- 1 - | P a g e หลักพิจารณาพระสมเด็จวัดระฆัง โดยเพจห้องสมุดพระสมเด็จวัดะฆัง ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๓
- 2 - | P a g e หลักพิจารณาพระสมเด็จวัดระฆัง โดยเพจห้องสมุดพระสมเด็จวัดะฆัง ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๓ การศึกษาพระสมเด็จวัดระฆัง มีมากมาย หลายวิธี หลายตำรา หลายเซียน มีหลักพิจารณาโดย ดูพิมพ์ ดูเนื้อ ดูธรรมชาติความเก่า ซึ่งแตกต่างกันไป ตามความรู้และประสบการณ์ของแต่ละท่าน มีทั้งสอดคล้องกัน และแตกต่างกัน เช่น แม่พิมพ์มีกี่แม่พิมพ์ จำนวนการสร้างเท่าไหร่ มวลสารมีอะไรบ้าง ฯลฯ หลักการพิจารณาพระสมเด็จวัดระฆังตามบทความนี้ จะพิจาณาขั้นสูงสุด โดยอาศัย การวิเคราะห์แม่พิมพ์ กระบวนการสร้าง องค์ประกอบต่างๆ อย่างมีเหตุและผล เป็นวิทยาศาสตร์และอาศัยประวัติศาสตร์ประกอบ ๑. แม่พิมพ์พระสมเด็จ แม่พิมพ์พระสมเด็จเป็นแม่พิมพ์ตัวเมีย จำลองรูปแบบพระพุทธรูปในสมัยต่างๆ แกะจากหินที่มีความแข็งพอประมาณ (หาก แกะจากไม้ จะเห็นลายเสี้ยนไม้ในองค์พระ) แม่พิมพ์ต้องมีความแข็งแรงเพราะต้องใช้กดลงเนื้อปูนตำโบราณที่มีความเหนียว แน่น การสร้างแม่พิมพ์จะเริ่มโดยกรีดเส้นบังคับพิมพ์ก่อนเพื่อกำหนดขนาดพระ และเป็นแนวในการตัดขอบ หลังจากนั้นจึง แกะเส้นซุ้มและองค์พระ ทำให้เกิด ซุ้มทับเส้นบังคับพิมพ์ หากแกะตัวผู้มาเป็นต้นแบบ เพื่อไปทำแม่พิมพ์ ตัวต้นแบบจะไม่สามารถแกะเส้นบังคับพิมพ์ให้เป็นสันขนาดเล็กขึ้นมารอบองค์ พระได้ต้องขาดแหว่ง ล้มได้ง่าย หากนำไปถอดพิมพ์ด้วยวัสดุอื่นๆ เช่น ครั่ง จะมีรอยยุบตัว รอยย่นในองค์พระ เหมือนพระ หลวงปู่ทวด ปี ๒๔๙๗ หากเป็นดินเผา หรือ ปูนปั้น จะมีรอยหดตัว และยังง่ายต่อการชำรุด ตอนกดพิมพ์เพราะเนื้อพระเป็น ปูนตำมีความแน่นเหนียวมากกว่าแม่พิมพ์ แม่พิมพ์พระสมเด็จขอบจะตื้นมาก เปรียบเทียบกับพระหลวงพ่อปาน ซึ่งแม่พิมพ์เป็นแบบที่มีขอบบังคับพิมพ์ หรือขอบ กระบอก เมื่อกดเนื้อเข้าแม่พิมพ์ จะได้ขนาด ความหนาจะเท่ากัน ความคมชัดก็จะใกล้เคียงกันมากกว่าพระสมเด็จฯ
- 3 - | P a g e เหตุที่พระสมเด็จมีเอกลักษณ์เหมือนกัน เช่น เส้นซุ้มด้านขวาบนองค์พระจะเกือบเป็นเส้นตรง เส้นบังคับพิมพ์ด้านซ้ายองค์พระ กลืนหายบริเวณข้อศอก ซอกรักแร้ซ้ายลึกและยกสูงกว่าด้านขวา ฯลฯ เกิดจากความถนัดของช่าง เหมือนลายเซ็น ที่จะมี รูปแบบเหมือนกัน แต่ก็จะแตกต่างกันในขนาดรายละเอียด เส้นซุ้ม วงแขน พระพักตร์ เส้นแซม เป็นต้น ๒. ขั้นตอนการสร้างพระสมเด็จฯ จะนำไปสู่การหาร่องรอย ของพระแท้ได้ ๒.๑ ขั้นตอนผสมมวลสาร บด ตำ ในครกหิน นวด หมัก ตามสูตรปูนตำโบราณ ผสมด้วยน้ำพุทธมนต์ ตังอิ๊ว ให้หมาดๆ แล้ว ปั้นเนื้อพระกลมยาว กดให้แบนลง และตัดเป็นชิ้นฟัก แล้ววางเรียงบนแผ่นไม้กระดาน ๒.๒ กดแม่พิมพ์ลงหาเนื้อพระที่วางบนไม้กระดาน (เสมือนการปั๊มตรายาง) แรงกดทำให้น้ำปูนขับออกมาจากเนื้อพระ ทำให้ ด้านหน้าองค์พระมักเกิดรอยกระจายของของเหลวคล้ายรัศมีกระจายออกจากองค์พระ เกิดเป็น “ฉัพพรรณรังสี” อย่างน่า อัศจรรย์ การออกแรงกดที่ไม่เท่ากัน ส่งผลต่อความคมชัดขององค์พระ เกิดรอยขยับเขยื้อนของพิมพ์ และทำให้ความหนา ของพระไม่เท่ากันทั้งองค์ตามแรงกดแม่พิมพ์หนักเบา เอียงซ้าย ขวา ที่ไม่เท่ากัน การถอดแม่พิมพ์ออกจากเนื้อพระ โดยใช้ นิ้วกดเนื้อส่วนเกินนอกแม่พิมพ์ไว้ แล้วดึงแม่พิมพ์ขึ้น หากดึงแม่พิมพ์ขึ้นในแนวเฉียง ก็จะเกิดร่องรอย รอยครูด รอยเขยื้อน ของซุ้ม รอยขยับของฐาน พระกรดุ้ง พระเกศเอียง เกิดขึ้น รวมทั้งปรากฏรอยเนอะจากเนื้อพระดูดกับแม่พิมพ์(ตอนกด แม่พิมพ์ลงเนื้อทำให้เกิดร่องรอยตามลายไม้กระดานและเกิดรอยเนอะด้านหลังเช่นกัน) ๒.๓ เมื่อดึงแม่พิมพ์ขึ้นแล้วจากเนื้อพระซึ่งยังวางอยู่บนไม้กระดานเช่นเดิม แล้วตัดขอบข้างทั้ง 4 ด้าน ด้วยวัสดุมีคมในการ ตัดขอบ มีความแข็ง บาง และคม พอสมควร จากหน้าไปหลังตามเส้นบังคับพิมพ์ที่อยู่ในแม่พิมพ์ รอยตัดด้านข้างทั้ง 4 ด้าน ที่เรียกกันว่าเป็นรอยตอกตัดเป็นเพราะใบมีดไปครูดกับมวลสารหรือใบมีดมีเนื้อพระติดอยู่ และด้านหลังจะเกิดขอบคล้าย ขอบกระด้ง เกิดรอยปริแยกตามขอบข้างในเนื้อ ซึ่งยังไม่ปรากฏให้เห็นตอนที่พระยังเปียกอยู่ เมื่อตัดขอบเสร็จ จะดึงพระ ออกจากไม้กระดานจึงเกิดร่องรอยตามลายไม้กระดานที่รองเนื้อพระ รอยร่องไม้จะเป็นแนวชัด ไม่ทับซ้อนกัน เนื้อมีความ แน่นตึงตามแรงกดพอประมาณ และเกิดรอยเหนอะ เป็นหลังแบบสังขยาร่วมด้วย หากสร้างโดยกดเนื้อลงแม่พิมพ์ จะ ปรากฏลายนิ้วมือ หากใช้ไม้กระดานไล่กดเนื้อ ลายร่องไม้จะเกิดหลายแนว ทับซ้อนกันไปมา หรือมีรอยปาดหลังให้เห็นกัน ได้บ้าง ลองเปรียบเทียบกับพระสมเด็จรุ่น ๑๐๐ ปีจะเข้าใจมากขึ้น องค์ตัดซ้อน
- 4 - | P a g e ๒.๔ ผึ่งลมให้แห้งตามธรรมชาติ การระเหยของน้ำจึงเป็นไปอย่างช้าๆ องค์พระจึงไม่แตกร้าวหรือราน ๒.๕ พระสมเด็จวัดระฆัง จะนำไปลงรัก ชาด ปิดทอง เพิ่มเติม เพื่อรักษาเนื้อพระไม่ให้กระทบกับอากาศ รักษาความคงทน ให้สวยงามยาวนานมากขึ้น ๒.๖ น้ำปูนที่ถูกบีบเค้นออกมา ตอนกดพิมพ์ จะทำให้เกิดฝ้าปูนขาวนวล ปกคลุมองค์พระ ปรากฏทั้งด้านหน้าและด้านหลัง [ตรียัมปวาย เรียก ผิวเยื่อหอม, เซียนรุ่นเก่า เรียก คราบแป้งโรยพิมพ์] “ร่องรอยการสร้างพระ” สามารถพบได้ในองค์พระไม่มากก็น้อยทุกองค์ เสมือนเป็นลายเซ็นของผู้สร้างที่ทิ้งไว้ให้สืบหาใน องค์พระแท้เท่านั้น ๓. เอกลักษณ์แม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆัง ที่เกิดจากความถนัดเฉพาะตัวของช่างที่แกะแม่พิมพ์ จะมีมิติความตื้นลึก ไล่ระดับ ความสูงต่ำที่เหมือนๆกัน โดยต้องดูพระในสามมิติ จึงจะเข้าใจ ๓.๑ เส้นซุ้มบริเวณข้อศอกจะนูนสูงแล้วจะลาดลงไปต่ำด้านบนศรีษะ จะเป็นเช่นนี้ทุกองค์ มากน้อยต้องเป็นแบบนี้ ๓.๒ ฐานชั้นแรกจะต่ำกว่าทุกชั้น ปลายฐานด้านซ้ายองค์พระจะตื้นที่สุด และจะแป้วลีบเสมอ จะเป็นเช่นนี้ทุกองค์ มาก น้อยต้องเป็นแบบนี้
- 5 - | P a g e ๓.๓ ช่องไฟวัดจากหัวเข่าถึงเส้นซุ้มด้านล่างด้านขวาองค์พระ จะแคบกว่าด้านซ้ายองค์พระเสมอ เป็นสี่เหลี่ยมคางหมู ด้านขวาแคบ ด้านซ้ายกว้าง ต้องสังเกตุให้ดีจึงจะเห็น พระแท้จะเป็นแบบนี้ทุกองค์ ๓.๔ สามหลุมหลบภัย จากพระไม่แท้ หลุมที่ ๑ อยู่ในซอกแขนขวาข้อศอกด้านใน จะมีความลึกที่สุด ระดับจะลึกกว่าพื้น ด้านนอกแขน หลุมที่ ๒ อยู่ใต้รักแร้ซ้าย ระดับจะลึกใกล้เคียงกับพื้นด้านนอกแขน หลุมที่ ๓ อยู่ใต้แขนซ้ายระหว่างแขน ซ้ายและหน้าตัก ระดับความลึกจะตื้นกว่าพื้นด้านนอกเล็กน้อย พระแท้จะเป็นแบบนี้ ๓.๕ องค์พระและหัวเข่าด้านซ้ายองค์พระ ดูนูนสูงกว่าด้านซ้าย ขณะที่ฐานทั้งสามชั้นด้านขวาจะนูนสูงกว่าซ้าย กลับด้าน กัน เป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของพระแท้
- 6 - | P a g e ๔. ปูนตำโบราณ กับ โครงสร้างทางเคมี (ประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต้องสอดคล้องกัน) การศึกษาเนื้อพระสมเด็จฯ ก่อน อื่นมาเลือกกันก่อนว่า ปูนขาว ที่ใช้สร้างพระสมเด็จฯ มาจากเปลือกหอยหรือหินปูน ปูนขาวจากเปลือกหอยและปูนขาวจาก หินปูน มีสารประกอบทางเคมีที่ ไม่แตกต่างกัน แต่มีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกัน คือปูนขาวจากเปลือกหอย จะมีผลึก ขนาดใหญ่ ผลึกมีเหลี่ยมมน แต่ปูนขาวจากหินปูนจะมีผลึกขนาดเล็ก และผลึกมีเหลี่ยมมุม กระบวนการเผาเปลือกหอย ทิ้ง ให้เย็นแล้วตำ จะทำได้ง่ายกว่าการระเบิดหินปูน มาเผา ต้องมีกระบวนการควบคุมอุณหภูมิและเวลา แล้วนำไปบดให้ ละเอียด (กระบวนการผลิตคล้ายๆกันแต่การควบคุมต่างกัน) สำหรับแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยทุกชนิด ประกอบด้วยโครงสร้างอะราโกไนต์ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นจะเกิดการเปลี่ยนไปเป็นโครงสร้างแคลไซต์ที่อุณหภูมิ 500-700 องศาเซลเซียส และที่อุณหภูมิ 900 องศาเซลเซียส พบว่า แคลเซียมคาร์บอเนตเปลี่ยนไปเป็นแคลเซียมออกไซด์อย่าง
- 7 - | P a g e สมบูรณ์ แคลเซียมออกไซด์ที่ได้จากเปลือกหอยแครงยังมีความไวต่อความชื้น ซึ่งเปลี่ยนเป็นแคลเซียมไฮดรอกไซด์ได้ง่าย จึงสันนิษฐานว่าปูนขาว ที่ใช้สร้างพระสมเด็จฯ ทำจากเปลือกหอยเผาแล้วบด(โดยไม่ผ่านกระบวนการผสมน้ำ) จากนั้นจะ นำไปทำตามสูตรปูนตำโบราณ นวดและหมัก เพื่อให้เนื้อพระกลมกลืนกัน (มีความคงทนเป็นพันๆปี) แต่ดัดแปลงส่วนผสม ให้เหมาะสม สำหรับพิมพ์พระเครื่อง ส่วนผสมหลักของปูนตำมีอยู่ 4 อย่าง ได้แก่ ปูนขาว ทรายหรือดิน เส้นใย และกาว หรือตัวยึด ๔.๑ ปูนขาว (LIME) มีหน้าที่และประโยชน์ในฐานะเป็นวัสดุหลัก ที่จะรวมวัสดุอื่นให้เข้ามาอยู่ด้วยกัน ปูนขาวก็คือตัวแคล เซี่ยม ซึ่งสามารถจะเป็นตัวยึดให้แข็งเป็นก้อนใหญ่ หรือสามารถยึดโยงโครงสร้างและห่อหุ้มพวกทรายไฟเบอร์ไว้ได้ และจะ
