โครงการออกแบบตกแต่งภายในพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง PHU WIANG DINOSUAR MUSEUM INERIOR DESIGN PROJECT นางสาวณภัทร มหาแสน วิทยานิพนธ์ปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น
โครงการออกแบบตกแต่งภายในพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง นางสาวณภัทร มหาแสน วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาการออกแบบอุสาหกรรม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ.2566
PHU WIANG DINOSUAR MUSEUM INERIOR DESIGN PROJECT NAPAT MAHASAEN A THESIS SUBMITTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR THE DEGREE OF BACHELOR OF INDUSTRIAL DESIGN IN ARCHITECHTURE GRADUATE SCHOOL KHON KAEN UNIVERSITY 2023
นางสาวณภัทร มหาแสน. 2563. โครงการออกแบบตกแต่งภายในพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง. วิทยานิพนธ์ปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาการออกแบบอุสาหกรรม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์: รศ.ดร.ยิ่งสวัสดิ์ ไชยกุล บทคัดย่อ โครงการฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งในวิชาศิลปะนิพนธ์ซึ่งเป็นรายวิชาสุดท้ายในการศึกษาในระดับ ปริญญาตรี เพื่อให้นักศึกษาได้แสดงความสามรถและ ความรู้ในตลอดระยะเวลาที่ได้ศึกษามา โดย โครงการนี้จะเป็นโครงการออกแบบและตกแต่งภายใน ที่ต้องศึกษาข้อมูลและมาตรฐานของ พิพิธภัณฑ์ ตลอดจนการให้ข้อมูลและการตลาด ซึ่งมีความหลากหลายและมีประโยชน์ต่อข้าพเจ้าใน การทำโครงการฉบับนี้ โครงการนี้เป็นออกแบบตกแต่งภายในพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง จังหวัดขอนแก่น มี แนวทางการออกแบบตกแต่งภายในซึ่งนำการออกแบบบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์มาเป็นส่วนหนึ่ง ของการออกแบบ เพื่อให้เกิดความดึงดูดให้น่าสนใจและเล่าเรื่องราวของไดโนเสาร์ผ่านมุมมองที่แปลก ใหม่ให้แก่พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง
สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก สารบัญ ข บทที่ 1 บทนำ 1 1. ที่มาและความสำคัญ 1 2. วัตถุประสงค์ 2 3. ขอบเขตของโครงการ 2 4. สภานที่ตั้งโครงการ 2 บทที่ 2 ทฤษฎี แนวคิด เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3 1. ข้อมูลพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง 5 1.1 ประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง 5 2. การค้นพบไดโนเสาร์ในประเทศไทย 7 2.1 สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส (Siamotyrannus isanensis) 7 2.2 ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ (Phuwiangosaurus sirindhornae) 8 2.3 สยามโมซอรัส สุธีธรณี (Siamosaurus suteethorni) 8 2.4 กินรีมิมัส ขอนแก่นเอนซิส (Kinnareemimus khomkaenensis) 9 2.5 อีสานโนซอรัส อรรถวิภัชน์ชี (Isanosaurus attavipatchi) 9 2.6 ซิททาโกซอรัส สัตยารักษ์คิ (Psittacesaurus sattayaraki) 9 2.7 สิรินธรนา โคราชเอนซิส (Sirindhorna khoratensis) 10 2.8 สยามโมดอน นิ่มงามมิ (Siamodon nimngami) 10 2.9 ราชสีมาซอรัส สุรนารีเอ (Rachasimasaurus suranareae) 11 2.10 ภูเวียงเวเนเตอร์ แย้มนิยมมิ (Phuwiangvenator yaemniyomi) 11 2.11 วายุแรปเตอร์ หนองบัวลำภูเอนซิส (Vayuraptor nongbualamphuensis) 12 2.12 สยามแรปเตอร์ สุวัจน์ติ (Siamraptor suwati) 12 2.13 มินิโมเคอร์เซอร์ ภูน้อยเอนซิส (Minimocursor phunoiensis) 13
3. หลักการออกแบบเส้นทางสัญจรภายในพิพิธภัณฑ์ และอาร์ตแกลอรี่ 13 3.1 ทางสัญจรแบบ Centralized System of Access 14 3.2 ทางสัญจรแบบ Decentralized System of Access 18 4. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ 19 4.1 ความหมายของบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ 19 4.2 ประเภทของบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ 20 4.3 วงการภาพยนตร์บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ 22 5. Futuristic Architecture 24 5.1 Plug-in City 24 5.2 Walking City 25 5.3 Marine city 26 5.4 Retro Futurism 28 5.5 Cyberpunk 29 5.6 Neo Futuristic Architecture in movie 31 บทที่ 3 รายละเอียด และการวิเคราะห์โครงการ 32 1. การวิเคราะห์ที่ตั้งโครงการ 32 2. การวิเคราะห์ผู้ใช้โครงการ 33 3. การวิเคราะห์พื้นที่ใช้สอย 33 3.1 โซน 1 กำเนิดจักรวาล วิวัฒนาการสิ่งมีชีวิต และเรื่องราวของไดโนเสาร์ทั่วโลก 33 3.2 โซน 2 ไดโนเสาร์ในแหล่งเทือกเขาภูเวียง 34 3.3 โซน 3 ห้องปฏิบัติการด้านซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยาและซากดึกดำบรรพ์ ในจังหวัดขอนแก่น 34 3.4 โซน 4 สวนไดโนเสาร์ 35 3.5 โซน 5 ยุคเทอร์เชียรี การใช้ประโยชน์หินแร่ และห้องเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 35 บทที่ 4 ขอบเขตการออกแบบ และปรับปรุงโครงการ 36 1. แนวคิดการออกแบบ 36
2. การออกแบบเส้นทางสัญจร และแผนผังภายในพิพิธภัณฑ์ 37 2.1 การออกแบบการจัดนิทรรศการ 37 2.2 การออกแบบเส้นทางสัญจร 39 2.3 การออกแบบแปลนเฟอร์นิเจอร์ 40 2.4 การออกแบบวัสดุ 42 3. ภาพผลงานการออกแบบ 43 3.1 Zone 1 Beginning of The Universe 43 3.2 Zone 2 Living Fossil 44 3.3 Zone 3 Dino Lab 46 3.4 Zone 4 Mineral Cave 50 3.5 Zone 5 Souvenir 51 3.6 รายละเอียดอื่นๆ 53 3.7 โมเดลไดโนเสาร์ 55 บทที่ 5 บทสรุป และข้อเสนอแนะ 59 1. สรุปโครงการ 59 2. ปัญหาและข้อเสนอแนะ 59 เอกสารอ้างอิง 60
1 บทที่ 1 บทนำ 1. ที่มาและความสำคัญ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเวียงเก่า เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ศึกษาวิจัยซากดึก ดำบรรพ์ไดโนเสาร์ภูเวียง เพื่อการอนุรักษ์ เพื่อประโยชน์ของสังคมและส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกิดการพัฒนาแบบ ยั่งยืนต่อไป โดยจัดแสดงซากดึกดำบรรพ์ของกระดูกไดโนเสาร์ ชิ้นส่วนต่างๆ และรอยเท้า โดยซากดึกดำบรรพ์ ไดโนเสาร์ชิ้นแรกของไทยพบที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ในปี 2519 อาคารพิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนบริการ ได้แก่ ร้านขายของที่ระลึก ห้องอาหาร ห้องบรรยาย ส่วนวิชาการ ได้แก่ ห้องปฏิบัติการ ห้องทำงาน ห้องสมุด และส่วนนิทรรศการ ได้แก่ ห้องจัดแสดงชั้นล่างและชั้นบน จัดแสดงนิทรรศการการกำเนิดโลก หิน แร่ ซากดึกดำบรรพ์ และหุ่นจำลองไดโนเสาร์ ซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ชิ้นแรกของไทยพบที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ในปี 2519 โดยนายสุธรรม แย้มนิยม อดีตนักธรณีวิทยาของกรมทรัพยากรธรณี ขณะสำรวจแร่ยูเรเนียม ในหมวดหินเสาขัว ที่อุทยานแห่งชาติภู เวียง บริเวณห้วยประตูตีหมา กระดูกชิ้นนี้มีความกว้างยาวประมาณ 1 ฟุต จากการเปรียบเทียบพบว่ามีลักษณะ ใกล้เคียงกับไดโนเสาร์ซอโรพอดซึ่งมีขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 15 เมตร และจากการตรวจสอบพบว่าเป็นส่วนปลาย ล่างสุดของกระดูกต้นขาของไดโนเสาร์จำพวกกินพืช การสำรวจไดโนเสาร์ที่ภูเวียงได้เริ่มต้นอย่างจริงจังในปี 2524 โดยนายเชิงชาย ไกรคง นักธรณีวิทยาจาก กรมทรัพยากรธรณี ได้พาคณะสำรวจโบราณชีววิทยาไทยและฝรั่งเศสขึ้นไปสำรวจกระดูกไดโนเสาร์ บริเวณยอดห้วย ประตูตีหมา อำเภอภูเวียง คณะสำรวจพบกระดูกไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ รวมทั้งฟันจระเข้ กระดองเต่า ฟันและ เกล็ดปลาโบราณ และจากการสำรวจในเวลาต่อมาได้พบกระดูกไดโนเสาร์อีกหลายชนิด ศูนย์ศึกษาวิจัยและ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียงจึงถูกจัดตั้งขึ้น โดยความร่วมมือของกรมทรัพยากรธรณี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และจังหวัดขอนแก่น เพื่อเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าวิจัยซากดึกดำบรรพ์อย่างเป็นระบบของนักธรณีวิทยา ทั้งเป็นแหล่ง เรียนรู้แก่เยาวชนและผู้สนใจ (พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ขอนแก่น, 2561) ไซ-ไฟ (Sci-Fi) หรือ บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ (Science fiction) โดยภาพกว้างๆ ก็คือ เรื่องที่ จินตนาการขึ้นมาไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบสื่อใดๆก็ตาม จะเป็น นวนิยาย ภาพยนตร์ การ์ตูน หรือสื่อบันเทิงอื่นๆ โดยเน้นการนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ วิทยาการ หรือเทคโนโลยีก้าวล้ำ อันส่งผลกระทบต่อบุคคลหรือ ต่อสังคมโลก (Chuejeen, 2557) จากที่มาที่กล่าวไปข้างต้นทำให้ผู้ดำเนินโครงการมีแนวคิดนำพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง มาปรับโฉมใหม่ให้ มีความทันสมัยและเข้าถึงผู้คนมากขึ้น โดยการหยิบยกสไตล์ของภาพยนต์บันเทิงแนววิทยาศาสตร์มาผสมรวมและ นำมาออกแบบตกแต่งภายในพิพิธภัณฑ์สิรินธร
