The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ความรู้ทางวิชาการ งานกุ้งไทย ครั้งที่ 33
ระหว่างวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2567
ณ โรงแรมวังใต้ สุราษฎร์ธานี
จัดโดย ชมรมผู้เลี้ยงกุ้งสุราษฎร์ธานี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Panupong Petchkaew, 2024-02-16 00:08:35

หนังสืองานวันกุ้งไทย ครั้งที่ 33

ความรู้ทางวิชาการ งานกุ้งไทย ครั้งที่ 33
ระหว่างวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2567
ณ โรงแรมวังใต้ สุราษฎร์ธานี
จัดโดย ชมรมผู้เลี้ยงกุ้งสุราษฎร์ธานี

51 การลดค่าพลังงานไฟฟ้าฟาร์มเลี้ยงกุ้ง ปาซิเตอร์ แบงค์ (Capacitor Bank) หรือ แคปแบงค์ เป็น อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้าที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในทุก อุตสาหกรรม เพราะมันมีหน้าที่ส�ำคัญคือ - ปรับค่า Power Factor ในระบบให้สูงขึ้น - ลดการสูญเสียก�ำลังงานในระบบไฟฟ้า - ช่วยลดค่าไฟฟ้าที่สูญเสียไปในรูปของความร้อนในสาย ไฟเเละหม้อเเปลง • ก�ำลังไฟฟ้าจริง (Real Power) ซึ่งเป็นก�ำลังไฟฟ้าที่เครื่องใช้ ไฟฟ้าของเราต้องการน�ำมาใช้งาน • ก�ำลังไฟฟ้าแฝง (Reactive Power) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ก�ำลังไฟฟ้าสูญเสีย • ก�ำลังไฟฟ้าปรากฏ (Apparent Power) คือก�ำลังไฟฟ้ารวม CAPBANK (แคปแบงค์) การลดค่าพลังงานไฟฟ้าฟาร์มเลี้ยงกุ้ง


52 รูปแบบการติดตั้งเครื่องตีน�้ำและปั้มน�้ำฟาร์มเกษตรกร รูปแบบการติดตั้งเครื่องตีน�้ำแขนยาว ฟาร์มเกษตรกร เครื่องตีน�้ำแขนยาวฟาร์มเกษตรกร 2. อุปกรณ์การเลี้ยงกุ้ง 52


53 การติดตั้งปั้มและวางท่อส่งตะกอนฟาร์มเกษตกร การออกแบบติดตั้งเครื่องตีน�้ำแบบมาตรฐาน ท่อสโลปเข้าลงมายังกลางบ่อ ท�ำให้เวลาปิดปั้มดูตะกอนน�้ำไหลย้อยกลับ ส่งผลท�ำให้ใบพัดปั้มหมุนกลับทาง หากมีตะกอนที่บริเวณหลุมอาจเกินการฟุ้งกระจาย การออกแบบติดตั้งเครื่องตีน�้ำและปั้มน�้ำรูปแบบมาตรฐาน 53


54 ติดตั้งเครื่องตีน�้ำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ข้อดีของการออกแบบติดตั้งเครื่องตีน�้ำแบบมาตรฐาน การติดตั้งมอเตอร์เกียร์เพื่อการใช้งานที่ดี 1. ควรมีแท่นรองรับ 2. ใช้อุปกรณ์กัปปลิ้ง (Coupling) หรือ ยอยยาง 3. ควรมีแบริ่งตุ๊กตาในการรองรับเพลา ติดตั้ง Overload เพื่อป้องกันการไหม้ของขดลวด 4. หมั่นตรวจเช็คอัดจาระบีที่แบริ่ง และ Alignment 5. เลือกใช้ใบพัดตามจ�ำนวนที่เหมาะสมกับรอบที่ใช้ การออกแบบและติดตั้งเครื่องตีน�้ำแบบมาตรฐาน • ใบพัดกินน�้ำสม�่ำเสมอ • ลดการกินกระแสไฟฟ้าของมอเตอร์เครื่องตีน�้ำ • ท�ำให้ลดค่าไฟฟ้า • Alignment ของแขนเครื่องตีน�้ำ ยอย เพลา บู๊ทบ่ารับ แขน ช�ำรุดช้าลงหรืออายุการใช้งานยาวนานขึ้นช่วย ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อชิ้นส่วนอปกรณ์มาเปลี่ยน ลด การแกว่งตัวหนีศูนย์ของเพลาท�ำให้ยืดอายุการใช้งาน ของเกียร์ • ประสิทธิภาพในการท�ำงานของเครื่องตีน�้ำ • ยืดอายุการใช้งานของเครื่องตีน�้ำ 1. ควบคุมเรื่องค่ากรแสเครื่องตีน�้ำ ไม่ให้เกิน 80%ของกระแส สูงสุดตามเนมเพลทของมอเตอร์ 2. การปรับตั้งค่าโอเวอร์โหลดไม่ให้เกิน 80%ของกระแสสูง สุดตามเนมเพลทของมอเตอร์ 3. ควรตรวจเช็คค่ากระแสเครื่องตีน�้ำเป็นประจ�ำทุกๆเดือน 4. หากสาหร่ายเกาะให้ท�ำการเอาสาหร่ายออกจากเครื่องตี น�้ำ เพื่อช่วยลดการกินกระแสไฟฟ้า และลดโหลดการท�ำงาน ของเกียร์และมอเตอร์


55 หัวปั๊ม ท้ายปั๊ม ระหว่างหัวปั้มกับท้ายปัมระดับต่างกันที่ 50 เซนติเมตร ประสิทธิภาพของมอเตอร์ตามเนมเพลท การออกแบบและติดตั้งปั้มและวางท่อส่งตะกอน การออกแบบและติดตั้งปั้มดูดตะกอนกลางบ่อ การเลือกใช้ท่อแบบข้องอโค้งแทนข้องอฉาก - ช่วยลด Losses in Pipes(ลดแรงเสียดทาน) - ท�ำให้การไหลในท่อคล่องตัวขึ้น - ช่วยในเรื่องของการกินกระแสไฟฟ้าและคิวน�้ำออกปลายท่อได้ปริมาตรมากว่าการใช้ข้อต่อท่อแบบฉาก


56 ประสิทธิภาพของปั้มตามเนมเพลท การตรวจเช็คและบ�ำรุงรักษาเครื่องตีน�้ำ การตรวจเช็คและบ�ำรุงรักษาเครื่องเติมอากาศ รูท โบเวอร์ 1. ขนาด แรงม้า/กิโลวัตต์ 2. แรงดันไฟฟ้า/กระแสสูงสุดของปั้ม 3. ความสามารถในการยกน�้ำสูงสุด ปริมาตรน�้ำที่ได้ คิว/นาที หรือ คิว/ชั่วโมง 1. เมื่อปิด Crop และช่างประจ�ำฟาร์มจะต้องเข้าไปด�ำเนินการบ�ำรุงรักษา เครื่องตีน�้ำ การตรวจสอบค่าความเป็นฉนวนของขดลวด ค่าที่วัดได้จะต้อง มากว่า 50 เมกะโอห์ม ถ้าไม่ผ่านให้ยกขึ้นมาท�ำการ Over haul หรือ winding coil ใหม่ 2. ท�ำการเปลี่ยนซีลและจาระบีเกียร์และอัดจาระบีลูกปืนย่อย 3. ท�ำการเคาะสนิมเพื่อน�ำส่วนที่เป็นสนิมออกจากมอเตอร์เกียร์เครื่องตีน�้ำ 4. การทาสีมอเตอร์เกียร์และโครงเเครื่องตีน�้ำด้วยสีกันสนิม(สีโคทาอีพ็อกซี่) 5. เปลี่ยนแป๊ปแขนเครื่องตีน�้ำและบ่ารับแขนเครื่องตีน�้ำ การตรวจเช็คและบ�ำรุงรักษาอุปกรณ์ • ตรวจเช็คสภาพภายนอก Root Blower • เปลี่ยนถ่ายน�้ำมันเกียร์ออกจาก Root Blower • ขัดท�ำความสะอาด Root Blower • เติมน�้ำมัน Root Blower • ตรวจเช็คและปรับตั้งสายพาน • ทาสีกันสนิม Root Blower • ตรวจเช็คสภาพทั่วไป Root Blower • ตรวจเช็คแท่นวาง Root Blower • ทดสอบการหมุนของ Root Blower • ตรวจเช็คความตึงของสายพาน • ตรวจเช็คระดับน�้ำมันหล่อลื่น • ตรวจเช็คเกจวัดแรงดัน • ตรวจเช็คเซฟตี้วาล์ว • ตรวจเช็คกระแส no load


57 การตรวจเช็คหลังการบ�ำรุงรักษา เทียบประสิทธิภาพปั้มซับเมอร์สและท่อสูบน�้ำโมบายมอเตอร์ 1. การตรวจสอบค่าความเป็น ฉนวนของขดลวด ด้วยเครื่อง มือinsulation Multimeters ค่าที่วัดได้จะต้องมากว่า 50 เมกะโอห์ม ถ้าไม่ผ่านให้ยกขึ้น มาท�ำการ Over haul หรือ winding coil ใหม่ 2. การวัดค่ากระแส 3. การวัดประสิทธิภาพ ปั้มน�้ำ เพื่อวัดคิวน�้ำที่สูบ ได้ต่อนาที 4. วัดประสิทธิภาพมอเตอร์ การค�ำนวณค่าไฟฟ้าปั้มซับเมอร์สเทียบท่อสูบน�้ำโมบาย ความปลอดภัย (SAFETY) โอเวอร์โหลด แบบ 2 Element โอเวอร์โหลด แบบ 3 Element ควรท�ำการเลือกใช้โอเวอร์โหลดแบบ 3 Element เพื่อช่วยป้องกันความ เสียหายของมอเตอร์และอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับคน ได้ดีกว่าการใช้ โอเวอร์โหลด แบบ 2 Element


58 การเลือกขนาดสายไฟส�ำหรับมอเตอร์ การเชื่อมต่อสายไฟฟ้า ตารางกระแสใช้งานสายไฟฟ้า VCT-4 CORE


59 โดย ดร. กัลยาณ์ ศรีธัญญลักษณา-แดงติ๊บ ดร. ศุภรัตน์ แตงชัยภูมิและ ศ.ดร. ทิมโมทีฟลีเกล ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ดร. จ�ำเริญศรีถาวรสุวรรณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น�้ำสงขลา กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น�้ำ กรมประมง ดร. รพีพรรณ วานิชวิริยกิจ หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง (Centex Shrimp) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OfficeInternationaldes Epizooties;OIE) เป็น หน่วยงานที่มีการลงนามก่อตั้งตามข้อตกลงของนานาชาติเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2467 ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นองค์การสุขภาพสัตว์โลก (World Organisation of Animal Health; WOAH) วัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง เพื่อเป็นองค์กรกลางในการประสานความร่วมมือในการ ป้องกันและควบคุมโรคระบาดสัตว์เพื่อไม่ให้โรคระบาดสัตว์ก่อความสูญเสียต่อชีวิตสัตว์และมนุษย์ รวมถึงลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลก ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งของOIE จาก 28 ประเทศในปีพ.ศ.2467จนถึงปัจจุบัน คุณสมบัติของ คุณสมบัติของเชื้อไวรัส IHHNV เชื้อไวรัส IHHNV ไม่ตรงกับคุณสมบัติของเชื้อก่อโรค ตามบัญชีรายชื่อโรคสัตว์น�้ำ ขององค์การสุขภาพสัตว์โลก คุณสมบัติของเชื้อไวรัส IHHNV


60 ประเทศสมาชิกต้องมีการแจ้งข่าวสารแก่ประเทศ สมาชิกอื่นๆ เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคและเชื้อ ก่อโรคที่ส�ำคัญ ซึ่งช่วยการควบคุมโรคได้ดียิ่งขึ้น โดย WOAH มีการก�ำหนดรูปแบบของรายงานที่น�ำส่งเพื่อลด ความคลาดเคลื่อนของข้อมูล มีการก�ำหนดให้ประเทศ สมาชิกต้องแจ้งกรณีตรวจพบเชื้อก่อโรคทั้งที่มีการแสดง อาการและไม่มีการแสดงอาการทางคลินิก และมีหน้าที่ รายงานข้อมูลสถานการณ์ต่างๆ ตามข้อ a-e ภายใน 24 ชั่วโมงผ่านระบบWorld Animal HealthInformation System (WAHIS) หรือ โทรสาร (Fax) หรือจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์(E-mail) a)การเกิดโรคครั้งแรกในประเทศโซน หรือคอม พาร์ตเมนต์ b) การกลับเป็นซ�้ำของโรคที่ระบุไว้ในประเทศ โซน หรือคอมพาร์ตเมนต์ หลังการรายงานครั้งสุดท้าย ว่าการระบาดสิ้นสุดลง c) การเกิดขึ้นครั้งแรกของเชื้อก่อโรคสายพันธุ์ ใหม่ (new strain)ของโรคที่ระบุไว้ในประเทศโซน หรือ คอมพาร์ตเมนต์ d)การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันและไม่คาดคิด ในการกระจายหรือการเพิ่มขึ้นของอุบัติการณ์หรือความ รุนแรงหรือการเจ็บป่วยหรือการตายที่เกิดจากเชื้อก่อโรค ตามรายการโรคที่มีอยู่ภายในประเทศโซน หรือคอมพาร์ ตเมนต์ e)การเกิดขึ้นของโรคที่อยู่ในรายชื่อในสัตว์อาศัย ใหม่ (new host species) หลังจากการรายงานสถานการณ์ใดสถานการณ์ หนึ่งแล้วต้องมีการรายงานต่อเนื่องรายสัปดาห์(weekly report) เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับล�ำดับของ เหตุการณ์อันเป็นเหตุอันสมควรในการแจ้งเตือน รายงาน เหล ่านี้ควรด�ำเนินต ่อไปจนกว ่าโรคจะหมดสิ้นไปหรือ สถานการณ์มีเสถียรภาพ ประกอบด้วยรายงานรอบหก เดือน และรายงานประจ�ำปีที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลอื่นที่มี ความส�ำคัญต่อประเทศสมาชิก (World Organisation of Animal Health, 2023) ภาพที่ 1 : องค์การสุขภาพสัตว์โลก (World Organization of Animal Health) หรือชื่อเดิมคือ OIE แนวทางปฏิบัติในฐานะสมาชิกขององค์การสุขภาพสัตว์โลก


