101 และปริมาณแอมโมเนียไนไตรท์ในน�้ำ ลดการเกิดสาหร่าย สีเขียวแกมน�้ำเงิน - ปม.2 BM มีปริมาณเอนไซม์อะไมเลส (amylase) สูง ช่วยย่อยแป้งได้ดีลดการสะสมของสาร อินทรีย์ในน�้ำ ควบคุมเชื้อ Vibrio harveyi ที่ท�ำให้เกิด โรคเรืองแสงในกุ้งทะเล - ปม.2 BS (Natto) มีปริมาณเอนไซม์เซลลูเลส ( cellulase)สูงย่อยเซลลูโลสที่เป็นโครงสร้างหลักผนัง เซลล์ของถั่วเหลือง ที่เป็นวัตถุดิบส�ำคัญในการผลิตอาหาร กุ้ง และมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเกิดไบโอฟีลม์ ของเชื้อวิบริโอได้ดีลดความเสี่ยงของการเกิดโรค EMS (AHPND) และ อาการขี้ขาวในกุ้งทะเล เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมสารอินทรีย์ และเชื้อก่อโรค โดยการลดการรบกวนหรือ เร่งการละลายของอาหารเม็ดและขี้กุ้ง ใน บ่อเลี้ยงกุ้งระบบปิด 1. บ่อไม่ควรมีความลึกกว่าระดับที่กระแสน�้ำที่ เกิดจากการตีน�้ำสามารถพัดพาตะกอน ขี้กุ้ง เศษอาหาร ที่เหลือ ไปรวมที่บริเวณหลุมรวมตะกอน ก่อนดูดออกไป สู่บ่อตกตะกอน โดยทั่วไปควรมีความลึกไม่เกิน 1.5เมตร (ภาพที่ 7) 2. บ่อควรมีขนาด1ไร่ หรือไม่ควรเกิน 2ไร่ เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพในการรวมตะกอน ท�ำให้ตะกอนเดิน ทางมาที่หลุมรวมตะกอนเร็วขึ้น ลดโอกาสการละลายของ ตะกอนอินทรีย์เช่น ขี้กุ้งเศษอาหาร ที่จะเป็นอาหารของ เชื้อก่อโรค และช่วยประหยัดการใช้ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ เพื่อควบคุมเชื้อก่อโรคและย่อยสลายสารอินทรีย์ภายใน บ่อเลี้ยง ภาพที่ 7
102 3. บ่อควรมีความลาดเองจากขอบพื้นของคันบ่อ ไปยังหลุมรวมตะกอนประมาณ 50 เซนติเมตร เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการรวมตะกอน 4. ไม ่ควรมีระบบเติมอากาศใต้น�้ำ เพราะจะ เป็นการเร่งการละลายของสารอินทรีย์ โดยเฉพาะขี้กุ้ง และเศษอาหารกุ้งที่ตกค้างภายในบ่อ รวมทั้งท�ำให้เกิด ตะกอนในบ่อมากขึ้น สีน�้ำเข้มขึ้นจากเพิ่มจ�ำนวนของแพ ลงก์ตอน ท�ำให้คุณภาพน�้ำเปลี่ยนแปลงรวดเร็วส่งผลต่อ ความเครียด และภูมิคุ้มกันของกุ้ง 5.ควรปูPEเฉพาะบริเวณคันบ่อด้านใน เพื่อลด การกัดเซาะคันบ่อ และเพิ่มประสิทธิภาพการหมุนเวียน น�้ำ พื้นบ่อควรอัดแน่น ด้วยวัสดุที่ไม่เกิดตะกอน และไม่ สะสมแก๊สพิษ (แก๊สไข่เน่าหรือไฮโดรเจนซัลไฟด์) เช่น หินผุ(ทดสอบการละลายน�้ำก่อน)ลูกรังสเปค กรณีปูพื้น บ่อด้วยแผ่นพีอีควรเป็น HDPE ไม่ใช่LDPE ที่แก๊สพิษมี โอกาสซึมผ่านมาได้พื้นบ่อก่อนปูต้องอัดแน่น และมีระบบ ระบายน�้ำใต้PE ป้องกันการเกิดแก๊สที่สะสมภายใต้ PE ที่จะซึมผ่านเข้ามาในบ่อระหว่างการเลี้ยงส่งผลต่อความ แข็งแรงและภูมิคุ้มกันของกุ้ง 6. ปรับพื้นบ่อเลี้ยงให้เรียบ ไม่มีหลุ่มหรือวัสดุ ที่ขัดขวางการหมุนเวียนของน�้ำบริเวณพื้นบ่อ เพราะจะ ท�ำให้เกิดการสะสมของตะกอน เกิดการสะสมของเชื้อก่อ โรค 7. บ่อลี้ยงที่มีการปูPE ที่ประสบปัญหากุ้งเกิด อาการขี้ขาว หรือพบกุ้งป่วย ถึงแม้พยายามปรับปรุง คุณภาพน�้ำ ควบคุมปริมาณอาหารที่ให้และเติมอากาศ เพิ่มขึ้น แต่ปัญหายังไม่สามารถแก้ไขได้ให้น�ำแผ่น PE ที่ พื้นและสายหรือท่อเติมอากาศใต้น�้ำออก พร้อมปรับปรุง พื้นบ่อให้เรียบแน่นด้วยหินผุหรือลูกรังสเปคแทน (ภาพ ที่ 8) 8. ไม่จ�ำเป็นต้องมีระบบเติมอากาศใต้น�้ำ ในบ่อที่ มีความลึกไม่เกิน 1.7เมตร หรือมีความลึกที่การหมุนเวียน ของน�้ำที่เกิดจากการตีน�้ำ สามารถพัดรวมตะกอนเข้าสู่ หลุมกลางบ่อ แล้วดูดออก เพื่อลดการละลายของเศษ อาหารและขี้กุ้งในน�้ำ 9. บ่อที่มีระบบการเติมอากาศใต้น�้ำ ควรเป็นบ่อ ที่มีอัตราการปล่อยกุ้งหนาแน่นสูง บ่อมีความลึกเกินกว่าที่ การตีน�้ำจะรวมตะกอนเข้าสู่หลุมกลางบ่อ ควรมีปริมาณ ภาพที่ 8
103 น�้ำที่เหมาะสมเพียงพอ ในการเปลี่ยนถ่ายน�้ำ เพื่อลด ปริมาณสารอินทรีย์ละลายน�้ำ ปม.2 ถั่วหมัก เป็นผลิตภัณฑ์ ที่ได้จากการน�ำ ปม.2 หมักกับถั่วเหลืองเพื่อท�ำน�้ำถั่วหมัก ที่ใช้ในการผสม อาหารให้กุ้งกิน ช่วยเพิ่มสารอาหาร และเสริมแร่ธาตุเช่น KCl,MgCl2, เกลือแกงผสมอาหาร หรือเติมปูนซิเมนต์ ที่ มีส่วนประกอบหลัก คือ CaO, SiO2, AI2O3 และ Fe2O3 ลงในน�้ำประมาณ 1 กิโลกรัมต่อไร่ ช่วยให้แพลงก์ตอน พืช แพลงก์ตอนสัตว์โดยเฉพาะไดอะตอม ท�ำให้กุ้งแข็ง แรง สีกุ้งเข้มขึ้นจากสารแอสต้าแซนทีน และมีรสชาติดี ตรงกับความต้องการของตลาด (ภาพที่ 9 และ 10) การใช้ปม.2 ย่อยสลายหรือควบคุมไบโอฟีล์ม และสารประกอบโปรตีน ภายในบ่อและในระบบทางเดิน อาหารกุ้ง โดยการเติมลงในบ่อ และผสมกับอาหารเป็น ประจ�ำทุกวัน ท�ำให้พื้นบ่อสะอาดกุ้งแข็งแรง มีการเจริญ เติบโตดี การเตรียม ปม.2 เพื่อย่อยไบโอฟิล์ม 1. ปม.2 BS หรือ ปม.2 (BL+BS+BM) 200 มล. หรือ 100 กรัม 2. น�้ำตาลทรายหรือน�้ำตาลกลูโคส (dextrose monohydrate) 500 กรัม 3. ร�ำละเอียดที่ร่อนแล้ว 100 กรัม 4. กากถั่วเหลือง 100 กรัม 5. น�้ำในบ่อที่ผ่านการกรอง (ถุงกรอง/ใยแก้ว/ใย ฟูเป็นต้น) หรือน�้ำสะอาดที่ผ่านการฆ่าเชื้อและพักจนสาร ฆ่าเชื้อหมดฤทธิ์ 200 ลิตร เติมอากาศ 24 – 36 ชั่วโมง หรือจนกว่ามีกลิ่นเปรี้ยว pH ประมาณ 4.6 – 5) (ภาพที่ 11) ภาพที่ 9 ภาพที่ 10 ภาพที่ 11
104 การน�ำไปใช้ผสมอาหาร 20-50 มล./อาหาร 1 กก. และเติมลงในบ่อ50 – 400 ลิตร/ไร่ (ขึ้นกับปริมาณ สารอินทรีย์) เป็นประจ�ำทุกวัน การใช้แลคโตบาซิลลัส รักษาสมดุลจุลินทรีย์ที่ มีประโยชน์ในระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้ลูกกุ้งมีการ พัฒนารูปร่าง และเจริญเติบโตดีขึ้น เสริมสร้างระบบ ภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค โดยเฉพาะจาก เชื้อ EHP อาการขี้ขาว และไวรัส การเตรียม Lactobacillus จากโยเกิร์ต ที่มี จุลินทรีย์Lactobacillus bulgaricus,L. acidophilus, L. casei และ Bifidobacterium bifidum เป็นต้น 1. นมสดไม่พร่องมันเนย 1 ลิตร 2. โยเกิร์ต รสธรรมชาติ2 ช้อนโต๊ะ 3. น�้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะพูน (40 g) 4. ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน แล้วใส่ขวด 1.5 ลิตร 5. บ่มที่อุณหภูมิห้องนาน 12 – 48 ชั่วโมง หรือ จนกว่านมจะเปลี่ยนเป็นโยเกิร์ต(ลักษณะข้น มีกลิ่นหอม ของโยเกิร์ต) (ภาพที่ 12) 6. เก็บเข้าตู้เย็น 4 ํC (ควรใช้ให้หมดภายใน 14 วัน) การน�ำไปใช้ 1. โยเกิร์ตที่เตรียมไว้1 ช้อนโต๊ะ 2. น�้ำจืดสะอาด 100-200 มิลลิลิตร 3. ผสมให้เข้ากันก่อนการน�ำไปใช้ - น�ำไปผสมอาหาร 10 - 20 cc/อาหาร 1 kg ผสมร่วมกับ ปม.2BL:BS (natto):BM: Lactobacillus ในสัดส่วน 20:20:20:20 cc/อาหาร 1 kg ทุกวัน (ปรับ เพิ่มหรือลดตามความเหมาะสม โดยคงสัดส่วนการใช้ที่ 1:1:1:1 - ผสมจุลินทรีย์ในอัตราส่วน 25:25:25:25 cc/ น�้ำ ที่มีอาหารกุ้งมีชีวิตเช่น Tetraselmis,Thalassiosira, Skeletonema หรือ Artemia 1060 ลิตร ทุกครั้งที่มี การเตรียมอาหารธรรมชาติรวมถึงการผสมใน Artemia ที่ผ่านการลวกน�้ำร้อน ก่อนการน�ำไปอนุบาลลูกกุ้ง - เติมลงในน�้ำบ ่อเพ าะฟักห รืออนุบ าล 20:20:20:20 cc/น�้ำ 1 ตัน เป็นประจ�ำทุกวัน -ลูกกุ้งที่มีการเสริมจุลินทรีย์โพรไบโอติกควรเข้า สู่ระยะ Post larvae ภายในระยะเวลา 8 วัน ในสภาพ อากาศปกติหรือไม่เกิน 10 วัน ในช่วงสภาพอากาศเย็น ภาพที่ 12
105 การใช้จุลินทรียให้มีประสิทธิภาพ จ�ำเป็น ต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับคุณสมบัติของ แบคทีเรีย 1. ย่อยสลายสารอินทรีย ในบ่อเลี้ยงกุ้งทะเล จุลินทรีย์ ที่มีความเหมาะสมต้องสามารถผลิตเอนไซม ที่สามารถย่อยสารอินทรีย์ โดยเฉพาะที่มาจากอาหาร กุ้ง ขี้กุ้ง และเปลือกกุ้งที่สะสมในน�้ำและในดินบ่อเลี้ยง กุ้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Bacillus subtilis, B. megaterium, B. licheniformis, B. cereus และ B. pumilus เป็นต้น โดยการการย่อยสารอินทรีย์จะท�ำงาน ได้ดีในสภาพที่มีออกซิเจนเพียงพอ 2. จุลินทรีย์โพรไบโอติก คือ จุลินทรีย์ที่ดีหรือ มีประโยชน์ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันและการย่อย อาหารให้เป็นปกติรวมถึงช่วยควบคุมจุลินทรีย์ก่อโรค Lactobacillus plantarum, Bacillus subtilis, B. megaterium, B. licheniformis, B. cereus และ B. pumilus เป็นต้น ตัวอย่างจุลินทรีย์ ที่พบในน�้ำหมักชีวภาพ จุลินทรีย์ที่พบ ในน�้ำหมักสับปะรด เช่น Bacillus sp., Lactobacillus plantarum, L. acidophilus, L. paracasei, Bifidobacterium,ยีสต์(Saccharomyces sp.) เป็นต้น โดยในช ่วงแรกของการหมัก อาจพบ Bacillusและยีสต์ระยะเวลาประมาณ 7-14วัน จะมีปริ มาณโพรไบโอติกมากและหลากหลายชนิดเมื่อขบวนการ หมักนานขึ้นแลกติกแบคทีเรีย และบางสายพันธุ์ของ ยีสต์Saccharomyces ที่สามารถอาศัยอยู่ได้ใน pH ต�่ำ ประมาณ 2 จะเพิ่มจ�ำนวนขึ้น ปริมาณน�้ำเอนไซม์เพิ่ม ขึ้น โดยระยะเวลาที่เหมาะสมในการน�ำมาใช้ประมาณ 3 เดือนขึ้นไป การผสมจุลินทรีย์ โพรไบโอติก กับอาหารให้กุ้ง กินทุกมื้อ ช่วยให้จุลินทรีย์ในทางเดินอาหารหรือไมโคร ไบโอม ในทางเดินอาหารกุ้งมีสัดส่วนของจุลินทรีย์ที่มี ประโยชน์มากขึ้น และสัดส่วนของจุลินทรีย์ก่อโรคลด ลง ระดับภูมิคุ้มกันกุ้งสูง และแข็งแรงขึ้น ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคขี้ขาว โรค EMS โรคจากไวรัส และลดการ ติดเชื้อ EHP การเลือกใช้น�้ำตาลในการขยายเพิ่มจ�ำนวนเชื้อ แบคทีเรียโพรไบโอติกเพื่อใช้ผสมกับอาหารเม็ดส�ำเร็จรูป จากการทดสอบกับเชื้อ Bacillus. ในผลิตภัณฑ์ ปม.2 น�้ำตาลกลูโคส (Dextrose Monohydrate) ให้ผลดีที่สุด รองลงมาคือน�้ำตาลทราย
106 โดย นายกิตติพัฒน์ ศรีสมวงศ์ รองประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งฉะเชิงเทรา แลปจุลินทรีย์พลิกโลก (โรคกุ้ง) แลปจุลินทรีย์พลิกโลก (โรคกุ้ง) ในปัจจุบันกระแสการบริโภคสัตว์น�้ำที่สดสะอาดไม่มียาปฏิชีวนะต้องห้ามและ สารเคมีอันตรายตกค้างก�ำลังเป็นที่นิยมส�ำหรับคนบางกลุ่มในเมืองไทยและผู้บริโภคใน ต่างประเทศค�ำสั่งซื้อส่วนหนึ่งจากต่างประเทศบางประเทศจะระบุปริมาณของสารต้อง ห้ามไว้ในปริมาณค่อนข้างต�่ำหรือไม่ให้ตรวจพบเลยอันจะเป็นอุปสรรคส�ำหรับการส่งออก กุ้งซึ่งสารบางชนิดเช่น ไนโตรฟูแรน สัตว์น�้ำประเภทกุ้งสามารถผลิตขึ้นมาได้เองการ ก�ำหนดให้ตรวจไนโตรฟูแรนในรูปอนุพันธ์เซมิคาบาไซด์จึงเป็นอุปสรรคในการส่งออก กุ้งไปต่างประเทศ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็คือกรมประมงต้องรีบไปชี้แจงทุกประเทศ ที่ซื้อกุ้งจากไทยให้เค้ายอมรับและให้เลิกก�ำหนดเงื่อนไขข้อนี้ในการรับซื้อกุ้ง ซึ่งเรามี งานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศยืนยัน เพราะถ้าผู้ซื้อกุ้งก�ำหนดเงื่อนไขมาห้อง เย็นภายในประเทศก็ต้องก�ำหนดเงื่อนไขตามผู้ซื้อซึ่งจะเป็นอุปสรรคในการส่งออกท�ำให้ กุ้งล้นตลาดและราคาตกต�่ำได้ซึ่งมีบางประเทศเท่านั้นที่ก�ำหนดเงื่อนไขเหล่านี้ไม่ใช่ทุก ประเทศ การส่งเสริมให้ใช้จุลินทรีย์มาทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะและสารเคมีอันตราย เป็นทางออก ที่ดีที่สุด แลปจุลินทรีย์พลิกโลก (โรคกุ้ง)
107 องค์ประกอบของแลปจุลินทรีย์ การใช้จุลินทรีย์ทดแทนยาฆ่าเชื้อและยาปฏิชีวนะ ห้องทดสอบเชื้อบริสุทธิ์ ห้องขยายหัวเชื้อจุลินทรีย์ชนิดน�้ำ ห้องปฏิบัติการจุลินทรีย์ผง ห้องสเปรย์จุลินทรีย์ ห้องเก็บรักษาหัวเชื้อจุลินทรีย์ พร้อมจ�ำหน่าย ห้องเครื่องชั่ง/เตรียมอาหารเลี้ยงเชื้อ ห้องอบฆ่าเชื้อ 1. การใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงราด พื้นบ่อ ลดของเสียบริเวณดินก้นบ่อ 2.การเตรียมสัตว์หน้าดิน ใช้BM หมักกับร�ำข้าว 3. ใช้จุลินทรีย์ปร.3 และปร.4 เบียด เชื้อก่อโรคในน�้ำ (ช่วงเตรียมบ่อ) 4. ใช้ปม.2ลดและควบคุม pH น�้ำใน บ่อ 5. ใช้ M-40 ลดและควบคุมสาร อินทรีย์ในบ่อ 6. ใช้ปร.1ลดและควบคุมแอมโมเนีย ในบ่อ 7. ใช้ปร.5ลดและควบคุมไนไตรต์ใน บ่อ 8. ใช้จุลินทรีย์ปร.3 และปร.4 เบียด เชื้อก่อโรคในกุ้ง (ช่วงการเลี้ยง)