2 2. วัตถุประสงค์ 2.1 เพื่อนำเสนอพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียงในรูปแบบใหม่ ที่สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจและ สามารถสนุกได้ไปในตัว 2.2 เพื่อออกแบบตกแต่งภายในพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียงในสไตล์ภาพยนต์บันเทิงคดีแนว วิทยาศาสตร์และสามารถตอบสนองต่อผู้ชมได้มากขึ้น 3. ขอบเขตของโครงการ 3.1 ศึกษาการจัดการของพื้นที่พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง 3.2 ศึกษางานออกแบบสไตล์ของภาพยนตร์บันเทิงแนววิทยาศาสตร์ 4. สภานที่ตั้งโครงการ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ อุทยานแห่งชาติภูเวียง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เป็น ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียงที่จัดตั้งขึ้นจากความร่วมมือของกรมทรัพยากรธรณี การท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย และ จังหวัดขอนแก่น เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านธรณีวิทยา ธรรมชาติวิทยาและซากดึกดำบรรพ์ ที่ให้ ความรู้แก่เยาวชนและผู้ที่สนใจ(nukkpidet, 2563) ภาพที่1 ตำแหน่งพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง
3 บทที่ 2 ทฤษฎี แนวคิด เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โครงการออกแบบตกแต่งภายในพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียงผู้ดำเนินโครการได้ศึกษาค้นคว้า ทฤษฎี แนวคิด งานวิจัยและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาประกอบการนำเสนอผลการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และเพื่อให้ บรรลุวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ได้กำหนดไว้ โดยมีหัวข้อดังต่อไปนี้ 1. ข้อมูลพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง 1.1 ประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง 2. การค้นพบไดโนเสาร์ในประเทศไทย 2.1 สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส 2.2 ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ 2.3 สยามโมซอรัส สุธีธรณี 2.4 ซิททาโกซอรัส สัตยารักษ์คิ 2.5 กินรีมิมัส ขอนแก่นเอนซิส 2.6 อีสานโนซอรัส อรรถวิภัชน์ชี 2.7 สิรินธรน่า โคราชเอนซิส 2.8 สยามโมดอน นิ่มงามมิ 2.9 ราชสีมาซอรัส สุรนารีเอ 2.10 ภูเวียงเวเนเตอร์ แย้มนิยมมิ 2.11 วายุแรปเตอร์ หนองบัวลำภูเอนซิส 2.12 สยามแรปเตอร์ สุวัจน์ติ 2.13 มินิโมเคอร์เซอร์ ภูน้อยเอนซิส 3. หลักการออกแบบเส้นทางสัญจรภายในพิพิธภัณฑ์ และอาร์ตแกลอรี่ 3.1 ทางสัญจรแบบ Centralized System of Access 3.2 ทางสัญจรแบบ Decentralized System of Access 4. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ 4.1 ความหมายของบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ 4.2 ประเภทของบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ 4.3 ภาพยนตร์บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์
4 5. Futuristic Architecture 5.1 Plug-in City 5.2 Walking City 5.3 Marine city 5.4 Retro Futurism 5.5 Cyberpunk 5.6 Neo Futuristic Architecture in movie
5 1. ข้อมูลพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง 1.1 ประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเวียงเก่า เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ ศึกษาวิจัยซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ภูเวียง เพื่อการอนุรักษ์ เพื่อประโยชน์ของสังคมและส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกิด การพัฒนาแบบยั่งยืนต่อไป โดยจัดแสดงซากดึกดำบรรพ์ของกระดูกไดโนเสาร์ ชิ้นส่วนต่างๆ และรอยเท้า โดยซาก ดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ชิ้นแรกของไทยพบที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ในปี 2519 อาคารพิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนบริการ ได้แก่ ร้านขายของที่ระลึก ห้องอาหาร ห้องบรรยาย ส่วนวิชาการ ได้แก่ ห้องปฏิบัติการ ห้อง ทำงาน ห้องสมุด และส่วนนิทรรศการ ได้แก่ ห้องจัดแสดงชั้นล่างและชั้นบน จัดแสดงนิทรรศการการกำเนิดโลก หิน แร่ ซากดึกดำบรรพ์ และหุ่นจำลองไดโนเสาร์ ภาพที่ 2 ป้ายพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ที่มา: paiduaykan.com ซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ชิ้นแรกของไทยพบที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ในปี 2519 โดย นายสุธรรม แย้มนิยม อดีตนักธรณีวิทยาของกรมทรัพยากรธรณี ขณะสำรวจแร่ยูเรเนียม ในหมวดหินเสาขัว ที่ อุทยานแห่งชาติภูเวียง บริเวณห้วยประตูตีหมา กระดูกชิ้นนี้มีความกว้างยาวประมาณ 1 ฟุต จากการเปรียบเทียบ พบว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับไดโนเสาร์ซอโรพอดซึ่งมีขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 15 เมตร และจากการตรวจสอบพบว่า เป็นส่วนปลายล่างสุดของกระดูกต้นขาของไดโนเสาร์จำพวกกินพืช ภาพที่ 3 ซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ ที่มา: prapunwisa.wordpress.com
6 การสำรวจไดโนเสาร์ที่ภูเวียงได้เริ่มต้นอย่างจริงจังในปี 2524 โดยนายเชิงชาย ไกรคง นัก ธรณีวิทยาจากกรมทรัพยากรธรณี ได้พาคณะสำรวจโบราณชีววิทยาไทยและฝรั่งเศสขึ้นไปสำรวจกระดูกไดโนเสาร์ บริเวณยอดห้วยประตูตีหมา อำเภอภูเวียง คณะสำรวจพบกระดูกไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ รวมทั้งฟันจระเข้ กระดองเต่า ฟันและเกล็ดปลาโบราณ และจากการสำรวจในเวลาต่อมาได้พบกระดูกไดโนเสาร์อีกหลายชนิด ศูนย์ ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียงจึงถูกจัดตั้งขึ้น โดยความร่วมมือของกรมทรัพยากรธรณี การท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย และจังหวัดขอนแก่น เพื่อเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าวิจัยซากดึกดำบรรพ์อย่างเป็นระบบของนักธรณีวิทยา ทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้แก่เยาวชนและผู้สนใจ (พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ขอนแก่น, 2561) ภาพที่ 4 ภายในพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ที่มา: paiduaykan.com ภาพที่ 5 การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ที่มา: https://www.paiduaykan.com
7 2. การค้นพบไดโนเสาร์ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา คณะสำรวจโบราณชีววิทยาไทย – ฝรั่งเศส ได้ทำการศึกษาวิจัยอย่างเป็น ระบบเกี่ยวกับซาดึกดำบรรพ์ของสัตว์มีกระดูก สันหลังในประเทศไทย ซากดึกดำบรรพ์คือ ไดโนเสาร์ที่พบมีอายุ เก่าแก่ที่สุดอยู่ในยุคไทรแอสซิกตอนปลาย (209 ล้านปีก่อน) และอายุน้อยที่สุดอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนกลาง (100 ล้านปีก่อน) ไดโนเสาร์ที่พบในประเทศไทยมีทั้งที่เป็นชนิดที่พบใหม่ของโลก และชนิดที่พบอยู่ทั่วไป โดยแหล่งขุดค้น ไดโนเสาร์ส่วนใหญ่อยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ชัยภูมิเป็นต้น จึงมีการนำคำว่า “อีสาน” มาตั้งเป็นชื่อไดโนเสาร์และตั้งชื่อตามชื่อของบุคคลหรือสถานที่ที่ขุดค้นพบด้วย (การค้นพบไดโนเสาร์ใน ประเทศไทย, ม.ป.ป.) ภาพที่ 6 คณะสำรวจโบราณชีววิทยาไทย ที่มา: pantip.com 2.1 สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส (Siamotyrannus isanensis) ไดโนเสาร์ตระกูลใหม่ของไทยถูกค้นพบที่บริเวณหินลาดยาว อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เมื่อเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2536 ไดโนเสาร์เทอโรพอด (ไดโนเสาร์ที่เดิน 2 เท้า) ขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 6.5 เมตร มีชีวิตอยู่ ในยุคครีเทเชียสตอนต้นเมื่อประมาณ 130 ล้านปีก่อน มีขาหลังที่ใหญ่และแข็งแรงมาก พบกระดูกสันหลัง สะโพ และหางที่มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ฝังในชั้นหินทราย จากการศึกษาพบว่าอยู่ในวงศ์ไทรันโนซอริเดที่เก่าแก่ที่สุด ทำ ให้สันนิษฐานได้ว่ากลุ่มของ ไทรันโนซอร์เริ่มวิวัฒนาการครั้งแรกในเอเชียแล้วค่อยแพร่กระจาย ไปทางเอเชียเหนือ และสิ้นสุดที่อเมริกาเหนือก่อนที่สูญพันธุ์ไป ภาพที่ 7 ภาพจำลองสยามโมไทรันนัสฯ ที่มา: naewna.com