61 ส�ำหรับการรายงานโรคสัตว์น�้ำของประเทศไทย เจ้าหน้าที่ของกองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น�้ำ กรม ประมง ซึ่งเป็นผู้ประสานงานด้านสัตว์น�้ำรวบรวมข้อมูล และรายงานข้อมูลโรคสัตว์น�้ำไปยังกรมปศุสัตว์ซึ่ง เป็นผู้ แทนของประเทศไทยในการน�ำส่งรายงานไปยัง WOAH เกณฑ์ในการก�ำหนดชนิดเชื้อก่อโรคที่น�ำเข้า ในบัญชีรายชื่อขององค์การสุขภาพสัตว์ โลก 1. เชื้อก่อโรคนั้นต้องมีการแพร่ระบาดในหลาย ประเทศ 2. ต้องมีอย่างน้อย 1 ประเทศหรือพื้นที่ที่มีสัตว์ น�้ำที่เป็นสัตว์น�้ำเจ้าบ้านปลอดโรคนี้ 3.ต้องมีค�ำจ�ำกัดความของโรคที่แม่นย�ำและมีวิธี การตรวจวินิจฉัยที่เชื่อถือได้ 4a. มีการพิสูจน์ว่ามีการแพร่กระจายสู่คน และ คนที่ติดโรคจะมีปัญหาด้านสุขภาพที่สัมพันธ์กับโรค 4b. มีการแสดงให้เห็นว่าโรคส่งผลกระทบต่อ สุขภาพสัตว์น�้ำเพาะเลี้ยงในระดับประเทศหรือพื้นที่ เป็น ผลให้เกิดผลกระทบอื่นตามมาเช่น ปริมาณผลผลิตลดลง หรือการตายของสัตว์น�้ำในระดับประเทศหรือพื้นที่ 4c. มีการแสดงด้วยหลักฐานและงานวิจัยว่าโรค ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสุขภาพของสัตว์น�้ำในธรรมชาติ ท�ำให้เกิดผลกระทบอื่นตามมาเช่น การตายของประชากร สัตว์น�้ำ การลดปริมาณผลผลิตและผลกระทบทางลบต่อ สิ่งแวดล้อม ในการบรรจุโรคให้เป็นรายชื่อโรคในบัญชีจ�ำเป็น ต้องมีคุณสมบัติตามข้อก�ำหนดทั้ง 4 ข้อ โดยในข้อ 4 จะ ตรงตามข้อใดข้อหนึ่งก็ได้(4a หรือ 4b หรือ 4c)


62 ส�ำหรับโรคติดเชื้อ IHHNV จะเห็นได้ว่าตรง ตามข้อก�ำหนดที่ 1-3 เท่านั้น และมีคุณสมบัติ ไม่ตรงกับข้อ 4 ย่อยทั้งหมด โดยพบว่า โรคติดเชื้อไวรัสIHHNV มีคุณสมบัติไม่ตรงตาม ข้อ 4a เนื่องจากไม่สามารถถ่ายทอดสู่คนได้ โรคติดเชื้อไวรัสIHHNV มีคุณสมบัติไม่ตรงตาม ข้อ4b เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์น�้ำที่เพาะ เลี้ยงในระดับประเทศ จากการรวบรวมจ�ำนวนตัวอย่างกุ้งที่ให้ผลบวก PCRจากระบบการเฝ้าระวังทั้งแบบ activeและ passive surveillanceของกรมประมงและผลผลิตกุ้งของประเทศ พบว่ามีความสัมพันธ์กันเชิงบวก หมายถึงปีที่พบจ�ำนวน ตัวอย่างที่ให้ผลบวก PCR จ�ำนวนมาก ปริมาณผลผลิตก็ มาก หมายความว่าเชื้อIHHNVไม่ได้ท�ำให้ประสิทธิภาพ การผลิตลดลงระหว่างปีค.ศ. 2011-2021 ดังแสดงใน ภาพที่2 โรคติดเชื้อไวรัสIHHNV มีคุณสมบัติไม่ตรงตาม ข้อ4cเนื่องจากไม่มีรายงานความสัมพันธ์ระหว่างโรคติด เชื้อIHHNVในประชากรสัตว์น�้ำธรรมชาติที่ท�ำให้ผลผลิต ลดลงหรือส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันเชื้อไวรัส IHHNV มีการแพร่ระบาดไป ทั่วโลก โดยพบว่าในกุ้งที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการของ โรคเลย การศึกษาในกุ้งกุลาด�ำพบว่าในกุ้งอายุ 4 และ 12 เดือนที่ติดเชื้อไม่แสดงอาการของโรคและมีน�้ำหนัก ตัวเฉลี่ยไม่แตกต่างกับกุ้งปกติไวรัส IHHNV สามารถ ถ่ายทอดผ่านทางแม่พันธุ์สู่ลูกพันธุ์แต่มีผลน้อยมากต่อ การเจริญเติบโตของลูกพันธุ์ (Withyachumnarnkul et al., 2006) ผลงานวิจัยจากความร ่วมมือของนัก วิจัยไบโอเทค นักวิจัยจาก Centex Shrimp คณะ วิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดลและบุคลากรกรมประมง (Imsongpan et al., 2023; Sritunyalucksana et al. (submitted) พบข้อมูลในระดับห้องปฏิบัติการวิจัย ภาพที่ 2 : แสดงความสัมพันธ์ระหว่างผลผลิตกุ้งในประเทศไทย (กราฟแท่งสีน�้ำเงิน) และสัดส่วนจ�ำนวนตัวอย่างที่ตรวจพบเชื้อไวรัส IHHNV (กราฟเส้นสีแดง) ระหว่างปี ค.ศ. 2011-2021


63 เอกสารอ้างอิง : Imsonpang, S., Pudgerd, A., Chotwiwatthanakun, C., Srisala,J., Sanguanrut, P., Kasamechotchung, C., Sritunyalucksana, K.,Taengchaiyaphum, S., & Vanichviriyakit, R. (2023). Confirmatory testofactiveIHHNV infectioninshrimpby immunohistochemistryandIHHNV-LongAmp PCR.Journalof fishdiseases,10.1111/jfd.13905. Advanceonline publication.https://doi.org/10.1111/jfd.13905 Sritunyalucksana, K., Sanguanrut, P., Srisala,J.,Thawonsuwan,J., Saleetid, N., Vanichviriyakit, R., Chotwiwatthanakun, C.,Flegel,T.W.,Taengchaiyaphum, S.Lackofasignificantnegativeimpactonfarm productivity supportsdelisting ofparvovirus IHHNV asanotifiableshrimpdisease. Submitted. Withyachumnarnkul, B., Chayaburakul, K.,Lao-Aroon, S., Plodpai, P., Sritunyalucksana, K., & Nash,G. (2006).Lowimpact of infectioushypodermalandhematopoieticnecrosis virus (IHHNV)ongrowthandreproductiveperformanceof Penaeus monodon. Diseasesofaquaticorganisms,69(2-3),129–136.https://doi.org/10.3354/dao069129 WorldOrganisationof AnimalHealth(WOAH).2023.Chapter1.1.-Notificationofdiseases,andprovisionofepidemiological information.2023 ©OIE - Aquatic Animal Health Code.4pages. https://www.woah.org/fileadmin/Home/eng/ Health_standards/aahc/current/chapitre_notification.pdf สนับสนุนว่าในปัจจุบันกุ้งทะเลสามารถทนต่อการติดเชื้อ IHHNV ได้มากขึ้น อาจเป็นเพราะมีการใช้สายพันธุ์SPF มากขึ้น ท�ำให้ไม่สามารถเหนี่ยวน�ำให้เกิดโรคได้ในห้อง ปฏิบัติการ ดังแสดงในภาพที่3 ภาพที่ 3 : แสดงการเลี้ยงกุ้งกุลาด�ำที่ติดเชื้อ IHHNV แต่มีสุขภาพดี เจริญเติบโตปกติและไม่แสดงอาการของโรคติดร่วมกับกุ้งขาว โดยเลี้ยงร่วมกันไป 30 วัน ไม่พบกุ้งขาวติดเชื้อ IHHNV และกุ้งกุลาด�ำไม่มีอาการของโรค การถอดเชื้อ IHHNV ออกจากบัญชีรายชื่อ WOAH เป็นการลดภาระของผู้ประกอบการในการส่งออก สินค้าสัตว์น�้ำ และไม่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตกุ้งในภาพ รวมระดับประเทศหรือระดับโลก แต่ไม่ได้หมายความ ว่าผู้ประกอบการเลี้ยงไม่ต้องตรวจไวรัส IHHNV แล้ว จ�ำเป็นต้องมีการตรวจและมาตรการเพื่อป้องกันการ แพร่ระบาดในระดับฟาร์มเลี้ยงของแต่ละผู้ประกอบ การเป็นปกติเหมือนที่ผ่านมาไวรัสยังก่อโรคได้ในระบบ การเลี้ยงที่แตกต่างกันและยังมีรายงานว่ากุ้งที่ติดเชื้อไวรัส IHHNV มีโอกาสติดเชื้อก่อโรคชนิดอื่นได้ง่ายขึ้น การ ใช้สายพันธุ์SPF จะช่วยลดการระบาดของโรคติดเชื้อ IHHNV ได้อย่างมีนัยส�ำคัญ ดังนั้นโรคติดเชื้อไวรัส IHHNV ควรถอดออก จากบัญชีรายชื่อโรคสัตว์น�้ำขององค์การสุขภาพสัตว์ โลก ในล�ำดับต่อไป ต้องส่งเสริมให้มีการเตรียมข้อมูลใน ลักษณะเดียวกันของประเทศผู้ผลิตกุ้งส่งออกอื่นๆเพื่อน�ำ ไปใช้ในการยื่นถอดเชื้อไวรัส IHHNV ต่อองค์การสุขภาพ สัตว์โลก


64 โดย นายสัตวแพทย์ปราการ เจียระคงมั่น DVM.,CertAqV. ผู้อ�ำนวยการ ฝ่ายสนับสนุนการผลิต ขาย และ วิชาการ ผลิตภัณฑ์สุขภาพสัตว์น�้ำ เพื่อการควบคุมต้นทุนการด�ำเนินการผลิตและ การเลี้ยงกุ้งให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุดในช่วงที่มีอุปทาน ล้นตลาดและความไม่แน่นอน และไม ่มีเสถียรภาพ ของสภาวะตลาดและราคากุ้ง เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ควร พิจารณากลยุทธ์เชิงปฏิบัติการ ในการควบคุมต้นทุนการ ผลิต ในภายในฟาร์มตัวเองให้ต�่ำที่สุด เพราะราคากุ้งจะ เป็นอย่างไรนั้นเราไม่สามารถไปควบคุมได้แต่สิ่งหนึ่ง ที่สามารถควบคุมได้คือต้นทุนการผลิตให้อยู่ในระดับที่ เหมาะสมและดีที่สุดส�ำหรับฟาร์มของเราเอง เนื่องจาก ต้นทุนการผลิตที่สูงที่ทาให้เราไม่สามารถแข่งขันกับผู้เลี้ยง ํ กุ้ง หลายอื่นๆ ได้คือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นในการเลี้ยง กุ้ง เช่นโรคไวรัสตัวแดงดวงขาว โรคไวรัสหัวเหลือง หรือ โรคแบคทีเรียอีเอ็มเอสรวมถึงโรคติดเชื้อไมโครสปอริเดีย EHP ที่ท�ำให้กุ้งเกิดปัญหาของกลุ่มอาการขี้ขาวซึ่งอาจทาํ ให้กุ้งตายทันทีหรือ ทยอยตายสะสม ผลผลิตต�่ำ อัตรา การบริหารจัดการฟาร์มกุ้ง การบริหารจัดการฟาร์มกุ้ง รอดลดต�่ำลงมากและท�ำให้ต้นทุนการผลิตสูงขายได้ไม่ คุ้มกับต้นทุนการผลิต เพราะฉะนั้นการควบคุมความเสีย หายจากโรคกุ้งคือการควบคุมต้นทุนที่ดีที่สุด นอกจาก นี้เกษตรกรควรพิจารณาควบคุมต้นทุนโดยอาศัยมุมมอง ต่างๆ ดังต่อไปนี้ การเลือกใช้สายพันธุ์กุ้งที่ปลอดโรค (SPF) และมีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การไม่น�ำพาเชื้อโรคที่เป็น unknown diseases ที่อาจแฝงมากับพ่อแม่พันธุ์กุ้งที่ไม่สะอาด เข้าสู่ระบบการ เลี้ยง เป็นสิ่งส�ำคัญ สายพันธุ์กุ้งที่ดีควรมีการปรับปรุง และพัฒนาในการคัดเลือกสายพันธุ์ด้วยเทคโนโลยีที่ ทันสมัยและเหมาะสมตลอดเวลา เช่น การใช้เทคโนโลยี epigeneticandmetabolomesขั้นสูง มาใช้ในการคัด เลือก และปรับปรุงสายพันธุ์กุ้ง เพราะสภาวะแวดล้อม เพื่อควบคุมต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพสูง ในสภาวะความไม่มีเสถียรภาพของตลาด การบริหารจัดการฟาร์มกุ้ง