- 8 - | P a g e ทำให้โครงสร้างแข็งตัวมากยิ่งขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปนานเพราะอณูของแคลเซี่ยมในตัวปูนขาวจะจับยึดกันเองอย่างทั่วถึงทำให้ แข็งมาก ดังนั้น จึงต้งมีปูนขาวเป็นหลักในการทำปูนตำจะขาดเสียมิได้ ๔.๒ ทราย หรือดิน หรือ ขี้เถ้าธูป (Aggregate) ทรายหรือดิน เป็นวัสดุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง มีหน้าที่และประโยชน์ คือ ทำ ให้ได้เนื้อปูนตำ (ปริมาตร) ในมวลรวม ซึ่งเม็ดทรายที่แทรกอยู่ในปูนตำนั้นจะทำให้เกิดความแข็งแรงแน่นตัว อีกทั้งทำให้เกิด การทรงตัวได้ดี ๔.๓ เส้นใย (FIBER) เช่น กระดาษสา เปลือกกล้วย ใยจากพืช เส้นใยก็เป็นวัสดุสำคัญที่ใช้ผสมปูนตำด้วยอย่างหนึ่ง หน้าที่ และประโยชน์ของเส้นใย คือ ความเป็นเสี้ยน มีเส้นใยเป็นเส้นยาว จะทำหน้าที่เหนี่ยวรั้งกลุ่มอณูที่อยู่ภายในของก้อนปูนนั้น ให้ติดกัน และเป็นตัวประสานมิให้เกิดการแตกร้าวร่วงได้ เส้นใยจึงมีบทบาทสำคัญตั้งแต่ปูนยังเปียก ธรรมชาติของเส้นใย ส่วนใหญ่จะมีอายุสั้น สลายตัวได้ง่าย แต่ก็มีสิ่งทดแทน คือ เวลาผ่านพ้นไปนานๆ พวกแคลเซี่ยมในปูนจะจับตัวเป็นก้อน เดียวกันต่อไป แม้เส้นใยจะสลายตัวไปก็ยังมีความแข็งแรงคงรูปลักษณะไปได้อีกนานมาก ดังนั้น ในการทำปูนตำจึงต้องผสม เส้นใยลงไปด้วยจะขาดเสียมิได้ ๔.๔ กาว (GUM) กาวหรือตัวยึด เป็นวัสดุสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ช่างผสมใส่ในปูนตำด้วย หน้าที่และประโยชน์ของกาวหรือตัว ยึดนั้น คือ ความเหนียวของกาวหรือตัวยึด เมื่อนำมาผสมกับปูน ทราย และเส้นใย แล้วจะเกิดการรัดตัวยึดเหนี่ยวแทรก ระหว่างอณูของวัสดุ เชื่อมต่อเม็ดปูน เม็ดทราย และเส้นใยให้เข้ากัน และมีแรงดึงดูดกันโดยน้ำกาวหรือตัวยึดนี้ตั้งแต่ยัง หมาดๆ แต่กาวก็เป็นวัสดุที่ไม่อาจคงสภาพได้นาน เพราะส่วนใหญ่แล้วมักเป็นพวกโปรตีน (หนังสัตว์) เป็นแป้ง (ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า) และเป็นพวกน้ำมัน (ทั่งอิ้ว, น้ำมันยาง) พวกน้ำตาล น้ำอ้อย น้ำว่านเป็นต้น ครั้นเมื่อได้รับตัวทำลาย เช่น แดด ฝน กาลเวลา ก็จะสลายไปในไม่ช้า จึงมีอายุน้อย หาพบยากในปูนตำที่มีอายุนานปี แต่เมื่อกาวสลายตัวแล้วแคลเซี่ยมในปูนก็จะ จับยึดกันองจนแข็งจัดต่อไป อย่างไรก็ตาม กาวหรือตัวยึดก็เป็นส่วนผสมที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งที่ต้องใช้ในปูนตำชนิดที่ขาด เสียมิได้เช่นกัน ส่วนผงพุทธคุณ มวสสารศักดิสิทธ์อื่นๆ จะทำการเติม คลุกเคล้าในขั้นตอนสุดท้าย แล้วนำไปพิมพ์พระ สิ่งที่เราพบเห็นในเนื้อพระสมเด็จ และให้คำตอบในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ ก.เนื้อปูน เมื่อแห้งดีแล้ว เนื้อปูนส่วนใหญ่จะแข็ง และเปลี่ยนโครงสร้างกลับไปเป็นของแข็ง CaO (คล้ายน้ำออก) จะมีสีขาว มีความสว่างสูง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส และคงสภาพได้ดี ไม่ละลายน้ำ และแอลกอฮอล์(พระสมเด็จฯแช่น้ำเป็นปี ก็ไม่ละลาย) ข.คราบน้ำปูน คือ คราบน้ำปูนใส (Ca(OH)2) ที่เกิดจากการผสมปูนสุกกับน้ำ น้ำปูนใสที่ถูกขับออกมาตอนกดเนื้อพระ เมื่อ ผ่านไปหลายปีจะแห้งสนิทไม่ละลายน้ำ แต่หากถูกเหงื่อที่มีความเค็มและความชื้นนานๆจะสลายตัว หลุด กร่อน ออกไป และจะไม่สามารถกลับมาได้อีก ค.ก้อนสีเทาเข้มคล้ายหิน คือ เนื้อปูนดิบ ที่ถูกเผาความร้อนไม่ถึง 900 องศา ตามตารางที่ 1. ง.ผงพุทธคุณ จะเป็นเม็ดขาวเล็กๆ กลืนกับเนื้อพระไม่แยกตัวออกมา คาดว่าทำจากดินสอพลอง เพราะเนื้อชอล์คจะละเอียด ไม่ขูดกระดานเป็นรอย จ.ก้อนขาวขุ่นที่เรียกกันว่าเม็ดพระธาตุ จะเป็นเนื้อพระที่เหลือจากการตัดขอบและเศษที่ติดตามครก ภาชนะต่างๆ จับตัว แข็งเป็นก้อนๆแล้ว นำมาตำแล้วผสมกับเนื้อใหม่ จะมีขนาดใหญ่กว่าผงพุทธคุณ มีรอยปริแยกรอบๆ
- 9 - | P a g e ประวัติการสร้างพระสมเด็จวัดระฆัง ปรับปรุงโดย เพจห้องสมุดพระสมเด็จฯ เมื่อ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๓ พระสมเด็จวัดระฆัง คือหนึ่งในมงคลวัตถุที่ทรงพุทธคุณ และอิทธิคุณ เป็นวัตถุโบราณที่ทรงคุณค่าอย่างอเนกอนันต์ ความเป็นมา ของชีวประวัติ การสร้างพระสมเด็จของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ยังเป็นสิ่งที่เราท่านจะต้องสืบต่อและค้นหาต่อไป แต่น่าเสียดายที่ความรู้ทางด้านนี้นับวันจะสืบค้นได้ยากขึ้นคงเป็นเพราะด้วยเวลาที่ผ่านมานาน และขาดการจดบันทึกไว้เป็น หลักฐาน ผมเองพยายามสืบค้นจากหนังสือต่างๆ หลายสิบเล่มแต่ถ้าจะนับจริง ๆ แล้วเกือบ ๆ ร้อยเล่มเห็นจะได้ ก็ถือเป็นความ พยายามของมนุษย์ผู้หนึ่งเท่านั้นที่มีจิตอันมั่นคงเคารพกราบไหว้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี อยู่เป็นนิจหวังว่าท่านผู้อ่าน คงจะได้พยายามสืบค้นกันต่อไปด้วยจิตใจอันมุ่งมั่น และเปี่ยมด้วยความเคารพบูชา และพิจารณาด้วยสติปัญญายึดมงคล ๓๘ ประการ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสำคัญ จากการสืบค้นจากข้อเขียน และเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงของอาจารย์ และผู้รู้หลายท่านยืนยันตรงกันว่าสมเด็จพระพุฒา จารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านได้เริ่มสร้างพระตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๔๘ อันเป็นช่วงเวลาที่ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรในพรรษาที่ ๕ ใน เรื่องการสร้างเป็นพระสมเด็จควรเริ่มจากปีที่ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว คือ ปี พ.ศ. ๒๓๕๐ (ส่วนการสร้างพระเมื่อครั้งยัง เป็นสามเณรนั้นคงยังนับไม่ได้ถือว่าท่านได้สร้างให้กับพระอาจารย์ และผู้มีพระคุณของท่าน) การสร้างพระของท่านมิได้ยึดถือ กำหนดว่ากดพิมพ์เป็นองค์พระแต่เมื่อใดแต่ท่านยึดถือว่าพระเครื่องรุ่นนั้นๆ สำเร็จตั้งแต่เป็นผงวิเศษแล้ว ในเรื่องผงวิเศษของท่าน นั้นจะทำอยู่ตลอดที่ท่านมีเวลาหรืออาจ กล่าวได้ว่าตามอัธยาศัย การทำผงวิเศษแต่ละครั้งสามารถสร้างพระได้หลายพรรษา และพรรษาที่ท่านได้ทำผงวิเศษมากที่สุด (นับ จากปีที่ท่านอุปสมบท) ได้แก่ สาม ห้า เจ็ด เก้า สิบเอ็ด สิบหก ยี่สิบ ยี่สิบแปด และสามสิบสาม กล่าวกันว่าการสร้างพระสมเด็จ ของท่านนั้นกระทำทุกพรรษา มากบ้างน้อยบ้างตามแต่เวลาที่ท่านพึงมี ผงวิเศษของท่านก็ยังมอบให้แก่วัดต่างๆ ที่มาขอเพื่อเป็น ส่วนผสมในการสร้างพระก็มาก หลังจากที่ท่านสิ้นชีพิตักษัยแล้ว (ปีที่ท่านสิ้น พ.ศ. ๒๔๑๕) ผงวิเศษก็ยังเหลืออยู่จำนวน หนึ่ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) มรณภาพบนศาลาเก่าวัดบางขุนพรหมใน ณ วันเสาร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก ตรงกับวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สิริรวมอายุได้ 84 ปี อยู่ในสมณเพศ 64 พรรษา เป็น เจ้าอาวาสครองวัดระฆังโฆสิตารามได้ 20 ปี
- 10 - | P a g e จากการบันทึกของจดหมายเหตุว่าในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้มีพระราชประสงค์แต่งตั้งให้ท่านมี ฐานานุกรมศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ด้วยเห็นว่าท่านมีความรู้ทางด้านอักษรศาสตร์ และทางวิปัสสนาธุระเป็นอย่างยิ่งแต่ท่านได้ทูล ขอตัวไม่รับสมณศักดิ์นั้น โดยได้ออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ และเมื่อไปพำนักยังท้องถิ่นที่จังหวัดใด ในแถบนั้นมีพระชนิดใดที่ ผู้คนกราบไหว้ท่านก็จะสร้างล้อแบบพิมพ์ชนิดนั้นตามแบบของท่าน เช่น เนื้อกระเบื้อง นื้อดินเผา เนื้อผง เนื้อตะกั่วห่อชา เป็นต้น แล้วแจกจ่ายให้กับผู้คนในถิ่นนั้นๆ ที่เหลือบรรจุกรุไว้เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ด้วยประการนี้เราจึงพบว่าในหลายจังหวัดมีพระ สมเด็จในพิมพ์ แบบและเนื้อต่างๆ บรรจุกรุไว้มากมาย เช่น ราชบุรี อยุธยา อ่างทอง สระบุรี ชัยนาท นครสวรรค์ กำแพงเพชร เชียงราย เป็นต้น ท่านเจ้าคุณพระราชธรรมภาณีแห่งวัดระฆังได้เล่าให้ฟังว่า พระสมเด็จองค์แรกที่สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ได้สร้างคือ “พระสมเด็จหลังเบี้ย” หรือ “พระสมเด็จดินสอเหลือง” ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือของคนโบราณ ด้านหน้า เป็นรูปพระสมเด็จทรงพิมพ์ใหญ่ ด้านหลังแต่งให้นูนเหมือนหลังเบี้ย จั่น สร้างด้วยดินสอเหลือง ผสม กล้วยน้ำไทย น้ำอ้อย น้ำตาลเคี่ยว น้ำมันทัง และมวลสาร ท่านชุบ วิ นทวามร อดีตผู้พิพากษา ซึ่งเป็นพี ชาย (ลูกพี่ลูกน้อง) ของพระภิกษุ วงศ์ สุธรรมโม (พระอาจารย์จิ้ม กันภัย) นักนิยมพระสมเด็จในสมัย โบราณ ท่านได้ศึกษาและรับฟัง จากผู้ใหญ่หลายๆ ท่านบอกต่อกัน มาว่า ปีที่สร้างน่าจะอยู่ราวๆ พ.ศ. ๒๓๕๑ และเชื่อว่าสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี แกะพิมพ์นี้เองเป็นพิมพ์แรก ในปัจจุบัน สมเด็จหลังเบี้ยหาดูไม่ได้แล้ว ได้ทราบว่า นายเปลื้อง แจ่มใส ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานหล่อพระที่บ้านช่างหล่อ อำเภอบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี เป็นผู้หนึ่งที่ครอบครอง ต่อมาได้มอบพระสมเด็จหลังเบี้ยนี้ให้แก่ นายวิจิตร แจ่มใส ซึ่งต่อมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดนครสวรรค์หลายสมัย ปัจจุบันท่านเสียชีวิตแล้ว และไม่ทราบว่าพระสมเด็จหลังเบี้ยตกไปอยู่กับท่านผู้ใด พระสมเด็จหลังเบี้ยนั้น พระภิกษุวงศ์ สุธรรมโม (พระอาจารย์จิ้ม กันภัย) ได้ครอบครองไว้หนึ่งองค์ทราบว่าก่อนจะมรณภาพได้ มอบให้แก่นายแพทย์สำเริง รัตนรพี อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพยาธิวิทยาของโรงพยาบาลศิริราช พระสมเด็จที่ท่านสร้างส่วนใหญ่สร้างที่วัดระฆัง แต่ยังมีข้อถกเถียงกันไม่รู้จบว่าพระสมเด็จวัดระฆังไม่บรรจุกรุและมีพิมพ์ที่สร้างที่ วัดระฆังเพียง ๕ พิมพ์ เท่านั้น ซึ่งวงการพระสมเด็จที่บูชาพระตามกระแสของสังคมเชื่อเช่นนั้น ส่วนกลุ่มที่บูชาพระสมเด็จจาก การศึกษาค้นคว้าหาความจริงจากประวัติศาสตร์เชื่อว่าพระสมเด็จมีมากมายหลายร้อยพิมพ์มีทั้งบรรจุกรุและไม่บรรจุกรุ และ อาจจะมีนักเล่นพระบางกลุ่มที่มิอาจหลีกเลี่ยงหลักแห่งความเป็นจริงไปได้ ยอมรับว่ามีพระสมเด็จวัดระฆังมีสภาพเหมือนพระใน
