The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานฉบับสมบูรณ์-โครงการเทียนหอมเพื่อสุขภาพ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chuearak23, 2021-11-11 03:12:52

รายงานฉบับสมบูรณ์-โครงการเทียนหอมเพื่อสุขภาพ

รายงานฉบับสมบูรณ์-โครงการเทียนหอมเพื่อสุขภาพ

รายงานฉบับสมบรู ณ์
โครงการเทียนหอมเพือ่ สขุ ภาพ

ประจำป�การศกึ ษา 2564

ของ
นางสาวองั คณา เช้ือรกั ษ์
นางสาวสุภัชชา นอ้ ยทอง
นางสาวหทัยชนก เพชรอาวธุ

สาขาวชิ ารฐั ประศาสนศาสตร์
คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสรุ าษฎรธ์ านี



รายงานฉบบั สมบรู ณ์
โครงการเทียนหอมเพ่อื สขุ ภาพ

ประจำป�การศกึ ษา 2564

ของ
นางสาวอังคณา เชื้อรักษ์
นางสาวสุภัชชา น้อยทอง
นางสาวหทยั ชนก เพชรอาวธุ

สาขาวิชารฐั ประศาสนศาสตร์
คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สรุ าษฎร์ธานี



คำนำ

โครงการเทยี นหอมเพื่อสุขภาพ จดั ทำขนึ้ โดยมีวัตถปุ ระสงค์ เพ่อื พัฒนาให้ผู้ขายมองเห็น
โอกาสทางการขายทีเ่ พิม่ ขึ้นในตลาดออนไลน์ของตัวเอง ดว้ ยการนำสนิ ค้า/บริการอื่นๆ เขา้ สู่ตลาด
ออนไลน์เพ่มิ ขึน้ เพ่ือยกระดบั ให้ผขู้ ายมีกลยทุ ธ์ในการเพมิ่ ยอดขาย ดา้ นเทคนคิ ต่าง ๆ ทใ่ี หเ้ ลือกตาม
ความเหมาะสมของตลาดทต่ี วั เองดูแลอยู่ เพ่ือส่งเสรมิ ให้ผูข้ ายมแี นวทางการบริหารงานขายอย่างเป�น
ระบบและสามารถปฏบิ ัตงิ านขายได้อย่างมีประสทิ ธผิ ลเพิม่ มากข้ึน โดยดำเนินโครงการอย่างเป�น
ระบบ นบั ต้ังแตก่ ารศกึ ษาสภาพป�จจบุ ันป�ญหาและความตอ้ งการ การกำหนดจดุ พัฒนา การวางแผน
การปฏิบตั ิงานตามแผน การนเิ ทศติดตามผล และประเมินโครงการ เพื่อนำผลการประเมินโครงการไป
ใชใ้ นการพัฒนางานอยา่ งตอ่ เนอื่ ง และเป�นระบบ ผลการดำเนินงานชว่ ยใหน้ กั ศกึ ษาได้ มคี วามรู้ มี
ประสบการณใ์ นการพัฒนาเกย่ี วกบั การทำโครงการขายของออนไลน์
ส่งผลให้นักศึกษามคี ณุ ภาพตามจุดหมายของหลกั สูตร

ขอขอบคุณ อาจารยอ์ ยับ ซาดคั คาน (ที่ให้คำปรึกษา แนะนำ)
ท่ีใหค้ วามร่วมมอื ในการดำเนินโครงการเทยี นหอมเพ่ือสขุ ภาพ และประเมินโครงการเทยี นหอมเพื่อ
สุขภาพ ทำให้การดำเนินงานบรรลผุ ลตามเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งประโยชนท์ ไี่ ด้รับคอื ศึกษาหา
ความรู้ และมีประสบการณใ์ นการทำเทียนหอมเพอื่ สุขภาพ มากย่ิงขึ้น และผ้เู กีย่ วขอ้ งในโครงการครั้ง
น้ี ได้มีการพฒั นางาน ใหม้ คี วามก้าวหนา้ ตอ่ ไป

สภุ ัชชา ทองน้อย
คณะผู้จดั ทำ



สารบญั

เรื่อง หนา้

คำนำ……………………………………………………………………………………………………………………ก
สารบัญ ……………………………………………………………………………………………………………….ข
สารบัญ (ตอ่ ) ……………………………………………………………………………………………………….ค
สารบญั (ต่อ) ………………………………………………………………………………………………………..ง
สารบัญภาพ………………………………………………………………………………………………………….จ
สารบญั ตาราง………………………………………………………………………………………………………..ฉ
สารบัญตาราง (ต่อ) ……………………………………………………………………………………………….ช
บทคดั ยอ่ ……………………………………………………………………………………………………………….ซ
บทท่ี 1 บทนำ………………………………………………………………………………………………………..1

ความเป�นมาของโครงการ……………………………………………………………………………..1
หลกั การและเหตผุ ลของโครงการ…………………………………………………………………..1-2
วตั ถปุ ระสงค์โครงการ…………………………………………………………………………………..2
เป้าหมายของโครงการ………………………………………………………………………………….2
ขอบเขตดำเนนิ เดินงานโครงการ…………………………………………………………………….3
นยิ ามศัพท…์ ………………………………………………………………………………………………..3-4
ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะได้รับ…………………………………………………………………………….4
งบประมาณ…………………………………………………………………………………………………4
ปจ� จัยในการดำเนนิ โครงการ………………………………………………………………………….5-6
กจิ กรรมในการดำเนนิ โครงการ………………………………………………………………………6-7



ข้ันตอน/วธิ กี ารดำเนนิ การ(ตามกระบวนการ PDCA) ……………………………………….8

สารบัญ(ตอ่ )
เร่ือง หนา้

บทที่ 2 รายละเอยี ดของโครงการ และวรรณกรรมทเี่ กีย่ วข้อง…………………………………….9
แนวคิดทฤษฎีทเี่ กี่ยวข้องกบั การทำโครงการ……………………………………………………9-25
หลกั การและแนวคิดทฤษฎที เี่ กี่ยวขอ้ งกบั การประเมนิ ผลโครงการ……………………..25-35
กรอบแนวคดิ การประเมินผลของโครงการ……………………………………………………….35

บทท่ี 3 วธิ กี ารประเมนิ โครงการ………………………………………………………………………………..36
รูปแบบการประเมินโครงการ………………………………………………………………………….36
วิธกี ารการประเมินโครงการ……………………………………………………………………………36
ประชากรกลุ่มตัวอย่าง…………………………………………………………………………………….37
เครอื่ งมือที่ใชใ้ นการประเมินโครงการ………………………………………………………………..38-39
สถิตทิ ่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ………………………………………………………………………….39

บทท่ี 4 ผลการประเมนิ โครงการ………………………………………………………………………………….40
ผลการประเมนิ ด้านสภาวะแวดลอ้ ม…………………………………………………………………..41-43
ผลการประเมินด้านป�จจัย………………………………………………………………………………...43-45
ผลการประเมนิ ด้านกระบวนการ……………………………………………………………………….45-47
ผลการประเมนิ ดา้ นผลผลิต……………………………………………………………………………….48-49

บทที่ 5 สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ…………………………………………………………….50
ผลการประเมินโครงการทั้ง 4 ด้าน……………………………………………………………………..50
ขอ้ เสนอแนะ……………………………………………………………………………………………………50



บรรณานุกรม………………………………………………………………………………………………………………..51-52

สารบัญ (ตอ่ )
เรื่อง หน้า

ภาคผนวกรูปภาพ………………………………………………………………………………………………….53-54
ภาคผนวกเครื่องมอื การประเมนิ ………………………………………………………………………………55-57



สารบัญภาพ

เร่อื ง หน้า
ภาพท่ี 2.1 องค์ประกอบการส่งเสริมการขาย……………………………………………………………..12
ภาพท่ี 2.2 โมเดลพื้นฐานของสตัฟเฟ�ลบมี CIPP Model……………………………………………...26



สารบัญตาราง

เรอื่ ง หน้า
ตารางท่ี 1.1 ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ……………………………………………………………3
ตารางที่ 1.2 แจกแจงการใชจ้ า่ ยเงนิ ในการดำเนนิ โครงการ………………………………………….4
ตารางท่ี 1.3 ข้นั ตอน/วธิ กี ารดำเนนิ โครงการ PDCA……………………………………………………8
ตารางที่ 2.1 กรอบแนวคดิ การประเมนิ โครงการ…………………………………………………………35
ตารางที่ 3.1 รูปแบบการประเมนิ โครงการ…………………………………………………………………36
ตารางที่ 3.2 กลุ่มประชากรและกลุ่มตัวอย่าง……………………………………………………………..37
ตารางท่ี 4.1 จำนวนผู้ใหส้ ัมภาษณแ์ ละประเภทของผใู้ ห้สมั ภาษณข์ อ้ มลู ………………………..40
ตารางที่ 4.2 ทา่ นคิดวา่ การเเพค็ สินค้ามีการปอ้ งกันการตกเเตกระหว่างการขนส่ง

หรือไม่ อยา่ งไร…………………………………………………………………………………………...41
ตารางที่ 4.3 สนิ คา้ มีปญ� หาระหว่างการขนสง่ หรอื ส่งลา่ ช้าทางรา้ นมกี ารรับผดิ ชอบ

หรอื ไม่ อย่างไร……………………………………………………………………………………………42
ตารางท่ี 4.4 ลูกค้าทอ่ี ยใู่ นพนื้ ทท่ี างร้านมกี ารส่งสนิ คา้ ได้อยา่ งรวดเรว็ เเละพึงพอใจ

หรือไม่ อย่างไร……………………………………………………………………………………………42
ตารางที่ 4.5 ทา่ นคิดวา่ ช่องทางการจา่ ยเงนิ โอนเงิน สะดวกตอ่ ความ

ต้องการหรือไมอ่ ย่างไร………………………………………………………………………………….43
ตารางท่ี 4.6 ทา่ นคิดวา่ สินค้ามีราคาทเี่ หมาะสมตรงกับสนิ คา้ ทีไ่ ดร้ ับมากนอ้ ยเพยี งใด……….44
ตารางท่ี 4.7 ผขู้ ายมมี ารยาทในการซอื้ ขายและใหบ้ ริการตอ่ ผซู้ อื้ ดีหรอื ไม่



หรือควรปรับปรุงแกไ้ ขอย่างไร………………………………………………………………………..44
ตารางที่ 4.8 สนิ คา้ ท่ที า่ นสงั่ จากทางเราไป มปี ญ� หาหรอื ขายตกบกพรอ่ งหรอื ไม…่ ……………..45

สารบญั ตาราง (ต่อ)

เรอ่ื ง หน้า
ตารางท่ี 4.9 ทา่ นคิดว่าสินคา้ มีป�ญหาตอ่ การใชง้ านหรอื ไม่ อย่างไร……………………………….46
ตารางที่ 4.10 ในการส่ังสินค้ามผี ลกระทบดา้ นใดต่อลูกค้าบา้ ง เพราะเหตุใด…………………..47
ตารางที่ 4.11 ท่านคดิ ว่าเทยี นหอมของเรามคี ณุ ภาพเเละเหมาะสมหรอื ไม่ อย่างไร………….48
ตารางที่ 4.12 ทา่ นคิดว่าสนิ ค้าตรงกบั ความต้องการเเละพงึ พอใจหรอื ไม่ อย่างไร…………….48
ตารางท่ี 4.13 ทา่ นคิดวา่ สนิ คา้ ท่ีทา่ นไดร้ ับตรงกับที่ทา่ นเห็นในภาพกอ่ นสง่ั ซอ้ื

หรอื ไม่ อยา่ งไร……………………………………………………………………………………………49



บทคัดย่อ

ชอ่ื เรอ่ื ง การประเมินโครงการเทียนหอมเพอ่ื สขุ ภาพ
ผู้รบั ผดิ ชอบ นางสาวสภุ ัชชา ทองน้อย

นางสาวหทัยชนก เพชรอาวุธ
นางสาวองั คณา เช้ือรักษ์

ระยะเวลาการเริ่มโครงการ 1 กันยายน 2564 – 25 ตลุ าคม 2564
ระยะเวลาโครงการอนมุ ัติใหด้ ำเนินการจดั ทำ 7 กนั ยายน พ.ศ.2564 ถึง 25 ตุลาคม พ.ศ.2564
ระยะเวลาการประเมนิ โครงการ 7 กนั ยายน พ.ศ.2564 ถงึ 25 ตลุ าคม พ.ศ.2564

วตั ถุประสงค์โครงการ
1. เพอื่ ไดศ้ ึกษาค้นควา้ เกี่ยวกับขัน้ ตอนการทำเทียนหอม
2. เพอ่ื ศึกษาคน้ คว้าประโยชนข์ องน้ำมันหอมระเหย
3. เพอ่ื เสริมสรา้ งรายได้ให้แก่ตนเองระหวา่ งเรยี น

วธิ ดี ำเนินโครงการ
การประเมนิ โครงการเทยี นหอมเพ่ือสุขภาพ ดำเนนิ ในระหว่างวันที่ 7 กนั ยายน พ.ศ.2564 ถงึ

25 ตลุ าคม พ.ศ.2564 โดยใชป้ ระชากร คอื ผ้ทู ีท่ ำโครงการเทยี นหอม จำนวน 3 คน
เคร่ืองมอื ที่ใชป้ ระเมินโครงการ คอื ใชร้ ปู แบบการประเมินโครงการแบบ CIPP MODEL

ของสตฟั เฟลบีม

ผลการประเมนิ โครงการ
ผลการประเมินโครงการในแต่ละด้านดังนี้
1…………………………………………….
2……………………………………………
3…………………………………………...

1

บทที่ 1

บทนำ

ชอื่ โครงการ : เทียนหอมเพ่อื สุขภาพ

ความเปน� มาของโครงการ หลกั การและเหตุผล

ในสมยั กอ่ นประวตั ิศาสตร์ มนษุ ยย์ ังไมม่ ไี ฟที่ใชใ้ หค้ วามสวา่ งในยามคำ่ คืน คนในสมยั นัน้ จงึ ได้
นำเทยี นมาใชส้ รา้ งแสงสวา่ งโดยการต้มรงั ผง้ึ เพ่ือใหไ้ ด้ขีผ้ ้งึ มาใช้ในการทำเทียนสำหรับใหค้ วามสวา่ งส
ไว เทยี นนอกจากใช้ใหแ้ สงสวา่ งแลว้ ยังมีการนำเข้ามาประกอบกับพิธกี รรมทางศาสนาหรือต ามแต่
ความเชอ่ื ในแต่ละพ้ืนที่ และยงั มีการนำเทยี นใชป้ ระดับสถานที่ซ่ึงเป�นการแสดงถึ งฐ านะค วามมี
รสนิยม ท้ังยงั เป�นสร้างบรรยากาศได้ดอี กี ด้วยโดยป�จจุบันนยิ มใชเ้ ทียนที่มคี วามสวยงามใ นรูปแบบ
เทยี น

ประวตั ิเทยี นหอม เครือ่ งหอมท่ใี หม้ ากกวา่ แสงสว่าง เทียนหอมท่ีเราคุ้นเคยกนั ดใี นป�จจุบันน้ี
มีประวตั ิความเป�นมาท่ีพัฒนามาจาก "เทยี น" อุปกรณใ์ หแ้ สงสวา่ ง ซง่ึ แตเ่ ดมิ มกั มคี วามเชอ่ื มโยงกับ
ความเชอ่ื ทางศาสนา และพิธกี รรมต่างๆ โดยเมือ่ ราว 3,000 ปก� ่อนคริสตกาล ชาวอยี ปิ ต์และชาวโรมนั
รจู้ กั นำไขมันสตั ว์มาประดิษฐ์เป�นเทยี น โดยใช้ต้นกกเปน� ไสเ้ ทียน และพฒั นามาเปน� เทียนข้ีผ้ึง ซึ่ง
สามารถใหแ้ สงสว่างได้ยาวนานกว่าการใชไ้ มเ้ สียดสกี นั เพอ่ื ให้เกดิ การเผาไหม้ ตอ่ มามเี มื่อมีกระดาษใช้
มนุษย์ใชก้ ระดาษม้วนเป�นรปู ทรงยาวสำหรับขึ้นรูปเทียน จุดให้เกดิ แสงสวา่ ง หลังจากน้ันแต่ละ
วัฒนธรรมกป็ ระยกุ ตก์ ารผลติ เทยี นดว้ ยการใชถ้ วั่ อบเชย หรอื ไม้ทม่ี กี ล่ินหอมแทนการใช้ไขมันสัตว์
โดยมาผสมใส่ไวใ้ นเทียน เม่อื จดุ แลว้ จะสง่ กล่ินหอม ซึ่งได้กลายเปน� "เทียนหอม" ในเวลาตอ่ มานั่นเอง
ป�จจุบนั เทยี นหอมมหี ลายชนดิ มกี ารใช้แม่พมิ พ์เพอ่ื ข้นึ รปู ทรงต่างๆ ที่มลี วดลายสวยงาม เติมสี เติม
น้ำหอมกล่นิ ท่หี ลากหลาย จนไดร้ ับความนิยมในการฐานะผลิตภัณฑเ์ ครือ่ งหอมชนิดหนึ่ง นำมาจุด
รว่ มกบั อโรมา่ เพ่ือให้กลน่ิ หอมท่ีผอ่ นคลายในสปา กอ่ นจะนำมาใช้อยา่ งแพร่หลายในบา้ นเรอื น ซ่ึงมี
ขนาดและราคาแตกต่างกันออกไป ตั้งแตแ่ บรนดด์ งั ราคาแพง ไปจนถงึ เทียนหอมประดิษ ฐ์เอ งที่
สามารถทำใชเ้ องได้ง่ายๆ ภายในบ้าน

เทียนคอื ผลติ ภัณฑ์ท่ไี ดจ้ ากการนำพาราฟ�นมาผา่ นความรอ้ นใหห้ ลอมละลายเปน� ของเหลว
อาจเติมสี แล้วตักใส่ภาชนะรูปทรงตามตอ้ งการ เชน่ แก้วใส เซรามิก ดนิ เผา ตกแตง่ เพิ่มให้เกดิ ความ
สวยงาม เชน่ การไล่สีเปน� ระดับ การตัดสีของเทียน ทำเปน� ของประดบั ตกแต่งและของทีร่ ะลึก

2

นอกจากนยี้ งั สามารถช่วยคลายความเครียดโดยการบำบดั ดว้ ยการใช้กลน่ิ หอม การใชก้ ลิ่น
หอมโดยการนำกล่นิ จากพืชมาใช้ บำบดั โดยสกดั เป�นน้ำมนั หอมระเหย หรือทเี่ รารจู้ ักในช่ือ อโรมาเธอ
ราป� เพ่ือการผอ่ นคลาย และนำมาบำบัดโรคตามแตค่ ณุ สมบตั ขิ องกลิ่นแต่ละกล่ิน เชน่ กลิ่นมะลิ ทำ
ให้สดชนื่ แจ่มใส กลนิ่ ลาเวนเดอร์ ช่วยให้นอนหลบั ง่าย กล่นิ ตะไคร้ ทำใหส้ ดชื่น ผ่อนคลาย ประโยชน์
ของเทยี นหอมนอกจากจะให้แสงสว่าง ทำใหผ้ ่อนคลาย และช่วยดบั กล่ินไม่พงึ ประสงค์แล้ว ยัง
สามารถใชต้ กแต่งสถานท่ีต่างๆ ให้สวยงาม ในปจ� จบุ ันเทยี นหอมยังเป�นสนิ ค้าที่ไดร้ บั ความนยิ ม ทกุ คน
สามารถฝ�กทำเทยี นหอมใชเ้ อง และหากมคี วามชำนาญ ก็อาจนำไปสู่การสร้างอาชพี เพ่ือเพ่ิม รายได้
สำหรับขายผ่านชอ่ งทางออนไลน์ตา่ งๆ ไดอ้ กี ด้วย