8 2.2 ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ (Phuwiangosaurus sirindhornae) ไดโนเสาร์ซอโรพอด (ไดโนเสาร์ที่เดิน 4 เท้า คอและหางยาว กินพืชเป็นอาหาร) ชนิดแรกของไทย ถูก ค้นพบที่บริเวณประตูตีหมา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น มักอยู่รวมกันเป็นฝูง พบกระดูกของพวกวัยเยาว์รวมอยู่ ด้วย ซึ่งมีขนาดยาว 2 เมตร และสูงเพียงครึ่งเมตรเท่านั้น ไดโนเสาร์ชนิดนี้มีชีวิตอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนต้นเมื่อ ประมาณ 130 ล้านปีก่อน ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช กุมารี ภาพที่ 8 ภาพจำลองภูเวียงโกซอรัสฯ ที่มา: naewna.com 2.3 สยามโมซอรัส สุธีธรณี (Siamosaurus suteethorni) ไดโนเสาร์ชนิดแรกของไทยตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่ นายวราวุธ สุธีธร ผู้มีส่วนร่วมในการสำรวจ พบที่ บริเวณประตูตีหมา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ไดโนเสาร์เทอโรพอด (ไดโนเสาร์ที่เดิน 2 เท้า) ขนาดใหญ่ ความ ยาวประมาณ 7 เมตร มีชีวิตอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนต้นประมาณ 130 ล้านปีก่อน สันนิษฐานว่าไดโนเสาร์เทอโรพอด ทีทมีฟันรูปทรงกรวยมีแนวร่องและสันเรียงสลับตลอดฟันคล้ายจระเข้ และมีลักษณะปากคล้ายสัตว์เลื้อยคลานพวก กินปลามีแหล่งหากินอยู่ริมน้ำและกินปลาเป็นอาหาร ภาพที่ 9 ภาพจำลองสยามโมซอรัสฯ ที่มา: naewna.com
9 2.4 กินรีมิมัส ขอนแก่นเอนซิส (Kinnareemimus khomkaenensis) กินรีมิมัส ขอนแก่นเอนซิส หรือไดโนเสาร์นกกระจอกเทศ วิ่งเร็ว ปราดเปรียว ไม่มีฟัน กินทั้งพืชและสัตว์ เป็นอาหาร ความยาวประมาณ 1-2 เมตร มีชีวิตอยู่ในยุคครีเทเซียสตอนต้น เมื่อประมาณ 130 ล้านปีก่อน พบที่ จังหวัดขอนแก่น ภาพที่ 10 ภาพจำลองกินรีมิมัสฯ ที่มา: naewna.com 2.5 อีสานโนซอรัส อรรถวิภัชน์ชี (Isanosaurus attavipatchi) ไดโนเสาร์กินพืชที่มีลักษณะเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา เป็นไดโนเสาร์ซอโรพอด (ไดโนเสาร์กินพืชขนาด ใหญ่ เดิน 4 ขา คอยาว หางยาว) พบที่ อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ เมื่อปี 2541 เป็นไดโนเสาร์กินพืชคอยาว อายุราว 210 ล้านปี มีชีวิตอยู่ในยุคไทรแอสซิกตอนปลายประมาณ 209 ล้านปีมาแล้ว ความยาว 13 – 15 เมตร ชื่อชนิด อรรถวิภัชน์ชิ ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ นายปรีชา อรรถวิภัชน์ อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ภาพที่ 11 ภาพจำลองกินอีสานโนซอรัสฯ ที่มา: naewna.com 2.6 ซิททาโกซอรัส สัตยารักษ์คิ (Psittacesaurus sattayaraki) ไดโนเสาร์พวกสะโพกแบบนกเป็นพวกเซอราทอปเชียนหรือไดโนเสาร์ปากนกแก้ว ค้นพบโดย นายนเรศ สัตยารักษ์ ขุดพบที่จังหวัดชัยภูมิ มีชีวิตอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนกลางประมาณ 100 ล้านปีก่อน กินพืชขนาดเล็กเป็น อาหาร ยาวประมาณ 1 เมตร ในอดีตพบเฉพาะในแถบเอเชียกลางบริเวณซานตุงประเทศจีน ประเทศมองโกเลีย และไซบีเรียเท่านั้น ในประเทศไทยพบที่จังหวัดชัยภูมิในชั้นหิน การค้นพบซากไดโนเสาร์ชนิดนี้เป็นการยืนยันว่า เมื่อต้นยุคครีเทเชียสแผ่นดินอินโดจีนเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ทวีปเอเชียแล้ว
10 ภาพที่ 12 ภาพจำลองซิททาโกซอรัสฯ ที่มา: naewna.com 2.7 สิรินธรนา โคราชเอนซิส (Sirindhorna khoratensis) สิรินธรนา โคราชเอนซิส เป็นไดโนเสาร์กินพืชจำพวกอิกัวโนดอน สูงประมาณ 2 เมตร ยาว 6 เมตร มี กระดูกสะโพกแบบนก (ออร์นิโธพอด) จัดเป็นไดโนเสาร์เคลดอีกัวโนดอนเทีย (Iguanodontia) ที่มีลักษณะเก่าแก่ หรือเป็นไดโนเสาร์ปากเป็ดยุคแรกๆ เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่แถบอำเภอเมืองนครราชสีมา เมื่อประมาณ 115 ล้านปี ก่อน ซึ่งสภาพภูมิประเทศตอนนั้นเป็นที่ราบลุ่มต่ำ ในสภาพภูมิอากาศที่ค่อนข้างแห้งแล้ง คล้ายกึ่งทะเลทราย ค้นพบ ที่บ้านสะพานหิน ต.สุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา หมวดหินโคกกรวด พบกระดูกขากรรไกรล่างซ้าย กระดูก ขากรรไกรบนซ้าย และกระดูกโหนกแก้มขวาพบที่จังหวัดนครราชสีมา ภาพที่ 13 ภาพจำลองสิรินธรนาฯ ที่มา: naewna.com 2.8 สยามโมดอน นิ่มงามมิ (Siamodon nimngami) สยามโมดอน นิ่มงามมิ ไดโนเสาร์ออร์นิโธพอดสกุลใหม่ ชนิดใหม่ของโลก มีอายุอยู่ในช่วง 100 ล้านปี ที่มาของสกุล Siamodon มาจาก Siam ชื่อเดิมของประเทศไทย odoust เป็นภาษากรีก แปลว่า ฟัน พบที่จังหวัด นครราชสีมา ไดโนเสาร์กินพืช มีลักษณะของกระดูกขากรรไกรบนเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วที่มียอดสามเหลี่ยมไม่สูง นัก ซึ่งมีความยาวทางด้านหน้าสามเหลี่ยม กับด้านหลังสามเหลี่ยมเกือบเท่าๆ กัน คือมีความยาวของขากรรไกรบน 230 มิลลิเมตร และมีความสูง 100 มิลลิเมตร
11 ภาพที่ 14 ภาพจำลองสยามโมดอนฯ ที่มา: naewna.com 2.9 ราชสีมาซอรัส สุรนารีเอ (Rachasimasaurus suranareae) ไดโนเสาร์กินพืช จำพวกอีกัวโนดอน จัดอยู่ในประเภทไดโนเสาร์ที่มีกระดูกสะโพกแบบนก พบกรามล่าง ซ้ายและร่องฟันโค้งตามรูปฟัน และมีโครงขากรรไกรชี้ไปด้านหลัง ขาหน้าสั้นกว่าขาหลัง มักเดินสองเท้าหรือเดินสี่ เท้าเป็นครั้งคราว นิ้วมือและเท้ามี 5 นิ้ว สามารถงุ้มงอนิ้วเพื่อจับกิ่งไม้ได้และมีนิ้วโป้งขนาดใหญ่สันนิษฐานว่าอาจจะ มีไว้เพื่อป้องกันตัว ปลายปากคล้ายเป็ดและคาดว่ามีลิ้นยาวเพื่อตวัดอาหารเข้าปาก กินพืชพวกเฟิร์นและหญ้าหางม้า เป็นอาหาร มีชีวิตอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนกลาง หรือประมาณ 100 ล้านปีก่อน พบที่จังหวัดนครราชสีมา ภาพที่ 15 ภาพจำลองราชสีมาซอรัสฯ ที่มา: naewna.com 2.10 ภูเวียงเวเนเตอร์ แย้มนิยมมิ (Phuwiangvenator yaemniyomi) ไดโนเสาร์ภูเวียงเวเนเตอร์ แย้มนิยมมิ หรือไดโนเสาร์นักล่าแห่งเทือกเขาภูเวียง ส่วนแย้มนิยมมิ ตั้งขึ้นเพื่อ เป็นเกียรติให้แก่ คุณสุธรรม แย้มนิยม อดีตข้าราชการกรมทรัพยากรธรณี ผู้ค้นพบกระดูกไดโนเสาร์ชิ้นแรกของ ประเทศไทย ที่อุทยานแห่งชาติภูเวียงเมื่อ 40 กว่าปีก่อน อันนำมาสู่การศึกษาวิจัยไดโนเสาร์ในประเทศไทยในเวลา ต่อมา ภาพที่ 16 ภาพจำลองภูเวียงเวเนเตอร์ฯ ที่มา: springnews.co.th
12 2.11 วายุแรปเตอร์ หนองบัวลำภูเอนซิส (Vayuraptor nongbualamphuensis) ไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดกลาง กลุ่มเทอโรพอด พวกซีลูโรซอร์ยุคแรกๆ (Basal Coelurosaur : มีสายวิ วัฒนากรไปทางนก) พบที่จังหวัดหนองบัวลำภู ชิ้นส่วนกระดูกที่พบประกอบด้วย กระดูกขาหลัง กระดูกนิ้วขาหน้า กระดูกหัวหน่าว ซี่โครง และกระดูกจะงอยบ่า อยู่ในหมวดหินเสาขัว ยุคครีเทเชียสตอนต้นหรือประมาณ 130 ล้านปี ก่อน ด้วยกระดูกขาที่พบมีความแตกต่างจากที่เคยพบมา จึงตั้งชื่อสกุลและชนิดใหม่ โดยตั้งชื่อตามเทพวายุ เป็นเทพ แห่งสายลม เปรียบเสมือนไดโนเสาร์ที่มีความปราดเปรียวว่องไว ภาพที่ 17 ภาพจำลองวายุแรปเตอร์ฯ ที่มา: springnews.co.th 2.12 สยามแรปเตอร์ สุวัจน์ติ (Siamraptor suwati) ไดโนเสาร์กินเนื้อ สยามแรปเตอร์พบที่บ้านสะพานหิน จ.นครราชสีมา มีอายุประมาณ 113 - 115 ล้านปี ก่อน ในช่วงต้นยุคครีเตเชียส ไดโนเสาร์ชนิดนี้จัดอยู่ในกลุ่มคาร์คาโรดอนโตซอร์ เป็นไดโนเสาร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และครองตำแหน่งผู้ล่าสูงสุดเนิ่นนานก่อนที่ไทแรนโนซอร์จะวิวัฒนาการขึ้นมาจนใหญ่โตในภายหลัง ด้วยความยาว ไม่ต่ำกว่า 7.6 เมตร สยามแรปเตอร์จึงเป็นผู้ล่าสูงสุดในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้มันยังเป็นคาร์คาโรดอนโตซอร์ที่เก่าแก่ ที่สุด และยังเป็นตัวแรกที่ถูกค้นพบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาพที่ 18 ภาพจำลองสยามแรปเตอร์ ฯ ที่มา: springnews.co.th