- 11 - | P a g e กรุจริง เป็นพระฝากกรุเรียกกัน ว่า “พระสองคลอง” แต่ในหลัก แห่งความเป็นจริงแห่งการ สืบค้น และข้อสันนิษฐาน เชื่อ ได้ว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี สร้างถาวรวัตถุอัน เป็นมงคลวัตถุ หรือจะเรียกว่าปู ชนียสถานในทางพุทธศาสนาที่ ใด ท่านจะนำพระพิมพ์ที่สร้างที่ วัดระฆังบรรจุกรุ ณ ที่นั้น และ ในหลายๆที่จะพบพระสมเด็จที่บรรจุในกรุมากมาย เช่น พระสมเด็จวัดอินทรวิหาร พระสมเด็จวัดไชโยวรวิหาร พระสมเด็จตะกั่ว ห่อชาวัดละครทำ พระสมเด็จวัดกลางคลองข่อย พระสมเด็จวัดกุฎีทอง พระสมเด็จวัดสะตือ พระสมเด็จบางขุนพรหม (วัดใหม่ อมตรส) และอีกหลายวัดที่ได้ขอผงวิเศษของท่านไปสร้างพระเองก็มาก เช่น พระสมเด็จวัดพระแก้ว พระสมเด็จวัดพลับ พระ สมเด็จปิลันท์ เป็นต้น ส่วนพิมพ์พระสมเด็จที่พบนั้นก็มีมากมายหลายร้อยพิมพ์ ที่นำมากล่าวอ้างถึงผมเองอยากจะให้ท่านที่เคารพ กราบไหว้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี และต้องการมีพระสมเด็จไว้บูชาจะได้ไม่เสียโอกาส และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก อีกทั้งเป็นการสืบทอดทางพระพุทธศาสนาตามเจตนารมณ์อันบริสุทธิของท่านต่อไป พระสมเด็จไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ใดสร้างเมื่อใด อยู่ที่ไหน ล้วนแล้วแต่ทรงพุทธคุณ และอิทธิคุณเป็นอเนกอนันต์ และที่สำคัญก็คือความยึดมั่นในคุณอันประเสริฐแห่งสมเด็จพระ พุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ขอให้ท่านประพฤติดีมีศีลธรรม พุทธคุณ และอิทธิคุณแห่งพระสมเด็จจะอยู่ที่ใจท่านและคุ้มครอง ป้องกันภัย ให้ท่านมีความสุขทั้งกายและใจตลอดไป ขอให้ท่านผู้เลื่อมใสศรัทธาได้พิจารณาด้วยสติให้ถ่องแท้ ปูชนียสถานในทางพุทธศาสนา ที่ท่านได้สร้างไว้ ดังนี้ ๑. พระพุทธรูปที่วัดกลาง ต. คลองข่อย อ.โพ ธาราม จ.ราชบุรี เป็นพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตร ทำด้วยอิฐถือปูน สูง ๖ วาเศษ ต่อมาได้กลายเป็น สำนักสงฆ์ และเป็นวัดในที่สุด (สร้าง ปี พ.ศ. ๒๓๗๕)
- 12 - | P a g e ๒. พระพุทธรูปนั่งที่วัดพิตเพียน (วัดกุฎีทอง) จังหวัดพระนคร เป็นพระก่ออิฐถือปูน ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๔ วา ๓ ศอก (สร้างประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๙๓) ๓. สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่หน้าตักกว้าง ๘ ว่า ๗ นิ้ว สูง ๑๑ วา ๑ ศอก ๗ นิ้ว ก่ออิฐถือปูนประทับนั่ง พระมหาพุทธพิมพ์ ปางสมาธิ วัดไชโยวรวิหาร ตำบลไชโย อำเภอไชโย จังหวัด อ่างทอง (สร้างประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๐๐)
- 13 - | P a g e ๔. รูปปั้นแทนโยมตาและโยมแม่ สร้างกุฏิ ๒ หลัง อยู่ด้าน ทิศใต้ของวัดอินทรวิหาร ก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้อง ขนาดเท่ากัน กว้าง ๑ วา ยาววาครึ่ง ปั้นรูปแทนโยมตาเป็น รูปพระสงฆ์นั่งขัดสมาธิ หน้าตักกว้าง ๒๔ นิ้ว อยู่กุฏิหลัง ซ้าย ส่วนแทนโยมมารดาปั้นเป็นรูปภิกษุนั่งขัดสมาธิ หน้า ตักกว้าง ๒๓ นิ้ว ประดิษฐานอยู่กุฏิหลังขวา (สร้าง ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๐๙) ๕. พระศรีอริยเมตไตรย์ (หลวงพ่อโต) วัดอินทรวิหาร ที่ ตำบลบางขุนพรหม กรุงเทพมหานคร เป็นพระพุทธรูปยืน อุ้มบาตร สูง ๑๖ วาเศษ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จสร้างได้ ประมาณ ๙ วาเศษ ท่านก็ถึงแก่มรณภาพเสียก่อน ต่อมา หลวงปู่แดงได้ก่อสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จสมบูรณ์ (สร้าง ปี พ.ศ. ๒๔๑๐)
- 14 - | P a g e ๖.พระพุทธรูปนอนใหญ่ที่วัด สะตือ ต. ท่าหลวง อ. ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระ พุทธไสยาสน์ก่ออิฐถือปูน องค์ พระยาว ๑ เส้น ๖ วา สูง ๘ วา ฐานยาว ๑ เส้น ๑๐ วา กว้าง ๔ วา ๒ ศอก (สร้าง ปี พ.ศ. ๒๔๑๓) ๗. พระเจดีย์นอน วัดละครทำ ที่ แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอก น้อย ฝั่งธนบุรี เป็นพระเจดีย์นอน ๒ องค์ หันฐานเข้าหากัน ห่างกัน ประมาณ ๒ ศอก ปัจจุบันชำรุด ทรุดโทรมมาก องค์ด้านใต้ถูกรื้อ ทำลายไปนานแล้ว องค์ด้านเหนือ ก็แทบจะไม่เป็นรูปร่างเสียแล้ว เนื่องจากถูกคนขุดค้นหากรุพระ สมเด็จ (สร้าง ปี พ.ศ. ๒๔๑๔)
- 15 - | P a g e พุทธศิลป์ของพระสมเด็จวัดระฆัง ศิลปะโบราณในแต่ละยุคที่ช่างสิบหมู่ (ช่างแกะพิมพ์) นำมาเป็นต้นแบบในการแกะพิมพ์ ๑. สมัยเชียงแสน
- 16 - | P a g e ๒ สมัยสุโขทัย
- 17 - | P a g e ๓. สมัยอู่ทอง
- 18 - | P a g e ๔. อยุธยา
- 19 - | P a g e ๕. รัตนโกสินทร์ตอนต้น
- 20 - | P a g e พุทธศิลป์ที่เป็นความหมายในองค์พระสมเด็จวัดระฆัง ๑. รูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า หมายถึงแผ่นดินที่ทรงพระอริยสัจจ์ ๒. วงโค้งในรูปสี่เหลี่ยม หมายถึงอวิชาที่คลุมพิภพ ๓. รูปสามเหลี่ยมในวงโค้ง หมายถึงพระรัตนตรัย ๔. รูปพระนั่งขัดสมาธิบนบัลลังก์ หมายถึงพระพุทธเจ้าปางตรัสรู้ พระอนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณ ณ โพธิบัลลังก์ ๕. ฐานสามชั้น หมายถึงพระไตรปิฎก ๖. ฐานเจ็ดชั้น หมายถึงอปนิหานิยมธรรม ๗. ฐานเก้าชั้น หมายถึงมรรคแปด นิพพานหนึ่ง จำนวนการสร้าง ส่วนในเรื่องของจำนวนการสร้าง ๘๔,๐๐๐ องค์ ตามจำนวนพระธรรมขันธ์เป็นปฐม ต่อจากนั้นจะสร้างเพิ่มอีกเท่าใดไม่มีหลักฐาน ปรากฏแน่ชัด แม้ลูกศิษย์ใกล้ชิดที่มาช่วยท่านสร้างพระก็ยังไม่สามารถบอกได้ถึงจำนวนที่แน่นอน อาทิเช่น พระภิกษุภู คือหลวงปู่ ภูพระเกจิอาจารย์ชั้นยอดของเมืองไทยแห่งวัดอินทรวิหาร หลวงปู่คำ พระปลัดโฮ้ พระปลัดมินศร์ พระครูพิพัฒน์ พระใบฎีกา พระภิกษุพ่วง พระภิกษุแดง พระภิกษุโพ สามเณรเล็ก ทุกรูปขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่วัดระฆังโฆสิตารามและวัดอัมรินทราราม ขรัว ตาพลอย และท่านสุดท้ายที่กล่าวอ้างถึงคือ หลวงบริรักษ์โรคาพาธ (ฉุย) มีอายุใกล้เคียงกับท่าน มีบ้านอยู่วังหลังใกล้กับวัดระฆัง และมีตำแหน่งเป็นแพทย์หลวงในรัชกาลที่ ๔ ถึงแก่มรณกรรมเมื่อต้นรัชกาลที่ ๕ และเชื่อได้ว่าคงไม่เฉพาะท่านที่เอ่ยนามมา เท่านั้นอาจจะมีอีกหลายสิบหรือหลายร้อยท่านที่เป็นสานุศิษย์ของท่าน ได้ช่วยกันสร้างพระสมเด็จก็เป็นไปได้ แบบพิมพ์ แบ่งเป็น ๔ ประเภท ดังนี้ ๑. พิมพ์ที่จัดทำเป็นแม่แบบโดยช่างหลวง (ช่างสิบหมู่) จากการแกะแม่แบบโดยเจ้าฟ้าอิสราพงศ์หลวงวิจิตรนฤมล (พึ่ง จิตร ปฏิมากร เป็นต้นสกุลจิตรปฏิมากร) หลวงวิจารเจียรนัย และช่างหลวงจากสกุลช่างสิบหมู่ จัดเป็นพุทธศิลป์ที่มีความวิจิตรงดงาม และได้รับการยอมรับเป็นพิมพ์นิยม ๕ พิมพ์ ในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าพิมพ์เหล่านี้แกะถวายเมื่อท่านได้เป็นเจ้าอาวาสแล้ว ๒. พิมพ์ที่จัดทำเป็นแม่แบบตามความต้องการของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ส่วนใหญ่เป็นฝีมือของ นายเทศ ซึ่งเป็น หลานของท่าน เป็นช่างแกะพิมพ์พระ นายทอง ช่างติดกระจกหน้าบันพระอุโบสถที่อ่างทอง รวมทั้งสานุศิษย์และผู้ใกล้ชิด ๒.๑ แบบพิมพ์ที่มีความหมายในทางพุทธศาสนา เรื่องราวพุทธประวัติ และ เหตุการณ์ต่างๆ เช่น พิมพ์สมเด็จเกศไชโย ๓, ๖ ชั้น และ ๗ ชั้น พิมพ์ทรงฉัตร พิมพ์ทรงครุฑ พิมพ์ระฆังครอบ พิมพ์ทรงเจดีย์นอน พิมพ์แจวเรือจ้าง พิมพ์รูปเหมือน เป็นต้น ๒.๒ แบบพิมพ์ที่ล้อจากพิมพ์พระที่กำลังมีความนิยมในยุคนั้นๆ และจัดสร้างตามแบบของท่าน เช่น พิมพ์นางพญา พิมพ์ผง สุพรรณ พิมพ์ซุ้มกอ พิมพ์พระรอด พิมพ์ทุ่งเศรษฐี พิมพ์ขุนแผน พิมพ์ขอบกระด้ง พิมพ์กลีบบัว พิมพ์สามเหลี่ยม พิมพ์เล็บมือ เป็น ต้น
- 21 - | P a g e ๓.พิมพ์ที่จัดทำเป็นแม่แบบโดยช่างในสกุลช่างสิบหมู่แห่งตำบลบ้านช่างหล่อ อำเภอบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี ได้แก่ นายเจิม วงศ์ช่างหล่อ แกะพิมพ์แม่แบบทำด้วยโลหะลักษณะกดปั๊มแล้วตัดขอบเป็นพิมพ์นิยมหลังแบบสร้างพระสมเด็จตะกั่วห่อชาวัดละคร ทำ บรรจุกรุเพดานพระอุโบสถ และพระวิหารวัดละครทำ เป็นต้น ๔.พิมพ์ที่จัดทำเป็นแม่แบบโดยฝีมือช่างชาวบ้านมีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีน เป็นต้น ส่วนใหญ่จะแกะตาม จินตนาการ และฝีมือของแต่ละคน จึงเป็นพิมพ์มีความแตกต่าง ไม่ค่อยสวยงามนักมีลักษณะผิดไปจากพิมพ์นิยมมาก พิมพ์เหล่านี้ มีมากมายสันนิษฐานว่ามีชาวบ้านแกะมาถวายว่าตั้งแต่ท่านเริ่มสร้างพระจนกระทั่งท่านถึงแก่ชีพิตักษัย การสืบค้นในตำรา และข้อเขียนของผู้รู้หลายท่านได้กล่าวไว้ว่า คุณหลวงวิจารณ์เจียรนัย เป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการให้ ความเห็นถึงกรรมวิธีในการสร้างพระสมเด็จให้มีความคงทน สวยงาม ด้วยการเพิ่มมวลสารที่ยึดเกาะ และเป็นผู้หนึ่งที่ได้แกะพิมพ์ พระสมเด็จถวายซึ่งกล่าวกันว่ามีความสวยงามไม่น้อยเช่นกัน วัสดุที่ใช้ในการสร้างพิมพ์ ดินเผา ไม้จันทน์ หินอ่อน หินลับมีดโกน ปูนขาว โลหะ ฯลฯ ในปัจจุบันพิมพ์แม่แบบเหล่านี้หาดูไม่ได้แล้วทราบแต่คำบอกเล่าของ พระภิกษุวงศ์ สุธรรมโม (พระอาจารย์จิ้ม กันภัย) ว่า “เมื่อท่านสิ้นพิมพ์พระสมเด็จส่วนหนึ่งจะอยู่ที่วัดระฆัง อีกส่วนก็กระจัด กระจายไปอยู่กับลูกศิษย์บ้าง ชาวบ้านในละแวกนั้นบ้าง ไม่ได้เก็บรักษาไว้ตามที่ควร ในตอนหลังทราบว่าวัดได้ทำลายพิมพ์ เหล่านั้นจนสิ้นด้วยเหตุแห่งมีการปลอมแปลงกันมาก” หลักฐานพิมพ์ของพระสมเด็จวัดระฆัง อีกหลักฐานหนึ่งที่สำคัญได้มีการจดบันทึกไว้เป็นประวัติพิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังแต่ละพิมพ์ โดยหลวงปู่คำ (วัดอัมรินทร์) ซึ่งมีขุน พิทักษ์ราช นายเพชร นายเจิม นายพรเป็นผู้จดบันทึก ซึ่งก็เป็นในช่วงเวลาสุดท้ายของการ สร้างพระสมเด็จ ของสมเด็จพระพุฒา จารย์ (โต) พรหมรังสี ที่ได้ถูกคัดลอกไว้ ซึ่งระบุเฉพาะแม่พิมพ์ที่ไม่ชำรุดแตกหัก อยู่ในสภาพดีในเวลานั้นเท่านั้น ซึ่งบันทึกไว้ว่า จำนวนแม่พิมพ์ที่มีเหลืออยู่ในสภาพดี ดังนี้ ๑. พิมพ์ประธาน ๕๑ ๒.พิมพ์ใหญ่(พิมพ์ชายจีวร บาง หนา เส้นลวด) ๑๕๒ ๓. พิมพ์อกร่อง หูยาน ฐานแซม ๓๑ ๔. พิมพ์เกศบัวตูม ๔๑ ๕. พิมพ์ปรก ๕๑ ๖. พิมพ์ฐานคู่ ๓๑ ๗. พิมพ์เส้นด้าย ๑๕๒ ๘. พิมพ์สังฆาฏิ ๗๑ ๙. พิมพ์หน้าโหนกอกครุฑ ๑๖๑