65 โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมของแหล่งน�้ำธรรมชาติ และเทคนิค การเลี้ยงของเกษตรกร และปัจจัยของความส�ำเร็จของ เกษตรกรแต่ละราบ มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและการเจริญเติบโต ที่รวดเร็วเพื่อลดความเสี่ยงภายในบ่อเลี้ยงและเพิ่มความ ทนทานต่อสภาวะแวดล้อม (robustness) ให้ไปในทิศทาง เดียวกัน ในเรื่องการเจริญเติบโตของกุ้งที่รวดเร็ว และ สามารถจับออกจากบ่อได้เร็วในขนาดไซส์ที่ต้องการตาม ระยะเวลาที่เหมาะสม มีความส�ำคัญเป็นอย่างมากต่อการ ลดต้นทุนการเลี้ยงเมื่อใดก็ตามที่เลี้ยงกุ้งใช้ระยะเวลาการ เลี้ยงยาวนาน ค่าใช้จ่ายต่อวันที่จ่ายไป จะเพิ่มขึ้นอย่าง มาก และจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนรวมอย่างมีนัยส�ำคัญ มากด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างบ่อซึ่งเลี้ยงกุ้งแล้วมีอัตราการเจริญ เติบโตเฉลี่ยต่อวันต่างกันแค่0.1กรัมต่อวัน คือระหว่าง 0.4 กับ 0.3 กรัมต่อวัน จะเห็นว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป หมดไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างด้านผลผลิตที่ได้ออกมา ไม่เท่ากัน ความแตกต่างของอาหารที่ใช้ลงไป ความแตก ต่างของค่าพลังงานไฟฟ้า หรือความแตกต่างของค่าแรง งาน เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าเมื่อใดก็ตามหากเลี้ยงกุ้งแล้ว ไม่สามารถเอากุ้งออกจากบ่อให้เร็วที่สุดตามเป้าหมายที่ ตั้งไว้จะส่งผลให้ผู้เลี้ยงกุ้ง ต้องจ่ายเงินให้กับค่าใช้จ่าย ผันแปรและค่าใช้จ่ายคงที่ต่อวันเหล่านี้ไปเรื่อยๆ ยิ่งเรา เลี้ยงกุ้งนานเท่าใด ไม่ถึงไซส์เป้าหมายที่ต้องการ เราจะ ต้องเสียค่าใช้ใช้จ่ายไปมากขึ้นเท่านั้น มีการคํานวณค่าเฉลี่ย ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อวัน ส�ำหรับการเลี้ยงกุ้งในประเทศไทยจะตกประมาณ6,000- 20,000 บาท ต่อวันต่อไร่ที่อัตราการปล่อย70–100ตัว ต่อตารางเมตร ขึ้นอยู่กับว่าเราเลี้ยงกุ้งในระบบการเลี้ยง แบบไหน เพราะฉะนั้นหากเลี้ยงกุ้งแล้วได้สามารถจับกุ้ง ออกจากบ่อเร็วกว่า ยกตัวอย่างเช่น สามารถจับกุ้งจากบ่อได้เร็วกว่า 20วัน จะส่งผลให้มีโอกาสที่จะทากํ าไรมากกว่าการที่เลี้ยง ํ


66 กุ้งโตช้า ประมาณ 120,000 – 400,000 บาท ต่อบ่อ ถ้า เรามีบ่อเลี้ยง10 บ่อแล้วสามารถเลี้ยงกุ้งให้ส�ำเร็จเร็วมาก ที่สุดโดยไม่เกิดความเสียหายและเจริญเติบโตเร็วตามเป้า หมายเราจะมีโอกาสในการท�ำก�ำไรมากกว่าถึง ประมาณ 1,200,000 – 4,000,000 บาทต่อ 10 บ่อ เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าประเด็นการเลี้ยงกุ้งให้ประสบความส�ำเร็จและ จับกุ้งออกจากบ่อให้เร็วที่สุด ไม่ใช่ประเด็นสาคัญ ํ จริงๆ มันมีความสาคัญมาก ํ ถ้าสามารถเลี้ยงกุ้งให้ถึงเป้าหมาย ในระยะเวลาที่รวดเร็ว เราจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินค่าใช้จ่าย ต่อวันเพิ่มขึ้น ดังนั้นการควบคุมต้นทุนที่ดีต้องผสมผสาน ระหว่างการบริหารจัดการทั้งสองเรื่องคืออัตรารอดของ กุ้ง และเรื่องการเจริญเติบโตให้ได้ตามเป้าหมายในระยะ เวลาที่ก�ำหนด ปัจจุบันสายพันธุ์กุ้งของซีพีถูกพัฒนา ท�ำให้ เกิดความหลากหลายและผสมผสานระหว่างการเจริญ เติบโตที่รวดเร็ว และความทนทานต่อสภาวะแวดล้อมที่ เปลี่ยนแปลง เช่น สายพันธุ์ ซีพีเอฟ เทอร์โบ อัลตร้า (CPF Turbo Ultra) และสายพันธุ์ ซีพีเอฟ ซุปเปอร์ฟาส อัลตร้า (CPF Super Fast Ultra) เป็นต้น เกษตรกร จึงสามารถเลือกสายพันธุ์ให้เหมาะสมกับความพร้อมของ ฟาร์มตัวเอง ตามความสามารถในการเลี้ยง (carrying capacity ) จึงสามารถช่วยให้เกษตรกรสามารถควบคุม ต้นทุน การใช้ลูกกุ้ง และลดความเสียหายได้อย ่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น การบริหารจัดการการเพาะฟักลูกกุ้งที่ มีประสิทธิภาพสูง (Best practices of shrimp hatchery and nursery ) การบริหารจัดการที่ดีในโรงเพาะฟักลูกกุ้ง มาตรฐาน โดยเฉพาะการใช้เครื่องไม้เครื่องมือ ที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพสูง ในการท�ำความสะอาดและฆ่าเชื้อ โรคในน�้ำ และกรองเอาเชื้อโรคและสปอร์ของเชื้อโรค ออกจากน�้ำที่ใช้เลี้ยงเพื่อลดการปนเปื้อน 100%ก่อนน�ำ น�้ำมาใช้ระบบไบโอซีเคียวที่ต้องเข้มแข็งสูงสุด ระบบ การเลี้ยง และ การจัดการน�้ำ และ ของเสียไนโตรเจน ที่ พัฒนาขั้นสูง ในการบ�ำบัดของเสีย แบบกายภาพ และ ชีวภาพ ทั้งแบบ heterotrophic and autotrophic oriented base และการควบคุมคุณภาพที่ต่อเนื่องเป็น โปรแกรม โดยวิธีการที่ได้มาตรฐานในระดับสากล ทั้ง ระหว่างการเลี้ยง และการบริหารให้มีลูกกุ้ง หลากหลาย ขนาด ตามความต้องการ และ carrying capacity ที่ เหมาะสมของ เกษตรกรแต่ละฟาร์ม แต่ละบ่อ ตั้งแต่ลูก กุ้งพี(post larvae stage) ไปจนถีงลูกกุ้งรุ่น (juvenile shrimp) และ การตรวจปล่อยลูกกุ้ง รวมถึงการบริหาร จัดการ ตรวจสอบคุณภาพลูกกุ้ง หลังการส่งมอบไปยัง เกษตรกรแล้ว (PTP quality control system) เหล่านี้ ล้วนมีส่วนช่วยให้เกษตรกร สามารถได้ลูกกุ้งคุณภาพ ที่ มีการเจริญเติบโต และ ความทนทาน ตามศักยภาพของ การเลี้ยง และการจัดการ และสามารถลดต้นทุนการใช้ ลูกกุ้งได้


67 การจัดการการเลือกอาหารกุ้ง ที่เหมาะ สม ที่มีนวัตกรรมที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่ง แวดล้อม และ การให้อาหารกุ้ง อย่างมี ประสิทธิภาพ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อาหารกุ้งแบบ ควบคุมต้นทุนที่ดีมีความส�ำคัญอย่างมากในการควบคุม ต้นทุนการผลิตเพราะเมื่อพิจารณาต้นทุนในการผลิตกุ้ง 1 กก. พบว่า ต้นทุนอาหารกุ้งคือต้นทุนที่สูงที่สุดส�ำหรับ การเลี้ยงกุ้ง กุ้งที่เลี้ยงในบ่อในน�้ำ มีความแตกต่างจาก การเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจในระบบโรงเรือนปิด การบริหาร จัดการอาหารสัตว์น�้ำ เป็นการบริหารอาหารลงไปใน ตัวกลางคือน�้ำ เราต้องค�ำนึงถึงการสูญเสียของอาหารที่ เกิดขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อม ซึ่งจะตามมาด้วยผลกระทบอีกหลายเรื่อง โดย เฉพาะเรื่องสารอินทรีย์หรือไนโตรเจน ที่ละลายออกมา ในน�้ำ มีงานวิจัยพบว่า โดยทั่วไป อาหารกุ้งที่บริหารผ่าน น�้ำ อาจจะมีการละลายและสูญเสียปลดปล่อยสารอินทรีย์ และ ไนโตรเจน ในน�้ำเฉลี่ยประมาณ 15% อาหารถูก เปลี่ยนแปลงไปเป็นขี้กุ้งและปลดปล่อยสารอินทรีย์ในน�้ำ ประมาณ 20% อาหารกุ้งน�ำใช้ในการเจริญเติบโต 17% และ 48% ใช้ในการด�ำรงกิจกกรมประจ�ำวัน เช่น การ ลอกคราบ การหายใจ การขับถ่าย การสืบพันธุ์ เป็นต้น 35% ของสารอินทรีย์และ ไนโตรเจน ที่หลงเหลือใน น�้ำ ถูกใช้ในการเจริญเติบโตของจุลชีพ และแบคทีเรียใน น�้ำ ดังนั้น เมื่อเราบริหารจัดการอาหารลงไปในน�้ำแล้วไม่ ได้ถูกกินโดยตรงจากกุ้ง สารอินทรีย์และไนโตรเจน ที่ เกิดขึ้น จะไปเป็นสารอาหารที่ใช้ในการเจริญเติบโต ของ แพลงก์ตอน จุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยสลาย หรือเชื้อแบคทีเรีย หรือ เชื้อก่อโรคบางตัว ท�ำให้มีการเจริญเติบโตขึ้นมา จ�ำนวนมาก แล้วไปดึงหรือโหลดให้การบริหารจัดการ ออกซิเจนที่ละลายในน�้ำมีปัญหาได้รับผลกระทบในเชิง ที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของกุ้ง อีกด้วย การใช้อาหารกุ้งคุณภาพสูง และการบริหาร จัดการอาหารกุ้งที่ดีจะช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงอย่างมี ประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากความหลากหลาย ของการใช้สายพันธุ์เราต้องค�ำนึงว ่าจะบริหารจัดการ อาหารกุ้งอย่างไรให้สอดคล้องกับสายพันธุ์ชนิดต่างๆโดย เฉพาะสายพันธุ์ที่โตเร็วต้องกินอาหารในปริมาณมาก ใน สายพันธุ์ที่โตช้ากว่าอาจจะกินอาหารน้อยกว่า แต่แน่นอน ว่าสายพันธุ์ที่โตช้ากว่าย่อมเสียโอกาสในการที่ต้องเสียค่า ใช้จ่ายเฉลี่ย ต่อวันที่สูงกว่า ยกตัวอย่างเช่นหากลงสายพันธุ์ที่โตช้ากว่า และ มีค่าใช้จ่ายทั้งหมดภายในฟาร์ม ทั้งค่าอาหาร ค่าไฟฟ้า และพลังงานค่าแรงงาน ค่าปัจจัยการผลิต ค่าเช่าฟาร์ม ค่าเสื่อม เป็นต้น เฉลี่ยต่อวันประมาณ 15,000 บาทต่อ บ่อทั้งนี้ขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันของแต่ละระบบ การเลี้ยงที่ต้องใช้จ่ายไปเท่าไหร่ เราอาจต้องเสียค่าใช้ จ่ายทั้งหมดมากกว่า สายพันธุ์ที่โตเร็วกว่า ประมาณ 180,000-370,000 บาทต่อบ่อ หากกุ้งของเราโตช้ากว่า เฉลี่ย จ�ำนวน 12 – 25 วัน อย่างไรตามความเหมาะสมหรือความพร้อมของ บ่อเลี้ยง มีความส�ำคัญอย่างมาก ต่อการเลือกสายพันธุ์ และ การบริหารจัดการอาหาร ทั้งหมดต้องอยู่ที่ความ สามารถของบ่อที่จะเลี้ยงกุ้งเหล่านั้นได้ในช่วงระยะเวลา


68 หนึ่งๆ ที่เราเรียกว่า Carrying capacity ต้องเหมาะสม การลงกุ้งสายพันธุ์โตเร็ว หรือลงลูกกุ้งที่ผ่านการอนุบาล ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น อาจมีข้อดีตรงที่ทาให้ ํระยะเวลาการ เลี้ยงในบ่อสั้นลง อาจลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงได้ มาก ลูกกุ้งรุ่นที่ผ่านการอนุบาลจะมีขนาดใหญ่ขึ้น และ มีความแข็งแรงมากขึ้น แต่ต้องมองอีกมุมว่าลูกกุ้งรุ่นที่ ผ่านการอนุบาลเหล่านี้เมื่อลงไปในบ่อเลี้ยง จะมีความ ต้องการปริมาณอาหารที่สูงมาก กว่า กุ้งพีแอลขนาดเล็ก โดยทั่วๆ ไป เมื่อเราเปรียบเทียบความต้องการอาหารของลูก กุ้งรุ่นที่ผ่านการอนุบาลขนาดประมาณ 0.3 กรัม กับ ลูก กุ้งพีแอลขนาด0.01กรัม ของสายพันธุ์ที่โตช้ากว่าและ มีความต้องการอาหารน้อยกว่า จะเห็นว่าความต้องการ อาหารของลูกกุ้งพีแอล สายพันธุ์ที่โตช้ากว่า มีความ ต้องการอาหารต่อวันในช่วง 1 เดือนแรก น้อยกว่ากุ้งรุ่น ที่ผ่านการอนุบาลค่อนข้างมาก คือเฉลี่ยมีปริมาณอาหาร สะสมต�่ำกว่าลูกกุ้งรุ่นที่ผ่านการอนุบาล ประมาณ 208– 225% การลงลูกกุ้งรุ่นที่ผ่านการอนุบาล ฟาร์มเลี้ยง ต้องมีความพร้อมในการบริหารจัดการอาหารโดยเฉพาะ อาหารที่ไม่ได้ถูกกินโดยกุ้ง และต้องจัดการออกเอา ไป เก็บไว้ในบ่อทิ้งเลนที่แยกเป็นสัดส่วน เพราะมิฉะนั้นจะ กลายเป็นของเสียที่คงค้างจ�ำนวนมาก และก่อให้เกิดผล กระทบต่อการเลี้ยงได้ ขณะที่ลูกกุ้งที่เป็นกุ้งพีแอล สาย พันธุ์ที่โตช้าจะกินอาหารน้อยกว่า การบริหารจัดการ อาหาร และปริมาณอาหารที่ให้ต่อวัน และอาหารสะสม ต่อเดือน และของเสียที่ต้องบ�ำบัดจะต�่ำกว่า หากบ่อของ เรามีความพร้อมน้อยกว่า หรือความสามารถของบ่อที่จะ เลี้ยงกุ้งน้อยกว่า การลงลูกกุ้งแบบนี้อาจมีความเหมาะ สมกว่า หากพวกเราเข้าใจความจริงเหล่านี้การเลือกสาย พันธุ์กุ้ง และชนิดของลูกกุ้งมาเลี้ยง จึงขึ้นอยู่กับความ พร้อมของผู้ประกอบการ สิ่งสาคัญคือก่อนจะตัดสินใจลงลูกกุ้ง ํ ต้องถามตัว เองก่อนว่า ฟาร์มและบ่อของเรามีความสามารถของบ่อที่ จะเลี้ยงกุ้งเหล่านั้นได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ ที่เราเรียก ว่า Carryingcapacityเหมาะสมหรือไม่โดยต้องพิจารณา