13 2.13 มินิโมเคอร์เซอร์ ภูน้อยเอนซิส (Minimocursor phunoiensis) ไดโนเสาร์ตัวล่าสุดเป็นไดโนเสาร์ตัวที่ 13 ของไทย ที่ถูกค้นพบ มินิโมเคอร์เซอร์ ภูน้อยเอนซิส ไดโนเสาร์ นักวิ่งตัวจิ๋วจากแหล่งภูน้อย ต.ดินจี่ อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ เป็นไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์ที่สุดของไทย ด้วยสภาพตัวอย่างที่ เจอเป็นโครงกระดูกเรียงต่อกันแทบทั้งตัว จากแหล่งภูน้อย จ.กาฬสินธุ์ ยุคจูแรสซิกตอนปลาย หรือประมาณ 150 ล้านปี เป็นไดโนเสาร์นีออร์นิธิสเชียนที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(เปิดลิสต์ไดโนเสาร์ไทย 13 สายพันธุ์ มีทั้งกินพืชและกินเนื้อ, 2566) ภาพที่ 19 ภาพจำลองมินิโมเคอร์เซอร์ฯ ที่มา: matichon.co.th 3. หลักการออกแบบเส้นทางสัญจรภายในพิพิธภัณฑ์ และอาร์ตแกลอรี่ ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ และอาร์ตแกลอรี่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และทำกิจกรรมในวันหยุดที่ได้รับความนิยม เป็นอย่างมาก นอกจากจะเป็นที่พักผ่อน ยังเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้ และแรงบันดาลใจของคนในยุคนี้อีกด้วย โดยทั้ง สองสถานที่นี้มีความแตกต่างกัน ดังนี้ พิพิธภัณฑ์คือ สถานที่เก็บรวบรวม และจัดแสดงสิ่งต่าง ๆ ที่มีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม หรือความรู้อื่น ๆ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้ชม อาร์ตแกลอรี่คือ สถานที่จัดนิทรรศการ และการขายงานศิลปะ มักเรียกว่า หอศิลป์บางแห่งมีทั้ง นิทรรศการถาวรที่จัดแสดงตลอดทั้งปีมีการนำเสนอคอลเลกชันเดียวกันเพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถชื่นชมผลงานที่ หลากหลาย และนิทรรศการชั่วคราวที่ต่ออายุเป็นระยะ ถึงแม้ทั้งสองสถานที่นี้จะจัดแสดงผลงานแตกต่างกัน แต่การ ออกแบบเส้นทางสัญจรนั้นมีลักษณะเช่นเดียวกัน การจัดทางสัญจร (Circulation) ภายในห้องแสดงเมื่อพิจารณาตามลักษณะแกนสัญจร หลักสามารถแบ่ง ได้เป็น 2 ระบบ คือ
14 3.1 ทางสัญจรแบบ Centralized System of Access ข้อได้เปรียบ คือความสะดวกต่อการควบคุม และการดูแล คือ ผู้ชมถูกชักนําไปตามเส้นทาง ข้อ เสียเปรียบ คือถ้าสิ่งของต่าง ๆ ที่จัดแสดงก่อนไม่เกิดความประทับใจแก่ผู้ชมจะมีผลต่อสิ่งแสดงที่ต้องการชม โดยเฉพาะ ข้อดี - ควบคุม และรักษาความปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ใช้บุคลากรจำนวนน้อย และกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของผู้ชมได้ทั่วถึง ข้อเสีย - ไม่มีอิสระการเดินชม ต้องชมตามลำดับที่จัด การวางผังจัดตามเส้นทางเลื่อนไหลของผู้ชมเดินตามเส้นทางตามแผนที่ตายตัวจากจุดเริ่มต้นถึง จุดสุดท้าย อาจหยุดดูเป็นช่วง ๆ ระบบ Centralized System of Access แบ่งออกเป็นแบบย่อย ๆ ดังนี้ 3.1.1 เส้นทางสัญจรแบบ Rectilinear Circuit Rectilinear Circuit คือ การเคลื่อนที่ชมงานศิลปะ หรือนิทรรศการเป็นแนวเส้นตรง ผลงานมักจัดแสดงอยู่สองข้างทาง เหมาะกับการจัดช่วงเดินในระยะสั้น ๆ เพราะอาจทำให้รู้สึกเบื่อขณะชมผลงาน ข้อดีคือจัดแสดงผลงาน และแสงไฟได้ง่าย ประหยัดพื้นที่ สามารถวางผลงานได้ทั้งสองข้างทาง แต่ผู้ชมอาจรู้สึกเบื่อ หากเป็นเส้นทางตรงที่ยาวเกินไป ภาพที่ 20 เส้นทางสัญจรแบบ Rectilinear Circuit ที่มา: wazzadu.com
15 3.1.2 เส้นทางสัญจรแบบ Twisting Circuit Twisting Circuit คือ เส้นทางเดินที่เป็นวงจรแบบรอบโถงกลาง จากบันได หรือทาง ลาดกลางอาคารที่เชื่อมต่อระหว่างชั้นแต่ละชั้น เหมาะกับเฉพาะพื้นที่ที่จําเป็นต้องใช้แสงธรรมชาติ หรือมีพื้นที่หลาย ชั้น ตัวอย่างเช่น พื้นที่จัดแสดงทางลาดเวียนของ Bacc หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เป็นต้น เหมาะกับ พิพิธภัณฑ์ หรืออาร์ตแกลอรี่ที่ต้องการแสงธรรมชาติ สามารถใช้พื้นที่บันได หรือทางลาดเวียนได้เกิดประโยชน์ แต่ หากมีคนจำนวนมาก อาจเกิดการกีดขวางเส้นทางเดิน จำเป็นต้องมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ภาพที่ 21 เส้นทางสัญจรแบบ Twisting Circuit ที่มา: wazzadu.com 3.1.3 เส้นทางสัญจรแบบ Weaving Freely Lay out Weaving Freely Lay out คือ ผังรูปสานไปมาอย่างอิสระ ปกติมักใช้ทางลาดเข้าช่วย และใช้องค์ประกอบที่น่าสนใจเป็นตัวชักนําให้ผู้คนเกิดความสนใจในผลงาน ผังแบบนี้ผู้ชมอาจหลงทางได้ ถ้าลักษณะ แปลนเป็นรูปเลขาคณิตเป็นแบบต่อเนื่องกันหมด ผังเป็นรูปสานไปมาอย่างอิสระ แต่ผู้ชมอาจจะหลงทางได้ง่าย หากผังเป็นเรขาคณิตแบบต่อเนื่องกันมากเกินไป ภาพที่ 22 เส้นทางสัญจรแบบ Weaving Freely Lay out ที่มา: wazzadu.com
16 3.1.4 เส้นทางสัญจรแบบ Comb Type Lay out Comb Type Lay out เป็นการจัดวางผังที่มีทางเดินกลางเป็นหลัก มักมีส่วนให้เลือก ชมในเวลาเดียวกัน ทางเข้าอาจเป็นด้านท้ายด้านใดด้านหนึ่ง หรือมีทางเข้าอยู่ตรงกลาง ผู้ชมสามารถไปทางซ้าย หรือขวาได้ ผังสัญจรแบบนี้ถือเป็นการเพิ่มขอบเขตให้แก่ผู้ชม โดยผู้ชมสามารถเลือกดูได้หลายส่วน ไม่เกิดการแออัด ของผู้ชมหากมีผู้ชมจำนวนมาก เนื่องจากมีพื้นที่จัดแสดงให้ดูหลายส่วน ไม่จำเป็นต้องดูเป็นลำดับ แต่เนื่องพื้นที่ที่ให้ เลือกหลายส่วน อาจทำให้ผู้ชมชมผลงานได้ไม่ครบ ภาพที่ 23 เส้นทางสัญจรแบบ Comb Type Lay out ที่มา: wazzadu.com 3.1.5 เส้นทางสัญจรแบบ Chain Lay out Chain Lay out เป็นการวางผังแบบต่อเนื่อง จัดโดยจุดแสดงที่แตกต่างกันมาเชื่อมต่อ กัน มักมีทางสัญจรไหลเวียนเป็นวงกลม โดยไล่ดูไปเป็นลำดับ ๆ ทำให้มีหลากพื้นที่จัดแสดง สามารถแบ่งโซนผลงาน แต่ละประเภทได้ ผู้ชมสามารถเลือกดูผลงานแต่ละพื้นที่ได้ แต่เนื่องจากมีหลายพื้นที่จัดแสดงอาจทำให้ผู้ชมชม ผลงานได้ไม่ครบ ภาพที่ 24 เส้นทางสัญจรแบบ Chain Lay out ที่มา: wazzadu.com
17 3.1.6 เส้นทางสัญจรแบบ Fan Shape Fan Shape คือ ทางสัญจรที่มีทางเข้าจากกลางผังรูปพัด การจัดแบบนี้ทําให้มีโอกาส มากต่อการเลือกชม แต่ผู้ชมต้องตัดสินใจในการเลือกชมค่อนเร็ว ในด้านจิตวิทยาผู้ชมอาจไม่ชอบผังสัญจรลักษณะนี้ เพราะรู้สึกว่าเป็นการบังคับเกินไป และที่จุดรวมตรงกลางทางเข้ามักจะเป็นจุดที่วุ่นวาย การจัดผังสัญจรรูปพัดจะทำ ให้ผู้ชมสามารถเลือกชมได้ง่าย มีทางเข้าตรงกลาง หันหน้าเข้าหาจุดแสดงทำให้มองเห็นผลงานได้ง่าย แต่การจัดแบบ นี้จะทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัดได้ง่าย เพราะบังคับให้ตัดสินใจเลือกชมผลงาน และจุดทางเข้ามักกลายเป็นจุดที่วุ่นวาย มัก มีผู้ชมมายืนบริเวณนี้ค่อนข้างมาก ภาพที่ 25 เส้นทางสัญจรแบบ Fan Shape ที่มา: wazzadu.com 3.1.7 เส้นทางสัญจรแบบ Star Shape Star Shape เป็นผังสัญจรที่มีลักษณะคล้ายดาว หรือหวี การเลือกใช้ผัง Star Shape ผู้ชมจะไม่สามารถเลือกชมได้ หรือเดินแยกได้สะดวกมากนัก การออกแบบผังให้แกนมีความสมดุลถือเป็นสิ่งสำคัญใน การเลือกใช้ผังลักษณะนี้เพราะอาจทำให้ผู้ชมเกิดปัญหาสับสนได้เป็นเส้นทางที่สามารถจัดวางผลงานได้หลายส่วน ผู้ชมสามารถเดินชมผลงานแบบสลับซ้าย-ขวาได้ เหมาะสำหรับพิพิธภัณฑ์ หรืออาร์ตแกลอรี่ที่ต้องการเพิ่มลูกเล่น การเดิน ภาพที่ 26 เส้นทางสัญจรแบบ Star Shape ที่มา: wazzadu.com
18 3.2 ทางสัญจรแบบ Decentralized System of Access Decentralized System of Access มีทางออก และทางเข้าสองทางหรือมากกว่า ผู้ชมอาจ ไม่ได้ไปตามเส้นทางที่กำหนด สามารถเดินไปมาอย่างอิสระ ลักษณะเป็นทางเดินในใจกลางเมือง (พิพิธภัณฑ์อาจเป็น ส่วนหนึ่งของตัวเมือง) วิธีนี้ผู้ชมอาจชมไม่ครบต่อการชม ครั้งหนึ่ง ๆ อาจเข้าชมครั้งต่อไป ถือประโยชน์ด้านสังคม จิตวิทยา (จิตวิทยาเกี่ยวกับการเข้าชม) มักเรียกเส้นทางสัญจรนี้ว่า ถนนนิทรรศการ (หลักการออกแบบเส้นทาง สัญจรภายในพิพิธภัณฑ์ และอาร์ตแกลอรี่ (Circulation design in museum and art gallery), 2565) ข้อดี - มีความน่าสนใจต่อการจัดแสดง - สามารถแบ่งกั้นห้องทำให้เกิดพื้นที่จัดแสดงมากขึ้น - เกิดการกระตุ้นให้เดินดูการแสดงอย่างรวดเร็วมากขึ้น ข้อเสีย - ผู้เข้าชมอาจไม่รู้ตำแหน่ง ควรมี Landmark - เกิดมุมบังไม่สามารถมองเห็นห้องต่างๆ ทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง ภาพที่ 27 เส้นทางสัญจรแบบ Decentralized System of Access ที่มา: wazzadu.com
