The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน ผลการใช้วิธีแสดงบทบาทสมมติเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 135 ดิศรณ์ ทองนพคุณ, 2024-01-29 21:39:07

วิจัยในชั้นเรียน

วิจัยในชั้นเรียน ผลการใช้วิธีแสดงบทบาทสมมติเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

ผลการใช้วิธีแสดงบทบาทสมมติเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 THE EFFECTS OF USING ROLE-PLAYING METHOD TO ENHANCE SPEAKING ABILITY FOR MATHAYOMSUKSA 1 STUDENTS ดิศรณ์ ทองนพคุณ วิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิจัยตามหลักสูตร ปริญญาตรีครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


ผลการใช้วิธีแสดงบทบาทสมมติเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 THE EFFECTS OF USING ROLE-PLAYING METHOD TO ENHANCE SPEAKING ABILITY FOR MATHAYOMSUKSA 1 STUDENTS ดิศรณ์ ทองนพคุณ วิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิจัยตามหลักสูตร ปริญญาตรีครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


ผลการใช้วิธีแสดงบทบาทสมมติเพื่อส่งเสริม ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 THE EFFECTS OF USING ROLE-PLAYING METHOD TO ENHANCE SPEAKING ABILITY FOR MATHAYOMSUKSA 1 STUDENTS ดิศรณ์ ทองนพคุณ วิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิจัยตามหลักสูตร ปริญญาตรีครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน ผลการใช้วิธีแสดงบทบาทสมมติเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัย นายดิศรณ์ ทองนพคุณ อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์นิชตา ธนชิตดิษยา ครูพี่เลี้ยง นายไพบูลย์ พระเมือง ________________________________________________________________________________ อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุดรธานี อนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา ภาษาอังกฤษ …………………………………….…หัวหน้าสาขาวิชา (อาจารย์บุรัชต์ ภูดอกไม้) วันที่ 16 เดือน มกราคม พ.ศ 2567 คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน ………………………………………………….ประธานคณะกรรมการ (อาจารย์ที่ปรึกษา) ………………………………………………….กรรมการ (อาจารย์ประจำสาขา/หลักสูตร/คณะครุศาสตร์) ………………………………………………….กรรมการ (ครูพี่เลี้ยง) ………………………………………………….กรรมการ (รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ)


หัวข้อวิจัย ผลการใช้วิธีแสดงบทบาทสมมติเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัย นายดิศรณ์ ทองนพคุณ อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์นิชตา ธนชิตดิษยา ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้การจัด กิจกรรมแสดงบทบาทสมมติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนกุมภวาปี ตำบลกุมภวาปี อำเภอกุมภวาปีจังหวัดอุดรธานีสังกัดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 40 คน โดยวิธีเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sample) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแผนจัดการเรียนรู้โดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ จำนวน 7 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 14 ชั่วโมง และแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษจำนวน 30 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ t-test for Dependent Sample ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. นักเรียนมีคะแนนความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษก่อนเรียนเฉลี่ยร้อยละ 57.83 และหลังเรียน เฉลี่ยร้อย 71.58 ส่วนคะแนนเฉลี่ยความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษก่อนเรียน 17.35 และหลังเรียนเฉลี่ย 21.48 เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยพบว่า ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01


Research Topic The Effect of Using Role-Playing Method to Enhance Speaking Ability for Mattayomsuksa 1 Students Researcher Mr. Dison Tongnopakun Advisor Asst. Prof. Nichata Thanachitditsaya Academic Year 2566 ABSTRACT This research objectives to comparethe Englishspeaking abilities of first-year high school students using role-playing activities before and after their English language classes. The sample group consists of 40 first-year students from Kumphawapi School in Kumphawapi District, Udon Thani Province, affiliated with the Secondary Educational Service Area Office Region 2, during the first and second semesters of the academic year 2566. The sampling method used was purposive sampling. The research utilized a set of learning management plans, comprising seven role-playing activity plans, each lasting for two hours, totaling 14 hours. Additionally, a language proficiency test with 30 items was administered. Statistical analysis included the t-test for Dependent Samples, percentages, means, and standard deviations. The research findings can be summarized as follows: 1. Students had an average English speaking ability score of 57.83% before the intervention, which increased to 71.58% after the role-playing activities. The average scores for English speaking ability were 17.35 before the intervention and 21.48 after the activities. Statistical analysis revealed a significant difference in English speaking ability scores before and after the intervention at a significance level of .01, indicating a substantial improvement in speaking skills after the role-playing activities.


กิตติกรรมประกาศ วิจัยฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความกรุณาจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์นิชตา ธนชิตดิษยา อาจารย์ที่ปรึกษา งานวิจัย ที่กรุณาให้คำปรึกษา คำแนะนำ แก้ไขข้อข้องต่างๆ ของงานวิจัยจนเสร็จสมบูรณ์และให้กำลังใจผู้วิจัยมา โดยตลอดจนสำเร็จเรียบร้อย ผู้วิจัยขอกราบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการ คณะครูโรงเรียนกุมภวาปี ที่อำนวยความสะดวกให้ความร่วมมือเป็นอย่าง ดีในการเก็บรวบรวมข้อมูลและทดลองใช้เครื่องมือวิจัย ขอบคุณเพื่อนนักศึกษาวิชาการสอนภาษาอังกฤษที่คอย ช่วยเหลือสนับสนุนข้อมูลด้านการวิจัย ให้กำลังใจและห่วงใยผู้วิจัยตลอดการศึกษา ประโยชน์และคุณค่าจากวิจัยฉบับนี้ผู้วิจัยขอมอบกุศลแห่งความดีในครั้งนี้แต่คุณพระบิดามารดาและ อาจารย์ทุกท่านที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ในการวิจัย ทำให้ผู้วิจัยประสบความสำเร็จในครั้งนี้ ดิศรณ์ ทองนพคุณ


สารบัญ หน้า บทคัดย่อ…………………………………………………………………………………………………………………………… ก ABSTRACT…………………………………………………………………………………………………………………………. ข กิตติกรรมประกาศ…………………………………………………………………………………………………………………. ค สารบัญ……………………………………………………………………………………………………………………………….. ง สารบัญภาพ…………………………………………………………………………………………………………………………. จ สารบัญตาราง………………………………………………………………………………………………………………………. ฉ บทที่ 1 บทนำ ……………………………………………………………………………………………………………………….. 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา…………..………………………………………………….. 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย…………………………………………………………………………………… 2 สมมติฐานของการวิจัย………………………………………………………………………………………. 3 ขอบเขตของการวิจัย…………………………………………………………………………………………. 3 นิยามศัพท์เฉพาะ……………………………………………………………………………………………… 4 ประโยชน์ที่จะได้รับ…………………………………………………………………………………………… 4 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง………………………………………………………………………………………… 5 หลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ)……………………………………………. 5 การใช้กิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ………………… 7 ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ…………………………………………………………………………………. 13 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………………..……………….. 17 ขั้นตอนการสอนพูดภาษาอังกฤษโดยใช้การจัดกิจกรรมบทบาทสมมติ……………………… 21 กรอบแนวคิดการวิจัย………………………………………………….…………………………………….. 22 3 วิธีดำเนินการวิจัย……………………………………………………………………………………………………………. 23 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง…………………………………………………………………………………. 23 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล………………………………………………………………... 24 การเก็บรวบรวมข้อมูล………………………………………………………………………………………. 29 การวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………………………….….. 29


สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 4. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………………………………………………….…………….. 30 ผลการศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรม แสดงบทบาทสมมติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียน……………….. 30 ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดง บทบาทสมมติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนเทียบเกณฑ์ร้อยละ 70…….. 34 5. สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ………………………………………………………………….. 35 วัตถุประสงค์ของการวิจัย…………………………………………………………………………………… 35 สมมติฐานของการวิจัย………………………………………………………………………………………. 35 ขอบเขตของการวิจัย…………………………………………………………………………………………. 35 สรุปผลการวิจัย…………………………………………………………………………………………………. 37 การอภิปรายผล………………………………………………………………………………………………… 37 ข้อเสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………….. 39 เอกสารอ้างอิง……………………………………………………………………………………………………………………. 40 ภาคผนวก…………………………………………………………………………………………………………………………. 42 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย………………………………………………………………… 43 ภาคผนวก ข การหาประสิทธิภาพเครื่องมือวิจัย……………………………………………………. 116 ภาคผนวก ค ผลการวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………. 184 ภาคผนวก ง รายชื่อผู้วิจัย………………………………………………………………………………….. 189 ประวัติย่อผู้วิจัย………………………………………………………………………………………………………………….. 194


สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 ผลการศึกษาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ กิจกรรมแสดงบทบาทสมมติก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน……………………………. 31 2 ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดง บทบาทสมมติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนเทียบเกณฑ์ร้อยละ 70…….. 34 3 คะแนนความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน…. 182 4 ค่าดัชนีความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้กับ จุดประสงค์การเรียนรู้………………………………………………………………………………………… 185 5 ผลประเมินดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบ……………………………..…………………… 187


สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 ขั้นตอนการสอนพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ……………………… 21 2 กรอบแนวคิดวิจัย……………………………………………..………………………………………………. 22 3 ขั้นตอนการสร้างแผนจัดการเรียนรู้การพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาท สมมติ……………………………………………………………………………………………………………… 26 4 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน… 28 5 การจัดการเรียนการสอนโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ………………………………….. 192 6 การจัดการเรียนการสอนโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ………………………………….. 193 7 การจัดการเรียนการสอนโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ………………………………….. 193


บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ในสังคมโลกปัจจุบันการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมีความสําคัญและจําเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจําวัน เนื่องจากเป็นเครื่องมือสําคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้การประกอบอาชีพ การสร้าง ความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลกและตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและ มุมมองของสังคมโลก นํามาซึ่งมิตรไมตรีและความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความ เข้าใจ ตนเองและผู้อื่นดีขึ้น เรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษาอังกฤษและใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ได้รวมทั้งเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ ได้ง่ายและกว้างขึ้นและมีวิสัยทัศน์ในการดําเนินชีวิต ในภาวะปัจจุบันการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของประเทศอื่นย่อมได้เปรียบในการทํากิจการการค้า ธุรกิจ ต่างๆ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทย กําลังพัฒนาตัวเองไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม จําเป็นต้องใช้บุคลากรที่มี ความรู้ในหลายๆด้านรวมทั้งผู้ชํานาญด้านภาษาด้วยและในยุคศตวรรษที่ 21 ภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาท ในชีวิตของคนไทยและคนทั่วโลกไปแล้ว เพราะมนุษยชาติทุกวันนี้สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น การติดต่อสื่อสารกันโดยตรง การใช้อินเตอร์เน็ต การดูโทรทัศน์การดูภาพยนตร์การเขียนโปรแกรม คอมพิวเตอร์ หนังสือคู่มือทางด้านวิชาการต่างๆ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหนึ่งที่สําคัญของโลกในศตวรรษที่ 21 และเป็นวิชาหลักที่ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ การศึกษาของไทยในยุค Thailand 4.0 นั้น มีแนวคิดสำคัญที่เกี่ยวข้องอยู่หลายประการ การศึกษาใน ยุค Thailand 4.0 มีความหมายมากกว่าการเตรียมความพร้อมของคนหรือให้ความรู้กับคนเท่านั้น แต่เป็นการ เตรียมมนุษย์เป็นมนุษย์ กล่าวคือ นอกจากให้ความรู้แล้ว ต้องทำให้เขาเป็นคนที่รักที่จะเรียน มีคุณธรรม และ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วย นั่นก็คือการสร้างคนให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21 โดยเน้นทักษะในการคิด วิเคราะห์เป็นหลักในขณะเดียวกัน Thailand 4.0 คือการพัฒนาประเทศให้มีความทันสมัยมีรายได้มากขึ้นและ ก้าวพ้นจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางโดยจะต้องนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาประเทศ และต้องสามารถติดต่อค้าขายกับนานาประเทศได้ด้วยจากแนวคิด Thailand 4.0 นี้ กระทรวงศึกษาธิการเร่ง ดำเนินการปฏิรูปการจัดการเรียนการสอนเพื่อเตรียมพร้อมทักษะต่างๆ ที่จำเป็นให้กับเด็กไทย สอดคล้องกับ แนวคิด Thailand 4.0 อย่างเป็นรูปธรรมในหลายด้านโดยเฉพาะการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้กับเด็กไทย ถือเป็นหัวใจสำคัญของการยกระดับความสามารถสื่อสารกับนานาชาติและพัฒนาทักษะความเป็นนานาชาติ ทั้งเพื่อการติดต่อสื่อสาร การแลกเปลี่ยนความรู้ การประสานความร่วมมือและการค้าขาย นอกจากการพัฒนา ทักษะความสามารถในการสื่อสารแล้วจำเป็นต้องส่งเสริมเด็กไทยให้มีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณควบคู่ กัน (Communication and Critical Thinking Skills) เพื่อให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพสามารถสื่อสารได้ อย่างถูกต้องและชัดเจน