108 แลปจุลินทรีย์ท�ำงานร่วมกับใครบ้าง ? ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) - คลังจุลินทรีย์พิสูจน์ความปลอดภัย พิสูจน์ประสิทธิภาพ ผลิตอาหาร เลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์แต่ละชนิด ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำชายฝั่งฉะเชิงเทรา (ศพช.) - พิสูจน์คุณสมบัติเบียดเชื้อลดของเสียชนิดของอาหารคลังจุลินทรีย์ ส�ำนักงานประมงจังหวัดฉะเชิงเทรา - สานงาน ประชาสัมพันธ์ กรมประมง - ที่ปรึกษา ส�ำนักงานพาณิชย์จังหวัดฉะเชิงเทรา คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ - พิสูจน์ประสิทธิภาพ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง - พิสูจน์ประสิทธิภาพ บริษัท กิบไทย จ�ำกัด - พิสูจน์เชื้อ จ�ำนวน 32 ตัวอย่าง ค่าใช้จ่าย 46,400 บาท กองตรวจสอบเรือประมง สินค้าสัตว์น�้ำและปัจจัย การผลิต กรมประมง - ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติ (เนคเทค) - พิสูจน์เชื้อ หน่วยความร่วมมือการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ ชีวภาพและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งมหาวิทยาลัย มหิดล และมหาวิทยาโอซาก้า (MU-OU-CRC) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล - พิสูจน์ความปลอดภัย พิสูจน์เชื้อ
109 ข้อแตกต่างระหว่างแลปจุลินทรีย์ของกรมประมง และศูนย์ผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์จังหวัดฉะเชิงเทรา จุลินทรีย์แบบเชื้อสดที่เกษตรกรใช้บริการในจังหวัดฉะเชิงเทรา แลปจุลินทรีย์ของกรมประมง ชนิดของผลิตภัณฑ์ 1.1 ปม.2 ท�ำงานได้หลากหลาย 1.2 BS เป็นโปรไบโอติก ลดสารอินทรีย์ 1.3 BL เป็นโปรไบโอติก เบียดเชื้อก่อโรค 1.4 BM เป็นโปรไบโอติก ลดฟอสเฟต ศูนย์ผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์จังหวัดฉะเชิงเทรา ชนิดของผลิตภัณฑ์ 1.1 ปร.1 (แอมดรอป) ลดแอมโมเนีย 1.2 ปร.2 (ไมโครเพียว) ท�ำงานได้หลากหลาย 1.3 ปร.3 (กรีนแคร์) ลดเชื้อก่อโรค 1.4 ปร.4 (วีเอสซี40) ลดเชื้อก่อโรค 1.5 ปร.5 ลดไนไตรต์ 1.6 M-40 ลดสารอินทรีย์ลดความเข้มของน�้ำ 1.7 LB2 เป็นโปรไบโอติก ลดการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร 1.8 จุลินทรีย์น�้ำแดงแบบผง ก�ำจัดแก๊สไข่เน่า จุลินทรีย์ แบบผงที่ขึ้น ทะเบียนแล้ว
110 โดย กัญญารัตน์ สุนทรา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งฉะเชิงเทรา การคัดเลือกจุลินทรีย์ธรรมชาติ เอามาจากไหน แนวทางการคัดเลือกจุลินทรีย์ธรรมชาติ เพื่อการน�ำไปใช้ในการผลิตจุลินทรีย์ เพื่อการเพาะเลี้ยงของกลุ่มเกษตรกร ค�ำตอบ - น�้ำ ดิน กุ้งในบ่อเลี้ยงกุ้งทะเลที่มีการใช้จุลินทรีย์หลากหลายสาย พันธุ์และใช้อย่างสม�่ำเสมอในการเลี้ยงกุ้งทะเล - น�้ำ และ ดิน จากแหล่งน�้ำธรรมชาติในพื้นที่เลี้ยงกุ้งทะเล
111 คัดเลือกโคโลนีที่มีลักษณะเด่น ยืนยันเชื้อ V.para (AHPND) โดยเทคนิคพีซีอาร์ คัดเลือกเชื้อที่มีลักษณะเด่น ตรวจเช็คเชื้อว่าเป็นจุลินทรีย์กลุ่มไหนแยกโดยอาหารเลี้ยงเชื้อ NA (Nutrient Agar)เพาะ เลี้ยงเชื้อแบคทีเรียทั้งหมด Bacillus spp. TCBS (Thiosulfate Citrate Bile Susrose) เพาะเลี้ยงเชื้อ Vibrio Spp. V.harveyi V.parahaemolyticus อื่นๆ Chrom agar เพาะเลี้ยงเชื้อ สี ม่วงเชื้อV.parahaemolyticus สีครีม V. alginolyticus สีฟ้า เขียว V. vulnificus MRS (De Man Rogosa Sharp (MRS) เพาะเลี้ยงเชื้อ Lactobacillus spp. ท�ำให้เชื้อบริสุทธิ์สังเกตโคโลนี Vp-f C4 Vp3 M Rb -ve -ve -ve N -ve -ve -ve P AHPND +ve +ve +ve AHPND +ve +ve +ve AHPND +ve +ve +ve AHPND +ve +ve +ve D AHPND +ve +ve +ve หมายเลขบนเจล ซ้ำที่ 1 ซ้ำที่ 2 ซ้ำที่ 3 เชื้อที่ทดสอบ ผลการทดสอบ
112 ทดสอบประสิทธิภาพในการครอบครองเชื้อวิบริโอที่ก่อโรคเช่น V. parahaemolyticus V.alginolyticus V.Vunificus ขั้นตอนการวิเคราะห์ ขยายเชื้อ Vibrio parahaemolyticus (VP3) ที่ทดสอบยืนยันการติดเชื้อโดยเทคนิคทางพีซีอาร์ 1.ดึงเชื้อV. para (VP3) จากStock มา Streak plate ในอาหาร TCBS บ่มเชื้อไว้18-24 ชม. ที่อุณหภูมิ37 °C 2. น�ำเชื้อ V. para (VP3) ขูดโคโลนีจากเพลท ประมาณ 1 loop ลงอาหาร TSB 100 ml. เขย่าเชื้อทิ้งไว้1 คืน 3. เชื้อ para (VP3) ที่ขยายแล้วในข้อ 2 = 1 ส่วน + Nacl 0.85 % 1 ส่วน ผสมกัน เช็คเชื้อในอาหาร TCBS ท�ำ dilution 10-1,10-2 ท�ำ 2 ซ�้ำ การทดสอบความสามารถในการครอบครองเชื้อวิบริโอ ท�ำ Control เชื้อ อาหาร TSB ใช้ส�ำหรับขยายเชื้อ V. para (VP3) เขย่าเชื้อ ทิ้งไว้1 คืน อาหารเลี้ยงเชื้อที่ใช้ในการทดสอบ เชื้อ 1.TCBS ใช้ส�ำหรับแยกเชื้อวิบริโอ 2.NA ใช้ส�ำหรับแยกเชื้อแบคทีเรียชนิด ต่างๆ
113 ทดสอบการครอบครองเชื้อ เช็คเชื้อในอาหาร NA ท�ำ dilution 10-5,10-6 และ TCBS ท�ำ dilution 10-1,10-2 ท�ำ 2 ซ�้ำ 4. เชื้อจุลินทรีย์ที่ขยายแล้วจากโคโลนีบริสุทธิ์ที่คัดเลือกมา (EX) โดยใช้น�้ำเชื้อจุลินทรีย์ที่ขยายแล้ว 1ส่วน + Nacl0.85%1ส่วน ผสมกัน เช็คเชื้อในอาหาร NA ท�ำ dilution 10-3,10-5 ท�ำ 2 ซ�้ำ 5. น�ำเชื้อจุลินทรีย์(EX) ข้อ 4 ผสมกับเชื้อ V. para ในข้อ 3 ผสมให้เข้ากันอัตราส่วน 50:50 Spaed pate ในอาหาร NA ที่ dilution 10-3,10-5 และ TCBS ที่ dilution 10-1,10-2 ท�ำ 2 ซ�้ำ บ่ม 24 ชม เช็คเชื้อนับเป็นเวลา 0 ชม. 6. น�ำน�้ำเชื้อจุลินทรีย์(EX) ที่ผสมกับเชื้อ Vibrio para ในข้อ 5 เขย่าเชื้อทิ้งไว้24 ชม.
114 สรุปทดสอบการข่มเชื้อจุลินทรีย์ แต่ละชนิด ต่อการข่มเชื้อ v. para (VP3) เชื้อ para (VP3) + เชื้อ Bacillus ที่0 ชม. ในอาหาร NA และ TCBS เชื้อ para (VP3) + เชื้อ Bacillus ที่24 ชม. ในอาหาร NA และ TCBS เชื้อ Vibrio parahaemolyticus + เชื้อ FBU 1787 ที่ 3 วัน ในอาหาร NA และ TCBS เชื้อ Vibrio parahaemolyticus + เชื้อ FBU 1787 ที่0 ชม. ในอาหาร NA และ TCBS เชื้อ Vibrio parahaemolyticus + เชื้อ FBU 1787 ที่24 ชม. ในอาหาร NA และ TCBS
115 เชื้อ v. para (VP3) + เชื้อ 1798 BS ที่0 ชม. ในอาหาร NA และ TCBS เชื้อ v.para (VP3) + เชื้อ 1798 BS ที่24 ชม. ในอาหาร NA และ TCBS เชื้อชมรม มี4 ชนิด ที่เบียดเชื้อ EMS ที่24 ชม ลดลง 1. BL2 2. BL3 3. Polymyxa 3 4. Nitrite 24
116 เชื้อ V. para (VP3) + เชื้อ LB2 ที่0 ชม. ในอาหาร TCBS และ MRS เชื้อ V. para (VP3) + เชื้อ LB2 ที่24 ชม. ในอาหาร TCBS และ MRS เชื้อ V. para (VP3) + เชื้อ 2 (L7/2) ที่0,24,36,48 ชม. ใน อาหาร TCBS 0 ซม. 36 ซม. สรุปทดสอบการข่มเชื้อจุลินทรีย์แต่ละชนิด ต่อการข่มเชื้อ Vibrio alginolyticus 24 ซม. 48 ซม. เชื้อ Vibrio alginolyticus + เชื้อ LB2 ที่0,24,36,48 ชม. ในอาหาร TCBS 0 ซม. 24 ซม. 36 ซม. 48 ซม.