- 22 - | P a g e ๑๐.พิมพ์ทรงเจดีย์ ๒๑ นอกจากพิมพ์นิยมข้างบนนี้ ยังรวมพิมพ์คะเเนน และมีพิมพ์อื่น ๆ อีก ๘๓ พิมพ์ *** ที่สำคัญพบว่ายังมีอีกหลายร้อยพิมพ์ที่มิได้มีการจดบันทึกไว้เป็นรายลักษณ์อักษร พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังที่เป็นพิมพ์นิยม ๑. พิมพ์ใหญ่ ๒. พิมพ์ทรงเจดีย์ ๓. พิมพ์เกศบัวตูม ๔. พิมพ์ปรกโพธิ์ ๕. พิมพ์ฐานแซม ประเภทของเนื้อพระสมเด็จวัดระฆัง ๑. เนื้อผง ๑.๑ เนื้อน้ำมัน ๑.๒ เนื้อปูน - เนื้อปูนเพชร - เนื้อปูนขาวลงรักปิดทองล่องชาด ๑.๓ เนื้อสังคโลก ๑.๔ เนื้อหินลับมีดโกน ๑.๕ เนื้อชานหมาก ๑.๖ เนื้อมวลสาร (ข้าวสุก ก้านธูป เศษจีวร ทองคำเปลว) ๑.๗ เนื้อเกสรดอกไม้ ๑.๘ เนื้อดินสอเหลือง ๑.๙ เนื้อผงใบลานเผา ๑.๑๐ เนื้อแป้งข้าวเหนียว ๒. เนื้อกระเบื้อง ๓. เนื้อดินเผา ๔. เนื้อโลหะ ๔.๑ เนื้อเงิน ๔.๒ เนื้อตะกั่วห่อใบชา
- 23 - | P a g e อานุภาพแห่งอภิญญา ๖ แห่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ๑. อิทธิวิธี วิชาที่สามารถแสดงฤทธิ์ได้ ๒. ทิพโสต วิชาหูทิพย์ ๓. เจโตปริยญาณ วิชารู้จิตใจผู้อื่น ๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ วิชาระลึกชาติได้ ๕. ทิพจักษุ วิชาตาทิพย์ ๖. อาสวักขยญาณ วิชาการทำอาสวะให้สิ้น พระสูตรคาถาที่ลงในดินสอมหาชัยสร้างเป็นผงวิเศษของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี ๑. มูลกัจจายน์ พระสูตรคาถาใหญ่ก่อนที่จะเจริญพระสูตรคาถาอื่นๆ ๒. มหาราช ผงมหาราชมีอานุภาพทางเมตตามหานิยม ๓. ตรีนิสิงเห ผงตรีนิสิงเห เชื่อว่ามีอานุภาพทั้งทางอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม ตลอดจนถอนคุณไสยสิ่งอวมงคลทั้งมวล ๔. อิทธะเจ ผงอิทธะเจมีอานุภาพทางเมตตามหานิยมโดยเฉพาะแก่สตรีเพศ ๕. ปถมัง ผงปถมัง เชื่อว่ามีอานุภาพทางด้านอยู่ยงคงกระพันโดยมากมักนำมาผสมทำเป็นเครื่องราง ผู้ที่สำเร็จคัมภีร์ปถมังจะอยู่ยง คงกระพันรวมทั้งล่องหนหายตัวได้ ๖. ผงพุทธคุณเป็นพระคาถาย่อยในพระคาถาปถมัง ผงพุทธคุณ ป้องกันได้สารพัดทั่วทุกทิศ คุ้มกันได้สิ้น ศึกสงครามก็จะได้ชัยชนะ ค้าขายดีมีกำไร มีความเจริญรุ่งเรืองบังเกิดลาภผลพูนทวี จะลงเป็นผ้าประเจียดป้องกันศาสตราอาวุธก็ได้ ทั้งเป็นเสน่ห์แก่บุคคล โดยทั่วไป การสร้างดินสอมหาชัย (ดินสอเหลือง) ดินสอมหาชัยหรือดินสอเหลือง คือวัตถุมงคลที่นำมาเขียนอักขละเลขยันต์ในขณะเจริญพระสูตรคาถา ลบและได้ผงวิเศษนำมาเป็น ส่วนผสมที่สำคัญยิ่งในการสร้างพระสมเด็จ มีส่วนผสมที่สำคัญ และการสร้างดังนี้ ใช้ดินสอพองบดละเอียด หรือนำดินสอพองแช่น้ำพอละลายผสมเข้ากับน้ำข้าวและน้ำอ้อยเพื่อให้เกิดการจับตัวสามารถปั้นเป็นแท่ง ขึ้นรูปได้ จากนั้นตากให้แห้ง และย้อมด้วยน้ำเถาตำลึงคั้นอย่างเข้มข้นเพื่อป้องกันดินสอและผงติดมือขณะเขียน นำมาเขียนลบ ขณะเจริญพระสูตรคาถา เมื่อเขียนลบจนได้ผงวิเศษแล้วจึงนำมาผสมกับมวลสารมงคลต่าง ๆ แล้วจัดสร้างเป็นพระสมเด็จต่อไป มวลสารต่างๆที่เป็นส่วนผสมที่สำคัญของพระสมเด็จวัดระฆัง ๑. ปูนเพชร ปูนที่ใช้ทำเครื่องถ้วยชามกังไสของจีน หรือถ้วยชาม เบญจรงค์ของไทย ๒. ปูนขาว ๓. หินอ่อน หรือ ศิลาธิคุณ
- 24 - | P a g e ๔. ดินหลักเมือง ๗ หลัก ๕. ดินสอพอง ๖. ดินโปร่งเหลือง ๗. ข้าวสุก และอาหารสำรวม ๘. แป้งข้าวเหนียว ๙. กล้วยน้ำไทย ๑๐. ยางมะตูม ๑๑. น้ำผึ้ง หรือ น้ำตาลอ้อยเคี่ยว ๑๒. น้ำมันทัง ๑๓. ขี้เถ้าไส้เทียนบูชาพระประธาน ๑๔. ผงใบลานเผา ๑๕. ดอกบัวสัตตบุษย์ ๑๖. ดอกมะลิ ๑๗. ดอกกาหลง ๑๘. ยอดสวาท ๑๙. ยอดรักซ้อน ๒๐. ราชพฤกษ์ ๒๑. พลูร่วมใจ ๒๒. พลูสองหาง ๒๓. กระแจะหอม ๒๔. ว่านและเกสรดอกไม้ ๑๐๘ ชนิด พุทธคุณ และอิทธิคุณ “อิทธิคุณ” คือ พระคาถาในทางไสยศาสตร์ หรือไสยเวททั้งสองด้านคือขาวและดำ “พุทธคุณ” คือ คำกล่าว พรรณนาคุณของพระพุทธเจ้า หรือการกล่าวถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้าเพราะการเริ่มบทสวดที่จะเจริญพระคาถาใด ๆจะต้อง เริ่มจากบทสวดในการกล่าวคำพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าก่อนเสมอ แต่ส่วนใหญ่พุทธศาสนิกชนจะนิยมเรียกว่า “พุทธคุณ” ซึ่ง ก็น่าจะมีส่วนถูกต้อง ข้อสรุปในการศึกษาการสร้างพระสมเด็จ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ๑. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านได้เริ่มสร้างพระตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๕๑ ถึง ๒๔๑๕ อันเป็นช่วงเวลาที่ท่านได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุ ส่วนการสร้างพระเมื่อครั้งยังเป็นสามเณรนั้นคงยังนับไม่ได้ว่าเป็นพระสมเด็จ ๒. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี การสร้างพระของท่านมิได้ยึดถือกำหนดว่า กดพิมพ์เป็นองค์พระแต่เมื่อใดแต่ท่านยึดถือ
- 25 - | P a g e ว่าพระเครื่องรุ่นนั้น ๆ สำเร็จตั้งแต่เป็นผงวิเศษแล้ว ๓. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ได้สร้างพระสมเด็จจำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์เท่ากับพระธรรมขันธ์ เป็นปฐม อันเปรียบได้ถึง การระลึกถึงพระคุณอันประเสริฐของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า และการสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปในภายภาคหน้า ๔. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ได้สร้างแบบพิมพ์มากกว่า ๒๐๐ พิมพ์ โดยแบ่งเป็น - พิมพ์ที่จัดทำเป็นแม่แบบโดยช่างหลวง (ช่างสิบหมู่) - พิมพ์ที่จัดทำเป็นแม่แบบตามความต้องการของท่าน - ที่มีความหมายในทางพุทธศาสนาเรื่องราวพุทธประวัติ และ เหตุการณ์ต่าง ๆ - พิมพ์ที่ล้อจากพิมพ์พระที่กำลังมีความนิยมในยุคนั้น ๆ - พิมพ์ที่จัดทำเป็นแม่แบบโดยฝีมือช่างชาวบ้านมีทั้งคนไทย และชาวต่างชาติ ๕. พระสมเด็จวัดระฆังมีทั้งสร้างแล้วแจก กับสร้างแล้วนำบรรจุกรุ เชื่อได้ว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี สร้างถาวรวัตถุ อันเป็นมงคลวัตถุ หรือจะเรียกว่าปูชนียสถานในทางพุทธศาสนาที่ใด ท่านจะนำพระพิมพ์ที่สร้างที่วัดระฆังบรรจุกรุ ณ ที่นั้น หลักการพิจารณาพระสมเด็จวัดระฆัง โดย อาจารย์ไพรพนา ศรีเสน ๑. พุทธศิลป์ทรงพิมพ์ ๒. มวลสาร ๓. รัก ชาด ทอง ๔. หลักความเป็นไปแห่งธรรมชาติ ๕. หลักแห่งวิทยาศาสตร์ ๖. ฌานสมาบัตร หลักการพิจารณาพระสมเด็จที่มิได้บรรจุกรุ ๑. ทรงพิมพ์ และพุทธศิลป์ จำให้แม่นยำว่ามี กี่ทรงพิมพ์ และแต่ละพิมพ์มีพุทธศิลปะ อย่างไร หาข้อแตกต่างและเปรียบเทียบโดย ให้ยึดหลักแห่งธรรมชาติเป็นสำคัญ ๒. คราบน้ำผึ้ง ลักษณะเกิดจากปฏิกิริยาของ พระที่ผ่านการใช้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา พอสมควร สีขององค์พระจะนวลคล้ายสีของน้ำผึ้งแต่แข็งแกร่ง มีน้ำหนัก และหนึกนุ่ม (เกิดจากมวลสารสำคัญกับน้ำมันทังและ
- 26 - | P a g e ระยะเวลาตามธรรมชาติ) ๓. รอยปูไต่ และหนอนด้น “รอยปูไต่” ลักษณะเป็นรอยโค้งเล็ก ๆ หนักบ้างเบาบ้าง อาจเกิดเป็นคู่หรือเดี่ยว “รอยหนอนด้น” ลักษณะเป็นจุดบุ๋มเล็ก ๆ เป็นคู่ ๆเรียงกัน ทั้งสองชนิดเกิดบริเวณด้านหลังของพระสมเด็จ สมมุติฐานจากมวลสาร และเกสร ดอกไม้ ที่หลุดล่วงตามกาลเวลาแห่งธรรมชาติ ๔. ความแห้งมีลักษณะหลากหลายทั้งแห้งที่มีน้ำหนัก และไม่มีน้ำหนัก อันเนื่องมาจากความหลากหลายของมวลสาร และวัสดุที่ใช้ แต่ที่สำคัญให้พิจารณาจากความหนึกนุ่ม มีความเงางามตามธรรมชาติ และความเก่าขององค์พระเป็นสำคัญ ๕. การหดตัว และรอยย่นของเนื้อพระสมเด็จ เปรียบได้กับอาณาจักรแห่งธรรมชาติ ที่ปรากฏไปด้วยภูเขา ห้วย ธาร เกาะแก่ง ต่างๆลักษณะที่เปรียบให้เห็นนั้นเป็นการหดตัวจนเกิดรอยย่นมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของธรรมชาติเป็นสำคัญ ๖. แม่พิมพ์ของพระสมเด็จวัดระฆัง และพระสมเด็จบางขุนพรหม เป็นแม่พิมพ์ด้านหน้าชิ้นเดียว เป็นแม่พิมพ์ตื้น ไม่มีขอบบังคับ พิมพ์ ใช้แม่พิมพ์กดลงเนื้อ ที่รองด้วยไม้กระดาน แล้วยกแม่พิมพ์ขึ้น ตัดขอบทั้งสี่ด้าน จากหน้าไปหลัง จึงพบรอยขอบกระจก รอย ด้านหลังของพระสมเด็จ จะมีลักษณะเป็นรอยเนอะ รอยหลังกระดาน รอยหลังกาบหมาก อันเกิดจากวัสดุที่ใช้รองเนื้อพระ และ แล้วนำไปผึ่งลม ๗. ชั้นผิวของพระสมเด็จที่ยังไม่ใช้หรือผ่านการใช้มาน้อย จะปรากฏร่องรอยของผิวพระเป็นชั้น ๆ เป็นวงเล็กบ้าง ใหญ่บ้างซ้อนกัน ลักษณะบาง ๆ ชั้นบนสีจะเข้มชั้นล่าง ๆ สีจะอ่อนลงตามลำดับ แต่ถ้าผ่านการใช้มาแล้วระยะเวลาที่พอสมควรสีของพระจะเป็นสี เดียวกัน หนึกนุ่ม สวยงาม ๘. ทองทราย ลักษณะเป็นรอยจุดเล็ก ๆ บนผิวพระสมเด็จ วิธีสังเกตให้พลิกองค์พระทำมุมกับแสงสว่างโดยเฉพาะในเวลากลางคืน จะเห็นได้ชัด พระสมเด็จทุกองค์จะมีทองทรายซุกซ่อนอยู่การพิจารณาต้องใช้เวลา และอาจต้องผ่านการใช้มาเป็นเวลาพอสมควร สันนิษฐานว่าเกิดจากปูนเพชร และผงศิลาธิคุณที่เป็นส่วนผสมหลัก ๙. การแตกลายงา มีสองชนิด คือ หนึ่งแบบหยาบ (สังคโลก เหมือนชามสังคโลก) สองการแตกลายงาแบบละเอียด (เหมือนไข่นก ปรอท) ทั้งสองลักษณะร่องลอยการแตกตัวจะไม่ลึกถ้าดูเผินๆคล้ายไม่แยกจากกัน ต้องใช้กล้องส่องจึงจะเห็นชัด และขอให้จำเป็น หลักไว้ว่าการแตกลายงาขององค์พระไม่ได้เกิดจากการลงรัก ปิดทองล่องชาด แต่เกิดจากขั้นตอนของการตากผึ่ง และ สภาพแวดล้อมของธรรมชาติในขณะนั้นเป็นสำคัญ พระสมเด็จที่ลงรักปิดทองล่องชาด พบว่าเมื่อลอกรัก ชาด ทองเหล่านั้นออกไม่ ปรากฏลอยแตกลายงาเลยก็มาก ๑๐. รักชาดสีแดง ให้พิจารณาจากความเก่าของชาด สีของชาดไม่ว่าจะนาน เท่าใดสีจะยังคงแดง (แดงเลือดนก) ไม่ลอก ไม่หลุด ล่วง ถ้าไม่ขูดหรือล้างออก ๑๑. รักสมุกสีดำ ให้พิจารณาจากความเก่าของรัก ความเก่าของรักสีดำจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มอมดำ (คล้ายสีตาของกุ้ง) จะ หลุดลอกออกเป็นแผ่นมากบ้างน้อยบ้างตามจำนวนชั้นที่ลง และกาลเวลา เป็นสำคัญ ๑๒. ทอง ให้พิจารณาจากสีของทอง เป็นทองคำเปลวทองเนื้อเก้า หรือที่โบราณเรียกกันว่าทองนพเก้าที่นำมาทำเป็นทองคำเปลว ลักษณะเงางาม พบการปิดทองพระสมเด็จทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และปิดทองทึบ (กรุเพดานวิหารวัดระฆัง) พระสมเด็จที่ลงรัก ชาด ทอง เรียกว่า “ลงรักปิดทองล่องชาด” ๑๓. คราบไขขาวที่พบบนองค์พระสมเด็จนั้น ที่หลาย ๆ ท่านคิดว่าเป็นคราบแป้งโรยพิมพ์ สืบค้นไม่พบหลักฐานแต่พบว่าในสมัย