2 การสื่อสารภาษาอังกฤษโดยเฉพาะการพูดภาษาอังกฤษจำเป็นในชีวิตประจำวันและการทำงานเป็น อย่างมาก เนื่องจากการพูดเป็นสื่อให้ผู้ฟังเข้าใจถึงสิ่งที่สื่อออกมาไม่ว่าจะในบริบทหรือแง่มุมใด เพราะไม่ว่า บุคคลใดก็ สามารถเป็นผู้ส่งสารและผู้รับสารได้โดยการพูดที่คล่องแคล่วนั้นมาจากการฝึกฝนเรียนรู้จนเข้าใจใน บริบท ของทักษะการพูดจึงเรียบเรียงออกมาเป็นข้อความหรือถ้อยคำที่จะสื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ แต่เนื่องจากการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยเน้นแต่ความถูกต้องของไวยากรณ์ผู้เรียน เรียนไปเพื่อสอบ เรียนจากการท่องจำ เมื่อพบชาวต่างชาติก็จะไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษหรือไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าพูด เพราะกลัวการดูถูก สอดคล้องกับความเห็นของ (เออร์, 1996; บราวน์, 1994) ที่กล่าวว่าสาเหตุที่ ทำให้ผู้เรียนที่เรียนภาษาที่สองไม่สำเร็จนั้นคือผู้เรียนเกิดความกังวลถึงการพูดผิด เรียบเรียงประโยคไม่ถูกและ จะใช้ภาษาแม่ (Mother Language) ในขณะที่กำลังฝึกภาษาที่สองหรือภาษาเป้าหมาย (Target language) ในชั้นเรียนและ (กุลชนก ทิพฤาชา, 2550) ที่กล่าวว่าอุปสรรคของการพัฒนา 3 ความสามารถด้านการพูด ภาษาอังกฤษที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ นักเรียนไทยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ ทำให้แทบจะไม่มี โอกาสพูดภาษาอังกฤษ นอกเหนือจากการเรียนภาษาอังกฤษในห้องเรียน ซึ่งผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝนทักษะ การพูดอย่างสม่ำเสมอและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาในสถานการณ์ที่คล้ายกันในชีวิตจริง แนวทางการแก้ปัญหาการพูดภาษาอังกฤษคือ การจัดกิจกรรมบทบาทสมมติ (Role play) เป็นกิจกรรม การเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้บทบาทที่สมมติขึ้นจากสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งที่ใกล้เคียงกับความ เป็นจริงที่ผู้เรียนต้องเผชิญมาไว้ในห้องเรียนโดยให้ผู้เรียนสวมบทบาทนั้นและแสดงพฤติกรรมไปตามความรู้สึก อารมณ์และทัศนคติที่มีต่อบทบาท ซึ่งการใช้กิจกรรมบทบาทสมมติ (Role play) อาจจะ แก้ปัญหานี้ได้ ดังนั้นผู้วิจัยจึงต้องการศึกษาว่าวิธีการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) ช่วยพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษได้หรือไม่และนักเรียนมีเจตคติต่อวิธีการสอนโดยใช้วิธีการแสดง บทบาทสมมติ(Role play) ในระดับใด วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการพูดภาษาอังกฤษก่อนและหลังการสอนโดยใช้วิธีการแสดงบทบาท สมมติ(Role play) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1


3 สมมติฐานในการวิจัย 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/10 โรงเรียนกุมภวาปี ที่จัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการแสดง บทบาทสมมติ(Role play) มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/10 โรงเรียนกุมภวาปี ที่จัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการแสดง บทบาทสมมติ(Role play) มีคะแนนหลังเรียนไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ 70% ขอบเขตของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตของการวิจัยไว้ดังนี้ 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนกุมภวาปี ตำบลกุมภวาปี อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2566 รวมนักเรียน 469 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/10 โรงเรียนกุมภวาปี ตำบลกุม ภวาปีอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 40 คน 3. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ วิธีการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.2.1 ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง การวิจัยครั้งนี้ใช้เวลาทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดยใช้ระยะเวลาทดลอง 7 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง รวมเวลาทั้งหมด 14 ชั่วโมง


4 นิยามศัพท์เฉพาะ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและให้คำนิยามศัพท์เฉพาะใน การวิจัยดังต่อไปนี้ 1. วิธีการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) หมายถึง การแสดง บทบาทสมมติเป็นการสอนที่ผู้สอนสร้างสถานการณ์และบทบาทสมมติขึ้นมาที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงตาม วัตถุประสงค์ที่ผู้สอนได้กำหนดไว้ โดยให้ผู้เรียนเป็นผู้แสดงบทบาทสมมตินั้นๆ ซึ่งผู้เรียนแสดงได้แสดงออก ทางด้านความรู้ ความคิด บทบาท ความรู้สึก เจตคติที่มีต่อบทบาทนั้น เป็นการนำประสบการณ์การเรียนรู้มา ใช้ในการฝึกทักษะ ซึ่งต้องใช้กระบวนการคิด การปฏิบัติ การเผชิญ สถานการณ์ซึ่งเป็นการประยุกต์ความรู้ ของผู้เรียนโดยขั้นตอนการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) ซึ่งผู้วิจัยได้นำมา จากแนวคิดของ คริซ Krish (2001, p.3) โดยมีขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมการ (Preparation Stage) ในขั้นนี้ ผู้สอนเป็นผู้สร้างบรรยากาศในการเรียนและ เตรียมความพร้อมด้านภาษาแก่นักเรียน ขั้นตอนนี้ยังรวมถึงการคัดเลือกบทบาทของผู้แสดงในกลุ่มและการ ฝึกซ้อมก่อนแสดงจริง ขั้นที่ 2 ขั้นการแสดง (Presentation Stage) นักเรียนกลุ่มผู้แสดงจะนำเสนอหน้าชั้นเรียนอย่างมี ชีวิตชีวา ในขณะที่กลุ่มผู้ชมจะต้องจดบันทึกการแสดงเกี่ยวกับจุดอ่อน จุดแข็งของการแสดงและการใช้ภาษา โดยไม่ทำให้กลุ่มผู้แสดงรู้สึกกลัวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ ขั้นที่ 3 ขั้นหลังการแสดง (Post Presentation Stage) นักเรียนแสดงความคิดเห็นต่อการแสดงแต่ ละกลุ่มตามที่ได้จดบันทึกไว้และให้ข้อเสนอแนะหรือข้อคิดเห็นเพื่อที่ผู้สอนจะได้นำข้อมูลไปปรับปรุงในการ จัดกิจกรรมการเรียนต่อไป 2. ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ หมายถึง พฤติกรรมในการพูดของนักเรียนที่แสดงออกใน ด้านใช้สำเนียง ไวยากรณ์คำศัพท์ ความคล่องแคล่วในการพูดสื่อความหมายได้เข้าใจ ประโยชน์ที่ได้รับ 1. ได้พัฒนาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) 2. ได้ให้แนวทางแก่ครูผู้สอนภาษาอังกฤษในการปรับปรุงแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน


บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วิธีการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ (Role play) ผู้วิจัยได้ ศึกษา ค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วยหลักสูตรแกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 การสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารความสามารถด้านการพูดการวัดและการประเมินผล การพูดภาษาอังกฤษการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ (Role play) และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดัง รายละเอียดต่อไปนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ 2. การใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ 3. ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5. ขั้นตอนการสอนพูดภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ 1. หลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ ๑ ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต ๑.๑ เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่างๆ และแสดงความ คิดเห็นอย่างมีเหตุผล มาตรฐาน ต ๑.๒ มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ต ๑.๓ นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอดและความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ โดย การพูดและการเขียน


6 สาระที่ ๒ ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต ๒.๑ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาและนำไปใช้ได้ อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ มาตรฐาน ต ๒.๒ เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของ ภาษากับภาษาและวัฒนธรรมไทยและนำมาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม สาระที่ ๓ ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น มาตรฐาน ต ๓.๑ ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นและเป็น พื้นฐานในการพัฒนาแสวงหาความรู้และเปิดโลกทัศน์ของตน สาระที่ ๔ ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต ๔.๑ ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชนและสังคม มาตรฐาน ต ๔.๒ ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก


7 2. การใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ 2.1 ความหมายของการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ การเรียนรู้โดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) หมายถึง การเรียนการสอนภาษาอังกฤษ โดยใช้บทบาทที่สมมติขึ้นจากสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่ผู้เรียน ต้องเผชิญ มาไว้ในห้องเรียนโดยให้ผู้เรียนสวมบทบาทนั้นและแสดงพฤติกรรมไปตามความรู้สึกอารมณ์และทัศนคติที่มี ต่อบทบาท 2.2 องค์ประกอบของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) องค์ประกอบของการแสดงบทบาทสมมติ พอลส์ตัน (Paulston, 1979) และสุมิตรา อังวัฒนกุล (2536) กล่าวว่า การแสดงบทบาทสมมติมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1. สถานการณ์ (Setting) หมายถึง สภาพที่เป็นอยู่หรือหัวเรื่องสนทนา ผู้สอนจะต้องอธิบาย สถานการณ์และงานที่ผู้เรียนจะต้องทำให้เสร็จงานที่ทำจะมีความยากง่ายตามระดับของผู้เรียน เช่น การรับ โทรศัพท์หรือการเจรจาต่อรองธุรกิจ เป็นต้น การอธิบายชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์ยังสามารถให้ข้อมูล เพิ่มเติม เกี่ยวกับวัฒนธรรมหรือธรรมเนียมปฏิบัติด้วย 2. บทบาท (Role) หมายถึง การมอบหมายบทบาทให้ผู้เรียนแสดงตามบทที่กำหนดผู้เรียน จะต้องมี ความเข้าใจในบุคลิกภาพ ประสบการณ์ สถานะทางสังคม ปัญหาและความต้องการของบทบาทที่ตนจะแสดง คำอธิบายชี้แจงเกี่ยวกับบทบาทไม่ควรมากหรือละเอียดจนเกินไป เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แสดงพัฒนาบุคลิกภาพ ตามภูมิหลังหรือพฤติกรรมที่ผ่านมา 3. สำนวนที่เป็นประโยชน์สำหรับการแสดงบทบาทสมมติ (Useful Expression) หมายถึง สำนวน วลี คำศัพท์เฉพาะและรูปแบบของภาษาตลอดจนข้อมูลต่าง ๆ ทั้งด้านภาษาศาสตร์และด้านสังคม 4. ความรู้พื้นฐานในเนื้อหาของสถานการณ์ (Background Knowledge) หมายถึง ความรู้ทั่วไปที่ ผู้เรียนจำเป็นจะต้องมีเกี่ยวกับสถานการณ์ในการแสดง เช่น การแสดงบทบาทสมมติในการประชุมเกี่ยวกับ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ผู้สอนจะต้องให้ความรู้พื้นฐานแก่ผู้เรียนโดยเตรียมเอกสารให้อ่าน ให้ดูภาพยนตร์หรือเชิญ ผู้ทรงคุณวุฒิมาบรรยายเป็นพิเศษสมาคมสร้างสรรค์ไทย (2548) กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากองค์ประกอบ 4 ประการข้างต้นแล้ว ฉากและเค้าโครงเรื่องก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของ บทบาท สมมติ ดังรายละเอียด 1. ฉาก (Prop) เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ประกอบการเล่นบทบาทสมมติ เช่น ชา กาแฟ เครื่องครัว หรือแฟ้มเอกสาร ซึ่งบางครั้งอาจเป็นการแสดงท่าทางการหยิบจับโดยไม่มีของจริง เป็นต้น


8 2. เค้าโครงเรื่อง (Plot) เป็นเค้าโครงเรื่องอย่างง่าย ที่มักเป็นการเลียนแบบชีวิตประจำวันที่ผู้เรียนพบ เห็นจากหนังสือที่อ่านหรือจากละครโทรทัศน์ เป็นต้น สรุปได้ว่าองค์ประกอบของกิจกรรมการแสดงบทบาท สมมติ ประกอบด้วย สถานการณ์ เค้าโครงเรื่อง บทบาทสำนวนที่เป็นประโยชน์ ความรู้พื้นฐานในเนื้อหาของ สถานการณ์และฉาก 2.3 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) 1. ขั้นเตรียมการสอน เป็นการเตรียมใน 2 หัวข้อใหญ่ ได้แก่ 1.1 เตรียมจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติให้แน่ชัดและเฉพาะเจาะจงว่าต้องการให้ผู้เรียน เกิดความรู้ความเข้าใจอะไรบ้างจากการแสดง 1.2 เตรียมสถานการณ์สมมติ เพื่อให้ผู้เรียนฟังโดยให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ การ เตรียมสถานการณ์และบทบาทสมมตินี้อาจเตรียมเขียนไว้อย่างละเอียดเพื่อมอบให้แก่ผู้เรียนหรือเตรียม เฉพาะสถานการณ์เพื่อเล่าให้ผู้เรียนฟังส่วนรายละเอียดผู้เรียนต้องคิดเอง 2. ขั้นดำเนินการสอน จัดแบ่งย่อยได้ 7 ขั้นตอน ดังนี้ 2.1 ขั้นนำเข้าสู่การแสดงบทบาทสมมติ เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและกระตือรือร้นที่ จะเข้าร่วมกิจกรรม โดยผู้สอนอาจใช้วิธีโยงประสบการณ์ใกล้ตัวผู้เรียนเล่าเรื่องราว หรือ สถานการณ์สมมติ ชี้แจงประโยชน์ของการแสดงบทบาทสมมติและการร่วมกันช่วยกันแก้ปัญหา 2.2 เลือกผู้แสดง เมื่อผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมกิจกรรมแล้วผู้สอนจะจัดตัวผู้แสดงใน บทบาทต่าง ๆ ในการเลือกตัวผู้แสดงนั้นอาจใช้วิธีดังนี้ 1) เลือกอย่างเจาะจง เช่น เลือกผู้ที่มีปัญหาออกมาแสดงเขาได้รู้สึกในปัญหาและเห็นวิธีแก้ปัญหา 2) เลือกผู้แสดงโดยให้อาสาสมัคร เพื่อให้เสรีภาพแก่ผู้เรียนในการเรียน การตัดสินใจ 2.3 การเตรียมความพร้อมของผู้แสดง เมื่อเลือกผู้แสดงได้แล้ว ผู้สอนควรให้เวลาผู้แสดงได้เตรียมตัว และตกลงกันก่อนการแสดง ผู้สอนควรช่วยให้กำลังใจ ช่วยขจัดความตื่นเต้นประหม่าและความวิตกกังวลต่าง ๆ เพื่อผู้แสดงได้แสดงอย่างเป็นธรรมชาติ 2.4 การจัดฉากการแสดง การจัดฉากการแสดงอาจจะจัดแบบง่าย ๆ คำนึงถึงความ ประหยัดทั้งเวลา และทรัพยากร เช่น อาจสมมติโดยการเลื่อนโต๊ะเพียงตัวเดียว เพราะการจัดฉากนี้เป็นเพียง ส่วนประกอบย่อย ของการแสดง


9 2.5 การเตรียมผู้สังเกตการณ์ ในขณะที่ผู้แสดงเตรียมตัว ผู้สอนควรได้ใช้เวลานั้น เตรียมผู้ชมด้วยโดย ควรทำความเข้าใจกับผู้ชมว่าควรสังเกตอะไรจึงจะเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์และอภิปรายในภายหลัง ผู้สอนอาจเตรียมหัวข้อการสังเกตหรือจัดทำแบบสังเกตการณ์เตรียมไว้ให้พร้อมแล้ว เลือกผู้สังเกตการณ์ ช่วยกันดูและบันทึกพฤติกรรมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อย ๆ ไป 2.6 การแสดง เมื่อทุกฝ่ายพร้อมแล้วจึงเริ่มแสดง การแสดงนี้ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ผู้สอน และผู้ชมไม่ควรเข้าขัดกลางคัน นอกจากในกรณีที่ผู้แสดงต้องการความช่วยเหลือในขณะที่แสดงผู้สอนควร สังเกตพฤติกรรมของผู้แสดงและผู้ชมอย่างใกล้ชิด 2.7 การตัดบท ผู้สอนหรือผู้กำกับควรตัดบทหรือหยุดการแสดงเมื่อการแสดงผ่านไปเป็นเวลา พอสมควร ไม่ควรปล่อยให้การแสดงเยิ่นเย้อเกินไปจะทำให้เสียเวลาและผู้ชมเกิดความเบื่อหน่ายการตัดบท ควรจะทำเมื่อ 1) การแสดงได้ให้ข้อมูลแก่กลุ่มเพียงพอที่จะนำมาวิเคราะห์และอภิปรายได้ 2) ผู้แสดงไม่สามารถแสดงต่อไปได้ เพราะเกิดความเข้าใจผิดบางประการหรือเกิดอารมณ์สะเทือนใจ มากเกินไป 3) การแสดงยืดเยื้อไม่ยอมจบหรือจบไม่ลงและผู้ชมหมดความสนใจที่จะชมการแสดงจนจบเรื่อง 3. ขั้นวิเคราะห์และอภิปรายผลการแสดง (ขั้นประเมินผล) ขั้นนี้ถือเป็นขั้นที่สำคัญยิ่งในการสอน เพราะเป็นขั้นที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้รวบรวมข้อมูลต่างๆที่ได้ สังเกตเห็นและนำมาวิเคราะห์อภิปรายจนเกิดเป็นการเรียนรู้ที่มีความหมายสำหรับตนเอง ในขั้นนี้ครูควรจะ เตรียมคำถามต่างๆ ไว้เป็นแนวทางสำหรับตนเอง ที่จะใช้กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และอภิปรายร่วมกัน โดยทั่วๆ ไปวิธีการที่ใช้ในการดำเนินการในขั้นนี้ มีดังนี้ 3.1 ชี้แจงให้ทั้งผู้แสดงและผู้ชมเข้าใจว่าการอภิปรายจะเน้นที่เหตุผลและพฤติกรรมที่ผู้แสดงได้แสดง ออกมาไม่ใช่เน้นที่ใครแสดงดีไม่ดีอย่างไร 3.2 สัมภาษณ์ความรู้สึกและความคิดผู้แสดง 3.3 สัมภาษณ์ความรู้สึกและความคิดของผู้สังเกตการณ์หรือผู้ชม 3.4 ให้กลุ่มผู้แสดงและผู้ชมวิเคราะห์เหตุการณ์เสนอความคิดเห็นและอภิปรายร่วมกันโดยครูอาจใช้ คำถามต่าง ๆ กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดข้อสำคัญข้อหนึ่งที่ครูพึงระวังในการดำเนินการอภิปรายก็คือ ครูควรแสดง


10 ความเป็นประชาธิปไตยให้เสรีภาพแก่ผู้เรียนอย่างเต็มที่ในการคิด ตัดสินใจ ไม่ประเมินค่าตัดสิน ความคิดเห็น ของผู้เรียน 4. ขั้นแสดงเพิ่มเติม หลังจากการวิเคราะห์และอภิปรายผลการแสดงแล้วครูให้ผู้ชมได้ เสนอ แนวทางใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาหรือการตัดสินใจหรือครูอาจจะให้มีการแสดงเพิ่มเติมก็ได้ 2.4 รูปแบบของการแสดงบทบาทสมมติ ธิดารัตน์ วิเชียรลม (2561) กล่าวว่า รูปแบบของกิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท ได้แก่ การแสดงบทบาทสมมติที่มีการเตรียมตัวล่วงหน้าและที่ไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า โดยมี รายละเอียดดังนี้ 1. การแสดงบทบาทสมมติที่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า ผู้สอนเป็นผู้กำหนดสถานการณ์ขึ้นมา จากนั้น นำมาถ่ายทอดให้ผู้เรียนได้รับฟังแล้วมอบบทบาทให้กับผู้เรียนตามความเหมาะสมเพื่อให้เตรียมตัวล่วงหน้า ก่อนการแสดง ทั้งนี้ ผู้แสดงอาจสอดแทรกรายละเอียดเพิ่มเติมของเนื้อหาได้การแสดงบทบาทสมมติที่มีการ เตรียมตัวล่วงหน้าเน้นความพร้อมของผู้แสดงที่ทำหน้าที่รับผิดชอบในแต่ละบทบาทรวมถึงการจัดฉากให้ เหมาะสมกับเนื้อเรื่องหรือสถานการณ์นั้น ๆ 2. การแสดงบทบาทสมมติที่ไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า เป็นวิธีการสอนที่ใช้ในการนำเข้าสู่บทเรียน หรือใช้ในระหว่างที่มีการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนอาสาสมัครแสดงบทบาทสมมติตามเนื้อหา เพื่อให้การ เรียนนั้นน่าสนใจและทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเนื้อหามากยิ่งขึ้น การแสดงบทบาทสมมติที่ไม่มีการเตรียม ตัว ล่วงหน้าเน้นไหวพริบ เชาว์ปัญญาและความคิดสร้างสรรค์อย่างฉับไวของผู้แสดง ส่วน สุคนธ์ สินธพานนท์ (2545) และสุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ (2545) ได้แบ่งการแสดงบทบาท สมมติ ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การแสดงบทบาทสมมติแบบไม่มีบทเตรียมไว้ แบบเตรียมบทไว้พร้อมและ แบบแสดงละคร โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. การแสดงบทบาทสมมติแบบไม่มีบทเตรียมไว้ ซึ่งผู้แสดงไม่จำเป็นต้องฝึกซ้อมก่อนที่จะแสดงเมื่อ เรียนถึงเรื่องใดตอนใดก็จะแสดงได้ทันทีโดยไม่ต้องฝึกให้แสดงตามความรู้สึกนึกคิดของตนเอง 2. การแสดงบทบาทสมมติแบบเตรียมบทไว้พร้อม ผู้สอนจัดเตรียมบทล่วงหน้าบอกความคิดรวบยอด และบทบาทให้ผู้แสดงทราบ ซึ่งผู้แสดงอาจแสดงตามบทที่กำหนดบ้างหรืออาจคิดบทบาทขึ้นเองตามความคิด ความพอใจของตนแต่ต้องตรงกับเนื้อหาที่กำหนดไว้ 3. การแสดงบทบาทสมมติแบบแสดงละคร ผู้สอนกำหนดบทบาทไว้แล้วผู้แสดงจะต้องฝึกซ้อมแสดง และพูดตามบทที่ผู้สอนกำหนดขึ้น