117 เชื้อ Vibrio alginolyticus + เชื้อ พ2 (L7/2) ที่0,24,36,48 ชม. ในอาหาร TCBS เชื้อ Vibrio vulnificus + เชื้อ LB2 ที่0 ชม. ในอาหาร TCBS และ MRS เชื้อ Vibrio vulnificus + เชื้อ LB2 ที่36 ชม. ในอาหาร TCBS และ MRS เชื้อ Vibrio vulnificus + เชื้อ LB2 ที่24 ชม. ในอาหาร TCBS และ MRS เชื้อ Vibrio vulnificus + เชื้อ LB2 ที่48 ชม. ในอาหาร TCBS และ MRS 0 ซม. 24 ซม. 36 ซม. 48 ซม. 117
118 เชื้อ Klebsiella + เชื้อ LB2 ที่0 ชม. ในอาหาร TSA และ MRS เชื้อ Klebsiella + เชื้อ LB2ที่36 ชม. ในอาหาร TSA และ MRS เลือกตัวแทนเชื้อ 1 โคโลนีมาท�ำเชื้อบริสุทธิ์ส่งตัวอย่างให้บริษัท กิบไทย เพื่อไปหาล�ำดับนิวคลีโอไทด์ของดี เอ็นเอด้วยวิธีDNA sequencimg หลังจากนั้นน�ำข้อมูล DNA sequence ที่ได้ไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลเชื้อใน GenBank Database (https://blast.ncbi.nih.gov) เชื้อ Klebsiella + เชื้อ LB2 ที่24 ชม. ในอาหาร TSA และ MRS เชื้อ Klebsiella + เชื้อ LB2ที่48 ชม. ในอาหาร TSA และ MRS ส่งตัวอย่างเพื่อระบุสายพันธุ์เชื้อด้วยวิธี 16s rRNA gene (ความยาวประมาณ 1500 เบส Bacillus paralicheniformis
119 16s rRNA gene ลักษณะโคโลนีของจุลินทรีย์ที่พบในฟาร์มเกษตรกรที่ใช้จุลินทรีย์หลายชนิด Bacillus amyloliquefaciens Bacillus subtilis (BS Nutto) Bacillus velezensis Bacillus magaterium (ชมรม) Bacillus paralicheniformis Klebsiella quasipneumoniae
120 ส่งผลทดสอบจุลินทรีย์ให้เกษตรกร/กลุ่มชมรมไปขยายผลในพื้นที่จริง LB2 Lacticaseibacillus paracasei ที่มาของเชื้อ ดร.ชัยวุฒิสุดทองคง
121 การทดสอบประสิทธิ์ภาพการย่อยสลายสารอินทรีย์ แอมโมเนีย ขั้นตอนการทดลอง ชุดการทดลอง แบ่งเป็น 2 ชุด ชุดที่1 ใช้จุลินทรีย์ที่ขยายเสร็จจากในอาหาร MM ชุดที่2 ใช้จุลินทรีย์ที่ขยายจากวิธีการขยายที่แนะน�ำเกษตรกร (กากถั่วเหลือง + ร�ำ + กลูโคส) แต่ละชุดการทดลองแบ่งดังนี้ 1. ชุดควบคุม (ไม่เติมจุลินทรีย์) 6. BS (ชมรม) 2. BSN 1 (ศูนย์) 7. BM (ชมรม) 3. BS (Nutto) (ศูนย์) 8. BL(ชมรม) 4. BM (ศูนย์) 9. 88 (ชมรม) 5. BL(ศูนย์) 10. N1 (ของชมรมที่ศูนย์เอามาขยายเอง) วิธีขยายจุลินทรีย์ในน�้ำขยายใช้สูตร 1. น�้ำจุลินทรีย์2 มล. 2. กากถั่วเหลือง 1 กรัม 3. ร�ำระเอียดร่อน 1 กรัม 4. กลูโคส 1 กรัม 5. น�้ำสะอาด 2 ลิตร ให้อากาศเบาๆ ขยาย 24-48 ชม. โดยการวัดพีเอช ให้ได้4.6-5 ให้อากาศเบาๆขยาย24-48ชม. แล้วน�ำเชื้อจุลินทรีย์มาใส่แต่ละชุดการทดลองครั้ง เดียว ชุดละ200 ซีซี/น�้ำ20 ลิตร (ให้อากาศเบาๆ)
122 การเก็บข้อมูล 1. วัดปริมาณ แอมโมเนียแบคทีเรียรวม วิบริโอรวม ความเค็ม พีเอชของน�้ำที่น�ำมาใช้ในการทดลอง (วัดก่อน การทดลอง) 2. ตรวจวัดแอมโมเนีย ที่เวลา 0 , 6, 24ชม. และวันที่3 ของการทดลอง 3. ตรวจแบคทีเรีย และวิบริโอรวม ในชม.ที่24 และ ในวันที่3 ของการทดลอง (สังเกตโคโลนีใน TSA ด้วยว่า มีลักษณะของบาซิลลัสหรือไม่) 4. เอาจุลินทรีย์ชุดการทดลองที่ดีที่สุด (เก็บน�้ำขยายใส่ขวดไว้) เอามาทดสอบการเบียดเชื้อ EMS เพื่อดู ประสิทธิภาพ ว่าจุลินทรีย์ที่ขยายด้วยสูตรใหม่ตัวใหนข่มเชื้อ EMSได้บ้าง
123 ศูนย์ฯ ของกรมประมงควรมองในทิศทางของงานส่งเสริม ควบคุมคุณภาพ บทบาทของชมรม 1. ตรวจสอบความแข็งแรงของเชื้อจุลินทรีย์อย่างสม�่ำเสมอ 2. การเก็บรักษาหัวเชื้อ การถ่ายเชื้อ ท�ำ slant ส�ำหรับการขยายหัวเชื้อในงาน Rountine 3. เก็บข้อมูล วิธีการขยายหัวเชื้อจุลินทรีย์ของเกษตรกรว่าท�ำอย่างไรบ้าง เช่น น�้ำที่ใช้ขยาย / ถังขยาย / สถานที่ขยาย / อัตราส่วนที่ขยาย / PH หรือระยะเวลาที่ได้ความสะอาดของถังขยาย / ใช้สูตรไหนขยาย / ใช้หมดภายในรอบเดียวหรือใช้หมดภายในกี่วัน / เก็บตัวอย่างน�้ำขยายมาตรวจเช็คให้ 4.น�้ำขยายมีปริมาณ Bacillus หรือ เชื้อก่อโรค มีปริมาณสัดส่วนเท่าไหร่ / เกษตรกรใช้อย่างไร / หัวเชื้อที่ เกษตรกรน�ำไป เก็บที่ไหน / สุ่มเก็บกลับมาเช็คเชื้อบ้าง 5. ความเอาใจใส่ของ จนท. / นักวิชาการควบคุม หน.หน่วย / ความรู้ที่เราใส่ให้จนท. หรืองานรับรองฟาร์ม เข้าใจตรงกันหรือไม่ 6. การเป็นที่ปรึกษา ชมรมสมาคมในพื้นที่ เป็นพี่เลี้ยงเขาอย่างไร 7. น�ำน�้ำขยายจุลินทรีย์ของเกษตรกรมาทดสอบความแข็งแรงดูประสิทธิภาพของจุลินทรีย์ว่ายังครอบครองเชื้อ ท้องถิ่นได้หรือไม่ ต้องเป็นผู้ที่สนใจจริงๆ คอยสังเกตและดูกระแสตอบรับจากเกษตรกร ซึ่งจะได้ข้อมูลที่แท้จริงเนื่องจากมี ความใกล้ชิดกับเกษตรกร เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการจุลินทรีย์ต้องเป็นเจ้าหน้าที่เฉพาะไม่ควรใช้เจ้าหน้าที่ที่มีหลายหน้าที่ เช่นเป็น เกษตรกรด้วยเลี้ยงกุ้งด้วย ท�ำLab ด้วย และเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการต้องเป็นผู้ที่หมั่นสังเกต เรียนรู้ตลอดเวลา Lab จุลินทรีย์กับ Lab โรคควรแยกออกจากกันเพื่อป้องกันการปนเปื้อน การหาแหล่งงบประมาณมาสนับสนุน / การรวมตัวของสมาชิกให้ได้จน.มากเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการ ผลิตจุลินทรีย์ซึ่งมีทั้งค่าจ้างเจ้าหน้าที่/อาหารเลี้ยงเชื้อ/วัสดุอุปกรณ์/ค่าไฟฟ้า /ค่าซ่อมบ�ำรุงเพื่อให้ชมรมสามารถ ยืนได้ด้วยตัวเองโดยมีสมาชิกคอยสนับสนุน ถ้ามีการจ�ำหน่ายเพื่อการค้า ศูนย์ฯกรมประมงในพื้นที่ควรสนับสนุนข้อมูลทางด้านวิชาการว่าจะต้องท�ำ อย่างไรถึงจะขึ้นทะเบียนได้เช่น เชื้อควรจะตรวจอะไรบ้าง / ตรวจที่ไหน / ประสานใคร / โดยมีกองปัจจัยการผลิต เป็นผู้รับขึ้นทะเบียน / มหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องกับการตรวจและที่รองรับ / ค่าบริการในการตรวจวิเคราะห์เพื่อขึ้น ทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายมีรายได้ขยายตัวสู่เกษตรกรนั้นที่ใกล้เคียง ต้องเป็นผู้ที่สนใจจริงๆ คอยสังเกตและดูกระแสตอบรับจากเกษตรกร ซึ่งจะได้ข้อมูลที่แท้จริงเนื่องจากมี ความใกล้ชิดกับเกษตรกร เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการจุลินทรีย์ต้องเป็นเจ้าหน้าที่เฉพาะไม่ควรใช้เจ้าหน้าที่ที่มีหลายหน้าที่ เช่นเป็น เกษตรกรด้วยเลี้ยงกุ้งด้วย ท�ำLab ด้วย และเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการต้องเป็นผู้ที่หมั่นสังเกต เรียนรู้ตลอดเวลา Lab จุลินทรีย์กับ Lab โรคควรแยกออกจากกันเพื่อป้องกันการปนเปื้อน การหาแหล่งงบประมาณมาสนับสนุน / การรวมตัวของสมาชิกให้ได้จน.มากเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการ ผลิตจุลินทรีย์ซึ่งมีทั้งค่าจ้างเจ้าหน้าที่/อาหารเลี้ยงเชื้อ/วัสดุอุปกรณ์/ค่าไฟฟ้า /ค่าซ่อมบ�ำรุงเพื่อให้ชมรมสามารถ ยืนได้ด้วยตัวเองโดยมีสมาชิกคอยสนับสนุน ถ้ามีการจ�ำหน่ายเพื่อการค้า ศูนย์ฯกรมประมงในพื้นที่ควรสนับสนุนข้อมูลทางด้านวิชาการว่าจะต้องท�ำ อย่างไรถึงจะขึ้นทะเบียนได้เช่น เชื้อควรจะตรวจอะไรบ้าง / ตรวจที่ไหน / ประสานใคร / โดยมีกองปัจจัยการผลิต เป็นผู้รับขึ้นทะเบียน / มหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องกับการตรวจและที่รองรับ / ค่าบริการในการตรวจวิเคราะห์เพื่อขึ้น ทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายมีรายได้ขยายตัวสู่เกษตรกรนั้นที่ใกล้เคียง