(อา้ งองิ : https://sites.google.com/site/sayonaraotop/home/prawati-theiyn )

ดงั นั้น คณะผูจ้ ดั ทำโครงการได้ศึกษาค้นคว้าเกย่ี วกับขัน้ ตอนการทำเทยี นหอมและคุณสมบัติ
ของน้ำมันหอมระเหยในแต่ละกล่นิ

วัตถปุ ระสงค์

1. เพื่อไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ เกีย่ วกบั ข้ันตอนการทำเทียนหอม
2. เพื่อศกึ ษาค้นคว้าประโยชน์ของน้ำมนั หอมระเหย
3. เพื่อเสรมิ สรา้ งรายไดใ้ หแ้ กต่ นเองระหวา่ ง

เปา้ หมายของโครงการ

เพ่ือให้บรรลเุ ป้าหมายของโครงการท่ีจัดทำ โดยดำเนินการผ่านสือ่ โซเซยี ล ไม่ว่าจะเป�น
Facebook, Line,Instagram ในการขายสินคา้ และบริการ เปน� การลดคา่ ใชจ้ า่ ยการโฆษณ าสินค้า
และเพ่ิมรายไดใ้ หต้ นเอง

• เพื่อจัดหารายได้เสริมให้กบั สมาชิกในสมาชิกในกลุ่ม จำนวนของเทยี น 50 ชิ้น ภายใน
ระยะเวลา 2 เดือน

• ในการจัดทำเทยี นหอมเพ่อื สุขภาพ เพอื่ ตอบโจทย์กลุม่ ลูกค้าทม่ี ีความต้องการซื้อเทียนหอม
ซงึ่ เหมาะสำหรับลูกคา้ ทกุ เพศทุกวยั และเพือ่ ให้ลูกคา้ ได้รบั สินคา้ ทม่ี ีคณุ ภาพและเกิดความ
พงึ พอใจในสินคา้ ได้กลบั มาซ้ือซำ้ อกี

3

ระยะเวลาในการดำเนนิ โครงการ

โครงการจะเริ่มดำเนินงานวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2564 – 25 ตุลาคมพ.ศ. 2564

ระยะเวลา กจิ กรรม ผรู้ ับผิดชอบ

8-9 กนั ยายน 2564 ศกึ ษาและค้นควา้ หาข้อมลู ทเี่ กย่ี วกบั สมาชกิ ในกลุ่ม
วธิ ีการทำเทียนหอมจากอินเตอรเ์ น็ต สมาชกิ ในกลมุ่
10-17 กนั ยายน 2564
จัดเตรียม วัสดุอุปกรณ์ สถานท่ี สมาชิกในกลุ่ม
สำหรับการทำเทยี นหอม

18-30 กันยายน 2564 - ลงมือทำเทียนหอม

- เมอ่ื บรรจเุ ทียนใสภ่ าชนะแล้ว รอ
ใหเ้ ทยี นเซ็ตตัวประมาณ 3-4 ชว่ั โมง

1-23 ตลุ าคม 2564 ต ิด ส ต ิ ๊ก เก อร์ แบรน์ พ ร้ อ มจัด สมาชกิ ในกลุ่ม
จำหนา่ ยผลิตภัณฑเ์ ทียนหอม

นิยามศัพท์

เทยี นหอม หมายถึง ผลติ ภัณฑท์ ไ่ี ด้จากการนำพาราฟ�น และไขผง้ึ มาหลอมละลายรวมกัน
อาจเตมิ สีและเติมน้ำมันหอมระเหย นำไปปน� ด้วยมือ หรือหล่อแบบข้นึ รูป หรอื กดจากพิมพ์ให้มี
รูปทรงตามต้องการอาจประกอบด้วยวัสดุอื่นเพื่อให้ เกิดความสวยงา ( อ้างอิง :
https://sites.google.com/site/theiynhxmsmunphir305/ )

นำ้ มนั หอมระเหย คอื นำ้ มันหอมระเหยเปน� นำ้ มนั ท่ีสกดั มาจากพชื ตามธรรมชาตจิ ากพชื หอม
ทม่ี กี ล่นิ หอม ซ่ึงสารเหลา่ นี้จะถูกเกบ็ ไว้อยู่ในเฉพาะส่วนอย่าง ต่อมบนผวิ ใบ บนเปลอื ก กลีบดอก
เกสร ลำตน้ ยางจากเปลอื กลำ ( อา้ งอิง : https://www.veganicalab.com/content/4261/นำ้ มัน
หอมระเหยคอื อะไร- )

4

ซอยแว๊กซ์ ไขถัว่ เหลือง คือ ไขพืช ผลิตจากนำ้ มนั ของถ่วั เหลอื งทเ่ี หมาะสมสำห รับการทำ
เทียนธรรมชาติ ( อ้างอิง : http://www.soap-mold.com/category/107/ซอยแว๊กซ์-บแี ว็กซ์ )

โครงการ คือ การวางแผนอยา่ งเปน� ระบบ ประกอบด้วยกิจกรรมย่อยหลายกจิ กรรมท่ีต้อง
อาศยั ทรัพยากรในการดำเนนิ งาน เพอื่ ให้เกดิ ผลสมั ฤทธ์ติ ามวัตถุประสงค์หรอื เปา้ หมายตามท่ีแผน
วางไว้ ( อา้ งองิ : http://www2.oae.go.th/FTA/PDF/km/project.pdf )

ประโยชนผ์ ลทค่ี าดว่าจะได้รบั

ผู้ทำโครงการมคี วามรู้ ความเข้าใจและได้รบั ประสบการณ์ในการทำเทยี นหอม ทำใหเ้ ราได้
ศึกษาถึงวิธีการทำเทยี นหอมในแต่ละขัน้ ตอน และศกึ ษากล่ินสมุนไพรท่นี ำมาใชอ้ ยา่ งละเอียด เพื่อ

นำไปใช้ในชีวติ ประจำวัน สามารถเสริมสร้างรายไดใ้ ห้กับตนเองในระหวา่ งเรียน และตอ่ ยอดเป�น
อาชีพเสริมของตนได้

งบประมาณ ผ้ดู ำเนินโครงการ
รบั ผิดชอบเอง (บาท)
งบประมาณเป�นของสมาชกิ ในกลมุ่ ทั้งหมด
415
ตาราง แจกแจงการใชจ้ ่ายเงนิ ในการดำเนนิ โครงการ มดี งั นี้ 182
38
รายการ
-
ซอยแว็กซ์ (ใช้ 5 กิโล)
นำ้ มันหอมระเหย (คละกลน่ิ ) / (ใช้ 13 ขวด) 410
ไสเ้ ทียน (ใช้ 100 ชิน้ ) 100
สเี ทยี น (ใช้อุปกรณท์ ีม่ อี ยู่แลว้ ) 20
แก้วใส 1,165
-ขนาด 30 ml. ใช้ 30 ใบ = 210 บาท
- ขนาด 100 ml. (ใช้ 20 ใบ = 200 บาท)
ของตกแตง่
สติก๊ เกอรร์ า้ น (ประมาณ 20 บาท)
รวม

5

ป�จจยั ในการดำเนินโครงการ

วสั ดุอปุ กรณ์
1. ซอยแวก็ ซ์
2. นำ้ มันหอมระเหย (คละกลน่ิ )
3. ไสเ้ ทยี น
4. สีเทียน
5. แกว้ ใส
6. หม้อ
7. ช้อน
8. เตาแกส๊
9. แกส้ สำหรบั ละลายเทียน
10. ของตกแต่ง
11. สต๊ิกเกอรแ์ บรน์

วิธีการดำเนนิ การ
1. ศกึ ษาและคน้ คว้าหาข้อมูลทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั เรื่องท่สี นใจ
2. รวมรวบข้อมูลจัดทำโครงรา่ ง โครงการเพอื่ นำเสนออาจารยผ์ ูส้ อน
3. ปฏบิ ตั ิการจดั ทำโครงการ
4. บันทกึ ความก้าวหน้า เป�นระยะๆ
5. จัดทำเอกสารรายงานโครงการ
6. ประเมินผลงาน
7. นำเสนอโครงการ

ขั้นตอนการทำ
1. ใส่ soy wax ลงในแก้วกระดาษ แลว้ นำไปใส่หม้อตม้ น้ำ ใช้ไฟอ่อน

2. ใชช้ อ้ นคนจนละลายกลายเป�นน้ำใส
3. ใส่น้ำมันหอมระเหยลงไปจนหมดขวด แล้วคนให้เข้ากัน
4. เม่อื เทยี นมีอุณหภูมทิ เ่ี ยน็ ลงและเริม่ มฝี าบางๆ ใหเ้ ทสว่ นผสมลงในแกว้ จนเกอื บเตม็

(หากเทตอนทเ่ี ทียนยังร้อนหนา้ เทียนจะไม่เรียบและเทียนจะหดตัวได้)
5. นำไส้เทียนใส่ในแผน่ ประคองไส้ และนำไปวางทีก่ งึ่ กลางของแกว้

6

6. ตกแต่งหนา้ เทียนด้วย ดอกไม้แห้งหรือท็อปป�งกอ่ นหน้าเทียนจะแข็งตัว เพอ่ื ใหท้ อ็ ป
ป�งยึดติดกับหน้าเทียน

7. รอประมาณ 4-5 ช่วั โมง เพอ่ื ให้เทียนแข็งตวั จงึ นำที่ประคองเทียนออก และตัดไส้
เทียนให้ยาวพอดี

บุคคลทีร่ ่วมในการดำเนินการ
1. นางสาวอังคณา เชอ้ื รักษ์

2. นางสาวสภุ ัชชา ทองน้อย
3. นางสาวหทัยชนก เพชรอาวธุ

อาคารสถานท่ี
• บา้ นพักของสมาชกิ ในกลมุ่ ตำบลบางนายสี อำเภอตะก่วั ป่า จังหวดั พังงา
• บ้านพกั ของสมาชิกในกลุ่ม ตำบลท่านา อำเภอตะกัว่ ปา่ จงั หวดั พงั งา
• บ้านพกั ของสมาชกิ ในกลมุ่ ตำบลทุ่งหลวง อำเภอเวยี งสระ จังหวดั สุราษฎรธ์ านี

กจิ กรรมในการดำเนนิ โครงการ

โครงการ : จัดจำหน่ายเทยี นหอมเพอื่ สุขภาพ
รายละเอยี ดกิจกรรมการดำเนนิ โครงการ

1. กิจกรรม จำหน่ายเทยี นหอมเพ่ือสขุ ภาพ
1.1 วตั ถปุ ระสงค์
1.1.1 เพ่อื ไดศ้ ึกษาคน้ คว้าเกี่ยวกับขนั้ ตอนการทำเทยี นหอม
1.1.2 เพอื่ ศึกษาคน้ ควา้ ประโยชนข์ องนำ้ มนั หอมระเหย
1.1.3 เพ่อื เสริมสร้างรายได้ให้แกต่ นเองระหวา่ งเรยี น

1.2 การดำเนินโครงการ
1.2.1 ศึกษาและค้นคว้าหาข้อมูลที่เกี่ยวกับวิธีการทำเทียนหอมจาก
อินเตอร์เนต็
1.2.2 จัดเตรียม วสั ดอุ ปุ กรณ์ สถานทสี่ ำหรบั การทำเทยี นหอม
1.2.3 ลงมือทำเทยี นหอม
1.2.4 เม่อื บรรจเุ ทียนใส่ภาชนะแล้ว รอใหเ้ ทยี นเซ็ตตวั ประมาณ 3-4 ชั่วโมง

7

1.2.5 ติดสติก๊ เกอรแ์ บรน์ พร้อมจัดจำหนา่ ยผลิตภัณฑ์
1.3 เคร่ืองมอื ในการประเมินผล

1.3.1 ใชร้ ูปแบบการประเมนิ โครงการแบบ CIPP MODEL ของสตัฟเฟลบมี
1.4 ผลที่คาดวา่ จะไดร้ บั

1.4.1 ผูท้ ำโครงการมีความรู้ ความเข้าใจและได้รบั ประสบการณ์ใ นก ารท ำ
เทยี นหอม ทำใหเ้ ราได้ศกึ ษาถงึ วิธีการทำเทียนหอมในแต่ละขั้ นตอน
และศึกษากลิน่ สมุนไพรที่นำมาใช้อย่างละเอยี ด เพื่อนำไปใช้ใน
ชวี ิตประจำวัน สามารถเสริมสรา้ งรายไดใ้ หก้ บั ตนเองในระหวา่ งเรีย น
และต่อยอดเปน� อาชีพเสรมิ ของตนได้

8

ขั้นตอน/วิธกี ารดำเนนิ การ(ตามกระบวนการ PDCA)

ขัน้ ตอน รายละเอียดกิจกรรม

P = Plan ระยะที่ 1 (ตน้ ทาง) (7-14 ก.ย 2564)
การวางแผน - คณะทำงานประชุมวางแผน
- ออกแบบผลิตภณั ฑ์
- เตรียมจัดซ้ืออุปกรณ์
- กำหนดเปา้ หมาย

D = Do ระยะท่ี 2 (กลางทาง) (15-21 ก.ย 2564)
การปฏิบตั ิ - เร่ิมลงมือทำเทยี นหอมเพ่ือสุขภาพ
- แจกจา่ ยสินค้าใหก้ ับสมาชิกในกลมุ่
- ลงโปรโมทขายผลติ ภัณฑ์เทยี นหอมเพอ่ื สุขภาพ

C = Check ระยะที่ 4 (กลางทาง) (22 ก.ย - 5 ต.ค 2564)
การตรวจสอบ - ตรวจสอบความตอ้ งการซือ้ ของลูกค้าในการซอ้ื ผลิตภัณฑ์ เทียน
หอมเพื่อสุขภาพ

- พัฒนาผลิตภณั ฑ์ใหต้ อบโจทยต์ อ่ กลุม่ ลกู คา้ ใหม้ ากทีส่ ดุ

A = Action ระยะที่ 5 (ปลายทาง) (6-25 ต.ค 2564)
การปรับปรงุ - ตดิ ตามประเมนิ ผล และแกไ้ ขปญ� หาทล่ี ูกคา้ พบเจอ

พฒั นา - รวบรวมขอ้ มลู ความพงึ พอใจ ของลูกคา้ ท่ีมมตี ่อผลิตภณั ฑ์เทียน
หอมเพอื่ สุขภาพ

9

บทที่ 2

เอกสารและแนวคิดทฤษฎที ีเ่ ก่ยี วขอ้ ง

โครงการเทียนหอมเพอ่ื สขุ ภาพ ได้มกี ารศกึ ษาค้นควา้ ข้อมลู รายละเอียดในประเด็นตา่ ง ๆ
ตามหัวข้อ ต่อไปนี้

1. หลกั การแนวคดิ ทฤษฎีที่เก่ยี วกับการดำเนนิ โครงการ
2. หลักการแนวคดิ ทฤษฎีทเี่ กย่ี วกบั การประเมินผลโครงการ
3. กรอบแนวคิดการประเมินผลของโครงการ

แนวคดิ ทฤษฎีทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับการทำโครงการ

1. แนวคิดและทฤษฎีท่ีเกีย่ วข้องกบั สว่ นประสมการตลาดออนไลน์
วิเชียร วงศ์ณิชชากุล และคณะ (2550: 13-16) และจิตรลดา วิวฒั นเ์ จริญวงศ์

(มหาวทิ ยาลยั ศรีปทมุ , 2553: ออนไลน)์ ไดก้ ลา่ วถงึ สว่ นประสมการตลาดออนไลน(์ Online
Marketing Mix) เปน�

องคป์ ระกอบการตลาดแบบใหม่ ซึง่ ประกอบดว้ ย 6 P’s ไดแ้ ก่ ผลิตภณั ฑ(์ Product)
ราคา (Price) การจัดจำหน่าย (Place) การสง่ เสริมการตลาด (Promotion) การรกั ษาความ
เปน� สว่ นตวั (Privacy) และการใหบ้ รกิ ารสว่ นบุคคล (Personalization) โดยสว่ นประสม
การตลาดออนไลนท์ กุ ปจ� จยั มคี วามเชื่อมโยงกนั และมีความสำคัญอย่างมากต่อการด าเนิน
การตลาดออนไลนโ์ ดยมสี ว่ นประกอบดงั นี้

1. ผลิตภณั ฑ์ (Product) คือสงิ่ น าเสนอขายเพ่ือตอบสนองต่อความตอ้ งก ารของ
ลูกค้ากลมุ่ เปา้ หมาย โดยแบ่งออกเปน� 3 กลุม่ ได้แกส่ ินคา้ ทีส่ ามารถจับต้องได้ (Physical
Goods) สนิ ค้าดิจทิ ลั (Digital Goods) และธรุ กิจบริการ (Services)

2. ราคา (Price) คอื สง่ิ ทีก่ ำหนดมลู คา่ ของผลติ ภัณฑใ์ นรูปของเงนิ ตรา หรอื เปน� มูล
ค่าทีย่ อมรับในการแลกเปลี่ยนผลติ ภณั ฑ์ทนี่ ำเสนอ ซ่งึ จำเป�นตอ้ งคำนึงถงึ ปจ� จัยในก ารตั้ง
ราคาของผลิตภณั ฑ์ ไดแ้ ก่ ตอ้ งคำนงึ ถึงราคาตลาดเป�นหลัก การคิดเผอ่ื ราคาค่าขนส่งสินค้า
ราคาถูกอาจจะขายไมไ่ ดเ้ สมอไปเนน้ เร่อื งความสะดวกในการสงั่ ซ้อื และสนิ คา้ ทม่ี รี าคาถูก
เกินไปอาจขายแบบรวมหรอื ขายในปรมิ าณมาก ๆ

10

3. ช่องทางการจัดจําหน่าย (Place or Distribution) คือกระบวนการเคลื่อนย้ าย
ผลติ ภัณฑจ์ ากผผู้ ลติ ไปสู่ผบู้ รโิ ภค โดยองค์ประกอบในการพิจารณาช่องทางการจัดจำหน่าย
ผลติ ภัณฑผ์ ่านระบบออนไลนซ์ ึงมีเวบ็ ไซตเ์ ป�นชอ่ งทางการจัดจำหน่ายผลิตภั ณฑ์ จึง ควร
พจิ ารณาปจ� จัยตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ เว็บไซตค์ วรใชง้ านง่ายและการเข้าเว็บไซต์หรอื ดาวนโ์ หลดไม่ควร
ใช้เวลานาน ขอ้ มูลท่นี ำเสนอมีความชดั เจนน่าสนใจและตอ้ งมคี วามปลอดภยั ของขอ้ มลู