11 2.5 ประโยชน์ของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) ประโยชน์ของการแสดงบทบาทสมมติมีหลายประการ ดังเช่น เม็นท์ส (Ments, 1986) ได้ กล่าวไว้ว่า การแสดงบทบาทสมมติช่วยให้ผู้เรียนแสดงออกซึ่งความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ ได้อธิบายถึงหัวข้อ สนทนาและปัญหา ส่วนตัว เข้าใจผู้อื่นและเข้าใจตนเอง ได้ฝึกพฤติกรรมหลายรูปแบบมีปฏิสัมพันธ์ในกลุ่มทั้ง เป็นแบบทางการ และไม่เป็นทางการและกล้าแสดงความคิดเห็น ญาดาพนิต พิณกุล (2539) กล่าวถึงประโยชน์ของการแสดงบทบาทสมมติไว้ว่า กิจกรรมการแสดง บทบาทสมมติช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การประพฤติและปฏิบัติตนในสังคมได้อย่างเหมาะสม ได้รู้จักพัฒนาการ ฝึกปฏิบัติ คือ รู้สึก คิดและกระทำอย่างมีระบบได้ผ่อนคลายความตึง เครียด ได้ฝึกการแก้ปัญหาและ รู้จักการ ตัดสินใจ ได้ฝึกความกล้าแสดงออกและเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง ได้ร่วมกันพัฒนาความสามัคคีจากการ ทำงานกลุ่ม ได้มีประสบการณ์ในการรับรู้ความรู้สึก ความคิดเห็นของตนเองและผู้อื่น ทำให้มองโลกกว้างขึ้น ได้ มีโอกาสเรียนรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นว่ามีความแตกต่างจากตัวเองและสามารถยอมรับความคิดเห็นของ ผู้อื่น มีโอกาสได้แสดงออกหลายบทบาท มีโอกาสสำรวจค่านิยมของตนเองและผู้อื่น ซึ่งสามารถทำให้รู้จัก ตัดสินใจ เลือกค่านิยมของตนเองได้อย่างมีเหตุผลเกิดความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคลมากขึ้นและมี ความ รับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น บุญชม ศรีสะอาด (2541) ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การ แสดงบทบาทสมมติ ซึ่งสรุปได้ว่าการแสดงบทบาทสมมติช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจว่าคนอื่น คิด รู้สึก และ ปฏิบัติอย่างไร มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น เปลี่ยนแปลงเจตคติ ได้รับการเตรียมความพร้อมสำหรับการเผชิญ สถานการณ์จริงเกิดความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาทักษะทางสังคม ได้เรียนรู้การจัดระบบความคิดและการ ตอบสนองโดยฉับพลัน รวมทั้งได้ฝึกการใช้ระบบการสื่อสารจากการปฏิบัติ มากกว่าการใช้ถ้อยคำ นอกจากนี้สมาคมสร้างสรรค์ไทย (2548) กล่าวว่า การแสดงบทบาทสมมติทำให้ผู้เรียนเกิด จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เกิดการใช้กระบวนการคิดฝึกให้ผู้เรียนได้คิดคล่องคิดหลากหลายคิดอย่าง มีเหตุผล คิดถูกทางและคิดไกล เกิดทักษะการสื่อสารกับผู้อื่น จากการใช้ทักษะการพูด การอ่าน การ เคลื่อนไหวในการแสดงเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจตรงกับสิ่งที่ตนเองต้องการสื่อ มีทักษะทางสังคมจากการทำงาน ร่วมกันเป็นกลุ่ม การประสานงานกับผู้อื่น ทำให้ผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นได้เห็นความสามารถและตัวตน ของ ผู้เรียนเกิดความสัมพันธ์ของการใช้ทักษะทางภาษาพูดและร่างกายให้เกิดความชำนาญและได้แสดง ความสามารถของตนเองทำให้กล้าแสดงออกเกิดการมองเห็นคุณค่าเชิงบวกในตนเองและเสริมสร้าง บุคลิกภาพของตนเอง เกิดการรับรู้และสร้างความเข้าใจสภาพความเป็นจริงในสังคม ตระหนักถึงปัญหาที่มีอยู่ ในสังคมสะท้อนผ่านการแสดงบทบาท โดยการเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ของตัวละครต่าง ๆ มีความ ละเอียดอ่อนและเสริมสร้างจริยธรรมในจิตใจ เข้าใจจิตใจผู้อื่น ผ่านบทบาทที่แสดงการเกิดสมาธิจากการ เคลื่อนไหว นำไปสู่การมีวุฒิภาวะทางอารมณ์และความคิด


12 ศศิภา ไชยวงค์ (2553) กล่าวว่า การแสดงบทบาทสมมติทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และเข้าใจ ความรู้สึก ของตนเองและผู้อื่นและสามารถปรับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนในกลุ่มได้ ได้ฝึกการแก้ปัญหาและ การ ตัดสินใจจากบทบาทสมมติ รู้จักใช้ไหวพริบในการแก้ปัญหาและตัดสินใจและรู้จัก วิเคราะห์หาสาเหตุของ ปัญหาเพื่อแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดได้เห็นแนวทางการนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิต จริง ได้สร้างความสามัคคีระหว่างกลุ่มการทำงานร่วมกันจะทำให้ทุกคนมีความเข้าใจกันและรู้จักปรับตนเอง ให้เข้ากับผู้อื่น ได้เกิดการเรียนรู้ในการปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับเหตุการณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ ในสังคม ได้ ฝึกความกล้าแสดงออกกล้าแสดงความสามารถ มีโอกาสนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนไปใช้ใน การ สื่อสารได้อย่างแท้จริง ซึ่งผู้สอนสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายเพื่อให้ผู้เรียนได้บรรลุ วัตถุประสงค์ในการสื่อสารได้และเกิดกระบวนการเรียนรู้ในการเรียนภาษาที่สอง อันส่งผลก่อให้เกิดแรงจูงใจ ใน การเรียน มีความกระตือรือร้นในการเรียนและมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ กิจกรรม การแสดงบทบาทสมมติยังช่วยให้ผู้สอนได้รู้ความต้องการของผู้เรียนที่ได้เปิดเผยความต้องการของ ตนเองออกมาอย่างไม่รู้ตัวรวมทั้งได้รู้ความสามารถ อุปนิสัยการทำงานและการปรับตนเข้ากับผู้อื่นของผู้เรียน นอกจากนี้ ทิศนา แขมมณี (2545) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนโดยใช้การแสดงบทบาท สมมติ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีวิธีหนึ่งที่ผู้สอนสามารถใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ กำหนด โดยการให้ผู้เรียนสวมบทบาทในสถานการณ์ที่มีความใกล้เคียงกับความเป็นจริงและแสดงออกตาม ความรู้สึกนึกคิดของตนและนำเอาอาการแสดงออกของผู้แสดงทั้งทางด้านความรู้ ความคิด ความรู้สึกและ พฤติกรรมที่สังเกตพบมาเป็นข้อมูลในการอภิปรายเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ เป็นวิธีการ จัดการเรียนการสอนที่ผู้เรียนได้มีการพัฒนาทักษะการเผชิญสถานการณ์ การตัดสินใจและแก้ปัญหา ผู้เรียนมี ส่วนร่วมในการเรียนรู้เป็นอย่างมาก ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างสนุกสนานและการเรียนรู้มีความหมายต่อ ผู้เรียน นอกจากนี้ในการแสดงบทบาทสมมติผู้เรียนสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ตนต้องการจะพูดและเลือกใช้ ภาษา ที่เหมาะสมในการสื่อสารด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนไม่วิตกกังวลในการใช้ภาษาและสนองต่อการสนทนา ได้อย่าง ทันท่วงทีโดยไม่เกิดความกลัว เนื่องจากสามารถขอคำชี้แนะจากผู้สอนและเพื่อนในกลุ่มทำให้ผู้เรียน เกิดความ มั่นใจในการสื่อสาร (นันท์นภัส เบญจานุวัตร, 2547) กล่าวโดยสรุป การจัดการเรียนการสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติเป็นการจัดการ เป็นเรียนการ สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางคือทำให้ผู้เรียนรู้เป้าหมายของการสื่อสารและทำให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ใน การเรียนรู้จากสถานการณ์จริงโดยคำนึงถึงแรงจูงใจ อารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการและบุคลิกภาพของ ผู้เรียน การแสดงบทบาทสมมติเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนนำความรู้เดิมผสมผสานกับความรู้ใหม่ ที่ได้รับจาก การปฏิสัมพันธ์ทางสังคมหรือการค้นคว้าด้วยตนเอง การเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญรวมถึงการจัดสภาพ ห้องเรียนอย่างเหมาะสม จะช่วยทำให้ผู้เรียนมีความพร้อมต่อการเรียนรู้เนื้อหาส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศการ เรียนรู้ตามความสามารถที่แตกต่างของผู้เรียน ผู้สอน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนใช้ภาษาจากความเข้าใจในความรู้ ความสามารถของตนเองและสามารถนำความรู้ในชั้นเรียนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิด ทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษจากการยอมรับตนเองและการทำงานเป็นกลุ่ม


13 3. ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ 3.1 แนวคิดในการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ การสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยในปัจจุบันมุ่งเน้นการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ทักษะการ พูดจึงเป็นทักษะที่สำคัญในการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ซึ่งเป็นการสอนที่เน้นการสื่อความหมายให้ ผู้อื่นเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตนต้องการมีการส่งเสริมให้มีการแสดงออกทางภาษา โดยใช้สถานการณ์ ต่างๆเข้าช่วยให้มีการปฏิสัมพันธ์ (Interactive) ซึ่งกันและกันในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนต้องยึด แนวคิด พื้นฐานเกี่ยวกับความสามารถในการสื่อสาร กล่าวคือ ให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาในการสื่อความหมายใน สถานการณ์ จริงที่ผู้เรียนจะได้ใช้ในโลกภายนอก ผู้เรียนจะต้องสื่อความหมายตามความต้องการของตนเอง ให้ผู้ฟังเข้าใจว่า ต้องการอะไรหรือคิดอย่างไรและเป็นการสื่อความหมายให้ผู้ฟังเข้าใจ โดยไม่คำนึงว่าภาษาที่ ผู้เรียนแสดงออก นั้นถูกต้องตามหลักไวยากรณ์หรือไม่ ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับการเรียน การสอนภาษาอังกฤษ ที่เน้นทักษะการสื่อสารของนักภาษาศาสตร์ประยุกต์กลุ่มแนวคิดเพื่อการสื่อสารที่เน้น ความรู้ความสามารถใน การติดต่อสื่อสารของบุคคลในสถานการณ์ต่างๆ ที่เชื่อว่าการเรียนรู้ภาษาเป็น กระบวนการที่เกิดขึ้นภายใน สมอง มนุษย์จึงต้องมีความรู้ความสามารถทางภาษาก่อนที่จะแสดงพฤติกรรม ทางภาษา ซึ่งในการสอนตามแนวคิดการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารนั้นจะเน้นปฏิสัมพันธ์ในการใช้ภาษา ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนและผู้เรียนกับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้มีความรู้เกี่ยวกับการนำภาษาไปใช้สถานการณ์ ต่างๆ เพื่อสื่อความหมายได้ตามความ ต้องการได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและคล่องแคล่ว (วรียา สุรยันยงค์, 2544) การสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเป็นการสอนที่มุ่งเน้นการใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางในการ แสดงความต้องการความรู้สึกและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างบุคคลอย่างน้อย 2 บุคคลขึ้นไป ผ่านกระบวนการ ถ่ายทอดสารจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งอย่างมีจุดมุ่งหมาย ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเป็นกระบวน การพัฒนาความสามารถในการสื่อสารโดยรวมถึงความเหมาะสมการยอมรับในการใช้และสถานการณ์ทาง สังคมที่ใช้ภาษานั้น นั่นก็คือ การใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารในสถานการณ์จริงได้อย่าง ถูกต้องและเหมาะสม นั่นเอง (อดิศา เบญจรัตนานนท์ และสุชาดา ทิพย์มนตรี, 2550) ดังนั้น ผู้สอนควรจัดกิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็น สำคัญเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมายได้ฝึกใช้ภาษาในสถานการณ์ที่มีโอกาสพบในชีวิตประจำวัน โดยยังให้ความสำคัญกับโครงสร้างและไวยากรณ์ที่ปรากฎอยู่ใน เนื้อหาที่ใช้ในการสื่อความหมายการสอน ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเป็นแนวการสอนที่มีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาเพื่อสื่อ ความหมายได้โดยใช้กลวิธีการสอนหลายๆแบบผสมผสานกัน กล่าวคือ สอนให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ ด้านองค์ประกอบทางภาษา คือ เสียง คำศัพท์และโครงสร้างเพื่อใช้เป็นแกนในการสื่อความหมาย สามารถ เชื่อมโยงความหมายทางภาษาและกริยาท่าทางให้เข้ากันและสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งสามารถ นำความรู้ทางภาษาไปใช้สื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่วและเหมาะสมกับ สภาพสังคม โดยภาษาที่ใช้แม้จะไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์นักแต่สามารถสื่อ ความหมายได้ ทั้งนี้ผู้เรียน