19 4. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ 4.1 ความหมายของบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ “ไซ-ไฟ” หรือ บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์, ภาษาอังกฤษ “Science fiction” หรือย่อๆ “SciFi” นั่นเองโดยภาพกว้างๆ ก็คือ เรื่องที่จินตนาการขึ้นมาไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบสื่อใดๆก็ตาม จะเป็น นวนิยาย ภาพยนตร์ การ์ตูน หรือสื่อบันเทิงอื่นๆ ฯลฯ โดยเน้นการนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ วิทยาการ หรือ เทคโนโลยีก้าวล้ำ อันส่งผลกระทบต่อบุคคลหรือต่อสังคมโลก หลักเกณฑ์ที่จะพิจารณาว่า สื่อบันเทิงนั้นๆ มีความ เป็นไซ-ไฟ หรือไม่ ? โดยกว้างๆแล้วถ้าหากมีส่วนผสมขององค์ประกอบเชิงวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี อย่างใดอย่าง หนึ่งใน 4 หัวข้อล่างนี้แล้ว ก็พอจะจัดได้เป็น ไซ-ไฟ (แต่จะเป็นไซ-ไฟเข้มข้น หรืออย่างอ่อนๆ ก็เป็นอีกกรณี) ภาพที่ 28 โลกบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ที่มา: space.com 4.1.1 วิทยาการ-เทคโนโลยีสุดล้ำ ได้แก่การมีสิ่งประดิษฐ์หรือ อุปกรณ์เทคโนโลยี- นวัตกรรมล้ำสมัย อาทิระบบคอมพิวเตอร์,หุ่นยนต์, อาวุธยุทโธปกรณ์ ฯลฯ หรือองค์ความรู้วิทยาการล้ำยุคอย่างนา โนเทคโนโลยี พันธุวิศวกรรม การโคลนิ่ง ปัญญาประดิษฐ์(A.I.) เป็นต้น 4.1.2 สิ่งมีชีวิตพิเศษเหนือธรรมดาหรือลี้ลับ อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดนอกโลก อาทิ มนุษย์ต่างดาว สัตว์ประหลาดต่างดาวหรือสิ่งมีชีวิตพิเศษที่เกิดขึ้นภายในโลกเอง ซึ่งมักเกิดจากการทดลองทาง วิทยาศาสตร์ หรือการกลายพันธุ์วิวัฒนาการตามธรรมชาติ อันอาจมีพลังอิทธิฤทธิ์พิเศษ หรือแม้ทำนองเป็นสิ่งมีชีวิต ลี้ลับมองไม่เห็นตัวตนแต่เป็นรูปแบบพลังงาน หรือวิญญาณ ไปจนถึงกรณีของ พระเจ้า! 4.1.3 การเดินทางท่องอวกาศ-ท่องกาลเวลา การเดินทางออกนอกโลกเพื่อปฏิบัติภารกิจ บางอย่าง หรือการสำรวจอวกาศยังต่างดาวอื่นๆหรือแม้กระทั้งการเดินทางผ่านกาลเวลาแบบ ย้อนอดีต ท่องอนาคต หรือมิติคู่ขนาน 4.1.4 ระบบสังคม-สิ่งแวดล้อมใหม่แห่งโลกอนาคต ผลกระทบจากวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี ต่อวิถีผู้คนในสังคมหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเชิงสิ่งแวดล้อม/ภัยธรรมชาติ ระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมือง หรือ แม้แต่ประเด็นทางศาสนา-ลัทธิความเชื่อ ฯลฯ ซึ่งอาจเป็นโลกใหม่อันศิวิไลซ์สวยงาม หรือ โลกหม่นหมอง สังคมอัน เลวร้ายจากสงคราม โรคภัย ก็สุดแท้แต่
20 4.2 ประเภทของบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ ถ้าหากจะแบ่งประเภทของไซ-ไฟต่างๆแล้ว ในเชิงวิชาการย่อมมีวิธีแบ่งกันได้หลากหลาย หมวดหมู่ ก็แล้วแต่ว่าจะใช้เกณฑ์อะไรในการแบ่ง แต่ในที่นี้จะสรุปแบบรวบรัดเข้าใจง่ายที่สุด ขอจัดเป็น 3 ประเภท กว้างๆ โดยพิจารณาจาก กรณีความเข้มข้นของการคำนึงหรือการอ้างอิงหลักความเป็นจริงเชิงวิทยาศาสตร์ ใน เรื่องราวของสื่อไซ-ไฟนั้นๆมาเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ดังนี้ 4.2.1 Hard Sci-Fi หรือ ไซ-ไฟหนักๆ Hard Sci-Fi เป็น Sci-Fi ที่มีองค์ประกอบรวมทั้งบรรยากาศต่างๆ ออกมาค่อนข้าง สมจริงสมเหตุสมผล ให้ความสำคัญกับการอ้างอิงในหลักการหรือทฤษฎีเชิงวิทยาศาสตร์ตามความเป็นจริงค่อนข้าง เคร่งครัดมากเป็นพิเศษ เทคโนโลยีหรือสิ่งประดิษฐ์ต่างๆที่ประกอบในเรื่องจึงน่าเชื่อถือ ทั้งมีแนวโน้มสามารถเป็นไป ได้จริงสูง อาทิ เครื่องมือ อุปกรณ์ ยานอวกาศ ยานพาหนะต่างๆ ฯลฯ (แต่กระนั้นต้องไม่ลืมว่า สมจริงยังไงก็ยังเพียง เรื่องที่จินตนาการแต่งขึ้นอยู่นั่นเอง) Hard Sci-Fi โดยมากอาจไม่เน้นการบู๊แอคชั่นมากนัก มักจะออกแนวดราม่ามากกว่า ทั้งอาจไม่มีนวัตกรรมล้ำหลุดโลกรูปแบบแฟนตาซีตื่นตาตื่นใจ หรือกระทั่งอาจจะไม่มีการปรากฏตัวของมนุษย์ต่าง ดาว สิ่งมีชีวิตสัตว์ประหลาดใดๆเลย แต่จะไปเน้นที่การนำเสนอแนวคิด การตั้งข้อสังเกต หรือการสะท้อนนัยยะ หนักๆ อันเป็นการกระตุ้นความคิดให้ผู้เสพได้ไปจินตนาการต่อเอง ทั้งบางเรื่องอาจมีการนำเสนอที่ออกมาดูล้ำลึกจน เข้าใจยาก เลยเรียกอีกอย่างว่าเป็น “ไซ-ไฟ ปรัชญา” ตัวอย่างภาพยนตร์ไซ-ไฟ ที่นับว่าพอเป็น Hard Sci-Fi อาทิ Metropolis, , Apollo 18, Contact, Moon, Gravity เป็นต้น Hard Sci-Fi จึงอาจเป็นยาขมสำหรับคนทั่วไป แต่ เป็นที่ถูกอกถูกใจต่อกลุ่มคนรักแนวไซ-ไฟ จริงๆ ภาพที่ 29-31 โปสเตอร์ภาพยนต์Hard Sci-Fi ที่มา: imdb.com
21 4.2.2 Soft Sci-Fi หรือ ไซ-ไฟกลางๆ กึ่งๆแฟนตาซี ประเภทนี้จินตนาการอาจมีความเป็นไปได้จริงเชิงทฤษฎีวิทยาศาสตร์อยู่พอควร แต่ก็ มีความเป็นแฟนตาซีมากขึ้นกว่า Hard Sci-Fi ไปอีกระดับSoft Sci-Fiจึงมีความยืดหยุ่นของบรรยากาศ เนื้อเรื่อง และตัวละคร สามารถใส่ลูกเล่นจินตนาการเพ้อฝันได้มากยิ่งขึ้นด้วย โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักความเป็นจริงอย่าง เคร่งครัดเกินไป ตัวอย่างภาพยนตร์ อาทิ Star Gate, Star Trek, Blade Runner, Gattaca, Alien, The Matrix, Inception, Prometheus เป็นต้น ซึ่งมักจะต้องมีฉากแอคชั่น ผจญภัย หรือการปรากฏตัวของมนุษย์ต่างดาว สิ่งมีชีวิตประหลาด กระทั้งเทคโนโลยีรูปแบบหลุดโลกประกอบด้วยบ้างในระดับหนึ่ง อันเป็นสีสันดึงดูดความสนใจได้ เป็นอย่างดี จึงเป็นธรรมดาที่ Soft Sci-Fiค่อนข้างเป็นที่นิยมกว่า Hard Sci-Fi ด้วยมีความสนุกสนานมากกว่า และ เข้าใจง่ายกว่านั่นเอง ทั้งบางเรื่องก็ยังคงมีแฝงความลุ่มลึก ให้แง่คิดหนักๆ มีความเป็น ไซ-ไฟปรัชญา อยู่บ้างด้วย เช่นกัน ภาพที่ 32-34 โปสเตอร์ภาพยนต์Soft Sci-Fi ที่มา: imdb.com 4.2.3 Sci-Fi Fantasy หรือ ไซ-ไฟเพ้อฝันเต็มขั้น ไซ-ไฟแฟนตาซี เป็นไซ-ไฟที่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความถูกต้อง หรือต้องตั้งอยู่บน พื้นฐานความเป็นไปได้จริงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์มากนัก หรือแทบไม่ต้องคำนึงถึงเลยก็ได้ เรียกว่ามโนกันไป ได้เต็มที่ แต่กระนั้นถึงเรียกว่าเพ้อฝัน ในความเป็นไซ-ไฟ ก็ย่อมมีความสมเหตุสมผลในบริบทของเรื่องหรือกฏเกณฑ์ ที่อุปโลกน์ขึ้นมาในท้องเรื่องอยู่นั่นเอง (ไม่งั้นก็จะหลุดไปเป็นเประเภทแฟนตาซี เชิงเทพนิยายเวนมนตร์คาถาไป) และก็ไม่ได้หมายความว่าแค่เพ้อฝัน มิอาจเป็นไปได้จริงเลยซะทีเดียว เพราะวิสัยทัศน์ไอเดียหลายๆอย่างในไซ-ไฟ แฟนตาซี ก็แปลกใหม่ให้แรงบันดาลใจต่อวิทยาศาสตร์ ส่งผลเป็นเทคโนโลยีนวัตกรรมในโลกความเป็นจริงในเวลา ต่อมาได้มากมาย ไม่แพ้ Hard Sci-Fi หรือSoft Sci-Fi แต่ด้วยความเป็น ไซ-ไฟแฟนตาซี จึงไปเน้นที่การสร้างเรื่องให้ สนุกสนานชวนติดตาม ตัวละครมีเอกลักษณ์โดดเด่น ทั้งเน้นฉากบู๊แอคชั่นผจญภัยอลังการเป็นหลักมากกว่า โดยใช้ องค์ประกอบ-บรรยากาศของความเป็นวิทยาศาสตร์เป็นเพียงส่วนส่งเสริม ให้มีความโดดเด่นน่าสนใจยิ่งขึ้นเท่านั้น
22 ภาพยนตร์และสื่อบันเทิงไซ-ไฟส่วนใหญ่จึงมักเป็นประเภท Sci-Fi Fantasy ด้วยมี โอกาสประสบผลสำเร็จในเชิงพาณิชย์มากกว่านั่นเอง อาทิ ภาพยนตร์ดังเป็นที่นิยมทั่วโลก Star Wars, Back to the future, Terminator, Pacific Rim, Godzilla หรือ ภาพยนตร์แนวซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง X-Men, Ironman, Batman, Superman, The Avengers ฯลฯ (Chuejeen, 2557) ภาพที่ 35-37 โปสเตอร์ภาพยนต์Sci-Fi Fantasy ที่มา: imdb.com 4.3 วงการภาพยนตร์บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ ในปี ค.ศ.1966 ซีรีส์ไซไฟอมตะตลาดกาล เรื่อง Star Trek ออกอากาศครั้งแรกโดยผู้สร้าง ยีน ร็ อดเดนเบอร์รี (Gene Roddenberry) ฉายทางโทรทัศน์โดยมีผู้ชมหลายแสนคนดูไปพร้อมๆ กัน โดยผู้ชมหนึ่งในนั้น คือ ไอแซค อสิมอฟ (Isaac Asimov) นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์เบอร์ต้นๆ ของอเมริกา แต่เหมือน Star Trek จะไม่ ถูกใจเขาสักนิด แถมรีวิวซีรีส์นี้ในนิตยสารรายสัปดาห์ว่า “น่าเบื่อและไม่สมจริงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์” ยีน ร็อดเดนเบอร์รี ผู้สร้างได้อ่านรีวิวปุ๊บถึงกับเขียนจดหมายไปหาไอแซคโดยตรง ออกแนวตัดพ้อว่า การทำซีรีส์โทรทัศน์ นั้นมีอุปสรรคมาก ต้องรีบทำส่งช่องให้ทันแต่ละตอน บทจึงค่อนข้างอ่อน ขาดการค้นคว้า และยอมรับว่าไม่สมจริง อยู่หลายขุม เขาจึงขอคำแนะนำจากไอแซคว่า จะพัฒนาซีรีส์นี้ให้ดีขึ้นอย่างไร กลายเป็นว่าทั้งสองได้แลกเปลี่ยน ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ไอแซคจึงแนะนำว่า ถ้าอยากได้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แจ๋วๆ ทำไมไม่ไปขอคำปรึกษาจาก NASA เลยล่ะ? เขาส่งมนุษย์ขึ้นไปอวกาศนะ หลังจากนั้น ยีนและไอแซคก็ได้เป็นเพื่อนกัน แถมไอแซคยังเชียร์ Star Trek อย่างออกอาการภายหลังด้วย ถัดมาในปี ค.ศ.1979 ภาพยนตร์เรื่อง Star Trek : The Motion Picture ออกฉายครั้งแรกบน จอเงิน โดยมีความพิเศษที่เครดิตท้ายมีชื่อของเจสโก พุตต์คาเมอร์ (Jesco von Puttkamer) ผู้เป็นวิศวกรของ องค์กร NASA และเป็นที่ปรึกษาทางเทคนิค (technical adviser) ให้หนังเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ
23 วิศวกร NASA อธิบายให้ทีมผู้สร้างถึงความเป็นไปได้ในทฤษฎีรูหนอน (wormholes) และการ เดินทางไปจักรภพอื่นๆ ด้วยความเร็วเหนือแสง ผู้สร้างก็ต้องการเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ที่ล้ำหน้าสอดรับโทนของ เรื่อง แต่อย่างไรก็ตาม Star Trek ก็ไม่ใช่สารคดีวิทยาศาสตร์จ๋าเทียบกับ Nova เพียงแต่หยิบจับไอเดียที่มีอยู่มาร้อย เรียงกันใหม่เพื่อความบันเทิงสำหรับคนหมู่มาก ปรากฏว่า Star Trek เวอร์ชั่นภาพยนตร์ขายได้ค่อนข้างดี มีคนพูดถึง ทฤษฎีรูหนอนและความมหัศจรรย์ของจักรภพ เกิดแฟนๆ เดนตายให้พูดคุยถึงประเด็นวิทยาศาสตร์อื่นๆ ต่อยอดอีก จากที่เมื่อก่อนคนในวงการวิทยาศาสตร์ไม่ค่อยมีใครจะไปแตะต้องวงการบันเทิง คนส่วนใหญ่นึกภาพพวกเขาเป็นคน เรียนสูง ไม่เอาสังคม นั่งทำงานในห้องทดลองทั้งวัน พูดจาไม่เป็นภาษามนุษย์ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ปรากฏตัวใน รูปแบบใหม่ต่อสาธารณชนจึงเกิดกระแสตอบรับในเชิงบวก วิทยาศาสตร์มันก็มีเรื่องว้าวๆ เพียบอยู่เหมือนกัน นี่จึง ทำให้คนในแวดวงวิทยาศาสตร์ วอลเธอร์ บอดแมร์ (Walter Bodmer) ประธานและหนึ่งในสมาชิกกิตติมาศักดิ์ของ Royal Society of London ออกมาให้ความเห็นว่า การที่นักวิทยาศาสตร์ออกมาให้ความร่วมมือกับภาคประชาชน เพื่อสื่อสารความรู้นั้นเป็นเรื่องที่รับได้ และไม่ควรเป็นตราบาปแบบ เช่น ในอดีต เพราะเมื่อก่อนการที่ นักวิทยาศาสตร์ออกสื่อก็มักจะถูกดูแคลนจากคนในแวดวงด้วยกันเอง แถมถ้าเด่นมากๆ ก็ถูกปฏิเสธตีพิมพ์ใน วารสารวิชาการอีก ดังนั้นการที่นักวิทยาศาสตร์ออกมาให้ความร่วมมือสังคมด้วยความรู้เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แม้จะ เป็นธุรกิจบันเทิงก็ตาม (Ratanakul, 2563) ภาพที่ 38 โปสเตอร์ภาพยนต์Star Trek ที่มา: thematter.co
24 5. Futuristic Architecture คำว่า Futuristic ในเชิงสถาปัตยกรรม มักใช้อธิบายถึงแนวคิดของสภาพสังคมในอนาคตที่ก้าวล้ำด้วย วิทยาการ อาจรวมถึงแนวทางการออกแบบตกแต่งภายใน ผลงานสถาปัตยกรรม หรือรูปแบบของเมืองที่มีลักษณะ ทางกายภาพอันน่าทึ่งเกินจินตนาการ ที่เกิดจากความเฟื่องฟูของนวัตกรรมจักรกล เทคโนโลยี และระบบสารสนเทศ บางครั้งอาจเป็นการจินตนาการถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในอนาคตที่ล้ำยุคล้ำสมัย อย่างเช่น การตั้งอาณานิคมในอวกาศ นครใต้สมุทร เมืองลอยฟ้า หรืออาจจะเกี่ยวกับสังคมดิสโทเปียในโลกอนาคตที่เรามักพบเห็นในหรือนิยาย วิทยาศาสตร์หรือภาพยนต์ไซไฟสุดล้ำ แนวคิดดังกล่าวได้รับอิทธิพลจากการเคลื่อนไหวทางด้านความคิดในช่วงยุคต้นศตวรรษที่ 20 ที่บูชาความรู้ แจ้งตามหลักเหตุผลของวิทยาศาสตร์ภายใต้คตินิยมแบบ Modernism การคิดค้นวิธีการผลิตในระบบโรงงาน อุตสาหกรรม ประกอบกับความเฟื่องฟูทางด้านวิทยาการและเทคโนโลยีทางการทหารในยุคสงคราม อย่างเช่น อากาศยานประเภทเรือเหาะ เรือดำน้ำ การคิดค้นระเบิดปรมาณู (Atomic age) รวมถึงการแข่งขันทางด้านกิจการ สำรวจอวกาศระหว่างรัสเซียกับสหรัฐอเมริกา (Space age) ในช่วงยุคสงครามเย็น ประกอบกับการเข้ามาของ กระแสวัฒนธรรมป๊อป (Pop Culture) ที่เปี่ยมด้วยอิสรภาพทางความคิด สิ่งที่เกิดขึ้นส่งอิทธิพลต่อแนวคิดของ ทฤษฎีสถาปัตยกรรมแบบ Futuristic Architecture ในยุคทศวรรษที่ 1960 รวมถึงแนวทางการตกแต่งภายในและ งานสถาปัตยกรรมที่เราพบเห็นในภาพยนต์ยุคต่อมาอย่างเห็นได้ชัด ภาพที่ 39 Futuristic Architecture ที่มา: dsignsomething.com 5.1 Plug-in City สำนักออกแบบสถาปัตยกรรมหัวก้าวหน้า Archigram จากประเทศอังกฤษ เป็นต้นแบบการ นำเสนอแนวคิด futuristic พัฒนาลงในคตินิยมทางสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า Futurism Architecture และนำเสนอ ในรูปแบบของภาพประกอบที่แสดงถึงสังคมอุดมคติในอนาคตที่ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมจักรกลที่มี ลักษณะทางกายภาพและแนวคิดที่น่าทึ่ง อย่างเช่น Plug-in City โดย Peter cook เมื่อปี 1964 เป็นระบบโครงข่าย ของนครจักรกลขนาดใหญ่ล้ำสมัย ที่อยู่ภายในโครงสร้าง megastructure ซึ่งควบคุมด้วยสมองกลคอมพิวเตอร์ อัตโนมัติ เพียบพร้อมด้วยหน่วยที่พักอาศัยพร้อมระบบพยุงชีพคล้ายกับแคปซูลอวกาศเพื่อป้องกันมนุษย์จาก สภาพแวดล้อมที่เลยร้าย รวมถึงสาธารณูปโภคที่จำเป็นและระบบคมนาคมขนส่ง มนุษย์ทุกคนสามารถดำรงชีวิตอยู่ ร่วมกันภายในเมืองดังกล่าวได้ โดยมีแกนเก็บทรัพย์พยากรคล้ายกับเทคโนโลยีการทำเหมือง เพื่อจัดเก็บน้ำเพื่อการ อุปโภคและบริโภค รวมถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตกระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของเมือง
25 ภาพที่ 40 Plug-in City ที่มา: dsignsomething.com ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของ Plug-in City จะเหมือนกับอาณานิคมในอวกาศตามที่เห็นใน ภาพยนต์ไซไฟ โดยส่วนประกอบของเมืองทั้งหมดจะถูกควบคุมด้วยระบบเครนอัตโนมัติที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้ งานได้อย่างอิสระที่วางแผงรองรับการขยายตัวของเมืองและประชากร และสามารถเชื่อมต่อกับแกนของเมืองอื่น ๆ ได้ในลักษณะของโครงข่ายต่อขยาย รวมถึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันสมัยและซ่อมแซมตัวเองได้โดยอัตโนมัติ โดย ที่ไม่ต้องมีมนุษย์มาควบคุมหรือสั่งการ เป็นแนวคิดที่ล้ำสมัยและถือเป็นต้นแบบของ Radical Architecture ในเวลา ต่อมา 5.2 Walking City อีกหนึ่งผลงานที่น่าสนใจของ Archigram คือ Walking City จาก Ron Herron ในปี 1966 เป็น เมืองในอนาคตขนาดยักษ์ที่สามารถเดินเคลื่อนที่ได้ โดยได้แรงบันดาลใจมากจากเรือดำน้ำทางการทหารจากยุค สงครามเย็นรวมเข้ากับโครงสร้างทางวิศวกรรมที่มีขาเหมือนแมลงที่สามารถก้าวเดินได้ โดยส่วนที่เป็นขาสามารถยืด หดได้ เพื่อรองรับกับสภาพแวดล้อมได้ทุกรูปแบบและสามารถพาเมืองแห่งนี้ก้าวเดินไปได้ทุกที่ โดยในแต่ละเมืองจะ มี ที่อยู่อาศัยและสาธารณูปโภคที่ครอบคลุมต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ พร้อมด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย และอุปมา ดั่งเมืองคือหน่วยของสิ่งมีชีวิตจำพวกแมลงที่ก้าวเดินไปเรื่อย ๆ สามารถเชื่อมต่อกับเมืองอื่นๆผ่านช่องและรยางค์ บริเวณลำตัว เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือทรัพยากรระหว่างสถานี
26 ภาพที่ 41 Walking City ที่มา: dsignsomething.com ลักษณะทางกายภาพของของ Walking City ได้แรงบันดาลใจจากแมลง โดยมีส่วนหัวที่เป็น หอบังคับการ ส่วนลำตัวเป็นที่อยู่อาศัย ส่วนท้องจะเป็นพื้นที่เก็บทรัพยากร ส่วนด้านบนเป็นพื้นที่ส่วนกลางของเมือง ที่มีปีกที่สามารถเปิดปิดได้เพื่อป้องกันมนุษย์จากสภาพแวดล้อมภายนอก โดย Herron ได้พัฒนาแนวคิดมาจากการ จินตนาการถึงดิสโทเปียในโลกอนาคต ที่โลกทั้งใบได้รับความเสียหายจากสงครามระเบิดปรมาณู ทำให้ทั้งโลกมี สภาพแวดล้อมไม่เหมาะกับการดำรงชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ จึงจำเป็นต้องมาอาศัยอยู่ในนครจักรกล และออกก้าว เดินเพื่อแสวงหาแหล่งทรัพยากรใหม่ๆ 5.3 Marine city ผลงาน Marine city โดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่น Kiyonori Kikutake เมื่อปี 1958 – 1963 เป็น ภาพประกอบแสดงทฤษฎีทางสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับมหานครลอยน้ำในมหาสมุทร ที่ปลอดภัยจากภัยพิบัติทาง ธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ รวมถึงเป็น Industrial city ที่มีลักษณะเป็นโครงสร้าง megastructure ลอยน้ำขนาดยักษ์ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 km. โดยโครงสร้างทั้งหมดประกอบด้วย mother’s body ที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางของเมืองที่เป็นหน่วยที่พักอาศัยลอยอยู่บนทุ่น และมีโครงข่ายที่เป็น โรงงานอุตสาหกรรมในการผลิตทรัพยากรกระจายอยู่โดยรอบ ภาพที่ 42 Marine city (1) ที่มา: dsignsomething.com