4. การส่งเสรมิ การตลาด (Promotion) คอื การติดตอ่ สื่อสารการตลาดระหว่างผ้ขู าย
และผซู้ ือ้ ซึ่งมีวัตถุประสงคท์ สี่ ำคญั เพื่อเตือนความจำ การกระจายข่าวสารหรือสรา้ งแรงจูงใจ
เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความต้องการในผลติ ภัณฑแ์ ละการตัดสนิ ใจซ้อื โดยการประชาสัมพันธ์นั้นต้องมี
การเตรียมความพรอ้ มกอ่ น ได้แก่ ต้องมขี อ้ มลู ต่าง ๆ พรอ้ มสมบรู ณส์ รา้ งจดุ เด่นของเวบ็ ไซต์
ให้มบี รรยากาศความคึกคักโดยลกู คา้ ท่ีเข้าร่วมกจิ กรรม และพจิ ารณากลมุ่ เป้าห มายและ
งบประมาณ ซ่ึงการประชาสมั พนั ธ์มีหลายวิธี ไดแ้ กก่ ารรู้จกั และตระหนักถงึ ตัวสิ นค้าห รือ
บริการ เกิดความต้องการใช้และตัดสินใจซือ้ และซื้อมากข้ึน โดยอาศยั เครือ่ งมอื ท่แี ตกตา่ งกนั
เช่น การโฆษณาด้วยแบนเนอร์ (ป้ายโฆษณา) โฆษณาผ่านทางอเี มล์โฆษณาดว้ ยก ารเสีย
ค่าใช้จ่ายกับเวบ็ ไซตอ์ นื่ โฆษณาดว้ ยระบบ สมาชิกแนะนำสมาชกิ โฆษณาด้วยการแลกลงิ ค์
กบั เวบ็ ไซด์อน่ื โฆษณาบนเคร่อื งมือคน้ หา (Search Engine) หรอื Web Directory เป�นต้น

5. การรักษาความเป�นสว่ นตัว (Privacy) เปน� นโยบายทผ่ี ูป้ ระกอบการหรอื องค์กร
ตา่ ง ๆ ได้ประกาศใหส้ าธารณชนไดท้ ราบว่าตนจะใหค้ วามคุ้มครองขอ้ มูลส่วนบุคคลที่เก็บไว้
ไปในทางใดบา้ งผูป้ ระกอบการควรกำหนดนโยบายเพอื่ สรา้ งความนา่ เช่อื ถือโดยเฉพาะข้อมูล
เก่ยี วกบั การรกั ษาความเป�นสว่ นตัว (Privacy) เชน่ ทอ่ี ยู่ หมายเลขโทรศัพทห์ มายเลขบัตร
เครดิต เปน� ต้น (อ้างอิง : http://research.rpu.ac.th/wp-content/uploads/2017/08/

รายงานการวิจยั -ผศ.เสาวนีย์-ศรีจันทรน์ ลิ -ป�การศึกษา-2559.pdf)

2. แนวคิดและทฤษฎีการตัดสนิ ใจซือ้
การตัดสนิ ใจ (Decision) หมายถึง การเลือกที่จะกระท าการสิง่ ใดส่ิงหน่งึ โดยเฉพาะ

จากบรรดาทางเลอื กต่าง ๆ ทมี่ อี ยู่ (C. Glenn Walters, 1987, น.69 อา้ งถงึ ใน ศุภร เสรี
รตั น,์ 2550,น.49)

11

การตดั สินใจ คอื การเลือกเอาวิธปี ฏบิ ตั ิอย่างใดอย่างหน่ึงจากวิธีปฏบิ ัตหิ ลาย ๆ
อย่างท่ีมีอยู่ (ยุดา รักไทย และธนกิ านต์ มาฆะศิรานนท์. (2542 , น. 9 อา้ งถงึ ใน สทุ ามาศ
จันทรถาวร, 2556,น.623))

การตดั สนิ ใจ คือ กระบวนการคดั เลอื กแนวทางปฏบิ ัตจิ ากทางเลือกตา่ ง ๆ เพื่อให้
บรรลุวตั ถุประสงค์ทีต่ อ้ งการ ซง่ึ จดั เปน� สว่ นหนงึ่ ของกระบวนการแกไ้ ขป�ญหา (กิตติ ภักดี
วฒั นะกลุ , 2546 อา้ งถงึ ใน สุทามาศ จนั ทรถาวร. 2556, น.623)

หลกั การ แนวคิดเก่ยี วกับการสง่ เสริมการขาย

ความหมายเก่ียวกบั การส่งเสรมิ การขาย

การสง่ เสริมการขาย หมายถงึ กจิ กรรมท่ีส่งเสรมิ ทางการตลาดที่นอกเหนือไปจาก
การ โฆษฌา การจัดโปร โมชน่ั การประชาสมั พนั ธ์ การตลาดทางตรงและการขายโดยใช้
พนกั งานขายทจ่ี ดั ขนึ้ เปน� ครงั้ คราว เพ่ือเปน� การกระตนุ้ ความสนใจจากลกู ค้า การทดลอง ใช้
สนิ คา้ หรือเปน� การซ้อื ของลูกค้าขนั้ ตอนสดุ ทา้ ย บคุ คลในช่องทางการตลาดหรอื พนกั งานขาย
ของกจิ การ รวมไปถึงการเพ่มิ คุณค่าขอใหก้ ับผลติ ภณั ฑ์ การส่งเสรมิ การขายนั้นไม่สามารถใช้
เปน� เครอ่ื งมือทางการตลาดเพยี งอย่างเดียวไดโ้ ดยทัว่ ไป เชน่ เดยี วกับการโฆษณา การตลาด
ทางตรงหรือการใชพ้ นกั งานขาย เช่น โฆษณาให้ การลด แลก แจก แถม การประชาสัมพันธ์
จัดงานแสดงสินค้าหรอื ส่งพนกั งานขายไป แจกสินค้าเปน� ต้น

องค์ประกอบของการสง่ เสริมการขาย

Dubey (2014) ได้ทำการศึกษาและเน้นย้ำถึงอิทธิพล ท่มี ผี ลต่อความสำเรจ็ ในการ
ส่งเสริม การขาย จากการเลอื กเครื่องมอื ส่งเสริมการขายทเี่ หมาะสมกับผลิ ตภัณ ฑ์และ
กลมุ่ เปา้ หมายดว้ ย ซ่งึ เปน� การศกึ ษารวมถงึ การทำการเปรียบเทยี บอทิ ธผิ ลการท่ีได้ รับของ
สมั นาคณุ ระหว่างวยั รนุ่ และคนสูงอายุ ซ่ึงเขาพบว่าการไดร้ ับของสัมนาคุณนนั้ สามารถจงู ใจ
ประชากรวัยรนุ่ ให้ได้มีการทดลองซอื้ สินค้าหรอื ผลติ ภัณฑ์ใหม่ๆได้ มากกวา่ เมื่อเทียบกับ
ประชากรสูงอายุโดยไมม่ ีผลแตกต่างจากเพศของกลุ่มตวั อย่าง ทำให้การศกึ ษาการตลาด
กล่มุ เป้าหมาย และการวางแผนเพ่อื กำหนดองคป์ ระกอบใน โครงการสง่ เสรมิ การขายเปน� สิ่ง
ท่ีสำคญั อยา่ งยิ่งเพื่อให้การส่งเสรมิ การขายนั้นประสบความสำเรจ็

12

ภาพท่ี 2.1 องค์ประกอบการส่งเสรมิ การขาย

3. แนวคดิ และทฤษฎเี ก่ยี วกบั อาชีพเสริม
ความหมายของอาชีพเสรมิ

ความหมายของอาชีพเสรมิ ไดม้ นี กั วิชาการให้คำจำกดั ความไวด้ งั นี้

กรมวิชาการ (ม.ป.ป. อา้ งถงึ ใน อิสราพันธ์ ซซู กู ิ, 2548, หนา้ 5) กลา่ ววา่ อาชพี เสริม
หมายถึง อาชีพที่ประกอบกันเป�นธุรกจิ ภายในครอบครัวท่ตี อ้ งใชค้ วามร้หู รือทักษะฝ�กอบรม
พอสมควร เช่น อาชีพทำของท่รี ะลกึ ดว้ ยวัสดทุ ้องถน่ิ การปลูกผกั การเล้ยี งปลา เป�นต้น

ทบวงมหาวิทยาลัย (ม.ป.ป. อา้ งถงึ ใน อสิ ราพันธ์ ซซู ูกิ, 2548, หน้า 5) กล่าวว่า
อาชพี เสริม หมายถงึ อาชพี ทม่ี ลี ักษณะ ดังน้ี (1) เป�นเจา้ ของกจิ การ ไม่เป�นลูกจา้ งหรือรับ
เงินเดือนจากนายจ้างแตไ่ ด้รบั คำตอบแทนจากลูกคา้ (2) เจา้ ของกจิ การเป�นผู้ลงมือกระทำ
เองในฐานะผูป้ ฏบิ ตั ิงาน (3) มผี ูช้ ่วยเหลือในการปฏิบัตงิ านโคยอาจไดเ้ งนิ เดือนห รือค่ าจ้าง
เปน� รายชน้ิ ก็ไดจ้ ำนวนเกินคนและใชท้ ุนดำเนนิ การ ไม่เกิน 500,000 บาท

วารี ถาวรรุง่ กจิ (2548) กลา่ ววา่ การประกอบอาชพี เสริม คอื การประกอบกจิ การ
งาน ที่ทำนอกเหนือจากอาชพี หลัก โดยใหม้ าซึ่งรายไดท้ น่ี อกเหนอื จากเงินรายได้ประจำ

อิสราพันธ์ ชูชกู ิ (2548) กลา่ วว่า อาชพี เสรมิ หมายถงึ เปน� อาชพี ทีป่ ระกอบขึน้ เป�น
อาชีพ 2 รองจากอาชีพหลกั และเป�นแหลง่ รายได้เมเพมิ่ เติมจากงานอาชีพหลกั การประกอบ
เสริมนั้นจะตอ้ งไม่กระทบกบั งานอาชีพหลกั อาชีพเสรมิ นัน้ จะประกอบธรุ กจิ หรือกิจการใน
รปู แบบใดกไ็ ดแ้ ละจะต้องเป�นอาชีพทเี่ ข้าไปเสริมจากรายได้หลกั เท่าน้ัน

เกยี รตศิ ักด์ิ แก้วมหาชัย (2551) กลา่ ววา่ อาชพี เสริม หมายถึง อาชีพทชี่ าวนาเลือก
ทำ เพือ่ ใหม้ รี ายได้นอกเหนือจากการทำอาชีพหลกั

13

ณัฐอรยี า สขุ สวุ รรณพร (2553) กลา่ วว่า อาชพี เสรมิ หมายถึง เป�นอาชพี ทปี่ ระกอบ
ขน้ึ เปน� อาชพี ที่ 2 รองจากอาชีพหลกั และเปน� แหล่งรายได้เสริมเพมิ่ เติมจากงานหลัก การ
ประกอบอาชพี เสริมนั้น จะตอ้ งไม่กระทบกับงานอาชีพหลกั อาชีพเสริมน้ัน อาจประกอบเปน�
ธรุ กจิ หรือกจิ การในรปู แบบใดกไ็ ด้และจะตอ้ งเปน� อาชีพทม่ี รี ายได้เสรมิ จากรายไดห้ ลกั

บลู เมาเทน (2555) ให้ความหมายของอาชีพเสริม คอื อาชีพหรอื ช่องทางสำรอง
อาชีพ ชอ่ งทางทำรายไดเ้ สริมกับอาชพี หลกั อาชีพเสริมมีมากมายหลายอาชีพทสี่ ามารถทำได้
มีทง้ั ง่ายและ ยากตามแต่ละชนิดของอาชีพเสรมิ รายไดน้ ้นั ๆ แตจ่ ดุ ประสงค์จริง ๆ ท้งั อาชีพ
หลกั และอาชพี เสรมิ รายไดก้ ค็ อื เงนิ เพยี งตวั เดียว ลำพงั อาชพี หลักบางอาชีพอ าจเล้ียง
ตวั เองและครอบครวั ไมพ่ อกับ ภาวะเศรษฐกิจป�จจบุ ัน หลายชีวติ จึงดน้ิ รนหาชอ่ งทางสร้าง
รายได้ใหม่เพิ่มเติมรายไดป้ ระจำท่ไี ด้รบั ในแตล่ ะเดอื น ซงึ่ ไมเ่ พยี งพอกบั ค่าใช้จ่ายหรือค่า
ครองชีพในแตล่ ะเดอื น จงึ ตอ้ งการหาอาชีพเสริมกบั อาชพี หลกั เพอื่ เพิ่มเงนิ ในกระเป๋าในแต่
ละเดอื นใหม้ ากขน้ึ เพียงพอกบั ค่าใชจ้ ่ายและอาจมเี งินเหลอื เกบ็ ได้ ในบางกรณอี าชีพเสรมิ อาจ
ทำเงนิ ไดม้ ากกว่าอาชพี หลัก ๆ ท่ีทำอยูห่ ลายเทา่ ตัว จนบางรายทำเป�นอาชพี หลกั ไปก็มี

จากทกี่ ล่าวมาข้างตน้ จึงสรุปความหมายของอาชีพเสริมได้อาชพี เสรมิ เป�นอาชพี ท่ี
ประกอบกนั เป�นธุรกิจในครอบครัวและเปน� อาชีพท่ีเพ่ิมจากอาชพี ท่ีทำเปน� ประจำอยแู่ ล้วเพื่อ
เพิ่มรายได้ ให้มากยิ่งขึน้ เป�นอาชีพท่ีสามารถคำเนินการได้โดยลงทุนนอ้ ย กำลังกาย
คอ่ นข้างมาก เน้นการพึ่งตนเอง เปน� อาชีพท่เี นน้ ความเปน� อิสระเป�นเจา้ ของธุรกจิ เปน� อาชีพ
ทป่ี ระกอบขน้ึ เป�น อาชีพท่ี 2 รองจากอาชพี หลกั และเปน� การหารายไดเ้ พม่ิ ใหเ้ พยี งพอต่อการ
ดำรงชีวติ และเปน� แหลง่ รายได้เสรมิ เพิ่มเติมจากงานหลัก อาชพี เสรมิ เป�นอาชีพท่ีช่องทาง
สำรองเปน� ช่องทางทำ รายไดเ้ สริมกบั อาชีพหลกั เพอื่ เป�นการหารายได้เสริมเพื่อม าจุนเจือ
รายได้ในครอบครวั

ปจ� จัยทีส่ ง่ ผลต่อการประกอบอาชีพเสรมิ
จากการรวบรวมเอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กี่ยวขอ้ งพบวา่ ป�จจัยท่ีสง่ ผลต่อความสำเร็จ

ของการประกอบอาชีพเสริม สามารถแบง่ ออกเปน� 4 ดา้ นดังนี้ (Clegg & Barrow, 1984
อ้างถงึ ใน ณัฐอรยี า สขุ สุวรรณพร, 2553)

2.1 ดา้ นคณุ ลักษณะสว่ นตวั คณุ ลกั ษณะสว่ นตัวหรอื ลกั ษณะส่วนตัว เป�นป�จจัย
ภายในตัวเองของผ้ปู ระกอบอาชีพ ที่จะสง่ ผลตอ่ ความสำเร็จในการประกอบอาชีพ โดย
คณุ สมบัติทจี่ ำเปน� ต่อการประกอบอาชพี อิสระน้ัน ประกอบดว้ ย คณุ สมบัตทิ ีจ่ ำเป�น 12

14

ประการ คือ (1) มีแรงจงู ใจ (2 )มคี วามคิดรเิ ร่มิ (3) ร้จู ักถอย เพ่ือทจี่ ะสู้ (4) มคี วามสามารถ
ทจ่ี ะทำอะไรให้ไดด้ ี (5) มีความอดทน (6) มคี วามเช่ือม่ันในคนเอง (7) มคี วามมั่นคงทาง
อารมณ์ (8) มีความสามารถในการเข้ากับผ้อู ื่น (9) มีความไวในความเขา้ ใจและวิ นิ จฉัยส่ิง
ต่างๆ (10) มีความละเอยี ด (11)มคี วามสามารถในการเขียนและพูด (12)มีแรงกายและแรงใจ
เสรมิ ศักดิ์ วิศาลาภรณ์ และคณะ (2535 อ้างถงึ ใน ณัฐอรยี า สุขสุวรรณพร, 2553) กล่าวถึง
ในด้านคณุ ลักษณะส่วนตัวของผ้ปู ระกอบอาชพี นน้ั จำเปน� ตอ้ งมคี วามร้ทู กั ษะในการประกอบ
อาชพี ไดแ้ ก่ (1) ความรพู้ ้นื ฐานในด้านเทคนิควิธีการของการประกอบอาชีพอิสระแต่ ละ
อาชีพ (2) ความรู้ความสามารถในการเรียนรู้ ด้วยตนเอง (3) ความรูพ้ นื้ ฐานในการทำธุรกิจ
(4) ความรูเ้ บือ้ งต้นเกย่ี วกับขน้ั ตอนในการรเิ ริม่ ประกอบอาชีพอสิ ระ (5) ทกั ษะในการทำงาน
และติดต่อกับคนทัง้ ลูกจ้างและลกู ค้า (6) ทกั ษะในการผลติ การขายหรือการบริการ (7)
ทักษะในการพัฒนาตนเองให้มีคุณลักษณะท่ีเหมาะสมกบั การประกอบอาชพี อิสระ (8)
ประสบการณ์ทำงาน สำนักงานจดั หางานจังหวดั เชยี งใหม่ ได้กลา่ วถึงป�จจัยท่สี ง่ ผลถึง
ความสำเรจ็ ของการประกอบ อาชพี เสริม ดังน้ี (1) กลา้ เสี่ยง อาชพี อสิ ระเป�นการประกอบ
ธรุ กิจสว่ นตวั จงึ ตอ้ งมีการลงทุนใน ขณะทถี่ า้ เปน� ลกู จ้างไมต่ ้องลงทนุ อะไร ซ่งึ การลงทนุ ยอ่ ม
มคี วามเส่ียง เพราะไมร่ ู้ว่าผลลพั ธจ์ ะออกมาอย่างไร ดงั นั้นกอ่ นทจ่ี ะตกลงใจประกอบอาชพี ใด
จึงตอ้ งพจิ ารณา วิเคราะหแ์ ละไตรต่ รองอย่างดีเสียก่อน (2) ความคิดสร้างสรรค์ การประกอบ
อาชีพอสิ ระมไิ ดย้ ึดติดกับรปู แบบใด ๆ เนือ่ งจากผู้ประกอบอาชพี อิสระต้อ งเป� นนายของ
ตนเอง ดงั น้ัน ในการปรบั ปรุงสนิ ค้าหรือบริการ สามารถทำไดอ้ ยา่ งมอี ิสระเพื่อให้ได้ม าซ่ึง
กำไรในการดำเนนิ ธุรกิจ (3) ความเช่ือม่ันในตนเอง ผปู้ ระกอบอาชพี อิสระ จะตอ้ งมีความ
เชือ่ มั่นในการคำเนินกจิ การของตนเองใหอ้ ยรู่ อดและฟน� ฝ่าอปุ สรรคต่างๆ ที่เกดิ ข้ึนได้ (4)
ความอดทนการดำเนนิ ธรุ กจิ ยอ่ มมีกำไรและขาดทนุ โดยเฉพาะเมือ่ เริม่ ประกอบการอาจต้อง
ประสบป�ญหาและอปุ สรรคบ้าง ซึง่ ถอื เป�นเรื่องธรรมดา ผู้ประกอบการจงึ ตอ้ งพรอ้ มทจ่ี ะขอม
รับข้อผิดพลาดและนำมาแกไ้ ขด้วยความอดทนไมท่ ้อถอย (5) การมีวินัยในตนเอง การ
ประสบความสำเรจ็ ในอาชพี ซง่ึ เราเปน� เจา้ ของกิจการเอง จำเป�นต้องมวี นิ ัย มกี ฎระเบยี บ การ
ทำงานสมำ่ เสมอ มเิ ชน่ น้ันอาจจะไม่ประสบผลสำเร็จ (6) มที ศั นคติทด่ี ตี ่ออาชีพ ไมว่ ่างานน้ัน
จะเปน� งานท่ีมเี กยี รติหรือไม่ ผปู้ ระกอบอาชพี อสิ ระจะต้องรกั ในงานท่ีทำและใหเ้ กยี รติกับงาน
น้นั ๆ เสมอ (7) มคี วามรอบรู้ การประกอบอาชีพอิสระจะต้องรับรขู้ ่าวสารอยู่แสมอ เพื่อ
ปรับตัวให้ทนั ตอ่ การเปลย่ี นแปลงของโลก ซึง่ ปจ� จุบันเปลย่ี นแปลงไปเรว็ มาก ประโยชนข์ อง
การรบั รขู้ ่าวสารจะทำใหส้ ามารถปรบั ปรุงธุรกจิ ของตนเองให้ทนั สมัยอย่ตู ลอดเวลา ผลทไ่ี ด้
คือ กำไรนัน่ เอง (8) มีมนุษยส์ มั พนั ธ์ การประกอบอาชพี อิสระจะตอ้ งเปน� ผู้มมี นุษย์สัมพันธ์
อนั ดี เพ่อื ผลประโยชนใ์ นธุรกจิ ของตนเอง ไมว่ ่าจะเปน� ลูกคา้ บคุ คลรอบข้างหรือค่แู ข่งขันก็