14 ควรฝึกใช้ภาษาที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์และตามกาลเทศะเท่าที่จะทำได้เพราะภาษาที่ถูกต้องจะช่วยสื่อ ความหมายได้ตรงกับที่ผู้พูดตั้งใจมากที่สุด ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารจึงควร เน้นการทำกิจกรรมเพื่อฝึกการใช้ภาษาที่ใกล้เคียงสถานการณ์จริงให้มากที่สุด ผู้สอนต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ฝึกทักษะการพูดในสถานการณ์ต่างๆที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงให้มากที่สุด เพื่อให้การสอนบรรลุเป้าหมาย ตามที่ต้องการ (สุมิตรา อังวัฒนกุล,2536) อย่างไรก็ตาม ลิตเติลวูด (Littlewood, 1984)กล่าวว่า การสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเป็น แนว การสอนที่ต้องไม่กำจัดความสามารถของผู้เรียนไว้เพียงแค่ความรู้ทางด้านไวยากรณ์เท่านั้น แต่ต้อง สนับสนุนให้ ผู้เรียนได้มีการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาทุกทักษะ โดยสัมพันธ์ความสามารถทางไวยากรณ์เข้า กับยุทธ์ศาสตร์ การสื่อสารด้วยวิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสมกับกาลเทศะ ในชีวิตจริงผู้เรียนต้องสัมผัสกับการ สื่อสารซึ่งเป็น การใช้ภาษาในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย ดั้งนั้นในการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร ผู้สอนควรสอน ให้ผู้เรียนคุ้นเคย กับภาษาในชีวิตประจำวันและนำภาษาที่คุ้นเคยนั้นไปใช้ได้ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ วิดดอว์สัน (Widdowson, 1979) ที่ว่าการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเป็นการสอนที่ต้องช่วยให้ผู้เรียน สามารถใช้ ประโยคหลายชนิดเพื่อสื่อสารในโอกาสต่างๆ กันได้เช่น การอธิบาย การแนะนำ การถาม-ตอบ การขอร้อง การ ออกคำสั่ง เป็นต้น ทั้งนี้ ความสามารถในการเรียบเรียงประโยคมิใช่เป็นความสามารถในการ สื่อสาร ความรู้ใน การแต่งประโยคเป็นสิ่งที่เราเรียกว่าความรู้ความเข้าใจภาษาเท่านั้น ความสามารถในการ สื่อสารเกิดขึ้นเมื่อ ผู้เรียนสามารถนำความรู้ในการใช้ประโยคไปใช้ให้เป็นปกติวิสัยได้ตามโอกาสต่างๆ กล่าวโดยสรุป ทักษะการพูดเป็นทักษะที่สำคัญในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตามแนวการสอน ภาษาเพื่อการสื่อสาร การจัดการเรียนการสอนมุ่งเน้นความสำคัญของตัวผู้เรียนจัดลำดับการเรียนรู้เป็น ขั้นตอน ตามกระบวนการใช้ความคิดของผู้เรียน ผู้เรียนจะเรียนได้ดีถ้าเข้าใจจุดประสงค์ของการเรียน เห็น ประโยชน์ของ การนำสิ่งที่เรียนไปใช้ โดยสามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนไปแล้วให้เข้าใจกับสิ่งที่กำลังเรียนอยู่และ สิ่งที่ช่วยให้ ผู้เรียนเรียนภาษาอังกฤษได้ดีนอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว คือความเข้าใจหลักภาษาที่ใช้ในการ วางรูปแบบ นอกจากจะอาศัยหลักการของทฤษฎีการเรียนรู้ดังกล่าวข้างต้น แล้วยังอาศัยหลักการทฤษฎี ความสามารถใน การสื่อสารที่เกี่ยวข้องในสติปัญญาและพฤติกรรมการแสดงออก กล่าวคือในด้านสติปัญญา จะเกี่ยวข้องกับ ความรู้ในโครงสร้างไวยากรณ์ การเลือกใช้คำและแบบแผนทางสังคมในการฟัง พูด สำหรับใน ด้านพฤติกรรม การแสดงออกนั้น เกี่ยวข้องกับความสามารถในการใช้ภาษาแสดงออกอย่างคล่องแคล่วใน สถานการณ์จริง ดังนั้นกล่าวได้ว่า กิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษตามแนวการสอนเพื่อการสื่อสารพัฒนามา จากทฤษฎีการเรียนรู้ หลายๆ ทฤษฎีผสมผสานกัน


15 3.2 หลักการจัดการเรียนการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ มอร์โรว์ (Morrow, 1981) และสุมิตรา อังวัฒนกุล (2539) ได้สรุปหลักการจัดการเรียนการสอน ทักษะการพูดภาษาอังกฤษตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารไว้ 5 หลักการ ดังนี้ 1. Know what you are doing. ต้องให้ผู้เรียนรู้ว่ากำลังทำอะไร เพื่ออะไร ผู้สอนต้อง บอกให้ ผู้เรียนทราบถึงวัตถุประสงค์ของการเรียนและการฝึกใช้ภาษา เพื่อให้การเรียนภาษาเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อ ผู้เรียน ให้ผู้เรียนรู้สึกว่าเมื่อเรียนแล้วสามารถสื่อสารได้ตามที่ตนต้องการ 2. The whole is more important than the sum of its parts. การสอนภาษาโดยแยกเป็นส่วน ไม่ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารได้ดีเท่ากับการสอนในลักษณะบูรณาการในชีวิตประจำวัน การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารมักต้องใช้หลายทักษะร่วมกัน ดังนั้นผู้เรียนควรจะได้ฝึกใช้ภาษาในลักษณะของ ทักษะรวมตั้งแต่เริ่มต้น 3. The processes are as important as the forms. ต้องให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมการใช้ภาษาที่มี ลักษณะเหมือนในชีวิตประจำวันให้มากที่สุด เพื่อให้ผู้เรียนนำไปใช้ได้จริง กิจกรรมการหาข้อมูลที่ขาดหายไป (Information Gap) เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะผู้เรียนที่ทำกิจกรรมนี้จะไม่ทราบข้อมูลของอีก ฝ่าย หนึ่ง จึงจำเป็นต้องสื่อสารกันเพื่อให้ได้ข้อมูลตามที่ต้องการกิจกรรมในลักษณะนี้จึงมีความหมายและ ใกล้เคียง การสื่อสารในชีวิตจริงมาก นอกจากนี้ในการทำกิจกรรมการใช้ภาษาควรให้ผู้เรียนได้มีโอกาส เลือกใช้ข้อความ (Choice) ที่เหมาะสมกับบทบาทและสถานการณ์ด้วย นั่นคือผู้เรียนควรได้เรียนรู้ความหมาย ของสำนวนภาษา ในรูปแบบต่าง ๆ นอกจากนี้ผู้เรียนต้องมีโอกาสในการโต้ตอบให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพื่อให้การสนทนาบรรลุเป้าหมาย 4. To learn it, do it. ต้องให้ผู้เรียนฝึกการใช้ภาษามากๆ การที่ผู้เรียนจะสามารถใช้ภาษาเพื่อการ สื่อสารได้นั้น นอกจากผู้เรียนต้องทำกิจกรรมการใช้ภาษาดังกล่าวแล้วยังต้องมีโอกาสได้ทำกิจกรรมในรูปแบบ ต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วย ดังนั้นนอกจากกิจกรรมการหาข้อมูลที่ขาดหายไปแล้วกิจกรรม อื่น ๆ ที่เป็นงานคู่หรืองานกลุ่ม เช่น เกม (Game) การแก้ปัญหา (Problem Solving) การแสดงบทบาทสมมติ (Role Play) จัดเป็นกิจกรรมที่สำคัญด้วยเช่นกัน 5. Mistakes are not always a mistake. ผู้เรียนต้องไม่กลัวว่าจะใช้ภาษาผิด การเรียนการสอน ภาษาเพื่อการสื่อสารให้ความสำคัญกับการใช้ภาษามากกว่าตัวภาษา ด้วยเหตุนี้ผู้สอนจึงไม่ควรแก้ไข ข้อผิดพลาดของผู้เรียนทุกครั้ง แต่ควรแก้ไขเฉพาะที่จำเป็น เช่น ข้อผิดพลาดที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิดหรือ ข้อผิดพลาดที่เกิดซ้ำบ่อยๆ เพราะการแก้ไขขณะที่ผู้เรียนพูดโดยทันทีอาจบั่นทอนความมั่นใจและความกล้าใน การใช้ภาษาของผู้เรียน


16 สรุปได้ว่า ในการประเมินผลทักษะการพูดภาษาอังกฤษนั้น ควรประเมินด้านความคล่องแคล่ว (Fluency) การให้ข้อมูล (Giving Information) การเลือกใช้ภาษา (Selecting Language) การออกเสียง (Pronunciation) ความมั่นใจในการแสดง (Confident Acting) และการแก้ปัญหา (Problem Solving) เพราะ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สะท้อนถึงระดับความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ในการ ประเมินผล สัมฤทธิ์ทางการพูดภาษาอังกฤษจะต้องประเมินผลไปตามจุดประสงค์ที่เน้นทักษะการพูด เพื่อ นำไปใช้ได้จริง ผู้สอนควรสร้างแบบทดสอบทักษะการพูดที่วัดความสามารถในการใช้ภาษาตามสถานการณ์ จริง เนื้อหาที่ใช้ ควรเป็นเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในทั่วไปในชีวิตจริงหรือใกล้เคียงความเป็นจริง มากที่สุด จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษที่กล่าวมาแล้ว ทั้งหมด สรุปได้ว่า การสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเป็นการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนสามารถ สื่อสารโดยใช้ภาษาอังกฤษได้ มีความสามารถในการพูดโต้ตอบกับคู่สนทนาได้อย่างคล่องแคล่วและมี ประสิทธิภาพ มีความสามารถในการฟังเรื่องราวหรือข้อความที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันได้อย่างเข้าใจ ซึ่ง ในการเรียนการ สอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษนั้น ผู้สอนควรเน้นการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ใน ห้องเรียน เน้นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกใช้ภาษาในสถานการณ์ต่างๆ ที่ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริง ให้มากที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาในสถานการณ์นั้นๆ ได้อย่างเหมาะสมถูกต้องและเป็นที่ ยอมรับของสังคม ซึ่งกิจกรรมที่นักการศึกษาหลายท่านแนะนำมากที่สุด คือการแสดงบทบาทสมมติเพราะ เป็นการสอนที่สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันช่วยเสริมแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียนรวมทั้งสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียน การสอนภาษาอังกฤษอันจะนำไปสู่สัมฤทธิ์ผลในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษในชีวิตจริงทั้งในชีวิตประจำวัน และในการประกอบอาชีพในอนาคต