69 ถึง ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ การบาบัดของเสีย ํ ปริมาณน�้ำที่จะใช้ในการเปลี่ยนถ่าย มีจ�ำนวนมากเพียง พอหรือไม่ปริมาณเครื่องให้อากาศและออกซิเจนมีเพียง พอหรือไม่ ปริมาณคนงานที่มีพอหรือไม่ที่จะลงกุ้งสาย พันธุ์และชนิดของลูกกุ้งรูปแบบดังกล่าวในปริมาณความ หนาแน่นที่เราตั้งเป้าหมาย นี่คือหัวใจที่จะตัดสินใจว่าจะ เลือกสายพันธุ์อย่างไรซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีจุดเด่นในตัวอยู่ แล้ว ดังนั้น เกษตรกรสามารถตรวจสอบและปรับ แนวทางปฏิบัติในการเลือก และ การบริหารจัดการการ ให้อาหารให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ดังต่อไปนี้ ตัวอย่าง เช่น ใช้อาหารกุ้งที่มีคุณค่าทาง โภชนาการสูง มีสาร อาหารที่ส�ำคัญครบถ้วน ทั้งคาร์โบไฮเดรตโปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่และมีความสมดุลทางโภชนาการและมี คุณภาพวัตถุดิบที่คัดกรองมาอย่างดีและกุ้งสามารถย่อย และน�ำไปใช้ในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและ คงเหลือเป็นผลกระทบ ต่อคุณภาพน�้ำ และสิ่งแวดล้อม น้อยที่สุด แหล่งที่มาของโปรตีนที่เลือกไปผลิตอาหารกุ้ง จริงๆ แล้วแหล่งของโปรตีนที่เลือกไปผลิตอาหารกุ้ง มา จากหลายๆแหล่ง วัตถุดิบบางประเภทให้โปรตีนสูง แต่ การน�ำโปรตีนและกรดอะมิโนแอซิดที่ย่อยแล้ว ดูดซึมไป ใช้ได้ในร่างกายกุ้ง ที่เป็นประโยชน์จริงๆ อาจจะต�่ำ เพราะ เป็นแหล่งโปรตีนที่ย่อยสลายไม่ได้หรือได้ในปริมาณน้อย มาก บริษัทผู้ผลิตอาหารกุ้งที่ดีจะต้องมีงานวิจัยและการ ทดสอบทดลอง ในการเลือกสัดส่วนของวัตถุดิบอาหาร สัตว์ที่เป็นแหล่งโปรตีน เหล่านี้น�ำมาเป็นส่วนผสมของ วัตถุดิบอาหารกุ้งที่เหมาะสม ปลอดภัยต่อกุ้ง และท�ำให้ เกิดประสิทธิภาพการใช้โปรตีนสูงที่สุด เป้าหมายของโปรตีนที่เหมาะสมในอาหารกุ้งโดย ประมาณเฉลี่ยอยู่ที่30%–45% แต่ปริมาณโปรตีนที่เป็น น�้ำหนักแห้งที่เอาไปสร้างเป็นร่างกายกุ้งอยู่ที่ประมาณแค่ 14% - 15% เท่านั้น ถ้าในอาหารกุ้ง มีปริมาณโปรตีน ที่ ร่างกายกุ้งไม่สามารถย่อยได้หรือน�ำไปใช้ไปในปริมาณต�่ำ แม้ว่า เปอร์เซ็นต์โปรตีนที่ข้างฉลากของกระสอบอาหาร กุ้งจะสูง อาหารกุ้งเหล่านั้นก็อาจจะไม่ได้มีประโยชน์ ส�ำหรับกุ้ง เพราะปริมาณไนโตรเจน ในโปรตีนที่สูงแต่ใช้ ไม่ได้เหล่านั้น จะเหลือสะสมอยู่ในน�้ำในบ่อเลี้ยงและเกิด ผลกระทบต่อกุ้ง และสิ่งแวดล้อม ในที่สุดความส�ำคัญที่เกษตรกรต้องเข้าใจคือ ไม ่ควรเลือกอาหารกุ้งชนิดใดก็ตาม โดยพิจารณาแค ่ เปอร์เซ็นต์โปรตีนสูงๆ แล้วราคาถูกๆ แต่ความเป็นจริง เราควรเลือกเปอร์เซ็นต์โปรตีนในอาหารกุ้งที่เหมาะสม กับความต้องการของชนิดของกุ้งที่เราจะเลี้ยง และเลือก คุณภาพของโปรตีนและคุณภาพของกรดอะมิโน แอซิดใน อาหารกุ้ง ที่กุ้งสามารถย่อยและน�ำไปใช้ประโยชน์ได้จริง เท่านั้น เพราะโปรตีน ยังต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็น กรดอะ มิโน แอซิด ที่กุ้งดูดซึมไปใช้ การปรับสมดุลของกรด อะมิโนแอซิด ในอาหาร กุ้งจึงมีความส�ำคัญมากกว่าการพิจารณาแค่ เปอร์เซ็นต์


70 โปรตีนในอาหารกุ้ง อาหารที่มีโปรตีนสูงแต่กุ้งไม่สามารถ ย่อยน�ำโปรตีนเหล่านั้นไปใช้ได้ในที่สุดจะหลงเหลือเป็น ของเสียในน�้ำ เช่น แอมโมเนีย ไนไตรท์และไนเตรท รวมทั้ง ซัลไฟด์ในน�้ำ และพื้นบ่อ เป็นต้น ก่อให้เกิดผล กระทบ ต่อสุขภาพ และภูมิคุ้มกันโรคของกุ้ง ท�ำให้กุ้งมี ความอ่อนแอลง และมีความอ่อนไหวต่อการติดเชื้อโรค ต่างๆได้ง่ายขึ้น มาตราการบริหารจัดการอาหารที่ดี คือ ให้อาหารตามความต้องการการกินอาหารในแต่ละวัน ตรวจสอบ อุณหภูมิออกซิเจน คุณภาพน�้ำพื้นฐาน ทุกตัว เช็คยอ สังเกตพฤติกรรมการกินอาหาร และปรับการให้ อาหารตามสภาวะอากาศและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ไป และตามการกินได้จริงของกุ้ง จากการเก็บข้อมูลจริงจากบ่อเลี้ยงกุ้งหลายๆ บ่อพบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ให้อาหารกุ้งมากกว่าความ ต้องการจริงที่กุ้งต้องการอาหาร โดยเฉพาะการให้ อาหารที่มีโปรตีนสูง แต่กุ้งไม่ได้กิน หรือกินได้แต่ไม่มี ประสิทธิภาพในการย่อยและการน�ำไปใช้อย่างเหมาะสม ย่อมส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของกุ้งและปริมาณ ของเสียสะสมในบ่อและในน�้ำสูง ท�ำให้เกิดปัญหาตามมา อีกมากมาย เพราะฉะนั้นเกษตรกรต้องใช้วิธีการต่างๆในการ ตรวจสอบว่าการให้อาหารเหมาะสมกับความต้องการ ของกุ้งเพียงใด เช่น การใช้สมุดบันทึก การให้อาหาร และคุณภาพน�้ำประจ�ำวัน การลงตารางคุณภาพน�้ำ และ ปริมาณอาหารที่กิน การเช็คยอการวัดอุณหภูมิการหมั่น ตรวจสอบสุขภาพกุ้ง การสังเกตสภาวะอากาศ แต่ละวัน ที่ส่งผลถึงการปรับเพิ่ม หรือ ลด อาหาร ขณะเดียวกัน ให้อาหารกุ้ง ผ่านเครื่องให้อาหารอัตโนมัติพวกเราต้อง เข้าใจว่า เครื่องให้อาหารออโต้ฟีด ไม่สามารถตรวจสอบ ได้ว่า ช่วงนั้นสภาพอากาศเป็นอย่างไร คนที่รู้ว่าสภาวะ อากาศ หรือ อุณหภูมิเป็นอย่างไรคือคนเลี้ยง เพราะ ฉะนั้นการปล่อยให้เครื่องให้อาหารออโตฟีด ท�ำงานด้วย ตัวมันเอง โดยไม่มีการตรวจสอบ ย่อมก่อให้เกิดผลเสีย ตามมา ทั้งปริมาณอาหาร ที่สูงเกินไป FCR สูง ปริมาณ ของเสียสะสมมาก และ มีผลกระทบต่อ ปริมาณเชื้อโรค แพลงก์ตอน คุณภาพน�้ำ และสิ่งแวดล้อมด้วย มีข้อมูลอันหนึ่งที่อยากจะชี้แจงให้เกษตรกรทุก คนทราบ ก็คือ ความต้องการอาหารในแต่ละช่วงเวลา ระหว่างกุ้งสายพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตแตกต่างกัน ต้องมี การปรับเปอร์เซ็นต์การให้อาหารต่อน�้ำหนักตัวในแต่ละ ช่วงอายุ ที่แตกต่างกันด้วย โดยเฉพาะในกุ้งที่โตเร็วกับ โตช้า เปอร์เซ็นต์การให้อาหาร ต่อน�้ำหนักตัว ของกุ้งที่ โตช้า จะมีความต้องการกินอาหารในช่วงแรกน้อยกว่า กุ้งที่โตเร็ว กุ้งที่เจริญเติบโตรวดเร็ว เราสามารถบริหาร จัดการอาหารลงไปได้เต็มที่เพราะว่ามีเปอร์เซ็นต์การให้ อาหาร ต่อน�้ำหนักตัวสูง ซึ่งต้องพิจารณาความสามารถ ในการรองรับของบ่อนั้นๆ ด้วย แต่ถ้าลงกุ้งที่โตช้ากว่าต้องเข้าใจว่ากุ้งโตช้ากว่ามี ความต้องการอาหาร หรือ เปอร์เซ็นต์อาหารต่อน�้ำหนัก ตัวต�่ำกว่าโดยเฉลี่ย ประมาณ 15%- 20% โดยเฉพาะใน ช่วงเดือนแรกที่กุ้งยังมีขนาดเล็ก กุ้งโตช้าจะมีอาหารลง ไปในบ่อน้อยกว่ากุ้งโตเร็ว เพราะปริมาณอาหารลงไปใน


71 บ่อน้อยกว่าการบริหารของเสียเช่น แอมโมเนียในไตรท์ และไนเตรท หรือ ปริมาณออกซิเจนที่ละลายน�้ำ รวมถึง ปริมาณ เชื้อแบคทีเรียแพลงก์ตอน จะมีความตึงเครียด น้อยกว่า ถ้าเราลงกุ้งที่โตเร็วลงไปในบ่อแต่บริหารจัดการ อาหารโดยเฉพาะการเพิ่มเปอร์เซ็นต์อาหาร ต่อน�้ำหนัก ตัวมาก แต่ ความสามารถในการรองรับของบ่อไม่ไหว ก็ จะเกิดความเสียหายขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าบริหารจัดการ อาหาร ในช่วงหนึ่งเดือนไม่ได้ประสิทธิภาพ และไม่ สอดคล้องกับความสามารถของบ่อในการรองรับ ปริมาณ กุ้ง และปริมาณของเสียในบ่อก็จะตามมาด้วยสิ่งที่มัก จะพบบ่อยๆ โดยเฉพาะความเสียหายหลัง 30 วัน ถ้า พิจารณาค่าไนโตรเจนสะสมทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในบ่อเลี้ยง ระยะเวลาหลัง30วัน จะเห็นว่าค่าไนโตรเจนสะสมในน�้ำ ในบ่อ จะพุ่งสูงขึ้นไปอย่างมากมาย ในช่วงหลัง 30 วัน ของการเลี้ยง เพราะปริมาณอาหารสะสมเริ่มสูงขึ้นมาก จะเห็นว่ากุ้งจะตามมาด้วยปัญหาทันทีถ้าบริหารจัดการ อาหารไม่ได้ในช่วงหนึ่งเดือนแรก ดังนั้น ในช่วงเดือนแรกของการเลี้ยงกุ้ง จะมีคาํ พูดอยู่สอง คาที่จ� ํำเป็นต้องพิจารณา คือ TO DO หมาย ถึงต้องรีบจัดการอะไรบางอย่าง ให้บ่อสามารถไปต่อได้ ตามปกติเช่น รีบถ่ายน�้ำ จัดการของเสีย หรือย้ายกุ้งออก หรือ TO DIE คือถ้าไม่จัดการอะไรที่เหมาะสม กุ้งก็จะ ตายและเริ่มเกิดความเสียหายขึ้น เพราะปริมาณของเสีย และสารอินทรีย์ไนโตรเจนสะสม มันเพิ่มขึ้นมาก นั่นเอง การบริหารจัดการการเลี้ยงที่ดี แบบ องค์ รวม และการจัดการคุณภาพน�้ำในบ่อเลี้ยง อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ และ มีความ ต่อเนื่องและปรับปรุงแก้ไขทันที ที่เกิด ปัญหา โดยเกษตรควรมีการวิเคราะห์ความสามารถใน การเลี้ยงของบ่อและฟาร์มตัวเองอย่างใกล้ชิดว่าเหมาะ สมจะเลือกใช้ระบบการเลี้ยงแบบใด โดยค�ำนึงถึงความ พร้อมของแหล่งที่มาของน�้ำ คุณภาพน�้ำ พื้นฐานที่มี เพื่อ ที่จะได้สามารถด�ำเนินการบริหารจัดการบ่อและจัดการ น�้ำ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