124
125 โดย รองศาสตราจารย์ ดร. พงศ์ศักดิ์ เหล่าดี หลักสูตรทรัพยากรประมง โครงการจัดตั้งคณะนวัตกรรมการเกษตรและประมง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี ภาวะโลกร้อน (global warming) หมายถึง ภาวะที่อุณหภูมิของพื้นผิวโลกเพิ่มขึ้น ทั้งนี้รวมหมายถึง อุณหภูมิบริเวณพื้นดิน ทะเลและมหาสมุทร และรวมถึง อุณหภูมิของชั้นบรรยากาศโลก สาเหตุเกิดจากการที่ชั้น บรรยากาศโลกมีปริมาณก๊าซเรือนกระจก(greenhouse gases) เพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลมาจากการเผาไหม้เชื้อ เพลิงฟอสซิลจากกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ส่งผลให้ความ ร้อนที่ส่องมายังโลกจากดวงอาทิตย์ถูกกักเก็บไว้ภายใน โลก ไม่ถูกปล่อยกลับออกสู่อวกาศเกิดเป็นปรากฏการณ์ เรือนกระจก โดยความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์อธิบาย ถึงภาวะโลกร้อนได้ดังนี้ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยพลังงาน ในรูปของคลื่นแสงผ่านชั้นบรรยากาศมายังพื้นผิวโลก พลังงานดังกล่าวท�ำให้โลกอบอุ่น จากนั้นพลังงานบาง ส่วนแผ่สะท้อนออกนอกโลกสู่อวกาศในรูปแบบรังสีอิน ฟาเรด แต่มีบางส่วนถูกกักเก็บไว้โดยชั้นบรรยากาศ ส่ง ผลให้โลกอบอุ่นและอุณหภูมิบนพื้นผิวโลกเหมาะสมต่อ
126 การเกิดสิ่งมีชีวิตซึ่งกระบวนการดังกล่าวเหล่านั้นเป็นสิ่งดี อย่างไรก็ตามเมื่อมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเฉพาะ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง จึง เกิดการสะสมของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศและ เมื่อชั้นบรรยากาศมีความหนามากขึ้น ท�ำให้พลังงานความ ร้อนบางส่วนที่เคยสะท้อนออกไปในอวกาศในรูปรังสีอิน ฟาเรดถูกกักเก็บไว้จึงส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกร้อน ขึ้นเกิดเป็นภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพ ภูมิอากาศ (climate change) ตามมา การเพิ่มขึ้นของ ก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศเป็นผลจากกิจกรรมของ มนุษย์ได้แก่การเผาไหม้ถ่านหิน น�้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เพื่อใช้ในการสร้างพลังงานเพื่อการอุตสาหกรรม การ คมนาคมและการขนส่งเป็นส�ำคัญ จากเหตุดังกล ่าวก ่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของสภาพภูมิอากาศตามมา มีเหตุการณ์ทางธรรมชาติ มากมายทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของการ เปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศซึ่งก่อให้เกิดปัญหาทาง สิ่งแวดล้อม กระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์สิ่งมีชีวิต และระบบนิเวศ เช่น การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของ น�้ำทะเลส่งผลต่อการเกิดการฟอกขาวของแนวปะการัง การละลายของน�้ำแข็งที่บริเวณขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ การเพิ่มขึ้นของระดับน�้ำทะเล ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง สภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรงส่งผลต่อการเกิด ฝนตกหนักและพายุปัญหาความแห้งแล้ง ปัญหาการแพร่ กระจายของโรคติดต่อ เป็นต้น การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน�้ำส่งผลต่อการเจริญ เติบโตของสิ่งมีชีวิตซึ่งต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการ เจริญเติบโตการที่อุณหภูมิของน�้ำสูงขึ้นส่งผลต่อการเกิด โรคระบาดในกุ้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่ง ผลต่อการเกิดการแปรเปลี่ยนของฤดูกาล ปริมาณฝนตก หรือพายุที่มากและรุนแรง และส่งผลต่อพื้นที่เพาะเลี้ยง สัตว์น�้ำและการเลี้ยงกุ้ง
127 ส�ำหรับแนวทางในการลดการปลดปล่อยก๊าซ เรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศโลกมีแนวทางส�ำคัญประกอบ ด้วย 1) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ปัจจุบันมีการพัฒนาเครื่องยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ซึ่งได้มาจากการเผาไหม้ เชื้อเพลิงฟอสซิล การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เป็นวิธีการหนึ่งในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้น บรรยากาศโลก 2) การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้เพื่อการดูดซับก๊าซเรือน กระจกออกจากชั้นบรรยากาศ เนื่องจากในกระบวนการ สังเคราะห์ด้วยแสงพืชใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน�้ำ เป็นวัตถุดิบในการเปลี่ยนให้เป็นอินทรีย์สารเก็บสะสม ไว้ตามส่วนของราก ล�ำต้นและใบ การปลูกป่าจึงเป็น แนวทางที่ส�ำคัญและมีความจ�ำเป็นในการควบคุมปริมาณ ก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศโดยการเปลี่ยนคาร์บอน ในรูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เก็บไว้ในรูปของสาร อินทรีย์ในป่าไม้ 3) การหันมาใช้พลังงานสะอาด พลังงาน ทดแทน แหล ่งของพลังงานซึ่งไม ่มีการปล ่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ทดแทนพลังงานซึ่ง ได้มาจากการเผาไหม้ถ่านหิน น�้ำมันและก๊าซธรรมชาติ หลายประเทศได้พัฒนาการสร้างพลังงานจากลมพลังงาน จากน�้ำและแสงอาทิตย์ เพื่อใช้ทดแทนพลังงานในการ ด�ำเนินชีวิตของมนุษย์หรือภาคอุตสาหกรรม ทดแทนจาก เผาไหม้ถ่านหิน น�้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