17 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) ในการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษ การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) เป็นการสอนโดยมี การกำหนดสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริง ให้ผู้เรียนได้นำความรู้ที่เรียนแล้วรวมกับกระบวนการคิด แก้ไขปัญหาเพื่อทำกิจกรรมตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จโดยใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร โต้ตอบ กับคู่สนทนาและนำประสบการณ์ตรงที่ได้รับจากการแสดงบทบาทสมมติไปสู่การสามารถใช้ภาษาอังกฤษ ได้จริงทั้ง ในชีวิตประจำวันและในการประกอบอาชีพซึ่งมีนักวิจัยหลายท่านทั้งในต่างประเทศและในประเทศได้ทดลองใช้ กิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้นักศึกษาและพนักงานในหน่วยงาน ต่างๆ ซึ่งผลการวิจัยปรากฏให้เห็นว่ากิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติมีประโยชน์หลายประการ 4.2 งานวิจัยในต่างประเทศ นักวิจัยหลายท่านในต่างประเทศได้ใช้กิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติในการจัดการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษให้นักศึกษาและพนักงานในหน่วยงานต่างๆและพบว่ากิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติสามารถช่วย ส่งเสริมและพัฒนาสมรรถนะทางการพูดภาษาอังกฤษของผู้เรียนระดับอุดมศึกษาผลสำเร็จ ดังกล่าวเห็นได้จาก งานวิจัยของดุดนีย์(Dudney, 1983) ที่ได้ทำการวิจัยเรื่อง “HiddenInformation Role Plays” ซึ่งเป็นการ ทดลองสอนนักศึกษาที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยโรคลอร์ โดยใช้บทบาทสมมติชนิดมีปริศนาใน รายวิชาภาษาอังกฤษระดับเข้มข้น โดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนมีความมั่นใจและสามารถใช้ภาษาในการสื่อสารใน สถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง ผลการทดลองพบว่าการใช้กิจกรรมบทบาทสมมติประสบผลสำเร็จและ นักศึกษามีความเห็นว่าเป็นกิจกรรมที่ดีเพราะทุกคนได้มีส่วนร่วมในการใช้ภาษาในการสื่อสารและมีส่วนร่วมในการ แสดงออกนอกจากช่วยให้นักศึกษาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วมากขึ้นและมีความมั่นใจในตนเองสูงขึ้น แล้วการแสดงบทบาทสมมติยังมีประสิทธิผลในการทำให้นักศึกษาส่วนใหญ่ชอบภาษาอังกฤษมากขึ้นและมี แรงจูงใจในการฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น เพราะการแสดงบทบาทสมมติช่วยให้นักศึกษาสามารถฟัง และพูดภาษาอังกฤษง่ายขึ้น ทั้งนี้เห็นได้จากงานวิจัยของโจ ยู- หยวน (Jo Yu-Yuan, 1990) เรื่อง “Using Drama to Teach English to Young Adults” ซึ่งศึกษาผลของการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้การแสดงละครแบบมีพูดกับ นักศึกษาชั้นปี 1 มหาวิทยาลัยแห่งชาติใต้หวัน เมืองคีลุง ซึ่งเป็นนักศึกษามีความรู้ด้านภาษาอังกฤษ แ ต ่ มี ปัญหาด้านทักษะการฟังและการพูด ผู้วิจัยได้อนุญาตให้นักศึกษาเลือกละครเล่นเองซึ่งในตอนต้นของการ ฝึกซ้อมละคร ผู้วิจัยจะให้นักศึกษาฝึกพูดบทละครโดยไม่ท่องบทแต่ใช้ฝึกออกเสียงภายหลังจากนั้นจึงจะให้ท่องบท


18 และแสดงการทดลองนี้ใช้การสังเกตและแบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่านักศึกษาส่วนใหญ่ชอบภาษาอังกฤษ เพิ่มขึ้นตลอดจนเกิดความมั่นใจในตนเองสูงขึ้นพร้อมทั้งมีแรงจูงใจเพิ่มขึ้นทำให้การฟังและการพูดภาษาอังกฤษง่าย ขึ้นและสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้นการใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติในการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการ สื่อสารทำให้นักศึกษาพัฒนาการในทักษะกระบวนการเรียน มีผลการเรียนที่ดีและนักศึกษามีความพึงพอใจใน ระดับสูงต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่ง เห็นได้จากงานวิจัยของริชาร์ดส์ (Richards, 2000) เรื่อง “Role Playing in the Classroom” ที่ได้ทดลองใช้การแสดงบทบาทสมมติกับนักศึกษามหาวิทยาลัยเจมส์ คุก ประเทศ ออสเตรเลีย โดยมีวัตถุประสงค์ของการสอน คือ เพื่อสอนพื้นฐานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ ออสเตรเลียและเพื่อให้นักศึกษามีทักษะการคิดริเริ่มในด้านการสื่อสารและแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นเหตุเป็นผล การคิดวิเคราะห์และการทำงานกลุ่ม พบว่าการแสดงบทบาทสมมติเอื้อประโยชน์ในด้านการเรียน การฝึกทักษะ และยังส่งผลต่อกระบวนการเรียน คือ ช่วยให้นักศึกษาเข้าใจกระบวนการเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้จักการ แก้ปัญหาและก่อให้เกิดความร่วมมือในด้านการเรียน สรุปได้ว่า การแสดงบทบาทสมมติช่วยส่งเสริมและพัฒนาความสามารถด้านทักษะการพูด ภาษาอังกฤษ ช่วยสร้างทัศนคติที่ดีและเพิ่มแรงจูงใจในการฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษ รวมทั้งช่วยสร้าง ความ เชื่อมั่นในความสามารถของตนเองให้นักศึกษาและพนักงานในหน่วยงานต่างๆได้ 4.3 งานวิจัยในประเทศไทย ในประเทศไทยมีนักวิจัยหลายท่านได้ทดลองการแสดงบทบาทสมมติมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษให้นักศึกษาและพนักงานในหน่วยงานต่าง ๆ ตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมาหลายปีจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เช่น วชรพงษ์ ทองงาม (2561) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการละครแบบมีบทพูดหรือกิจกรรมบทบาทสมมติ เพื่อส่งเสริมทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษในงานวิจัยเรื่อง “การพัฒนากิจกรรม แบบมีบทพูดเพื่อส่งเสริม ทักษะฟังพูดภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนนาฏศิลป์ชั้นกลาง” โดยได้ทำการศึกษากับนักเรียนนาฏศิลป์ชั้นกลาง วิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความคิดในเชิงบวกและมี ความเห็นว่ากิจกรรมการละครแบบมีบทพูดสามารถช่วยส่งเสริมทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษได้ ดวงชีวา ทิพย์แดง (2562) ได้ทำการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาบทเรียนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อ ส่งเสริมความสามารถในการฟัง พูดภาษาอังกฤษสำหรับบุคลากรสวนกล้วยไม้” ซึ่งได้ทำการพัฒนาบทเรียนการ สอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อส่งเสริม ความสามารถในการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษและเปรียบเทียบความเชื่อมั่นในตนเองของบุคลากรสวนกล้วยไม้ก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียน ภาษาอังกฤษที่เน้นการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารมี ประสิทธิภาพในระดับดีและหลังจากเรียนบทเรียนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง เพิ่มขึ้น


19 สรินทร์รัตน์ สระบัว (2561) ได้ทำการวิจัยเรื่อง “การศึกษาผลการใช้บทบาทสมมติเป็นเครื่องมือใน การ สอนเกี่ยวกับทฤษฎีปฏิบัตินิยมในประโยคสนทนาภาษาอังกฤษอย่างเหมาะสม” ซึ่งเป็นการศึกษาผลการ ใช้ กิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติเป็นเครื่องมือในการสอน โดยได้ศึกษาและรวบรวมเนื้อความจากนักศึกษา ที่ กำลังศึกษาอยู่ในชั้นปริญญาตรี เพื่อสำรวจผลกระทบทางด้านทัศนคติในการใช้ทฤษฎีปฏิบัตินิยมไปสู่การ เรียน และการพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ผลการศึกษาสรุปได้ว่า นักศึกษาส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการเรียน โดยใช้บทบาทสมมติเป็นเครื่องมือการสอน เพราะสามารถช่วยสร้างทัศนคติที่ดีในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการ สื่อสาร และช่วยให้มีความสามารถในการเรียนรู้ทฤษฎีปฏิบัตินิยมได้อย่างถูกต้อง ในปีเดียวกัน นภาพร เพียรเสมอ (2560) ได้ทำการวิจัยเรื่อง “ประสิทธิผลของนักเรียนด้าน ความสามารถการพูดโดยวิธีการสอนแบบกิจกรรมบทบาทสมมติและวิธีการสอนแบบดั้งเดิม”เพื่อวัด ความสามารถทางด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบกิจกรรมบทบาทสมมติและ วิธีการสอนแบบดั้งเดิมในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนแผนกพาณิชยกรรมวิทยาลัยการ อาชีพศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ทำการทดลองโดยจัดนักเรียนเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมวิธีการ สอบแบบกิจกรรมบทบาทสมมติถูกนำมาใช้กับนักเรียนกลุ่มทดลองและวิธีการสอนแบบดั้งเดิมถูกนำมาใช้กับ นักเรียนกลุ่มควบคุมการทดสอบความสามารถด้านการพูดถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือวัดประสิทธิผล ความสามารถทางด้านการพูดของนักเรียน ผลการวิจัยพบว่านักเรียนกลุ่ม ทดลองสามารถพัฒนา ความสามารถทางด้านการพูดได้มากกว่า นักเรียนกลุ่มควบคุม จากการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่ากิจกรรม บทบาทสมมติสามารถช่วยกระตุ้นให้นักเรียนได้พัฒนาความสามารถทางด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษให้ดี ขึ้น วันเพ็ญ ไขลายหงส์ (2561) ได้พัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ โดย ใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) ในงานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะ การพูดภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1” ซึ่งได้ทำการศึกษากับนักศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 ผลการศึกษาพบว่า แผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) ระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ สามารถทำให้นักศึกษามีความก้าวหน้าร้อยละ 56 และสามารถสรุปได้ว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ (Role play) สามารถพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักศึกษาได้เป็นอย่างดีและส่งผลให้นักศึกษามีผล ทางการเรียนภาษาอังกฤษสูงขึ้น สรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) ช่วย พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนได้เพราะเป็นกิจกรรมที่ตรงกับความสนใจของผู้เรียนส่งเสริมผู้เรียน ให้เกิดการเรียนรู้ สร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีและมีแรงจูงใจในการเรียน


20 ผู้เรียน สามารถเรียนรู้ในสภาพที่มีความใกล้เคียงกับสถานการณ์จริง เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและได้มี ส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้มากที่สุด ตลอดจนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้การแสดงบทบาทสมมติในการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษข้างต้น สรุปได้ว่า การแสดงบทบาทสมมติเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์มีคุณค่าและเหมาะที่จะ นำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษ เพราะเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมความสามารถในการพูด ภาษาอังกฤษของนักศึกษา เนื่องจากนักศึกษาสามารถใช้รูปแบบของภาษาอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายที่กำหนด ซึ่งได้แก่การใช้คำพูดที่เหมาะสมและสัมพันธ์กับเรื่องที่สนทนาบทบาททางสังคมของคู่ สนทนา สถานการณ์และเป้าหมายในการสื่อสารการกำหนดให้นักศึกษาแสดงบทบาทสมมติและกำหนดให้ ต้องใช้ภาษาอย่างมีเป้าหมายส่งผลให้นักศึกษาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง คล่องแคล่วและ เหมาะสมขึ้นได้ การแสดงบทบาทสมมติช่วยทำให้นักศึกษามีความกระตือรือร้นที่จะพูดภาษาอังกฤษ เพราะ สถานการณ์ในกิจกรรมบทบาทสมมติใกล้เคียงชีวิตจริงนักศึกษาสามารถนำประสบการณ์ตรงที่ได้จากการ แสดงบทบาทสมมติซึ่งจำลองสถานการณ์จริงจากโลกภายนอกที่นักศึกษาจะต้องเผชิญไปใช้ในสถานการณ์ จริงได้นอกจากนี้แล้วการแสดงบทบาทสมมติเป็นการฝึกทักษะทางสังคมและส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะเพื่อการ ดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ให้นักศึกษาได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วม ในการทำกิจกรรมและรู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น อีกทั้งได้ฝึกการอภิปรายและการแสดงความคิดเห็นเพื่อ แก้ไขปัญหาการใช้ภาษาของตนเองและเพื่อนเพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาการใช้ภาษาอังกฤษของตนเอง ต่อไป และที่สำคัญที่สุดการได้ฝึกสนทนาในการแสดงบทบาทสมมติเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่น ในความ สามารถของตนเองในการพูดภาษาอังกฤษความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารและ บรรยากาศในการเรียนที่สนุกสนาน เพลิดเพลิน จะทำให้นักศึกษาคลายความวิตกกังวลในการแสดงบทบาท สมมติหน้าชั้นเรียน เมื่อนักศึกษาคลายความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษก็จะก่อให้เกิดทัศนคติที่ดีอันจะ ส่งผลให้เกิดแรงจูงใจในการเรียนและทำให้นักศึกษามีความมั่นใจในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษมากขึ้น ซึ่ง นำไปสู่การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อนำไปใช้ประกอบอาชีพในอนาคตได้