- 27 - | P a g e โบราณจะใช้น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันงาเป็นส่วนสำคัญในการทาพิมพ์เพราะเป็นน้ำมันที่ใสและลื่น ส่วนคราบขาวที่พบเห็น บริเวณผิวหน้าองค์พระนั้นเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติระหว่างน้ำมันที่ทาพิมพ์กับเนื้อของพระสมเด็จ (การล้างและทำความ สะอาดจะทำให้ผิวของพระเสียหายได้) หลักการพิจารณาพระสมเด็จที่บรรจุกรุ ๑. ทรงพิมพ์ และพุทธศิลป์ จำให้แม่นยำว่ามีกี่ทรงพิมพ์ และแต่ละพิมพ์มีพุทธ ศิลปะ อย่างไร หาข้อแตกต่างและเปรียบเทียบโดย ให้ยึดหลักแห่งธรรมชาติเป็นสำคัญ ๒. แม่พิมพ์ของพระสมเด็จวัดระฆัง และพระสมเด็จบางขุนพรหม เป็นแม่พิมพ์ด้านหน้าชิ้นเดียว เป็นแม่พิมพ์ตื้น ไม่มีขอบบังคับ พิมพ์ ใช้แม่พิมพ์กดลงเนื้อ ที่รองด้วยไม้กระดาน แล้วยกแม่พิมพ์ขึ้น ตัดขอบทั้งสี่ด้าน จากหน้าไปหลัง จึงพบรอยขอบกระจก รอย ด้านหลังของพระสมเด็จ จะมีลักษณะเป็นรอยเนอะ รอยหลังกระดาน รอยหลังกาบหมาก อันเกิดจากวัสดุที่ใช้รองเนื้อพระ และ แล้วนำไปผึ่งลม ๓. คราบไข ลักษณะเป็นฝ้าบางๆ (เหมือนน้ำต้มไขมันของวัวเมื่อเย็นลงจะแลเห็นคราบไขลอยอยู่เป็นผาเล็กบ้างใหญ่บ้าง) เคลือบ อยู่บนองค์พระซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ตามบริเวณซอกขององค์พระ สีขาวนวลแกมเหลืองอ่อนๆ คราบนี้จะติดอยู่กับองค์พระและจะ ค่อยจางลงเมื่อพระถูกใช้ในระยะเวลาพอสมควร (เกิดจากความร้อนชื้นทำปฎิกิริยากับเนื้อมวลสาร พระสมเด็จในลักษณะนี้จะอยู่ ตอนบนที่เรียกกันว่ากรุเก่า) ๔. คราบน้ำปูน ลักษณะเป็นฟองละเอียดจนมองเห็นเป็นฝ้าขาวปกคลุมทั่วองค์พระมีความหนาบางไม่เท่ากัน สีขาวอมน้ำตาลอ่อน เกาะติดกับองค์พระแน่น (เกิดจากน้ำท่วมองค์พระเป็นเวลานานเมื่อน้ำลดลงคราบปูนที่ลอยอยู่บนผิวจะแห้งติดองค์พระสมเด็จ ลักษณะการเกิดเช่นนี้จะเป็นไปได้ในสองประการก็คือคราบจากน้ำปูนภายในเจดีย์ (เพราะพระเจดีย์ที่บรรจุนั้นสร้างใหม่) และ ปฏิกิริยาที่เกิดจากเนื้อมวลสารในองค์พระสมเด็จกับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติพระชุดนี้จะอยู่ตอนกลางที่เรียกกันว่ากรุเก่า) ๕. คราบฟองเต้าหู้ ลักษณะเป็นวงเล็กบ้างใหญ่บ้าง ฟูบางเหมือนฟองของน้ำเต้าหู้ ใน ฟองเมื่อแตกจะสังเกตเห็นเม็ดเล็กๆ สีขาว ขุ่นแข็งฝังแน่นในเนื้อพระ (เกิดจากความชื้นแฉะ และถูกน้ำท่วมและลดลงทีละน้อย ถูกความร้อนที่สูงเป็นเวลานาน เป็นเช่นนี้ สลับกันไปตามสภาพแวดล้อมของธรรมชาติในขณะนั้นจนเนื้อมวลสารในส่วนที่เป็นปูนเปลือกหอย และปูนขาวทำปฏิกิริยากับ น้ำมันทัง (ทังอิ๊ว) พระสมเด็จในลักษณะนี้จะอยู่ตอนตอนกลางค่อนมาทางด้านล่างที่เรียกกันว่ากรุเก่า) ๖. คราบกระเบน ลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆคล้ายหนังกระเบน สีเทาแกมม่วงอ่อนๆ สี น้ำตาลอ่อน และเข้ม อันเกิดจากเม็ดทรายเกาะ อยู่ทั่วองค์พระ แข็งมากไม่สามารถชำระล้างให้ออกได้ (เกิดจากพระที่ล่วงลงสู่พื้นปะปนกับดินและทรายถูกน้ำท่วมขังเป็น เวลานานพระสมเด็จในลักษณะนี้จะพบได้ไม่มากนักและจะอยู่ตอนล่างเรียกกันว่าพระกรุใหม่) ๗. คราบน้ำผึ้ง ลักษณะเกิดจากปฏิกิริยาของพระที่ผ่านการใช้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาพอสมควรเกิดขึ้นได้ทั้งพระสมเด็จที่ไม่ บรรจุกรุ และบรรจุกรุ (พระที่บรรจุกรุจะเกิดขึ้นได้ยากกว่า ต้องใช้เวลามากกว่า ความหนึกนุ่มและสีจะด้อยกว่า) สีขององค์พระจะ นวลคล้ายสีของน้ำผึ้งแต่แข็งแกร่ง มีน้ำหนัก และหนึกนุ่ม (เกิดจากเนื้อมวลสารสำคัญทำปฏิกิริยากับน้ำมันทัง โดยมีระยะเวลา ตามธรรมชาติเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ คราบน้ำผึ้งถือเป็นลักษณะเด่นที่สำคัญและพบมากในสกุลพระสมเด็จ) ๘. รอยปูไต่ และหนอนด้น ลักษณะอันเกิดจากเกสรดอกไม้ และมวลสาร ที่หลุดล่วงตามกาลเวลาแห่งธรรมชาติ
- 28 - | P a g e ๙. ทองทราย ลักษณะเป็นรอยจุดเล็ก ๆ บนผิวพระสมเด็จ วิธีสังเกตให้พลิกองค์พระทำมุมกับแสงสว่างโดยเฉพาะในเวลากลางคืน จะเห็นได้ชัด พระสมเด็จทุกองค์จะมีทองทรายซุกซ่อนอยู่การพิจารณาต้องใช้เวลา และอาจต้องผ่านการใช้มาเป็นเวลาพอสมควร สันนิฐานว่าเกิดจากปูนเพชร และผงศิลาธิคุณที่เป็นส่วนผสมหลัก ๑๐. การหดตัวและรอยย่นของเนื้อพระสมเด็จเปรียบได้กับอาณาจักรแห่งธรรมชาติ ที่ ปรากฏไปด้วยภูเขา ห้วย ธาร เกาะแก่ง ต่างๆ ลักษณะที่เปรียบให้เห็นนั้นเป็นการหดตัวจนเกิดรอยย่นมากบ้างน้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของธรรมชาติเป็นสำคัญ พระสมเด็จ วัดระฆัง ที่สร้างโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีเมื่อปี ๒๔๐๙ นั้น มีส่วนผสมของปูนเปลือกหอย กล้วยน้ำหว้า ดินจากกำแพงเพชร ณ ลานทุ่งเศรษฐี ที่สันนิษฐานว่าต้องมีการนำพระศักดิ์สิทธิ์อย่าง พระซุ้มกอหนึ่งในชุดเบญจภาคี สกุล กำแพงเพชร แห่งลานทุ่งเศรษฐี มาเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย สุดยอดของส่วนผสมก็คือ ผงวิเศษทั้ง ๕ ที่ สมเด็จฯ โตทรงอาศัย ความเป็นอัจฉริยภาพของพระองค์ทำขึ้นมา และส่วนผสมทั้งหลาย เหล่านี้ มีนํ้ามันตังอิ้วเป็นตัวการสำคัญในการผสานมวลสารให้ เกาะติด เป็นรูปทรงตามพระประสงค์ของท่านเจ้าประคุณได้เป็น อย่างดี เป็นผลให้ พระสมเด็จ (โต) คงสภาพถาวร ไม่เปื่อยยุ่ยแตก สลายแม้กาลเวลาจะผ่านมากว่าร้อยปี หลายท่านรู้ดีว่า "ผงวิเศษ"ที่นำมาใช้ในการผสม เป็นมวลสารหนึ่งใน พระสมเด็จ วัดระฆังนั้น ประกอบไปด้วย ผงปถมัง อิทธิเจ มหาราช พุทธคุณ และตรีนิสิงเห หลายคนคิดว่า "ผงวิเศษ"เหล่านี้เป็นผงแต่ ละชนิด นำมาผสมผสานปนเปกันเวลาทำพระ แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นผงชุดเดียวกันที่ผ่านกรรมวิธีการสร้างอัน ซับซ้อนถึง ๕ ขั้นตอน เรื่องนี้ พระธรรมถาวรที่บวชเป็นเณรในยุค นั้น ซึ่งท่านเป็นศิษย์ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)และ เป็นผู้หนึ่งที่มีช่วงชีวิตทัน เจ้าประคุณสมเด็จ(โต) อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในการสร้างพระพิมพ์ของ พระสมเด็จโตในครั้งกระนั้นด้วย ให้ การยืนยันถึงการทำผงวิเศษทั้ง ๕ ของสมเด็จ(โต)ว่าเป็นผงเดียวกัน แต่ผ่านกรรมวิธี ๕ ขั้นตอนดังนี้ "สมเด็จฯ โตท่านจะกระทำผงนี้ในพระอุโบสถ โดยการเตรียมเครื่องสักการะเช่นเดียวกับการไหว้ครู และตั้งเครื่องสักการะต่างๆ ไว้ หน้าพระประธาน จุดธูปเทียนบูชาพระแล้วยกถาดที่มีดินสอที่ประกอบจากผงวิเศษมาผสมรวมกับดินโป่ง ๗ โป่ง ดินตีนท่า ๗ ท่า ดินหลักเมือง ๗ หลักเมือง ขี้เถ้าไส้เทียนที่ใช้บูชาพระประธานในพระอุโบสถ นอกจากนี้ก็มี ดอกกาหลง ยอดรักซ้อน ขี้ไคลเสมา ขี้ ไคลประตูวัง ขี้ไคลเสาตะลุงช้างเผือก ไม้ราชพฤกษ์-ชัยพฤกษ์ ต้นพลูร่วมใจ พลูสองทาง กระแจะตะนาว นํ้ามันเจ็ดรส และดินสอ พอง โดยนำสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ มาป่นละเอียดผสมนํ้านำมาปั้นเป็นแท่งดินสอ นำออกตากผึ่งแดดให้แห้ง ให้จับเขียนได้ ลักษณะ คล้ายกับแท่งชอล์ค อย่างปัจจุบัน แต่มีขนาดและความแข็งผิดกันเล็กน้อย โดยกระเดียดไปทางดินสอที่ใช้เขียนกระดานชนวน อย่างโบราณ
- 29 - | P a g e เมื่อนำดินสอที่ทำจากผงวิเศษ ซึ่งบรรจุอยู่ในถาดขึ้นจบเหนือพระเศียร แล้วกล่าวคาถาอัญเชิญครู อัญเชิญเทพยดา ทำประสะนํ้า มนต์พรมตัวท่านเอง จากนั้นก็จะทรงเรียกอักขระเข้าตัว และอัญเชิญครูเข้าตัว จึงจะเริ่มทำสมาธิ เขียนสูตร ชักเลขยันต์ เจริญพระ คาถา เอาดินสอที่ทำจากผงวิเศษนี้ เขียนลงบนแผ่นกระดาน แล้วเรียกสูตร นะปฐมํพินธุ แล้วว่าพระคาถาของสูตรการลบ เขียน แล้วลบ เขียนแล้วลบ หลายครั้ง จนกว่าจะครบถ้วนตามตำราการทำ ผงปฐมํนี้ ต้องใช้ดินสอเขียนมาก และใช้เวลาเขียนนาน ๒-๓ เดือน จึงจะแล้วเสร็จ ได้ผงปถมังอันเป็นผงชนิดแรกที่เกิดขึ้นก่อนผงวิเศษอื่นๆ ซึ่งชื่อคำว่า ปฐมํนี้มีความหมายว่า ผงวิเศษที่สร้าง เป็นปฐม ก็น่าจะเป็นหนึ่งในความหมาย เมื่อได้ ผงปถมัง หรือ ปฐมํ แล้ว ซึ่งผงเหล่านี้เกิดจากการเขียนแล้วลบ เขียนแล้วลบ ดังที่กล่าวมาอานุภาพของผงปถมังนี้ มีหลาย ประการ คือ ทั้งเมตตามหานิยม แต่หนักไปทางคงกระพันชาตรี มหาอุตม์ แคล้วคลาด กำบังล่องหน ป้องกันภูตผีปีศาจ ตลอดจน คุณไสยทั้งปวงได้ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)จะนำผงปถมัง มาผสมกับนํ้าพระพุทธมนต์ ปั้นเป็นดินสอขึ้นอีกครั้ง แล้วเขียนอักขระ ด้วยสูตรมูลกัจจายน์ แล้วลบด้วยสูตรลบผง สมเด็จฯ โตท่านก็เขียนแล้วลบ ทำดังเช่นการทำผงปถมัง หากแต่เป็นบทบริกรรมพระ คาถาคนละประเภท จนได้ผงอิทธิเจ หรือ อิธะเจ ตามคัมภีร์โบราณ ซึ่งใช้เวลาในการทำผงนี้ประมาณ ๓ วัน สำหรับ "ผงอิทธิเจ" นี้ ให้พุทธคุณในด้านเมตตามหานิยมอย่างยิ่ง และป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อได้ "ผงอิทธิเจ" แล้ว ท่านเจ้าประคุณฯสมเด็จโต ก็นำผงมาทำเป็นดินสอขึ้นอีก แล้วเรียกสูตรมหาราชขึ้น แล้วลบด้วยสูตรนาม ทั้งห้า ซึ่งใช้เวลาในการทำผงมหาราชนี้ประมาณ ๒-๓ เดือน เช่นเดียวกับผงปถมัง อานุภาพของผงมหาราชนี้มีคุณวิเศษทางเมตตา มหานิยมอย่างสูง ป้องกันและถอนคุณไสยได้ อีกทั้งยังดีทางแคล้วคลาดอีกด้วย เมื่อสำเร็จได้ ผงมหาราชก็นำมาทำดินสอขึ้นอีก เรียกสูตรและลบอักขระเกี่ยวกับพุทธคุณนานาประการ เริ่มต้นตั้งแต่สมเด็จ พระพุทธเจ้าทรงประสูติ จวบจนดับขันธ์ปรินิพพาน ผงวิเศษที่ได้นี้มีชื่อว่า ผงพุทธคุณซึ่งมีอานุภาพในด้านเมตตามหานิยมสูง นอกจากนี้ยังมีอานุภาพในด้านกำบัง สะเดาะ และล่องหนอีกด้วย เมื่อได้ ผงพุทธคุณอันเกิดจากขั้นตอนต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯก็นำผงพุทธคุณมาทำเป็นดินสอขึ้นเช่นที่ทำ ผ่านมา แล้วลงสูตรเลขไทยโบราณ สูตรอัตตราทวาทศมงคล ๑๒ จนบังเกิดเป็น ผงตรีนิสิงเหซึ่งเป็นผงสุดท้าย ซึ่งผ่านกรรมวิธี แปลงมาจากผงวิเศษเดิมทั้ง ๔ ประเภท จากนั้นก็ทรงนำผงนี้เขียนอัตตรายันต์ ๑๒ และทรงรับสั่งว่าที่สำคัญที่สุดขาดมิได้คือ ยันต์ นารายณ์ถอดรูป ซึ่งถือเป็นยันต์ประจำขององค์ตรีนิสิงเห นอกจากนี้ยังมียันต์พระภควัมบดีและยันต์ตราพระสี ประทับลงเป็น ประการสุดท้าย ก่อนที่จะลบรวมเป็น ผงมหามงคลที่วิเศษยิ่งทั้งห้า อานุภาพของ "ผงตรีนิสิงเห" นี้ มีความครบถ้วน เพราะเป็นผงที่เกิดจากการหลอมรวมผงวิเศษทั้ง ๔ ในชั้นต้น ทำให้ส่งผลบังเกิด ในหลายด้าน ทั้งเมตตามหานิยม, ป้องกันถอดถอนคุณไสย และภูตผีปีศาจทั้งปวง แม้เขี้ยวเล็บงาแม้เขาสัตว์ มิให้ระคาย, โรคภัยไข้ เจ็บกลับหาย, อุบัติเหตุ อัคคีภัย และอันตรายทั้งปวง ป้องกัน แคล้วคลาดได้ตามแต่จะปรารถนา เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯโตได้ผงวิเศษ ทำการผสมกับส่วนผสมต่างๆ ที่ได้กล่าวมา จึงมารวมกับส่วนผสมอื่น แล้วจึงนำส่วนผสม ทั้งหมดปั้นและกดแม่พิมพ์ที่แกะไว้ จากนั้นก็ทำการตัดองค์พระ แล้วนำออกมาผึ่งให้แห้งจนได้ "พระพิมพ์"ตามพระประสงค์ ท่าน ทรงเอาพระใส่บาตรปลุกเสกทุกวันมิได้ขาด โดยท่านได้ใช้พระคาถามหาวิเศษบทหนึ่ง อันเป็นพระคาถาโบราณในรูปของปัฐยาวัต ฉันท์ แล้ว เจ้าประคุณสมเด็จฯโต ท่านได้ตัดทอนเติมต่อให้พอเหมาะ ทั้งดัดแปลงศัพท์บางคำให้สมควรใช้เป็น พระคาถาปลุกเสก พระสมเด็จของท่านพระคาถานั้นคือ พระคาถาชินบัญชรอันเป็นพระคาถาที่อัญเชิญพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ และพระอรหันต์
- 30 - | P a g e สำคัญหลายองค์มาปกป้องคุ้มครองผู้บริกรรมพระคาถานี้ อานุภาพของพระคาถาชินบัญชรนี้ มีคุณานุภาพมากมายหลายประการ จนสุดบรรยาย เรียกได้ว่าให้ผลครอบจักรวาล ทั้งยังนำมาบริกรรมทำนํ้ามนต์เพื่อปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บได้สารพัด และที่หลายท่านมี ประสบการณ์เล่าขานกันมา พระคาถานี้ดีนักหนาทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงทนอีกด้วย มวลสารของพระสมเด็จวัดระฆัง มวลสารหลัก ของพระสมเด็จวัดระฆังที่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ทรงผสมลงในเนื้อพระ ๑ ปูนเพชร ปูนเปลือกหอยเผา หรือปูนที่ใช้ทำเครื่องถ้วยชามกังไสของจีนหรือถ้วยชามเบญจรงค์ของไทย เป็นมวลสารหลักที่สุด ของเนื้อพระ ๒ ก้อนขาว จุดสีขาวม่น สันนิษฐานว่าเป็น ผงพระสมเด็จ หรือผงกฤติยาคมนั้นเอง จะมีสีขาวขุ่น เม็ดขาวขุ่นคล้ายเม็ดพระธาตุ ส่วนมากจะพบกระจายอยู่ทั่วไปในองค์พระบางองค์ มี ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ผงวิเศษที่พบเป็นก้อน คล้ายกับก้อนดินสอพองก็คือ ผงวิเศษที่ได้จากผงอิทธิเจ ผงปัตถะมัง ผงตรีนิสิงเห ผงพุทธคุณ ผงมหาราช ที่บริกรรมคาถา เขียนแล้วลบตามตำราสร้างพระ ๓ จุดดำ ลักษณะเป็นเส้นหรือแผ่นเล็กๆ เป็น ชิ้น สันนิษฐานว่าเป็น แผ่นใบลานจารอักขะเผา ส่วนจุดดำเล็กๆ สันนิษฐานว่าเป็น เมล็ดกล้วยน้ำ หรือ เกสรดอกไม้ที่แห้งแล้ว ๔ จุดสีแดงหรือสีแดงอิฐ สันนิษฐานว่าเป็น ชิ้นส่วนแตกหัก ของพระเนื้อดินกรุทุ่งเศรษฐี จังหวัดกำแพงเพชร พระซุ้มกอ พระ กำแพงเขย่ง เจ้าประคุณสมเด็จได้เดินทางไปเปิดกรุเมื่อ ปีพ.ศ.2392 และท่านคงได้พระแตกหักจำนวนมาก สัณฐานที่ปรากฎ เป็น ชินเล็ก ๆ สีแดงคล้ายอิฐเก่าๆ ๕ กรวดเทา เป็น มวลสารคล้าย เม็ดกรวด หรือเม็ดทรายเล็ก ๆ มักจะมีวรรณะเป็นสีเทาส่วนใหญ่ ๖ ทรายแก้ว หากพบเห็นในเนื้อพระสมเด็จจะเห็นเป็นแสงส่องประกายแวววาวเป็นพิเศษ มวลสารรอง อาจปรากฎมวลสารต่าง ๆ เช่น ๑) จุดสีน้ำตาลอ่อน และ น้ำตาลแก่ สันนิษฐานว่า คือเกสรดอกไม้แห้งนานาชนิด อาจเป็นดอกไม้108 (ดอกไม้ที่ใช้บูชาพระ) ๒) จุดสีเขียวคล้ายสีคราม มีลักษณะใหญ่เล็กแล้วแต่จะพบในองค์พระ สันนิษฐานว่าเป็นหินเขียวหรือ ตะไคร่ ใบเสมา ๓) เม็ดทราย เสกขนาดกลาง และขนาดเล็ก พบในเนื้อพระสมเด็จวัดระฆัง ๔) ทองคำเปลว ที่ติดพระประธานในโบสถ์วัดระฆัง ใช้บดละเอียด ผสมในเนื้อพระ ๕) น้ำมันตังอิ้ว ทำให้เนื้อพระหนึกนุ่มอยู่เสมอ ปรากฏเป็น คราบ จ้ำหรือ ปื้น สีน้ำตาลเข้ม 6) ขี้เถ้าและก้านธูป ที่กราบไหว้บูชา พระ มวลสารย่อย เช่น ๑) หินอ่อน หรือ ศิลาธิคุณ ๒) ดินหลักเมือง ๗ หลัก ๓) ดิน ๗ โปร่งเหลือง ๔) ข้าวสุก และอาหารสำรวม ๕) แป้งข้าวเหนียว ๖) กล้วยน้ำไทย ๖) ยางมะตูม ๗) น้ำผึ้ง น้ำตาลอ้อยเคี่ยว ๘) น้ำมันทัง ๙) ขี้เถ้าไส้เทียนบูชาพระประธาน ๑๐) ผง ใบลานเผา ๑๑) ดอกบัวสัตตบุษย์ ๑๒) ดอกมะลิ ๑๓) ดอกกาหลง ๑๔) ยอดสวาท ๑๕) ยอดรักซ้อน ๑๖) ราชพฤกษ์ ๑๗) พลูร่วม ใจ ๑๘) พลูสองหาง ๑๙) กระแจะหอม ๒๐ ว่านและเกสรดอกไม้ ๑๐๘ ชนิด
- 31 - | P a g e โดยสรุปมวลสารทุกชนิด จะผ่านการตำหรือเผาแล้วตำจนละเอียด หากยังมีบางชนิดที่เป็นชิ้นหยาบตามธรรมชาติ มวลสารของพระสมเด็จวัดระฆัง หากแยกประเภทโดยละเอียดแบ่งเป็น ๓๖ ชนิด ดังนี้ ๑. ผงกฤติยาคม ได้นำเอาดินขาวที่จังหวัดลพบุรีเมื่อครั้งท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต) ได้ไปเรียนวิทยาคมกับพระอาจารย์แสงที่ จังหวัดลพบุรี โดยได้นำมาร่อนเอาสิ่งที่แปลกปลอมออกจนสะอาด แล้วนำมาผสมกับน้ำมนต์น้ำศักดิ์สิทธิ์ ๗บ่อ ๗รส (ซึ่งเป็นน้ำที่ ได้จากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ขอเปิดเผยเนื่องจากเป็นพื้นที่ของทางราชการ ) นวดจนสามารถปั้นเป็นแท่งกลมแล้วหั่นออกเป็นแว่นๆ หนาพอประมาณ นำไปตากแดดจนแห้งแล้วนำมาป่นจนละเอียด ร่อนด้วยแร่งจนได้ดินขาวที่ละเอียดสะอาดบริสุทธิ์ แยกไปบรรจุ ใส่บาตร ๕ บาตรเท่าๆกัน เอาดินขาวบาตรที่๑ ทำผงอิทธเจ มีอานุภาพในทางเมตตา มหานิยม บาตรที่๒ ทำผงตรินิสิงเห มี อานุภาพทางมหาเสน่ห์ บาตรที่๓ ทำผงปถมัง มีอานุภาพทางอยู่ยงคงกระพันชาตรี ยิงฟัน ขบกัด ไม่เข้าไม่ระคายผิว ค้าขายไม่ ขาดทุน บาตรที่๔ ทำผงมหาราช มีอานุภาพมหาอำนาจทั่วไป ยิ่งใหญ่เป็นที่น่าเกรงกลัวแก่ศัตรูและผู้คิดร้าย บาตรที่๕ ทำผง พุทธคุณ มีอานุภาพทางแคล้วคลาด เจริญก้าวหน้า ได้ดีมีความสุข พ้นทุกข์ เมื่อทำการปลุกเสกจนขลังได้ที่แล้วจึงเอาผงทั้ง ๕ บาตรมาใส่รวมกันในบาตรใหญ่ ๑ บาตร แล้วกำกับด้วย คาถาทั้ง ๕บท อิทธเจ ตรินิสิงเห ปถมัง มหาราช พุทธคุณ พร้อมๆกันใน บาตรใหญ่รวมเป็น๑ ผู้ทำต้องมีสมาธิบัติแข็งกล้าจริงๆไม่เช่นนั้นจะทำให้สมาธิแตกจิตฟั่นเฟือน ในโลกนี้ไม่มีใครทำได้นอกจาก ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทฒาจารย์ ( โต ) เพียงองค์เดียวเท่านั้น ต่อมาเอาว่านมงคลต่างๆที่ท่านเจ้าประคุณๆได้พบในตอน ออกธุดงค์มาคั้นกับน้ำศักดิ์สิทธิ์ ๗ บ่อ แล้วนำน้ำที่ผสมว่านมาผสมดินขาวในบาตรใหญ่ นวดจนสามารถปั้นเป็นแท่งชอคล์และตาก แดดจนแห้งสนิทดีแล้ว จึงนำมาใช้เป็นดินสอเขียนกระดานดำในการสอนพระเณรในสมัยนั้น เรียนบาลีมูลกัจจายน์ การท่องมนต์ พร้อมกับเขียนพระพุทธปริต ตลอดจนอักขระเลขยันต์ตามสูตรต่างๆ เมื่อลบออกก็ให้เก็บผงชอคล์นำมาผสมกับน้ำว่าน แล้วปั้น เป็นแท่งชอกนำไปใช้ใหม่ทำเช่นนี้ประมาณ๒๕๐-๓๐๐ ครั้งจนชอคล์ร่วนออกเป็นเม็ดๆไม่สามารถนำมาผสมได้ใหม่ซึ่งเป็นเม็ดที่ แข็งและแกร่งมากมีสีขาวขุ่นเหมือนสีฟันของคน ในการทำผงกฤติยาคมไม่ใช่ง่ายไม่ธรรมดา ผงของท่านจึงขลังประกอบกับท่านเป็นพระอภิญญา หรือเทียบเท่าพระอรหันต์ในสมัย พุทธกาล ทำให้เกิดอิทธิปาฏิหารย์แก่ผู้ที่นำพระของท่านไปใช้บูชา ๒. ผงดอกไม้แห้ง คือดอกไม้เช่น ดอกมะลิ ดอกบัว ที่ประชาชนทั่วไปนำมาถวายเนื่องในวันสำคัญๆของพระพุทธศาสนา นำเอามา ตากแดดจนแห้งสนิทจึงนำมาตำบดจนละเอียด ซึ่งจะมีสีคล้ายผิวลูกมะกอกสุก ๓. ผงขี้ธูป ก้านธูป ที่จุดบูชาพระ ๔. ผงดินสอพลองหรือแป้งกระแจะ คือแป้งที่ทำการปลุกเสกใช้สำหรับเจิมในงานพิธีต่างๆ ๕. ผงใบลานดิบ ใบลานสุก ผงดำ ท่านโตจะเอาใบลานคัมภีร์สำหรับเทศน์ที่ขาดหักและเก่าๆ ไม่ครบกัณฑ์เอามาเผา ถ้าต้องการ เป็นใบลานดิบพอไฟลุกโชนก็จะดับไฟก่อนที่จะไหม้จนดำ สีจะเหมือนสีผิวลูกมะกอกสุก ถ้าต้องการใบลานสุกก็จะปล่อยให้ไหม้จน เป็นขี้เถ้า ต่อจากนั้นก็จะนำมาตำบดละเอียดแล้วทำการปลุกเสกจนขลังดีจึงนำมาผสมรวมกับมวลสารอื่นๆ ส่วนผงดำคือแท่น แม่พิมพ์พระที่แกะด้วยไม้มะเกลือหรือไม้เนื้อแข็งที่เป็นมงคล แตกชำรุดซึ่งได้เก็บไว้เป็นจำนวนมาก เอามาเผาจนดำเป็นเถ้าถ่าน นำมาตำบดจนละเอียด ปลุกเสกจนขลังแล้วจึงนำมาผสมรวมกับมวลสารอื่นๆ