72 ทั้งขบวนการเตรียมน�้ำ ที่ดีก่อนเลี้ยงกุ้ง และการ ติดตามคุณภาพน�้ำ ในระหว่างการเลี้ยงอย่างต่อเนื่องและ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การบริหารจัดการน�้ำทิ้ง และ การบ�ำบัด ก่อนทิ้งสู่ แหล่งน�้ำธรรมชาติเพื่อลดการใช้ พลังงานสูง และลดผลกระทบจากปัญหาสภาวะแวดล้อม เกิดความเสื่อมโทรม และ เป็นแหล่งสะสมของ เชื้อโรค และ สปอร์ของเชื้อไมโครสปอริเดีย เกษตรกรควรมีการ ติดตามคุณภาพน�้ำ อย่างสม�่ำเสมอส�ำหรับ ค่าคุณภาพน�้ำ พื้นฐาน ทุกชนิดเช่น พีเอชดีโออุณหภูมิความ โปร่งใส ของน�้ำ ความขุ่นของน�้ำ แอมโมเนีย ไนไตรท์ ปริมาณ แพลงก์ตอน ปริมาณแบคทีเรีย เพื่อป้องกันโรคและ ปรับปรุง สุขภาพกุ้ง การจัดการความหนาแน่นของการปล่อยกุ้ง ให้สอดคล้องกับความสามารถของบ่อ และ ฟาร์มของตนเอง เกษตรกรควรเลือกปล่อยลูกกุ้ง และ ชนิดของ สายพันธุ์และขนาดของลูกกุ้งตามความพร้อมและความ สามารถในการรองรับของบ่อเราเอง ควร หลีกเลี่ยง การ ปล่อยกุ้งที่มีความหนาแน่น มากกว่าcarryingcapacity ของฟาร์มเราเอง การปล่อยกุ้งที่หนาแน่นมากเกินไปใน ขณะที่ระบบความพร้อมของฟาร์มต�่ำ อาจส่งผลเสียให้ กุ้งเกิดความเครียดและ มีความอ่อนไหวต่อการติดเชื้อได้ มากขึ้น ท�ำให้อัตรารอดต�่ำ เกิดความเสียหายระหว่างการ เลี้ยงเกิดการปนเปื้อน และมีต้นทุนการผลิตสูงเกษตรกร ควรพิจารณา ความเหมาะสมของความหนาแน่น เพื่อ รักษาสภาวะที่เหมาะสม ส�ำหรับการเจริญเติบโตที่ดีที่สุดของฟาร์มตัวเอง และสามารถลดความเสี่ยงในการเลี้ยงอยู่ในบ่อให้สั้นๆ ที่สุด โดยนอกจากการ เลือกปรับความหนาแน่น ตาม ความพร้อมของบ่อและประวัติการเลี้ยงของบ่อและของ ฟาร์มแล้วอาจพิจารณาปรับความหนาแน่น ตามฤดูกาล ความเสี่ยงของแหล่งน�้ำ ความต้องการของตลาด และ สถานการณ์อุปสงค์อุปทาน ของตลาดไปด้วยในเวลา เดียวกัน มาตรการการป้องกันโรคและระบบไบโอ ซีเคียวที่เข้มแข็ง มีการตรวจสอบตรวนทาน และ ปรับปรุงแก้ไขอย่างสม�่ำเสมอ เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในการเลี้ยงกุ้ง เช่น โรคติดเชื้อ ในกุ้งเช่น โรคไวรัสตัวแดงดวงขาว โรค ไวรัสหัวเหลือง หรือโรคแบคทีเรียอีเอ็มเอสรวมถึงโรคติด เชื้อไมโครสปอริเดีย EHP ที่ท�ำให้กุ้งเกิดปัญหาของกลุ่ม อาการขี้ขาว ซึ่งอาจทาให้กุ้งตาย ํ ผลผลิตต�่ำ และทาให้ ํ


73 อัตรารอดลดลงมากและท�ำให้ต้นทุนการผลิตสูงขายได้ ไม่คุ้มกับต้นทุน เพราะฉะนั้นการควบคุมความเสียหาย จากโรคกุ้ง คือ การควบคุมต้นทุนที่ดีที่สุด เกษตรกรควร มีการลงทุนในเรื่องมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพ ทั้ง ระบบการป้องกันทางกายภาพ เช่น การกันนก กันปู ล้อมรั้ว การปูพลาสติก การกรองน�้ำ เป็นต้น และ ระบบ การป้องกันทางเคมีเช่น การใช้ระบบการฆ่าเชื้อโรค ด้วยสารเคมีที่มีประสิทธิภาพ และ ปลอดภัย ระบบการ ป้องกัน ทางชีวภาพ เช่น การใช้ลูกกุ้งที่มาจากสายพันธุ์ ที่เป็น SPF ไม่มีการปนเปื้อน unknown diseases การ คัดกรองคุณภาพลูกกุ้งให้ปลอดโรค ที่ส�ำคัญๆด้วยระบบ พีซีอาร์ มาตรการการกักกันโรค ก ่อนปล ่อยกุ้งจาก หลายๆแหล่ง เข้าในบ่อ หรือ ฟาร์มเดียวกัน เพื่อ ป้องกัน การระบาดของโรคลดความเสียหายลดการปน เปื้อนต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้การควบคุมต้นทุนที่มี ประสิทธิภาพ ยังคลอบคลุมถึง การวิเคราะห์และการวางแผนและการเฝ้า ติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด โดยเกษตรกร ควรติดตาม และ รับทราบข้อมูล เกี่ยวกับแนวโน้ม และความต้องการ ของตลาด อย่างต่อ เนื่อง และ ปรับตัวตามสภาวะตลาด ให้ทัน วางแผนการ จัดการ การผลิตตามการคาดการณ์ของตลาด เพื่อหลีก เลี่ยงปัญหา อุปทานล้นตลาด ในบางสภาวะ หรืออาจ จ�ำเป็นต้องหาช่องทางตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม การวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์หรือ ผลลัพธ์การเลี้ยง ที่ได้รับ ทบทวนและ วิเคราะห์ ต้นทุนการผลิตอย่างสม�่ำเสมอ เกษตรกรต้องจัดการวางแผนลดและความคุม ต้นทุนอย่างเป็นรูปธรรม ระบุรูปแบบ และแผนงานอย่าง จริงจัง น�ำข้อมูลประวัติเก่าของการเลี้ยง มาวิเคราะห์และ พิจารณา หาความผิดพลาด และ วางมาตรการ แก้ไข ป้องกัน ส�ำหรับการลดต้นทุนอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะ ต้อง ไม่กระทบต่อคุณภาพการผลิต และคุณภาพกุ้งที่ได้ รับ


74 การน�ำนวัตกรรม และ เทคโนโลยีมาใช้เพื่อ ลดต้นทุน การใช้พลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์พลังงาน ลม การใช้ระบบอัตโนมัติ นวัตกรรมภาพถ่ายหรือจับภาพ เพื่อตรวจนับ ระบบการตรวจสอบคุณภาพน�้ำ ด้วย AI and probe แบบอัตโนมัติและ โปรแกรมการเลี้ยงด้วย เทคโนโลยีต่างๆ การใช้ระบบการบันทึกข้อมูลทางดิจิตัล และการออนไลน์ผ่าน คลาวด์ระบบการเตือนความเสี่ยง ในฟาร์ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ใช้การตัดสินใจ การลด ต้นทุนการใช้น�้ำ หรือ เทคโนโลยีการบ�ำบัดทางชีวภาพ เช่น microbial intervention ทั้งแบบ heterotrophic and autotrophic oriented base technology การ เลี้ยงกุ้งในระบบโรงเรือนปิด หรือ ระบบหมุนเวียนน�้ำ และ บ�ำบัดของเสีย ก่อนน�ำกลับมาใช้ใหม่ ที่ลดผลกระ ทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่ต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูลวิชาการ ที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และประหยัดได้อย่างแท้จริง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การด�ำเนินงาน และสามารถลด ต้นทุนจากแรงงานคน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ ปลอดภัยต่อผู้บริโภคได้ภายใต้แนวคิด “สุขภาพดี หนึ่งเดียว หรือ one health approach” หรือ BCG EconomyModelซึ่งจะช่วยต่อยอดจุดแข็งของการเลี้ยง กุ้งในประเทศไทย ให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทั้งในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและ ความหลากหลายของระบบการเลี้ยง โดยอาศัยกลไก วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อผลิตสินค้า และบริการที่มีมูลค่าสูง และเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจจาก “ท�ำมากแต่ได้น้อย”ไปสู่“ท�ำน้อยแต่ได้มาก”โดยอาศัย ระบบทางชีวภาพ (Bioeconomy) เน้นการน�ำความรู้ ระดับสูงด้านเทคโนโลยีชีวภาพ และการควบคุมต้นทุน ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ประเทศไทยมีอยู่ มากมาเป็นตัวขับเคลื่อน ระบบการเลี้ยงกุ้งแบบหมุนเวียน (Circular Economy) เน้นการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบ และน�้ำ วัสดุเหลือทิ้งจากการเลี้ยงกุ้งต่างๆตลอดวัฏจักร ชีวิตของการเลี้ยงกุ้ง และการน�ำวัสดุเหลือทิ้ง ทั้งหลายมา หมุนเวียนกลับมาใช้และมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ต่างๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงทาง เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ซึ่งช ่วยลดขยะ ลดมลพิษ และผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมให้ลดน้อยลง ระบบการ เลี้ยงกุ้งแบบ สีเขียว (Green Economy) ที่เน้นส่งผลดี ต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ท�ำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลให้การ เลี้ยงกุ้งประสบปัญหาลดน้อยลงในระยะยาว และ เป็น ที่ยอมรับของผู้บริโภค และผู้ซื้อกุ้งมากขึ้น ในตลาดโลก และเป็นการพัฒนาการเลี้ยงกุ้งแบบที่ยั่งยืน (sustainable shrimp farming) อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของการเลี้ยง กุ้งในประเทศไทยแบบควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ สูงสุด


75 การรวมกลุ่มและความร่วมมือระหว่างภาค ผู้เลี้ยง ชมรม สมาคม เครือข่าย และ ภาค รัฐ และ เอกชน ตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต การร่วมไม้ร่วมมือกัน ระหว่างผู้เลี้ยงกุ้งรายอื่นๆ ในพื้นที่หรือต ่างพื้นที่หรือผู้มีส ่วนได้ส ่วนเสียใน อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งทุกภาคส่วน เพื่อแบ่งปันแลก เปลี่ยน ข้อมูลเชิงลึกอย่างเปิดเผย และ รับฟังปัญหา และสนับสนุน รูปแบบการท�ำตลาด เช่น การส่งเสริม การบริโภคภายในประเทศ การสนับสนุนการใช้สื่อทาง โซเชียลมีเดีย ในการประชาสัมพันธ์การบริโภคกุ้ง การ จัดสรรทรัพยากร ข้อมูลวิชาการ และ เทคโนโลยีที่มี ความจ�ำเป็น ในการเลี้ยงกุ้ง ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และต้นทุนต�่ำที่สุด การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่จะท�ำให้การเลี้ยงมี ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น การเจรจาแก้ไขปัญหา โดยค�ำนึง ถึงภาพรวมของธุรกิจและผลประโยชน์ส่วนรวม ประสาน สื่อสาร และ ท�ำความเข้าใจ กับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายนอก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และสามารถแข่งขัน ในระดับสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความร่วมมือ อย่างจริงจังของ ภาคผู้เลี้ยง ภาครัฐและภาคเอกชน ด้วย การรวมกลยุทธ์เหล่านี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งเหล่านี้จะ สามารถสร้าง ความส�ำเร็จของการเลี้ยง และการด�ำเนิน การเลี้ยงกุ้ง ที่มีความยืดหยุ่น สามารถควบคุมต้นทุนให้ แข่งขันได้และปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถ บริหารจัดการให้สอดคล้องกับอุปทาน ส่วนเกินและความ ไม่แน่นอนของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


81 โดย Robins McIntosh Charoen Pokphand Foods Ltd Shrimp genetics have been credited with many of the cost efficiency gains of the past 20 years, as well as shrimp genetics have been credited with many of the failures during the same period. Shrimp Genetics have contributed to the incredible gains over the past 20 years: Penaeus vannamei shrimp can now grow to 30g in less than 90 days or shrimp can obtain sizes of greater than 50g during growout. Such efficiency was not thought possible 20 years ago. In addition to growth, shrimp genetics have created stocks that tolerate IHHNV, TSV, APHNS, and WSSV diseases; all of which has increased shrimp farming efficiency but also given the How can Shrimp Genetics Improve Shrimp Farm Performance and the Limitations of Shrimp Genetics to Solve ALL Problems Abstract Abstract How can Shrimp Genetics Improve Shrimp Farm Performance and the Limitations of Shrimp Genetics to Solve ALL Problems impression that shrimp genetic programs can solve all shrimp culture problems. A new term has been introduced into the farmers vocabulary: robustness as well as the idea that robust shrimp survive better in our more complicated environments. The truth is that the industry has forgotten that it is not just genetics; or as some suggest the interaction of genetics


82 with environment (create genetic strains for each environment) but it is actually an interaction of Genetics x Environment x Management. Pond Management must be modified to fit the genetic potential of the shrimp in the current environment to maintain healthy growing shrimp. An example is that fast growing shrimp eat more than slower growing shrimp; therefore stocking densities must be adjusted to aeration and carrying capacity of a pond as defined by feed or nitrogen inputs, and not just be density alone. The perception of the industry today is that robustness is a function of shrimp growth; fast growth being less robust. In the future, robustness will be defined by physiological traits and then genetic selection will more precisely select shrimp with more robust characteristics. This is currently a focus of the CP shrimp Breeding Program.