15

ตาม เพราะการมมี นษุ ย์สัมพนั ธอ์ นั ดีจะทำใหม้ คี วามคล่องตวั ในการดำเนินงานอย่างยิง่ (9) มี
ความซ่อื สตั ย์ ผู้ประกอบอาชพี อิสระจะตอ้ งมีความซอื่ สัตยแ์ ละจริงใจตอ่ ลูกค้า การบริการ
ลกู ค้าให้เกดิ ความประทบั ใจในการขายสันคา้ หรอื บรกิ ารและกลบั มาใช้บริการอีกเป�นหัวใจ
สูงสดุ เพ่อื ผลประโยชน์ตอ่ ธรุ กิจและต่อตนเองในทีส่ ดุ (10) มีความร้พู ืน้ ฐานใ นการเร่ิ มทำ
ธุรกิจ การที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เราควรไดร้ ู้จักสงิ่ ที่ทำอย่างน้อยใหร้ วู้ า่ ทำจากอะไร ซื้อ
วัตถดุ ิบจากไหน ตลาดอยู่แหล่งใด และหากตอ้ งการทราบข้อมูลเพม่ิ เตมิ จะหาไดจ้ ากท่ีไหน
(11) มีการพัฒนาตนเองให้มีคณุ ลกั ษณะเหมาะสมกบั การประกอบอาชพี อิสระ เมือ่ มคี วามรู้
พ้นื ฐานในการประกอบอาชีพอสิ ระแล้ว อกี ทง้ั ยังต้องพัฒนาตนเองใหม้ ีคณุ ลกั ษณะเหมาะสม
กบั การประกอบอาชพี นนั้ ๆ เช่น หากเปน� ช่างเสริมสวยกต็ ้องพัฒนาตนเองให้ดูสวยงาม เมอ่ื
ลูกคา้ เหน็ จะไดด้ ูนา่ เชอื่ ถือหรอื หากเลอื กที่จะขายอาหาร ผขู้ ายกค็ วรแตง่ ตวั ใหด้ สู ะอาด ไม่
สูบบุร่ีขณะทำอาหาร เป�นตน้ (สำนกั งานจดั หางานจังหวัดเชียงใหม่, 2555)

2.2 ด้านครอบครัว ป�จจัยด้านครอบครัวมีความสำคญั กับทุกขั้นตอนของการ
ประกอบอาชีพเสริม สถาบันทางสงั คมทคี่ อยช่วยเหลอื และผลักดนั การเขา้ สู่อาชีพอิสระไดแ้ ก่
4 สถาบนั คอื สถาบนั ครอบครวั สถาบันการศกึ ษา สถาบนั ภาครฐั บาลและสถาบนั เอกชน
โดยสำหรับสถาบนั ครอบครวั น้ัน มคี วามสำคญั ต่อการประกอบอาชีพ โดยเปน� ภูมิหลังทาง
ครอบครวั ท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมและคา่ นยิ มของสมาชกิ หากครอบครวั ประกอบธุรกิจก็จะ
ปลูกฝง� ให้สมาชิกเปน� ผ้สู ืบทอดกจิ การหรือถ้าครอบครวั มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดี กจ็ ะเป�น
แรงผลักดนั ใหส้ มาชิกรูจ้ กั ขวนขวายและพยายามหารายได้มาจุนเจือครอบครัว

2.3 ดา้ นสถานศึกษา ป�จจบุ นั ด้านสถานศกึ ษามีส่วนสำคญั ในการช่วยให้บุค คลมี
โอกาสเลือกทีจ่ ะประกอบ อาชพี เสริมตา่ ง ๆ ไม่ว่าจะเป�นการเลอื กอาชีพหลักหรืออาชพี เสรมิ
ช่วยให้บุคคลได้มีโอกาสทราบความต้องการความชอบของตนเอง โดยเฉพาะการได้รบั
การศึกษาในวชิ าแนะแนวจะทำให้ได้รบั ความรู้เกย่ี วกับการประกอบอาชีพไ ด้เป� นอย่ างดี
รวมทงั้ ยังทำให้ผศู้ ึกษาไดต้ ระหนกั ถงึ คณุ ค่า ในตนเอง การพฒั นาความรูค้ วามสามารถของ
ตนเองและการวางแผนอนาคต

2.4 ดา้ นสภาพแวดล้อม ปจ� จยั ดา้ นสภาพแวดลอ้ ม น้ีมีผลตอ่ ความสำเร็ จใ นก าร
ประกอบอาชีพ โดยเฉพาะในดา้ นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และเทคโนโลยี เช่น การ
ขยายตวั ของตลาด ค่านยิ มหรอื กระแสนยิ มของกลุม่ ลูกคา้ นโยบายการส่งเสรมิ ของภาครัฐ
การนำวทิ ยาการสมัยใหมม่ าช่วยในการบริหารจัดการ เปน� ตน้ นอกจากน้ี

เสรมิ ศกั ดิ์ วศิ าลาภรณ์ และคณะ (2535 อ้างถงึ ใน มัฐอรียา สุขสวุ รรณพร,
2553) ไดศ้ ึกษาวิจัยเก่ียวกับการประกอบอาชพี อสิ ระ พบวา่ ผ้ทู ี่มีรูปแบบในการเข้าสู่การ
ประกอบอาชีพอสิ ระนนั้ จะได้รับอิทธพิ ลจากการประกอบอาชีพของบดิ ามารดา สามีหรือ

16

ภรรยา คนใกล้เคียงทีป่ ระสบความสำเรจ็ และทดลองทำหลายอาชพี โดยมีเหตผุ ลและ
แรงจงู ใจ ดงั น้ี (1) บดิ ามารดาหรือสามภี รรยาทำมากอ่ น (2) รายได้ดมี องเห็นลู่ทางในการยก
ฐานะตนเองได้ (3) ได้ประสบการณต์ อนเป�นลกู จา้ ง (4) เรยี นมาโดยตรง (5) ไม่ชอบการเป�น
ลูกน้อง ชอบความเปน� อสิ ระ (6) มบี คุ คลมาชักชวนแนะนำและใหก้ ารสนบั สนนุ

มัฐอรยี า สุขสุวรรณพ (2553) สรปุ ปจ� จยั ทีส่ ่งผลต่อการประกอบอาชีพเสรมิ ว่า การ
ประกอบอาชีพเสรมิ ของแต่ละบุคคลนัน้ ขึ้นอยกู่ บั สภาพพ้นื ฐานครอบครวั ห รืออาชีพของ
บรรพบรุ ษุ ความตอ้ งการความก้าวหน้า ความตอ้ งการดา้ นผลตอบแทน การมคี วามรู้หรือ
ทกั ษะหรือเปน� สิ่งท่ีตนเองสนใจ การชอบความเป�นอิสระในการทำงานและมคี นชักชวนหรือ
สนับสนนุ

ดังน้ัน จากการศกึ ษาแนวคดิ เกี่ยวกบั ปจ� จยั ที่สง่ ผลตอ่ การประกอบอาชีพเส ริม นั้น
ป�จจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จการประกอบอาชีพเสริม นั้นประกอบด้วยประกอบดว้ ย
คณุ สมบตั ทิ ่ีจำเป�น 12 ประการ คอื (1) มแี รงจูงใจ (2) มีความคิดรเิ รมิ่ (3) รจู้ ักถอยเพ่อื ท่ีจะ
สู้ (4) มีความสามารถทจี่ ะทำอะไรใหไ้ ด้ดี (5) มคี วามอดทน (6) มคี วามเชื่อม่ันในตนเอง ๆ มี
ความมัน่ คงทางอารมณ์ (8) มปี ฏสิ ัมพันธม์ ีสามารถในการเขา้ กบั ผ้อู นื่ (9) มคี วามไวใ้ นความ
เขา้ ใจและวนิ ิจฉยั สิง่ ตา่ ง ๆ (10) มคี วามละเอยี ด (11) มคี วามสามารถในการเขยี นและพูด
(12) มีแรงกายและแรงใจ และผปู้ ระกอบอาชีพเสรมิ จำเป�นตอ้ งมีความชอบ ความถนัด มี
ความรู้ทักษะ และมปี ระสบการณ์ ท้งั ในด้านความรพู้ ้ืนฐานในด้านเทคนิควิธีก ารของการ
ประกอบอาชีพเสริม

( อ้างอิง :http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/54930386/chapte
r2.pdf )
4. แนวคดิ และทฤษฎเี กย่ี วกับผ้บู ริโภค

เสรี วงษ์มณฑา (2552, หน้า 31) ได้ให้ความหมายว่า พฤติกรรมผู้บริโภค
(Consumer Behavior) หมายถึง ลกั ษณะการซือ้ ของผูบ้ ริโภค เช่น ซอื้ ท่ไี หน ซอ้ื เมื่อใด ซ้ือ
มากน้อยเพยี งใด ใครเปน� ผซู้ ้ือ และใชม้ าตรการ อะไรในในการตัดสนิ ใจซอ้ื และพฤตกิ รรม
การใช้ (Using Behavior) หมายถงึ ลักษณะการบริโภคสนิ ค้าของผบู้ ริโภค เช่น บรโิ ภคทไ่ี หน
บริโภคกับใคร บรโิ ภคในอัตรามากน้อยเพยี งไร เป�นต้น

การวเิ คราะหพ์ ฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Behavior Analysis) เปน� การวิจัย
หรอื คน้ หาเกย่ี วกบั พฤตกิ รรมการซอ้ื หรอื การใชข้ องผู้บริโภคเพื่อทราบลกั ษณะความต้องการ
และพฤติกรรม ค าตอบที่ได้จะช่วยให้นักการตลาดสามารถจดั การกลยุทธ์การตลาดท่ี
สามารถตอบสนองความพงึ พอใจของผ้บู ริโภคได้อย่างเหมาะสม คำถามทีใ่ ช้ในการค้นหา

17

ลกั ษณะพฤติกรรมผบู้ รโิ ภค คือ 6Ws และ1H มดี งั ตอ่ ไปนี้ (ศริ วิ รรณ เสรีรัตน์ และคณะ,
2552, หนา้ 79-81)

1. ใครอยู่ในตลาดเปา้ หมาย (Who) หรือบุคคลทซ่ี ือ้ สินคา้ เปน� ค าถามเพื่อทราบถึง
ส่วน ประกอบของกลมุ่ เปา้ หมาย (Occupants) ตลาดเป้าหมายทศี่ กึ ษาน้ี เป�นกลมุ่ บคุ คลทม่ี ี
อำนาจในการซอ้ื สินคา้ ดว้ ยตนเอง สามารถบรรยายทัศนคตแิ ละความคิดอยา่ งมีเหตผุ ล มี
อสิ ระสามารถตัดสนิ ใจดว้ ยตวั เอง

2. ผูบ้ ริโภคซือ้ อะไร (What) หรือประเภทสนิ ค้าที่ซื้อ เป�นคำถามเพอื่ ทราบถึงสิ่งที่
ต้องการซื้อ (Objects) ซง่ึ ก็คอื ความพึงพอใจสูงสดุ ท่ีผูบ้ ริโภคตอ้ งการได้รบั จากการซื้อสินค้า
เช่น การบริการ ความสะดวกสบาย ประโยชน์ใช้สอยจากสนิ คา้ ทซ่ี อื้ ไป ความรวดเร็ว เปน� ต้น

3. ทำไมผู้บริโภคจงึ ซือ้ (Why) หรือเหตุผลในการซื้อ เป�นคำถามเพือ่ ทราบถงึ
วตั ถปุ ระสงค์ (Objectives) ในการใช้ซอื้ สนิ ค้า มดี งั น้ี 1) เพอ่ื ตอบสนองความต้องการของตน
คือการไดส้ ินค้าตามทตี่ ้องการ 2) ประโยชน์ใช้สอยและความสะดวกในการซอ้ื สนิ ค้า

4. ใครมีส่วนรว่ มในการตัดสินใจซ้ือ (Whom) หรือผ้มู ีส่วนรว่ มในการตัดสิ นใ จซื้อ
เปน� คำถามเพอื่ ทราบถึงบทบาทของกล่มุ ตา่ ง ๆ (Organizations) ที่มีอทิ ธพิ ลต่อการซอื้ สนิ คา้
จากตลาดนัด

5. ผบู้ รโิ ภคซอ้ื เมอ่ื ใด (When) หรอื ช่วงเวลาทซ่ี ้อื เปน� คำถามเพื่อทราบถงึ โอกาสใน
การซื้อ (Occasions) โดยทั่วไปผู้บริโภคสินค้าเมื่อเกดิ ความต้องการสินค้าท่ีจำเปน� ใน
ชวี ติ ประจำวันอย่างใดอย่างหนึง่ เชน่ สบู่ ยาสฟี น� แชมพู

6. ผู้บรโิ ภคซอ้ื ทไ่ี หน (Where) หรือสถานที่ซ้อื เปน� คำถามเพื่อท ราบถึงสถ านที่
(Out lets) ทผี่ ้บู รโิ ภคจะไป ซง่ึ นักการตลาดจะต้องศึกษาเพื่อจัดชอ่ งทางการจดั จำหน่าย ใน
กรณที ่ีตอ้ งการสินค้าผบู้ รโิ ภคจะเลือกซือ้ สินค้าจากสถานที่ทผ่ี ูบ้ ริโภคจะได้รับคว าม พอใจ
สงู สดุ

7. ผูบ้ ริโภคซอื้ อย่างไร (How) หรอื ลักษณะการซอ้ื เปน� คำถามเพอื่ ทราบถงึ ข้นั ตอน
ในการตดั สินใจซือ้ (Operations)

18

5. แนวคิดและทฤษฎเี กีย่ วกับการพัฒนาตนเอง
ความหมายของการพฒั นาตนเอง

มนี ักวิชาการกลา่ วถงึ ความหมายของ การพัฒนาตนเองวา่ ตรงกบั ภาษาอังกฤษ คำวา่
self-development แตย่ งั มคี ำท่มี ีความหมายใกลเ้ คียงกับคำว่าการพฒั นาตนและมกั ใช้แทน
กันบอ่ ยๆ ไดแ้ ก่

การปรบั ปรงุ ตน (self - improvement) การบรหิ ารตน (self - management)
และการ ปรบั ตน (self-modification) ซ่ึงหมายถงึ การเปล่ียนแปลงตัวเองใหเ้ หมาะสมเพ่ือ
สนองความ ตอ้ งการและเป้าหมาย เป�นการพฒั นาศกั ยภาพของตนดว้ ยตนเองให้ดีขึ้ นท้ัง
ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม เพือ่ ให้ตนเปน� สมาชิกทม่ี ปี ระสิทธิภาพของสงั คม เปน� ประ
โยซน์ตอ่ ผู้อ่ืนตลอดจนเพอื่ การดำรงชีวิตอย่างสนั ติสขุ ของตนและเห็นว่าบุคคลท่ี จะพัฒ นา
ตนเองไดจ้ ะต้องเป�นผมู้ ุ่งม่ันที่จะ เปลย่ี นแปลงหรือปรับปรุงตวั เอง โดยมีความเช่ือหรือ
แนวคดิ พนื้ ฐานในการพัฒนาตนที่ถูกตอ้ ง ซ่งึ จะเป�นส่งิ ทช่ี ่วยส่งเสริมให้การพัฒ นาต นเอง
ประสบความสำเร็จ

สุวมิ ล ว่องวาณชิ (2548, หนา้ 39) ได้ให้ความหมาย การพัฒนาตนเอง หมายถึง
ความตอ้ งการของบคุ คลทจ่ี ะพฒั นาความรู้ ความสามารถของตนจากท่ีเป�นอยู่ให้มีคว าม รู้
ความสามารถท่ีมากข้ึนหรือสงู ขึ้น ใหไ้ ดผ้ ลตามท่ีหน่วยงานตอ้ งการหรือได้ผลงานที่ดียิ่งขึ้น
กว่าเดมิ โดยความต้องการของบุคคลเป�นผลต่างระหว่างสภาพที่ควรจะเป� นกับสภ าพที่
เป�นอยจู่ รงิ

ธงชยั สนั ติวงษ์ (2540, หนา้ 52) ได้ให้ความหมายของการพัฒนาตนเอง หมายถึง
กระบวนการทด่ี ำเนินการในทางเสรมิ สรา้ งและเปลยี่ นแปลง สง่ เสรมิ บคุ คลให้ได้เรียนรู้มี
ความสามารถ มที ักษะ มีทศั นคตแิ ละมคี วามชำนาญ ในการทำงานใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพม าก
ยง่ิ ข้ึน

ไพศาล ไกรสทิ ธ์ิ (2541, หนา้ 21) ได้ใหค้ วามหมาย การพฒั นาตนเอง การที่บคุ คล
พยายามทจี่ ะปรับปรุงเปลยี่ นแปลงตนเองดว้ ยตนเองให้ดีย่ิงขน้ึ กว่าเดิมมากกว่าเดิม ทำให้
บคุ คลสามารถดำเนินกิจกรรมท่ีสนองความตอ้ งการ แรงจูงใจหรือเปา้ หมายทต่ี นไดต้ ั้งไวแ้ ละ
พฒั นาตนเองตามศกั ยภาพของตนใหด้ ขี ึน้ ทั้งร่างกาย จติ ใจ อารมณ์และสังคม เพื่อให้เป�น

19

สมาชกิ ท่มี ีประสิทธิภาพของสงั คม เป�นประโยชน์ต่อผอู้ ่นื ตลอดจนเพือ่ การดำรงชีวติ อย่างมี
ความสุขของบคุ คล

วิเชียร แก่นไร่ (2542, หน้า 7) ได้ให้ความหมาย ของการพัฒนาตนเองจาก
นักวิชาการตา่ ง ๆ ไว้ว่า การพัฒนาตนเอง หมายถงึ การเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ
ความสามารถในการ ปฏิบตั ิงานทตี่ นรับผดิ ชอบอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

ราตรี พัฒนรังสรรค์ (2544, หน้า 96) ได้ให้ความหมายของการพัฒนาตนเอง
หมายถงึ การปรบั ปรุงเปล่ยี นแปลงตวั บคุ คลใหด้ ขี น้ึ ท้งั ดา้ นร่างกายและจิตใจให้กลายเป�น
บุคคลที่สมบูรณ์จะนำมาซง่ึ ความสุขความเจรญิ ของตนเอง สงั คมและประเทศชาติ