- 32 - | P a g e ๖. เม็ดผงน้ำตาเทียนไขบด เทียนเหลืองบด คือน้ำตาเทียนที่จุดเทียนในการสวดมนต์ภาวนาหรือทำพิธีต่างๆที่สำคัญ นำมาตำป่น แล้วทำการปลุกเสกจนขลังจึงนำมาผสมกับมวลสารอื่นๆ ๗. พระสมเด็จหัก คือพระสมเด็จที่แกะออกจากแม่พิมพ์มีการชำรุดแตกร้าว และพระสมเด็จเก่าที่แตกหักนำมาตำบดให้เป็นชิ้น เล็กๆ ซึ่งแต่ละชิ้นมีพุทธคุณเท่ากับพระสมเด็จหนึ่งองค์ นำมาผสมรวมกับมวลสารอื่นๆ ๘. พระซุ้มกอเก่า หรือพระเนื้อดินเก่า เป็นพระที่ท่านโตที่ได้นำมาจากจังหวัดกำแพงเพชร เป็นวัดเก่าทิ้งไว้รกร้าง อิฐขององค์พระ เจดีย์พังทลายลงมาพร้อมกับพระเนื้อดินที่แตกหักมากมาย มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด โดยได้ว่าจ้างชาวบ้านช่วยกันขนไปใส่ลง ในเรือกระแชง ซึ่งเป็นเรือของท่านโตที่ได้ร้บพระราชทานถวายให้ใช้เป็นพาหนะส่วนตัวเดินทางไปในที่ต่างๆ ท่านได้นำพระเนื้อดิน ดังกล่าว มาตำบดจนเป็นชิ้นเล็กๆ ๙. เม็ดเกสรบัวแดง ดอกบัวที่บูชาพระ ๑๐. เม็ดเกสรบัวหลวง ดอกบัวที่บูชาพระ ๑๑. เม็ดผงถ่านบล็อกแม่พิมพ์ที่แตกชำรุดเผา คือแม่พิมพ์ที่เป็นไม้เนื้อแข็งเช่นไม้มะเกลือเป็นต้น แม่พิมพ์เหล่านี้ส่วนมากเป็น แม่พิมพ์ที่ชาวบ้านแกะมาถวาย และชำรุดใช้การไม่ได้เก็บไว้เป็นจำนวนมากและแม่พิมพ์เหล่านี้ท่านโตได้เบิกเนตรก่อนที่จะใช้กด พิมพ์พระ จึงมีความศักดิ์สิทธิและพุทธคุณสูง เก็บใว้มีจำนวนมากก็จะนำมาเผาจนดำเป็นถ่าน และตำป่นจนละเอียด แล้วปลุกเสก จนขลังนำมาผสมกับมวลสารอื่นๆ ๑๒. แร่ดาวตก แร่สะเก็ดดาว หรือกากยายักษ์ ซึ่งท่านได้พบตอนออกธุดงค์ การธุดงค์ของท่านโตทุกครั้งหลังจากออกพรรษาแล้ว เป็นเวลากว่า๔๐ปี มีคราวหนึ่งท่านออกธุดงค์(รุกขมูล)กับพระอาจารย์แสง ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่าน ในป่าดงดิบไม่มีผู้คนอาศัย อยู่เลยมีแต่สัตว์ใหญ่ดุร้าย เป็นเวลา๓ปีติดต่อกันโดยไม่ได้ออกจากป่า เวลาบินฑบาตรต้องบินฑบาตรกับโคนต้นไม้ใหญ่ ได้ข้าว เหนียวมาปั้นเดียว ๑๓. ผงตุ๊กตาหยกกวนอูของเจ้าสัวที่ทำตกแตก ไม่กล้านำไปทิ้งเพราะเป็นของสักสิทธิ ได้นำมาถวายท่านโต และได้นำมาตำบดจน ละเอียดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วปลุกเสกจนขลังนำมาผสมรวมกับมวลสารอื่นๆ ๑๔. เม็ดกล้วย เม็ดงา เม็ดนุ่น เม็ดกล้วยเป็นเม็ดของกล้วยน้ำที่ผสมนวดรวมกับเนื้อพระ เม็ดงาและเม็ดนุ่น ท่านโตได้นำมาปลุก เสกเป็นของมงคลเช่นเดียวกับเม็ดกล้วย นำมาผสมรวมมวลสารอื่นๆ ๑๕. เม็ดพลอยอัญมณีต่างๆ เมื่อสมัยนั้นโรงงานเจียรนัยพลอย จะนำเศษพลอยที่ไม่ได้ใช้ไปถวายท่านโต และได้ปลุกเสกจนขลัง นำมาผสมรวมกับมวลสารอื่น ๑๖. หยก หยกมี ๓สี สีขาว สีเขียว สีชมพู ท่านโตได้พบตอนออกธุดงค์ได้นำมาตำป่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปลุกเสกจนขลังนำมาผสมรวม กับมวลสารอื่นๆ ๑๗. ไส้เทียนชัยมงคล เทียนที่ใช้จุดทำพิธีมงคลสำคัญๆ ซึ่งยังมีไส้เทียนเหลืออยู่ จึงนำเอาไส้เทียนมาเป็นวัตถุมงคล โดยตัดเป็น ท่อนสั้นๆนำมาผสมรวมกับสารอื่นๆ ๑๘. เม็ดเงิน เม็ดทอง คือหมุดเงินหมุดทอง ๑๙. เม็ดสีเงินสีทอง คือทรายเงินทรายทองเป็นทรายที่ท่านโตได้พบ และนำมาปลุกเสกจนขลังนำมาผสมรวมกับมวลสารอื่นๆ
- 33 - | P a g e ๒๐. ตะไคร่เสมา คือตะไคร่ที่เกาะติดตามองค์เสมา หรือไคลเสาตะลุงช้างเผือก ได้นำเอามาปลุกเสกจนขลังนำมาผสมรวมกับมวล สารอื่นๆ ๒๑. พระธาตุ เป็นพระธาตุของพระอริยะสงฆ์ที่เป็นที่นับถือของสาธุชนทั่วไป นำมาผสมรวมกับสารอื่นๆ ๒๒. หินสีต่างๆ คือแร่วิเศษ ท่านโตได้นำมาจากที่ต่างๆและปลุกเสกจนขลังนำมาผสมรวมกับมวลสารอื่นๆ ๒๓. ไม้ไก่กุ๊ก เป็นเศษกิ่งไม้แห้งที่ร่วงอยู่ตามพื้น ไก่แจ้ตัวผู้จะจิก แล้วร้องเรียกไก่ตัวเมียที่มันต้องการผสมพันธุ์ด้วย แล้วไก่ตัวเมีย จะวิ่งมาหา ไก่ตัวผู้ก็จะผสมพันธุ์ด้วย โดยไม่ต้องไปไล่จิกแค่เรียกตัวเมียก็มาหา ถือว่าเป็นไม้เสน่ห์เอามาปลุกเสกจนขลัง นำมาผสม รวมกับมวลสารอื่นๆ ๒๔. ข้าวสารตากแห้ง เป็นข้าวที่ถวายพระพุทธเมื่อลาแล้วนำมาตากจนแห้ง แล้วนำมาตำบดผสมกับเนื้อปูนหินและมวลสารอื่นๆ( ในพระบางองค์อาจจะเห็นมีเศษเม็ดข้าวหักเป็นชิ้นเล็กๆ ) ๒๕. เกศาสมเด็จโต ทุกครั้งที่จะมีการปลงผมของท่านโตจะเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น และจะเก็บเกศาไว้เมื่อเวลาสร้างพระก็ จะนำมาผสมรวมกับมวลสารอื่นๆ ๒๖. เศษจีวรสมเด็จโต ท่านจะนำจีวรที่เก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆปลุกเสกจนขลังแล้วนำไปผสมรวมกับมวลสารอื่นๆ ๒๗. ดินโป่งเหลือง ๒๘. ดินโป่แดง ๒๙. ดินโป่งเขียว ดินโป่งทั้ง ๓ ชนิดนี้จะอยู่บนยอดเขาสูง เป็นของดีตามธรรมชาติ ท่านโตได้ค้นพบแล้วนำมาผสมสร้างพระเครื่องของท่าน อิทธิคุณ ของดินโป่งจะดีทางไม่อดไม่อยาก เจริญโภคทรัพย์ ๓๐. แผ่นหินอ่อนลงเหล็กจารย์ ซึ่งเป็นของที่มีพุทธคุณสูงได้นำมาตำบดผสมรวมกับมวลสารอื่นๆ ๓๑. ศิลาธิคุณ หรือฤาษีผสมเสร็จ ศิลาธิคุณเป็นธาตุศักสิทธิ์ตามธรรมชาติที่มีเทพรักษา จะอยู่บนยอดเขาสูงพบพร้อมๆกับดินโป่ง ศิลาธิคุณมีลักษณะภายนอก คล้ายหินอ่อนมีความร่วนตัวเปราะเมื่อพบครั้งแรก เมื่อโดนอากาศก็จะค่อยๆแข็งขึ้น เช่นเดียวกันกับ ศิลาแลง ศิลาธิคุณเป็นมวลสารหลัก ใช้ในการสร้างพระสมเด็จนอกจากตัวประสาน ปูนเพ็ชร และกล้วย ๓๒. ดินสีส้ม เป็นดินที่มีในองค์พระสมเด็จทุกองค์ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต) สร้าง ท่านได้ค้นพบและจะมีอยู่แห่งเดียวเท่านั้น จึงถือว่าเป็นมวลสาระสำคัญในการดูพระสมเด็จ เช่นเดียวกันกับผง กฤติยาคม หรือผงสมเด็จ ๓๓. ว่านมงคลและไม้มงคลต่างๆ เช่น ทองพันชั่ง-ราชพฤกษ์-ชัยพฤกษ์-ตำลึง-สุดสวาท-ยอดและดอกรักซ้อน-กระแจะตะนาวใบเงิน-ทอง-นาคและว่านต่างๆที่นำมาจากป่าตอนที่ท่านออกธุดงค์ ๓๔. เกษร ๑๐๘ คือเกสรดอกไม้ที่เป็นมงคลต่างๆ ๓๕. เศษตะไบเงิน ตะไบทอง จากพระที่หล่อพิธีหลวงต่างๆ ๓๖. เชือกมงคล คือเชือกที่ใช้ในการทำพิธีมงคลต่างๆในการสร้างพระ
- 34 - | P a g e วรรณะพระสมเด็จ จากหนังสือ: "พระสมเด็จฯ" ของอาจารย์ตรียัมปวาย พระสมเด็จฯ อาจจำแนกวรรณะออกกว้างๆ ได้ 12 วรรณะด้วยกันคือ ๑.สีน้ำนม เป็นวรรณะที่ขาวข้นคล้ายสีน้ำนม หรือสีปูนขาวนั่นเอง ๒.สีจำปี เป็นวรรณะขาวนวลหม่นเพียง เล็กน้อยคล้ายสีดอกจำปีสด ๓.สีงาช้าง เป็นวรรณะขาวอมเหลืองหม่น อ่อน นวลคล้ายสีงาช้าง ๔.สีดินอิบ เป็นวรรณะขาวขุ่นหม่น ขุ่นคล้ำแกม เทาอ่อน ๕.สีน้ำข้าว เป็นวรรณะค่อนข้างข้นคล้ายสีน้ำนม แต่ไม่ขาวสดจัดเหมือน หากเป็น วรรณะขาวขุ่นแกมเทาอ่อน คล้าย เจือด้วยขี้เถ้าเล็กน้อย
- 35 - | P a g e ๖.สีก้านมะลิ ความจริงยังจัดว่าเป็นวรรณะขาวอยู่ แต่มีแวววรรณะเขียวอ่อนอย่างเจือ จางแฝงอยู่ คล้ายสีก้านมะลิซีด ๗.สีขี้เถ้า วรรณะนี้คล้ายสีน้ำข้าว แต่ไม่ขุ่นข้น แต่อย่างใด เป็นวรรณะที่คล้ายสี ขี้เถ้ามากที่สุด ๘.สีลาน เป็นวรรณะขาวอมเหลืองหม่นอ่อนๆ แก่กว่าวรรณะสีงาช้างเล็กน้อย หรือ คล้ายสีใบลานมากที่สุด ๙.สีมะกอกสุก เป็นวรรณะที่ค่อนข้างคล้ำสัก เล็กน้อย อันเกิดจากวรรณะหม่น คล้ำของมวลสารประเภทอิทธิวัสดุ จัดว่าเป็นวรรณะของเนื้อที่มีความซึ้ง จัด เช่นเนื้อเกสรดอกไม้ เนื้อ กระแจะจันทน์ ๑๐.สีเมล็ดพิกุล เป็นวรรณะที่หม่นคล้ำกว่าวรรณะสี มะกอกสุกเล็กน้อย เพราะแก่มวล สารอิทธิวัสดุกว่า
- 36 - | P a g e ๑๑.สีช็อกโกแลต อ่อน เป็นวรรณะหม่ำคล้ำ คล้ายสี ช็อกโกแลตผสมน้ำมัน แต่อ่อนกว่า มาก ๑๒.สีพิกุลแห้ง เป็นวรรณะที่กระเดียดมาทางน้ำตาล คล้ำอ่อน จัดว่าเป็นวรรณะที่หม่ำ คล้ำจัดที่สุด ตัวอย่างวรรณะพระสมเด็จ จากขาวนมข้นถึงเมล็ดพิกุล
- 37 - | P a g e ด้านหลังพระสมเด็จ จากหนังสือ: "พระสมเด็จฯ" ของอาจารย์ตรียัมปวาย ๑.แบบหลัง กระดาน ร่องรอยที่ปรากฏคือจะเห็นแนวเป็น เส้นขวางวิ่งเป็น เส้นๆ มากบ้างน้อย บ้าง ลักษณะ คล้ายกับแนวคลอง เลื่อยที่ปรากฏ อยู่ในไม้กระดานที่ เลื่อยแบบโบราณ จึงสันนิษฐานว่า ใช้แผ่นไม้ไม่เรียบมีคลองเลื่อยเป็น คลื่นปรากฏอยู่ เวลากดพิมพ์ลงเนื้อ ที่มีไม้กระดานรองอยู่ พระด้านหลัง จึงมีร่องรอยปรากฏให้เห็น ๒. แบบหลังเรียบ ไม้กระดานที่เป็น แผ่นรอง น่าจะ เป็นแผ่นไม้ที่ค่อนข้างเรียบ ไม่ ปรากฏร่องรอยคลองเลื่อยหรือเส้น เสี้ยนใดๆ แต่การเรียบนั้นไม่ใช่เรียบ แบบกระจก แต่เรียบแบบแผ่น กระดานในสมัยโบราณ คือจะมี ลักษณะเป็นคลื่นน้อยๆ ถ้าเรา ตะแคงด้านข้างดูจะเห็นความเป็น คลื่นน้อยๆ อยู่
- 38 - | P a g e ๓.แบบหลังสังขยา ลักษณะด้านหลังแบบนี้มีลักษณะ คล้ายกับหน้าของขนมสังขยา ซึ่งจะ ไม่เรียบ สันนิษฐานว่าเป็นรอย เหนอะของเนื้อพระกับแผ่นรอง ด้านหลัง ซึ่งถ้าเนื้อของพระที่จะ นำมากดพิมพ์นั้นยังเปียกเหลวมาก หน่อย เวลาถอดองค์พระออกมา อาจมีการติดยึดเหนอะติดแผ่น กระดาน จึงเกิดเป็นริ้วรอยดังที่เห็น ๔.แบบหลังกาบ หมาก ลักษณะด้านหลังแบบนี้ก็สันนิษฐาน ได้ว่าแผ่นไม้กระดานด้านหลังนั้นคง จะมีร่องเสี้ยน ให้ลองนึกถึงแผ่นไม้ เก่าๆ ที่มีร่องการหลุดของเสี้ยน หรือการเหี่ยวของไม้เก่าจะปรากฏ ร่องเสี้ยนเป็นเส้นเล็กๆ วิ่งไปทั่ว พอ เวลากดพิมพ์พระ ลงไปกับแผ่นไม้ที่ มีลักษณะนี้ก็จะทิ้งร่องรอยเส้นเล็กๆ ไปทั่ว เท่าที่ผู้อาวุโสท่านสรุปให้ฟัง ก็มีเหตุผลดังที่ได้กล่าวมานี้ และ เท่าที่ท่านได้สังเกตดู พระที่มีแผ่นหลังเรียบแบบกระจกนั้น ไม่เคย ปรากฏว่ามีพระแท้เลย นอกจากร่องรอยลักษณะของพื้นด้านหลังของพระแล้ว ร่องรอยที่ปรากฏด้านหลังของพระวัดระฆังฯ ยังมีรอยปูไต่ปรากฏ อยู่เสมอ ร่องที่ว่านี้คือรอยแยกปริเป็นริ้วๆ ของเนื้อพระ ซึ่งจะเหมือนกับรอยของ ดินเหนียวตามชายคลองที่มีปูนาอยู่ และมีรอยเท้าของปูที่ จิกลงไปในดินเหลวๆ จะเห็นรอยเส้นแยกในดินเหนียวนั้น และในด้านหลังของพระสมเด็จ วัดระฆังฯ แทบเกือบทุกองค์จะมี ปรากฏให้เห็นเช่นกัน ท่านจึงนำมาเป็น ชื่อเรียกร่องรอยเหล่านี้ลองสังเกตดูตามรูป จะเห็นรอยปริแยกของ เนื้อตามใกล้ๆ ขอบ มากน้อย และรอยปริตามขอบๆ รอยเหล่านี้มักเกิดกับพระสมเด็จ วัดระฆังฯ ที่แท้ครับ และครูบาอาจารย์ท่านเรียกกันว่ารอยปูไต่ ครับ
