคณุ ช่วยขบั นา้ ลาย (ราก)

ช่วยในการยอ่ ยอาหาร (ราก)


Click to View FlipBook Version