83 โดย Robin Pearl President API Farming Instruction Api Dragon Line Farming Instruction Api Dragon Line


84 1. Conclusion of 1st season: August-December 23 1. สรุปผลการเลี้ยงรอบที่ 1 (สิงหาคม - ธันวาคม 2566) GPA A B C D DOC 90 120 60 90-105 80 90 45 80 40-70 HV size 52 35 130 60-90 200 170 >300 200 300-100 FCR 1.1 1.2 1.2-1.3 1.0 <1 Detail get through WFS and climatic problem get through WFS and WSSV and Climatic problem Low feed consumption determined by check tray, less shrimp found by net casting No feed consumption (determined by check tray) No consume after WFS Terminated due to WSSV % 20 20 30 30 เกรด A B C D วัน 90 120 60 90-105 80 90 45 80 40-70 ไซสที่ไดŒ 52 35 130 60-90 200 170 >300 200 300-100 FCR 1.1 1.2 1.2-1.3 1.0 <1 รายละเอียด ผ‹านขี้ขาว อากาศฝนรŒอนหนาว ผ‹านอากาศฝนรŒอนหนาว ขี้ขาว ตัวแดง เช็คยออาหารเหลือ ยกยอไม‹เจอกุŒง หว‹านแห เจอกุŒงนŒอย ยอเหลือ เจอขี้ขาวแลŒวไม‹กินเพิ่ม ตัดสินใจปดบ‹อ ตัดสินใจปดบ‹อ เจอตัวแดง ปดบ‹อ % 20 20 30 30


85 2. เหตุผลที่ NK เลือกน�ำเข้าสายพันธ์ API 2. Why NK group choose API 1. Thailand shrimp production steady and trendy low/ decreasing continuously. 2. The survival rate of shrimp in Thailand continues to decline. 3. Farmers are constantly being damaged by diseases and environmental changes. 4. Farmers have to adjust their techniques to catch up 1. ผลผลิตกุ้งในประเทศไทย นิ่งและมีแนวโน้ม ลดต�่ำลงทุกปี 2. อัตรารอดของลูกกุ้งในประเทศไทยลดต�่ำลงอย่างต่อเนื่อง 3.ผู้เลี้ยงได้รับความเสียหายจากโรคและการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น โดยตลอด 4.ผู้เลี้ยงต้องปรับเทคนิคไล่ตามสายพันธ์กุ้งจนท�ำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นจนสูงกว่า ราคาจ�ำหน่าย 5. ผู้เลี้ยงจ�ำนวนมาก มองหาสายพันธ์ทางเลือก with shrimp genetic line until the cost exceeds the selling price. 5. Many farmer, looking for alternative option. 6. API has a very outstanding story record in all countries (high survival rate, red and still caught, very disease resistant, firm texture, hard shell, nice color, easy to raise, low FCR, low cost, event size, no cramp). 6. API มีผลงานในทุกประเทศที่โดดเด่นมาก(อัตรารอด สูงเป็นตัวแดงแล้วยังเหลือจับ ทนโรคได้มากเนื้อแน่น เปลือก แข็ง สีสวย เลี้ยงง่าย ไม่ค่อยเป็นตะคริว ไซส์เสมอมาก เอฟซี อาร์ต�่ำ ต้นทุนต�่ำ)


86 3. Summary crop results - Highlights (Crop1: Th) 3. สรุปผลการเลี้ยง-จุดเด่น (ครอป 1 : ไทย) a. good color, hard shell, buyers love it (25-26) b. Low FCR L at 1.0-1.3 (but we need to understand the feeding habits of this species, which is different from our familiarity) c. High survival rate (80-90%) d. Good resistance to environmental changes, hot and rainy. e. Good resistance to the occurrence of diseases in neighboring ponds. There have been no reports of damage from WSSV, WFS and EMS f. The harvest size are highly consistent. The ADG is good at 0.25 g. in freshwater areas. No soft shell molt and died or cramp is observed. h. In case of WFS, shrimp flesh is still firm and strong. i. Easy to culture, less stress during crop. a. สีสวย เปลือกแข็ง ผู้ซื้อชอบ (25-26) b. FCRต�่ำ ที่1.0-1.3 (แต่ต้องเข้าใจพฤติกรรมการกินอาหารของสายพันธ์นี้ที่ต่าง จากความคุ้นเคยของเรา) c. อัตรารอดสูง (มากๆ) d. ทนการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมได้ดีร้อนฝนหนาว e. ทนต่อการเกิด โรคในบ่อข้างเคียงได้ดียังไม่พบรายงานความเสียหายจากตัวแดง ดวงขาว ขี้ขาว อีเอ็มเอส f. ขนาดไซส์เสมอมาก เหมือนเป็นตัวเดียวกัน g. อัตราการโตอยู่ที่ระดับปานกลาง h. ในพื้นที่น�้ำจืด ไม่พบลอกคราบตายตัวนิ่ม ไม่เป็นตะคริว i. เป็นขี้ขาวแล้วเนื้อยังแน่น แข็งแรง j. เลี้ยงง่าย ไม่ต้องเครียดระหว่างเลี้ยง


87 4. Summary of farming-weaknesses 4. สรุปผลการเลี้ยง-จุดอ่อน a. feed not recover after WFS (?) fix by mix feed with attractive supplement like fish boil, fish fermented, boiling bivalve or stronger smell feed and extended feeding area b. Low growth by EHP (?)fix byfollowfeedinginstruction c. difficult to determined check tray (?) fix by follow feeding instruction d. 10-60 DOC size smaller than 10 gram but at 120 DOC it will reach 30 grams e. got under weight when sampling and got bigger size when harvest f. PL size is smaller than other company (PL 10= 0.8 cm) a. เจอขี้ขาวแล้วไปต่อไม่ได้(?)แก้ได้ด้วยการเสริม สารคาว หรือ หอย,ปลาต้ม, ปลาหมัก น�้ำปลาทูน่า 3-5 วัน ร่วมกับการเพิ่มพื้นที่หว่านอาหาร b. เจออีเอชพีแล้วไม่โต หรือเลี้ยงแล้วกุ้งไม่โตไซส์ ไม่เดิน (?)แก้ได้ด้วยวิธีการเดินอาหารตามตารางแนะน�ำ และหว่านอาหารแบบกระจาย ร่วมกับเพิ่มพื้นที่หว่าน อาหารให้เพิ่มขึ้น c. ใช้ยอเช็คอาหารไม่ได้ไม่เข้ายอเช็คอาหารออก ช้า ดีดตัวหนีเร็ว ไม่เน้นเดินอาหารตามยอ ให้เน้นเดิน อาหารตามตารางแนะน�ำ d.สองเดือนแรกโตช้า ไม่หลุดร้อยแต่ที่120วัน ท�ำไซส์35 ได้แน่นอน e. สุ่มไซส์จับจะประเมินกุ้งได้น้อยกว่าสายพันธ์ อื่น แต่เมื่อจับจริงจะได้กุ้งใหญ่กว่าที่สุ่มก่อนจับ f. กุ้งพีมีขนาดเล็กกว่าสายพันธ์อื่น (ที่พี10 ยาว 0.8 เซนติเมตร)


88 5. พฤติกรรมของกุ้ง API a. มีความแข็งแรงสูง มีความสามารถในการเอาตัว รอดสูง (พฤติกรรมคล้ายกุ้งในธรรมชาติ)ลากกุ้งกระโดด ข้าม น็อคน�้ำแข็งตายช้า b. ไม่ชอบรวมฝูงเน้นหาอาหารกินแบบกระจายตัว (ออโต้ฟีดจึงจ�ำกัดความสามารถในการกินเนื่องจากพื้นที่ที่ จ�ำกัด) c. ได้รับการพัฒนาอัตราการโตให้สามารถโตได้เฉลี่ย ประมาณ 0.28/วัน กรณีได้รับอาหารทั่วถึงเพียงพอ d. ไวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เราท�ำขึ้น เช่น แสง ไฟฉาย เปลี่ยนถ่ายน�้ำ การลงปูนหรือสารเคมี....โดยจะ กินอาหารชะงักแล้วกลับมากินใหม่ได้ e. ทนต่อการเปลี่ยนแปลงที่มาจากสิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน หนาว ฝนตก จะยังกินอาหารนิ่ง ไม่ป่วย f. ภูมิคุ้มกันต่อโรคสูงไม่ค่อยป่วยหรือมีอาการงอแง เหมือนกุ้งอื่น 5. API behavior a. High strength. High survival ability (like wild shrimp) jump over net when harvest, low ice cannot knock them down. b. They don’t like to gather in flocks, love findingfood individually dispersed way(autofeed therefore limits their consumption due to limited feeding area). c. Developed to get ADG about 0.28/day. In perfect condition d. Sensitive to synthesis changes such as torch lighting, water exchanges, chemicals application. But will not die, only feed reduction for a while and recover. e. High tolerance to a natural fluctuation, such as hot, cold, rainy weather, still feeding well. f. High immunity to disease, rarely sick or fussy like other shrimp.


89 6. ค�ำแนะน�ำในการเลี้ยง a.กุ้ง API เหมาะกับฟาร์มที่ต้องการหลักประกันว่าจะยังมีกุ้ง ที่เหลือให้จับได้ในทุกสถานการณ์ b. อัตราการปล่อยแนะน�ำ 50-120 ตัวต่อตารางเมตร c.ขอให้ใจเย็น กุ้งโตช้าช่วง2เดือนแรกเดินอาหารได้ช้า ไม่ ค่อยเข้ายอ อย่าเพิ่งทิ้ง กุ้งจะโตชดเชยให้ในช่วงหลัง d.ควรเพิ่มพื้นที่ให้อาหารมากกว่าสายพันธุ์อื่น เน้นการหว่าน กระจายกว้าง e.การให้อาหารให้เดินอาหารตามตารางแนะน�ำ(มีคู่มือการ เลี้ยงให้) f. ยอ ใช้ประเมินกุ้งได้แต่ไม่ควรใช้ในการประเมินอาหาร g. ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน�้ำบ่อย ท�ำให้กุ้งกินอาหารลดลงได้ถ้า ไม่จ�ำเป็นไม่ต้องเปลี่ยน ถ้าต้องเปลี่ยนให้เปลี่ยนช้าๆ น�้ำข้นเข้มกุ้ง อยู่ได้ดีทนแอมโมเนีย ไนไตรท์ได้มากกว่า 6. Raring instructions a. API is good for farmers who want to make sure that you can harvest at the end of crop in any challenge situation. b. Recommended stocking rate= 50-120/m2 c. Be patient, they grow slowly during 1-60 DOC, don’t drain it out, during 80-120 shrimp will give you a compensation growth. d. Provide more feeding area than other breeds. Focus on wide broadcasting and eventually. e. Feeding: follow by feeding guideline table provided by API f. Check tray to observe shrimp, not to determined feed g. Low water exchange is better. API love stable water quality. The shrimp are more resistant to ammonia and nitrite. ยอ ใช้ประเมินกุ้งได้ แต่ไม่ควรใช้ในการ ประเมินอาหาร


90 7. Feeding instructions a. provide natural feed during DOC 1-15 (blood worm or adult artemia) is good promote the growth rate b. follow feeding table guideline not follow check tray since a. API shrimp not present much in check tray compare to other line b. Quick jump away when we tug the check tray rope c. Quck jump when cast net tap water surface c. Determined feed by water quality and dawn observation d. unable to force them to float up for feeding e. night observation, if found on slope = need more feed manual feeding f. Manual feeding is necessary till 30 DOC, need larger area and eventually distribution, the more dense feed in small area the more slow growth g. Recommended 1 ATF with 10-12 meter broadcasting radius for 200,000 shrimp to get maximum growth potential 7. ค�ำแนะน�ำในการให้อาหาร a.ชอบอาหารธรรมชาติเตรียมอาหารธรรมชาติหรืออาร์ทีเมีย ถาด 10-15 วัน กุ้งจะโตดีมาก b. เน้นเดินตามตารางอาหาร ไม่เน้นตามยอ a. เพราะกุ้งจะเข้ายอน้อยเนื่องจากพฤติกรรมที่ไม่ชอบรวม ฝูง และมีความตอบสนองไว b. แค่ดึงสายยอเบาๆ กุ้งก็ดีดออกเกือบหมดแล้ว c. เมื่อเหวี่ยงแหสุ่ม ทันทีที่แหกระทบผิวน�้ำ กุ้งตัวใหญ่ก็ กระโดดออกไปหมดเหลือตัวเล็กที่หนีไม่ทันไม่กี่ตัว c. ให้เดินอาหารตามตารางแนะน�ำแล้วดูสีน�้ำกับค่าคุณภาพน�้ำ เทียบเป็นหลัก d. บังคับลอยกินไม่ได้ e. ดูตอนกลางคืน หากพบกุ้งล่องขอบบ่อหาอาหาร ให้หว่าน มือเพิ่มนอกพื้นที่ออโต้ฟีด f. หว่านมือถึง30วัน เน้นหว่านอาหารกระจายครอบคลุมพื้นที่ กว้าง มากกว่ากระจุกพื้นที่แคบ


91 8. Feeding instructions 1. If it feels like shrimp are eating much less in the check tray than the feeding table, add 20- 30% more on manual feeding. 2. Other than API feeding program you can try: 3. DOC 1-70 feed 70% from suggestion of the feed brand you use. 4. DOC 70-80 feed 80% 5. DOC 80-90 feeding 90% 6. DOC 100 onwards, feed more than 100 7. API shrimp prefer feed that have a good, 35-38% protein. 8. ค�ำแนะน�ำในการให้อาหาร a.แนะน�ำให้ใช้ออโต้ฟีด ที่1ตัวต่อกุ้ง200,000(ที่ รัศมีหว่าน 10 เมตร) จะได้อัตราการโตที่เต็มศักยภาพ b. เช็คยอ เน้นดูขี้มากกว่าดูกุ้ง ไม่แนะน�ำให้ใช้ยอ เป็นเกณฑ์ในการให้อาหาร a.วันที่1-70ให้อาหาร70%ของตารางอาหาร แนะน�ำของแต่ละแบรนด์ b. วันที่70-80 ให้อาหาร 80% c. วันที่80-90 ให้อาหาร90% d. วันที่100 เป็นต้นไป ให้มากกว่า 100 c. ชอบอาหารที่กลิ่นดีโปรตีน 35-38% d. หากรู้สึกว่ากุ้งกินในยอน้อยกว่าตารางอาหารมาก ให้เพิ่มการหว่านมือ 20-30%