สงวน สุทธิเลศิ อรุณ (2545, หน้า 159) ได้ใหค้ วามหมายของการพัฒนาตนเอง
หมายถงึ การสรา้ งความเปน� ใหญใ่ นตนเองให้มีสขุ ภาพกายแขง็ แรง สขุ ภาพจติ ทีด่ ี มที ักษะ
กำลังใจมีจดุ มงุ่ หมายของชีวิตและเปน� มิตรกบั บุคคลทั่วไป

ปราณี รามสูตและจำรัส ด้วงสสุ รรณ (2545, หน้า 3) ให้ความหมายของการพัฒนา
ตนเองในความหมายเชิงจติ วิทยา หมายถึง การกระทำเพื่อการเจริญส่วนตน เป�นการ
เปล่ยี นแปลงในทางท่ดี ีขนึ้ ดา้ นความมงุ่ มน่ั ปรารถนาและค่านิยมอันเปน� พฤตกิ รรมภายใน ซง่ึ
สง่ ผลตอ่ พฤติกรรมภายนอกด้านการกระทำท่ดี ีเพอื่ นำพาชวี ติ สคู่ วามเจรญิ กา้ วหน้า

ตรพี ร ชมุ ศรี (2548, หนา้ 33) ได้ให้ความหมาย การพัฒนาตนเอง หมายถึง การท่ี
บุคคล พฒั นาขีดความสามารถของตนโดยผ่านการจดั การและความพยายามของตนเอง โดย
สามารถ ปรบั ปรงุ แก้ไขตนเองให้มีความรู้ ความสามารถ ทักษะ ความชำนาญและทศั นคติท่ีดี
ต่อการ ปฏบิ ตั ิงานทตี่ นรบั ผดิ ชอบใหม้ ีคุณภาพประสบผลสำเร็จเปน� ที่น่าพอใ จแก่องค์ก าร
และการพัฒนาตน บุญเลิศ ราโชติ (2548, อ้างอิงใน จุรีรัตน์ พินิจมนตรี , 2553) ได้ให้
ความหมายของ การพฒั นาตนเอง วา่ หมายถงึ การท่ีมนุษย์พยายามสงั เกตศึก ษาค้ นพบ
ตนเอง รูจ้ ักยอมรับตนเอง แลว้ หาแนวทางปรับปรงุ ตนเองหรือพฒั นาตนเองใหเ้ ป� นไปตาม
วธิ กี าร กระบวนการและขัน้ ตอนตา่ งๆ การพฒั นาตน คือ การพฒั นาความรู้ ความสามารถใน
ด้านวชิ าการ วิชาชพี และพัฒนาด้านจิตใจของบุคคลใหค้ วบคกู่ นั ไปกบั การพฒั นาในดา้ นวัตถุ

ชาญชัย อาจินสมาจาร (2547, หน้า 18) ให้ความหมาย การพัฒนาตนเอง หมายถึง
การเปล่ียนแปลงท่ีสมบูรณห์ รือการเปลย่ี นแปลงของรปู แบบ ขนั้ ตอนการพฒั นาจะเริ่ม จาก
ศกั ยภาพระดับหนงึ่ ไปยงั ระดบั ท่ีสงู กว่า คณุ ลักษณะสำหรับการพัฒนาตนเอง ดูจาก

20

1. การฝ�กทกั ษะการสื่อความหมาย
2. การได้รับความรู้ และ
3. การปรับปรงุ ปฏิสัมพันธส์ ่วนบุคคล
สรุปได้วา่ การพฒั นาตนเอง หมายถงึ การทบ่ี คุ คลเกดิ ความตอ้ งการแล้วดำเนนิ การ
พฒั นาความรู้ ความสามารถและคุณลักษณะต่างๆของตนด้วยตนเอง เพื่อให้ตนมีความรู้
ความสามารถมากข้ึนหรอื สูงข้นึ มีคุณลกั ษณะสว่ นบคุ คลทจ่ี ำเปน� และเหมาะสมยิ่งข้นึ เพื่อ
ส่งผลตอ่ ความเจรญิ กา้ วหน้าของตน ของงานทต่ี นรับผิดชอบตลอดจนองค์กรและสังค มที่
เกีย่ วข้อง

ทฤษฎีเกยี่ วกบั การพฒั นาตนเอง
มนุษย์มีความต้องการในการพัฒนาตนเอง ต้องการที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพ่ือ
กา้ วหน้าในดา้ นอาชีพการงานเพ่ือความมน่ั คงของรายได้ ทฤษฎเี กย่ี วกับการพัฒนาตนเอง
(จุรีรัตน์ พินิจมนตรี , 2553) ซึ่งเป�นนักจิตวิทยาได้กำหนดขอบเขตเนื้อหา
สาระสำคญั ของทฤษฎกี ารพัฒนาตนเอง แบง่ เป�น 4 ด้านดงั นี้
1. ดา้ นสขุ ภาพ สงิ่ สำคัญในการพฒั นาตนเอง บุคคลต้องมีสุขภาพจติ ที่ดีและร่างกาย
จะตอ้ งแข็งแรง แยกเป�น 3 ระดับ คือ

1.1 ระดบั ความคิด ไม่ดือ้ รน้ั ดันทรุ งั แตจ่ ะยดึ ม่ันในความคิดเหน็ และความเช่ือที่
ม่ันคงและต่อเนื่อง ในเวลาเดยี วกันกส็ ามารถมชี วี ิตอยกู่ บั คว าม คลุมเครือ
ขัดแยง้ ได้

1.2 ระดบั ความรูส้ กึ การรบั รูแ้ ละการยอมรบั ความรสู้ ึก มคี วามสมดุลท้งั ภายใน
และภายนอกอยา่ งม่นั คง

1.3 ระดับความม่งุ มน่ั คณุ ค่าของโภชนาการในเรอื่ งอาหารการกิน สุขภาพกายที่
แข็งแรง มีรูปแบบชีวิตท่ดี ี

2. ดา้ นทักษะ จะต้องมกี ารพฒั นาทกั ษะด้านสมองและการสร้างสรรค์ความคิดใน
หลายรปู แบบรวมทง้ั ความทรงจำ ความมีเหตุผล ความคดิ สร้างสรรค์ และการพฒั นาทักษะ
ประกอบด้วย 3 ระดับ คอื

2.1 ระดบั ความคดิ ทกั ษะทางใจและการคิดคำนึงทีด่ ี เชน่ ความรู้ในเรื่องงาน
ความทรงจำที่มเี หตผุ ล การสรา้ งสรรค์ มีความคดิ ริเรมิ่

2.2 ระดับความรู้สึก ทักษะด้านสังคม ด้านศิลปะ การแสดงออก ต้องนำ
ความรู้สึก ของตนเขา้ ร่วมกับแต่ละสถานการณแ์ ละสามารถถ่ายทอด
ความรสู้ กึ ได้

21

2.3 ระดับความมงุ่ มนั่ การมที กั ษะทางเทคนคิ ทางกายภาพ สามารถกระทำการ
ตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งมศี ิลป�น มใิ ช่เป�นผู้มคี วามชำนาญเท่าน้นั

3. ด้านการกระทำใหส้ ำเรจ็ การกระทำหรอื ปฏบิ ัติสิง่ ตา่ ง ๆ ให้สำเรจ็ ลุลว่ ง โดยกลา้
กระทำด้วยตวั เอง โดยไม่ต้องรอคำสงั่ หรอื ไม่รอคอยใหเ้ กิดขน้ึ เอง มี 3 ระดับ คอื

3.1 ระดบั ความคิด มีความสามารถทจี่ ะเลือกและเสียสละได้
3.2 ระดบั ความรู้สึก มีความสามารถในการจัดการเปลีย่ นสภาพจากคว ามไ ม่

สมหวงั ไมเ่ ป�นสขุ ให้เกิดเป�นความเข้มแขง็
3.3 ระดบั ความมงุ่ ม่ัน สามารถลงมอื รเิ รมิ่ การกระทำได้ ไมร่ อคอยใหเ้ กดิ ขึ้นเอง
4. ด้านเอกภาพของตนเอง เปน� การยอมรบั ข้อดแี ละขอ้ เสยี ของตนเองด้วยความพึง
พอใจในความสามารถและยอมรับในขอ้ บกพรอ่ งของตนเองและพยายามแกไ้ ขใหด้ ีทส่ี ดุ มี 3
ระดบั คือ
4.1 ระดบั ความคดิ มคี วามรู้ ยอมรบั รูจ้ ักและเขา้ ใจตัวเอง
4.2 ระดับความรสู้ กึ ยอมรบั ตัวเองแม้แตค่ วามออ่ นแอ และยนิ ดใี นความเขม้ แข็ม
4.3 ระดบั ความมุ่งม่นั มีแรงผลักดันมีเปา้ หมายภายใน มจี ุดประสงคใ์ นชีวติ
การเรยี นรู้เกยี่ วกบั การพฒั นาตนเองในกลมุ่ มนุษยน์ ยิ ม (Humanism) นักจิตวทิ ยา
กล่มุ มนษุ ย์นยิ มเนน้ ดา้ นอารมณ์ ความรูส้ กึ ของบุคคล คุณค่าของความเปน� คนมากและเห็น
ว่าการเรยี นรู้ของบคุ คล มอี งค์ประกอบด้านความรู้สึกเข้าไปเก่ียวขอ้ ง เช่น ความรู้สึกนกึ คิด
เกี่ยวกับตนเอง การยอมรับตนเอง สัมพันธภาพระหว่างบุคคลและระหว่างบุคคลกับ
สิง่ แวดล้อมเป�นตัวแปรทส่ี ำคญั ของการเรยี นรู้ มีความเช่อื ในศกั ยภาพของมนุษย์ท่ี จะนำ
ตนเองเรยี นรู้ตนเองและการเรยี นรูต้ ้องมลี ักษณะที่เรียกวา่ “ผเู้ รียนตอ้ งเรมิ่ ต้นในการเรียนรู้
เอง” (Self - Inititated) ถึงแมบ้ รรดาสงิ่ เร้าจะมาจากภายนอกก็ตาม มีความตอ้ งการท่ีจะ
ค้นพบเก่ยี วกับความรคู้ วามสามารถของตนทเ่ี รยี กวา่ seff – actualization ซึง่ เปน� แรงจูงใจ
ท่ีสำคญั ท่ที ำใหค้ นรกั ท่จี ะแสวงหาความรูอ้ ยา่ งไมห่ ยดุ ยงั้
(สุวัฒน์ วฒั นวงศ์ , 2547, หน้า 3) ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั ทฤษฎี V ของ แมค็ เกรเกอร์
(McGregor, 1960, p. 25) สมมติฐานเกย่ี วกับธรรมชาตทิ ีม่ นุษยเ์ หน็ วา่ การใชพ้ ลงั ก ายและ
พลังใจ เป�นไปโดยธรรมชาติ เหมือนการเล่นหรือการพักผ่อน ย่อมมีความสามารถโดย
ธรรมชาตเิ พ่อื การเรียนรู้ การควบคมุ ภายนอกและการปฏิบตั ิการลงโทษไม่ใชห่ นทางในการ
พยามยามที่จะให้บรรลุเป้าหมายขององคก์ รมนุษย์สามารถกำหนดตนเองได้ (sef -
direction) ในการดำเนินการใหบ้ รรลเุ ป้าหมายขององค์กร ตามวตั ถปุ ระสงคท์ ี่ได้ตกลงใจ
แลว้ (committed) การเรียนร้ทู สี่ ำคัญ คือ การได้รับโดยผา่ นกระบวนการกระทำการปฏบิ ัติ
จริง (doing) มนุษย์โดยท่ัวไปยอมเรียนร้ภู ายใต้เง่อื นไขทเ่ี หมาะสม ไมเ่ ฉพาะแต่เพียงการ

22

ยอมรับ (accept) แตม่ กี ารแสวงหาความรับผิดชอบ (seek responsibility) การเรียนรดู้ ้วย
ตนเองเกี่ยวข้องกับองคาพยพ (whole person) มีความรู้สึก เช่นเดียวกับผู้มีปญ� ญา
(intellect) เป�นส่งิ ที่คงทนถาวรและมั่นคงตลอดไป ความสามารถในการ จินตนาการความ
เปน� จริงและความคิดสรา้ งสรรคเ์ พือ่ แกป้ ญ� หาขององค์กรเปน� ไปอยา่ งกวา้ งขวาง ไมค่ ดิ ด้วยใจ
คับแคบ ความคดิ สรา้ งสรรค์ การคิดสรา้ งสรรคใ์ นการเรยี นรู้ จะไดร้ ับการจดั แจงทด่ี ีทีส่ ุด เม่ือ
มกี ารวิพากษต์ นเอง (self - criticism) เปน� เบอ้ื งตน้ ก่อนและมกี ารประเมินโดยผอู้ นื่

จากทฤษฎีการพัฒนาตนเอง สรุปได้วา่ การพฒั นาตนเองที่จะประสบผลสำเร็ จได้
นน้ั อยทู่ ี่ การเตรียมความพรอ้ มของรา่ งกายและจิตใจ ท่พี รอ้ มจะเผชญิ กับความเปล่ยี นแปลง
ทางสภาพ เศรษฐกิจ สงั คมและสภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ
แนวคิดเกีย่ วกบั การพัฒนาตนเอง

ความเช่ือพืน้ ฐานของบุคคลในการพัฒนาตน เป�นส่งิ สำคัญที่ชว่ ยส่งเสริ มให้ก าร
พฒั นาตนเองประสบความสำเร็จ ดังแนวคิดในการพัฒนาตนเองของนกั การศึกษา เช่น

ราตรี พัฒนรงั สรรค์ (2544. หน้า 96 - 97) กลา่ วถงึ แนวคดิ ในการพฒั นาตนไว้วา่
1. มนุษย์ทุกคนมเี อกลักษณ์ มีศักยภาพที่มีคุณค่าเป�นของตนเองและทุกคน

สามารถ ฝก� หดั พฒั นาได้ทุกเรอ่ื ง
2. ไมม่ ใี ครทม่ี ีความสมบูรณไ์ ปหมดทกุ ดา้ น จนไม่สามารถทจ่ี ะพัฒนาได้
3. แมจ้ ะไมม่ ีใครร้จู ักตนเอง แต่ในบางเรอ่ื งตนเองกไ็ ม่สามารถจดั การปรบั เปล่ียน

ได้ ดว้ ยตนเอง
4. การควบคุมสิ่งแวดล้อมทางกายภาพและทางสงั คมกับการควบคุมความคิด

ความรู้สกึ และการกระทำของตนเอง มีผลกระทบซง่ึ กันและกัน
5. อุปสรรคสำคัญของการปรับปรงุ และพัฒนาตนเอง คือ การที่บุคคลไมย่ อม

ปรับเปลี่ยน วธิ ีคิด วิธีการปฏบิ ัตไิ มส่ รา้ งนสิ ยั และฝก� ทักษะใหม่ ๆ ทจี่ ำเปน�
6. การพฒั นาตนเองดำเนนิ การได้ทกุ เวลา เม่อื ตอ้ งการหรือพบปญ� หาขอ้ บกพรอ่ ง

หรืออปุ สรรค ยกเว้นคนท่ปี ระกาศวา่ ตนมีความสมบรู ณไ์ ปหมดทุกด้านแล้ว
ปราชญา กล้าผจัญและพอตา บุตรสุทธวิ งศ์ (2550, หนา้ 90-93) ไดก้ ลา่ วถึง แนวคิด
ในการพฒั นาตนเองวา่ เปน� การพฒั นาใน 4 ดา้ น คือ
1. การรู้คุณคา่ ในตนเอง เขา้ ใจตนเอง รู้คา่ นยิ มทตี่ นเองใช้เปน� แนวท าง ใ นการ

ดำรงชวี ิต
2. การจัดการตนเองได้ เชน่ ควบคมุ อารมณไ์ ด้ มคี วามโปร่งใสและมคี วามสามารถ
3. การตระหนกั รู้ทางสงั คม มุง่ ส่ผู ลสมั ฤทธ์ิ มคี วามคดิ ริเริม่
4. การบริหารจัดการความสมั พันธ์ การมีอารมณ์ขัน มองโลกในแง่ดี

23

ปราณี รามสตู และจำรสั ดว้ งสสุ รรณ (2545,หน้า 29) ไดก้ ลา่ วถงึ แนวคดิ ในการ
พฒั นาตนเอง ในดา้ นคุณลักษณะส่วนบุคคลทจ่ี ะเปน� 5 ประการ ไว้ดงั นี้

1. ความรสู้ กึ ว่าตนเองมีเป้าหมายชวี ิต โดยเชือ่ ว่าตนเองสามารถพัฒนาได้ จึงมี
ความต้องการปรบั ปรงุ และเปลี่ยนแปลงใหด้ ขี นึ้

2. ความรู้สึกกล้าที่จะมปี ฏิสัมพันธ์ทีด่ ีกบั ผ้อู ืน่ บุคคลจะตอ้ งพัฒนาตนเองให้ มี
ความรู้สึก กลา้ และมีความต้งั ใจอนั แนว่ แน่ทีจ่ ะมีปฏสิ มั พันธท์ ด่ี กี บั ผู้อ่ื น เพ่ือ
เสรมิ สรา้ งมนษุ ยสมั พันธท์ ด่ี ตี ่อไปในการปรบั ตวั

3. ความร้สู กึ เปด� เผยและถ่อมตน บุคคลจะต้องพฒั นาตนเองให้มีคุณลกั ษณะส่วน
บุคคลใหม้ คี วามรูส้ ึกเปด� เผยและจริงใจ รจู้ ักถ่อมตน เพอื่ เสรมิ สร้างการมมี นุษย
สมั พันธท์ ี่ดกี ับบคุ คลอนื่ รอบขา้ ง

4. ความร้สู กึ ศรทั ธาและม่ันคง ใหม้ ีความเชือ่ ความศรัทธาในตนเองอย่างม่ันคง
คอื ความรู้สึกวา่ ตนเองมีคณุ คา่ มีคนรัก คนชอบและเขา้ ใจในตัวเรา ทำให้เกิด
ความภาคภมู ใิ จในตนเอง

5. ความมีเสนห่ ์ในตนเอง คือ การแสดงตนว่าเปน� บุคคลทร่ี า่ เริงแจ่มใส แสดงตนว่า
ชอบ บคุ คลท่ีเราติดตอ่ ด้วย แสดงความสนใจรว่ มในสงิ่ ทีผ่ ู้อื่นสนใจ แสดงความ
ชน่ื ชมและยกย่องผู้อื่น ตามโอกาสอันควรและแสดงความรู้สกึ คลอ้ ยตามผู้อ่ืน
อย่างเหมาะสม

จากแนวคิดเก่ยี วกบั การพัฒนาตนเองดงั กล่าวข้างต้น สรปุ ได้ว่า แนวคิดในการ
พฒั นาตนเองเป�นความเชอื่ ทว่ี ่า คนสามารถพฒั นาไดแ้ ละตระหนกั ถึง