- 39 - | P a g e ลักษณะเนื้อพระสมเด็จวัดระฆังความคิดเห็นอาจารย์ตรียัมปวายหรือ พ.อ.ผจญ กิตติประวัติ(น.ท.สันทัด แห่งกองทัพอากาศ) การศึกษาเเละพิจารณาพระสมเด็จวัดระฆังทุกวันนี้นับวันเหลือผู้รู้ผู้ชำนาญประเภทรู้จริงรู้ลึกจำนวนน้อยเเทบจะนับคนได้ จำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาเรียนรู้จากตำรับตำราเก่าๆซึงนับว่ามีคุณค่าอย่างยิ่ง เพื่อทบทวนความรู้ที่คนเก่าคนเเก่เล่าขานไว้เกี่ยวกับ ลักษณะเนื้อพระสมเด็จวัดระฆังที่เเท้มาบันทึกไว้ให้ศึกษากัน เจ้าของทัศนะต่อไปนี้ท่านคืออาจารย์ตรียัมปวาย ยอดบรมครู ปรมาจารย์พระเครื่องผู้สถาปนาพระชุดเบญจภาคี ไว้ให้คนรุ่นเราเเละรุ่นหลังได้ใฝ่ฝันปราถนากันตราบจนทุกวันนี้นั่นเอง อาจารย์ ตรียัมปวายท่านได้เเสดงทัศนะหรือความคิดเห็นถึงลักษณะเนื้อของพระสมเด็จวัดระฆังไว้โดยเเบ่งออกเป็น ๒ ประเภทคือ ๑. ประเภทเนื้อเเกร่ง ๒. ประเภทเนื้อหนึกนุ่ม นอกจากนี้ท่านอาจารย์ตรียัมปวายท่านได้ยังได้กล่าวถึงรายละเอียดลักษณะของเนื้อพระสมเด็จวัด ระฆังไว้ซึ่งจะขออนุญาต นำเสนอเป็นวิทยาทานดังต่อไปนี้ ซึ่งอาจารย์ตรียัมปวายได้เเสดงความเห็นไว้ ลักษณะของเนื้อพระสมเด็จวัดระฆังไว้ ๑๓ ประการดังต่อไปนี้ ๑.ความละเอียด ปรกติเนื้อพระสมเด็จวัดระฆังจะมีลักษณะค่อนข้างละเอียดเพราะเป็นเนื้อปูนต่างกับเนื้อดินเผาของพระชนิดอื่นๆ ส่วนเนื้อหยาบก็มีปรากฎเหมือนกันเเต่มิได้มีลักษณะเป็นเม็ดหยาบๆดังเช่นเนื้อประเภทอิฐหรือกระเบื้องของพระเครื่องๆเนื้อดิน เผาหากมีลักษณะเป็นหย่อมๆของเนื้อเเสดงว่ามวลสารต่างๆมิได้คลุกเคล้ากันอย่างเเนบเนียนสนิท ลักษณะเหล่านี้ทำให้วรรณะของพระเป็นกระหย่อมๆเเละไม่เป็นข้อเสียตรงข้ามกลับทำให้เนื้อมีความซึ้งยิ่งขึ้นเเต่บกพร่องในเรื่อง มีความเเกร่งมากกว่าธรรมดา ๒. ความนุ่ม เป็นลักษณะของเนื้อที่รู้สึกได้จากการพิจารณาด้วยนัยน์ตาเป็นส่วนใหญ่ เเละอาจใช้สัมผัสด้วยมือช่วยบ้างก็ได้ เนื้อ ชนิดทีมีความนุ่มมากๆมองดูจะเห็นความนุ่มนวลของเนื้อไม่กระด้างนัยน์ตาเเละสัมผัสดูจะรู้สึกว่ามีผิวนุ่มๆเล็กน้อยไม่ระคาย กระด้างมือ เเต่มิได้หมายถึงว่าเนื้อจะมีลักษณะนุ่มนิ่มหรืออ่อนนุ่มหามิได้ ความจริงโครงสร้างภายในของเนื้อพระย่อมจะมีความ
- 40 - | P a g e เเกร่งเเฝงอยู่เป็นอันมากเสมอ จะมีความนุ่มนวลเฉพาะบริเวณผิวๆเท่านั้น ความนุ่มมิไช่เป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับความเเกร่งเเต่ เป็นลักษณะที่ตรงกันข้ามกับความกระด้างซึ่งเป็นลักษณะของๆปลอม ๓.ความเเกร่ง ความเเกร่ง ลักษณะของความเเกร่งเกิดจากมวลสารของเนื้อปูนขาว ซึ่งจับตัวกันเเข็งเเกร่งเเต่มิได้หมายถึง ลักษณะของความ กระด้างทั้งนี้เพราะลักษณะของๆจริงนั้นในขณะที่เนื้อมีความเเกร่งผิวของเนื้อย่อมจะมีลักษณะนุ่มนวลพร้อมๆกันไปด้วยเสมอไม่ มากก็น้อย ของปลอมนั้นผิวจะมีลักษณะกระด้างเเห้งเเละสากมือมากหรือมิฉะนั้นก็เปียกชื้นอันเนื่องมาจากใช้น้ำมันบางอย่าง ชโลมหรือขัดผิวให้มันเพื่อให้คลายความกระด้างลง ถ้าเอาพระสมเด็จวัดระฆังของเเท้ขยับกับเเผ่นหินอ่อนหรือเเผ่นกระจกหนาๆจะปรากฎเสียงกระทบกังวานใสดุจกระเบื้องกังใส องค์พระจะพริ้วตัวมากตามจังหวะนิ้วมือที่ขยับ ส่วนของปลอมนั้น ปรากฎเสียงทึบเเป้กบางชนิดเสียงใสเเต่ขาดความหนักเเน่นในก ระเเสเสียง เเละพระจะไม่เกิดความไหวพริ้วตามจังหวะการขยับนิ้ว ๔. น้ำหนัก ของเเท้ส่วนมากจะมีน้ำหนักพอตึงๆมือสมกับปริมาตรของพระ เเต่ของจริงบางองค์น้ำหนักอาจน้อยไปก็มี สำหรับของ ปลอมหรือเลียนเเบบ ส่วนมากน้ำหนักน้อยส่วนของปลอมชนิดที่มีน้ำหนักมากก็ปรากฎเหมือนกัน ฉะนั้นต้องพิจารณารายการ อื่นๆประกอบด้วยเป็นอย่างมาก ๕. ความหนึก ความหนึกเป็นคุณสมบัติธรรมชาติของความนุ่ม ความเเกร่ง น้ำหนักเเละความหนึกเป็นคุณสมบัติสำคัญความเเท้ ของปลอมนั้นปราศจากความหนึกเพราะเนื้อยังไม่เก่าพอ อาจเปรียบเทียบให้เห็นความหนึกได้คือใด้พิจารณาเนื้อหินสีเขียว หิน อ่อนเเละหินปูน จะเห็นว่าหินเขียวมีความเเกร่งสูงมากกว่าหินอ่อนเเละหินปูน ส่วนหินปูนมีความนุ่มสูงกว่าหินเขียวเเละความเเกร่ งสูงกว่าหินปูนเเละมีน้ำหนักพอๆกันกับหินเขียวเเต่มากกว่าหินปูน ในลักษณะนี้เนื้อหินอ่อนความหนึกสูงกว่าเนื้อหิน 2 ชนิดเพราะ หินเขียวเเกร่งเกินไปเเละหินปุนก็หนึกนุ่มเกินไปด้วยดังนี้เป็นต้น ลักษณะเนื้อพระสมเด็จวัดระฆังความคิดเห็นอาจารย์ตรียัมปวายหรือ พ.อ.ผจญ กิตติประวัติ(น.ท.สันทัด แห่งกองทัพอากาศ) ๖. ความฉ่ำ เป็นลักษณะที่คุ่กับความนุ่มเกิดจากเนื้อมีความนุ่มเเละเงาสว่างเเต่เนื้อประเภทเเกร่งก็มีความฉ่ำเช่นเดียวกันถ้าเกิดเงา สว่างเพราะถุกใช้มาพอสมควร ของปลอมบางชนิดก็จะมีความฉ่ำบ้างเหมือนกันถ้าได้รับการใช้ให้สึกหรอพอสมควรเเต่ไม่ฉ่ำซึ่ง เสมอของจริงหรือของเเท้ ๗.ความซึ้ง เกิดจากมวลสารของเนื้ออันผสมด้วยวัสดุซึ่งมีวรรณะต่างๆกันทำให้เกิดความซึ้งภายในเนื้อพระขึ้นเช่นวรรณะหม่นๆ ของผงวิเศษเเละผงเกสรดอกไม้ต่างๆเป็นต้นซึ่งมีวรรณะหม่นๆย่อมตัดกับเนื้อนวลๆของกล้วยผสมด้วยเนื้อปูนเเละวรรณะขาวนวล ของเเป้งโรยพิมพ์หรือการเกิดจากการระเหิดภายในเนื้อพระเป็นต้น ๘.การเเตกลายงา เกิดจากการที่เนื้อถูกลงรักเกลี้ยงไว้ตั้งเเต่สมัยที่สร้างเสร็จ ขณะที่เนื้อยังไม่เเห้ง สนิทเมื่อรักล่อนเเล้วจะปรากฎรอยเเตกอย่างละเอียดของเนื้อบริเวณด้านหน้า ด้านหลังจะไม่มีการเเตกลายงาเป็นอันขาด เเละ ตามร่องการเเตกเนื้อจะปรากฎวรรณะของรักน้ำเกลี้ยงเป็นสีดำสนิท นอกจากนี้อาจปรากฎทองเก่าติดอยุ่กับเนื้อรักเก่าย่อมจะเป็น ของปลอมเช่นเดียวกันเนื้อที่เกิดการเเตกลายงาจะต้องเป็นเนื้อประเภทเเกร่งๆ เนื้อประเภทนุ่มๆนั้นเเม้จะได้รับการลงรักเก่าไว้ก็ จะไม่เเตกหรือจะมีปรากฎเพียงรอยตื้นๆเเละเป็นบริเวณส่วนน้อยเท่านั้น เมื่อเนื้อเเห้งสนิทเเล้วจะไม่เเตกลายงาเช่นเดียวกัน ลักษณะการเเตกลายงาโดยดูจากพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ ฉายาองค์เเตกลายงา ของปรีดา อภิปุญญา ของเเท้จากวงการ
- 41 - | P a g e ๙.การเเตกลายสังคโลก เป็นการเเตกลายที่ละเอียดเเละตื้นกว่าลายงาส่วนมากจะเเตกทางด้านหน้า ๑๐.การลงรักปิดทอง รักมีอยู่ 2 ชนิดคือรักน้ำเกลี้ยงเมื่อเเห้งตัวดีเเล้วจะล่อนออกเองหรืออาจทำให้ล่อนออกได้โดยง่าย ส่วนรักดำ นั้นมีเนื้อหนาเเละเหนียวเเน่นเอาออกได้ยากจึงมักจะปิดบังรายละเอียดของสัดส่วนองค์พระไว้ พระสมเด็จฯบางขุนพรหมที่เปิดกรุ ในพศ ๒๕๐๐ มีปรากฎหลายองค์ที่ได้รับการปิดทองเปล่าๆเรื่องรักเก่าทองเก่านี้ต้องระมัดระวังให้มากเพราะในปัจจุบันของปลอม ทำได้คล้ายคลึงมากทีสุด ๑๑.การลงทองล่องชาด เท่าที่ปรากฎของจริงมีเฉพาะพิมพ์ทรงปรกโพธิ์เท่านั้น พิมพ์ทรงอื่นๆยังไม่ปรากฎวรรณะของชาดเก่าซีด มากเเละทองก็เเห้งเหี่ยวย่นตามผิวเรื่องลงทองล่อนชาดนี้ก็เช่นเดียวกันมีของปลอมระบาดมากที่สุด พึงระวังอย่าได้ประมาท ๙๙% มักจะเป็นของปลอม ๑๒.เเป้งโรยพิมพ์หรือเกิดจากการระเหิดเนื้อองค์พระ คือผิวนวลๆทึ่เกิดจากพระที่ไม่ค่อยได้ใช้หรือเกิดจากการเอาพระสรงน้ำเเล้ วผึ่งให้ผิวเเห้งเกิดได้ทั้งเนื้อนุ่ม เเละเนื้อเเกร่งเเต่สำหรับเนื้อเเกร่งเกิดได้น้อยกว่าเนื้อนุ่ม บางคนเข้าใจผิดนำอาพระที่มีผิวเหลือง นวลงามอยุ่เเล้วไปล้างน้ำเเละเเช่กรดบางอย่างความงดงามหมดสิ้นไปกลายเป็นผิวขาวขึ้นมาเเทนความจริงเเล้วเขาไม่ทำอย่างนั้น กันพราะเป็นการกระทำที่โง่เขลามาก ๑๓.ทรายเงินทรายทอง เป็นอนุภาคอันละเอียดผสมผสานอยู่ในเนื้อพระเป็นส่วนน้อยเเละสำหรับบางองค์จะปรากฎอยู่ตามผิว ถ้า ใช้เเว่นขยายตรวจดูอย่างละเอียดโดยเฉพาะจะมีมากสำหรับเนื้อประเภทเเกร่ง
- 42 - | P a g e
- 43 - | P a g e
- 44 - | P a g e หมายเลข ๑ แบบพิมพ์เขื่อง พระเกตุเรียว พระพักตร์ผลมะตูม พระศอกลืนหาย แนวพระอังสาเสมอกัน ลำพระองค์ผายงาม พระพาหาล่ำสันและทอดงาม การซ้อน พระหัตถ์ชัด พระเพลาโค้ง หนางาม (พระชานุซ้ายเป็นปมเขื่อง) พระอาสนะแบบ แซม คมชัด (นิสีทนะคม ชั้นบนโค้งและหนางาม บัวลูกแก้วคม ชั้นกลางคมขวาน เท้าสิงห์คม ชั้นล่างมีเส้นลวดกันลายรางๆ) ซุ้มฯหวายผ่า (ด้านซ้ายดุ้งเล็กน้อย) กรอบงามสมภาคดี เนื้อกระแจะจันทน์ หนึกนุ่ม ความซึ้งจัด (มีอิทธิวัตถุหม่นๆจัด) ผิวเยื่อหอม สีเมล็ดพิกุล หมายเลข ๑๐ แบบพิมพ์เขื่อง พระเกตุปลีคตกฤช พระพักตร์ป้อม พระศอ กลืนหาย พระอังสกุฏซ้ายคอดและต่ำกว่าเบื้องขวา ลำพระองค์ตัววี พระ อุระผายงาม พระพาหาและการทอดงาม ข้อพระกรซ้ายดุ้ง เส้นชายจีวร คม พระอาสนะแบบโค้ง คมชัด ชั้นกลางคมขวาน เท้าสิงห์งามมาก ชั้น ล่างมุมทั้งสองตัดเกือบได้ฉาก และมุมขวาตัดยอด ซุ้มฯหวายผ่า แป้วเบื้อง บน กรอบเบี้ยวเล็กน้อย กรอบกระจก สมภาคเบี้ยวเล็กน้อยเ นื้อกระแจะ จันทร์ หนึกนุ่นจัด ความซึ้งดี มีดอกลายของอิทธิวัตถุมาก ผิวเยื่อ หอม เมล็ดพิกุล
- 45 - | P a g e หมายเลข ๑๖ แบบพิมพ์สันทัด พระเกตุปลี พระพักตร์รูปไข่ พระศอลำ แนวพระอังสาปีกกางาม พระอังสกุฏซ้ายต่ำกว่าเบื้องขวา ลำพระองค์ผาย พระพาหาและการทอดงาม การซ้อนพระหัตถ์ชัด พระเพลาแคบ พระหนุ ซ้ายเป็นปมเขื่อง เส้นชายจีวรคม พระอาสนะแบบธรรมดา คมชัด ชั้นกลาง คมขวาน เท้าสิงห์คมชัดมาก ชั้นล่างเส้นลวดกันลายชัด ซุ้มฯ หวายผ่าเขื่อง งาม กรอบงาม สมภาคงามมาก เนื้อเกสรดอกไม้ หนึกนุ่มจัด ความซึ้งจัด ผิวเยื่อหอม สีลาน หมายเลข ๑๗ แบบพิมพ์เขื่อง พระเกตุทะลุซุ้มฯ พระพักตร์เสี้ยม พระศอ ชะลูด แนวพระอังสาปีกกางาม พระอังสกุฎซ้ายคอดและสูงกว่าเบื้องขวา ลำพระองค์ผาย งามมาก พระพาหาเขื่องและทอดงามมาก การซ้อนพระ หัตถ์คมชัด พระเพลากว้างคม เส้นชายจีวรคมมาก พระอาสนะแบบแซม คมชัด (เส้นกลางคมขวาน, เท้าสิงห์ คมชัดมาก ชั้นล่างตัดมุมขวาสอบกว่า มุมซ้าย และมุมซ้ายตัดยอดบน) ซุ้มฯหวายผ่าเขื่องงามมาก กรอบงาม สม ภาคงามมาก เนื้อปูนแกร่ง หนึกแกร่ง ความซึ้งดี ผิวฟูบางและแป้งโรยพิมพ์ สีจำปี (ด้านหลังมีสีชมพูเรื่อๆ)
- 46 - | P a g e
- 47 - | P a g e
- 48 - | P a g e
- 49 - | P a g e
- 50 - | P a g e ๑๐ พมิพเ์ขือ่ง เนือ้ กระแจะจันทร ์ หนึกนุ่ม จดัผวิเยือ่หอม เมล ็ ด พิกุล ๑๑ พมิพเ์ขือ่ง เนือ้ เกสร ดอกไม้ แตกลายงาอ่อน หนึกนุ่ม ผิวเรียบบาง สี งาช ้าง มีรักทองเก่าร าไร ๑๒ พมิพเ์ขือ่ง เนือ้ กระแจะจันทร ์ หนึกนุ่ม จัด สีเมล็ดพิกุล ๑๔ โปรง่เนือ้ปูนแกรง่ความซึ ้งดีผวิเรยีบหนา สี จ าปาขาวระยับ ดุจกระเบือ้งโป๊สเลน