27 ลักษณะทางกายภาพของ Marine city จะคล้ายกับเมืองในแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลขนาด ยักษ์ที่มีกลิ่นอายจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ในส่วนของที่อยู่อาศัยจะเป็นหอคอยสูงที่ตั้งอยู่บนโครงสร้างวงแหวน โดยจะมีโมดูลลาเกาะอยู่โดยรอบ ยึดด้วยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า สามารถเพิ่มลดพื้นที่ได้ตามแนวคิด Metabolism Architecture ที่ควบคุมพลังงานแม่เหล็กโดยหอบังคับการ มีระบบสาธารณูปโภครวมถึงมีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับเป็น ลานกิจกรรมของพลเมือง บริเวณฐานทรงกระบอกที่อยู่ใต้น้ำจะทำหน้าที่เป็นทั้งทุ่นและ กระเปาะเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรในมหาสมุทรตามแนวคิดของ Radical Architecture เช่นกัน ภาพที่ 43 Marine city (2) ที่มา: dsignsomething.com
28 5.4 Retro Futurism Retro Futurism คือความล้ำสมัยในอดีต หรือการนิยามถึงอนาคตผ่านมุมมองของมนุษย์หรือ คนทำหนังในช่วงยุค 1960 – 1980 ในรูปแบบของภาพยนต์ ส่วนมากจะเป็นการจินตนาการถึงเมืองในอนาคต การ เดินทางท่องอวกาศ หรือสงครามระหว่างดวงดาว เหตุเพราะการได้รับอิทธิพลจากความเฟื่องฟูของกิจการอวกาศ ขององค์การนาซา โดยฉากหลังของเนื้อหามักจะถูกนำเสนอในรูปแบบของของเหตุการณ์ในอนาคตที่ผสมผสาน ระหว่างความเก่าและความร่วมสมัย การตกแต่งภายในของโรงแรมสถานีอวกาศ Hilton – Space station 5 ในเรื่อง 2001 Space Odyssey เมื่อปี 1968 ของผู้กำกับ Stanley Kubrick ได้ถูกเนรมิตรโดยนักออกแบบภายในระดับโลก Eero Saarinan โดยมี่มีเอกลักษณ์ชัดเจนในแง่สุนทรียะการออกแบบที่มีความร่วมสมัยและก้าวหน้า ผสมผสานการใช้ Iconic Furniture จากยุค 1960 อย่าง Djinn Chair สีแดงสด ที่ออกแบบโดย Oliver Mourgue และ โต๊ะสไตล์ Tulip Table จากยุค Mid-Century ที่ออกแบบโดย Saarinan เช่นกัน ตัดกับบรรยากาศที่สว่างไสวและเส้นสายที่ มีความล้ำสมัยโดยรอบ โดยทั้งหมดเป็นสิ่งที่Kubrick ใส่ใจในรายละเอียดในการสร้างสรรค์โลกยุคอวกาศในอนาคต ที่ไม่เหมือนใคร ภาพที่ 44 ห้อง The Bedroom : The end of Universe ที่มา: dsignsomething.com ห้อง The Bedroom : The end of Universe ในภาพยนต์เรื่องดังกล่าว เป็นการอุปมาถึง ห้องนอนที่แสดงถึงประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ มีการการตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมภายในและรูปแบบของ เฟอร์นิเจอร์สมัยยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศษที่ทางผู้กำกับใช้เป็นสัญลักษณ์ แทนเหตุการณ์ที่สำคัญของมนุษยชาติ ประกอบกับการใช้พื้นลายตารางกริดเรืองแสงตามกระแสดิสโกของ วัฒนธรรมป๊อป ทำให้เกิดบรรยากาศที่แปลกตาน่าพิศวงดั่งเป็นมิติลี้ลับจากอนาคตอันไกลโพ้น ที่ผู้มาเยือนไม่ สามารถคาดเดาได้เลยว่าอยู่ในยุคสมัยไหน ถึงแม้ว่าจะล่วงเลยเวลามากว่าค่อนศตวรรษแล้วก็ตามแต่ภาพยนต์เรื่องนี้ ยังเป็นหนึ่งในภาพยนต์แนว Futuristic ที่ดีที่สุดตลอดกาล
29 ภาพที่ 45 ฉากจากภาพยนต์Star Wars Episode 4 ที่มา: dsignsomething.com อีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญของแนวคิด Retro Futurism ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือกลิ่นอายของวัฒนธรรม ป๊อปและดิสโกดังที่ปรากฏในภาพยนต์เรื่อง Star Wars Episode 4 เมื่อปี 1977 โดยผู้กำกับ George Lucas มีการ สอดแทรกองค์ประกอบเด่นในเนื้องเรื่องอย่าง หุ่นยนต์สีทองอร่าม C-3PO ที่คล้ายกับนักร้องซุปเปอร์สตาร์จากยุค 1970 หรือหุ่นยนต์ R2D2 ที่คล้ายกับกระป๋องน้ำอัดลม และการต่อสู้ด้วยดาบไลท์เซเบอร์เปล่งแสงสีสันสดใส รวมถึง User Interface ที่ใช้เทคโนโลยีระบบอนาล็อก ซึ่งมักจะสอดแทรกเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งภายในยานอวกาศ ที่มที่จะมีไฟแสดงสถานะหลากสีกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งพื้นที่ อีกทั้งลักษณะของแผงควบไมโครชิพในค๊อกกพิทของยาน อวกาศหรือหอบังคับการ ที่มีปุ่มปรับรับสัญญานแบบหมุนใหญ่ๆ คันโยกแบบบังคับด้วยมือ และหน้าจอเรดาห์ แสดงผลแบบพิกเซล 5.5 Cyberpunk Cyberpunk คือแนวคิดของนิยายวิทยาศาสตร์ที่นิยามถึงสังคมดิสโทเปียในโลกอนาคตอันไกล้ที่ มีความก้าวล้ำทางด้านวิทยาการและเทคโนโลยีขั้นสูง มนุษย์และเครื่องจักรอาศัยอยู่รวมกันอย่างแยกไม่ออก โลกถูก ครอบงำระบบสารสนเทศที่ไร้ข้อจำกัด ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมทางด้านจิตใจ เห็นแก่ตัว รวมถึงการบูชาระบบทุน นิยมให้มีอำนาจเหนือรัฐบาล เกิดการขัดแย้งกันระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง หรือมนุษย์กับเครื่องจักร โดยทั่วไปจะเป็น เนื้อเรื่องที่มีฉากหลังเป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น มีการตกแต่งเมืองโดยการนำเสนอชุดข้อมูลด้วยหลอด นีออนหลากสีขนาดยักษ์
30 ภาพที่ 46 ฉากเมืองในภาพยนต์เรื่อง Ghost in the shell ที่มา: dsignsomething.com ฉากเมืองในภาพยนต์เรื่อง Ghost in the shell โดย Rupert Senders เมื่อปี 2017 โดยมีเนื้อ เรื่องเกี่ยวกับโลกสมมุติในอนาคตที่มีวิทยาการสามารถผสานสมองของมนุษย์เข้ากับร่างกายสังเคราะห์ได้ มีฉากหลัง เป็นป่าคอนกรีตที่หนาแน่นคล้ายกับเกาะฮ่องกง แต่ถูกปกคลุมด้วยข้อมูลสารสนเทศในลักษณะของป้ายโฆษณา LED เปล่งแสงสว่างแฝงอยู่ตามจุดต่างๆของเมือง รวมถึงโฮโลแกรมสามมิติที่ขยับไปมาได้ขนาดยักษ์สูงเท่ากับตึกระฟ้า ที่ เกือบจะเป็นเหมือนเทพเจ้าที่มองดูเมืองจากเบื้องบน ภาพที่ 47 ฉากเมืองในภาพยนต์เรื่อง Blade Runner ที่มา: dsignsomething.com ในภาพยนต์เรื่อง Blade Runner ที่เข้าฉายเมื่อปี 2017 เป็นการจำลองความเชื่อมโยงระหว่าง อนาคตกับงานสถาปัตยกรรมในโลกดิสโทเปียอนาคตที่มีสภาพแวดล้อมย่ำแย่หลังเกิดสงครามระเบิดปรมาณู บรรยากาศเต็มไปด้วยฝุ่นควันมลพิษ และฝนกรดที่กัดกร่อนเมืองจนกลายเป็นซากปรักหักพัง ฉากหลังของเมืองได้ แรงบัลดาลใจจากเกาะฮ่องกง ที่มีสภาพความเป็นอยู่อย่างแออัด มีช่องว่างระหว่างสังคมและความเหลื่อมล้ำของ มนุษอย่างชัดเจน ผู้มั่งคั่งได้อพยพไปอาศัยอยู่ที่พิรามิดสูง 700 ชั้น ตั้งตระหง่านเหมือนแท่นบูชาที่มีลักษณะทาง สถาปัตยกรรมแบบ Brutalist Architecture ภายใต้บรรยากาศอับชื้นขมุกขมัว ภายในเมืองมีป้ายไฟโฆษณาหลากสี และโฮโลแกรมสามมิติขนาดยักษ์ที่นำเสนอบริบทเกี่ยวกับระบบทุนนิยมและความเสื่อโทรมในจิตใจของพฤติกรรม มนุษย์
31 5.6 Neo Futuristic Architecture in movie ลักษณะทางกายภาพของเมืองหรือสถาปัตยกรรมที่พบเห็นในภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ที่มีฉากหลัง เป็นโลกที่มีวิทยาการล้ำสมัย มักมีผลงานสถาปัตยกรรม แบบ Neo Futuristic ของสถาปนิกชื่อดังสอดแทรกอยู่ใน เนื้อเรื่องเสมอ อย่างเช่นอาณาจักร Wakanda ที่เป็นดินแดนลึกลับซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกของทวีปแอฟริกา ตามเนื้อหา ของภาพยนตร์เรื่อง Black Panther จาก Marvel Studio เมืองดังกล่าวเพียบพร้อมด้วยวิทยาการและเทคโนโลยี จากโลกอนาคต และถูกซ่อนจากโลกภายนอกด้วยเทคโนโลยีพรางตา มีการวางผังเมืองให้กลมกลืนกับระบบนิเวศ โดยมีแม่น้ำและพื้นที่สีเขียวกระจายตัวอยู่โดยรอบ สิ่งปลูกสร้างหอคอยสูงระฟ้าที่ตั้งตระหง่านเป็นศูนย์กลางของ กลางมหานครเป็นที่อยู่ของกษัตริย์ T’Challa โดยลักษณะทางสถาปัตยกรรมของป้อมปราการรอบๆหอคอยได้รับ แรงบัลดาลใจจากสถาปัตยแนว Neo Futuristic ของ Zaha Hadid อย่างเช่น อาคาร Dongdaemun Design Plaza ในกรุงโซล หรืออาคาร Wangjing SOHO ในกรุงปักกิ่ง ภายในเมืองยังมีพื้นที่ชุมชนที่ผสมผสานวิถีชีวิตของ ชาว Wakanda ที่ได้แรงบัลดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นของของชนเผ่าแอฟริกัน ที่รายล้อมด้วยเทคโนโลยี ทันสมัยอย่างน่าทึ่ง อย่างเช่นระบบคมนาคมขนส่งด้วยรถไฟพลังงานแม่เหล็ก หรือลานจอดอากาศยานสุดไฮเทค ภาพที่ 48 ฉากเมืองในภาพยนต์เรื่องBlack Panther ที่มา: dsignsomething.com อาณานิคม York Town ในภาพยนต์เรื่อง Star Trek Beyond เป็นการถ่ายทอดจินตนาการการ ตั้งอาณานิคมบนอวกาศของสหพันธ์ดวงดาว Starfleet ตั้งอยู่บริเวณชายแดน Necro Cloud เนบิวลา เปรียบเสมือนดาวเคราะห์จำลอง เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองนับล้านเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง มีเมทริกซ์ ขนาดเมืองล้อมรอบทรงกลม เชื่อมต่อกันด้วยวงแหวนโปร่งใสที่มีสถาปัตยกรรมแนว Neo Futuristic ถูกสร้างขึ้น ตามแนววงแหวนดังกล่าว มีแกนสร้างแรงโน้มถ่วงที่ใจกลางเมือง ทำให้สามารถมองเห็นผู้คนที่เดินกลับหัวได้โดยไม่ ล้ม เมืองดังกล่าวออกแบบโดย Sean Hargreaves ผู้กำกับศิลป์ Visual Effects ชื่อดัง โดยเขากล่าวว่างาน สถาปัตยกรรมทั้งหมดภายในเมือง ได้รับการออกแบบให้คล้ายคลึงกับอาคารตึกระฟ้าที่โดดเด่นของเมือง Dubai สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่มีขนาดพื้นที่มากกว่าประมาณ 100,000,000 เท่า (Limlunjakorn, 2564)