ความตอ้ งการจำเปน� ในการพฒั นาตนเอง
ปราชญา กลา้ ผจญั และพอตา บตุ รสุทธวิ งศ์ (2550, หน้า 93-94) ไดก้ ลา่ วถงึ พฒั นา
ตนเองว่ามีความจำเปน� ในแง่การพัฒนางาน พัฒนาความกา้ วหน้าในวิชาชพี (Career
Development) แต่ละอาชีพตอ้ งอาศยั ความชำนาญเป�นพเิ ศษในด้านน้นั ๆ และตอ้ งได้รับ
การฝ�กฝนอบรมมาโดยตรงเท่าน้ัน การปฏิบัตงิ านในสายวชิ าชพี จงึ จำเป�นตอ้ งมที างที่เป�ด
กวา้ งให้ บคุ คลทป่ี ฏิบตั ิงานในวิชาชีพได้เจรญิ กา้ วหน้าไปในหน้าที่การงานท่ีตนปฏบิ ตั ิอยู่ โดย
มผี ้จู ัดทำ “บันไดแหง่ สายวชิ าชพี ” (Career Ladder) เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผูป้ ฏิบัติงานใน
วิชาชพี นน้ั สามารถก้าวไปถงึ ตำแหนง่ ใดและมีโอกาสเจรญิ สูงสดุ ในตำแหน่งใด
วิจติ ร อาวะกุล (2545, หน้า 126) ความจำเปน� ในการพฒั นาบคุ ลากร เป�นสภาพ
สถานการณห์ รือป�ญหา ซง่ึ เกิดจากความแตกต่างของสภาพการทำงานท่ีคาดหวังกับสภาพ
การ ทำงานทเี่ ปน� อยใู่ นปจ� จุบนั ซ่งึ สามารถแกไ้ ขด้วยการพัฒนาบคุ ลากร

24

หลักการพัฒนาตนเอง
หลกั การพฒั นาตนเอง การพัฒนาตนเองเปน� การพัฒนาคุณสมบตั ทิ อี่ ยู่ในตัวบุคคล

เป�นการจัดการตนเองให้มีเป้าหมายชีวติ ทีด่ ี ทง้ั ในป�จจบุ นั และอนาคต การพฒั นาตนเองจะ
ทำให้บุคคลสำนึกในคุณค่าความเป�นคนได้มาก ในบางครั้งบุคคลจะเรียนรู้ก็ต่อเมื่อ
กระบวนการเรยี นรู้นั้นมีความสนกุ สนานและทำให้เกดิ ความพึงพอใจ อย่างไรกต็ าม การท่ี
บคุ คลจะเรียนรไู้ ด้ดีหรอื ไม่ข้นึ อยกู่ ับความพงึ พอใจและความตอ้ งการท่ีจะเรียนรู้

ปราณี รามสูตและจำรัส ด้วงสุวรรณ (2545, หน้า 125 -129) ได้แบ่ง หลกั การ
พัฒนาตนเองออกเปน� 3 ข้นั ตอน คือ

ข้นั ท่ี 1 การตระหนกั ร้ถู ึงความจำเปน� ในการปรบั ปรงุ ตนเอง เปน� ความตอ้ งการใน
การที่จะพัฒนาตนเองเพ่อื ชีวิตทป่ี ระสบความสำเร็จ คือการพฒั นาตนเองในแง่ความรแู้ ละใน
ทุกด้านใหด้ ีขึน้ มากท่ีสุด เทา่ ที่จะทำได้

ช้นั ที 2 เปน� ชั้นการวิเคราะหต์ นเอง โดยการสงั เกตตนเอง ประเมนิ ตนเอง และ
สงั เกตพฤตกิ รรมของผู้อื่น รวมท้ังเปรียบเทยี บบคุ ลิกภาพทีส่ งั คมต้องการ

ขน้ั ท่ี 3 การวางแผนพฒั นาตนและการตง้ั เป้าหมาย
ชาญชัย อาจนิ สมาจาร (2547, หน้า 21-22) ไดก้ ลา่ วถึง หลักการพัฒนาตนเองว่า
เป�นการเปล่ยี นแปลงตนเองจากศักยภาพเดมิ ท่มี อี ยไู่ ปสศู่ ักยภาพระดับทีส่ งู กวา่ โดย
1. บคุ คลตอ้ งสามารถปลดปลอ่ ยศักยภาพระดับใหม่ออกมา
2. มีส่ิงทา้ ทายภายนอกทเี่ หมาะสม
3. คนท่มี กี ารพัฒนาตนเอง ควรรบั ร้คู วามท้าทายในตัวคนทงั้ หมด (Total self)
4. เปน� การริเรม่ิ ดว้ ยตวั เอง แรงจงู ใจเบือ้ งตน้ เกดิ ขนึ้ ผ่านผลสัมฤทธข์ิ องตัวเอง และ

การบรรลคุ วามสำเรจ็ ด้วยตนเอง รางวัลและการลงโทษจากภายนอกเป�นเร่ือง
5. การพฒั นาตนเอง ต้องมีการเรยี นรู้ มีการหย่ังเชิงอยา่ งสรา้ งสรรค์
6. การพฒั นาตนเอง ต้องเต็มใจท่ีจะเสย่ี ง
7. ต้องมีความตง้ั ใจท่เี ข้มแขง็ เพียงพอทีจ่ ะผา่ นข้นึ ไปสู่ศักยภาพใหม่
8. การพฒั นาตนเองตอ้ งการคำแนะนำแล ะการสนับสนนุ ของนักพฒั นาตนเองท่ี มี

วฒุ ิภาวะมากกวา่ การพฒั นาตนเองเปน� การใช้ความรับผดิ ชอบสว่ นตัวใ นการ
เรยี นรู้โดยตนเอง และพัฒนา ผ่านกระบวนการประเมินผล การสะทอ้ นกลับ
และการปฏบิ ัติ (Boldt, 1993, p. 57)
เซ็งเก้ (Senge, 1990, p. 53) ได้กล่าวถึง หลักการพัฒนาตนเอง (Personal
Mastery) วา่ เปน� วนิ ยั เป�นการฝ�กฝนอบรมตนเองด้วยการเรยี นรูอ้ ย่เู สมอเปน� รากฐ านสำคัญ
เพอื่ ขยายขีด ความสามารถใหเ้ ช่ียวชาญมากขึ้น เปน� สภาพท่ีเป�นอยู่จริ งที่เห็ นว่ าอะไ รมี

25

ความสำคัญ ตอ่ ตัวบคุ คล และตอ่ องคก์ ร เหน็ ภาพในอนาคตที่เป�นไปได้ สรา้ งวิสัยทศั น์ส่วน
ตนขึ้นมา (Personal vision) รักษาความตงึ อย่างสร้างสรรค์ (Creative tension) และมี
ความพลงั แห่งความตงั้ ใจ (will power) ทจ่ี ะพฒั นาตนเองให้รอบรู้

สรปุ หลักการพฒั นาตนเอง ไดว้ ่า การพัฒนาตนเองเปน� การเรียนรู้ของตนเอง เพื่อ
สะสม ความรูแ้ ละประสบการณ์ใหม้ ากขึ้น เปน� การเปลยี่ นแปลงตนเองจากศักยภาพเดมิ ท่ีมี
อยู่ไปสู่ศกั ยภาพระดบั ที่สูงกว่า ประกอบดว้ ย การตระหนักรถู้ งึ ความจำเปน� ในการป รับปรุง
การวเิ คราะห์ ตนเอง โดยการสังเกตตนเอง ประเมนิ ตนเอง การวางแผนพฒั นาตนและการ
ตั้งเปา้ หมาย

(อ้างอิง :http://www.edu.nu.ac.th/researches/admin/upload/655171111
104240is.pdf )

หลักการและแนวคิดทฤษฎีท่เี กย่ี วข้องกับการประเมนิ ผลโครงการ

1. หลกั การและแนวคดิ ทฤษฎโี มเดลิ ชิปในการประเมินของสตัฟเฟล� บีม (Srufflebeam’s
CIPP Model)
สตฟั เฟ�ลบมี ไดใ้ หน้ ิยามคำว่า “การประเมนิ ” ไว้วา่ คอื กระบวนการของการระบุ
หรือ กำหนดข้อมูลทีต่ อ้ งการ รวมถึงการดำเนินการเกบ็ ขอ้ มูล และนำขอ้ มูลทเ่ี กบ็ มาแลว้ น้นั
มาจัดทำให้ เกิดสารสนเทศที่มีประโยชน์ เพื่อนำเสนอสำหรับใช้เปน� ทางเลือกในการ
ประกอบการตดั สินใจ จากนยิ ามดังกล่าว มีสาระสำคญั ดงั นี้

1. การประเมนิ เปน� กิจกรรมท่ีมีลกั ษณะเปน� กระบวนการ คอื มคี วามต่อเนอื่ งกันใน
การดำเนินงานอย่างครบวงจร และยอ้ นกลบั มาส่รู อบใหม่ของวงจรดว้ ย

2. กระบวนการประเมิน จะตอ้ งมกี ารระบหุ รอื บ่งช้ีขอ้ มูลท่ีตอ้ งการ

3. กระบวนการประเมิน จะต้องมกี ารเก็บรวบรวมข้อมลู ตามทร่ี ะบุหรอื บ่งช้ไี ว้

4. กระบวนการประเมนิ จะต้องมกี ารนำเอาข้อมลู ท่ีเก็บรวบรวมมาแลว้ น้ันมาจัดทำ
ให้ เป�นสารสนเทศ

5. สารสนเทศที่ได้มานัน้ จะต้องมคี วามหมายและมปี ระโยชน์

6. สารสนเทศดงั กล่าว จะตอ้ งได้รบั การนำไปเสนอเพอ่ื ใช้ประกอบการตดั สินใ จใน
การกำหนดทางเลอื กใหมห่ รือแนวแห่งการดำเนนิ การใด ๆ ตอ่ ไป

26

แนวคดิ ของสตัฟเฟ�ลบีม มีลกั ษณะท่ีจะแบ่งแยกบทบาทของการทำงานระหว่าง ฝ่าย
ประเมินกับฝ่ายบรหิ ารออกจากกันอยา่ งเด่นชดั กล่าวคือ ฝา่ ยประเมนิ มหี นา้ ที่ระบุ จัดหา
และนำเสนอสารสนเทศให้กับฝ่ายบริหาร สว่ นฝ่ายบรหิ ารมีหนา้ ท่เี รยี กหาและนำผล การ
ประเมนิ ที่ได้ นัน้ ไปใช้ประกอบการตัดสนิ ใจเพ่อื ดำเนินกจิ กรรมใด ๆ ทเี่ ก่ียวขอ้ งตามควรแก่
กรณี

ทั้งนี้ ในส่วนทีเ่ ป�นรายละเอียดของการประเมินตามนิยามของสตัฟเฟล� บมี นั้น
สามารถถา่ ยทอดออกเป�นโมเดลพ้ืนฐานได้ ดงั นี้

ภาพที่ 2.2 โมเดลพ้ืนฐานของสตัฟเฟ�ลบมี (Stufilebeam's CIPP Model)
การประเมินตามโมแดลของสตฟั เฟล� บมี นั้น สามารถสรุปการประเมนิ เป�น 3 ข้ันตอน คือ

1. กำหนดหรอื ระบแุ ละบ่งช้ีขอ้ มูลทตี่ ้องการ
2. จดั เก็บรวบรวมขอ้ มูล
3. วเิ คราะหแ์ ละจัดสารสนเทศ เพือ่ นำเสนอฝา่ ยวชิ าการ
สตฟั เฟล� บมึ (Stufilebeam, 1969, หนา้ 75) ไดเ้ สนอแนวคิดเกีย่ วกับรูปแบบการ
ประเมนิ ซ่ึงเรยี กวา่ ซิปโมเคล (CIPP Model) เป�นการประเมินอย่างมีระบบแบบแผ นท่ี
ชัดเจน และสามารถ นำไปใชใ้ นการประเมนิ โครงการต่าง ๆ ได้อย่างกวา้ งขวาง คำวา่ CIPP
เป�นคำยอ่ มาจากคำ 4 คำ ดงั นี้
1. การประเมินบริบทหรือสภาวะแวดล้อม (Context E valuation: C) เป�นการ
ประเมิน ก่อนทีจ่ ะลงมือดำเนนิ การก่อนจะทำโครงการใด ๆ มีจุดมุง่ หมายเพ่ือกำหนด
หลักการและเหตผุ ล รวมท้งั เพื่อพจิ ารณาความจำเป�นท่จี ะตอ้ งจดั ทำโครงการดงั กลา่ ว การช้ี
ประเดน็ ป�ญหาตลอดจน การพิจารณาความเหมาะสมของเป้าหมายโครงการ
2. การประเมนิ ตวั ป้อนเขา้ (Input Evaluation: I) เป�นการประเมินเพ่อื พจิ ารณาถึง
ความเหมาะสม ความเพียงพอของทรัพยากรท่ีจะใช้ในการดำเนินโครงการ ตลอดจน
เทคโนโลยี และแผนของการดำเนนิ งาน

27

3. การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation: P) ส่วนน้ีเป�นการประเมนิ เพื่อ
หา ขอ้ บกพรอ่ งของการคำเนิน โครงการ เพื่อทำการแก้ไขให้สอดคลอ้ งกับขอ้ บกพรอ่ งนน้ั หา
ข้อมลู ประกอบการตดั สินใจทจ่ี ะสง่ั การเพ่ือการพัฒนางานต่าง ๆ และบนั ทึกภาวะของ
เหตุการณต์ ่าง ๆ ที่เกดิ ขึน้ ไวเ้ ป�นหลักฐาน

4. การประเมนิ ผลผลิตท่เี กิดข้ึน (Product Evaluation: P) เป�นการประเมิ นเพ่ือ
เปรียบเทยี บผลที่เกดิ ขน้ึ จากการทำโครงการ คอื เป้าหมายหรือวัตถุประสงคข์ องโครงการที่
กำหนด ไว้แตต่ ้น รวมท้งั การพิจารณาในประเด็นของการยุบ เลกิ หรอื ปรบั เปลี่ยนโครงการ
การจัดประเภทของการประเมินดงั กล่าว แสดงถงึ การประเมินท่ีพยายามให้ครอบคลมุ
กระบวนการทำงานในทุก ๆ ขัน้ ตอน ตามแนวคิดทร่ี จู้ กั กนั ดีในนามวา่ “CIPP” สิ่งที่ควบคกู่ บั
การประเมินทั้ง 4 ประเภทข้างตน้ ได้แก่ การตัดสนิ ใจเพ่อื คำเนนิ การใด ๆ ซ่ึงสามารถจะแบ่ง
ออกไดอ้ กี 4 ประเภท เช่นกนั คอื

1. การตัดสนิ ใจเพอื่ การวางแผนเป�นการตดั สินใจที่อาศัยการประเมิ นสภ าวะแว
คลอ้ ม มีบทบาทสำคัญคอื การกำหนดวัตถปุ ระสงคข์ องโครงการใหส้ อดคลอ้ งกบั แผนในการ
คำเนินงาน

2. การดัดสนิ ใจเพอ่ื กำหนดโครงศร้างของโครงการเปน� การตัดสินใ จที่อ าศัยก าร
ประเมิน ตวั ป้อน มีบทบาทสำคญั คอื การกำหนดโครงสร้างของแผนงานและข้ั นตอ นการ
ทำงานต่าง ๆ ของโครงการ

3. การตัดสินใจเพือ่ นำโครงการไปปฏิบัติเป�นการตัดสินใจที่อาศัยการประเมนิ
กระบวนการ มบี ทบาทสำคัญคอื ควบคมุ การทำงานใหเ้ ป�นไปตามแผนที่กำหนด และเพื่อ
ปรบั ปรงุ แกไ้ ขแนวทางการทำงานให้ได้ผลดี

4. การตัดสนิ ใจเพ่อื ทบทวนโครงการเป�นการตดั สินใจท่ีอาศัยผลจากการประเมินท่ี
เกิดขึ้น มบี ทบาทหลกั คอื การตัดสินใจเก่ยี วกบั การยุติ ลม้ เลกิ หรอื ขยายโครงการในชว่ งเวลา
ตอ่ ไป แนวคิดและเป้าหมายของการประเมินตามท่สี ตัฟเฟล� บีมไดเ้ สนอมาแล้วนั้น นบั ว่าเป�น
ต้นแบบของการประเมินอย่างมรี ะบบ และเพื่อประ โยชนต์ ่อการตัดสินใจในก ารค ำเนิ น
โครงการ แต่ละประเภทจะเห็นไดช้ ดั วา่ การประเมินแต่ละประเภทดงั กล่าว จะตอ้ งเอ้ืออำนวย
ตอ่ การนำไปตดั สนิ ใจ ดงั รปู แบบความสัมพันธ์ ตอ่ ไปน้ี
แนวคดิ หลกั การและโมดลการประเมินของไทเลอร์
(Tyler's Rationale and Model of Evaluation)

แนวคิดทางการประเมินของไทเลอร์ จดั เป�นแนวคิดของการประเมินใ นระดับช้ัน
เรียน โดยไทเลอร์มคี วามเหน็ วา่ การประเมินผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรยี น จะมีส่วน
ช่วยอย่างมาก ในการพัฒนากระบวนการเรียนการสอน ไทเลอร์ได้เริ่มนการนำเสนอ

28

แนวความคดิ ทางการประเมินโดยยดึ กระบวนการเรียน การสอนเปน� หลัก กล่าวคอื ไทเลอร์
ได้นยิ ามว่ากระบวนการจัดการเรียนการสอนเป�นกระบวนการท่ี มุ่งจดั ขนึ้ เพื่อกอ่ ให้เกดิ การ
เปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมทพี่ ึงปรารถนาในตวั ของผเู้ รียน ดว้ ยเหตุนจี้ ดุ เน้น ของการเรียนการ
สอน จงึ ขึ้นอยกู่ ับการทผ่ี เู้ รียนจะต้องมีการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมหลังการสอน ดงั น้นั เพ่อื ให้
การสอนเกดิ การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมในตวั ผเู้ รยี นตามทีม่ ุง่ หวังกระบวนการ ดงั กลา่ วจงึ มี
ขน้ั ตอนในการคำเนนิ การ ดังน้ี

ข้นั ท่ี 1 ต้องมกี ารระบุหรือกำหนควัดถูประสงคใ์ หช้ ดั เจนลงไปว่าเมือ่ สนิ้ สุดก ารจัด
การเรียนการสอนแลว้ ผเู้ รยี นควรเกิดพฤตกิ รรมใด หรือสามารถกระทำสง่ิ ใดได้บ้างหรือที่
เรียกว่า วตั ถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม

ขน้ั ท่ี 2 ต้องระบตุ อ่ ไปว่าจากวัตถปุ ระสงค์ท่กี ำหนดไว้ดังกลา่ วนัน้ มีเน้อื หาใดบ้างที่
ผู้เรียนจะต้องเรยี นรหู้ รอื มีสาระ ใดบ้างทเี่ มื่อผเู้ รยี นเกิดการเรยี นรูแ้ ล้ว จะก่อให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลง พฤตกิ รรม

ขน้ั ท่ี 3 หารปู แบบและวธิ กี ารจัดการเรยี นการสอนให้สอดคล้องกับ เน้ือห าและ
จุดประสงค์ท่กี ำหนดไว้

ขั้นที่ 4 ประเมนิ ผลโครงการ โดยการตัดสนิ ดว้ ยการวดั ผลทางการศึกษา หรอื การ
ทดสอบผลสัมฤทธ์ใิ นการเรยี น แนวคิดคงั กล่าวนเี้ ปน� แนวคิดในชว่ งต้น ๆ ของไทเลอร์ ต่อมา
ไทเลอร์ไดส้ ร้างวงจรของ วตั ถุประสงค์ในการจดั การเรยี นการสอนและการประเมินผลขึน้ ซึ่ง
เขียนเป�นโมเคลพืน้ ฐาน ได้ ดงั น้ี