128 ในการเพาะเลี้ยงกุ้งในฟาร์มเพาะเลี้ยงมี การประเมินการปลดปล ่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จ�ำนวน 27 กิโลกรัมต่อการผลิตกุ้ง 1 กิโลกรัม โดยใน กระบวนการผลิตการใช้กระแสไฟฟ้าหรือพลังงานในการ เติมอากาศลงบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำมีการปลดปล่อยก๊าซ เรือนกระจกมากที่สุด รองลงมาคือเกี่ยวข้องกับการผลิต และการใช้อาหารในการเลี้ยงกุ้ง ส�ำหรับประเทศไทยมี โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐาน ของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission ReductionProgram:T-VER) เพื่อเป็นองค์กรที่ส่งเสริม สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนร่วมกันในการลดการปลดปล่อย ก๊าซเรือนกระจก และน�ำปริมาณการลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกที่ด�ำเนินการได้ซึ่งเรียกว่าคาร์บอนเครดิตไป ขายในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจในประเทศได้ส�ำหรับ อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งที่มีการ ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาจใช้อากาสนี้ในการลดการ ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากแนวทางการใช้พลังงาน อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้พลังงานสะอาดในการผลิตกุ้ง และใช้การลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นโอกาส ในการเพิ่มคุณค่าและราคาให้กับผลผลิตกุ้งที่ผลิตได้ใน การมองหาตลาดใหม่กับผู้ซึ่งค�ำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยใช้แนวทางเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BioCircular-Green Economy) เป็นแนวทาง พัฒน าเศ รษ ฐ กิ จ สู ่ ก า รพัฒน าที่ ยั่งยืน การค�ำนึงถึงการผลิตกุ้งที่ ลดการปลดปล ่อยก๊าซเรือนกระจกจึง เป็นแนวทางที่ส�ำคัญ ในการเพิ่มคุณค ่าและ ช ่องทางการตลาดใหม ่ของกุ้งไทยที่ค�ำนึงถึง สิ่งแวดล้อมและแนวทางตามเศรษกิจแบบ บี ซีจีโมเดล 128
129 โดย ฐิติกรฟาร์ม เพชรบุรีโมเดล บ่อดิน - พื้นแข็ง (ลดตะกอน) - ตลิ่งแข็ง (ลดตะกอน) - ท้องกระทะ (รวมเลน) ฐิติกร ฟาร์มเพชรบุรี ฐิติกร ฟาร์มเพชรบุรี
130 น�้ำ - ค่า PH - อ๊อกซิเจน - น�้ำโปร่ง - ดรอปแพลงตอน - ตะกอนน้อย - แร่ธาตุ - ปลอดเชื้อ สรุปขั้นตอนการเตรียมน�้ำ วันที่1 คอปเปอร์10 ก.ก./ไร่ + BKC 10 ลิตร/ไร่ วันที่3 ซันเทอเร็กซ์1 กระป๋อง/ ไร่ วันที่5 ยาฆ่า ซู1 ขวด/ไร่ วันที่7 กลูตารอล 1ถัง/ 1-3 ไร่ วันที่9 ไอโอดีน 2% 10ลิตร /ไร่ วันที่11- 15 จุลินทรีย์ วันที่16 ปล่อยกุ้งลงบ่อเลี้ยง การดูแลระหว่างเลี้ยงกุ้ง 1. ตับดี 2 . เม็ดไขมัน 3. ปลอดเชื้อ 4. อาหาร ตารางการท�ำงานใน 1 สัปดาห์ จันทร์ จุลินทรีย์ 8.00 น. อังคาร จุลินทรีย์ 8.00 น. พุธ จุลินทรีย์ 8.00 น. >>> ตัดเชื้อ18.00 น. พฤหัส จุลินทรีย์ 8.00 น. ศุกร์ จุลินทรีย์ 8.00 น. >>>ตัดเชื้อ 18.00น. เสาร์ จุลินทรีย์ 8.00 น. อาทิตย์ จุลินทรีย์ 8.00 น. >>>ตัดเชื้อ 18.00 น. 130
131 - น�้ำสะอาด 300 ลิตร - EM 1 แกลลอน(10 ลิตร) - น�้ำตาลทราย 10 กิโลกรัม - เคแม็ก 1 ถุง - สับปะรด 300 ก.ก. - น�้ำตาลทราย 50 ก.ก. - ยาคูลท์30 ขวด - EM 1 แกลลอน - น�้ำ EM ขยาย 50 ลิตร - หมักไว้40 วัน - น�้ำ EM 3 ลิตร - น�้ำ EM ขยาย 6 ลิตร - ขมิ้นผง 2 ช้อนโต๊ะ - ข่าผง 3 ช้อนโต๊ะ - น�้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ - เคแม็ก 1 ช้อนโต๊ะ - ปม.1 (ประมง) 1 ซอง - หมักไว้3 วัน การใช้เวชภัณฑ์ระหว่างเลี้ยง น�้ำ EM ขยาย ส่วนผสม น�้ำหมักสับปะรด ส่วนผสม น�้ำสมุนไพร ผสมอาหาร
132 โดย 108 ตัน ฟาร์มอันดามัน นางหงส์ แนวคิดและหลักการ เมื่อเราเลือกอาชีพการเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งแล้ว ความรอบ ครอบ ละเอียดถี่ถัวน เอาจริงอังจังทุ่มเทและตั้งใจ การจัดการบางเรื่องไม่ สามารถยอมได้ลดไม่ได้เพื่อแลกมาซึ่งความส�ำเร็จที่คุ้มค่าสมกับการรอ คอย 108 ตันไม่ยาก แต่ไม่ง่าย ใจต้องนิ่ง องค์ประกอบ 1. ความได้แปรียบแหล่งน�้ำและที่ตั้งฟาร์ม (เชื้อโรค) 2. ทีมงาน 3. การเตรียมการ 4. ความพร้อมการจัดการ น�้ำ อุปกรณ์ปูน จุลินทรีย์แร่ธาตุเคมี รู้แนวทางใครๆ ก็ทำ ได้ 108 ตัน
133 1. ความได้เปรียบในเชิงพื้นที่ แต่สภาพภูมิอากาศ จ.ระนอง ฝน 8 แดด 4 บอ 1 9 ไร บอ 2 4.5 ไร บอ 3 4.5 ไร บอพักน้ำ พรอมใช 6 ไร บอเก็บเลน บอพักน้ำ 7 ไร 1.5 ไร 2.ความได้เปรียบในเชิงพื้นที่คุณภาพน�้ำทะเลความเค็ม 10 ppt35 ppt น�้ำขึ้นวันละ2รอบๆละ4ชั่วโมง ที่ตั้งและโครงสร้างฟาร์ม การเตรียมบ่อ ฉีดล้างบ่อให้สะอาด
134 การเตรียมน�้ำ บดอัดพื้น วางเครื่องตีน�้ำ 10 แรง ต่อไร่ ตากบ่อให้แห้งทุกจุดในฟาร์ม 1-2 เดือน • ด่างทับทิม 5ppm. • Submers10 นิ้ว4 ตัว • CuSo4 3ppm • ฟอส 50 อีซี.5 ลิตร/ไร่ • Chlorine50 กก./ไร่ • ท�ำ pH 10 ด้วย ปูน Hi-Power250kg./ไร่ บ่อเลี้ยง • มีการเก็บตัวอย่างจากพื้นบ่อ, อุปกรณ์ให้ อากาศ PCR ตรวจ AHPND, EHP ก่อนปล่อยกุ้ง • ลงจุลินทรีย์pH Fixer ก่อนปล่อยกุ้ง7วัน • ปรับคุณภาพน�้ำ อัลคาไลซ์ให้ได้200ppm. บ่อทรีต • H2O2 5ppm. น�้ำพร้อมใจ ทะเล บ่อพักน�้ำ
135 ที่ตั้งและโครงสร้างฟาร์ม ตรวจเชื้อ EHP / AHPND ทั้งระบบ บอ 1 9 ไร บอ 2 4.5 ไร บอ 3 4.5 ไร บอพักน้ำ พรอมใช บอเก็บเลน บอพักน้ำ H2O2 5ppm
136 การเตรียมน�้ำ การเตรียมน�้ำ วางเครื่องตีน�้ำ 10 แรง ต่อไร่ วางเครื่องตีน�้ำ เป็น 2วง วงใน 70รอบ/นาที วงนอก 90-100รอบ/นาที วงในแขนยาว 5 ท่อน 30 เมตร มอเตอร์5 แรง 70 รอบ 4 แขน วงนอกแขนยาว 3 ท่อน 18 เมตร มอเตอร์3 แรง 90 รอบ 16 ชุด วงเสริม 4 ใบ 2 แรง 90 รอบ 4 ใบพัด 10 ชุด หลุ่มกลาง ปั๊มดูด 4 นิ้ว 3 ชุด รวม 30 ชุด วันที่1 เมื่อสูบน�้ำเข้าได้ระดับ 1.5 เมตร แล้วตีน�้ำเต็มที่ตีถึงพี้นบ่อได้ วันที่ 2 นับ 1 ลง คอบเปอร์3 ppm ตีน�้ำทั้ง 30 ชุด กลางวัน (ปิด 5 โมง เย็น-7 โมงเช้า) พัก 3 วัน ดูดเลนหลุมกลาง วันที่5 FOS-50 5 ลิตร/ไร่ ลงบ่าย 3 โมง พัก 4 วัน ดูดเลนหลุมกลาง วันที่9 ลงคลอรีน 50 กก./ไร่ ลงบ่าย 3 โมง พัก 5 วัน ดูดเลนหลุมกลาง วันที่14 ลง ปูนร้อน Hipower 10 ถุง/ไร่ พัก 4 วัน ดูดเลนหลุมกลาง
137 ลงปูนร้อนท�ำพีเอชสูง 10 ถุง/ไร่ช่วงเตรียมน�้ำ ตีน�้ำให้ตกตะกอน ประมาณ 4วัน วันที่18 ลง พีเอช-Fixer 1 กก./ไร่ (5 ซอง/บ่อ9ไร่) ใส่ถังละลายปากบ่อลง9โมงเช้า ติดต่อกัน 7 วัน ดูดเลนหลุมกลาง วันที่24ลงสีน�้ำเทียม ซันแสลนด์5กก./ ไร่ดูดเลนหลุมกลาง วันที่25 ลงลูกกุ้ง ซีพีประทิว PL12 1. ลูกกุ้งตัวโตและต้องสม�่ำเสมอ 2. แข็งแรง ไม่มีตัวขาว ตัวปลิว 3. รีบปล่อยให้เร็วที่สุด 4. เลือกวันที่ฝนไม่ตกขณะปล่อยลูกกุ้ง การปล่อยลูกกุ้ง 9 ไร่ ลง 2.6 ล้านตัว
138 • ให้อาหารตามโปรแกรม เช็คยอออกประมาณ 20 วัน ให้Auto Feed • 30 วัน ที่กุ้ง 1 แสนตัว กินอาหารสะสม 484 kg. • การถ่ายน�้ำ ปั๊ม 10 นิ้ว 2 ตัว ดูด 10 ซม. เริ่ม อายุ7 วัน ถ่ายบ่าย 2 แล้วเติมเลย อายุ20วัน ถ่ายบ่ายโมงถ่าย30เซน แล้วเติม เมื่อปิด Auto Feed • การดูดเลนกลางบ่อ เริ่มที่กุ้งอายุ10 วัน ดูจนน�้ำปลายท่อใส ประเมินผลผลิต 58 วัน 54 ตัว ถ้าอัตรารอด100% ผลผลิต 48 ตัน FCR 1.26 การจัดการระหว่างการเลี้ยง : การให้อาหาร โปรแกรมการให้อาหาร 30 วันแรก • เพดานให้อาหาร ที่ 50 วัน 63 ตัว/กก. ที่ 75 กก./แสน
139 • เพดานให้อาหาร ที่ 50 ตัว 85 กก./แสน • 40 ตัว 90 กก./แสน • 35 ตัว 100 กก./แสน • 30 ตัว 115 กก./แสน • เพดานให้อาหาร ที่ 50 ตัว 85 กก./แสน • 40 ตัว 90 กก./แสน • 35 ตัว 100 กก./แสน • 30 ตัว 115 กก./แสน • 25 ตัว 120 กก./แสน