92 7. 1 feeding guideline


93 โดย ดร.ชัยวุฒิสุดทองคง กรมประมง จากปัญหาสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม การสะสม ของสารอินทรีย์ในบ่อเลี้ยงและแหล่งน�้ำธรรมชาติการ เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและชนิดของเชื้อก่อโรคในกุ้งทะเล ส่ง ผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมกุ้งทะเลโดยเฉพาะโรค ตายด่วนหรือโรคEMS ท�ำให้ผลผลิตกุ้งทะเลจากเดิมที่เคย มีมากถึง 609,700 ตัน ในปี2555 ขณะที่ในปี2566 มี ปริมาณผลผลิตลดลงเหลือ260,268.76ตัน ขณะเดียวกัน ปัญหาโรคกุ้งทะเลอื่นๆ ที่ยังคงมีความรุนแรง โดยเฉพาะ โรคตัวแดงดวงขาว โรคหัวเหลือง ที่มาจากการติดเชื้อ ไวรัสWSSVและYHV แต่ขณะเดียวกันโรคที่มาจากการ จัดการการเลี้ยงที่ไม่เหมาะสมหรือมีประสิทธิภาพเพียง แลปจุลินทรีย์พลิกโลก (โรค) แลปจุลินทรีย์พลิกโลก (โรค) พอเช่น EHP(Enterocytozoonhepatopanaei)และ กลุ่มอาการขี้ขาว มีมักพบในกุ้งที่มีระบบภูมิคุ้มกันต�่ำ ที่มี สาเหตุมาจากสายพันธุ์กุ้งความเครียดจากสภาพแวดล้อม ที่ไม่เหมาะสม เช่น การเปลี่ยนแปลงคุณภาพน�้ำเฉียบพลัน จากฝนตกหนักอุณหภูมิความเค็ม pH เปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็ว รวมถึงการเพิ่มจ�ำนวนและตายของแพลงก์ตอน อย่างรวดเร็ว ปริมาณ DO ต�่ำ การเพิ่มขึ้นของเชื้อก่อโรค และได้รับปริมาณแร่ธาตุไม่เหมาะสมและเพียงพอเป็นต้น ดังนั้นการควบคุมคุณภาพน�้ำ ปริมาณสารอินทรีย์และ ปริมาณเชื้อก่อโรค โดยใช้จุลินทรีย์ที่ดีและมีคุณสมบัติ ในการย ่อยสลายอินทรีย์และเป็นโพรไบโอติก กรม แลปจุลินทรีย์พลิกโลก (โรค)


94 ประมงจึงมีแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาศูนย์ผลิต หัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม.1 และ ปม.2 ของกลุ่มเกษตรกร ที่มีความพร้อม โดยมีศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยง สัตว์น�้ำ ในพื้นที่เป็นผู้ควบคุมคุณภาพการผลิตให้ได้ มาตรฐาน เพื่อผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ให้กับเกษตรกรใน พื้นที่ จนสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยลดการใช้ ยา สารเคมีช่วยควบคุมคุณภาพน�้ำให้เหมาะสม ลดค่า พลังงานในการเปลี่ยนถ่ายน�้ำ ลดต้นทุนแฝงที่เกิดจาก โรคกุ้ง ท�ำให้เกษตรกรที่ใช้จุลินทรีย์เป็นประจ�ำ อย่าง สม�่ำเสมอ ประสบผลส�ำเร็จในการเลี้ยงกุ้งทะเลแต่อย่างไร ก็ตาม เชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคมีความรุนแรงมากขึ้น ประกอบ กับพื้นที่เลี้ยงกุ้งของเกษตรกรมีความแตกต่างกันตาม สภาพแวดล้อม ส่งผลต่อประสิทธิภาพการท�ำงานของ จุลินทรีย์ ปม.1 และ ปม.2 ในการควบคุมเชื้อจุลินทรีย์ ก่อโรคในพื้นที่ดังนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ และ ศักยภาพการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ของกรมประมง และ กลุ่มเกษตรกรให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร ผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเลตลอดจนสามารถคัดเลือกจุลินทรีย์ที่ ดีมีประสิทธิภาพในท้องถิ่น ที่มาจากกุ้งในบ่อที่ประสบ ผลส�ำเร็จในการเลี้ยงอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการใช้ยาหรือ สารเคมีในระหว่างการเลี้ยง รวมถึงเป็นบ่อที่มีแนวทาง การเลี้ยงในระบบน�้ำหมุนเวียนแบบปิด น�ำมาผลิตเป็นก ล้าเชื้อหรือหัวเชื้อจุลินทรีย์ประจ�ำถิ่นที่มีคุณสมบัติเป็น โพรไบโอติก และมีความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ (ภาพ ที่ 1) ป้องกันการเกิดโรค ช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์ใน น�้ำ ลดปริมาณเชื้อก่อโรคในสิ่งแวดล้อมและสร้างสมดุล จุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการย่อยอาหารของกุ้งกุ้งดูดซึมสารอาหารดีขึ้น ท�ำให้ กุ้งแข็งแรง เจริญเติบโตได้ดีลดความเสี่ยงในการเกิดโรค ลดการใช้ยาปฏิชีวนะและลดความเสี่ยงการเกิดเชื้อดื้อยา การใช้จุลินทรีย์เพื่อการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล ให้มีประสิทธิภาพ 1. เลือกใช้จุลินทรีย์ให้เหมาะสมกับเป้าหมายใน การใช้งาน 2. น�ำจุลินทรีย์มาใช้ตลอดสายการผลิตกุ้งทะเล คือ การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ การเพาะพันธุ์ การ อนุบาล การเตรียมบ่อ การเลี้ยง การบ�ำบัด คุณภาพน�้ำและดินพื้นบ่อในระบบน�้ำหมุนเวียน หลัง การเก็บเกี่ยวผลผลิต 3. การน�ำมาใช้ประโยชน์โดยการเติมในบ่อเพื่อ ย่อยสลายสารอินทรีย์ควบคุมคุณภาพน�้ำและเชื้อก่อโรค รวมถึงการผสมกับอาหารเพื่อเป็นโพรไบโอติกเพื่อรักษา สมดุลจุลินทรีย์ที่ดีผลิตเอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้ กุ้งดูดซึมสารอาหารได้ดีส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน ความแข็งแรง และการเจริญเติบโตที่ดีของกุ้ง 4.การเพิ่มสมดุลจุลินทรีย์ในระบบน�้ำหมุนเวียน กินและย่อยสลายสารอินทรีย์ตกค้าง ช่วยบ�ำบัดคุณภาพ น�้ำให้มีความเหมาะสม โดยการใช้ปลา หอยและสาหร่าย ที่เหมาะสม เช่น ปลานวลจันทร์ทะเล ปลานิล ปลากระ บอก หอยแครง หอยนางรม สาหร่ายพวงองุ่น สาหร่าย กลวง เป็นต้น


95 การคัดเลือกโพรไบโอติกเพื่อใชŒสำหรับการเพาะเลี้ยงสัตวน้ำ คัดเลือกสัตวน้ำที่แข็งแรงในขณะที่เกิด การระบาดของโรค คัดแยกและจำแนกเชื้อแบคทีเรียที่เด‹นจากสัตวน้ำ ทดสอบการย‹อยโปรตีน/ไขมัน/แป‡ง โพรไบโอติก (probiotic) ทดสอบการตŒานทานเชื้อก‹อโรค (แบคทีเรียหรือไวรัส) ของสัตวทดลองที่ไดŒรับเชื้อที่ผ‹านการคัดเลือก ผลิตโพรไบโอติก เพื่อแจกจ‹ายหรือจำหน‹าย ทดสอบการก‹อโรคของเชื้อกับสัตวน้ำ/ ยีนดื้อยา/การย‹อยเม็ดเลือดแดง ทดสอบความสามารถในการยับยั้งหรือ ควบคุมเชื้อก‹อโรคในหŒองปฏิบัติการ ประเมินผลทางเศรษฐกิจ ขึ้นทะเบียน ชัยวุฒิ สุดทองคง 2560 ภาพที่ 1 กำจัดทิ้ง ผลไม‹ดี กำจัดทิ้ง ผลไม‹ดี


96 แนวทางการเลือกใช้จุลินทรีย์ที่ผ่านการ คัดเลือกมาใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำ คือ Micro-Probiotic Micro-Probiotic (Microorganisms + Probiotic) เป็นการน�ำแนวทางการน�ำจุลินทรีย์ที่มี ประโยชน์มาใช้เพื่อการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล ตั้งแต่การเต รียมน�้ำเพื่อการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์การอนุบาล การเลี้ยง ตลอดจนถึงการบ�ำบัดคุณภาพน�้ำก่อนและหลังการเพาะ เลี้ยง Microorganisms หมายถึงจุลินทรีย์ที่มี ประสิทธิภาพในการย่อยสลายสารอินทรีย์ที่เกิดขึ้นใน ระหว่างการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล โดยมีวัตถุประสงค์ในการ ควบคุมคุณภาพน�้ำ ดิน และพื้นบ่อในระบบการเพาะลี้ยง ให้มีความเหมาะสมกับการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล Probiotic เป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์สามารถ ด�ำรงชีวิตในระบบทางเดินอาหารของกุ้งและมีความ สามารถในการผลิตเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหารของ กุ้ง เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหาร เสริม สร้างหรือกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ควบคุมเชื้อก่อโรค ช่วยให้กุ้ง มีการเจริญเติบโตที่ดีและแข็งแรงกล่าวได้ว่า หัวใจปัจจัย หลักของความแข็งแรง และระบบภูมิคุ้มกันของกุ้ง คือ จุลินทรีย์ไพรไบโอติกในทางเดินอาหารที่มีจ�ำนวนมาก เพียงพอ Micro-Probiotic ประกอบด้วยจุลินทรีย์ 3 กลุ่มหลัก (ภาพที่ 2) คือ 1. Bacillus 2. Lactobacillus 3. Photosynthetic bacteria กลุ่มสังเคราะห์ แสงสีม่วงที่ไม่สะสมก�ำมะถัน (Purple non-sulphur bacteria, PNSB) การประยุกต์ใช้แนวทาง Micro-Probiotic ในการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล ประกอบด้วย 1. การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและมี ประสิทธิภาพในการเพิ่มปริมาณออกซิเจนละลายน�้ำ (DO) ให้เพียงพอต่อสิ่งมีชีวิตในบ่อเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลโดยเฉพาะ จุลินทรีย์ที่เป็นผู้บริโภคออกซิเจนที่ส�ำคัญ โดยมีความ ต้องการออกซิเจนผันแปรตามปริมาณความหนาแน่น ของกุ้ง และปริมาณสารอินทรีย์ตกค้างภายในบ่อ อาจมี การน�ำพลังงานทางเลือกมาใช้เพื่อลดต้นทุนในการผลิต เช่น พลังงานไฟฟ้าจาก Solar cell 2. การเลือกใช้สายพันธุ์กุ้งทะเลที่เหมาะสมกับ ศักยภาพในการจัดการเลี้ยง กุ้งแต่ละสายพันธุ์มีความ แข็งแรง การเจริญเติบโตและความต้านทานโรคแตกต่าง กัน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ 2.1 โตเร็ว มีนิสัยและความต้องการอาหาร มากตั้งแต่ช่วงแรกของการเลี้ยง ต้องมีการจัดการการ ให้อาหารที่เหมาะสม ไม่รีบเร่งในการปรับเพิ่มปริมาณ อาหารเร็วหรือมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพ ภาพที่ 2 Micro-Probiotic เพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ


97 ในการย ่อยอาหารของกุ้ง ท�ำให้สารอาหารตกค้างใน ขี้กุ้งมาก จนส่งผลต่อคุณภาพน�้ำ ถ้ามีการจัดการเลี้ยงที่ ไม่ดีพอ หรืออาหารมีคุณภาพไม่เหมาะสม ก็จะท�ำให้กุ้ง อ่อนแอติดเชื้อได้ง่ายโดยเฉพาะเชื้อEHP ที่มักเข้ามาใน ช่วงที่กุ้งภูมิคุ้มกันลดลงกุ้งกลุ่มนี้เมื่อเกิดอาการขี้ขาวจะ มีโอกาสกลับมามีการเจริญเติบโตปกติได้ไม่มากนักการเส ริมโพรไบโอติกและแร่ธาตุที่จ�ำเป็นผสมกับอาหารมีความ จ�ำเป็น เพื่อให้กุ้งแข็งแรง สะสมสารอาหาร แร่ธาตุและ พลังงานเพียงพอในการลอกคราบ มีอัตราการเจริญเติบโต ที่ดี 2.2 ทน/โตดีการจัดการในระหว่างการเลี้ยงจะ มีความเข้มข้นน้อยกว่ากุ้งที่สายพันธุ์โตเร็ว นิสัยการกิน อาหารของกุ้งในช่วง 1-2 เดือนแรก จะมีความต้องการ อาหารไม่สูงมาก มีอัตราการเจริญเติบโตที่ไม่สูงมากโดย เฉพาะการเลี้ยงในอัตราความหนาแน่นสูงกุ้งมีระยะเวลา การสะสมสารอาหารแร่ธาตุและพลังงาน ก่อนการลอก คราบนานขึ้น ท�ำให้ระดับภูมิคุ้มกันสูง กุ้งแข็งแรง พบ ปัญหาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ EHP และอาการขี้ขาว น้อยกว่ากลุ่มแรกและหลังจากที่กุ้งมีอายุมากกว่า2เดือน พบว่าอัตราการเจริญเติบโตของกุ้งเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กุ้งกลุ่มนี้เมื่อเกิดอาการขี้ขาวจะมีโอกาสกลับมามีการ เจริญเติบโตใกล้เคียงปกติได้ดีกว่าสายพันธุ์โตเร็ว 3. การจัดการอาหาร ถือว่าเป็นหัวใจที่ส�ำคัญ ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำ การเลือกใช้อาหารที่ดีร่วมกับ การจัดการการให้อาหารที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ นอกจากจะท�ำให้สัตว์น�้ำแข็งแรง มีการเจริญเติบโตที่ดี ช่วยลดปัญหาอาหารเหลือตกค้างภายในบ่อจนกระทบต่อ คุณภาพน�้ำ และเกิดความเสี่ยงของการเพิ่มจ�ำนวนเชื้อก่อ โรคตลอดจนท�ำให้ต้นทุนการผลิตสัตว์น�้ำสูงขึ้น มีการน�ำ จุลินทรีย์ที่ดีมีประสิทธิภาพสูงในการย่อยสารอินทรีย์ และมีคุณสมบัติเป็นโพรไบโอติกมาใช้ร่วมกับการจัดการ อาหารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 4. การเลี้ยงกุ้งทะเลในบ่อระบบปิด หรือระบบ น�้ำหมุนเวียนแบบปิด ช่วยลดความเสี่ยงในการปนเปื้อน เชื้อก่อโรคจากภายนอก ลดความเครียดที่เกิดจากการ เปลี่ยนแปลงคุณภาพน�้ำ ท�ำให้กุ้งแข็งแรง เป็นการสร้าง สมดุลและความหลากหลายของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ โดยน�้ำหรือตะกอนเลน เศษอาหารตกค้าง รวมทั้งสิ่งขับ ถ่ายของกุ้งจากบ่อเลี้ยงจะถูกรวมเพื่อน�ำไปตกตะกอน ก่อนจะถูกส่งผ่านไปยังบ่อพักน�้ำ ที่มีสัตว์น�้ำหลากหลาย ชนิด ซึ่งแตกต่างจากชนิดสัตว์น�้ำในบ่อเพาะเลี้ยงกุ้ง เพื่อ ให้เกิดความหลากหลายของจุลินทรีย์ เกิดการกรองด้วย ระบบชีวภาพ โดยมีการเติมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และมี ประสิทธิภาพในการย่อยสารอินทรีย์และเป็นโพรไบโอติก ในทุกขั้นตอนการบ�ำบัดน�้ำและการเตรียมน�้ำก่อนการ หมุนเวียนกลับมาใช้ทดแทนน�้ำที่สูญเสียออกไปจากขั้น ตอนการบ�ำบัดและระเหยของน�้ำ