จากโมเดลดังกล่าวจะเห็นว่า หัวลูกศรจะช้ีไปยังทิศทางทั้งสองทศิ ทางของ ทกุ
องคป์ ระกอบ มคี วามหมายวา่ ในการจดั การเรียนการสอนนั้น ตามทัศนะของไทเลอร์แล้ว
องค์ประกอบทัง้ 3 คือ (1) วัตถุประสงค์ (2) การจัดการเรียนการสอน และ (3) การ
ประเมนิ ผลผูเ้ รียน จะต้องดำเนินการใหป้ ระสานสมั พันธก์ ันไปเสมอ

จากแนวคิดของไทเลอรเ์ กีย่ วกบั การประเมนิ ผลโครงการเหน็ ได้วา่ การประเมินผล
ดังกล่าวแล้ว ง่ายต่อการตรวจสอบความสำเร็จของโครงการ เพราะเป�นการวัคและ
ประเมินผล เฉพาะแตจ่ ุดมุง่ หมายท่ีต้งั ไว้เท่านัน้ แต่ว่าการประเมนิ ผลดงั กล่าว นี้ มีคุณค่า
คอ่ นข้างจำกดั เนอ่ื งจากว่าเปน� การประเมนิ ผลความก้าวหนา้ และใหค้ วามสำคญั ของคณุ ค่า
ของจุดมงุ่ หมายเพยี ง เล็กนอ้ ยเท่าน้นั และเกณฑ์ในการตัดสนิ การบรรจุวตั ถปุ ระสงค์ยังเป�น
อตั นัยมาก

โดยสรุปกค็ อื การประเมนิ ในความคิดเห็นของไทเลอร์ จึงหมายถงึ การเปรียบเทยี บสง่ิ
ท่ี ผ้เู รยี นสามารถกระทำได้จรงิ หลังจากได้จดั การเรียนการสอนแลว้ กบั วตั ถุป ระสง ค์เชิง
พฤตกิ รรมซึ่ง ได้กำหนดข้ึนไว้ก่อนท่ีจะจดั การเรียนการสอนนั้น ๆ

29

แนวคดิ หลักการและโมเดลการประเมนิ ของ ครอนบาค
(Cronbach's Concepts and Model)

ตามทัศนะของครอนบาก เชื่อว่าการประเมินเป�นการรวบรวมข้อมลู การใช้
สารสนเทศ เพอ่ื การตดั สนิ ใจเกยี่ วกับการจัดโปรแกรมทางการศึกษาในสว่ นของการตดั สินใจ
ท่ีเก่ยี วข้องกับการ จดั การศึกษานน้ั ครอนบาคได้แบ่งออกเป�น 3 ประเภท คือ

1. การตัดสนิ ใจเพือ่ การปรับปรงุ รายวิชา
2. การตดั สนิ ใจที่เก่ียวขอ้ งกับตวั นกั เรยี นเปน� รายบคุ คล
3. การจดั การบรหิ ารโรงเรียน
ครอนบาศมคี วามเห็นวา่ การประเมินนัน้ ไม่ควรกระทำโดยใช้แบบทคสอบแต่เพยี ง
อย่างเดียว แตค่ วรมมี าตรการอนื่ ประกอบดว้ ย ครอนบาก ได้เสนอแนวทางการประเมินเพิ่ม
ติมไว้ อีก 4 แนวทาง คือ
1. การศึกษากระบวนการ (Process Studies) ไดแ้ ก่การศึกษาภาวะต่าง ๆ ท่ี

เกิดขึน้ ใน ช้ันเรียน
2. การวัดศักยภาพของผู้เรียน (Proficiency Measurement) ครอนบาคได้ให้

ความสำคญั ต่อคะแนนรายขอ้ มากกว่าคะแนนจากแบบทคสอบทงั้ ฉบบั และให้
ความสำคญั ต่อการสอน เพือ่ วดั สมรรถภาพของผเู้ รยี นระหว่างการเรีย นก าร
สอนวา่ มีความสำคัญมากกว่าการสอบประจำ ปลายภาคเรียนหรือก ารสอบ
ปลายป�
3. การวัดทัศนคติ (Attitude Measurement) ครอนบาคให้ทัศนะว่าการวดั
ทศั นคตเิ ปน� ผล ท่เี กิดจากการจัดการเรยี นการสอนส่วนหนงึ่ ซึง่ มีความสำคัญ
เชน่ กัน
4. การติดตาม (Follow - Up Studies) เป�นการติดตามผลการทำงาน หรือ
ภาวะการเลอื ก ศกึ ษาต่อในสาขาต่าง 1 รวมทง้ั การใหบ้ คุ คลทเ่ี รยี นในระดบั ข้ัน
พื้นฐานท่ผี า่ นมาแล้ว ไดป้ ระเมนิ ถงึ ข้อดแี ละขอ้ จำกัดของวชิ าตา่ ง ๆ ว่าควรมี
การปรับปรุงเพิ่มเติมอยา่ งไร เพื่อช่วยในการพัฒนาหรอื ปรับปรงุ รายวชิ า
เหลา่ น้ันตอ่ ไป
เมอ่ื สรปุ แนวคดิ ของครอนบาคข้างตน้ แลว้ จะเหน็ ว่าครอนบาคมคี วามเชือ่ ว่า การ
ประเมิน ทเี่ หมาะสมน้ันต้องพิจารณาหลาย ๆ ด้าน ดังทก่ี ล่าวมาแล้วทั้ง 4 ประการ โดยเน้น
วา่ การประเมนิ โครงการดา้ นการเรียนการสอนนน้ั ไม่ควรประเมินเฉพาะแตจ่ ดุ มุง่ หมายที่ต้ัง
ไว้เท่านั้น แตค่ วรประเมินหรือตรวจสอบผลข้างเคียงของโครงการด้วย ครอนบาคยงั มี
ความเหน็ เพ่มิ เตมิ อีกวา่ หน้าท่ี สำคัญประการหน่ึงของการประเมนิ โครงการด้านการเรียนการ

30

สอนกค็ ือ การคน้ หาข้อบกพร่องของ โครงการเพอ่ื จะไดห้ าทางปรับปรงุ แกไ้ ขกระบวนก าร
เรยี นการสอนใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพตอ่ ไป
แนวคดิ หลกั การและโมเดลการประเมนิ ของ สครฟี เวน
(Scriven's Evaluation Ideologies and Model)

รีฟเวน ได้ให้นิยามการประเมนิ ไว้วา่ "การประเมนิ " เป�นกิจกรรมที่เกย่ี วข้องกบั การ
รวบรวมข้อมลู การตัดสินใจเลือกใชเ้ ครอื่ งมอื เพื่อเก็บข้อมูลและการกำหนดเกณฑ์ประกอบ
ใน การประเมนิ เปา้ หมายสำคญั ของการประเมินกค็ อื การตดั สินคุณคา่ ให้กับกิจกรรมใด ๆ ที่
ต้องการจะ ประเมิน สครฟี เวน ได้จำแนกประเภทและบทบาทของการประเมินออกเป�น 2
ลักษณะ คือ

1. การประเมินระหว่างดำเนินการ (Formative Evaluation) เปน� บทบาท
ของการประเมิน งาน กิจกรรมหรอื โครงการใด ๆ ที่บ่งขีถ้ ึงขอ้ ดี และ
ข้อจำกดั ที่เกิดข้ึนในระหว่างการดำเนินงาน นัน้ ๆ อาจเรียกการประเมิน
ประเภทนี้ว่า เป�นการประเมินเพื่อการปรับปรงุ

2. การประเมินผลรวม (Summative Evaluation) เป�นบทบาทของการ
ประเมนิ เม่ือ กิจกรรมหรือโครงการใด ๆ สิ้นสุดลงเพื่อเป�นตวั บ่งขีถ้ ึงคณุ ค่า
ความสำเร็งของโครงการนั้น ๆ จึงอาจเรยี กการประเมนิ ประเภทน้ีว่าเป�น
การประเมนิ สรุปรวม

นอกจากนี้ สครฟี เวน ยังไดเ้ สนอส่งิ ที่ต้องประเมินออกเป�นสว่ นสำคัญอีก 2 ส่วน คือ
1. การประเมนิ เกณฑ์ภายใน (Intrinsic Evaluation) เปน� การประเมนิ ในส่วน
ทเ่ี กีย่ วข้อง กับคุณภาพของเครื่องมอื ที่ใชใ้ นการเก็บขอ้ มูล รวมทัง้ คณุ ภาพ
ของคุณลกั ษณะต่าง ๆ ทเ่ี กีย่ วข้องกับ การดำเนินโครงการ
2. การประเมนิ ความคุ้มค่า (Payoff Evaluation) เป�นการประเมนิ ใ นส่วนที่
เกยี่ วข้อง กับคุณภาพของโครงการ ทฤษฎีหรอื ส่ิงอนื่ ๆ ของโครงการ เป�น
การประเมนิ ในส่วนซ่ึงเป�นผลท่มี ี ต่อผู้รบั บริการจากการดำเนนิ โครงการ

สรุปได้ว่า สครีฟเวนให้ความสำคัญต่อการประเมินเกณฑ์ภายในมาก แต่
ขณะเดยี วกนั จะตอ้ งตรวจสอบผลผลติ ในเชิงสัมพันธ์ของตัวแปรระหวา่ งกระบว นการกับ
ผลผลติ อนื่ ๆ ที่เกดิ ขน้ึ ด้วยแนวคดิ ทางการประเมนิ ของสครีฟเวนได้พัฒนาไปจากแ นวคิด
เดมิ ของการประเมนิ ทีย่ ึดตามวัตถุประสงค์แตเ่ พยี งอย่างเดยี ว มาเปน� การประเมนิ ที่มงุ่ เนน้ ถงึ
ผลผลติ ต่าง ๆ ท่ีเกดิ ข้ึนจากการทำ กิจกรรมหรอื โครงการใด ๆ ในทุกดา้ น โดยให้ความสนใจ
ตอ่ ผลผลติ ต่าง ๆ ทีเ่ กดิ ขน้ึ ทั้งทเี่ ปน� ผล โดยตรง

31

จากโครงการและผลกระทบหรอื ผลพลอยได้ ซง่ึ แนวคิดของสครีฟเวน แบง่ เปน� 2
ลักษณะ คือ การประเมินทยี่ ดึ วตั ถปุ ระสงค์เปน� หลัก (Goal - Based Evaluation) และการ
ประเมินท่ี ไมย่ ึดวัตถุประสงคเ์ ปน� หลกั (Goal - Free Evaluation)

สำหรบั การประเมินทีไ่ ม่ยดึ วัตถุประสงคเ์ ป�นหลัก มิไดห้ มายความว่า การประเมินจะ
ไม่มี วัตถุประสงค์แต่การประเมินน้ันนอกจากพิจารณาวัตถุประสงค์แลว้ ยังต้องมีการ
คดั เลอื กขอ้ มูล ขา่ วสารท่จี ำเปน� อื่น ๆ ซง่ึ เก่ยี วขอ้ งกบั โครงการ โดยอาศัยพน้ื ฐานของการ
ตดั สนิ คณุ คา่ อยา่ งมี คุณธรรม รวมท้งั มีการเปรยี บเทียบกบั เกณฑ์มาตรฐานทก่ี ำหนดไว้ด้วย
โดยนักประเมนิ ต้องมีอิสระ ในการเลือกเกณฑม์ าตรฐานเอง ดงั น้ัน มโนทศั น์การประเมินท่ีไม่
ยึดวัตถุประสงค์เป�นหลกั จึงจำเป�นต้องมกี ารออกแบบการประเมนิ ให้สามารถรวบรวม
สารสนเทศ ทัง้ ผลผลติ โดยตรงและผลกระทบอน่ื ๆ ท่เี กดิ ข้ึนจากการดำเนนิ โครงการทงั้ หมด
ท่มี ีคุณคา่ ต่อการตดั สินโครงการน้นั ๆ
2. หลกั การและแนวคิดเกีย่ วกบั การประเมนิ โครงการ
ความหมายของการประเมนิ โครงการ

สมหวงั พิธิยานุวฒั น์ (2524 : 1) ได้ใหค้ วามหมายของการประเมินโครงการไว้ว่า
เป�นกระบวนการเพอ่ื ให้ไดม้ าซง่ึ ขอ้ สนเทศสำหรบั การตัดสินคุณค่าของโครงการ ผลิตผล
กระบวนการจุดมุ่งหมายของโครงการ หรือทางเลือกต่าง ๆ เพื่อนำไปปฏิบตั ิให้บรรลุ
จดุ มุ่งหมายจุดเน้นของการประเมิน คอื การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ขอ้ มูลอย่างเป�นระบบ
เพ่ือใหไ้ ด้ข้อสนเทศ เพื่อตัดสินคุณค่าของสง่ิ หน่งึ สิ่งใดโดยเฉพาะ

นิศา ชโู ด (2538 : 9) กล่าวสรปุ ถึงความหมายของการประเมนิ โครงการว่า หมายถงึ
กจิ กรรมการเก็บรวบรวมข้อมลู การวเิ คราะห์ความหมายและขอ้ เทจ็ จรงิ เกีย่ วกับโครงก าร
และหาผลที่แน่ใจว่าเกดิ จากโครงการ เพ่ือเปน� การเพ่ิมพนู คณุ ภาพและประสิทธิภาพของ
โครงการใหด้ ยี ิง่ ข้นึ

ประชุม รอดประเสริฐ (2539:73) ได้กล่าวถึงการประเมินโครงการ หมายถงึ
กระบวนการในการเก็บรวบรวมและวิเคราะหข์ ้อมูลของการดำเนินโครงการ และพจิ ารณาตัว
บง่ ช้ใี ห้ทราบถึงจุดเดน่ หรอื จดุ ด้อยของโครงการนน้ั อย่างมีระบบแลว้ ตัดสนิ ใจวา่ จะปรับปรุง
แก้ไขโครงการน้ันเพื่อการดำเนินการตอ่ ไป หรอื ยุตกิ ารดำเนินงานโครงการน้นั เสยี

สวุ ิมล ติรกานนั ท์ (2543 : 1-2) ไดก้ ล่าวถงึ การประเมนิ โครงการว่าเปน� การบรรยาย
เกบ็ รวบรวมข้อมูล เก่ียวกับเปา้ หมาย การวางแผน การดำเนนิ การและผลกระทบ เพ่ือนำไป
เปน� แนวทางในการตดั สนิ ใจเพื่อสรา้ งความน่าเชอื่ ถือ และเพอื่ สง่ เสริม ใหเ้ กิดความเข้าใจใน
สถานการณข์ องโครงการและได้ให้ความหมายของการประเมินว่า เป�นการกำหนดคณุ คา่ หรือ
ข้อดีบางสงิ่ บางอยา่ งเปน� ระบบ เปน� กระบวนการทเ่ี กดิ ขึน้ ในทุกข้นั ตอนของการด ำเนิ นง าน

32

เพื่อให้ไดส้ ารสนเทศทีส่ ามารถใช้ใน การพจิ ารณาการดำเนินการ ซ่งึ จะทำใหก้ ารดำเนินการ
เป�นไปไดอ้ ย่างทันท่วงที ในทางตรงกันขา้ มผลการจากความหมายของการประเมินโครงการ
ดงั กลา่ วข้างตน้ พอสรุปไดว้ า่ การประเมินโครงการเป�นกระบวนการรวบรวมข้อมูลสารสนเทศ
เกี่ยวกบั โครงการใดโครงการหน่ึง โดยมกี ารรวบรวมข้อมูลและวธิ กี ารศกึ ษาอยา่ งเป�นระบบ
ระเบยี บ เพือ่ เปรียบเทยี บการปฏบิ ตั ิงานกบั เป้าหมายท่กี ำหนดไว้
ความมงุ่ หมายของการประเมนิ โครงการ

ประชุม รอดประเสริฐ (2539 : 74-75) ได้กล่าวถงึ ความมุ่งหมายการประเมิน
โครงการว่าการประเมินโครงการมีความมงุ่ หมาย 3 ประการ

1. เพือ่ แสดงผลการพิจารณาถงึ คุณคา่ ของโครงการ

2. เพ่อื ช่วยให้ผตู้ ัดสินใจมกี ารตัดสินใจทถ่ี กู ตอ้ ง

3. เพื่อการบรกิ ารขอ้ มลู แก่ฝ่ายการเมือง เพื่อใชใ้ นการกำหนดนโยบายและ
การประเมนิ โครงการมคี วามม่งุ หมายเฉพาะ ดังตอ่ ไปนี้

• เพอื่ แสดงถึงเหตผุ ลท่ีชดั เจนของโครงการอนั เปน� พ้ืนฐานทสี่ ำคั ญของการ
ตัดสินใจวา่ ลักษณะใดของโครงการมคี วามสำคญั มากทสี่ ุดซ่งึ จะต้องทำการ
ประเมนิ เพอ่ื หาประสทิ ธภิ าพและขอ้ มลู ชนิดใดท่จี ะต้องเกบ็ รวบรวมไว้เพื่อ
การวิเคราะห์

• เพื่อรวบรวมหลักฐานความเป�นจริง และข้อมูลท่จี ำเปน� เพ่อื นำไปสู่การ
พิจารณาถงึ ประสทิ ธผิ ลของโครงการ

• เพื่อการวิเคราะห์ขอ้ มลู และข้อเท็จจริงตา่ ง ๆ เพ่อื การนำไปสูก่ ารสรุปผล
ของโครงการ

• การตัดสนิ ใจวา่ ขอ้ มลู หรอื ข้อเทจ็ จริงใดท่สี ามารถนำไปใช้ได้

สำราญ มีแจ้ง (2543: 8-9) กล่าวว่าการประเมินโครงการทางการศึกษ ามี
ความสำคัญดังตอ่ ไปนี้

1. ชว่ ยชี้ใหเ้ หน็ วา่ จุดประสงคข์ องการดำเนนิ งานน้ันเหมาะสมและเป�นไปได้

33

2. ทำใหท้ ราบวา่ การดำเนินงานน้ันบรรลุวตั ถปุ ระสงค์หรอื ไม่

3. กระตุ้นใหม้ กี ารเรง่ รดั ปรับปรุงการดำเนินงาน

4. ช่วยให้มองเหน็ ขอ้ บกพรอ่ งในการดำเนินงานแต่ละขัน้ ตอน ซงึ่ จะใช้เป�น
หลักในการปรบั ปรงุ การดำเนินงาน

5. ชว่ ยควบคุมการดำเนนิ งานใหม้ คี ุณภาพและประสทิ ธภิ าพ ซง่ึ จะเปน� การลด
ความสญู เปลา่ ในการใชท้ รพั ยากร

6. ช่วยให้ข้อสนเทศแกผ่ ู้บริการในด้านการดำเนนิ งาน

7. ใชเ้ ป�นแนวทางในการกำหนดวธิ กี ารดำเนินงานทเี่ หมาะสมในครง้ั ตอ่ ๆ ไป

สรปุ ได้วา่ การประเมินโครงการมีความมงุ่ หมายเพ่อื แสดงผลการพิจารณาถึงคุณค่า
ของโครงการ ดว้ ยการนำข้อมูลไปวิเคราะหห์ าประสทิ ธิผลเพื่อชว่ ยใหผ้ ู้มอี ำนาจตัดสิ นใจ
นำไปใช้ได้ โดยคำนึงถงึ ความสำคัญของโครงการว่ามีความเหมาะสมเพียงใด บรรลุตาม
วตั ถุประสงคห์ รอื ไม่ เพราะผลการประเมนิ จะเป�นตัวกระต้นุ ให้การดำเนินงานมขี อ้ บกพร่อง
นอ้ ยลง ขณะเดียวกนั ก็เปน� การเพ่ิมประสิทธภิ าพใหม้ ากขึน้ ในการทำงานของแตล่ ะโครงการ