21 5. ขั้นตอนการสอนพูดภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ 1. Warm-Up (5 minutes) 1.1 Lead-in (Teacher greets with students) - Good morning / Good afternoon class. - Today’s question “If you have 1,000,000 dollars, what would you buy? 2. Presentation (5 minutes) - The teacher will play the video which related to the topic “On the Beach”. 3. Practice (30 minutes) - Role-playing activity 4. Production (10 minutes) - Role-playing activity in other situations 5. Wrap-up (10 minutes) ภาพที่ 1 ขั้นตอนการสอนพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ ขั้นเตรียมการสอน 1. เตรียมจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติ 2. เตรียมสถานการณ์สมมติ ขั้นฝึ ก/ปฏิบัติ 1. ข้นันา เขาสู่การแสดงบทบาทสมมติ ้ 2. เลือกผู้แสดง 3. การเตรียมความพร้อมของผู้แสดง 4. การจัดฉากการแสดง 5. การเตรียมผู้สังเกตการณ์ 6. การแสดง 7. การตัดบท ขั้นวิเคราะห์และอภิปราย ผลการแสดง 1. บอกสิ่งที่ควรปรับปรุงของผแู้สดง 2. สัมภาษณ์ความรู้สึกและความคิดผู้แสดง


22 กระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการ แสดงบทบาทสมมติ(Role-Play) 1. ขั้นเตรียมการสอน (warm up) - Asking a short question. 2. ขั้นนำเสนอ(presentation) - Videos which related to the topic. 3. ขั้นปฏิบัติ(Practice) - Introduction to Role Play - Selecting the Performers - Preparation of the Performers - Staging the Performance - Audience Preparation - Performance - Script Cutting 4. ขั้นนำไปใช้(Production) - Role-playing activity in other Situations. 5. ขั้นสรุป (wrap up) - Summarize the lesson. 6. กรอบแนวคิดการวิจัย ภาพที่ 2 กรอบแนวคิดการวิจัย ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสาร


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย เป็นการวิจัยในชั้นเรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษา อังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ มีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนต่อการพูด ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) โดยผู้วิจัยได้ดำเนินตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ ประชากรและประชากรกลุ่มตัวอย่าง แบบแผนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บ รวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1 ประชากร ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนกุมภวาปี ตำบลกุมภวาปี อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2566 รวมนักเรียน 469 คน 2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/10 โรงเรียนกุมภวาปี ตำบลกุม ภวาปีอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 40 คน ซึ่งได้มาจากการ เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) แบบแผนการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยในชั้นเรียน โดยทดลองกับกลุ่มตัวอย่างมีวัดผลและประเมินผลก่อนเรียน และหลังการทดลอง (t-test for Dependent Sample) มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ T1 X T2 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิจัย T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน X แทน การสอนโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ T2 แทน การทดสอบหลังเรียน


24 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้มีลักษณะและวิธีการสร้างดังต่อไปนี้ 1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1.1 แผนจัดการเรียนรู้การสอนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) มีทั้งหมด 7 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง จำนวนทั้งหมด 14 ชั่วโมง 1.2 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน เป็นแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้าง ขึ้นจำนวน 30 ข้อ เพื่อใช้ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (Pretest - Posttest) 2 การสร้างเครื่องมือในการวิจัย ในการสร้างเครื่องมือในการวิจัยในการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 2.1 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้การสอนพูดภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ 2.1.1 ศึกษาข้อมูลรายละเอียดในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) พร้อมศึกษา หลักการ ทฤษฎีและแนวคิด ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ อีกทั้งศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทางในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนการคัดเลือกเนื้อหาจาก หนังสือเรียนที่หลากหลายและสื่อทางที่ครูผลิตขึ้นเองและสื่อที่สามารถพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน 2.1.2 ศึกษารูปแบบการเรียนภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติและดำเนินการจัดทำ แผนการเรียนรู้จำนวน 7 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง 2.1.3 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อพิจารณาความถูกต้องและ นำมาปรับปรุง จากนั้นนำให้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการสอนภาษาอังกฤษ จำนวน 3 ท่าน พิจารณาตรวจสอบ ความถูกต้อง ความเหมาะสม ความสอดคล้องของวัตถุประสงค์การเรียนรู้กับกิจกรรมการเรียนการสอนและ การวัดประเมินผลตามกรอบของการจัดรูปแบบการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยและพัฒนาขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญได้พิจารณาลง ความเห็นและให้คะแนนดังนี้ ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อเห็นว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมและสอดคล้อง ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมและ สอดคล้อง ให้คะแนนเป็น -1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ไม่เหมาะสมและสอดคล้องกัน จากนั้นนำคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง Index of item-objective Congruence หรือค่า IOC 2.1.4 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ


25 2.1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้ทำการปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้วไปสอนกับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/10 โรงเรียนกุมภวาปี จำนวน 40 คน


26 ภาพที่3 ขั้นตอนการสร้างแผนจัดการเรียนรู้การพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ ศึกษาข้อมูลรายละเอียดในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) พร้อมศึกษาหลักการ ทฤษฎี และแนวคิด ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) ศึกษารูปแบบการเรียนภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติและดำเนินการจัดทำแผนการเรียนรู้ จำนวน 7 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้ทำการปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้วไปสอนกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/10 โรงเรียนกุมภวาปี จำนวน 40 คน


27 2.2.3 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน การสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดของนักเรียนมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 2.3.1 ศึกษาแนวทางการวัดและการประเมินผลจากเอกสารกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ภาษาอังกฤษระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามหลักสูตรแกนกลาง พุทธศักราช 2551 2.3.2 วิเคราะห์เนื้อหาและวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้มา กำหนดเป็นเนื้อหาและจุดประสงค์ของแบบวัดทดสอบ เพื่อพิจารณาจุดประสงค์ของแบบทดสอบให้สอดคล้อง กับวัตถุประสงค์การเรียนรู้และกำหนดความสามารถที่ต้องการทดสอบคือ ความสามารถด้านการพูด 2.3.3 สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถ ด้านการพูดภาษาอังกฤษเป็นข้อสอบแบบปรนัย จำนวน 4 ข้อ ข้อลักษณะของข้อสอบคือให้นักเรียนเลือกข้อที่ ถูกต้องเพียงข้อเดียว 2.2.4 นำแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษเสนอต่อจากที่ปรึกษาพิจารณาความ ถูกต้องของเนื้อหา 2.2.5 แก้ไขปรับปรุงแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษตามข้อเสนอแนะของ อาจารย์ที่ปรึกษา 2.2.6 นำแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านพิจารณา ตรวจสอบการใช้คำถามตัวเลือกความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและประเมินค่าเคมีความสอดคล้องจุดประสงค์เป็น รายข้อ index of item-objective Congruence หรือค่า IOC และพิจารณาให้คะแนนดังต่อไปนี้ ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบสอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ที่กำหนด ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบสอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ที่กำหนด ให้คะแนนเป็น -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบสอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ที่กำหนด 2.3.7 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษไปหาความเชื่อมั่น 2.3.8 นำแบบทดสอบที่แก้ไขเสร็จแล้วไปสอบกับกลุ่มตัวอย่าง


28 นำแบบทดสอบที่แก้ไขเสร็จแล้วไปสอบกับกลุ่มตัวอย่าง ภาพที่ 4 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน ศึกษาแนวทางการวัดและการประเมินผลจากเอกสารกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศภาษาอังกฤษ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรแกนกลาง พุทธศักราช 2551 วิเคราะห์เนื้อหาและวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้มากำหนดเป็น เนื้อหาและจุดประสงค์ของแบบวัดทดสอบ สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ นำแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษเสนอต่อจากที่ปรึกษา พิจารณาความถูกต้องของเนื้อหา แก้ไขปรับปรุงแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ ตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา นำแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านพิจารณาตรวจสอบการใช้ คำถามตัวเลือกความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและประเมินค่าเคมีความสอดคล้องจุดประสงค์ แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษไปหาความเชื่อมั่น


29 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยเพื่อศึกษาผลการเรียนวิชาภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติและได้ ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองด้วยตนเอง พร้อมเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูลมีขั้นตอนดังนี้ 1 ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูด โดยใช้ แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นก่อนดำเนินการทดลอง 2 ผู้วิจัยดำเนินการสอนนักเรียนกลุ่มตัวอย่างตามแผนการจัดการเรียนรู้การสอนภาษาอังกฤษโดยใช้ วิธีการแสดงบทบาทสมมติที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจำนวน 7 แผนละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 14 ชั่วโมง 3 หลังจากดำเนินการสอนครบตามที่กำหนดในแผนการจัดการเรียนรู้ผู้วิจัยทำการทดสอบหลังเรียน (Posttest) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างโดยใช้แบบทดสอบชุดเดียวกันกับการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) การวิเคราะห์ข้อมูล เมื่อผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลโดยนำผลคะแนนที่ได้จากการทดสอบวัดความ สามารถในการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติและผลคะแนนจากแบบวัดเจตคติต่อการพูด ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติของผู้เรียนมาวิเคราะห์ด้วยทางสถิติโดยวิธีการดังต่อไปนี้ 1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน 1.1 วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ 1.2 วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนที่เรียน โดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติก่อนเรียนและหลังเรียน 2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2.1 สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าคะแนนการทดสอบหลังเรียนโดยใช้ สถิติ t-test for Dependent Sample 2.2 ร้อยละ (Percentage) 2.3 ค่าเฉลี่ย (Mean) 2.4 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัด กิจกรรมแสดงบทบาทสมมติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตาม หัวข้อต่อไปนี้ 1.ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียน 2. ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนเทียบเกณฑ์ร้อยละ 70 ผลการศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียน ผู้วิจัยได้ใช้แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจำนวน 30 ข้อ คะแนนเต็ม 30 คะแนน ซึ่งนำไปใช้ทดสอบกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างก่อนทำการสอน และหลังจากผู้วิจัยได้ทำ การสอนครบตามจำนวนแผนการจัดการเรียนรู้การพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นทั้งหมด 7 แผน แล้วจึงทำการทดสอบหลังเรียนอีกครั้ง และนำผลคะแนนจากการทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนมาทำการวิเคราะห์โดยใช้สถิติทดสอบค่าที(t-test for Dependent Samples) ซึ่งผลการ วิเคราะห์ข้อมูลมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ผลการศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดง บทบาทสมมติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียน ผลการศึกษาความสามารถในการเรียนรู้การพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นรายบุคคลโดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถด้าน การพูดภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนในภาพรวม นำเสนอตารางที่ 1


31 ตารางที่ 1 ผลการศึกษาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนที่เรียนโดยใช้กิจกรรมแสดง บทบาทสมมติก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน เลขที่ คะแนนความสามารถด้านการพูด ก่อนเรียน (30) หลังเรียน (30) 1 12 20 2 15 19 3 13 26 4 20 25 5 15 15 6 13 22 7 15 22 8 20 20 9 12 25 10 10 21 11 18 22 12 17 18 13 20 23 14 17 14


32 ตารางที่ 1 ผลการศึกษาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนที่เรียนโดยใช้กิจกรรมแสดง บทบาทสมมติก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน (ต่อ) เลขที่ คะแนนความสามารถด้านการพูด ก่อนเรียน (30) หลังเรียน (30) 15 17 24 16 28 29 17 18 19 19 13 16 20 14 19 21 16 17 22 25 20 23 18 20 24 12 16 25 16 19 26 13 18 27 15 27 28 19 28 30 28 28 31 9 14 32 16 20


33 ตารางที่ 1 ผลการศึกษาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนที่เรียนโดยใช้กิจกรรมแสดง บทบาทสมมติก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน (ต่อ) คะแนนความสามารถด้านการพูด เลขที่ ก่อนเรียน (30) หลังเรียน (30) 33 15 20 34 17 21 35 26 28 36 25 27 37 13 19 38 27 28 39 23 26 40 11 17 41 16 20 42 27 27 จากตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์พบว่า คะแนนความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ จำนวน 40 คน มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 17.35 คิดเป็นร้อยละ 57.83 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 8.94 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 21.48 คิดเป็นร้อยละ 71.58 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 6.03