140 • เพดานให้อาหาร ที่ 50 ตัว 85 กก./แสน • 40 ตัว 90 กก./แสน • 35 ตัว 100 กก./แสน • 30 ตัว 115 กก./แสน • >25 ตัว 120 กก./แสน การจัดการระหว่างการเลี้ยง : ของต้องมี • ของผสมอาหาร • การจัดการตะกอนและการเปลี่ยนถ่ายน�้ำ • SM1 สตรองมิน วัน 10 g/อาหาร 1 kg ตลอดการเลี้ยง • Ore-Spices โอเร่-สไปส์10 g/อาหาร 1 kg 3 วันครั้ง • Zymetin 10 g/อาหาร 1 kg ให้ตั้งแต่อายุ20 วัน-จับกุ้ง • ใช้ปูนจับตะกอน ช่วงเช้าก่อนให้อาหาร • ใช้ปูนจับตะกอน 15 kg/ไร่ตั้งแต่อายุ30 วันถึงจับกุ้ง ให้สังเกต ความขุ่นใส ช่วง 45-75 วันช่วงที่ยังไม่แบ่ง • ช่วงกุ้งอายุ10-19 วัน เริ่มดูดตะกอนกลางบ่อ เวลาช่วงเช้าและบ่าย (ดูดจนกว่าน�้ำจะใส่) • ช่วงกุ้งอายุ20ถึงจับ ดูดตะกอนกลางบ่อตั้งแต่8โมงเช้าถึง5โมงเย็น ข้อบ่งใช้ : - ลดตะกอนแขวนลอยในน�้ำ - ช่วยเพิ่มออกซิเจนในน�้ำ - ช่วยให้สีน�้ำสวยโปร่ง ไม่ข้นหนืด
141 • การเปลี่ยนถ่ายน�้ำ อายุกุ้ง 20 วันถึงจับกุ้ง เปลี่ยนถ่ายน�้ำ 30 cm./วัน • การใช้วัสดุปูน • การใช้จุลินทรีย์ ถ่ายให้เร็ว เติมให้ไว ช่วงเวลาการเปลี่ยนถ่ายน�้ำในรอบวัน • ถ่ายน�้ำออก ช่วง บ่ายโมง ถึง 6 โมงเย็น (ด้วยปั้ม 10 นิ้ว 2 ตัว) • เติมน�้ำเข้าหลังปิด Feed ช่วง 6 โมงเย็น ถึง 3 ทุ่ม (ด้วยปั้ม 10 นิ้ว 2 ตัว) ตลอดการเลี้ยงกุ้งใช้น�้ำเปลี่ยนถ่าย ประมาณ 22 เท่า Sodium Hi-power Postasium Max Magnesium AD Calcium TA ช่วงอายุ (วัน) 1-10 • 25 kg/ไร่ ทุกวันก่อนปล่อยกุ้ง • ใช้ช่วง pH ต�่ำกว่า 7.7 ( 25 kg./ไร่ ) *หมายเหตุ อัลคไลท์250 ppm Ca 600 Mg 1500 ปริมาณการใช้ขึ้นอยู่คุณภาพน�้ำและสภาพอากาศ (ระนอง ฝนตกเยอะ) หมายเหตุ : ละลายน�้ำสาด (ไม่ต้องเพาะ) • 5 kg./ไร่ (สัปดาห์ละ 2 ครั้ง) • 25 kg./ไร่ (สัปดาห์ละ 1 ครั้ง) • 75 kg./ไร่ (ทุกวัน) 20-จับกุ้ง pH Fixer Biotic ก่อนปล่อยกุ้ง 7วัน ถึงอายุกุ้ง 30 วันทุกวัน 1 kg./ไร่ (ทุกวัน) 0.5 kg./ไร่ (ทุกวัน) อายุ31วัน ถึงจับกุ้ง
142 สีน�้ำระหว่างการเลี้ยง ผลการเลี้ยงตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
143 รู้แนวทาง ใครก็ท�ำได้ จัดการอย่าให้มีเชื้อ 1. รวมเลนได้ลงหลุม ดูดได้ไม่ค้างหลุม ดูดสะอาดทุกวัน 2. ลดตะกอนระหว่างเลี้ยง ลงแร่ธาตุให้ถึง 3. ออกซิเจนถึง 6 ppm ตลอดการเลี้ยง 4. จุลินทรีย์ถึง 5. ถ่ายน�้ำเร็ว ปริมาณเพียงพอ 6. อาหารถึง 7. ถ้าจะให้โตเร็วก็ลูกกุ้งซีพีครับ ฟาร์มกุ้งน่าอยู่ จะแนวไหน…ก็ ขอให้โชคดีทุกคนครับ
144 ปัจจุบันนี้ประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้น�ำในด้านการผลิตและการส่งออกมาตั้งแต่ปี2556 หลังจากเกิดโรคตายด่วนหรือ EMS (Early Mortality Syndrome) ผลผลิตประเทศไทยใน ช่วง10 ปีที่ผ่านมาอยู่ระหว่าง250,000 ถึง300,000 ตัน เป็นตัวเลขคร่าวๆไม่ได้ใช้ตัวเลขที่ เป็นจริงเพียงแต่ต้องการจะสื่อให้เห็นว่า ช่วงที่ประเทศไทยเป็นผู้น�ำในด้านการส่งออกผลผลิต ประมาณ 500,000 – 600,000 ตัน หรือคิดประมาณการง่ายๆ ก็คือผลผลิตลดลงมาครึ่ง หนึ่งหรือบางปีมากกว่าครึ่งหนึ่ง โดย ดร.ชลอ ลิ้มสุวรรณ ศูนย์วิจัยธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แม้ว ่าจะมีความพยายามหาทางแก้ปัญหา โรค EMS มาอย ่างต ่อเนื่อง ซึ่งสาเหตุหลักของโรคนี้ มาจากแบคทีเรียวิบริโอ พาราฮีโมลัยติคัส (Vibrio parahaemolyticus)สายพันธุ์ที่ท�ำให้เกิดโรค EMS สามารถลดระดับความรุนแรงได้มากในบางช่วงเวลา แต่ ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาโรคขี้ขาว (White feces) เกิด ขึ้นด้วย ในทุกพื้นที่การเลี้ยง ซึ่งถ้าพิจารณาความเสีย หายในปัจจุบันนี้แล้ว จะเห็นได้ว่า โรคขี้ขาวท�ำความ กุ้งไทยยุคใหม่ ปี 2567 เสียหายแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งมากกว่าโรค EMS และ นอกจากโรคขี้ขาวแล้ว ปัญหาไมโครสปอริเดีย อีเอชพี (Enterocytozoon hepatopenaei)ร่วมกับโรคขี้ขาว ตลอดเวลาเช่นกัน จากงานวิจัยของสถาบันการศึกษา และหน่วย งานที่ท�ำงานวิจัยเรื่องโรคขี้ขาวและเชื้ออีเอชพีสรุปได้ว่า สาเหตุที่แท้จริงที่ท�ำให้เกิดโรคขี้ขาวคือติดเชื้อแบคทีเรีย วิบริโอจ�ำนวนมาก อาจจะตั้งแต่ลูกกุ้งที่จะน�ำลงไปเลี้ยง
145 ในบ่อ หรือในระหว่างการเลี้ยง เมื่อสภาพแวดล้อมในบ่อ มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เช่น แพลงก์ตอนตายเป็น จ�ำนวนมาก (สีน�้ำล้ม) ฝนตกติดต่อกันเป็นเวลานาน กุ้ง มักจะป่วยและมีขี้ขาว เมื่อน�ำกุ้งป่วยไปตรวจจะพบทั้ง แบคทีเรียวิบริโอ และอีเอชพีร่วมด้วยแทบทุกครั้ง จากข้อมูลด้านการเลี้ยงกุ้งที่ผ่านมาและการวิจัย พบว่าลูกกุ้งที่ติดเชื้ออีเอชพีมากเมื่อน�ำไปเลี้ยงกุ้งจะโต สรุป โดยภาพรวมคือลูกกุ้งทุกสายพันธุ์สามารถเลี้ยงให้ได้ผลผลิตตามเป้าหมายได้ถ้ามีการจัดการ เข้าใจถึงการป้องกันการสังเกตสภาพในบ่อว่าดีหรือไม่อะไรเป็นตัวบ่งชี้ว่าสิ่งที่เห็นดีหรือไม่ดีถ้าไม่ดีจะแก้ไขอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ส�ำคัญที่สุดเพราะเมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้วการแก้ปัญหาอย่างไรเสียก็ต้องมีความเสียหาย เกิดขึ้นไม่มากก็น้อย ขึ้นกับว่าแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วแค่ไหน ช้า แต่ถ้าการติดเชื้ออีเอชพีเกิดขึ้นหลังจากเลี้ยงไปแล้ว ระยะหนึ่งประมาณ 20-30 วันปัญหาเรื่องกุ้งโตช้าจะไม่ รุนแรงมาก และจากข้อมูลการเลี้ยงของเกษตรกรในช่วง ที่ผ่านมา พบว่าลูกกุ้งแต่ละสายพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโต แตกต่างกันจะมีการตอบสนองต่อการติดเชื้ออีเอชพีและ การเติบโตที่แตกต่างกันด้วยกล่าวคือลูกกุ้งสายพันธุ์ที่มี การเจริญเติบโตรวดเร็วถ้ามีการติดเชื้อ อีเอชพีมาก เมื่อ น�ำไปเลี้ยงกุ้งจะโตช้าและมีความเสียหายมากกว่าสาย พันธุ์ที่โตช้ากว่าแต่ในกรณีที่ลูกกุ้งปลอดเชื้อหรือติดเชื้ออี เอชพีในระยะแรกที่ยังไม่เจริญพัฒนาเป็นสปอร์ถ้ามีการ จัดการที่ดีในช่วงที่อนุบาลประมาณ 20วันก่อนย้ายไปใน บ่อเลี้ยงช่วงสุดท้าย อีเอชพีจะไม่พัฒนาไปเป็นสปอร์กุ้ง ก็จะไม่มีปัญหาการเจริญเติบโตแต่ถ้าระหว่างการอนุบาล 20 วัน (จากพี12) มีตะกอนสะสมพื้นบ่อมากหรือสภาพ ในบ่อไม่ดีอีเอชพีจะพัฒนาไปสู่ระยะสปอร์ได้รวดเร็วมาก และมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น