ประโยชน์ของการประเมินโครงการ

จากความมงุ่ หมายและความสำคัญดังกลา่ วแลว้ พอสรุปได้ว่าการประเมินโครงการมี
ประโยชน์ในการกำหนดวตั ถุประสงค์ และมาตรฐานของการดำเนินงานมคี วามชัดเจนทำให้
องค์กรได้รบั ประโยชนเ์ ต็มที่ ทำใหแ้ ผนงานบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ เพราะโครงการเป�นส่วนหน่ึง
ของแผน ดังนั้นเมื่อโครงการไดร้ บั การตรวจสอบวเิ คราะห์ปรบั ปรงุ แก้ไขเพ่ือให้ดำเนนิ การไป
ด้วยดชี ่วยการแก้ป�ญหาอนั เกดิ จากผลกระทบ (impact) ของโครงการ และทำใหโ้ ครงการมี
ขอ้ ทท่ี ำให้ความเสียหายน้อยลงทำให้การควบคุมคณุ ภาพของงาน เพราะการประเมโิ ครงการ
เป�นการตรวจและควบคุมชนิดหน่ึง ชว่ ยในการสรา้ งขวญั และกำลังใจให้ผปู้ ฏิบัติงานต าม
โครงการ ทำใหก้ ารวางแผนหรอื การกำหนดนโยบายของผู้บริหารและฝ่ายการเมื องเป� น
สารสนเทศช่วยการตัดสนิ ใจในการบรหิ ารโครงการ

34

การจดั กลุ่มรปู แบบการประเมินโครงการ

การประเมินสามารถจัดเป�นกลุ่มโดยจำแนกตามวตั ถปุ ระสงค์ของการประเมิน
ออกเปน� 2 กลมุ่ ใหญ่ๆ ดังน้ี (เยาวดี รางชยั กุล วบิ ลู ยศ์ ร,ี 2542: 63-64 ) 1) กลุ่มรปู แบบ
การประเมินเพอื่ การตดั สนิ ใจ (decision oriented evaluation) นกั ประเมินกลมุ่ นม้ี ีความ
เชื่อในการประเมินท่ีเป�นระบบ โดยมขี น้ั ตอนการประเมินท่คี รบวงจรซง่ึ ใหส้ ารส นเทศเพ่ือ
การตัดสินใจท่เี หมาะสมนักประเมนิ กลุม่ นี้ ได้แก่ ครอนบาค (Cronbach , 1963) สตัฟเฟ�ล
บีม (Stufflebeam , 1990) อัลคิล (Alkin , 1969) โปรวัส (Provus , 1971) รวมท้ัง
รูปแบบ CSE (Center for the Study of Evaluation) ซึ่งพฒั นาโดยมหาวทิ ยาลัย
แคลิฟอร์เนียท่ีลอสแอนเจลิส (UCLA) ดว้ ย นักทฤษฎกี ารประเมินยุคใหม่ ได้ให้ความ
สนใจต่อรปู แบบของกล่มุ นม้ี าก เพราะสามารถนำผลการประเมนิ ไปใช้ในการตดั สินใจสำหรับ
การบรหิ ารงานได้เปน� อยา่ งดี

2) กลุ่มรปู แบบการประเมินเพือ่ การตดั สินคณุ ค่(valueoriented evaluation) นัก
ประเมินกลุ่มนเ้ี ห็นว่า การประเมินเป�นการให้คณุ คา่ หรือตีราคาสิง่ ทถี่ ูกประเมิน การประเมิน
ในลักษณะนใ้ี นยคุ แรก ๆ มักจะถูกวพิ ากษ์วิจารณ์และขาดความเชือ่ ถอื อย่างไรก็ตามใน
ป�จจุบันรปู แบบการประเมินในกลุ่มน้ไี ดม้ ีผนู้ ยิ มนำมาใชก้ ันอยา่ งแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยง่ิ
โครงการเพอื่ บริการสงั คม หรอื โครงการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของรัฐบาล ซ่ึงมักจะมีความ
ซบั ซ้อน จงึ ต้องอาศัยวิธกี ารประเมินทงั้ แบบมรี ะบบและแบบวธิ กี ารธรรมชาติ (naturalistic
approach) ควบคกู่ นั ไปโดยใหค้ วามสำคัญกบั ผลผลติ ทเ่ี กิดจากโครงการท้ังหมด แมจ้ ะเป�น
ผลกระทบก็ถือว่าเป�นขอ้ มูลสำคญั ต่อการตดั สินใจคุณคา่ เชน่ กัน นกั ทฤษฎีประเมินทม่ี ีความ
เชือ่ ตามแนวความคดิ นี้ ได้แก่ สครเี วน (Scriven , 1967) กลาส (Glass , 1969) เวอร์เธน
และแซนเตอร์ (Wcrthen $ Sandres , 1973) สเตก (Stake , 1974) ไอสเนอร์ (Eisner ,
1979) เฮาวส์ (House , 1980) กูบาและลินคอล์น (Guba & Lincoin , 1981 ) เป�นตน้
(อา้ งองิ : https://bemler.wordpress.com/2014/04/17/ึ7-หลกั การและแนวคิดเก่ีย/ )

หลกั การและแนวความคดิ แบบจำลองของ R.W. Tyler
R.W. Tyler เปน� นกั ประเมนิ รุ่นแรกๆ ในป� ค.ศ. 1930 และเป�นผทู้ ี่เรมิ่ ตน้ บกุ เบิก

แนวความคิดเหน็ เกีย่ วกบั การประเมินโครงการ เขามคี วามเหน็ ว่า “การประเมิ นคือก าร
เปรยี บเทยี บพฤติกรรมเฉพาะอยา่ ง (performance) กับจุดมงุ่ หมายเชงิ พฤติกรรมท่ีวางไว้”
โดยมีความเชอ่ื วา่ จดุ มุง่ หมายท่ตี ง้ั ไวอ้ ย่างชดั เจน รัดกุมและจำเพาะเจาะจงแลว้ จะเป�น

35

แนวทางช่วยในการประเมินไดเ้ ป�นอยา่ งดีในภายหลัง จากคำจำกัดความของการป ระเมิน
ดงั กล่าวแลว้ น้จี ะเหน็ ไดว้ ่า มีแนวความคดิ เห็นว่า โครงการจะประสบผลสำเร็จหรอื ไม่ ดูได้
จากผลผลิตของโครงการวา่ ตรงตามจดุ ม่งุ หมาย ทต่ี ัง้ ไว้แต่แรกหรือไมเ่ ทา่ น้ัน แนวความคิดใน
ลักษณะดงั กล่าวนเี้ รยี กวา่ “แบบจำลองทย่ี ดึ ความสำเร็จของจดุ มุ่งหมายเปน� หลัก (Goal
Attainment Model or Objective) เรี ย ก ว ่ า Tyler’s Goal Attainment Model ซ่ึ ง
ตอ่ มาป� 1950 ไดม้ ีรูปแบบมาใช้เปน� กระบวนการตัดสนิ การบรรลุวัตถุประสงค์ของส่ิงที่ทำ
การประเมิน (R.W. Tyler.1950) เรียกว่า “Triple Ps Model” ดังน้ี

 P-Philosophy & Purpose - ปรัชญา/จุดมุง่ หมาย
 P-Process - กระบวนการ
 P-Product - ผลผลติ

ใ นก ารป ระ ย ุ ก ต ์ ใ ช้ ใ นก ารประ เ ม ิ นโ ครง ก ารท างก ารศ ึ กษ าไ ด้ โ ดย การป ระ เมิน
ความสมั พนั ธข์ องทัง้ 3 ว่า ปรชั ญา/จดุ มุ่งหมายของโครงการมีความสัมพันธ์กบั กระบวนการ
และผลผลิตหรือไม่ ถา้ ประเมนิ เป�นส่วนๆ กจ็ ะประเมนิ ในดา้ นประสทิ ธภิ าพของป รัช ญา/
จดุ มงุ่ หมายและกระบวนการประเมนิ ประสทิ ธิผลของผลผลติ วา่ ตรงกับปรชั ญา/จดุ มุ่งหมาย
หรอื ไม่ มีประสิทธภิ าพเพียงใด เปน� ตน้

(อ้างองิ : https://www.gotoknow.org/posts/460455 )

กรอบแนวคดิ การประเมนิ ผลของโครงการ ตวั แปรตาม

ตวั แปรอสิ ระ

ขอ้ มูลส่วนบุคคล ประเมนิ ผลโครงการตามวงจรเดมม่งิ PDCA ตาม
แนวคดิ CIPP ของของสตฟั เฟลบมี
1. เพศ
2. อายุ 1. การประเมินบริบทหรอื สภาวะแวดลอ้ ม
3. อาชีพ 2. การประเมนิ ป�จจัยเบอ้ื งตน้ ป�จจัยป้อน
4. การศึกษารายได้ 3. การประเมนิ กระบวนการ
การประเมนิ ผลผลติ

ตารางที่ 2.2 กรอบแนวคดิ การประเมินผลของโครงการ

36

บทท่ี 3

วธิ กี ารประเมนิ โครงการ

รปู แบบการประเมนิ โครงการ

การประเมินโครงการเทียนหอมเพือ่ สุขภาพ ใชร้ ูปแบบการประเมินโครงการแบบ CIPP

MODEL ของสตฟั เฟลบมี ( D.L. Stufflebeam, 1997 , P. 261-265 ) ดังนี้

ประเมนิ สภาวะแวดล้อม • หลักการ
( Context Evaluation ) • วัตถปุ ระสงค์ของโครงการ
• เปา้ หมายของโครงการ
• การเตรียมการภายใน

ประเมนิ การปจ� จัยเบ้อื งต้น • บคุ ลากร
( Input Evaluation ) • วัสดอุ ุปกรณ์
• เครอ่ื งมอื เคร่อื งใช้
• งบประมาณ

ประเมินกระบวนการ • การดำเนินโครงการ
( Process Evaluation ) • กจิ กรรมการดำเนินงานตามโครงการ
• การนิเทศติตามกำกับ
• การประเมนิ ผล

การประเมนิ ผลผลิต • ผลการดําเนนิ โครงการ
( Product Evaluation )

37

วธิ กี ารประเมนิ โครงการ

วธิ ีการประเมินโครงการเทียนหอมเพ่อื สขุ ภาพน้ัน มวี ิธกี ารประเมนิ ผลโครงก ารเป� นแบบ
การศกึ ษาเชงิ คณุ ภาพ โดยใช้หลกั วงจรคุณภาพ เดมมง่ิ PDCA ตามแนวคิด CIPP ของของสตัฟเฟลบมี
ในการติดตามผลการดำเนนิ โครงการ

ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง

ประชากรกลุ่มตวั อย่าง จำนวน คน

สมาชกิ ในครอบครวั 4 คน
ลกู ค้า 6 คน
รวม 10 คน

เครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการประเมนิ โครงการ

การประเมินโครงการใช้กระบวนการศึกษาคุณภาพ จึงมีเครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน
โครงการเทยี นหอมเพอ่ื สขุ ภาพ ประกอบไปดว้ ย แบบสมั ภาษณ์

โดยแบบสมั ภาษณ์มจี ำนวน 10 ฉบับ ดังน้ี โดยจะมีเนอื้ หารายละเอียดในแต่ละส่วนของแบบ
สัมภาษณ์ ดังต่อไปนี้

ส่วนท่ี 1 เป�นแบบสัมภาษณ์ขอ้ มลู ท่ัวไปของผตู้ อบแบบสัมภาษณ์ ไดแ้ ก่ เพศ อายุ อาชีพ
การศึกษา รายได้ โดยเปน� แบบปลายเปด� ใหเ้ ลือกตอบในช่องท่กี ำหนด

ส่วนท่ี 2 เปน� แบบสัมภาษณป์ ระเมนิ โครงการเทียนหอมเพอื่ สขุ ภาพ โดยใชแ้ บบประเมิน
CIPP MODEL มี 4 ดา้ น จำนวน 12 ข้อ ดังนี้

1. สภาวะด้านแวดลอ้ ม ( Context ) จำนวน 3 ข้อ
โดยผู้ตอบสามารถเขยี นรายละเอยี ดการตอบไดอ้ ยา่ งอิสระ

2. ด้านป�จจัย ( Input ) จำนวน 3 ข้อ
โดยผู้ตอบสามารถเขียนรายละเอยี ดการตอบไดอ้ ยา่ งอสิ ระ

3. ด้านกระบวนการ ( Process ) จำนวน 3 ขอ้
โดยผู้ตอบสามารถเขียนรายละเอยี ดการตอบไดอ้ ยา่ งอสิ ระ

38

4. ด้านผลผลติ ( Product ) จำนวน 3 ขอ้
โดยผู้ตอบสามารถเขียนรายละเอียดการตอบไดอ้ ยา่ งอิสระ

ส่วนที่ 3 ป�ญหาหรอื ข้อเสนอแนะเกีย่ วกับการดำเนินงานในการจดั ทำโครงการเทียนหอมเพ่อื
สุขภาพ

การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู

การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้จัดทำได้ทำหนา้ ทีใ่ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลด้วยตนเอง โดยมี
รายละเอยี ดในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดงั นี้ (1) ติดตอ่ ขอความอนุเคราะหร์ ่วมมอื จากผ้ทู ี่เก่ียวข้องกับ
การดำเนินโครงการเพ่อื สัมภาษณก์ ารทำงานของโครงการโดยการแจ้งให้ทราบลว่ งหน้าแลว้ ไปติดต่อ
ขอสัมภาษณ์ (2) สมั ภาษณ์หลังจากที่ลูกคา้ ได้ทดลองใชส้ นิ คา้ แลว้ (3) ข้ันตอนการสมั ภาษณ์ จะใช้
เวลาในการตอบคำถามประมาณ 5-10 นาทีต่อคน (4) หลงั จากนน้ั ผู้สัมภาษณ์ทำการตรวจสอบความ
ถูกต้องและความสมบรู ณ์ของแบบสอบถาม เพือ่ นำไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป

การวิเคราะห์ผลการประเมินโครงการ

1. การศึกษาเชงิ คณุ ภาพ
ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ไดแ้ ก่ สมาชกิ ในครอบครัว ลูกค้า จำนวน 10 คน โดยเลือก

จากลูกคา้ ทีซ่ อื้ ผลิตภัณฑ์ของกลมุ่

2. เครอ่ื งมอื ทีใ่ ช้ในการศึกษา
การศึกษาเชงิ คณุ ภาพ สัมภาษณเ์ พ่อื ศกึ ษาโครงการเทยี นหอมเพ่ือสุขภาพ โดยแบง่ เปน�

3 ขน้ั ตอน ดงั นี้

ตอนท่ี 1 ขอ้ มูลผู้ใหส้ มั ภาษณ์ โดยการสัมภาษณเ์ กี่ยวกบั ประเดน็ ข้อมูลส่วนเบอื้ งตน้

ตอนที่ 2 คำถามแบบประเมินโครงการ CIPP โมเดลโดยการสมั ภาษณเ์ ก่ียวกับประเมิน
กระบวนการดำเนินโครงการ

ตอนที่ 3 ขอ้ เสนอแนะอื่น ๆ เป�นแบบสมั ภาษณ์ปลายเปด� มวี ตั ถุประสงคเ์ พือ่ ศึกษาการ
ทำเทียนหอมเพอ่ื สขุ ภาพ

39

3. การสร้างเคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการศึกษาเชิงคณุ ภาพ
การศกึ ษาเชิงคุณภาพ สมั ภาษณ์สมาชิกในครอบครวั ลกู คา้ จำนวน 10 คน ฉบับนำไป

วเิ คราะห์ และสรปุ ความเรียง
4. ขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูล

การศึกษาเชงิ คณุ ภาพ ผู้ศกึ ษาดำเนนิ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ตามลำดับ ดงั น้ี
สมั ภาษณ์ สมาชิกในครอบครัว ลูกคา้ โดยการเกบ็ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ ทง้ั 10 คน
จำนวน 10 ฉบบั แจกแบบสมั ภาษณโ์ ดยการเก็บขอ้ มลู จากประชากรของผูม้ สี ว่ นไดส้ ่ว นเสียใน
โครงการเทียนหอมเพ่อื สุขภาพ
5. การวเิ คราะห์ข้อมลู และสถิตทิ ีใ่ ช้
การวิเคราะหข์ ้อมูลเชิงคุณภาพ

จากเครือ่ งมือแบบสัมภาษณผ์ ลสัมฤทธ์ขิ องประชากรในโครงการเทีย นหอ มเพื่อ
สุขภาพ ในการวิเคราะห์ข้อมลู โดยนำขอ้ มูลจากแบบสัมภาษณ์ การมีสว่ นร่วมและการ
บนั ทึกภาพ มาวิเคราะห์เนื้อหาตามหัวขอ้ ท่กี ำหนดแล้วนำเสนอเป�นข้อมลู เปน� ความเรียง

40

บทท่ี 4

ผลการประเมนิ โครงการ

การศึกษาการประเมนิ โครงการเทียนหอมเพอื่ สขุ ภาพ ไดใ้ ชว้ ิธกี ารสัมภาษณ์จากผู้ จัดทำ
โครงการ สมาชกิ ในครอบครวั และลูกค้าทซี อื้ สินคา้ จากโครงการ มาใชเ้ พ่อื วิเคราะห์เพ่อื ประเมินผล
โครงการ

จากการดำเนนิ โครงการ ผรู้ บั ผดิ โครงการนำเสนอผลการดำเนินโครงการออกเปน้ 3 ส่วน มี
หวั ข้อนำเสนอ ดงั นี้

1. ขอ้ มลู ทั่วไปของผตู้ อบแบบสมั ภาษณ์
2. ผลการประเมินโครงการเทียนหอมเพือ่ สุขภาพ
3. ปญ� หาหรือขอ้ เสนอแนะเก่ียวกบั การดำเนนิ โครงการ

ข้อมลู ท่ัวไปของผ้ตู อบแบบสมั ภาษณจ์ ากผูเ้ ข้าร่วมโครงการ
จากการเก็บรวบรวมข้อมลู จกการประเมินผลโครงการเทยี นหอมเพ่ือสุขภาพ สามารถเก็บ

รวบรวมข้อมลู จากการสมั ภาษณไ์ ดท้ ง้ั หมด 10 คน จำแนกรายละเอียดของผทู้ ี่ให้สมั ภาษณ์ได้ ดังนี้

ผ้ตู อบ ประเภทของผตู้ อบสัมภาษณ์
ลำดับท่ี

1 สมาชกิ ในครอบครวั
2 สมาชกิ ในครอบครวั
3 สมาชกิ ในครอบครวั
4 สมาชกิ ในครอบครวั
5 ผู้ซอื้ สินค้า (เทียนหอม)
6 ผู้ซื้อสนิ คา้ (เทียนหอม)
7 ผู้ซอ้ื สนิ ค้า (เทียนหอม)
8 ผ้ซู ้ือสนิ ค้า (เทียนหอม)
9 ผู้ซื้อสินคา้ (เทียนหอม)
10 ผซู้ อ้ื สินค้า (เทยี นหอม)

ตารางท่ี 4.1 จำนวนผู้ใหส้ มั ภาษณแ์ ละประเภทของผใู้ ห้สมั ภาษณข์ อ้ มูล


Click to View FlipBook Version