การศึกษาสภาพความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนโดยการใช้เทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นมัธยมคึกษาปีที่3โรงเรียนบ้านสมัฤทธ์ิ อัมพร ศรีวงษา ครูชา นาญการพิเศษ E-mail: [email protected] บทคดัย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน โดยใช้เทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัมฤทธิ์ 2) 2.เพื่อศึกษาความพร้อมในการในการใช้เทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัมฤทธิ์ จ าแนกตามสถานภาพส่วนบุคคลกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน บ้านสัมฤทธิ์จ านวน 10 คน โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ( Purposive sampling ) เครื่องมือที่ ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวิจัย พบว่า 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัมฤทธิ์ส่วนใหญ่ผู้ปกครองของประกอบอาชีพ รับจ้างทั่วไป มีรายได้ต่อเดือนส่วนใหญ่ต ่ากว่า 10,000 บาท นักเรียนส่วนใหญ่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ร้อยละ 80 เพื่อใช้ในการเรียน 2. การศึกษาระดับความคิดเห็นที่มีต่อสภาพการจัดการเรียนการสอนโดยการใช้เทคโนโลยีของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัมฤทธิ์พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄= 4.09) โดยด้านที่มี ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้าน ด้านเนื้อหาและสื่อการสอน (x̄= 4.18) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต ่าสุด คือด้าน ด้านบุคลากร (x̄= 4.04) ค าส าคัญ: 1) การเรียนการสอนโดยการใช้เทคโนโลยี , 2) สภาพนักเรียน
1. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา เนื่องจากการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีนั้น นั้นเป็นสถานการณ์ที่ต้องปรับรูปแบบการ เรียนการสอนจากรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบปกติ เป็น รูปแบบออนไลน์และมีการใช้เทค โนยีมากขึ้น ท าให้ผู้สอนต้องหาวิธีการที่เหมาะสมส าหรับการจัดการเรียนการสอน จึงจ าเป็นต้องรู้ถึง สภาพ ความพร้อมของนักเรียนในการใช้เทคโนโลยีและระดับความคิดเห็นในการใช้เทคโนโลยีมาช่วยสอน เพื่อให้ ครูผู้สอนสามารถหาแนวทางและวิธีที่เหมาะสมกับนักเรียน ในการจัดการเรียนการโดยใชเทคโนโลยีที่ เหมาะสมให้ตรงกับความต้องการของนักเรียนท าให้นักเรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม 2.วตัถปุระสงคก ์ ารวิจยั 2.1 เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยี ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัมฤทธิ์ 2.2 เพื่อศึกษาความพร้อมในการในการใช้เทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้าน สัมฤทธิ์ 3. วิธีดา เนินการวิจยั 3.1 การวิจัยครั้งนี้ใช้ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้าน สัมฤทธิ์จ านวน 10 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ( Purposive sampling ) 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามทั้งหมด 3 ตอน ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามชนิด เลือกตอบ (checklist) เกี่ยวกับสถานภาพส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามชนิด จัดอันดับ (rank rating scales) เกี่ยวกับ ข้อมูลสภาพการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ทั้งหมด 5 ด้าน 1) ด้านเนื้อหาและสื่อการสอน 2) ด้านบุคลากร 3) ด้านระบบสารสนเทศและการสื่อสาร 4) ด้านสภาพแวดล้อม และ 5) ด้านการวัดและประเมินผล ตอนที่ 3 เป็นข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากผู้เรียน เป็นเครื่องมือในการเก็บ รวบรวมข้อมูล 3.3 การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือคือ การน าแบบสอบถามที่สร้างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3 ท่าน ได้แก่1) นายศิริวัฒน์ เร่งพิมาย หัวหน้าฝ่ายวิชาการ 2) นายศิริเกศ เยี่ยงวิญูญู หัวหน้าฝ่าย บริหารทั่วไป และ 3) นางจารุวรรณ กรจ าจายฤทธิ์ ครูประจ าวิชาเทคโนโลยีและสารสนเทศ ตรวจสอบความ เที่ยงตรง ของเนื้อหา (Context validity) แล้วน าผลมาพิจารณาคะแนนของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละข้อมาวิเคราะห์ หาค่าดัชนีความ สอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยจัดท าแบบสอบถามในรูปแบบออนไลน์โดยใช้แบบสอบถามในการ เก็บข้อมูล ผู้วิจัยได้น าผลของการท าแบบสอบถามออนไลน์ที่ได้มาพิจารณาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของ
ค าตอบได้ชุดข้อมูลที่ถูกต้องและสมบูรณ์ครบถ้วนจ านวน 10 ชุด ที่สามารถน าไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป ได้ 3.5 สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ค่าความถี่ (frequency) ค่าร้อยละ (percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้วิธีทางสถิติด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็น เครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยมีรายระเอียดดังนี้ 3.6.1 ข้อมูลสถานภาพส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม น ามาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิง พรรณนา (Descriptive Statistics) ความถี่และร้อยละ 3.6.2 ข้อมูลสภาพการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีทั้งหมด 5 ด้าน 1) ด้านเนื้อหาและ สื่อการสอน 2) ด้านบุคลากร 3) ด้านระบบสารสนเทศและการสื่อสาร 4) ด้าน สภาพแวดล้อม และ 5) ด้านการ วัดและประเมินผล จะน ามาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) และมีเกณฑ์วัดดังต่อไปนี้ คะแนน 4.21 – 5.00 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด คะแนน 3.41 – 4.20 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก คะแนน 2.61 – 3.40 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง คะแนน 1.81 – 2.60 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อย คะแนน 1.00 – 1.80 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อยที่สุด
4. สรปุผลการวิจยั 4.1 ผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานภาพส่วนบุคคล ปรากฏตามตาราง ดังนี้ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัมฤทธิ์ ตารางที่ 4.1.1 แสดงจ านวนร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามจ าแนกตาม อาชีพผู้ปกครอง อาชีพผู้ปกครอง จ านวน ร้อยละ ข้าราชการ 0 0.0 พนักงานบริษัท 2 20.0 เกษตรกร 1 10.0 รับจ้างทั่วไป 7 70.0 อื่น ๆ 0 0.0 รวม 10 100.0 จากตารางที่ 4.1.1 พบว่า อาชีพผู้ปกครองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัมฤทธิ์ส่วน ใหญ่ประกอบอาชีพ รับจ้างทั่วไป จ านวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 72.4 อื่น ๆ จ านวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 17.2 พนักงานบริษัท จ านวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 6.9 และ เกษตรกร จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 3.4 ตารางที่ 4.1.2 แสดงจ านวนร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามจ าแนกตาม รายได้ผู้ปกครองต่อเดือน รายได้ผู้ปกครองต่อเดือน จ านวน ร้อยละ ต ่ากว่า 10,000 บาท 8 80.0 10,001 – 20,000 บาท 2 20.0 20,001 – 30,000 บาท 0 0.0 30,001 บาท ขึ้นไป 0 0.0 รวม 10 100 จากตารางที่ 4.1.2 พบว่า ผู้ปกครองของนักเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัมฤทธิ์ ส่วนใหญ่ มีรายได้ต่อเดือน ต ่ากว่า 10,000 บาท จ านวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 72.4 และ 10,001 – 20,000 บาท จ านวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 27.6
ตารางที่ 4.1.3 แสดงจ านวนร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามจ าแนกตาม โทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการเรียน อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียน จ านวน ร้อยละ มี 2 20.0 ไมมี 8 80.0 รวม 10 100 จากตารางที่ 4.1.3 พบว่า นักนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัมฤทธิ์ที่ไม่มีโทรศัพท์ถือเพื่อ ใช้ในการเรียน คิดเป็นร้อยละ 80.0 และ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัมฤทธิ์ที่มีโทรศัพท์ถือเพื่อ ใช้ในการเรียน จ านวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 20.0 4.2 ผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับระดับความคิดเห็นที่มีต่อสภาพการจัดการเรียนการสอนโดนใช้ เทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัมฤทธิ์ปรากฏตามตาราง ดังนี้ ตารางที่ 4.2.1 แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สภาพการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ สภาพการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ระดบัความคิดเหน ็ ̅ S.D. แปล ความหมาย ด้านเนื้อหาและสื่อการสอน 4.18 .493 มาก ด้านบุคลากร 4.04 .613 มาก ด้านระบบสารสนเทศและการสื่อสาร 4.05 .528 มาก ด้านสภาพแวดล้อม 4.13 .622 มาก ด้านการวัดและประเมินผล 4.07 .753 มาก รวม 4.09 .505 มาก จากตารางที่ 4.2.1 แสดงการวิเคราะห์ข้อมูลระดับความคิดเห็นที่มีต่อสภาพการจัดการเรียนการ สอนโดยใช้เทคโนโลยีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัมฤทธิ์พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีระดับ ความคิดเห็นโดยรวมในระดับ มาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.09