34 2. ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนเทียบเกณฑ์ร้อยละ 70 หลังการทดลองผู้วิจัยได้หาค่าเฉลี่ยและเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนเทียบเกณฑ์ร้อยละ 70 ปรากฏผลตามตางรางที่ 2 ตารางที่ 2 ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนเทียบเกณฑ์ร้อยละ 70 การทดสอบ N x S.D. ร้อยละ t ก่อนเรียน หลังเรียน 30 30 17.35 21.48 8.94 6.03 57.83 71.58 6.27** **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางที่ 2 พบว่าคะแนนความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการสอนโดยจัดกิจกรรม แสดงบทบาทสมมติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 จำนวน 40 คน มีค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบก่อนเรียน เท่ากับ 17.35 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 8.94 และค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบหลังเรียนเท่ากับ 21.48 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 6.03 เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของคะแนนพบว่าคะแนน ความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01


บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ โดยจัด กิจกรรมแสดงบทบาทสมมติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งมีลำดับขั้นของการวิจัยและสรุปผล ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ตั้งวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการพูดภาษาอังกฤษก่อนและหลังการสอนโดยใช้วิธีการแสดงบทบาท สมมติ(Role play) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สมมติฐานของการวิจัย การศึกษาการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานไว้ 2 ข้อดังนี้ 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาท สมมติมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนการพูดภาษาอังกฤษมีความสามารถในการพูด ภาษาอังกฤษสูงกว่าก่อนเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ประชากรคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โรงเรียนกุมภวาปี ตำบลกุมภวาปี อำเภอกุมภวา ปี จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2566 รวมนักเรียน 469 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่กำลังเรียนในภาคเรียน ที่ 1-2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนกุมภวาปีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี เขต 2 จำนวน 40 คน ได้มาจากวิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sample)


36 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ประเภท ดังนี้ 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้การสอนการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติจำนวน 7 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวม 14 ชั่วโมง ซึ่งได้ผ่านการตรวจ แก้ไข ทดลองใช้ และปรับปรุงมาแล้ว มีค่าดัชนี ความสอดคล้องอยู่ที่ 1.0 ทุกแผน 2.2 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ จำนวน 30 ข้อ ซึ่งเป็นการทดสอบ หลายตัวเลือก (Multiple-choice test) ข้อละ 1 คะแนน รวม 30 คะแนน มีค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อ คำถามกับจุดประสงค์การเรียนรู้ของแต่ละข้อทดสอบ (IOC) เท่ากับ 1.0 ทุกข้อ 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัด กิจกรรมแสดงบทบาทสมมติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งได้ดำเนินการทดลองด้วยตนเอง และเก็บ รวบรวมข้อมูลในภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2566 มีรายละเอียดดังนี้ 3.1 ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) กับกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการ พูดภาษาอังกฤษ จำนวน 30 ข้อ ซึ่งเป็นการทดสอบหลายตัวเลือก (Multiple-choice test) 3.2 ดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้การพูดภาษาอังกฤษโดยจัด กิจกรรมแสดงบทบาทสมมติกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 7 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวม 14 ชั่วโมง 3.3 ทดสอบหลังเรียน (Posttest) กับกลุ่มตัวอย่าง หลังจากดำเนินการทดลองครบตามเวลาที่ กำหนด โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ จำนวน 30 ข้อ ซึ่งเป็นข้อสอบชุดเดียวกัน กับแบบทดสอบก่อนเรียน 3.4 นำผลคะแนนก่อนเรียน หลังเรียนมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีทางสถิติเพื่อใช้ในการสรุปและ อภิปรายผลการทดลอง 4. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ 4.1 วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของผู้เรียนโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละ 4.2 วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษระหว่างก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Samples)


37 สรุปผลการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ สรุปได้จากการเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรม แสดงบทบาทสมมติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียน ซึ่งสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 1. นักเรียนมีคะแนนความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษก่อนเรียนเฉลี่ย เท่ากับ 17.35 คิดเป็นร้อย ละ 57.83 และคะแนนหลังเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 21.48 คิดเป็นร้อยละ 71.58 เมื่อทดสอบความแตกต่างของ ค่าเฉลี่ย พบว่าคะแนนความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมแสดง บททบาทสมมติหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 การอภิปรายผล การวิจัยในครั้งนี้เป็นการเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดง บทบาทสมมติก่อนเรียนและหลังเรียน ซึ่งผู้วิจัยได้แยกการอภิปรายผลเป็นประเด็นด่าง ๆ ตามลำดับดังนี้ 1. การศึกษาเปรียบเทียบความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ ก่อนเรียนและหลังเรียน ผลการทดลองในครั้งนี้พบว่านักเรียนมีคะแนนความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ โดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติก่อนเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 17.35 คิดเป็นร้อยละ 57.83 และคะแนนหลังเรียน เฉลี่ยเท่ากับ 21.48 คิดเป็นร้อยละ 71.58 คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานของการวิจัยข้อที่ 1 จากคะแนนก่อนเรียนทำให้ทราบว่าความรู้พื้นฐานของกลุ่มตัวอย่างก่อนทำการวิจัยอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้เนื่องมาจากนักเรียนจำนวน 40 คน มีพื้นฐานในการพูดภาษาอังกฤษที่ถูกต้องตามหลักน้อย ไม่สามารถ แนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษได้และไม่สามารถพูดประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้รวมทั้งการ จัดการสอนของครูเป็นการสอนแบบปกติ คือให้นักเรียนจดจำหรือท่องจำคำศัพท์/ประโยค และไม่มีสื่อการ สอนที่หลากหลายให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการพูด ซึ่งทำให้นักเรียนไม่รู้จักประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ใน ชีวิตประจำวัน แต่หลังจากที่นักเรียนได้รับการสอนการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ แล้วทำให้นักเรียนมีความมั่นใจในการพูดทั้งในและนอกห้องเรียนมากขึ้น กล้าแสดงออกทางภาษา สามารถ เรียนรู้ได้อย่างสนุกสนาน และมีความสุขกับการเรียนภาษาอังกฤษทำให้พัฒนาการพูดภาษาอังกฤษให้ดีขึ้นได้ นอกจากนี้การที่ครูให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่มทำให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ อีกทั้งยังได้พัฒนาทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ปัจจัยที่ กล่าวมาข้างต้นส่งผลให้นักเรียนสามารถพัฒนาความสามารถด้านการพูด หลังเรียนสูงขึ้นมีค่าร้อยละ 71.58 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะนักเรียนสนใจวิธีการสอนโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติซึ่งมีกิจกรรมการเรียนการ สอนที่น่าสนใจกว่าการสอนแบบปกติที่ไม่มีการจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้ฝึกการพูด โดยการสอนพูดโดยจัด กิจกรรมแสดงบทบาทสมมติมีกิจกรรมที่หลากหลายในการฝึกการพูดภาษาอังกฤษ


38 ซึ่งผลคะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากเหตุที่ กล่าวมานี้แสดงว่าการสอนการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบททบาทสมมติครั้งนี้สามารถพัฒนา ความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนได้ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ดวงชีวา ทิพย์แดง (2562) “การพัฒนาบทเรียนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อ ส่งเสริมความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ” ซึ่งได้ทำ การพัฒนาบทเรียนการ สอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อส่งเสริม ความสามารถ ในการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษที่เน้นการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนการสอน ภาษาเพื่อการสื่อสารมีประสิทธิภาพในระดับดีและหลังจากเรียนบทเรียนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารผู้เรียนมี ความเชื่อมั่นในตนเองเพิ่มขึ้น 2. นักเรียนที่ได้รับการสอนพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติมีคะแนน ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าร้อยละ 70 ของเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ซึ่งสอดคล้องกับ สมมติฐานข้อที่ 2 ของการวิจัย สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ ประการแรก การสอนพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติช่วยพัฒนาความสามารถ ด้านการพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น เนื่องจากผู้เรียนได้ฝึกพูด คือเริ่มฝึกจากการพูดประโยคภาษาอังกฤษสั้นๆ การถามคำถามสั้นๆ รวมไปถึงประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้การสอนพูดภาษาอังกฤษ โดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติจึงช่วยให้นักเรียนพูดภาษาอังกฤษที่ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่าง ถูกต้อง ซึ่งสอดคล้องกับ สรินทร์รัตน์ สระบัว (2561) ได้ทำการวิจัยเรื่อง “การศึกษาผลการใช้บทบาทสมมติ เป็นเครื่องมือในการ สอนเกี่ยวกับทฤษฎีปฏิบัตินิยมในประโยคสนทนาภาษาอังกฤษอย่างเหมาะสม” ซึ่งเป็น การศึกษาผลการใช้ กิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติเป็นเครื่องมือในการสอน โดยได้ศึกษาและรวบรวม เนื้อความจากนักศึกษาที่ กำลังศึกษาอยู่ในชั้นปริญญาตรี เพื่อสำรวจผลกระทบทางด้านทัศนคติในการใช้ ทฤษฎีปฏิบัตินิยมไปสู่การเรียน และการพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ผลการศึกษาสรุปได้ว่า นักศึกษา ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการเรียนโดยใช้บทบาทสมมติเป็นเครื่องมือการสอน เพราะสามารถช่วยสร้างทัศนคติที่ดี ในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารและช่วยให้มีความสามารถในการเรียนรู้ทฤษฎีปฏิบัตินิยมได้อย่าง ถูกต้อง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการสอนพูดภาษาอังกฤษด้วยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติสามารถพัฒนา ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนได้ดี และทำให้ผลคะแนนการทดสอบ หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักเรียนสามารถนำประโยคที่ได้เรียนมา นำไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย วันเพ็ญ ไขลายหงส์ (2561) ได้พัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) ในงานวิจัยเรื่อง “การพัฒนา แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1” ซึ่งได้ทำการศึกษากับนักศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 ผลการศึกษาพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมการแสดง บทบาทสมมติ(Role play) ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ สามารถทำให้


39 นักศึกษามีความก้าวหน้าร้อยละ 81.65 และสามารถสรุปได้ว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะการพูด ภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติ(Role play) สามารถพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ ของนักศึกษาได้เป็นอย่างดีและส่งผลให้นักศึกษามีผลทางการเรียนภาษาอังกฤษสูงขึ้น สรุปได้ว่าการสอนพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติในครั้งนี้ช่วยพัฒนา ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน นักเรียนมีความเข้าใจ นักเรียนรู้สึกภูมิใจในตนเองที่ สามารถพูดภาษาอังกฤษในสถานการณ์ต่างๆ ได้มีความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น และเป็นการ สอนเพื่อปูพื้นฐานในการพูดที่ถูกต้องสำหรับการเรียนระดับสูงต่อไป ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะจากการนำผลการวิจัยไปใช้ จากการวิจัยพบว่า การพัฒนาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดง บทบาทสมมติทำให้นักเรียนมีความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เพื่อให้การ สอนพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติมีประสิทธิภาพสูง ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังนี้ 1.1 จากผลการวิจัยพบว่า ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แสดงให้เห็นว่าการสอนภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติทำให้นักเรียนสามารถพูด ภาษาอังกฤษที่ใช้ในสถานการณ์ต่างๆได้ ดังนั้นครูควรนำการสอนการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดง บทบาทสมมติไปใช้ในการสอนพูดภาษาอังกฤษในห้องเรียน 2. ข้อเสนอแนะสำหรับการทำวิจัยครั้งต่อไป เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่จะทำวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดย จัดกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังนี้ 2.1 ควรมีการวิจัยเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมแสดง บทบาทสมมติที่เกิดการเรียนรู้ที่นำไปสู่การสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น 2.2. ควรมีการวิจัยเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ ควบคู่ไปกับทักษะอื่นๆ ด้วย เพราะนักเรียนจะได้ฝึกทักษะทั้ง 4 ด้าน คือ การฟัง พูด อ่าน เขียน ไปพร้อม ๆ กัน 2.3 ควรมีการวิจัยเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้จัดกิจกรรมแสดง บทบาทสมมติโดยใช้ประโยคที่ซับซ้อนมากขึ้นในระดับสูงขึ้นไป


Click to View FlipBook Version