32 บทที่ 3 รายละเอียด และการวิเคราะห์โครงการ 1. การวิเคราะห์ที่ตั้งโครงการ อุทยานแห่งชาติภูเวียง มีลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นเทือกเขาล้อมรอบเป็นวงอยู่ 2 ชั้น ตรงกลาง เป็นแอ่งขนาดใหญ่ คล้ายแอ่งกระทะซึ่งเป็นที่ราบและลอนลาด ส่วนพื้นที่โดยรอบแอ่งมีลักษณะเป็นเทือกเขาซึ่งมีมุม เทเข้าหาใจกลางแอ่ง ประกอบด้วยเทือกเขาที่มีความลาดชันปานกลางถึงลาดชันสูง เทือกเขาชั้นนอกสุดมียอดเขา สูงสุด 844 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง บริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพื้นที่ และเทือกเขาชั้นในมียอดเขา สูงสุด 470 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง บริเวณทิศเหนือของพื้นที่เทือกเขาชั้นในนี่เองที่เป็นแหล่งฟอสซิล ไดโนเสาร์ ส่วนระดับต่ำสุดของเชิงเขาอยู่ระดับ 210 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2519 ได้มีการค้นพบรอยเท้าและซากกระดูกไดโนเสาร์ และสัตว์โลกดึกดำบรรพ์อายุ เกือบ 200 ล้านปี พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ อุทยานแห่งชาติภูเวียง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เป็น ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียงที่จัดตั้งขึ้นจากความร่วมมือของกรมทรัพยากรธรณี การท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย และ จังหวัดขอนแก่น เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านธรณีวิทยา ธรรมชาติวิทยาและซากดึกดำบรรพ์ ที่ให้ ความรู้แก่เยาวชนและผู้ที่สนใจ (nukkpidet, 2563) ภาพที่ 49 ที่ตั้งโครงการ
33 2. การวิเคราะห์ผู้ใช้โครงการ ผู้ใช้โครงการประกอบด้วย ครู นักเรียน นักศึกษา ครอบครัว นักท่องเที่ยว และบุคคลทั่วไป ภาพที่ 50 ผู้ใช้โครงการ 3. การวิเคราะห์พื้นที่ใช้สอย นิทรรศการแบ่งออกเป็น 5 โซน 3.1 โซน 1 กำเนิดจักรวาล วิวัฒนาการสิ่งมีชีวิต และเรื่องราวของไดโนเสาร์ทั่วโลก เป็นเรื่องเกี่ยวกับกำเนิดจักรวาล วัฏจักรการเกิดและสลายของหิน กำเนิดสิ่งมีชีวิต ซากดึกดำ บรรพ์ในมหายุคพาลีโอโซอิก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่กำเนิดในทะเลจนถึงยุคไดโนเสาร์ ที่มีตั้งแต่กำเนิดไดโนเสาร์ วิวัฒนาการของไดโนเสาร์ และการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 65 ล้านปีก่อน โดยมีหลักฐานสำคัญคือ การ พุ่งชนของอุกกาบาตลูกใหญ่ที่บริเวณประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน ที่มีความแรงระเบิดมากกว่าระเบิดไฮโดรเจนเป็น ล้าน ๆ เท่าจนทำให้เกิดภัยพิบัติรุนแรงจนสิ่งมีชีวิตในโลกขณะนั้นสูญพันธุ์เป็นจำนวนมาก รวมทั้งเป็นการสิ้นสุดยุค ไดโนเสาร์ ภาพที่ 51 โซน 1 กำเนิดจักรวาลฯ ที่มา: paiduaykan.com
34 3.2 โซน 2 ไดโนเสาร์ในแหล่งเทือกเขาภูเวียง นำเสนอซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ชิ้นแรกในประเทศไทย และไดโนเสาร์ที่พบในประเทศไทย โดยเฉพาะที่พบในแหล่งขุดค้นภูเวียงนั้นมีถึง 5 สายพันธุ์ ในโซนนี้ยังมีเรื่องราวของธรณีวิทยาเทือกเขาภูเวียงและ ประวัติการค้นพบ อันเนื่องจากเทือกเขาภูเวียงมีลักษณะแอ่งกระทะ เป็นแหล่งรวมซากดึกดำบรรพ์เก่าแก่จำนวน มาก สันนิษฐานว่าเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ดึกดำบรรพ์ในยุคโลกล้านปี โดยจะมีแผนผังการขุดค้นพบขนาดใหญ่ที่ บรรจุหลุมขุดค้นทั้ง 9 หลุม พร้อมตัวอย่างซากดึกดำบรรพ์ที่ขุดค้นได้ ถัดมาจะเป็นซากดึกดำบรรพ์ในมหายุคมีโซโซ อิก มีช่วงอายุตั้งแต่ 251 – 65 ล้านปีมาแล้ว ซึ่งอาจพูดว่าเป็นมหายุคที่สัตว์เลื้อยคลานครองโลกก็ได้ ภาพที่ 52-53 โซน 2 ไดโนเสาร์ในแหล่งเทือกเขาภูเวียง ที่มา: paiduaykan.com 3.3 โซน 3 ห้องปฏิบัติการด้านซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยาและซากดึกดำบรรพ์ ในจังหวัดขอนแก่น ชมห้องปฏิบัติการของนักธรณีวิทยาผ่านกระจกใส และใกล้ ๆ กัน ก็จะเป็นมุมที่รวบรวมซากดึก ดำบรรพ์ที่ขุดพบในจังหวัดขอนแก่น ภาพที่ 54 โซน 3 ห้องปฏิบัติการด้านซากดึกดำบรรพ์ฯ ที่มา: reviewpromote.com
35 3.4 โซน 4 สวนไดโนเสาร์ โซนนี้จะตกแต่งเป็นสวนป่ายุคดึกดำบรรพ์ที่มีหุ่นไดโนเสาร์ขนาดเท่าตัวจริง แต่งเดิมด้วยแสง และเสียงร้องของไดโนเสาร์ เข้าบรรยากาศโลกยุคไดโนเสาร์ ภาพที่ 55-56 โซน 4 สวนไดโนเสาร์ที่มา: paiduaykan.com 3.5 โซน 5 ยุคเทอร์เชียรี การใช้ประโยชน์หินแร่ และห้องเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นเรื่องราวในยุคเทอร์เชียรี ที่นำเสนอหินและแร่ในประเทศไทย อุปกรณ์สำรวจทางธรณีวิทยา ปิโตรเลียมและธรณีพิบัติภัย ซึ่งเป็นภารกิจหนึ่งของกรมทรัพยากรธรณี ในการให้ความรู้และเฝ้าระวังและเตือนภัยใน เรื่องของธรณีพิบัติภัยทุกประเภท ห้องเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจะทำให้ ได้ซาบซึ้งในพระราชกรณียกิจ ของพระองค์ท่านด้านธรณีวิทยา เห็นได้ว่าท่านทรงสนพระทัย ในทุกภารกิจของ บ้านเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานทางด้านวิชาการทุกแขนง (พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ขอนแก่น, 2561) ภาพที่ 57 ห้องเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่มา: paiduaykan.com
36 บทที่ 4 ขอบเขตการออกแบบ และปรับปรุงโครงการ 1. แนวคิดการออกแบบ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่เล่าเรื่องในรูปแบบคล้ายการผจญภัย ตั้งแต่ก่อนจะกำเนิดโลกใบนี้ เดินตามรอยเท้า ไดโนเสาร์ เหมือนให้พวกมันเล่าเรื่องของตัวเองในยุคไดโนเสาร์หลายล้านปีของพวกมัน และ Lab จำลองเหตุการณ์ หากเราสามารถนำไดโนเสาร์ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง พิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่อง หลักการทางวิทยาศาสตร์ ธรณีวิทยา ประสบการณ์ใหม่ๆ จากการจำลอง ฟื้นคืนชีพ ไดโนเสาร์ใน Lab จุดประกายความฝันและแรงบันดาลใจที่ทำให้ไม่น่าเบื่อ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์บันเทิงแนววิทยาศาสตร์ดังนี้ ภาพที่ 58 ฉากจากภาพยนตร์Aliens (1986) ภาพที่ 59 ฉากจากภาพยนตร์Jurassic world (2015) ภาพที่ 60-61 ฉากจากภาพยนตร์Night at the Museum (2006)
37 2. การออกแบบเส้นทางสัญจร และแผนผังภายในพิพิธภัณฑ์ 2.1 การออกแบบการจัดนิทรรศการ ออกแบบโซนนิทรรศการขึ้นใหม่โดยการนำแนวคิดข้างต้นมาปรับใช้ เพื่อให้ภายในพิพิธภัณฑ์มี ความน่าดึงดูดมากขึ้น โดยจะแบ่งออกใหม่เป็น 5 โซน ได้แก่ ภาพที่ 62 แนวคิดการออกแบบการจัดนิทรรศการ 2.1.1 Zone 1 Beginning of The Universe เป็นเรื่องเกี่ยวกับกำเนิดจักรวาล วัฏจักรการเกิดและสลายของหิน กำเนิดสิ่งมีชีวิต ซากดึกดำบรรพ์ในมหายุคพาลีโอโซอิก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่กำเนิดในทะเลจนถึงยุคไดโนเสาร์ 2.1.2 Zone 2 Living Fossil เป็นโซนที่จะจัดฟอสซิลให้มีรูปแบบคล้ายกับยุคที่ไดโนเสาร์ยังมีชีวิตและได้ใช้ชีวิตอยู่ โดยจัดทำให้เห็นว่าการใช้ชีวิตในยุคนั้นของไดโนเสาร์ ไดโนเสาร์อยู่กันอย่างไร 2.1.3 Zone 3 Dino Lab โซนห้อง Lab จำลอง เพาะพันธุ์ไดโนเสาร์ในแคปซูล สมมุติว่าหากพวกเราพาพวกมัน กลับมาได้อีกครั้งพวกมันจะมีรูปร่างลักษณะอย่างไร โดยจำลองภาพในจินตนาการของเราเห็นได้เป็นรูปธรรม ทำให้ผู้ ที่มาพิพิธภัณฑ์ได้ลองบรรยากาศเหมือนในหนัง Sci-fi ที่เราเคยดูกันมา 2.1.4 Zone 4 Mineral Cave โซนจัดแสดงหินแร่นานาชนิด ที่จะพาทุกคนท่องเข้าไปในถ้ำแร่ที่เป็นประกาย ทั้งจากที่ พื้นและเพดาน บรรยากาศคล้ายเข้าไปในถ้ำหินงอก หินย้อยที่เป็นแร่ส่องแสงเป็นประกาย
38 2.1.5 Zone 5 Souvenir โซนร้านขายของที่ระลึก ภาพที่ 63 การจัดโซน ชั้น 1 ภาพที่ 64 การจัดโซน ชั้น 2
39 2.2 การออกแบบเส้นทางสัญจร ภาพที่ 65 การออกแบบเส้นทางสัญจร ชั้น 1 ภาพที่ 66 การออกแบบเส้นทางสัญจร ชั้น 2
40 2.3 การออกแบบแปลนเฟอร์นิเจอร์ ภาพที่ 67 การออกแบบแปลนเฟอร์นิเจอร์ชั้น 1
41 ภาพที่ 68 การออกแบบแปลนเฟอร์นิเจอร์ชั้น 2
42 2.4 การออกแบบวัสดุ โดยวัสดุที่ใช้ในโครการจะมีดังนี้ ภาพที่ 69 วัสดุที่ใช้ในการออกแบบ
43 3. ภาพผลงานการออกแบบ 3.1 Zone 1 Beginning of The Universe ภาพที่ 70 Zone 1 Beginning of The Universe