98 การเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำระบบ Micro-Probiotic เป็นระบบการน�ำจุลินทรีย์3 กลุ่ม คือ บาซิลลัส แลคโตบาซิลลัส และสังเคราะห์แสงสีม ่วงที่ไม ่สะสม ก�ำมะถัน ที่มีคุณสมบัติในการย่อยสลายสารอินทรีย์และ ปรับสภาพน�้ำให้เหมาะสม ก�ำจัดแก๊สพิษ เช่น แอมโมเนีย ไนไตรท์และไฮโดรเจนซัลไฟด์รวมทั้งมีคุณสมบัติเป็น โพรไบโอติกมาใช้ในขบวนการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล ใน ระบบน�้ำหมุนเวียน เพื่อลดความเครียดของกุ้งจากการ เปลี่ยนแปลงของคุณภาพน�้ำ การเติมน�้ำจะเป็นการเติม เพื่อทดแทนส ่วนที่หายไปจากการดูดตะกอนและการ ระเหย มีการน�ำจุลินทรีย์โพรไบโอติก ปม.2และจุลินทรีย์ กลุ่มแลคโตบาซิลลัสมาใช้ในการเพาะเลี้ยงกุ้ง เพื่อปรับ สมดุลจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหารกุ้งให้เหมาะสม ช่วยเสริมประสิทธิภาพการย่อยอาหาร ท�ำให้ดูดซึมสาร อาหารได้ดีกุ้งโตเร็ว เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ท�ำให้กุ้งแข็ง แรง ป้องกันการติดเชื้อและการเกิดโรคการเลี้ยงกุ้งที่ใช้ แนวทางMicro-Probioticจะใช้จุลินทรีย์โพรไบโอติกท�ำ หน้าที่ควบคุมเชื้อก่อโรคแทนการใช้ยาและสารเคมีในบ่อ ขณะที่มีกุ้งเพื่อรักษาสมดุลจุลินทรีย์ที่ดีในน�้ำ ร่วมกับการ ใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสีม่วงที่ไม่สะสมก�ำมะถัน เพื่อ ควบคุมปริมาณแอมโมเนีย และไฮโดรเจนซัลไฟด์ ผลของสารปริมาณสารอินทรีย์คาร์บอน (Total organic carbon;TOC) โดยเฉพาะสารอินทรีย์คาร์บอน ที่ละลายน�้ำ (dissolved organic carbon; DOC)ส่งผล ต่อปริมาณแบคทีเรียในน�้ำ โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียก่อ โรค กลุ่ม Vibrio การลดการเกิดหรือสะสม TOC ในบ่อ เลี้ยงกุ้งโดยกิจกรรมที่เพิ่มการละลายของอาหารและขี้กุ้ง เช่น การเติมอากาศใต้น�้ำ โดยเฉพาะในบ่อที่เลี้ยงระบบ ปิด ไม่มีการเปลี่ยนถ่ายน�้ำ และน�้ำมีความลึกในระดับที่ การตีน�้ำสามารถพัดรวมตะกอน เข้าสู่กลางบ่อหรือหลุม รวมตะกอน การใช้Micro-Probiotic เพื่อการเลี้ยงพ ่อ แม่พันธุ์ โดยการผสมอาหารกับจุลินทรีย์ ปม.2 และ Lactobacillus เช่น โยเกิร์ต หรือ โพรไบโอติกกลุ่มแลค โตบาซิลลัส กับอาหารเม็ด อาหาร รวมถึงอาหารมีชีวิต เช่น เพรียงทราย เป็นต้น ภาพที่ 3 การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ภายใต้ระบบจุลินทรีย์ โพรไบโอติก (Micro-Probiotic)


99 แนวทาง Micro-Probiotic เป็นวิธีหนึ่ง ในการเพิ่มความหลากหลายจุลินทรีย์ที่อยู่ ในร่างกายหรือในตัวกุ้ง เรียกว่า ชีวนิเวศ จุลชีพ หรือ ไมโครไบโอม (Microbiome) แหล่งที่มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่มากที่สุด คือล�ำไส้ หรือระบบทางเดินอาหาร(gutmicrobiota)ซึ่งจุลินทรีย หรือไมโครไบโอม อาจมีสัดส่วนเมื่อเปรียบเทียบกับเซลล์ ร่างกาย ประมาณ 1:1 จุลินทรีย์ในทางเดินอาหารถือว่า มีความส�ำคัญต่อการย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกันของ กุ้งโดยทั่วไปชนิดและความหลากหลายของจุลินทรีย์ถูก ก�ำหนดโดยอาหารและสภาพแวดล้อม ไมโครไบโอมส่วน ใหญ่ในทางเดินอาหารของกุ้งเป็นกลุ่ม Proteobacteria หรือแบคทีเรียแกรมลบ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตามอาหาร ที่กุ้งกินเข้าไป ท�ำให้ในแต่ละระยะของการเจริญเติบโต ของกุ้ง ที่กินอาหารแตกต่างกัน มีสัดส่วนหรือชนิดของ จุลินทรีย์แตกต่างกัน ซึ่งจากการศึกษาของ Huynhและ คณะ 2019 พบแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารของกุ้ง 73 ชนิด โดยส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรียที่ไม่สามารถเพาะ เชื้อในอาหารเลี้ยงเชื้อได้โดยสัดส่วนของจุลินทรีย์ที่พบ มากที่สุด คือ Proterobacteria หรือ แบคทีเรียแกรม ลบ โดยชนิดแบคทีเรียที่พบมากเช่น Photobacterium, Vibrio, Shewanella และRuegeria แต่หลังจากที่ผสม Synbiotic ที่ประกอบด้วย Lactobacillus plantarum + Galacto oligosaccharide ลงในอาหารกุ้ง ท�ำให้ สัดส่วนของ Proterobacteria หรือ แบคทีเรียแกรมลบ ลดลงและช่วยเพิ่มสัดส่วนจ�ำนวนแบคทีเรียที่ดีดังนั้นถ้า อาหารที่กุ้งกินเข้าไป มีคุณภาพไม่เพียงพอต่อการด�ำรง ชีวิตของกุ้งในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม อย่างเช่น ในบ่อเลี้ยง ที่มีกุ้งจ�ำนวนมาก ในอัตราความหนาแน่น สูง มีการแย่งชิงพื้นที่ แร่ธาตุออกซิเจน ที่อยู่ในบ่อ สาร อินทรีย์และเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคในน�้ำสูงย่อมท�ำให้กุ้งเกิด ความเครียดอ่อนแอติดเชื้อได้ง่ายโดยเฉพาะในช่วงที่กุ้ง สะสมอาหารหรือพลังงานเพื่อการลอกคราบ ดังนั้นการจะท�ำให้การเลี้ยงกุ้งทะเลประสบผล ส�ำเร็จ ภายใต้ข้อจ�ำกัดของความพร้อมและศักยภาพ ของบ่อเลี้ยง อุปกรณ์และเครื่องมือ การป้องกันการ เกิดโรคจึงมีความส�ำคัญมาก ในสภาวะที่สภาพแวดล้อม แหล่งน�้ำธรรมชาติเสื่อมโทรมลง มีการสะสมสารอินทรีย์ จ�ำนวนมากการเลือกใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพเป็นตัว ช่วยที่ส�ำคัญ เพื่อลดปริมาณสารอินทรีย์และควบคุมเชื้อ จุลินทรีย์ก่อโรค รวมถึงเป็นโพรไบโอติก ช่วยย่อยอาหาร ท�ำให้กุ้งดูดซึมสารอาหารได้ดีเสริมภูมิคุ้มกัน ลดความ เสี่ยงในการเกิดโรค แบคทีเรียที่พบในน�้ำหรือในดินที่ขาดออกซิเจน รวมถึงในทางเดินอาหารกุ้ง และมักสร้างปัญหาหรือใช้ เป็นดัชนีของการจัดการสารอินทรีย์ตกค้างและบ่งบอก ถึงการขาดออกซิเจนในบ่อเลี้ยงสัตว์น�้ำ คือShiwanella sp. (ภาพที่ 4) ภาพที่ 4 โคโลนี Shiwanella sp บนอาหาร TCBS แต่อย่างไรก็ตามจุลินทรีย์ในบ่อกุ้งหรือในทาง เดินอาหารของกุ้ง ส่วนใหญ่ไม่สามารถเพาะให้เจริญบน อาหารเลี้ยงเชื้อ การศึกษาต้องใช้เทคนิคการจ�ำแนกจาก สารพันธุกรรม ในบางครั้งจะพบปริมาณแบคทีเรียที่อาศัย ในดินเลนหรือดินที่มีการสะสมของสารอินทรีย์สูงเกิดการ ย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน เช่น Propionigenium (Fusobacteria) กรณีที่พบในดินหรือทางเดินอาหาร กุ้งจ�ำนวนมากหรือสัดส่วนเชื้อชนิดนี้ในทางเดินอาหาร


100 ที่สูงขึ้น แสดงว่า พื้นบ่อหรือพื้นใต้PE มีการสะสมของ สารอินทรีย์ ที่ถูกย่อยสลายในสภาพขาดออกซิเจน กุ้งมี การรวมตัวกันบริเวณนั้นมาก โดยเฉพาะช่วงเวลากลาง คืน เนื่องจากบริเวณนั้นเกิดการย่อยสลายสารอินทรีย์ มีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่กุ้งจะได้รับแก๊สพิษ เช่นไฮโดรเจนซัลไฟด์ท�ำให้กุ้งอ่อนแอติดเชื้อได้ง่าย โดย เฉพาะช่วงระหว่างการลอกคราบ ความเสี่ยงในการเกิด อาการขี้ขาวสูงขึ้น การเสริมจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส(Lactobacillus) และจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสีม่วงที่ไม่สะสมก�ำมะถัน (ภาพที่ 5) ท�ำให้สมดุลจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารของ กุ้งดีขึ้น ช่วยเพิ่มสัดส่วนจุลินทรีย์ที่ดีในทางเดินอาหาร กุ้ง ท�ำให้กุ้งแข็งแรง ภูมิคุ้มกันกุ้งดีขึ้น ลดความเสี่ยงของ การเกิดโรคจากไวรัส วิบริโอ และ EHP รวมถึงลดการ เกิดอาการขี้ขาว การใช้ Micro-Probiotic เพื่อการอนุบาล ลูกกุ้งทะเล 1. เติมจุลินทรีย์บาซิลลัสเช่น ปม.2 ในน�้ำที่ผ่าน การบ�ำบัด และฆ่าเชื้อ ก่อนการน�ำหมุนเวียนน�ำมาใช้ใน บ่ออนุบาล 2. เติมจุลินทรีย์บาซิลลัส (ปม.2) และ Lactobacillus (โยเกิร์ต) ที่ขยายเพิ่มจ�ำนวนแล้ว ใส่ลง ในบ่ออนุบาล ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนถ่ายน�้ำ ในสัดส่วน 1:1 (50:50 มล./น�้ำ 1 ตัน) 3. เติมจุลินทรีย์บาซิลลัสเช่น ปม.2BL(Bacilus licheniformis) หรือ และ Lactobacillus (โยเกิร์ต) ที่ ขยายเพิ่มจ�ำนวนแล้ว ในสัดส่วน 1:1 ผสมอาหารมีชีวิต เช่น คีโตเซอรอส ทาลาซิโอซีรา (Thalassiosira) โรติ เฟอร์อาร์ทีเมีย และอาหารส�ำเร็จรูปก่อนการน�ำมาใช้ เป็นอาหารกุ้ง 4. เติมจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง เพื่อลดปริมาณ แอมโมเนีย ไฮโดรเจนซัลไฟด์และ BOD ในน�้ำ จุลินทรีย์ กลุ่ม Bacillus ที่มีคุณสมบัติ เป็นโพรไบโอติกและสร้างเอนไซม์ย่อยสาร อินทรีย์ เช่น ผลิตภัณฑ์ จุลินทรีย์ ปม.1 และ ปม.2 - ปม.2 BL มีปริมาณเอนไซม์โปรติเอส(protease) ช่วยย่อยโปรตีน และเอนไซม์เซลลูโลส (cellulase) สูง ช่วยให้กุ้งดูดซึมสารอาหารได้ดีกุ้งโตเร็วกระตุ้นภูมิคุ้มกัน กุ้งแข็งแรง ปม.2 BL ไม่สร้างสารปฏิชีวนะแต่จะเพิ่ม จ�ำนวนเข้าควบคุมเชื้อV. parahaemolyticus ที่ก่อโรค EMS(AHPND) (ภาพที่ 6) ลดการสะสมของสารอินทรีย์ ภาพที่ 5 หัวจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส และ จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสีม่วงที่ไม่สะสมกำมะถัน ภาพที่ 6


Click to View FlipBook Version