146 จากหัวข้อที่ผู้จัดให้มา “กุ้งไทยยุคใหม่ ปี 2567” ผู้เขียนพิจารณาหัวข้อแล้วคิดว่าผู้จัดคงจะให้บรรยาย เกี่ยวกับการเลี้ยงในปีนี้จะต้องให้ความส�ำคัญเรื่องอะไร บ้างจะเลี้ยงแบบไหนให้สามารถผ่านไปได้มีก�ำไร หรือ อาจต้องให้ประเมินสถานการณ์ในปี2567 นี้ว่าราคาน่า จะดีขึ้นหรือตกต�่ำเหมือนช่วงต้นปีที่แล้วจนถึงเกือบปลาย ปีมีอะไรบ้างที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษผู้เขียนคิดว่าผู้จัด คงจะคาดหวังในเรื่องเหล่านี้ ส�ำหรับสถานการณ์เรื่องราคาตลาดผลผลิตกุ้ง จากทั่วโลกการเลี้ยงกุ้งของเกษตรกรที่เลี้ยงแล้วประสบ ความส�ำเร็จการตรวจและวินิจฉัยโรคที่ส�ำคัญแทบทุก หัวข้อมีการบรรยายครบแล้ว จากผู้ที่ท�ำการวิจัยในแต่ละ เรื่องที่ถนัด แต่ในฐานะที่ต้องบรรยายเป็นคนสุดท้าย ผู้ เขียนคิดว่าจะไม่บรรยายในลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับผู้ บรรยายก่อนหน้านี้คิดว่าน่าจะเอาประเด็นที่ส�ำคัญและ เป็นประโยชน์ต่อผู้ฟังที่จะน�ำไปปรับเปลี่ยนในสิ่งที่คิดว่า เป็นประโยชน์ส�ำหรับการเลี้ยงในรอบต่อไปเพื่อให้การ เลี้ยงได้ผลผลิตตามเป้าหมาย ดังนั้น ในการบรรยายครั้งนี้ผู้เขียนจะถอดบท เรียนความส�ำเร็จของการอนุบาลลูกกุ้งการน�ำไปเลี้ยงใน บ่อดินหรือบ่อ PE การจัดการป้องกันการดูแลลูกกุ้งใน ช่วงอนุบาลจะต้องเน้นอะไรเป็นพิเศษถ้ามีปัญหาแก้ไข อย่างไร ในการขนส่งจะท�ำอย่างไรให้ลูกกุ้งไม่เครียดมาก สังเกตจากอะไร ในการเตรียมน�้ำเพื่อการเลี้ยงในแต่ละ
147 ฤดูกาลคุณภาพน�้ำจะแตกต่างกันมากโดยเฉพาะช่วงฤดู มรสุมหลายฟาร์มเจอปัญหาน�้ำมีสนิมเหล็กมาก หรือเมื่อ ฝนตกหนักหลังจากอากาศร้อนจัดมาเป็นเวลานาน เกิด อะไรขึ้นท�ำไมมีกุ้งตายตัวนิ่มจะป้องกันอย่างไร ต้องท�ำ อย่างไร ทุกปัญหาที่ทุกคนคงจะเจอมาแล้ว แต่ไม่ทราบ ว่าเกิดจากอะไรจึงแก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุดมีความเสียหาย เกิดขึ้นมาก ที่กล ่าวมาทั้งหมดนี้จะเป็นการถอดบทเรียน “ความส�ำเร็จของพันกวีฟาร์ม” ที่กล้ายกตัวอย่างฟาร์ม นี้เพราะได้ผ่านการท�ำซ�้ำมาแล้วหลายปีต่อเนื่องผ่านมา ทุกฤดูกาลทั้งฤดูฝน ฤดูมรสุม ผ่านช่วงปราบเซียนปลายปี จนถึงต้นปีมาแล้วในรอบหลายปีที่ผ่านมาเป็นการพิสูจน์ แล้วว่าทุกอย่างที่ท�ำสามารถอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ วิชาการได้ รายละเอียดทั้งหมดที่ผู้เขียนคิดว่าส�ำคัญมากจะ พยายามน�ำมาบรรยายให้ครบตั้งแต่การเลือกลูกกุ้ง การ อนุบาลจนถึงเลี้ยงในบ่อดิน หวังว่าในการบรรยายครั้งนี้น่าจะมีรายละเอียด ที่ส�ำคัญ ที่เกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจและอธิบายได้ว่า ท�ำไมเป็นอย่างนั้นเกิดจากอะไรจะแก้ไขอย่างไรรอฟังใน วันสัมมนาครับทุกเรื่องทุกปัญหาจะชัดเจนและมีค�ำตอบ
148 สุดท้ายนี้ขออวยพรให้เกษตรกรที่ตั้งใจฟังการสัมมนา และน�ำส่วนที่เป็นประโยชน์เหมาะสมแก่ฟาร์มตนเอง ประสบ ความส�ำเร็จเลี้ยงผ่านได้ขนาดที่ต้องการและได้ราคาที่เหมาะสม เกือบลืมไปครับขอร้องให้รูปแบบการเลี้ยงตั้งแต่นี้ต่อ ไปต้องให้ความส�ำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจและสังคม ด้วย ทุกประเทศที่ซื้อกุ้งจะเข้มงวดเรื่องมาตรฐานฟาร์มมากขึ้น อีกอย่างหนึ่งขอร้องให้ผู้ที่ขึ้นเวทีบรรยายกรุณาอย่าเอ่ยสารเคมี หรือปัจจัยในการผลิตที่ตนเองใช้จริงในฟาร์มแต่กรมประมงไม่ ได้อนุญาตให้ใช้อยู่ในรายการ และต่างประเทศก็ไม่ได้อนุญาต กรุณาบรรยายเลี่ยงว่าในนั้นมีสารอะไรไม่ต้องเอ่ยชื่อว่าคืออะไร ตัวอย่างเช่นการท�ำให้กุ้งมีสีสวยเปลือกแข็งใส่วัสดุปูนชนิดที่มี ซิลิกามากกว่าปูนปกติเพราะซิลิกาจะท�ำให้น�้ำเป็นสีน�้ำตาล มี พวกไดอะตอมแทนที่พวกแพลงก์ตอนชนิดอื่น โครงสร้างของ ไดอะตอมเป็นซิลิกา บรรยายประมาณนี้ครับ เกษตรกรต้องหา ทางไปถามกันเองว่าคืออะไรอย่าบรรยายชื่อบนเวทีครับ ถ้าต่าง ประเทศรู้อาจจะไม่ซื้อกุ้งไทยได้ สุดท้ายจริงๆ เจอกันในงานสัมมนาวันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมวังใต้ครับ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน ครับ
149 โดย ดร. นิวัติ สุธีมีชัยกุล อดีตอธิบดีกรมประมง สายพันธุ์กุ้งทะเลในประเทศไทย เมื่อกล่าวถึงอุตสาหกรรมกุ้งไทยเราควรทราบถึงความเป็นมาของกุ้งทะเลไทยซึ่งเดิม กุ้งทะเลในประเทศไทยก็ได้จากการจับจากเรือประมงจับกุ้งในทะเล และตลาดหลักของไทยใน ต่างประเทศ จะมีประเทศญี่ปุ่นเป็นตลาดหลัก โดยมีกุ้งแชบ๊วย กุ้งทราย กุ้งกุลาด�ำ และกุ้ง กุลาลาย และมีผลผลิตจากการท�ำนากุ้งธรรมชาติด้วย โดยเฉพาะในจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาครและสมุทรสงคราม โดยมีนากุ้งขนาดใหญ่50-100ไร่และอาศัยน�้ำขึ้นน�้ำลงโดย ธรรมชาติต่อมาก็ใช้เครื่องดันน�้ำเข้าเสริมเพื่อให้มีปริมาณน�้ำมากขึ้นโดยระยะแรกเราก็จะได้ กุ้งแชบ๊วยเป็นหลัก ที่มีผลต่ออุตสาหกรรมกุ้งไทย ต่อมาเมื่อสถานีประมงน�้ำกร่อยของไทยสามารถ เพาะลูกกุ้งได้โดยเฉพาะกุ้งแชบ๊วยก็เริ่มปล่อยลูกกุ้ง แชบ๊วยเสริม แต่ก็ได้ผลผลิตไม่มากต่อมาก็สามารถเพาะ กุ้งกุลาด�ำได้โดยเริ่มน�ำกุ้งกุลาด�ำมาเลี้ยงก็ถือว่าประสบ ความส�ำเร็จ แม้จะมีผลผลิตเพียง 300 กิโลกรัมต่อไร่ กุ้งแชบ๊วย (Penaeus merguiensis) เป็นกุ้ง ที่กระจายตัวในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ในสมัยก่อน กรมประมงก็มีการเพาะพันธุ์ปล่อยอยู่สม�่ำเสมอโดยอาศัย แม่กุ้งไข่แก่จากการออกเรือของประมงพื้นบ้าน โดยส่วน ใหญ่เป็นเรืออวนลอยแล้วขายกุ้งมีชีวิตให้กับกรมประมง เพื่อเพาะพันธุ์โดยอาศัยเทคนิคการเพาะพันธุ์ของญี่ปุ่น
150 เป็นการเพาะแบบบ่อเพาะพันธุ์ขนาดใหญ่และการเติม อาหารแพลงก์ตอนลงในบ่อเพาะ ในระยะ Zoea เริ่มให้ แพลงก์ตอน และระยะ Mysis ให้อาร์ทีเมียจนถึงระยะ Post larva จนได้กุ้งขนาด P10 - P15 ซึ่งก็มีอัตรารอด ตายสูงอาจถึง 60% ก่อนน�ำไปปล่อย ได้มีความพยายามน�ำกุ้งแชบ๊วยไปเลี้ยงในบ่อ แบบ intensive ไม่ส�ำเร็จ ซึ่งยังไม่มีแนวทางที่จะท�ำให้ เกิดผลในเชิงพาณิชย์แต่ในธรรมชาติประมงพื้นบ้านยัง สามารถจับกุ้งแชบ๊วยได้อย่างสม�่ำเสมอ กุ้งกุลาด�ำ (Penaeus monodon) ในระยะแรก การเพาะพันธุ์ก็อาศัยแม่กุ้งกุลาด�ำจากธรรมชาติโดย เฉพาะในระยะแรกมีการจับพ่อแม่พันธุ์จากทะเลอันดามัน ซึ่งมีการเพาะพันธุ์โดยสถานีประมงตั้งแต่ปี2518 โดยมี การขนลูกกุ้งโดยเหมารถทัวร์ใส่ลูกกุ้งจากสถานีประมง ภูเก็ตมาเลี้ยงที่อ�ำเภอแหลมสิงห์จังหวัดจันทบุรีและ สามารถเลี้ยงได้โดยอาศัยขาวังกุ้งซึ่งเป็นแบบนากุ้ง ธรรมชาติไม่มีเครื่องให้อากาศ (Paddle wheel) หลัง จากนั้นจึงเกิดเทคโนโลยีการเพาะกุ้งแบบไต้หวันของภาค เอกชน เกิดโรงเพาะฟักลูกกุ้งขึ้นอย่างมากมาย ท�ำให้การ เลี้ยงกุ้งกุลาด�ำ แพร่ขยายไปอย่างกว้างขวางทั้งในฝั่งอ่าว ไทยและฝั่งทะเลอันดามัน จึงท�ำให้ประเทศไทยสามารถ ส่งออกกุ้งทะเลจากการเพาะเลี้ยงได้มากที่สุดของโลก ปี หนึ่งๆ สามารถส่งออกได้มากกว่า 400,000 – 500,000 ตัน ท�ำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ในช่วง ปี2532 - 2533 หลังจากนั้นเกิดการระบาดของโรคตัว แดงดวงขาวและโรคหัวเหลืองท�ำให้ผลผลิตกุ้งกุลาด�ำลด ลงอย่างมาก ผลผลิตมีไม่ถึง 200,000 ตัน ท�ำให้มีแนว ความคิดในการน�ำกุ้งขาว (Litopenaeus vannamei)