5. อภิปรายผล 5.1 การศึกษาระดับความคิดเห็นที่มีต่อสภาพการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัมฤทธิ์พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสัมฤทธิ์โดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄= 4.09) ถือว่าการจัดการเรียน การสอนโดยการใช้เทคโนโลยีช่วยสอน ที่ผ่านมา เป็นไปได้ด้วยดีซึ่งเห็นได้ชัดจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้าน ด้านเนื้อหาและสื่อการสอน (x̄= 4.18) ครูผู้สอนมีการจัดการเนื้อหาและสื่อที่ใช้ในการสอนได้เหมาะสมกับสภาพนักเรียน แต่ในการจัดการเรียนการ สอนจะให้ความส าคัญกับเนื้อหาและสื่ออย่างเดียวไม่ได้ครูผู้สอนจะต้องให้ความส าคัญกับด้านบุคลากรที่มี ค่าเฉลี่ยต ่าสุด (x̄= 4.04) ด้วย ครูผู้สอนต้องมีการเตรียมตัวในการจัดการเรียนการสอนออกแบบวิธีการที่บูรณา การการสอนกับรายวิชาอื่นๆเพื่อเพิ่มความน่าสนใจในการจัดการเรียนการสอนหรือแม้แต่ออกแบบกิจกรรมที่ให้ นักเรียนได้โต้ตอบแสดงความคิดเห็นให้ เกิดการเรียนรู้ในชั้นเรียน (Active Learning) มากขึ้นท าให้ดังที่ สถาพร พฤฑฒิกุล (2558) กล่าวว่า Active Learning เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการสร้างสรรค์ ทางปัญญา (Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยง ความรู้หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้น ในตนเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่านสื่อหรือกิจกรรมการเรียนรู้ที่มี ครูผู้สอนเป็นผู้แนะน า กระตุ้น หรืออ านวยความสะดวกให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้นโดยกระบวนการ คิดขั้นสูง กล่าวคือ ผู้เรียนมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์และการประเมินค่าจากสิ่งที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนรู้ท าให้การ เรียนรู้เป็นไปอย่างมีความหมายและน าไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5.2 นักเรียนส่วนใหญ่ไม่มีความพร้อมในการเรียนการสอนโดยมีเทคโนโลยีมากนักเนื่องจาก ผู้ปกครองของนักเรียนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป จ านวนร้อยละ 70.0 และมีรายได้ต่อเดือนส่วนใหญ่ ต ่ากว่า 10,000 บาท ต่อเดือน จ านวนร้อยละ 80.0 ท าให้ผู้ปกครองไม่สามารถจัดหาอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการ เรียนโดยการใช้โทรศัพท์มือถือในการเรียนให้กับนักเรียนได้ซึ่งจะเห็นได้ว่านักเรียนที่มีความพร้อมในการใช้ โทรศัพท์มือถือเพื่อการเรียนมีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น ท าให้การจัดการเรียนการสอนการมอบหมายงานในการ เรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีจึงต้องค านึงถึงสภาพส่วนบุคคลของผู้เรียนเป็นส าคัญด้วย 6. ข้อเสนอแนะ 6.1. ครูผู้สอนควรหากิจกรรมเสริมสร้างการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนเพื่อลด ภาระงานให้ผู้เรียน 6.2. การจัดการเรียนการสอนการมอบหมายงานหรือแม้กระทั่งการส่งงานของนักเรียน ผู้สอนควรใช้ วิธีที่เหมาะสมกับงานให้นักเรียนได้ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมโดยต้องค านึงถึงสภาพผู้เรียนส่วนใหญ่ที่ไม่มี โทรศัพท์มือถือเพื่อใช้ในการเรียน
7. รายการอ้างอิง ธนพรรณ ทรัพย์ธนาดล. (2552). ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนบทเรียนออนไลน์ (รายงานการวิจัย). นครราชสีมา : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา วไลพรรณ อาจารีรัฒนา และ ปริญญาภรณ์ พจน์อริยะ (2563). การศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอน ออนไลน์ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาของนักศึกษาโครงการพิเศษ หลักสูตรบริหารธุรกิจ มหาบัณฑิต(รายงานการวิจัย). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามค าแหง พ.ท.ศุภสวัสดิ์ จิระประดิษฐ์ผล. (2563). ความคิดเห็นของนักเรียนเตรียมทหาร ชั้นปีที่1 ตอน 14, 17 และ 19 ที่ มี ต่อกิจกรรมการเรียนการสอนออนไลน์ ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19(รายงานการวิจัย). นครนายก : กองวิชาวิทยาศาสตร์ ส่วนการศึกษา โรงเรียนเตรียมทหาร สิริพร อินทสนธ (2563). โควิด - 19 : กับการเรียนการสอนออนไลน์ กรณีศึกษา รายวิชาการเขียนโปรแกรมเว็บ. วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์, 22(2), 203-213. เสถียร พูลผล และ ปฏิพล อรรณพบริบูรณ์ (2563) การสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาเภสัชศาสตร์ที่มีต่อ การเรียนการสอนออนไลน์ในช่วงโควิท - 19 เพื่อออกแบบแนวทางการจัดการเรียนรู้รูปแบบใหม่ (รายงานการวิจัย). กรุงเทพฯ : คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยสยาม