ก
คำนำ
ด้วยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ได้ดำเนินโครงการ “เด็กคอนรู้จักและรักเมืองคอน”
เพื่อส่งเสริมให้มีการดำเนินงานด้านการพัฒนาครูและการจัดการเรียนการสอน เรื่องการจัดการเรียน
การสอนประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองให้มีความทันสมัย สอดรับกับวิถีใหม่เหมาะสมกับวัยผู้เรียน
ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นและเสริมสร้างวิถีความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง โดยใช้
หลกั สูตรนครศรีธรรมราชศึกษาเปน็ เนื้อหาหลกั ในการดำเนินการ
ขอขอบคุณสำนักงานเขตพื้นการศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช และสหวิทยาเขตเบญจม
ที่ให้แนวทางและเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ และขอขอบคุณคณะทำงานตามคำสั่งสำนักงานเขตพื้นการศึกษา
มัธยมศึกษานครศรีธรรมราช และสหวิทยาเขตเบญจมทุกท่าน ที่ส่งผลให้หลักสูตรนครศรีธรรมราชศึกษา
หน่วยท่ี ๑ เร่ืองพฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์นครศรีธรรมราช สำเร็จสมบูรณ์ด้วยดี ขอขอบคุณในความร่วมมือ
ของทุกทา่ นมา ณ โอกาสนี้
คณะผู้จดั ทำ
๒๒ มีนาคม ๒๕๖๕
ข
สำรบญั หนา้
พฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์นครศรธี รรมราช ๑
- ช่ือเมอื งนครศรธี รรมราช ๑
- การตั้งถน่ิ ฐาน ๕
๘
ยุคสมัยทางประวตั ิศาสตร์นครศรธี รรมราช ๘
- ยคุ สมยั กอ่ นประวัตศิ าสตร์ ๑๐
- ยุคสมยั ประวตั ศิ าสตร์ ๑๙
- นครศรธี รรมราชสมยั รวมเขา้ เป็นสว่ นหนง่ึ ของราชอาณาจักรสยาม ๒๘
๕๘
บคุ คลสำคญั ของจังหวดั นครศรธี รรมราช ๖๓
แบบทดสอบ
บรรณานกุ รม
แบบทดสอบก่อนเรยี น หน่วยที่ 1 ประวัติศาสตรน์ ครศรธี รรมราช 1
1. “จากประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งนครศรีธรรมราชสามารถประมวลได้ว่า นครศรีธรรมราช ได้ปรากฏช่ือ
ในที่ต่าง ๆ หลายชื่อตามความรู้ความเข้าใจที่สืบทอดกันมา” จากข้อความดังกล่าวชื่อที่ใช้เรียกจังหวัด
นครศรธี รรมราชในอดีตข้อใดไมถ่ กู ต้อง
ก. ตามพรลิงค์ ศรธี รรมราช สริ ิธรรมนคร
ข. ลิกอร์ โลแค๊ก กรงุ ศรีธรรมาโศก
ค. มทั มาลงิ คัม ตมะลิงคาม ศรีวชิ ยั
ง. ปาฏลบี ตุ ร ลงึ กอร์ ละคร
2. หลกั ฐานทางโบราณคดีทส่ี ำคัญของยุคโลหะท่ีคน้ พบที่บ้านเกียกกาย อำเภอเมอื ง และคลองคุดด้วน อำเภอ
ฉวาง จังหวดั นครศรธี รรมราช คอื ขอ้ ใด
ก. ศลิ าจารกึ หลกั ท่ี ๒๓ วดั เสมาเมอื ง
ข. ภาชนะดินเผาทรงหม้อสามขา
ค. กลองมโหระทึกสำรดิ
ง. เครอื่ งมือแบบฮัวบิเนยี น
3. ข้อใดตอ่ ไปนี้กล่าวไม่ถกู ต้องถึงความสัมพนั ธ์ของเมืองสิบสองนักษัตร
ก. เมอื งตรงั – ปชี วด(หน)ู
ข. เมอื งชมุ พร – ปมี ะแม(แพะ)
ค. เมอื งพทั ลงุ – ปีมะเสง็ (งเู ลก็ )
ง. เมอื งปัตตานี – ปีฉลู(ววั )
4. จากหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ 1 สมัยพ่อขุนรามคำแหงได้ระบุว่า นครศรีธรรมราชมีบทบาทสำคัญสมัย
สโุ ขทัยในดา้ นใดมากทสี่ ุด
ก. มคี วามสำคญั ทางดา้ นเศรษฐกิจ
ข. มคี วามสำคญั ดา้ นการแพทย์
ค. มคี วามสำคญั ดา้ นความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ
ง. มีความสำคญั ดา้ นพระพทุ ธศาสนา
5. บุคคลสำคญั ในขอ้ ใดทมี่ บี ทบาทและผลงานในด้านการจดั การศึกษาของนครศรธี รรมราช
ก. พระรตั นธัชมนุ ี (ม่วง)
ข. เจ้าพระยานครศรีธรรมราช
ค. เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี
ง. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั
6. “เทวดาแหง่ เมืองคอน” หมายถงึ บคุ คลในขอ้ ใด 2
ก. หลวงปูท่ วด
ข. พอ่ ทา่ นคล้าย วาจาสิทธ์ิ
ค. พระรัตนธชั มนุ ี (ม่วง)
ง. พระเจา้ ศรธี รรมโศกราช
7. ข้อใดคอื ปฐมกษตั ริยผ์ คู้ รองนครศรีธรรมราช
ก. พระเจา้ ศรีธรรมาโศกราช
ข. เจา้ พระยาสุธรรมมนตรี
ค. ขุนพันธรักษร์ าชเดช
ง. เจ้าพระยานครศรธี รรมราช
8. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับผลงานดีเด่นของนายประยงค์ รณรงค์ ซึ่งได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาผู้นำ
ชมุ ชน จากมลู นิธริ ามอน แมกไซไซ ประเทศฟลิ ิปปินส์ พ.ศ.2547
ก. เปน็ ผูน้ ำการกอ่ ตั้งกล่มุ เกษตรกรทำสวนยางตำบลไมเ้ รยี ง
ข. ผู้กอ่ ตงั้ และเป็นประธานศูนย์การศกึ ษาและพัฒนาชมุ ชนไม้เรียง
ค. เป็นผ้นู ำจดั ทำแผนแมบ่ ทการพฒั นายางพาราไทย ฉบับประชาชน
ง. เปน็ ผแู้ ทนในการสง่ ออกยางพาราแหง่ ประเทศไทย
9. พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไดท้ รงแกไ้ ขจดั การปกครองหวั เมอื งปักษ์ใต้ โดยใหม้ กี ารปกครอง
เป็นแบบใด
ก. รูปแบบภมู ิภาค
ข. รูปแบบมณฑล
ค. รปู แบบจงั หวดั
ง. รปู แบบหัวเมือง
10. ข้อใดคอื หตั ถกรรมช้นั สูงในสมยั เจ้าพระยานครศรีธรรมราช หรอื เจา้ พระยานคร(นอ้ ย)
ก. ตวั หนงั ตะลงุ
ข. เครื่องถม
ค. เครื่องปน้ั ดินเผา
ง. กลองมโหระทกึ
๑
พัฒนาการทางประวัตศิ าสตรน์ ครศรธี รรมราช
นครศรีธรรมราชเป็นเมืองโบราณที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง
และศาสนามากที่สดุ เมอื งหน่ึงในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ เมืองน้มี ีช่ือเสียงเป็นที่รูจ้ ักกันอย่างกว้างขวาง
มาไม่น้อยกว่า ๑,๘๐๐ ปีมาแล้ว หลักฐานทางโบราณคดีและหลักฐานทางเอกสารที่ปรากฏในขณะน้ี ยืนยัน
ได้วา่ นครศรธี รรมราชมีกำเนิดมาแลว้ ต้ังแต่พุทธศตวรรษที่ ๗ เป็นอย่างน้อย
ชอื่ ของเมืองนครศรธี รรมราช
จากประวตั ิศาสตร์อันยาวนานแห่งนครศรีธรรมราชสามารถประมวลได้ ว่า “นครศรธี รรมราช” ได้ปรากฏช่ือ
ในทตี่ ่าง ๆ หลายช่ือ ตามความร้คู วามเขา้ ใจที่สบื ทอดกนั มาและสำเนียงภาษาของชนชาติต่าง ๆ ทเี่ คยเดินทางผ่านมา
ในระยะเวลาทตี่ า่ งกนั ดงั น้ี
๑. “ตนั -มา-ลิง” (Tan-Ma-ling) หรือ ตัง้ -มา-หล่งิ ”
เป็นชื่อที่เฉาจูกัว (Chao-Ju-Kua) และวังตาหยวน (Wang-Ta-Yuan) นักจดหมายเหตุจีนได้เขียนไว้
ในหนังสือชื่อ เตา-อี-ชี-เลี้ยว (Tao-i Chih-lioh) เมื่อ พ.ศ. ๑๗๖๙ ความจริงชื่อตามพรลิงค์นี้นักจดหมายเหตุ
จนี รนุ่ กอ่ น ๆ กไ็ ด้เคยบันทึกไว้แล้วดังเช่นที่ปรากฏอยู่ในหนังสือสุงชี (Sung-Shih) ซึ่งบันทึกไว้ว่าเมืองตามพรลิงค์
ได้ส่งฑูตไปติดต่อทำไมตรีกับจีน เมื่อ พ.ศ. ๑๕๔๔ โดยจีนเรียกว่า “ต้น-เหมย-หลิว” (Tan-mei-leou)
ศาสตราจารย์พอล วิทลีย์ (Paul Wheatley) นักปราชญ์ชาวอังกฤษได้กล่าวไว้ว่า Tan-mei-leou” นั้น
ต่อมานักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญภาษาจีนชาวฝรั่งเศส และอังกฤษได้ลงความเห็นคำนี้ที่ถูกควรจะออกเสียง
วา่ “Tan-mi-liu” หรอื “Tan-mei-liu”
๒. “มทั มาลิงคมั ” (Madamalingam)
เป็นภาษาทมิฬปรากฏอยู่ในศิลาจารึกท่ีพระเจา้ ราเชนทรโจฬะท่ี ๑ ในอินเดียภาคใต้ โปรดให้สลักขึ้น
ไว้ที่เมืองตันชอร์ (Tanjore) ในอินเดียภาคใต้ระหว่าง พ.ศ. ๑๕๗๓-๑๕๗๔ ภายหลังที่พระองค์ได้ทรงส่ง
กองทัพเรืออันเกรียงไกรมาปราบเมืองต่าง ๆ บนคาบสมุทรมลายูจนได้รับชัยชนะหมดแล้ว ในบัญชีรายช่ือ
เมืองท่าตา่ ง ๆ ที่พระองค์ทรงตีได้และสลักไว้ในศลิ าจารึกดังกล่าวน้ัน มีเมืองตามพรลิงค์อยู่ด้วย แต่ได้เรียกช่ือ
เพ้ยี นไปเป็นช่ือ “มัทมาลิงคมั ”
๒
๓. “ตามพรฺ ลงิ ค์” (Tambralinga)
เป็นภาษาสันสกฤต คือเป็นชื่อที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ ซึ่งพบที่วัดหัวเวียง (ปัจจุบันเรียกว่า
วัดเวียง) ตำบลตลาด อำเภอไชยา จังหวดั สุราษฎรธ์ านี สลกั ด้วยอักษรอนิ เดียกลาย ภาษาสนั สกฤต เมอ่ื พ.ศ. ๑๗๗๓
ศิลาจารึกหลักนี้พันตรี de Lajonauiere Virasaivas ได้กล่าวไว้ว่าสลักอยู่บนหลืบประตูสมัยโบราณ
มีขนาดสูง ๑.๗๗ เมตร (ไม่รวมเดือยสำหรับฝังเข้าไปในธรณีประตูด้านล่างและทับหลังด้านบน) กว้าง ๔๕ เซนติเมตร
หนา ๑๓ เซนติเมตร ศิลาจารึกหลักนี้มีข้อความ ๑๖ บรรทัด ในปัจจุบันนี้ศิลาจารึกหลักนี้เก็บรักษาไว้ท่ีหอวชิรญาณ
หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรงุ เทพมหานคร
๔. “ตมะลิงคาม” (Tamalingam) หรอื “ตมะลงิ โคมุ” (Tamalingomu)
เป็นภาษาสิงหล ปรากฏอยู่ในคัมภีร์อักษรสิงหลชื่อ Elu-Attanagalu vam-sa ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อ
พ.ศ. ๑๙๒๕ นอกจากนใ้ี นเอกสารโบราณประเภทหนังสือของลังกา ยงั มเี รยี กแตกต่างกันออกไปอกี หลายช่อื เชน่
“ตมะลิงคมุ” (Tamalingamu) ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ชื่อ ปูชาวลี (Pujavali), “ตมฺพลิงคะ” (Tambalinga) ปรากฏอยู่ใน
หนงั สือเรอ่ื งวินยะ-สนฺนะ (Vinay-Sanna) และในตำนานจุลวงศ์ (Cujavamsa) ได้กลา่ วไว้ ตอนหนงึ่ ว่า “...พระเจ้าจันทภานุ
บังอาจยกทัพจาก“ตมฺพลิงควิสัย” (Tambalinga –Visaya) ไปตีลังกา...” เป็นต้น ชื่อเหล่านี้นักปราชญ์โดยทัว่ ไปเข้าใจกัน
ว่าเปน็ ชอื่ เดียวกันกบั ชอื่ “ตามพรลงิ ค”์ ทปี่ รากฏในศิลาจารกึ หลักที่ ๒๔ ของไทย
๕. “กรงุ ศรีธรรมาโศก”
ปรากฏในจารึกหลักที่ ๓๕ คือศิลาจารึกดงแม่นางเมือง พบที่แหล่งโบราณคดีดงแม่นางเมือง ตำบลบางตาหงาย
อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ จารึกขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๗๑๐ ศิลาจารึกหลักน้ี เป็นหินชนวนสีเขียว
สูง๑.๗๕ เมตร กว้าง ๓๗ เซนติเมตร หนา ๒๒ เซนติเมตร จารึกด้วยอักษรอินเดียกลางทั้งสอง
ด้าน ด้านหน้าเป็นภาษามคธ มี ๑๐ บรรทัด ตั้งแต่บรรทัดที่ ๖ ถึงบรรทัดที่ ๑๐ ชำรุดอ่านไม่ได้ ด้านหลัง
เปน็ ภาษาขอม มี ๓๓ บรรทดั ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ทห่ี อวชริ ญาณ หอสมุดแห่งชาติ ทา่ วาสุกรี กรงุ เทพมหานคร
๖. “ศรีธรรมราช”
เป็นชื่อที่ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ ซึ่งพบที่วัดหัวเวียง (วัดเวียง) อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ดังกล่าวมาแล้ว ศิลาจารึกภาษาสันสกฤตหลักนี้สลักขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๗๗๓ และได้กล่าวไว้ว่าสลักขึ้นในรัชสมัย
ของเจ้าผู้ครองแผ่นดินทรงมีอิสริยยศว่า “ศรีธรรมราช” ผู้เป็นเจ้าของ “ตามพรลิงค์ (ตามพรลิงคศวร)”
ต่อมา ช่อื “ศรธี รรมราช” นไ้ี ด้ปรากฏอีกในศิลาจารึกหลกั ที่ ๑ ของพ่อขนุ รามคำแหงมหาราช แห่งกรุงสุโขทัย ซ่ึงสลัก
ดว้ ยอักษรไทยและภาษาไทย เมอื่ พ.ศ. ๑๘๓๕ ดังความบางตอนในศลิ าจารกึ หลักน้ี เช่น
“...เบื้องตะวันตกเมืองสุโขทัยนี้มีอรัญญิก พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์
เรียนจบปิฎกไตร หลวกกว่าปคู่ รใู นเมืองนี้ทกุ คนลกุ แต่เมืองนครศรธี รรมราชมา...” และ “...มีเมอื งกวา้ งชา้ งหลายปราบ
เบื้องตะวันออกรอดสระหลวง สองแคว ลุมบาจาย สคา เท้าฝั่งของเถิงเวียงจันทน์เวียงคำเป็นที่แล้ว เบื้องหัวนอน
รอดคนที พระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบรุ ี ศรีธรรมราช ฝั่งทะเลสมทุ รเป็นทีแ่ ล้ว เบื้องตะวนั ตก รอดเมือง
ฉอด เมอื ง...น หงสาวดี สมุทรหาเปน็ แดน เบ้ืองตนี นอน รอดเมืองแพร่ เมอื งม่าน เมอื งน...เมืองพลัว พ้นฝั่งของเมืองชวา
เป็นทีแ่ ล้ว...” เปน็ ต้น
๓
๗. “สิริธรรมนคร” หรือ “สิริธมั มนคร”
ชื่อนี้พบว่าใช้ในกรณีที่เป็นชื่อของสถานที่ (คือเมืองหรือนคร) เช่นเดียวกับชื่ออื่น ๆ ที่กล่าวมา
แต่หากเป็นชื่อของกษัตริย์มักจะเรียกว่า “พระเจ้าสิริธรรม” หรือ “พระเจ้าสิริธรรมนคร” หรือ “พระเจ้าสิริ
ธรรมราช”
ชื่อ “สิริธรรมนคร” ปรากฏในหนังสือบาลีเรื่องจามเทวีวงศ์ ซึ่งพระโพธิรังสีพระเถระชาวเชียงใหม่
เป็นผูแ้ ตง่ ข้ึนในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ นอกจากนี้ยังปรากฏอยูใ่ นหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งพระรตั นปญั ญา
พระเถระชาวเชียงใหม่เป็นผู้แต่งขึ้นเป็นภาษาบาลีเมื่อ พ.ศ. ๒๐๖๐ และเมื่อมีผู้อื่นแต่งต่ออีก จนแต่งเสร็จ
เมือ่ พ.ศ. ๒๐๗๑
ส่วนในหนังสือสิหิงคนิทานซึ่งพระโพธิรังสีพระเถระชาวเชียงใหม่ได้แต่งขึ้นเป็นภาษาบาลี
เมื่อราว พ.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๘๕ (ในรัชกาลพระเจ้าสามฝั่งแกนหรือพระเจ้าวิไชยดิสครองราชย์ในนครเชียงใหม่
แหง่ ลานนาไทย) เรยี กวา่ “พระเจา้ ศรธี รรมราช”
๘. “โลแคก็ ” หรอื “โลกกั ” (Locae, Loehae)
เป็นชื่อที่มาร์โคโปโลเรียกระหว่างเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน เมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๕ โดยออกเดินทาง
จากเมอื งทา่ จนิ เจาของจีน แล่นเรือผ่านจากปลายแหลมญวนตัดตรงมายังตอนกลางของแหลมมลายู แลว้ กล่าว
พรรณนาถงึ ดนิ แดนในแถบนแี้ หง่ หนง่ึ ช่อื “โลแคก็ ” ซง่ึ เข้าใจว่านา่ จะเปน็ ลกิ อร์หรือนครศรธี รรมราช
๙. “ปาฏลีบตุ ร” (Pataliputra)
เป็นชื่อที่ปรากฏในเอกสารโบราณของลังกาที่เป็นรายงานของข้าราชการสิงหลที่เข้ามาในสมัยสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งได้กล่าวถึงเมืองนี้ไว้ในตอนเที่ยวกลับเพราะเรือเสียที่ตลิ่งหน้าเมืองนี้
โดยเรยี กคู่กันในเอกสารชิ้นนว้ี า่ “เมืองปาฏลีบุตร” ในบางตอน และ “เมอื งละคอน” (Muan Lakon) ในบางตอน
๑๐. “ลงึ กอร์”
เป็นชื่อที่ชาวมุสลิมในจงั หวัดชายแดนภาคใต้ ๓ จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ใช้เรียกช่ือ
เมืองตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช นอกจากนี้ชื่อลึงกอร์นี้ชาวมาเลย์ในรัฐกลันตันและเมืองใกล้เคียงใช้
เช่นเดียวกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าชาวไทยมุสลิมในบริเวณดังกล่าวนี้ไม่เคยเรียกชื่อ ตามพรลิงค์ว่า
“นครศรีธรรมราช” เลยมาแต่สมัยโบราณยิ่งกว่านั้นแม้แต่คำว่า “นคร” เขาก็ไม่ใช้เพราะเขามีคำว่า “เนการี”
หรือ “เนกรี” (Nigri) อันหมายถึงเมืองใหญ่หรือนครใช้อยู่แล้ว ปัจจุบันนี้ชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดน
ภาคใต้ท้ัง ๓ จังหวัดยังคงเรียกตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราชว่า “ลึงกอร์” อยู่บ้างด้วยเหตุนี้ช่ือ “ลิกอร์”
ที่ชาวโปรตุเกส ฮอลันดา และยุโรปชาติอื่น ๆ ใช้เรียกชื่อตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช อาจจะเรียกตามท่ี
ชาวมาเลย์และชาวพื้นเมอื งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยทั้ง ๓ จังหวัดใช้กไ็ ด้ เพราะชาวยุโรปคงจะอาศยั
ชาวมาเลยเ์ ปน็ คนนำทางหรือเปน็ ล่ามในการแล่นเรือเข้ามาค้าขายกับเมืองท่าตา่ ง ๆ บนแหลมมลายูตอนเหนือ
หรอื คาบสมุทรไทย
๔
๑๑. “ลกิ อร์” (Ligor)
เป็นชื่อที่พ่อค้าชาวโปรตุเกสซึ่งเข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นคือในสมัย
รัชกาลของสมเด็จพระรามาธบิ ดีที่ ๒ หรือเมื่อ พ.ศ. ๒๐๖๑ อันเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่ได้เข้ามาตดิ ต่อค้าขาย
กับไทยใช้เรียกตามพรลงิ ค์หรือนครศรีธรรมราช และพบว่าท่ีไดเ้ รียกแตกตา่ งกันออกไปเปน็ “ละกอร”์ (Lagor) ก็มี
นักปราชญ์สันนิษฐานว่าคำวา่ “ลิกอร์” นี้ชาวโปรตุเกสคงจะเรยี กเพี้ยนไปจาก คำว่า “นคร” อันเป็น
คำเรียกชื่อย่อของ “เมืองนครศรีธรรรมราช” ทั้งนี้เพราะชาวโปรตุเกสไม่ถนัดในการออกเสียงตัว “น” (N)
จึงออกเสียงตัวนี้เป็น “ล” (L) ดังน้ันจึงได้เรียกเพี้ยนไปดังกล่าว แล้วในที่สุดชื่อ “ลิกอร์” นี้กลายเป็นชื่อ
ที่ชาวตะวนั ตกรู้จกั กนั ดี
ในจดหมายเหตขุ องวนั วลติ (Jeremais Van Vliet) พอ่ ค้าชาวดทั ช์ซึ่งเป็นผ้จู ัดการหา้ งฮอลันดา และเขา้ มา
ประเทศไทยในสมยั สมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททองกไ็ ด้เรยี กเมืองนครศรีธรรมราชว่า“ลกิ รู ์” (Lijgoor Lygoot)
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จอห์น ครอวฟอร์ด
(John Crawfurd) ทูตชาวอังกฤษทเี่ ปน็ ตวั แทนของบริษัทอนิ เดียตะวันออกของอังกฤษเข้ามาเจรจากับรัฐบาล
ไทยก็เรียกนครศรีธรรมราชวา่ “ลกิ อร์”
แม้แต่ในปัจจุบันนี้ชาวตะวันตกก็ยังใช้ชื่อนี้กันอยู่ อย่างชื่อศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ ที่พบ ณ วัดเสมาชัย
(คู่แฝดกับวัดเสมาเมือง ต่อมารวมกับบางส่วนเป็นวัดเสมาเมือง) อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชน้ัน
ชาวตะวันตกและเอเชียรู้จักกันในนาม “จารึกแห่งลิกอร์” (Ligor Inscription) นอกจากนี้ยังเรียกด้านที่ ๑
ของศิลาจารึกหลักนี้ว่า “Ligor A” และเรียกด้านที่ ๒ ว่า Ligor B “ดังนั้นนอกจาก “ตามพรลิงค์” แล้ว
ชื่อเก่าของนครศรีธรรมราชอีกชอ่ื หนง่ึ ทีร่ จู้ ักกนั อย่างกว้างขวางในระยะหลงั คอื “ลกิ อร”์
๑๒. “ละคร” หรือ “ลคร” หรือ “ละคอน”
คงจะเป็นชื่อที่เพี้ยนไปจากชื่อ “นคร” อันอาจจะเกิดขึ้นเพราะชาวมาเลย์และชาวตะวันตกเรียก
เพี้ยนไป แล้วคนไทยก็กลับไปเอาชื่อที่เพี้ยนนั้นมาใช้ เช่นเดียวกันกับที่เคยมีผู้เรียกนครลำปางว่า
“เมืองลคร” หรือ “เมืองละกอน” เป็นต้น และคงเป็นชื่อที่ใช้เรียกกันในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
ดังหลักฐานที่ปรากฏในเอกสารโบราณของทูตสิงหลที่รายงานไปยังลังกา เมื่อ พ.ศ. ๒๒๖๔ ดังที่ได้กล่าว
มาแลว้ ในช่ือ “ปาฏลบี ุตร” ข้างต้นนั้น
นักปราชญ์บางท่านให้ความเห็นว่าที่ได้เรียกเช่นน้ีเพราะว่าเมืองนครเคยมีชื่อเสียงทางการละคร
มาแต่โบราณ แม้แต่สมัยกรุงธนบุรีเมื่อเมืองหลวงต้องการฟื้นฟูศิลปะการละครยังต้องเอาแบบอย่างไป
จากเมอื งนครศรีธรรมราช
๕
๑๓. “นครศรธี รรมราช”
เป็นชื่อที่อาจารย์ตรี อมาตยกุล และศาสตราจารย์ ยอร์จ เซเดส์ (George Coedes) นักปราชญ์
ชาวฝรั่งเศสมีความเห็นว่า คนไทยฝ่ายเหนือเรียกขานนามราชธานีของกษัตริย์ “ศรีธรรมราช” ตามอิสริยยศ
ของกษตั รยิ ์ผคู้ รองนครน้ี ซ่งึ ถือเป็นประเพณสี บื ต่อกันมาทุกพระองค์ จนเป็นท่รี จู้ ักกันดีโดยทั่วไป และเป็นเหตุ
ให้มีการขนานนามตามชื่ออิสริยยศของกษัตริย์ผู้ครองนครน้ี ซึ่งได้ใช้เรียกขานกันมาแต่สมัยสุโขทัย
เป็นอยา่ งนอ้ ยตราบจนปัจจบุ นั นี้
ด้วยวิวัฒนาการอันยาวนานแห่งนครศรีธรรมราช ดินแดนที่มีอดีตอันไกลโพ้นแห่งนี้ ชื่อที่ได้รับการ
จารึกไว้ในบันทึกแห่งมนุษยชาติ ณ ที่ต่าง ๆ กันทั่วทุกมุมโลก และทุกช่วงสมัยแห่งกาลเวลาที่นำมาแสดง
เพียงบางส่วนเหล่านี้ย่อมชี้ให้เห็นพัฒนาการและอดีตอันรุ่งโรจน์ของนครศรีธรรมราชได้เป็นอย่างดี
ยิ่งเมื่อหวนกลับไปสัมผัสกับหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบในนครศรีธรรมราชเข้าผส มผสานด้วยแล้ว
ทำให้ภาพแห่งอดีตของนครศรีธรรมราชท้าทายต่อการทำความรู้จักกับ “นครศรีธรรมราช” ดินแดนที่ร่ำรวย
ไปด้วยมรดกทางอารยธรรมและศิลปวฒั นธรรมแห่งน้ีอย่างลึกซึ้งและจริงจงั ยงิ่ ขน้ึ
การตัง้ ถิน่ ฐาน
หลักฐานทางโบราณดีและประวัติศาสตร์ที่สำรวจและขุดพบ สามารถแบ่งลักษณะการตั้งถิ่นฐาน
และการดำเนินชีวิตของผู้คนในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น
๔ ชว่ ง เวลาดังนี้
๑. ชาวถ้ำหรือมนุษยถ์ ำ้
จากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ในภาคใต้นำมาเปรียบเทียบกับเมืองนครฯ เชื่อว่า
คนก่อนประวัติศาสตร์ในเมืองนครฯ คงไม่แตกต่างกันมากนักคือ พักอาศัยอยู่ตามถ้ำหรือเพิงผา หาอาหาร
โดยการล่าสัตว์เก็บผลไม้ ใช้เครื่องมือหินประเภทครกและสาก สำหรับบดตำพืชประกอบอาหาร บางครั้ง
อาจใช้ใบมีดหรือขวานหิน สำหรับปอกลูกไม้หรือเปลือกไม้ ตัดเฉือนเนื้อสัตว์ มีหลักฐานทางโบราณคดี
แสดงให้เห็นว่าเมื่อประมาณ ๖,๕๐๐ - ๕,๐๐๐ ปี มาแล้ว มนุษย์ถ้ำในภาคใตป้ ระกอบอาหารโดยใช้ความร้อน
จากไฟ รจู้ กั การหุงต้มโดยใช้หม้อดินเผาและมีถ่านไมเ้ ป็นเชื้อเพลิง ภาชนะท่ีใช้ประกอบอาหารท่ีมีใช้โดยท่ัวไป
คือ หม้อดินเผากั้นกลมและภาชนะแบบหม้อสามขาซึ่งสามารถตั้งคร่อมกองไฟ โดยไม่ต้องใช้เสาหรือก้อนเส้า
นอกจากนี้ยังมีภาชนะใส่อาหาร เช่น ภาชนะทรงพาน หม้อกันตื้น หม้อมีสัน ภาชนะประเภทชาม จอก ถ้วย
เหยือก แท่นรองหม้อและแท่นพิงถ้วยสำหรับรองรับถ้วยน้ำดื่มอาจทำจากเขาสัตว์ เป็นต้น นอกจากนี้ชาวถ้ำ
ยังรู้จักก่อกองไฟให้ความอบอุ่น รู้จักทำเครื่องนุ่งห่มโดยทำจากหนังหรอื ขนสัตว์ หรือทำจากเปลือกไม้ พบหิน
ทุบเปลือกไม้หลายช้นิ
๖
๒. ชุมชนเกษตรกรรมเรมิ่ แรก
เปน็ วิวัฒนาการของการตั้งถน่ิ ฐานช่วงท่ีสองของเมืองนครฯ เรม่ิ จากชมุ ชนยุคหนิ ใหม่ที่อาศัยบนที่ราบ
ปรากฏชัดขึ้นเมื่อรู้จักใช้เครื่องมือโลหะซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการพัฒนาของชุมชนเกษตรกรรม
ทำให้สามารถปลูกข้าวได้มากกว่าเดิม เริ่มตั้งถิ่นฐานถาวร มีการเลือกถิ่นฐานในภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์
เหมาะแก่การเพาะปลูก ปรากฏชุมชนโบราณตามแนวสันทราย และที่ราบลุ่มแม่น้ำลำคลอง เมื่อประมาณ
พุทธศตวรรษที่ ๕ เป็นต้นมา โบราณวัตถุของชุมชนสมัยนี้ นอกจากเครื่องมือที่ใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว
ยังมีเครื่องดนตรีซึ่งน่าจะเกิดจากการขัดแต่งหินจากธรรมชาติที่เคาะแล้วมีเสียงดังกังวาน สันนิษฐานว่า
เป็นระนาดหิน มีลักษณะคล้ายขวานหินยาว ขัดแต่งจนเรียบร้อย ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
มีด้านยาวมากกว่าด้านกว้าง ๓-๖ เท่า ด้วยเหตุที่มีขนาดแตกต่างกันจึงทำให้เกิดระดับเสียงแตกต่างกัน
ระนาดหินนี้พบที่แหลง่ โบราณคดีริมคลองกลาย ตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา นอกจากระนาดหินแล้วยังพบ
กลองมโหระทึกสำริดในภาคใต้ และเมอื งนครฯ ๑๒ ใบ แสดงพฒั นาการทางด้านโลหะกรรม และการประกอบ
พธิ กี รรมเกย่ี วกับความเชอื่ กลองมโหระทึกเปน็ วัตถุที่นำมาจากชุมชนภายนอกอาจมีการแลกเปล่ียนวัฒนธรรม
กบั ชมุ ชนโพน้ ทะเลจากจีน หรือเวยี ดนามตงั้ แตป่ ระมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑-๓ เปน็ ตน้ มา
๓. ชมุ ชนเมอื งทา่ และสถานีการค้า
นับตัง้ แต่พทุ ธศตวรรษที่ ๓ เปน็ ต้นมา ชาวอินเดยี ชาวเปอรเ์ ซีย ชาวอาหรับ และชาวโรมัน ได้เดินเรือ
มาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกไกลแล้ว คาบสมุทรมลายูจึงกลายเป็นจุดศูนย์กลาง
ของเส้นทางเดินเรือ จากฝ่ายตะวันตกอันได้แก่ อินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ และโรมัน กับฝ่ายตะวันออก
ได้แก่ จีน เวียดนาม จามปา และเจนละ เรือสินค้ามักต้องแวะเวียนพักเพื่อขนถ่ายสินค้าหรือหาเสบียงอาหาร
ระยะแรกของการเดินเรือนั้นต้องอาศัยการเดินเรือเลียบชายฝั่ง ต่อมาได้อาศัยลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ
และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ดังนั้นคาบสมุทรมลายู จึงเป็นจุดเหมาะสมสำหรับเป็นสถานีแวะพัก
รวมทั้งรอมรสุมสำหรับเดินทางต่อไปโดยมีปัจจัยเกื้อหนุนคือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดระหว่าง
เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน นักเดินเรืออาศัยเดินทางจากตะวันตกไปตะวันออก และลมมรสุม
ตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งพัดระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม นักเดินเรือก็อาศัยเดินทางกลับ
จากตะวันออกไปตะวันตก จากจุดนี้เรือสินค้าจากตะวันตกเข้าเทียบทางบริเวณฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรมลายู
ในแนวเส้นรุ้ง ๗ องศาเหนือ และไม่เกินเส้นรุ้ง ๘ องศาเหนือ บริเวณดังกล่าวอยู่ระหว่างจังหวัดตรังไปถึง
จังหวัดพังงา จากบริเวณนี้สามารถเดินทางบกข้ามคาบสมุทรมลายูไปทางฝั่งตะวันออกที่พัทลุง เมืองนครฯ
และบ้านดอน โดยเส้นทางตรัง-พัทลุง หรือเมืองนครฯ และตะกั่วป่า-ไชยา-บ้านดอน ซึ่งบริเวณเมืองท่า
ฝงั่ ตะวนั ออก ก็เป็นจดุ ท่เี รือสินคา้ จากจนี และจากตะวนั ออกมาเทยี บได้พอดี ช่วงเวลาที่รอมรสุมกอ็ าจเปน็ เวลา
ซ่อมแซมเรือจัดหาเสบียง เมื่อเตรียมการเสร็จก็เป็นเวลาพอดีกับลมมรสุมเริ่มพัดผ่าน ทำให้เดินทางกลับได้
พอดี หลักฐานสำคัญได้แก่ โบราณวัตถุอนั เปน็ สนิ ค้าจากตา่ งประเทศ เช่น ลกู ปดั แก้ว ลูกปัดหนิ สเี คร่ืองประดับ
เครื่องแก้ว เศษเครื่องถ้วยชามตลอดจนประติมากรรม รูปเคารพทางศาสนาที่ติดมากับเรือเดินทะเล
ตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี ๘ เป็นต้นมา เกิดชุมชนอย่างถาวรบริเวณเมืองทา่ ชายฝั่งทะเล ได้แก่ ตะกั่วป่า พบจารึก
อักษรปัลลวะ ภาษาทมิฬ มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ส่วนชายฝั่งตะวันออกพบหลักฐานจาก
๗
ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย อักษรปัลลวะ ภาษาสันสฤกต มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ แสดงถึงชุมชน
ของกลุ่มผู้นับถือศาสนาพราหมณ์อนิ ดู ลัทธไิ ศวนิกายในเมอื งนครฯ
นอกจากกลมุ่ พ่อค้าและนักแสวงโชคแลว้ กลุ่มนกั บวชพราหมณ์ และพระภกิ ษใุ นพุทธศาสนาตง้ั ถ่ินฐาน
ในดินแดนแถบนี้ในเวลาใกล้เคียงกันเพราะพบประติมากรรมรูปเคารพในศาสนา ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๐
ซึ่งเป็นของที่นำเข้าจากอินเดียโดยตรง และมีประติมากรรมท้องถิ่นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ เป็นต้นมา
แสดงถึงการรับอิทธิพลทางศิลปกรรมจากอินเดีย เช่น พระพุทธรูปศิลปะอมราวดี คุปตะ หลังคุปตะ ปาละ
เสนะ เทวรปู อิทธิพลปัลลวะ และโจฬะ จากอนิ เดยี ใต้ เป็นต้น
๔. ชุมชนเมืองและนครรัฐ
การเข้ามาของวัฒนธรรมอินเดีย ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อชุมชนในภูมิภาคน้ี
ในระยะเริ่มแรกศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จะเด่นกว่าศาสนาพุทธอยู่เล็กน้อย พราหมณ์จึงเป็นบุคคล
ที่พึงปรารถนาของชนชั้นปกครองเพราะเป็นผู้สร้างและรับรองความศักดิ์สิทธิ์ของเทวราชา ชนชั้นปกครอง
จึงยกตนให้เหนือกว่าระดับหัวหน้าชุมชนเป็นเทวราชา โดยผ่านแนวความคิดของศาสนาพราหมณ์
ชมุ ชนหม่บู า้ นเปล่ียนฐานะเป็นเมอื งหรอื นคร เอกสารจนี ตั้งแต่ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๘ ได้กล่าวถึงรัฐต่าง ๆ
ในเอเชยี ตะวนั อกเฉียงใต้ เชน่ ฟนู ัน ลินยี่ พงศาวดาร ราชวงศ์เหลยี งในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ กล่าวถึงอาณาจักร
ชื่อ ลังกาสุกะ นักประวัติศาสตร์ลงความเห็นว่า คือ รัฐลังกาสุกะอยู่ในเขตจังหวัดปัตตานี มีหลักฐาน
คือ ซากโบราณสถานในเขตอำเภอยะรัง อีกรัฐหนึ่งคือ รัฐตันมาลิง จากบันทึกของเฉาจูกัวและหวังด้าหยวน
ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ และ ๑๙ ซ่ึงกค็ อื รัฐตามพรลงิ ค์ หรอื เมอื งนครศรธี รรมราช
เมืองนครศรีธรรมราช เป็นรัฐท่ีมีพื้นฐานทางการเกษตร สินค้าพื้นเมือง ได้แก่ ข้าว การบูร ไม้หอม
(ไม้กฤษณา) ไม้ฝาง ไม้จันทน์ ขี้ผ้งึ งาชา้ ง เขาสตั ว์ หนังสตั ว์ และดีบกุ เป็นเมอื งทา่ สำคญั มาตัง้ แต่พทุ ธศตวรรษ
ที่ ๘ จากการรับวัฒนธรรมของศาสนาพราหมณ์และความเจริญทางด้านค้าขาย ส่งผลให้ชุมชนเมื อง
หลายชุมชน รวมกันเป็นนครรัฐตามพรลิงค์ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ มีกษัตริย์ปกครองอย่างต่อเนื่อง
จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ได้ผนวกกับนครรัฐอื่นๆของอาณาจักรศรีวิชัย จนประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗
พ.ศ. ๑๗๗๓ ตามพรลงิ คไ์ ด้ประกาศตวั เปน็ อิสระอีกครั้ง จากหลกั ฐานจารกึ หลกั ที่ ๒๔ ของพระเจ้าจันทรภาณุ
ศรีธรรมราช แสดงว่า เมืองนคร ได้ดำรงตนเป็นรัฐอิสระ มีความรุ่งเรืองในสมัยปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘
เป็นรัฐเอกราช ในระยะเวลาเดียวกันกับสมัยพ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัย เป็นรัฐที่มั่งคั่ง เป็นศูนย์กลาง
การเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีพระมหากษัตริย์ทรงพระนาม พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เป็นอาณาจักร
ที่มีอิทธิพลครอบคลุมทั้งแหลมมลายู บรรดาบ้านเมืองในอาณาบริเวณนี้ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร
นครศรีธรรมราช โดยเรียกเมืองหลวงนั้นว่า เมืองสิบสองนักษัตร เมืองนครศรีธรรมราชเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด
ประมาณร้อยปีเศษ ก่อนจะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษ
ท่ี ๑๙ หรอื ต้นพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐
๘
ยคุ สมัยทางประวัติศาสตรน์ ครศรธี รรมราช
ยคุ สมัยก่อนประวัติศาสตร์
วิวัฒนาการทางด้านอารยธรรมของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช สามารถจำแนก
ออกเป็น ๓ ยคุ ใหญ่ ๆ คือ ยคุ หนิ กลาง ยคุ หินใหม่ และยุคโลหะ
❖ ยคุ หนิ กลาง
จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ได้จากการสำรวจภาคสนามทางโบราณคดีของกรมศิลปากร
ใน พ.ศ. ๒๔๕๒ ได้พบเครื่องมือหินเก่าแก่ (จากการเปรียบเทียบโดยถือตามลักษณะเครื่องมือ) จัดเป็นเครื่อง
ยุคหนิ ไพลสโตซีนตอนปลายที่ถำ้ ตาหมื่นยม ตำบลช้างกลาง อำเภอชา้ งกลาง เครอื่ งมือหินดังกล่าวนี้มีลักษณะ
กะเทาะหน้าเดียว รูปไข่ คมรอบ ปลายแหลม ด้านบนคล้ายรอยโดยตัด คล้ายกับลักษณะของขวานกำปั้น
ที่พบ ณ ไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี และจัดว่าเป็นเครื่องมือหินยุคหินกลาง (อายุราว ๑๑,๐๐๐-๘,๓๕๐ ปี มาแล้ว)
หรือมลี ักษณะเหมือนเครื่องมือหินวัฒนธรรมฮวั บเิ นยี น
ดังนั้น จึงอาจจะกล่าวได้ว่าในจังหวัดนครศรีธรรมราชได้มีมนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคหินกลาง
เป็นอยา่ งนอ้ ย เปน็ ตน้ มา
๙
❖ ยุคหินใหม่
ครั้นในยุคหินใหม่ (อายุราว ๓,๗๖๖-๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว) ได้พบเครื่องมือเครื่องใช้ และภาชนะดินเผา
ในยุคนี้กระจัดกระจายโดยทั่วไปทั้งที่บริเวณถ้ำและที่ราบของจังหวัดนครศรีธรรมราช เช่น พบเครื่องหิน
ที่มีป่าตัวขวานยาวใหญ่ (บางท่านเรียกว่า “ระนาดหิน”) ที่อำเภอท่าศาลา นอกจากนี้ได้พบขวานหินแบบ
จงอยปากนก มีดหิน สิ่วหิน และหมอ้ สามขา เป็นตน้ ในหลายบรเิ วณของจังหวัดน้ี
ระนาดหิน หนึ่งเดียวในสยาม เครื่องมือหิน มีลักษณะคล้ายกับระนาดที่เคยพบมาก่อนในสาธารณรัฐ
เวียดนาม สมัยก่อนประวัติศาสตร์ อายุราว ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปี แหล่งที่พบ ราษฎรขุดพบที่ คลองกลาย หมู่ ๗
ตำบลสระแก้ว อำเภอทา่ ศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช
➢ ภาชนะดินเผาทรงหม้อสามขา
สมัยก่อนประวัติศาสตรย์ ุคหนิ ใหม่
อายุราว ๔,๐๐๐ - ๒,๐๐๐ ปี
แหล่งท่พี บ ถ้ำเขาแอง อำเภอนบพติ ำ
จังหวัดนครศรธี รรมราช
แสดงว่าในยุคนี้ได้เกิดมีชุมชนขึ้นแล้ว และชุมชนกระจัดกระจายโดยทั่วไป อันอาจจะตีความได้ว่า
ชุมชนในยคุ นเี้ องที่ไดพ้ ฒั นามาเป็นเมืองและมอี ารยธรรมท่สี ูงส่งในระยะต่อมา
๑๐
❖ ยคุ โลหะ
ในยุคโลหะ (อายุราว ๒,๕๐๐-๒,๒๐๐ ปีมาแล้ว) ได้พบหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญของยุคน้ี
คือ กลองมโหระทึกสำริดในนครศรีธรรมราชถึง ๒ ใบ คือ ที่บ้านเกียกกาย ตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง ใบหน่ึง
และทค่ี ลองคุดด้วน อำเภอฉวาง อกี ใบหนึง่ กลองมโหระทึกดังกล่าวนจ้ี ัดอยู่ในวฒั นธรรมดองซอน
➢ กลองมโหระทึกสำรดิ
สมัยก่อนประวตั ิศาสตร์ ยุคโลหะ
อายุประมาณ ๒,๐๐๐ - ๑,๕๐๐ ปี
พบท่ีบ้านเกียกกาย ตำบลท่าเรือ
อำเภอเมือง จังหวัดนครศรธี รรมราช
ดงั นนั้ ยอ่ มเป็นการยนื ยันไดว้ ่ายคุ นชี้ มุ ชนในนครศรีธรรมราชได้มีการติดตอ่ หรือแลกเปล่ียนวัฒนธรรม
กับชมุ ชนอื่นแลว้ การติดตอ่ ดังกล่าวอาจจะโดยการเดินเรือ แสดงให้เห็นว่าสังคมหรือชุมชนในนครศรีธรรมราช
เริ่มย่างเข้าสู่สังคมเมืองในยุคประวัติศาสตร์แล้ว ซึ่งระยะที่กล่าวนี้อาจจะเป็นระยะต้นคริสต์ศักราช
หรอื พทุ ธศตวรรษท่ี ๕
ยุคสมัยประวัติศาสตร ์
วิวัฒนาการนครศรธี รรมราชในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๗-๘
ปรากฏในคัมภีร์มหานิทเทศซึ่งแต่งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ได้กล่าวถึงเมืองท่าที่สำคัญ ในอินเดีย
ลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายเมอื ง ในจำนวนเมืองเหลา่ น้ีตอนหนึง่ ได้กล่าวถึงเมืองนครศรีธรรมราช
ไว้ด้วย ดังความตอนหนึ่งที่ว่า “. . . ไปชวาไปกะมะลิง (ตะมะลิง) ไปวังกะ (หรือวังคะ) . . .” นอกจากนี้
ยังปรากฏในคัมภีร์มิลินทปัญหาซึ่งแต่งขึ้นในระยะเดียวกันกับคัมภีร์มหานิทเทศด้วย คำว่า “กะมะลิง”
หรือ“ตะมะลิง” หรือ“กะมะลี” หรือ“ตมะลี” จีนเรียกว่า “ตั้งมาหลิ่ง” เจาชูกัวเรียก “ตัน-มา-ลิง”
ในศิลาจารึกเรียก “ตามพรลิงค์” หรือ “ตามรลิงค์” คือ เมืองนครศรีธรรมราชโบราณ แสดงว่าในระยะนี้
เมืองนครศรีธรรมราชโบราณเป็นเมืองที่มีความเจริญทางด้านการค้า หรือเป็นตลาดการค้าที่สำคัญในเอเชีย
ตะวนั ออกเฉยี งใต้ จึงเป็นทีร่ จู้ ักกนั ดใี นหมนู่ กั เดนิ เรือและ พ่อค้าชาวอนิ เดยี อาหรบั และจีน
๑๑
ววิ ัฒนาการนครศรีธรรมราชพุทธศตวรรษที่ ๙–๑๐
นอกจากเอกสารของต่างชาติจะกล่าวถึงนครศรีธรรมราชในระยะนี้แล้วได้มีการค้นพบ พระวิษณุศิลา
อันเป็นเทวรูปกลุ่มที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน ๓ องค์ในภาคใต้
พระวิษณุในกลุ่มนี้จำนวน ๒ องค์ ค้นพบในจังหวัดนครศรีธรรมราช คือ องค์แรกค้นพบที่หอพระนารายณ์
อำเภอเมือง ต่อมาย้ายไปประดิษฐาน ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
นครศรีธรรมราชตามลำดับ องค์ที่สองค้นพบที่วัดพระเพรง ตำบลนาสาร อำเภอเมือง และปัจจุบันนี้จัดแสดง
อยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช เทวรูปกลุ่มนี้มีอายุในราว
พุทธศตวรรษที่ ๙–๑๐ เพราะเหตุว่าแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะอินเดียสมัยมถุราและอมราวดี
ตอนปลาย (พทุ ธศตวรรษท่ี ๘-๙) ปรากฏอยู่
ววิ ัฒนาการนครศรธี รรมราชพุทธศตวรรษที่ ๑๑–๑๒
ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๑ หลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวกับ
พุทธศาสนาก็ได้ปรากฏขึ้นในนครศรีธรรมราช คือ เศียรพระพุทธรูปศิลาขนาดเล็กซึ่งพบที่อำเภอสิชล (สูง ๘.๙๐
เซนติเมตร) ปัจจุบันนี้จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช เศียรพระพุทธรูปดังกล่าวน้ี
มีต้นแบบมาจากศิลปะลุ่มแม่น้ำกฤษณาทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย และศิลปะแบบนี้ได้ส่ง
อทิ ธพิ ลตอ่ ศิลปะรนุ่ หลงั มาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๓
นอกจากนี้ในชุมชนโบราณสิชล ซึ่งตั้งอยู่บนแนวสันทรายที่ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ โดยเป็นแนวตั้ง
แต่เขตอำเภอขนอม ผ่านลงมายังอำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา และอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งยาวประมาณ
๑๐๐ กิโลเมตร และอยู่หา่ งจากชายฝ่งั อ่าวไทยประมาณ ๕–๑๐ กิโลเมตร ไดค้ ้นพบโบราณวัตถุและโบราณสถานท่ี
ได้รบั อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์มากมาย
๑๒
โบราณสถานเขาคา
ภาพจาก :https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/compare/itemid/๓๔๕๑
นอกจากจะพบหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ ซึ่งได้รับอิทธิพล
จากศลิ ปะในประเทศอนิ เดียโดยตรงอยา่ งมากมายในนครศรธี รรมราชในระยะนีแ้ ล้ว ยังคน้ พบศิลาจารึกรุ่นแรก
ของประเทศไทยในนครศรีธรรมราชอีกหลายหลักในระยะนี้ เช่น ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ซึ่งค้นพบเมื่อ
พ.ศ. ๒๕๒๒ ณ หุบเขาช่องคอย บ้านคลองท้อน หมู่ที่ ๙ ตำบลควนเกย อำเภอจุฬาภรณ์ โดยจารึกด้วยอักษร
ปัลลวะ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐–๑๑ (นายชูศักดิ์ ทิพย์เกษร นักภาษาโบราณ กองหอสมุดแห่งชาติ
กรมศิลปากร มีความเห็นว่าเมื่อพิจารณาโดยอาศัยวิวัฒนาการของรูปแบบอักษรเป็นเกณฑ์แล้ว จะปรากฏว่า
ศิลาจารึกหลักนี้มีรูปอักษรเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยในขณะนี้) ศิลาจารึกหลักนี้ใช้ภาษาสันสกฤต ข้อความท่ี
จารึกบางท่านกล่าวว่าเป็นการบูชาพระศิวะ, ความนอบนอ้ มต่อพระศิวะ, เหตทุ บี่ คุ คลผนู้ ับถือพระศิวะเข้าไปหา
พระศิวะ และคติชีวิตที่ว่าคนดีอยู่ในบ้านของผู้ใด ความสุขและผลดีย่อมมีแก่ผู้นั้น แต่บางท่านมีความเห็นว่า
เป็นจารึกเกี่ยวกับการสรรเสริญและสดุดีพระเกียรติคุณของกษัตริย์ศรีวิชัย และศิลาจารึกวัดมเหยงคณ์
อำเภอเมือง (จารึกหลักที่ ๒๗ ในหนังสือประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๒) ซึ่งจารึกด้วยอักษรปัลลวะคล้ายกับ
ตัวอักษรท่ีพบในดินแดนเขมรโบราณ ภาษาสันสกฤต อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ กล่าวถึงเรื่องราวทางศาสนา
เร่ืองของสงฆ์ พราหมณ์ และจริยวตั รอันเป็นสว่ นประกอบทางศาสนาเป็นต้น
๑๓
ศลิ าจารึกวดั มเหยงคณ์ ดา้ นท่ี ๑ อักษรปลั ลวะ ภาษาสนั สกฤต พทุ ธศตวรรษที่ ๑๑
ภาพจาก : https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/๓๒๓
ศิลาจารึกหุบเขาชอ่ งคอย ด้านท่ี ๒ อักษรปลั ลวะ ภาษาสันสกฤต พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑
ภาพจาก : https://www.finearts.go.th/promotion/view/๑๙๙๕๓ - ศลิ าจารึกหบุ เขาชอ่ งคอย
จากหลักฐานที่กล่าวมานี้แสดงให้เห็นว่านครศรีธรรมราชได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอินเดีย
ทั้งในด้านอักษร ภาษา ความเชื่อ ศาสนา ประเพณี กฎหมาย และระบบการปกครอง อันเป็นรากฐานที่สำคัญ
ทางวัฒนธรรมของนครศรธี รรมราชและของไทยในปัจจบุ ันนี้
๑๔
ววิ ัฒนาการนครศรีธรรมราชพทุ ธศตวรรษที่ ๑๓–๑๙
นักปราชญ์บางท่านมีความเห็นว่าในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ จดหมายเหตุจีนในสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๑๑๖๑–๑๔๙๙)
เรียกนครศรีธรรมราชว่า “ชิหลีโฟชี” หรือ “ชิ-ลิ-โฟ-ชิ” หรือ “ชิหลีโฟเช” ต่อมา ถึงสมัยราชวงศ์
ซ้อง (พ.ศ. ๑๕๐๓–๑๘๒๒) เปลี่ยนเป็นเรียกว่า “สันโฟซี” หรือ “ซันโฟซี” ตำนานและพงศาวดารลังกา
เรียกว่า “ชวกะ” ส่วนจดหมายเหตุพ่อค้าชาวอาหรับเรียกว่า “ซาบัก” หรือ “ซาบากะ” ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์
เรียกว่า “ศรีวิชัย” อันเป็นชื่อที่ได้มาจากศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ (วัดเสมาเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช)
เพราะในคำแปลศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ ซึ่งสลักเมื่อ พ.ศ. ๑๓๑๘ นี้ ท่านเรียกกษัตริย์ว่า “พระเจ้ากรุงศรีวิชัย”
และท่านยืนยันว่าชื่อที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นชื่อเดียวกัน เพียงแต่ท่านไปมีมติว่าศูนย์กลางหรือราชธานี
ของอาณาจักรศรีวิชัยควรอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง ในเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย แต่ต่อมาศาสตราจารย์
มาชมุ ดาร์มีความเหน็ ขดั แย้งว่าราชธานีควรจะอยู่ ณ ที่ที่พบศลิ าจารึกหลกั ที่ ๒๓ คอื นครศรีธรรมราช
ศิลาจารกึ หลักท่ี ๒๓ (วัดเสมาเมอื ง อำเภอเมอื ง จงั หวัดนครศรีธรรมราช)
ภาพจาก : https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/๓๒๓ - จารกึ ในประเทศไทย
๑๕
นอกจากชื่อพวกชวกะแล้ว ตำนาน พงศาวดารลังกา และจดหมายเหตุ เช่น คัมภีร์มหานิทเทศ
ยังเรียกชื่อดินแดนปลายแหลมทองอีกหลายชื่อ เช่น สุวรรณทวีป, สุวรรณปุระ, และตามพรลิงค์ เป็นต้น
คำ “ตามพรลงิ ค์” น้นั ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ (วดั หวั เวียง ไชยา) ด้วย ทำให้นักโบราณคดียอมรับว่า
หมายถึงนครศรีธรรมราช เพราะฉะนั้นนักปราชญบ์ างทา่ นจึงมีความเห็นวา่ รฐั ศรวี ิชัยกับนครศรีธรรมราชก็คือ
แผ่นดินเดียวกัน ขอบเขตของรัฐนี้จะกว้างขวางแค่ไหนก็เป็นไปตามระยะแห่งความเจริญความเสื่อม
ที่ตั้งของราชธานีจะโยกย้ายไปต้ังที่เมืองใดบ้างก็ย่อมแล้วแต่พระราชอัธยาศัย และอานุภาพของกษัตริย์
ผ้ปู กครองรฐั ในแตล่ ะช่วงสมัย แต่เร่ืองนกี้ ็ยงั ไม่เป็นทยี่ ตุ ิ คงจะตอ้ งศึกษาค้นคว้ากนั ต่อไปอีกไม่นอ้ ย
ศิลาจารกึ หลักที่ ๒๔ (วดั หัวเวยี ง ไชยา)
ภาพจาก : https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/๓๒๓ - จารึกในประเทศไทย
๑๖
แผนทอ่ี าณาจกั รตามพรลงิ ค์ (ประมาณครสิ ต์ศตวรรษที่ ๑๐ ถงึ ๑๓)
อาณาจกั รตามพรลงิ ค์ซ่ึงต่อมาได้กลายเปน็ อาณาจักรนครศรธี รรมราชนนั้ เปน็ อาณาจักรโบราณท่ีมีมา
ตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๗ มีศูนย์กลางอยู่ที่นครศรีธรรมราชในปัจจุบัน (อาจจะเป็นบริเวณบ้านท่าเรือ
หรือบ้านพระเวียง) อยู่ทางด้านเหนือของอาณาจักรลังกาสุกะ (บริเวณปัตตานี) มีอาณาเขตทางตะวันออก
และตะวันตกจรดทะเลอันดามันถึงบริเวณที่เรียกว่าทะเลนอกซึ่งเป็นบริเวณจังหวัดกระบี่ในปัจจุบัน
คำว่า “ตามพ” เป็นภาษาบาลี แปลว่า ทองแดง ส่วน “ลิงค์” เป็นเครื่องหมายบอกเพศ เขียนเป็นอักษร
ภาษาอังกฤษว่า Tambalinga หรือ Tanmaling หรือ Tamballinggam จีนเรียก ตันเหมยหลิง หรือโพ-ลิง
หรือโฮลิง (แปลว่าหัวแดง) บางทีเรียกว่า เชียะโท้ว (แปลว่าดินแดง) อาณาจักรตามพรลิงค์ มีกษัตริย์สำคัญ
คือ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช และพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมราช อาณาจักรตามพรลิงค์นี้เป็นเส้นทาง
การเผยแพร่พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ ไปยังอาณาจักรสุโขทัยและดินแดนทั่วแหลมมลายู เนื่องจาก
อาณาจักรตามพรลิงค์กบั ศรีลงั กามคี วามสัมพนั ธแ์ บบบา้ นพี่เมืองน้องมาแตส่ มยั โบราณ
๑๗
พฒั นาการของการเกิดเมอื งสำคญั ต่าง ๆ ในอาณาจกั รตามพรลิงค์
อาณาจักรตามพรลิงค์ มีเมืองรองที่สำคัญอยู่ ๒ เมือง เมืองแรกคือ เมืองไชยา ตั้งอยู่ถัดไปทางด้านใต้
ศูนย์กลางอยู่ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎรฺ ์ธานี กำเนิดขึ้นพร้อม ๆ กับเมืองตามพรลิงค์ ในระยะแรกต่างเป็น
อิสระ ไม่ขึ้นต่อกันต่อมาในยุคหลังเมืองไชยากลับขึ้นกับอาณาจักรตามพรลิงค์ ในฐานะเมืองอุปราช
และคงจะอยใู่ นฐานะดงั กล่าวเรอื่ ยมาจนถึงสมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ เมืองท่ีสอง คอื เมอื งสทงิ คือ บริเวณโดยรอบ
ทะเลสาบสงขลา จังหวัดสงขลาและพัทลุงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยาเมือง
บริวาร ได้แก่ เมืองสิบสองนักษัตร ที่ปรากฏในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งปัจจุบันตราสิบสองนักษัตร
ได้เปน็ ตราประจำจงั หวดั นครศรีธรรมราช ได้แก่
๑. เมอื งสายบุรี ปีชวด ถอื ตรา หนู
๒. เมืองปัตตานี ปฉี ลู ถือตรา ววั
๓. เมอื งกะลนั ตัน ปีขาล ถือตรา เสือ
๔. เมอื งปะหัง ปเี ถาะ ถอื ตรา กระตา่ ย
๕. เมอื งไทรบุรี ปมี ะโรง ถือตรา งใู หญ่
๖. เมืองพัทลงุ ปีมะเส็ง ถอื ตรา งเู ล็ก
๗. เมืองตรงั ปีมะเมีย ถือตรา ม้า
๘. เมืองชุมพร ปีมะแม ถือตรา แพะ
๙. เมืองไชยา (บันไทยสมอ) ปีวอก ถอื ตรา ลิง
๑๐. เมอื งทา่ ทอง (สะอเุ ลา) ปีระกา ถอื ตรา ไก่
๑๑. เมืองตะกั่วปา่ -ถลาง ปีกุน ถอื ตรา หมู
ตราจังหวัดนครศรีธรรมราช ๑๒ นกั กษัตร
ทม่ี า : http://sator๔u.com/paper/๓๗
๑๘
ลำดับเหตกุ ารณส์ ำคญั เก่ยี วกบั อาณาจักรตามพรลิงค์
พ.ศ. เหตุการณ์สำคญั
๑๕๕๐ อิทธิพลทางวัฒนธรรมของทมิฬสมยั ราชวงศโ์ จฬะเหน็ เดน่ ชดั ท่ีเวียงสระ
๑๕๖๓ สุริยวรมันที่ ๑ แห่งกมั พูชาผกู สัมพนั ธไมตรีกับราเชนทรที่ ๑ แหง่ โจฬะ
๑๕๖๘ ราเชนทรโจฬะ ทรงโจมตเี มืองของอาณาจักรศรวี ิชยั รวมทัง้ ตามพรลงิ ค์
๑๖๑๐ วีรราเชนทร์ที่ ๑ แห่งราชวงศ์โจฬะบุกโจมตีกฎากัม (เคดะห์) เพื่อช่วยให้กษัตริย์ศรีวิชัย
แห่งฎารัมได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ตามเดิม จารึกเปรุมบุร ของวีรราเชนทร์ที่ ๑ กล่าวว่า “หลังจาก
พิชิตกฎารัมแล้ว ทรงพระทัยที่ได้คืนเมืองแก้วพระราชาของ เมืองผู้นี้ผู้บูชาพระบาทของ
พระองค์อนั ประดับด้วยทองพระกร”
๑๖๑๒ - ๑๖๑๓ วิชัยพาหทุ ี่ ๑ ทรงรวบรวมลงั กาเป็นอันหน่ึงอนั เดียวกนั และทรงเปน็ พันธมิตรกับเมืองพุกาม
๑๖๑๘ - ๑๖๒๒ วชิ ัยพาหุท่ี ๑ ทรงเชิญพระสงฆ์จากพม่าไปร้อื ฟน้ื สถาบนั สงฆข์ องลังกาให้บริสทุ ธพ์ิ ระราชา
แหง่ โจฬะทรงอ้างในจารึกบนแผ่นหินท่เี มอื งกวางตุ้งว่าทรงเปน็ “ผู้เป็นใหญแ่ ห่งซานโฟจี้
(ศรวี ชิ ัย)”
๑๖๕๔ - ๑๖๗๕ จารึกโปโลนนะลุวะ ลังกา ระบุว่าในรัชกาลพระเจ้าวิกรมพาหุที่ ๑ ลังกาได้ส่งพระอนันทเถระ
ไปเปลีย่ นศาสนาของ ตมลงิ คมุ (ตามพรลงิ ค)์ เป็นแบบเถรวาท สำนกั มหาวหิ ารของลังกา
๑๗๑๙ ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช : แห่งเมืองพระโคทรงขออนุญาตกษัตริย์ลังกา ตั้งเมือง
นครศรธี รรมราชข้นึ มาใหมแ่ ละต้งั สังฆราชองคใ์ หม่
๑๗๒๖ จารึกที่ฐานพระพุทธรูปแห่งครหิกกล่าวถึง “กัมรเตง อัญ มหาราช ศรีมัตไตร-โลกยราช เมาลิ
ภูษนวรมเทวะ”
๑๗๓๙ นรปติสิทถู (จันสูที่ ๒) ตามจารึกวัดธรรมราชกะ เมืองพุกาม ได้ทรงแผ่อำนาจมายังภาคใต้
ต้ังแต่ทวายมาถึงตะก่วั และ (สิรธิ รรม) นคร
๑๗๗๓ จารกึ วดั หวั เวยี ง ไชยา ศกั ราชกาลิยคุ ๔๓๓๒
- ตัวอกั ษรแบบเดียวทีใ่ ช้จารึกภาษากะวิ (kawi) ในเกาะชวา
- พระเจ้า “จันทรภาณุ ศรธี รรมราช” แห่งปทั มวงศ์ ผู้เป็นเจา้ ตามพรลงิ ค์
“ทรงฉลาดในนติ ศิ าสตรเ์ สมอดว้ ยพระเจ้าอโศกมหาราช”
๑๗๙๐ จันทรภาณทุ รงโจมตีลงั กาครัง้ ท่ี ๑ ในปีท่ี ๑๑ องค์รชั กาลพระเจา้ ปรักกมพาหุเจ้าชายวรี พาหุ
พระนดั ดาของพระองค์ทรงขบั ไลจ่ นั ทรภานุออกไปได้
๑๘๐๕ จนั ทรภาณทุ รงโจมตลี งั กาครง้ั ที่ ๒
ที่มา : วินัย พงศ์ศรีเพียร. “ดินแดนไทยตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐,” ในคู่มือการ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทยจะเรียนจะสอนกันย่างไร. กรุงเทพมหานคร:
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร, ๒๕๔๓ หน้า ๗๓
๑๙
นครศรีธรรมราชสมยั รวมเข้าเปน็ ส่วนหนึง่ ของราชอาณาจักรสยาม
๑. นครศรีธรรมราชสมยั สโุ ขทยั
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นครศรีธรรมราชหรือตามพรลิงค์เป็นเมืองใหญ่ในคาบสมุทรมลายู
มแี สนยานุภาพทางทหาร โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงทพั เรือ สามารถยกทัพไปตีลังกาถงึ สองครั้ง
นครศรีธรรมราชเป็นรัฐเอกราชที่มีความเป็นอิสระในตัวเองและมีความเจริญรุ่งเรืองในสมัย
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์แห่งอาณาจักรสุโขทัยนั้นนครศรีธรรมราชเป็นรัฐที่มีความมั่งคั่ง มั่นคง และมี
แสนยานุภาพแผ่อำนาจไปทั่วแหลมมลายู และสามารถยกทพั ไปรบได้ถงึ ประเทศลังกา และเป็นเมอื งศูนย์กลาง
แห่งการเผยแผ่พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท (ลัทธิลังกาวงศ์) ในขณะที่สุโขทัยยังคงอยู่ในสภาพที่เพิ่งจะเริ่มต้นข้ึน
ซึง่ เห็นไดจ้ ากการสนบั สนุนให้คนสร้างบา้ นเป็นเมืองและยังมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก ตามความท่ีปรากฏ
ในหลักศิลาจารึกหลกั ที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหง แสดงว่ายังเป็นเมืองที่เลก็ อยู่และศิลาจารึกหลักเดียวกันน้ี (จารึก
ในราว พ.ศ. ๑๘๓๕) ยังได้กล่าวถึงเมืองนครศรธี รรมราช มขี ้อความตอนหน่ึงว่า (สังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎก
ไตร หลวกกวา่ ปคู่ รใู นเมืองน้ี ทุกคนลุกแตศ่ รีธรรมราชมา...) ซึ่งแสดงให้เห็นวา่ นครศรีธรรมราชมีมาก่อนสุโขทัย
เป็นเวลาช้านาน และมีความเจริญรุ่งเรืองทางวิชาการ โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนาและวรรณกรรม
และเพื่อเป็นการยกย่องและแสดงความน่าเชื่อถือต่อภูมิปัญญาของชาวนครศรีธรรมราช พ่อขุนรามคำแหง
ถึงกบั ระบุไวอ้ ยา่ งชดั เจนในศลิ าจารกึ ดังกล่าวแล้ว
สรุปได้ว่าในช่วงตั้งแต่หลังพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้นมา ในสมัยสุโขทัยรุ่งเรืองขึ้นมานั้น
นครศรีธรรมราชมีสถานะเป็นดินแดนอิสระที่สำคัญของคาบสมุทรมลายู มีบทบาทสำคัญเรื่อง การเผยแผ่
พระพุทธศาสนา และการประดิษฐ์อกั ษรของสุโขทยั โดยอาศัยนักปราชญจ์ ากนครศรีธรรมราชเปน็ ผู้ดำเนนิ การ
ศิลาจารกึ หลักที่ ๑ ของพ่อขนุ รามคำแหง
๒. นครศรีธรรมราชสมยั อยุธยา
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. ๑๘๘๗ ที่กรุงอโยธยา ครั้น พ.ศ.
๑๘๙๒ ได้ทรงย้ายราชธานไี ปอยู่ริมหนองโสน และทรงเปลี่ยนนามว่า “กรุงศรีอยุธยา” ได้เสด็จขึ้นครองราชย์
เปน็ ปฐมกษัตริยเ์ มื่อ วนั ท่ี ๔ มีนาคม พ.ศ. ๑๘๙๓ ในรัชสมัยของสมเดจ็ พระรามาธบิ ดีท่ี ๑ น้ี นครศรีธรรมราช
อยู่ในฐานะเป็นเมืองพระยามหานครขึ้นตรงกับอยุธยาต้องส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทอง เครื่องราชบรรณาการ
แก่อยุธยาตามกำหนดทุกปี และยังคงมีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองปักษ์ใต้ทั้งปวง ตามที่กฎในบัญชีเมือง
๑๒ นักษัตร ทกุ ประการ
๒๐
ครั้นถึงรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทรงปฏิรูปการปกครองบ้านเมืองรวมศูนย์อำนาจ มาอยู่ที่
พระมหากษัตริย์ ทรงกำหนดระบบศักดินามาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน และกำหนดให้มีหน่วยงานหลักในการ
บริหารประเทศแบ่งเป็น ๔ ฝ่าย เรียกว่า จตุสดมภ์ คือ เวียง วัง คลัง นา และได้ทรงตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อใช้ในการ
บรหิ ารราชการแผน่ ดนิ เพม่ิ เตมิ จากของเก่าทมี่ ีมาก่อนแล้ว ท่สี ำคญั เช่น กฎหมายศกั ดนิ าขา้ ราชการฝ่ายพลเรือนทหาร
และข้าราชการหัวเมือง กฎหมายอาญาหลวง (เพิ่มเตมิ ) กฎหมายลักษณะกบฏศึกและกฎมณเฑียรบาล เป็นต้น
ในส่วนของนครศรีธรรมราชได้เปลี่ยนฐานะจากเมืองพระยามหานครเป็นหัวเมืองชั้นเอก ในปี พ.ศ. ๑๙๙๘
เจา้ เมอื งไดร้ ับบรรดาศกั ด์เิ ปน็ เจ้าพระยาศรธี รรมราช ถือศกั ดินา ๑๐,๐๐๐ และดำรงฐานะเชน่ นีม้ าตลอดสมัยอยธุ ยา
อนึ่งในครั้งนั้นได้ทรงกำหนดให้มีหัวเมืองชั้นเอก ๓ เมือง คือ เมืองพิษณุโลก เมืองนครราชสีมาและเมือง
นครศรธี รรมราช เพ่อื เปน็ หัวเมืองหลักในการควบคุมดูแลหัวเมอื งชัน้ นอกและหวั เมืองประเทศราชของอยธุ ยา
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นต้นมา เมืองนครศรีธรรมราช จึงได้เข้าร่วมเป็น
ส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอยุธยาอย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าแต่ก่อน ทางเมืองหลวงสามารถเข้าไปควบคุมดูแลการ
ปกครองของนครศรีธรรมราชได้อย่างใกล้ชิด เพราะนอกจากทางเมืองหลวงจะเป็นผู้แต่งตั้งเจ้าเมืองออกไปปกครอง
โดยตรงแล้วยังเป็นฝ่ายกำหนดและแต่งตั้งข้าราชการตำแหน่งสำคัญ ๆ ในเมืองนครศรีธรรมราชอีกด้วย เช่นตำแหน่ง
“ยกกระบัตร” ซึ่งจะแต่งตั้งจากผู้มีความดีความชอบและความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว ออกไปควบคุม
การบริหารงานในหัวเมอื งของเจ้าเมืองอกี ดว้ ย
อยา่ งไรก็ตาม ถึงแมว้ า่ ทางเมืองหลวงส่งคนออกไปปกครองเมืองนครศรีธรรมราชโดยตรงแลว้ แต่ถ้าเม่ือใด
ทางเมอื งหลวงเกิดการแย่งราชสมบัติกันจนบา้ นเมืองระสำ่ ระส่ายและอ่อนกำลังลงหรือมีการเปลย่ี นแปลงราชวงศ์ที่
ขึ้นครองราชย์ โดยมิได้เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีแล้ว เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชก็มักจะแข็งเมืองต่อทาง
เมืองหลวง ไม่ยอมส่งต้นไม้เงิน ตน้ ไม้ทอง เครือ่ งราชบรรณาการตามประเพณีที่เคยส่ง เช่น ในสมัยพระเจ้าปราสาท
ทองและสมัยพระเพทราชา เป็นต้น โดยในสมัยพระเจ้าปราสาททอง (ครองราชย์ ปี พ.ศ. ๒๑๗๓ - ๒๑๙๘) นับเป็น
ครั้งแรกท่ีนครศรีธรรมราชเป็นกบฏ โดยมีสาเหตุมาจากความแตกแยกของข้าราชการในอยุธยาและมีการ
ผลัดเปลี่ยนกษตั รยิ ์ในปี พ.ศ. ๒๑๗๒ ซ่งึ ตรงกับสมยั พระอาทิตยวงศ์
เหตุการณ์ในครั้งนั้นเริ่มต้นจากเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ซึ่งต้องการเป็นกษัตริย์ปกครองอยุธยา
แทนพระอาทิตยวงศ์ ได้วางแผนกำจัดออกญาเสนาภิมุข (ยามาดา) เจ้ากรมอาสาญี่ปุ่น ผู้มีอำนาจในอยุธยาอย่างมาก
ในเวลานั้นให้ออกไปเสียจากอยุธยา เพื่อที่จะได้ไม่ขัดขวางตนเองที่จะปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยส่งให้
ออกญาเสนาภิมุขมาปราบกบฏที่ปัตตานีแต่เสียทีถูกอาวุธบาดเจ็บสาหัส กลับมารักษาตัวที่เมืองนครศรีธรรมราช
จนเกือบหาย ถูกพระยามะริดซึ่งช่วยราชการอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ได้ใช้ผ้าพันแผลอาบยาพิษพันแผลให้
จนถึงแก่กรรมเพราะยาพิษใน พ.ศ. ๒๑๗๓
เมื่อออกญาเสนาภิมุขเสียชีวิตแล้วนครศรีธรรมราชก็ตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นกับอยุธยาอีกเพราะไม่เห็นด้วย
กับการปราบดาภเิ ษกของเจา้ พระยากลาโหมสรุ ิยวงศ์ ทีข่ นึ้ เปน็ กษตั ริย์ทรงพระนามว่า พระเจา้ ปราสาททอง อยุธยาจึง
ได้ส่งกองทัพมาปราบปราม โดยมีออกพระศักดาพลฤทธิ์และออกญาท้ายนำ้ เป็นแม่ทัพและสามารถตีนครศรีธรรมราช
ได้สำเรจ็
๒๑
๓. นครศรีธรรมราชสมยั กรุงธนบุรี
หลังจากกู้อิสรภาพอยุธยาจากพม่าได้แล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งกรุงธนบุรี
เป็นราชธานีแล้วปราบชุมนุมต่าง ๆ ครั้นใน พ.ศ. ๒๓๑๒ โปรดให้เจ้าพระยาจักรี (หมุด) พระยาอภัยรณฤทธิ์
พระยายมราช และพระยาเพชรบุรี ยกทัพบกเป็นทัพหน้าไปปราบชุมนุมเจ้านครแต่ทำการไม่สำเร็จ
เพราะขัดแย้งกัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงเสด็จยกทัพเรือไปตีเมืองนครศรีธรรมราชด้วยพระองค์เอง
อกี ทางหน่งึ เมอื่ กองทัพเมอื งหลวงเข้าตีค่ายท่าหมาก ท่ีคลองปากนคร และที่คลองศาลาสีห่ น้า (บา้ นปากพญา) แตก
เจา้ นครศรธี รรมราช (หน)ู จงึ ท้งิ เมืองอพยพครอบครวั ลงไป ณ เมอื งสงขลา ใหห้ ลวงสงขลา (วเิ ถยี น) พาไปพัก
พิงที่เมืองเทพา เมืองปัตตานี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้เจ้าพระยาจักรีและพระยาพิชัยราชา
ยกกองทพั เรือตดิ ตามไปปตั ตานี มหี นงั สอื ขอใหย้ อมส่งตัวเจ้านครศรธี รรมราช (หนู) คืน เจ้าเมืองปัตตานียอมส่งตัว
เจ้านครศรีธรรมราช (หนู) มาถวายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโดยดี ครั้นได้เมืองนครศรีธรรมราชเรียบร้อยแลว้
ทรงแต่งตั้งพระเจ้าหลานเธอเจ้านราสุริยวงศ์ครองเมืองนครศรีธรรมราชต้ังแต่ พ.ศ. ๒๓๑๒ จนถึงแก่พิราลัย
ใน พ.ศ. ๒๓๑๙ แล้วทรงแต่งตั้งเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ให้กลับไปปกครองเมืองนครครีธรรมราชอีกครั้ง
โดยพระราชทานบรรดาศักดเิ์ ป็นพระเจ้านครศรธี รรมราช (หน)ู เจา้ ขัณฑสมี า ใหม้ ีเกียรตเิ สมอเจ้าประเทศราช
มีอำนาจแต่งต้ังขุนนาง ตามระบบจตสุ ดมภไ์ ด้เชน่ เดยี วกับราชธานี
ในสมัยกรุงธนบุรีการจัดการปกครองยังคงใช้ระบบจตุสดมภ์ เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา รวมทั้งการใช้
กฎหมายต่าง ๆ กน็ ำแบบอย่างมาจากสมัยอยุธยาแทบทัง้ ส้ิน เว้นแตท่ ่ีเมืองนครศรีธรรมราช มคี วามแตกตา่ งกันตรงท่ี
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกฐานะเมืองนครศรีธรรมราชที่เป็นเมืองเจ้าพระยามหานครอยู่ก่อน (หัวเมือง
ชั้นนอก) ขึ้นเป็นเมืองประเทศราช ทรงยกยอ่ งเมืองนครศรธี รรมราชให้มีเกียรติยศเสมอเจ้าประเทศราช ตั้งพระยา
อัครมหาเสนาและจตุสดมภ์สำหรับเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าเมืองได้รับพระสุพรรณบัฏเป็นพระเจ้า
นครศรีธรรมราช (หนู) เจ้าขัณฑสีมา แต่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชที่ดำรงฐานะเป็นเจ้าประเทศราชในสมัย
กรุงธนบุรีมีเพียง ๒ องค์ คือ พระเจ้าหลานเธอเจ้านราสุริยวงศ์เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ระหว่าง พ.ศ.
๒๓๑๒ - ๒๓๑๙ และพระเจา้ นครศรธี รรมราช (หน)ู ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๓๑๙ - ๒๓๒๗
ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองนครศรีธรรมราชกับกรุงธนบุรีนับว่ามีความสัมพันธ์กันแน่นแฟ้นมาก
โดยเฉพาะความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเจ้าเมืองกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทั้งนี้เพราะเจ้านราสุริยวงศ์
มีฐานะเป็นพระเจ้าหลานเธอและพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ก็มีฐานะเป็นพระสัสสุระ (พ่อตา)
ของพระเจา้ กรงุ ธนบุรีดว้ ย
เมืองนครครีธรรมราชมีประวัติศาสตร์ความเจริญและศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่มาแล้ว ตั้งแต่สมัยอาณาจักร
ตามพรลิงค์ สุโขทัย และเป็นเมืองเจ้าพระยามหานคร หรือเมืองชั้นเอกมาแต่สมัยอยุธยาและเป็นศูนย์กลาง
ของหวั เมอื งปกั ษ์ใตต้ ลอดมาทุกสมัย
๒๒
ฐานที่ตั้งของเมืองนครศรีธรรมราช เหมาะสมในแง่ยุทธศาสตร์สมัยกรุงธนบุรี เพราะเป็นเมืองใหญ่
ค่อนลงมาทางใต้ ไกลจากเมืองหลวงพอสมควร แต่ในยามเกิดศึกสงครามก็ไม่เกินกำลังหรือเวลาที่จะเดินทัพ
มาสมทบกับเมืองหลวงได้ทั้งทางบกและทางเรือ ประกอบกับเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่นอกเส้นทางการ
เดินทัพโดยปกติของข้าศึก ท่ีมุ่งมาประชิดเมืองหลวง จึงไม่ค่อยถูกย่ำยีหรือยับเยินเพราะสงคราม เหมาะกับ
การเปน็ ชุมกำลงั พลกับคลังสรรพาวุธและเสบียงอาหาร เพ่อื เสรมิ กำลงั กบั ทางเมืองหลวงได้เปน็ อย่างดี
นอกจากนัน้ เมอื งนครศรีธรรมราชยังมีเมืองบริวารต้ังแตช่ มุ พรลงไปจนถงึ เมืองปตั ตานี ไทรบุรี กลนั ตัน
ตรังกานู ซึ่งบริบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ กำลังทางเศรษฐกิจและกำลังคน นครศรีธรรมราชเป็นเมืองท่า
ค้าขายสำคัญกับต่างประเทศ ช่วยให้สามารถจัดซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ ได้สะดวกกว่าเมืองหลวงและเมืองอื่นที่อยู่
ห่างเส้นทางค้าขายกบั ต่างประเทศ โดยเฉพาะในยามศึกสงคราม
ดว้ ยเหตุผลดังกล่าว จงึ อาจสรปุ ได้วา่ การที่สมเด็จพระเจา้ กรุงธนบุรีทรงยกฐาน เมืองนครศรีธรรมราช
ขนึ้ เปน็ เมอื งประเทศราชน้ันเปน็ ด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตรม์ ากกว่าการยกย่องบุคคลเป็นการส่วนพระองค์
๔. นครศรีธรรมราชสมยั กรุงรัตนโกสนิ ทร์
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จขึ้นครองราชย์และสถาปนากรุงเทพมหานคร
เป็นราชธานี ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้วทรงพระราชดำริว่าที่พระเจ้ากรุงธนบุรี ยกเจ้านครขึ้นเป็นเจ้าประเทศราช
เป็นการให้อำนาจมากเกินไป จึงโปรดให้ลดบรรดาศักดิ์ลงเป็นเจ้าพระยานคร ซึ่งเป็นเจ้าเมืองชั้นเอก
เช่นเดียวกับเมืองพิษณุโลกและเมืองนครราชสีมา และให้ลดตำแหน่งเสนาบดีเมืองนครลงเป็นกรมการเมืองเหมือน
หวั เมอื งอ่ืน ๆ และให้ยกเมืองสงขลาซง่ึ ขน้ึ กบั เมืองนครอยู่ในครั้งน้ัน เปน็ หัวเมอื งข้นึ ตรงตอ่ กรงุ เทพมหานครดว้ ย
ครั้น พ.ศ. ๒๓๒๗ ได้โปรดเกล้าให้พระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) พ้นจากตำแหน่งและเอาตัว
เข้ารับใช้ราชการในกรุงเทพมหานคร พร้อมกันนั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอุปราช (พัฒน์)
ซ่ึงเป็นบตุ รเขยของเจา้ นคร (หน)ู ขนึ้ ไป “เจา้ พระยานครศรธี รรมราช” แทน ในวันเดยี วกัน
ในสมยั รตั นโกสินทร์ตอนต้น ทางเมอื งหลวงได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าเมอื งนครศรีธรรมราช ๔ คน
๑. ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตั้งอุปราช (พัฒน์) เป็นเจ้าพระยา
นครศรธี รรมราช (พฒั น)์ พ.ศ. ๒๓๒๗
๒. ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลัานภาลัย ตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) เป็นพระยา
นครศรีธรรมราช (นอ้ ย) พ.ศ. ๒๓๕๔
๓. ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจา้ อยู่หวั ตง้ั พระเสนห่ ามนตรี (น้อยกลาง) บตุ รเจา้ พระยา
นคร (น้อย) เป็นพระยานครศรีธรรมราช (นอ้ ยกลาง) พ.ศ. ๒๓๘๒
๔. ในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ตง้ั พระยาสธุ รรมมนตรี (พร้อม) บตุ รเจ้าพระยา
นครศรีธรรมราช เปน็ เจา้ พระยาสุธรรมมนตรี เจา้ เมืองนครศรีธรรมราช พ.ศ. ๒๔๑๐
๒๓
ถงึ แมว้ า่ จะถูกลดอำนาจลงมากมายก็ตาม แตน่ ครศรธี รรมราชยงั เปน็ เมืองท่สี ำคัญที่สุดของปักษ์ใต้อยู่
เพราะตอ้ งกำกบั ไทรบรุ ี กลันตนั และเปน็ ผูด้ ูแลรักษาหัวเมอื งฝา่ ยตะวนั ตก ตลอดจนปราบปรามแขกสลัดและ
สบื ข่าวความเคลื่อนไหวของพม่าในภาคใต้ นอกจากน้ตี ัวเจ้าเมืองกรมการยงั มีหน้าท่ีสว่ นตัวที่จะต้องปฏิบัติต่อ
เมืองหลวงเพื่อจะแสดงความจงรักภักดี ด้วยการส่งต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง เครื่องราชบรรณาการเข้าไปถวายใน
เมืองหลวง ปีละ ๒ ครั้ง เนื่องจากเป็นหัวเมืองชั้นเอก ซึ่งมีหลักฐานปรากฎอยู่ในตราตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์
เป็นพระยานครศรีธรรมราชว่า... “อนึ่งเมืองนครเป็นเมืองเอก ถึงงวดปีแล้วให้จัดแต่งดอกไม้ทองเงิน เครื่องราช
บรรณาการส่งเขา้ ไปทูลเกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวาย ปลี ะ ๒ งวดตามบรุ าณราชประเพณสี บื มาแต่กอ่ น ทกุ ปีอย่าให้
ขาด”.... และมีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อประชาชนชาวเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อไม่ให้เป็นผู้สร้างความเดือดร้อน
ให้แก่ประชาชนซึ่งนับเป็นภาระที่หนักมากสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชแต่ทางเมืองหลวง
ก็เข้าใจถึงภาระหน้าที่อันยากลำบากของเจ้าเมืองน้ี จึงมอบอำนาจให้แก่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชมากกว่า
เจ้าเมืองอนื่ ๆ เพอ่ื เปน็ การชดเชยภาระหนา้ ท่ีทีม่ ีอยู่
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เจ้าเมืองนครครีธรรมราชที่มีบทบาทมากกว่าเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช
คนอื่นๆ คือ เจ้าพระยานคร (น้อย) เพราะแม้ว่าจะไม่ได้ปกครอง เมืองนครศรีธรรมราชในฐานะเจ้าประเทศราช
ดังเช่น พระเจ้านครศรีธรรมราชในสมัยกรุงธนบุรี แต่ในทางพฤตินัยเจ้าพระยานคร (น้อย) มีอำนาจในการ
ปกครองหวั เมอื งฝ้ายใตท้ ้ังหมดตลอดถงึ ไทรบุรี ตรังกานู เประ
นอกจากนย้ี งั เป็นผู้สำเรจ็ ราชการทางภาคใต้ฝัง่ ตะวนั ตกอีกด้วย เนื่องจากท่าน มีความสามารถพิเศษ
ในด้านการตอ่ เรอื และการบังคับบัญชากองทัพเรอื
ความกลา้ หาญเฉลียวฉลาด และรอบรู้ของเจ้าพระยานคร (นอ้ ย) และความสัมพนั ธ์อันดีกับราชสำนัก
ในกรุงเทพฯ ทำให้ฐานะของเมืองนครศรีธรรมราชก็ดีตามขึ้นไปด้วย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรง
ราชานุภาพทรงกล่าวยกย่องพระยานคร (น้อย) วา่
“เปน็ ผูม้ อี ำนาจมากกว่าเจา้ พระยานครทั้งปวง ได้บังคบั บัญชาตลอดขึ้นมาถึงเมืองไชยาของฝง่ั ตะวันตก
ก็มีอำนาจแผ่เชื่อมไปถึงถลาง นำทัพศึกที่เป็นเรื่องสำคัญ ก็คือเมืองไทรมีอำนาจในเมืองแขกมากนับถือเป็นเจ้า
แผ่นดินรอง เป็นผู้ได้รับอำนาจทำหนังสือกับอังกฤษ เจ้าของพระองค์นวโลหะพระเเท่นถม พระยานถม
พระแสงง้าว พระแสงทวนถม และอนื่ ๆ”
เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้สร้างความสำคัญให้แกเ่ มืองนครศรธี รรมราชเปน็ อนั มาก งานสำคัญของท่าน
มีทั้งด้านการปกครอง การช่าง การรบ และการทูต กล่าวคือ ในด้านการปกครอง ได้ปกครองบ้านเมืองด้วย
ธรรมานภุ าพ บ้านเมอื งสงบเรยี บร้อยนา่ สรรเสรญิ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ทรงกล่าวไว้ใน
หนังสือสาส์นสมเด็จภาคที่ ๖ ว่าเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นโอรสลับของพระเจ้ากรุงธนบุรีปกครองบ้านเมือง
เขม้ แขง็ กวา่ เจ้าเมอื งแตก่ ่อน
๒๔
ด้านการช่าง ได้ต่อเรือรบและเรือกำปั่นแปลงแก่กองทัพไทยในสมัยรัชกาลที่ ๒ จำนวน ๓๐ ลำ
ได้สง่ เสรมิ ศลิ ปะหัตถกรรม เครือ่ งถมผ้ายกเมืองนครจนเป็นที่ร้จู ักกว้างขวาง
ด้านการรบ ได้ทำศึกสงครามเพื่อปราบปรามกบฏเมืองไทรบุรีชนะทำให้ไทรบุรียังคงขึ้นอยู่กับไทย
และทำใหอ้ งั กฤษยอมรับว่าไทรบรุ เี ปน็ ประเทศราชของไทย
ด้านการทูต ได้ทำหน้าที่เจรจาความเมืองชั้นต้น เพื่อเจริญความสัมพันธ์ทางไมตรีกับตัวแทนรัฐบาล
อังกฤษ (จอร์น ครอเฟิร์ดและเฮนรี่ เบอร์นี) หลายครั้งก่อนที่จะเดินทางไปเข้าเฝ้าทีก่ รุงเทพมหานคร ลักษณะ
เดน่ เชน่ นีท้ ำให้ราชธานี ใหอ้ ำนาจและความไวว้ างใจแก่เจา้ เมืองนครศรธี รรมราชมากกว่ายุคสมยั ใด
เมอ่ื เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช (นอ้ ย) ถงึ แกอ่ สัญกรรมใน พ.ศ. ๒๓๘๒ พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
แต่งตั้งพระเสน่าหามนตรี (น้อยกลาง) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรธี รรมราชซึ่งเป็นบุตรคนที่ ๔ ของเจ้าพระยา
นคร (น้อย) กับท่านผู้หญิงอินเป็นเจ้าเมือง ปรากฏนามในตราตั้งว่า พระยานครศรีธรรมราช แต่คนทั่วไป
มักเรียกว่า พระยานครน้อยกลาง ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ใน พ.ศ. ๒๓๙๕
และถงึ อสัญกรรมใน พ.ศ. ๒๔๑๐
ภายหลงั อสัญกรรมของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช (น้อย) ทางกรุงเทพมหานคร ประสงค์จะโอนอำนาจ
เจ้าเมืองมาไว้ในส่วนกลางให้มากขึ้นจึงเข้าไปเกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาเมื องไทรบุรีโดยตรงเสียเอง
แทนที่จะยินยอมให้นครศรีธรรมราชเป็นตัวแทนราชธานีในการดูแล รักษาราชอาณาจักรทางใต้ ดังเช่น
ในสมัยเจ้าพระยานคร (น้อย) ซึ่งยกเมืองสตูลซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับนครศรีธรรมราช ไปขึ้นกับเมืองสงขลา ทั้งน้ี
สืบเนื่องมาจากปัญหาความขัดแย้งกับอาณาเขตระหว่างประเทศไทย กับบริษัทอังกฤษทางหัวเมืองมลายู
สามารถตกลงกันไดเ้ รียบร้อย เปน็ ผลให้กรุงเทพมหานคร สามารถแก้ปัญหาเมืองไทรบุรลี งไดส้ ำเรจ็
นอกจากนี้ทางกรงุ เทพมหานคร สามารถต่อเรือใหญ่กว่าเรือกำปั่นที่เจ้าพระยานคร (น้อย) สร้าง จึงสามารถ
เดินทางไปมาติดต่อกันได้สะดวกกว่าเดิม ทำให้เมืองนครศรีธรรมราชใกล้หูใกล้ตากรุงเทพมหานครมากขึ้น
จนทำให้เชื่อได้วา่ ไมเ่ ป็นอนั ตรายต่อเสถยี รภาพของราชธานี บทบาทของเมอื งนครศรีธรรมราชจึงลดลงไปเหลือ
เป็นเมืองเอกเมืองหนึ่ง มีหน้าที่แต่เพียงกำกับหัวเมืองปักษ์ใต้อื่น ๆ ตามคำสั่งของทางราชธานีเท่านั้น ส่วน
บทบาทของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) ได้ปฏิบัติราชการด้วยดี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดใหส้ ถาปนาเปน็ เจา้ พระยานครศรีธรรมราชใน พ.ศ. ๒๓๙๕
สิ้นสมัยเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) ในพ.ศ. ๒๔๑๐ บุตรคนโตคือ พระเสน่หามนตรี
(หนูพร้อม) ก็เข้าดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเป็นพระยานครศรีธรรมราช สืบแทนปรากฏนามภายหลังว่า
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี คนทั่วไปรู้จักอีกนามหนึ่งว่าเจ้าพระยาขนทวน ในเวลานั้นแม้ว่าจะไม่มีศึกพม่า
หรือญวนแล้วก็ตาม แต่ไทยต้องเผชิญหน้ากับฝรั่งชาติตะวันตก ที่เข้ามาล่าอาณานิคมในแถบ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือฝรั่งเศสและอังกฤษ การดำเนินนโยบายปิดปร ะเทศแบบเดิมซึ่งใช้มาครั้ง
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น มิอาจทำให้ปลอดภัยจากการคุกคามของมหาอำนาจตะวันตกได้
๒๕
แม้เราจะยอมผ่อนปรนตามเงื่อนไขของฝรั่งทั้งสองชาติไปบ้างแล้วก็ตาม หนทางที่จะรอดปลอดภัยจากการ
สูญเสียเอกราชทางหนึ่ง ก็คือการจัดการปกครองหัวเมืองเสียใหม่ให้รัดกุมและมีเอกภาพกว่าที่เป็นอยู่
ตอ้ งพยายามเสรมิ สรา้ งกำลงั และปดิ ช่องวา่ งอันเกิดจากการปกครองเสยี โดยเรว็
ในพ.ศ. ๒๔๑๘ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนูพร้อม) ถูกเรียกตัวไปอยู่ในกรุงเทพมหานคร
เนื่องจากบกพร่องหน้าที่ราชการให้ทรงตำหนิติเตียนได้ เช่น ไม่ได้ไปรับเสด็จพระราชดำเนินเมืองไทรบุรี
ใน พ.ศ. ๒๔๑๔ ทั้งที่เมืองนครศรีธรรมราชบังคับบัญชาเมืองไทรบุรีอยู่ และในปีนั้นเองได้โปรดเกล้าให้เลื่อน
บรรดาศกั ดิพ์ ระยาไทรบรุ ีขน้ึ เปน็ เจา้ พระยาแล้วเมืองไทรบรุ ีข้นึ ตรงต่อกรุงเทพฯ และถูกขนุ พบิ าลกล่าวฟ้องร้องโทษ
ใน พ.ศ. ๒๔๑๙ จนกรมพระยากลาโหมตอ้ งต้ังตุลาการเพ่อื ชำระความตดั สิน
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนูพร้อม) ถูกเรียกตัวเข้าไปรับราชการอยู่ในกรุงเทพมหานครเกือบ ๒๐ ปี
จึงได้กลับมารับราชการที่เมืองนครศรีธรรมราชอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. ๒๔๓๗ อันเป็นระยะเวลาที่ราชธานีกำลัง
ดำเนินการปฏิรปู การปกครองบา้ นเมืองแบบสมยั ใหมท่ ี่เรียกว่าระบบเทศาภิบาลอันส่งผลให้อำนาจและบทบาท
ของเมืองนครศรีธรรมราชที่เคยเป็นหัวเมืองชั้นเอกและมีความสำคัญที่สุดของปักษ์ใต้ลดลง กลายมาเป็น
หัวเมืองหนึ่งในมณฑลนครศรธี รรมราชอยใู่ นบังคับบัญชาของหลวงเทศาภบิ าลมณฑลนครศรธี รรมราช
ในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หัว (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๕๖๘) ได้มีการเปล่ยี นแปลง
การบริหารราชการแผ่นดินด้านการปกครองหัวเมืองอีกครั้งหนึ่ง ในรัชกาลนี้ได้ โปรดฯให้มีการแต่งต้ัง
ตำแหน่งอุปราชปักษ์ใต้ขึ้นเพื่อปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้ทั้งหมด ในการนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งสมเดจ็ เจ้าฟ้ายคุ ลทิฆมั พร กรมหลวงลพบรุ รี าเมศวร์ ดำรงตำแหนง่ อปุ ราชปักษใ์ ต้
จนกระทั่งได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงได้ยุบมณฑลนครศรีธรรมราช
ลงเปน็ จังหวัดหนึ่งของราชอาณาจกั รไทยและดำรงฐานะดังกล่าวเร่อื ยมาจนปัจจบุ นั
ด้วยเหตุที่นครศรีธรรมราชมีประวัติอันยาวนานมาก่อนกรุงสุโขทัยซึ่งถือว่าเป็นราชธานีแรก ของไทย
มีความเจริญรุ่งเรืองทางศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงทำให้ศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญ เช่น
ประติมากรรม สถาปัตยกรรม จิตรกรรม ช่างฝีมือพื้นบ้าน การละเล่น และขนบธรรมเนียมประเพณี อันเป็น
มรดกทางวัฒนธรรมจึงมีมาก ซึ่งชาวเมืองยังยึดถือปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน นครศรีธรรมราชจึงมีอารยธรรมและ
ศลิ ปวฒั นธรรมทเี่ ปน็ เอกลกั ษณ์ของชาตบิ ้านเมืองมาจนกระทงั่ ปจั จุบัน
๒๖
Time Line ประวตั ิศาสตรน์ ครศรธี รรมราช
๑. ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ยคุ อาย(ุ ประมาณ) วฒั นธรรม หลกั ฐาน
ยคุ หนิ - -
ยุคหนิ กลาง - - เคร่ืองมือหนิ กะเทาะ
๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ ปี - มนษุ ยถ์ ้ำ
ยคุ หินใหม่ - วฒั นธรรมผี - เครอ่ื งมือหินขวาน หินขดั
๒,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปี - มนุษยถ์ ำ้ /เชิงเขา - ขวานหนิ ยาวหรอื ระนาดหนิ
ยุคโลหะ - วฒั นธรรมผี - หม้อสามขา
- กลองมโหระทกึ ทำดว้ ยสำรดิ
๒,๐๐๐ ปีลงมา - มนษุ ยเ์ ชงิ เขา/ลุ่มนำ้
- วัฒนธรรมผี
๒. ยุคประวัติศาสตร์
ยุค อายุ(ประมาณ) เหตกุ ารณ์ หลักฐาน
ชมุ ชนเริม่ แรก ศ.๑๑
- การเขา้ มาของศาสนา - ตำนาน
ตามพรลิงค์ ศ.๑๒ พราหมณ์ ศาสนาพุทธ - โบราณสถาน/วตั ถุ
ศรวี ิชยั ศ.๑๔ - การคา้ กบั ต่างชาติ - กล่มุ โบราณสถาน ๑๑ ลมุ่ น้ำ
(อินเดยี จนี อาหรบั ) - ศลิ าจารึก
- ศนู ย์กลางจกั รวาล - โบราณสถาน/วตั ถุ
- การสรา้ งมณฑลพราหมณ์ - ความเชอื่ -ประเพณี (ลัทธิไศวนกิ าย)
ศรธี รรมราช/ ศ.๑๘ - เมืองภายใต้ศรวี ิชยั - พุทธมหานิกาย
สริ ธิ รรมนคร/ ศ.๒๐ - บันทึกหลวงจีนอี้จงิ
สริ ธิ ัมนคร - เมอื ง ๑๒ นกั ษัตร - บันทึกเจาจกู วั
(ราชวงศศ์ รี - พระเจา้ ศรีธรรมโศกราช ฯลฯ
ธรรมโศกราช) - พทุ ธศาสนาลทั ธิลงั กาวงศ์ - พระบรมธาตุ
- การไปตลี งั กา - ตำนาน
นครศรีธรรมราช - การสร้างพระธาตุ - ประเพณ/ี วฒั นธรรม
ยุคเส่ือมถอย - ความสัมพันธก์ ับพระร่วง - หลักฐานลังกา
- การแบง่ อาณาเขตกบั อยธุ ยา - ตำนาน
- เกดิ ไขห้ า่ ครง้ั ใหญ่ - ตำนานชลิ กาลมณีปกรณ์
- ยอดพระธาตุหัก - ตำนาน
- ตำนาน
- ตำนาน
๒๗
ยคุ อายุ(ประมาณ) เหตุการณ์ หลกั ฐาน
เมืองพระยามหา ศ.๒๑ - แขกสลัดโจมตเี มืองนครฯ
นคร (พระบรมไตร (เผาวัดทา่ โพธิ์ ๒๑๗๑)
โลกนาถ) ขุนนาง พ.ศ. ๒๑๗๖ สมัยพระยารามราชทา้ ยนำ้
มาปกครอง
พ.ศ. ๒๒๓๐ - ยามาดะ (ออกญาเสนาภมิ ขุ ) - ประวัตศิ าสตร์
สมยั กรงุ ธนบรุ ี ปราบกบฎเมอื งนครฯ
พ.ศ. ๒๒๒๓ - ฝรั่งเข้าเมืองนครฯ
สมยั รตั นโกสนิ ทร์ พ.ศ. ๒๓๑๐
พ.ศ.๒๓๑๐ - มร.เดอลามาร์ (ฝรั่งเศส) - ประวัตศิ าสตร/์ แผนท่ี
พ.ศ.๒๓๑๒ มาทำ แผนท่ี
พ.ศ. ๒๓๒๕
พ.ศ. ๒๓๒๘ - สงครามพระเพทราชา
พ.ศ. ๒๓๕๔
- เสยี กรงุ ศรีอยธุ ยาครง้ั ท่ี ๒ - ประวตั ิศาสตร์
พ.ศ. ๒๔๗๖ - ตงั้ ตนเปน็ อิสระ - ประวตั ศิ าสตร์
(ชมุ นมุ เจา้ นคร)
- สงครามปราบก๊ก
- เมืองประเทศราช
- หัวเมืองใหญ่
- สงครามเกา้ ทัพ
- จดั ปกครองใหม่ (เมอื ง
นครศรธี รรมราช มี ๙ กรมใหญ่
๑๓ กรมยอ่ ย ๑๐ เมอื ง
๑๔ อำเภอ)
- เป็นจงั หวดั
๒๘
บุคคลสาคัญของจังหวัดนครศรธี รรมราช
พระเจ้าศรธี รรมาโศกราช
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
ประวตั ิความเปน็ มา
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เป็นปฐมกษัตริย์ผู้ครองนครศรีธรรมราช เป็นต้นราชวงศ์ปทุมวงศ์
เปน็ ผูส้ รา้ งเมืองนครศรธี รรมราช จากชุมชนเดมิ ซง่ึ มีชื่อเรยี กวา่ “ตามพรลิงค์” บนหาดทรายแกว้ บริเวณตำบล
ในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชในปจั จุบัน เม่ือปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗ จนกลายเป็นนครรัฐหรือ
เป็นอาณาจักรใหญ่ในคาบสมุทรไทย ก่อนที่จะเข้ารวมอยู่ในราชอาณาจักรไทย สมัยกรุงศรีอยุธยาในต้นพุทธ
ศตวรรษที่ ๒๐ พระนามกษัตริย์พระองค์นี้ ปรากฏอยู่ในหลักฐานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เช่น ตำนานเมือง
นครศรธี รรมราช และจารกึ ดงแม่นางเมอื ง
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นผู้ที่อพยพมาจากถิ่นอื่นและเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
เมื่อได้สร้างบ้านเมือง จึงนำเอาพระพุทธศาสนารวมทั้งลัทธิความเชื่อในศาสนาพราหมณ์มาด้วย พระนามว่า
“ศรีธรรมาโศกราช” ภายหลังได้ใช้เป็นพระนามหรือนามที่เป็นอิสริยยศของพระมหากษัตริย์หรือเจ้าเมืองที่
ปกครองเมืองตลอดมา พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้สร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเมื่อราว ๆ พ.ศ. ๑๐๙๘
คนทวั่ ไป เรยี กว่า “สิริธัมนคร”
๒๙
ในศิลาจารึกเมืองไชยา เรียกว่า “ตามพรลิงค์” หรือในจดหมายเหตุของจีน เรียกว่า“ตั้งมาหลิ่ง” เป็นต้น
การที่เรียกเมืองตามพรลิงค์ว่า “นครศรีธรรมราช” ปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
(หลักที่ ๑) เป็นคร้ังแรก ชือ่ น้มี ีเคา้ มลู ที่จะเช่ือถือได้ว่า เปน็ ราชอสิ รยิ ยศที่ถวายแด่องค์พระมหากษัตริย์ผู้ครอง
นครศรีธรรมราชว่า “ศรีธรรมราช”คงจะถือเป็นประเพณีสืบต่อเนื่องกันมาหลายองค์ จึงเป็นเหตุให้ไทยขนาน
นามราชธานีนี้ตามพระนามราชอสิ ริยยศของกษตั รยิ ผ์ คู้ รองนครนี้ว่า “นครศรธี รมราช”
ตง้ั แต่ครั้งสโุ ขทัยเปน็ ต้นมา เมอื งท่ีทรงสรา้ งเปน็ มหานครใหญ่มอี ำนาจมาก มกี ำแพงปราการโดยรอบ
ทง้ั ชั้นนอกช้ันใน นอกจากน้ันยงั มเี มืองขึ้น ๑๒ หวั เมอื ง เรียกวา่ ๑๒ นกั ษตั ร ตง้ั อยโู่ ดยรอบพระราชอาณาเขต
ด้านศาสนจักรได้ทรงสร้างสิ่งสำคัญคือสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้น จึงนับได้ว่าพระเจ้าศรีธรรมา
โศกราช เป็นผู้สร้างเมืองนครศรีธรรมราช และสร้างพระสถูปเจดีย์ที่เรียกว่า “พระบรมธาตุ”ปูชนียสถาน
ท่สี ำคัญค่บู ้านคเู่ มืองของไทยต่อมา
ผลงานหรือเกยี รติคุณท่ีไดร้ บั
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงมพี ระกรณียกิจและมีพระเกยี รติคณุ ดังน้ี
๑. ทรงเปน็ ปฐมกษัตริย์ของนครศรธี รรมราชโบราณ และได้สถาปนาให้เป็นอาณาจักรสำคัญ ในแหลม
อนิ โดจนี
๒. ทรงสร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๐๙๘ โดยสร้างกำแพง ป้อมปราการ
โดยรอบทั้งชั้นนอก ชั้นใน ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ ทำให้นครศรีธรรมราช เป็นมหานครใหญ่
และมีอำนาจมาก มีเมืองขึ้น ๑๒ หัวเมือง เรียกว่า ๑๒ นักษัตร ตั้งอยู่โดยรอบพระราชอาณาเขต โดยกำหนดให้ใช้สัตว์
ประจำปเี ปน็ ตราเมืองแต่ละเมอื ง
๓. ทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ขึ้นบนหาดทรายแก้ว ซึ่งนับเป็นปูชนียสถานอันสำคัญ ในสมัยต่อมา
ตราบจนปจั จุบนั
๓๐
เจ้าพระยานครศรธี รรมราช หรอื เจา้ พระยานคร (นอ้ ย)
ประวัติความเปน็ มา
เจ้าพระยานคร (น้อย) หรือเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เป็นเจ้าเมืองลำดับที่ ๓ ของเมือง
นครศรธี รรมราชในสมัยกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ นบั เปน็ เจา้ เมอื งท่ีมชี อ่ื เสียงโดดเด่นกว่าเจา้ เมืองใด ๆ ในสมยั เดยี วกัน
เพราะเป็นทั้งนักรบ นักปกครอง และเป็นผู้สันทัดในการช่างเป็นอย่างยอดเยี่ยม รับราชการสนองพระเดช
พระคุณชาติบ้านเมืองด้วยความอุตสาหะ จงรักภักดีซื่อสัตย์ ต่อพระบรมราโชบายในพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์อย่างแน่วแน่มั่นคงถึง ๓ รัชกาล คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จฬุ าโลกมหาราช พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัย และพระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกลา้ เจ้าอยู่หวั นับได้ว่า
เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ใด้บำเพ็ญกรณียกิจที่สำคัญแก่ชาติบ้านเมืองมายาวนานตั้งแต่วัยฉกรรจ์จนกระทั่ง
ถงึ อสัญกรรม
เจ้าพระยานคร (น้อย) หรือเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.
๒๓๑๙ เปน็ บตุ รพระยาสธุ รรมมนตรี (พฒั น์) มารดาชื่อ ปราง หรือ หนเู ล็ก ดา้ นชวี ิตครอบครัว เจา้ พระยานคร
(น้อย) สมรสกับท่านผู้หญิงอิน ซึ่งเป็นราชนิกูลธิดาพระยาพินาศอัคคี (ตระกูล ณ บางช้าง) พระบาทสมเด็จ
พระน่งั เกลา้ เจ้าอยูห่ วั ทรงเรยี กว่า “พอี่ ิน” ทา่ นผูห้ ญงิ อนิ มีบุตรธดิ ากับเจ้าพระยานคร (นอ้ ย) ๖ คน ในจำนวน
น้คี ือ เจา้ พระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) ซึ่งต่อมาได้ปกครองเมืองนครศรธี รรมราชสืบแทนบิดา ส่วนบุตร
ธดิ าของเจ้าพระยานคร (นอ้ ย) ท่เี กดิ จากภรรยาอน่ื ก็ยงั มีอกี หลายคน
๓๑
เจ้าพระยานคร (น้อย) เริ่มเข้ารับราชการอย่างจริงจังในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัย คอื ใน พ.ศ.๒๓๕๔ กลา่ วคือ เมอ่ื ถวายพระเพลงิ พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราชแล้ว เจา้ พระยานคร (พฒั น์) ไดเ้ ข้าเฝ้าทูลละอองธลุ ีพระบาทกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทาน
ถวายบังคมลาออกจากราชการเนื่องจากมีความชรา หูหนัก จักษุมืดมัวและหลงลืม พระบาทสมเด็จพระพุ ทธ
เลิศหล้านภาลัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เล่ือนเจ้าพระยานคร (พัฒน์) ขึ้นเป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี
และทรงตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ผู้ช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราชเปน็ “พระยาศรีธรรมาโศกราช” ว่า
ราชการเมืองนครศรีธรรมราช และได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชในรัชกาลที่ ๒ ภายหลังได้
ปราบปรามกบฏเมืองไทรบุรีครั้งแรกในพ.ศ. ๒๓๖๔ จนเป็นผลสำเร็จ และได้ปกครองเมืองนี้จนถึงแก่
อสัญกรรม ในวันจนั ทร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๘๑ สิรริ วมอายไุ ด้ ๖๒ ปีเศษ
ผลงานและพระเกียรติคณุ
๑. ด้านการปกครอง การตีเมืองไทรบุรี เป็นเมืองที่มีปัญหาในการปกครองของไทยตลอดเวลา
เจ้าพระยานคร (น้อย) ปกครองเมืองนคร ต้องใช้ความรู้ความสามารถทั้งในด้านการสงคราม การทูต
การปกครอง และการบริหารอย่างยิ่งยวด จึงสามารถรักษาเมืองไทรบุรีให้อยู่ภายในราชอาณาจักรไทยตลอด
ชีวิตของท่าน ทั้งนี้เพราะปัญหาเมืองไทรบุรีเป็นปัญหาละเอียดอ่อน อยู่ในภาวะล่อแหลมต่ออันตราย คือภัยจาก
เจ้าเมืองเดิมประการหนึ่ง และภัยจากอังกฤษที่กำลังแสวงหาเมืองขึ้นอีกประการหนึ่ง ภัยทั้งสองประการ
ดังกล่าวได้ทำใหเ้ จา้ พระยานคร (นอ้ ย) ตอ้ งยกกำลังไปปราบถึง ๔ ครัง้
๒. ด้านการทูต บทบาทของเจ้าพระยานคร (น้อย) ว่าเป็นนักการทูตคนสำคัญในยุคนั้น โดยเฉพาะ
การทูตระหว่างไทยกับอังกฤษในสมัยรัชกาลที่ ๒-๓ เจ้าพระยานคร (น้อย) มีความเฉลียวฉลาด มีปฏิภาณไหว
พริบในการเจรจาความเมอื งและผลแห่งการเป็นนกั การทตู ผมู้ ปี ฏิภาณทำให้เมืองนครศรีธรรมราช มอี ิทธิพลต่อ
เมืองมลายูและเป็นที่นับถือยำเกรงแก่บริษัทอังกฤษ ซึ่งกำลังแผ่อิทธิพลการค้าและการเมืองมายังภาคพ้ืน
เอเชียอาคเนย์
๓. ด้านการต่อเรือ เจ้าพระยานคร (น้อย) มีความเชี่ยวชาญในการต่อเรือมาก คือ ได้ต่อเรือกำป่ัน
หลวงสำหรับบรรทุกข้าวไปขายท่ีอินเดยี ทำใหป้ ระเทศชาตมิ ีรายได้มากและทีส่ ำคญั คือ ไดต้ อ่ เรอื รบขนาดย่อม
ไปจนถงึ เรอื ขนาดใหญ่ ที่ตอ้ งใชก้ รรเชียงสองชน้ั เรอื รบทีต่ อ่ ก็มขี นาดใหญ่กว่าที่เคยปรากฏมาก่อน เจ้าพระยา
นคร (น้อย) ไดต้ อ่ เรอื รบและเรือลาดตระเวนเหล่านท้ี ่ีเมืองตรัง และเมอื งสตลู เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๒-๒๓๕๔ และใน
พ.ศ.๒๓๖๔-๒๓๖๖ ได้ตอ่ เรอื รบเป็นจำนวนถึง ๑๕๐ ลำ ท่ีบ้านดอน เจ้าพระยานคร (น้อย) มีกองทัพเรือขนาด
ใหญ่ซึ่งเป็นกองทัพเรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่เมืองตรัง ประกอบด้วยขบวนเรือทั้งหมด ประมาณ ๓๐๐ ลำ
เป็นกองทัพเรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในราชอาณาจักรขณะนั้น เพราะแม้ทางกรุงเทพมหานครเองก็เพิ่ง
จะมาตื่นตัวในการสร้างกองทัพเรือขนึ้ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เม่ือไทยเรม่ิ เปน็ ศตั รูกับญวน
๓๒
๔. ด้านการพัฒนาเคร่ืองถม “เครือ่ งถม” เป็นหตั ถกรรมชั้นสูงทชี่ าวนครทำสืบทอดกนั มาแต่คร้ังสมัย
กรุงศรีอยุธยาตอนกลาง เป็นฝีมือการรังสรรค์ของชาวนครโบราณท่ีได้รับสืบทอดความรู้จากชาวโปรตุเกสท่มี า
ติดต่อค้าขาย งานศิลปหัตถกรรมกลายเป็นงานฝีมือเอกลักษณ์ของเมือง ล่วงมาถึงสมัยเจ้าพระยานคร (น้อย)
เป็นเจ้าเมืองก็ได้พัฒนางานนี้ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง โดยกะเกณฑ์เอาเชลยชาวเมืองไทรบุรีที่มีฝีมือช่างโลหะอยู่
ก่อนแล้ว มาฝึกฝนทำเครื่องถมจนชำนาญ เจ้าพระยานคร (น้อย) ให้การเอาใจใส่ดูแลอย่างต่อเนื่อง ประกอบ
กับเป็นผู้มีความประณีตบรรจงในงานช่างเป็นทุนอยู่แล้ว เครื่องถมในสมัยเจ้าพระยานคร (น้อย) จึงโดดเด่น
เป็นพิเศษ งานถมชิ้นใดที่สวยงามเป็นเลศิ ก็มักนำไปทูลเกล้าฯ ถวายทุกครั้งที่เข้าเฝ้าฯ จนกล่าวได้ว่ามีจำนวน
มากมายในราชสำนกั
เจ้าพระยาสธุ รรมมนตรี (หนูพรอ้ ม ณ นคร)
ประวัตคิ วามเปน็ มา
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนูพร้อม ณ นคร) เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ในตระกูล ณ นคร
คนสดุ ทา้ ย ขณะทีด่ ำรงตำแหนง่ เจา้ เมือง มยี ศเพียงพระยาศรธี รรมราช
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนูพร้อม) เป็นบุตรคนโตของพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง)
กบั ทา่ นผ้หู ญิงหญิง ซงึ่ เปน็ ธิดาหมอ่ มเจา้ จันทร์ มพี ่นี ้องรว่ มบดิ ามารดา ๖ คน
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระเสน่หามนตรี แล้วเลื่อน
เป็นพระยานครศรีธรรมราช ชาติเดโชไชย มไหสวริยาธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ สำเร็จราชการเมือง
นครศรีธรรมราช ก่อนได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมือง เคยบวชเป็นพระภิกษุที่วัดพิชัยญาติการาม กรุงเทพมหานคร
และถกู คนลอบยงิ แต่ไมเ่ ป็นอันตราย รับราชการเป็นเจา้ เมืองนครศรธี รรมราช อยูป่ ระมาณ ๓๔ ปี และต้องเข้า
๓๓
ไปอยู่ทีก่ รุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. ๒๔๗๗ จึงโปรดเกลา้ ใหพ้ ระยาศรธี รรมราช (หนพู รอ้ ม) กลบั มาเป็นผู้สำเร็จ
ราชการเมืองนครศรีธรรมราชอีกวาระหนึ่ง เพื่อช่วยเหลือข้าหลวงเทศาภิบาลปฏิรูปการปกครองเมือง
นครศรธี รรมราชในรปู แบบใหม่ ซึ่งเรียกวา่ “ระบบมณฑลเทศาภบิ าล”
ในระยะที่พระยาศรีธรรมราช (หนูพร้อม) กลับไปเมืองนครศรีรรมราชกำลังทรุดโทรมระส่ำระสาย
เนื่องจากเปล่ียนแปลงอำนาจทางการเมือง จากกลุ่มอนุรักษ์นิยมมาสู่กลุ่มสยามใหม่ สภาพเมืองนครศรธี รรมราช
มีโจรผู้ร้ายชุกชุม ราษฎรได้รับความเดือดร้อนและทรุดโทรม ทางรัฐบาลกลางจึงส่งพระวิจิตรวรสาสน์
(ปั้น สุขุม) ออกไปเป็นข้าหลวงพิเศษจัดการที่สงขลาก่อน แล้วจึงขยายออกไปยังเมืองพัทลุงและ
นครศรีธรรมราชตามลำดับ
ผลงานหรือเกียรตคิ ุณทีไ่ ดร้ ับ
๑. เปน็ เจา้ เมอื งนครศรธี รรมราช ในตระกลู ณ นคร คนสุดทา้ ย
๒. รว่ มมือกับข้าหลวงพเิ ศษจัดตัง้ มณฑลนครศรธี รรมราช ใน ปี พ.ศ. ๒๔๓๙
๓. ปฏริ ูปการศาล รวมศาลซ่งึ มมี ากมายให้เหลือ เพยี ง ๓ ศาล คือ ศาลแพ่ง อาญา และอุทธรณ์
๔. จัดเจา้ หนา้ ที่ถางกำแพงเมอื ง และปา่ รมิ คลองหลังเมอื งออกไปจนถงึ ปากน้ำพระยา
๕. เป็นผู้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำนุบำรุงและปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ ให้มีความเจริญ เช่น
วดั พระมหาธาตฯุ นครศรธี รรมราช
พระรตั นธชั มนุ ี (มว่ ง ศิรริ ตั น์)
ประวัติความเป็นมา
พระรัตนธัชมุนี ศรีธรรมราช สังฆนายกตรีปิฎก คณาลังการ ศีลมาจาร วินยสุทร ยติคณิศรบวร
สังฆราม คามวาสี เกิด ณ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันพุธ เดือน ๙ ปีฉลู ร.ศ. ๗๒
(พ.ศ. ๒๓๙๖) ในสกลุ ศริ ริ ตั น์ โยมชายชอ่ื แกว้ โยมหญงิ ช่ือ ทองคำ
๓๔
การศกึ ษาและการอปุ สมบท
เริ่มศึกษาอักขรวิธีตั้งแต่ อายุ ๗ ขวบ บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดแจ้ง อำเภอปากพนัง เมื่ออายุได้
๑๕ ปี อุปสมบทเป็นพระภิกษฝุ า่ ยมหานิกาย ณ วัดมเหยงคณ์ อำเภอเมือง จังหวดั นครศรีธรรมราช ได้รับแต่งตั้ง
ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์วรมหาวิหาร ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๒๗ ครั้งเมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยา
วชิรญาณวโรรส เสด็จมาตรวจการพระศาสนาหัวเมืองปักษ์ใต้มาประทับ ณ นครศรีธรรมราช ท่านได้ขอโดย
เสดจ็ พระองคไ์ ปศึกษาพระปริยัติธรรมต่อที่กรงุ เทพฯ เปน็ เวลา ๒ ปี ระหว่างน้ันทา่ นไดบ้ วชแปลงเปน็ พระภิกษุ
ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย และเข้าสอบไล่แปลพระปริยัติธรรมสนามหลวง ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้เปรียญ
๔ ประโยค จึงทูลลากลบั มาเป็นเจา้ อาวาสวัดท่าโพธิ์ดังเดมิ
สมณศกั ด์ิ
พุทธศักราช ๒๔๔๑ (ร.ศ. ๑๑๗) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสมณฑล
นครศรีธรรมราชเป็นครั้งที่ ๓ ท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะท่ี
พระศริ ธิ รรมมณุ ี ตอ่ มาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผอู้ ำนวยการศึกษามณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลปตั ตานี
พ.ศ. ๒๔๕๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่มีราชทินนามตามสัญญาบัตรวา่
“พระเทพกวีศรีสุทธิดิลกตรีปิฎกบัณฑิตยติคณิศร บวรสังฆารามคามวาสี” ต่อมาได้โปรดให้เลื่อนสมณศักด์ิ
เป็น “พระธรรมโกศาจารย์ สุนทรญาณดลิ ก ตรปี ฎิ กธรรมภษู ติ ยติคณิศร บวรสงั ฆาราม คามวาส”ี
พ.ศ. ๒๔๖๖ โปรดให้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น “พระรัตนธัชมุนี ศรีธรรมราชสังฆนายก ตรีปิฎกคุณาลังการ
ศีลสมาจารวินยสนุ ทร ยตคิ ณิศร บวรสงั ฆรามคามวาสี” สถิต ณ วดั ทา่ โพธ์ิ อำเภอเมอื ง จังหวดั นครศรธี รรมราช
มรณภาพ
วนั ศกุ ร์ เดอื น ๑๐ คำ่ ข้ึน ๑๓ ค่ำ ปจี อ ตรงกบั วันที่ ๒๑ กันยายน พุทธศกั ราช ๒๔๗๗ มรณภาพขณะ
อายุได้ ๘๒ ปี พรรษา ๔๕ พรรษา ได้รับพระราชทานโกศโถพร้อมเครื่องประกอบเกียรติยศ โปรดเกล้าฯ
ใหพ้ ระราชทานเพลงิ ศพ ณ สนามหนา้ เมือง วันที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๘
ผลงานหรอื เกียรติคณุ ที่ไดร้ บั
๑. ดา้ นการศาสนา
แก้ไขการปกครองสงฆ์ สามเณร ในนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลาใหม่ โดยกำหนดให้มีเจ้าคณะ
เมอื ง เจา้ คณะแขวง อธิการวัด และพระครู บังคับบัญชากนั ตามลำดบั ชั้น วธิ กี ารแบบนีเ้ ป็นที่ยอมรับและได้รับ
การยกยอ่ งมาก สามารถแกไ้ ขปญั หาในการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ยได้
๒. ดา้ นการศึกษา
เป็นผู้ริเริ่มจัดการศึกษาฝ่ายสามัญและวิสามัญขึ้นในมณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลปัตตานี
เมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้อำนวยการศึกษาแผนใหม่ จำนวนโรงเรียนที่ท่านได้จัดตั้ง
ทง้ั หมด ๒๑ แห่ง โรงเรียนหลวงหลงั แรกตัง้ อยทู่ วี่ ัดท่าโพธิ์ อำเภอเมอื ง จงั หวัดนครศรีธรรมราช (ตอ่ มาเปลี่ยน
ชื่อเป็น “เบญจมราชูทิศ”) และท่านยังริเริ่มจัดตั้งโรงเรียนสอนวิชาชีพ คือ โรงเรียนช่างถม โรงเรียนช่างไม้
และโรงเรียนการช่างสตรี ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ยกฐานะขึ้นมาเป็นวิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช
วทิ ยาลัยเทคนคิ นครศรธี รรมราช และวทิ ยาลยั อาชวี ศึกษานครศรธี รรมราช
๓๕
ในส่วนของโรงเรียนเบญจมราชทิศ ท่านเจ้าคุณพระรัตนธัชมุนีได้ทุ่มเททั้งพลังกายและพลังสมอง
ในการรงั สรรค์ปั้นแตง่ อย่างเต็มที่ เพราะทา่ นมีปณธิ านอันแน่วแนท่ ่จี ะให้เป็นโรงเรียนตัวอยา่ งของโรงเรียนอ่ืน ๆ
ที่จะตั้งขึ้นใหม่ภายหลัง ท่านจึงต้องเหนื่อยยากชั่วชีวิตของท่าน นักเรียนเบญจมราชูทิศ ทั้งส่วนที่เคยเป็นศิษย์
ของท่าน และรุ่นหลังต่อมาต่างตระหนักดี และต่างสำนึกในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของท่าน จึงร่วมใจกันสร้างรูป
หลอ่ ของทา่ นข้นึ ไวเ้ ปน็ อนสุ รณ์ เพือ่ ใหช้ าวเบญจมราชูทิศและบุคคลท่ัวไปได้สกั การะบชู า
๓. ดา้ นกวีนิพนธ์
พระรัตนธัชมุนี มีความสามารถด้านกลอนสด กลอนเพลงบอก และโคลงกลอนอื่นๆ อีกมาก
ตัวอย่างเช่น แต่งคำร้องรับเสด็จในสมัยรัชกาลท่ี ๕ เพื่อให้นักเรียนร้องรับเสด็จเมื่อเสด็จถึงจังหวัด
นครศรีธรรมราช แต่งโคลงรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จประพาส
จงั หวัดนครศรีธรรมราช
พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ ์
ประวัตคิ วามเป็นมา
พระครูพิศิษฐ์อรรถการ (พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์) หรือเทวดาเมืองคอน อดีตเจ้าอาวาสวัดสวนขัน
จังหวัดนครศรีธรรมราช เดิมชื่อ คล้าย สีนิล เกิดวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๔๑๙ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ
เดอื น ๔ ปชี วด ตรงกบั จ.ศ. ๑๒๓๘ ทบี่ ้านโคกทือ ตำบลช้างกลาง ก่งิ อำเภอชา้ งกลาง จังหวัดนครศรธี รรมราช
เป็นบตุ รของ นายอนิ ทร์ นางเหน่ียว สนี ลิ
พ่อท่านคล้ายมีนิสัยเป็นคนมีมานะอดทน ขยันหมั่นเพียร อยู่ในโอวาทคำสั่งสอนของบิดามารดาและ
ครอู าจารย์อยา่ งเคร่งครดั สภุ าพ เรียบรอ้ ย วา่ นอนสอนง่าย นิสัยออ่ นโยน ละมุนละไม
๓๖
เมื่ออายุ ๑๕ ปี ขาของท่านเสียข้างหนึง่ คือขาดา้ นซ้ายขาดตั้งแต่ตาตุม่ ลงไป ท่านประสบอุบัติเหตุใน
การถางป่าทำไร่ กระดูกปลายเท้า สามนิ้วแตกละเอียด รักษาไม่หาย ด้วยกำลังใจที่เด็ดเดี่ยว พ่อท่านคล้าย
ไดใ้ ชม้ ดี ปาดตาลตดั ปลายเทา้ ออกด้วยตวั เอง และใช้ยาพอกจนหายเป็นปกติ
การศึกษา
พ่อท่านคล้ายได้รับการศึกษาโดยมีบิดาเป็นผู้สอน ได้เรียนวิชาคำนวณตลอดถึงวิชาอักษรโบราณ
จนสามารถอา่ นออกเขยี นได้อย่างชำนาญ ทง้ั หนังสอื ไทยและหนังสือขอม ตอ่ มาศกึ ษาต่อในสำนักนายขำ ที่วัด
ทุ่งปอน บ้านโคกทือ จนจบหลักสูตร ต่อมาได้ไปฝึกหัดเล่นหนังตะลุงกับนายทองสาก ประกอบกับพ่อท่านคล้าย
มีหนา้ ตาดี น้ำเสียงไพเราะ จงึ มคี นติดใจการเล่นหนงั ตะลุงของท่านมาก
บรรพชาและอุปสมบท
เมื่ออายุ ๑๙ พ่อท่านคล้ายได้บรรพชาที่วัดจันดี ตำบลหลักช้าง เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘
มีพระอุปัชฌาย์คือ พระอธิการจัน เจ้าอาวาสวัดจันดี (ทุ่งปอน) ท่านสามารถท่องพระปาฏิโมกข์จนได้
อย่างแมน่ ยำ เมอื่ อายคุ รบ ๒๐ ปี จึงไดอ้ ุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ อทุ กกุ เขปสมี า หรือศาลาน้ำ และไดร้ ับฉายา
ว่า จนฺทสุวณโฺ ณ โดยมีพระครกู ราย คงคสุวณฺโณ เจ้าอาวาสวดั หาดสงู เปน็ พระอุปัชฌาย์ แล้วได้ไปจำพรรษาอยู่
ท่ีวัดท่งุ ปอนหรือวัดจนั ดี การศกึ ษาสมัยอปุ สมบท ตามลำดับ ดงั นี้
ปี พ.ศ. ๒๔๔๑ พ่อท่านคล้าย ได้เข้าศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี เรียนมูลกัจจายนะ
ในสำนักพระครูกาแก้ว (ศรี) ณ วัดหน้าพระธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จบหลักสูตรมูล
พอแปลบาลีได้ ศกึ ษาอยเู่ ป็นเวลา ๒ พรรษา
ปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ต่อมาได้ศึกษาทางวิปัสสนากัมมัฏฐานที่สำนักวัดสามพัน อำเภอพระแสง
จงั หวดั สุราษฎร์ธานี โดยมีอาจารย์หนูเจ้าอาวาสเปน็ ผสู้ อน
ปี พ.ศ. ๒๔๔๕ พ่อท่านคล้าย ได้กลับมาอยู่จำพรรษาวัดหาดสูง ใกล้ตลาดทานพอ ในสำนักพระครู
กราย ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของพ่อท่าน เพื่อศึกษาวิปัสสนาและไสยศาสตร์ โดยเหตุทีพ่ ระครูกราย เป็นอาจารย์
ฝ่ายวิปสั สนาและทรงวิชาทางไสยศาสตร์ในสมัยนั้น
ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ พ่อท่านคล้าย ได้ไปจำพรรษาที่วัดมะขามเฒ่า อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา
เพ่อื ศกึ ษาบาลีและพระอภธิ รรมเพ่ิมเตมิ
ปี พ.ศ. ๒๔๔๘ พ่อท่านคล้ายกลับจากวัดมะขามเฒ่า มาจำพรรษาอยู่ทวี่ ดั ทุ่งปอน (จันด)ี ตลอดเวลา
ที่ท่านจำพรรษา ณ ที่ใดก็ตาม ท่านได้ศึกษาค้นคว้าภาษาบาลี วิชาโหราศาสตร์ และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
ตดิ ตอ่ กันมาโดยมิไดป้ ระมาท ด้านการกอ่ สร้างไดส้ รา้ งวัดและปูชนยี วัตถุตา่ ง ๆ ไวม้ ากมาย
สมณศักดิ์
พ่อท่านคล้ายได้รับการสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ที่พระครูพิศิษฐ์อรรถการในปี
พ.ศ. ๒๔๙๘ ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นพิเศษในนามสมณศักดิ์เดิม พระครูพิศิษฐ์
อรรถการ (พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์) ได้เป็นเจ้าอาวาส วัดสวนขัน ตำบลละอาย อำเภอฉวาง ในปี พ.ศ.
๒๔๔๕ และเปน็ เจ้าอาวาสวัดธาตุนอ้ ย
๓๗
มรณภาพ
เมอื่ วันท่ี ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๓ ตรงกบั แรม ๙ ค่ำ เดอื น ๑๒ ปีจอ พอ่ ท่านคลา้ ย ได้มรณภาพ
ลงด้วยอาการสงบ รวมสิริอายุได้ ๙๖ ปี เมื่อบำเพ็ญกุศลศพครบ ๑๐๐ วัน ทางคณะศิษยานุศิษย์จึงได้บรรจุ
สรรี ะของท่านไวใ้ นโลงแกว้ โดยประดิษฐานอย่ใู นองคพ์ ระเจดียใ์ นวัดพระธาตนุ ้อยจนถงึ ปัจจบุ นั นี้
ผลงานหรือเกียรตคิ ณุ ทไี่ ด้รับ
๑. ด้านศาสนา พระครูพิศิษฐ์อรรถการ (พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์) เป็นผู้นำในการสร้างวัดพระเจดีย์
พระพุทธรูป และร่วมกันในการปฏิสงั ขรณ์ บรู ณะศาสนสถานเป็นจำนวนมาก
๒. ด้านพัฒนาท้องถิ่น เป็นนักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่มาตลอดชีวิต ทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพ่ือ
ประโยชน์ส่วนรวม ท่านได้เดินทางไปพัฒนาในที่ต่าง ๆ สร้างถนน สร้างสะพานไว้มากมาย ด้วยเมตตาบารมี
และความเคารพศรัทธาของศษิ ย์และประชาชน
๓. ด้านความเมตตาและวาจาสทิ ธ์ิ ศิษยย์ านุศษิ ย์และประชาชนทเ่ี คารพนบั ถอื ศรัทธาพ่อท่านคล้ายได้
เชอ่ื ถอื ถงึ ความศักดส์ิ ิทธ์ิของวาจาพดู อยา่ งไรเปน็ อย่างนน้ั พอ่ ท่านคลา้ ยจะพูดจากับทุกคนด้วยใบหน้าย้ิมแย้ม
และแจม่ ใส อารมณเ์ ยอื กเยน็ อยตู่ ลอดเวลา ทา่ นมกั จะให้พรกบั ทุกคน “ขอใหเ้ ป็นสขุ เป็นสุข”
ขนุ พนั ธรกั ษ์ราชเดช (บตุ ร์ พนั ธรกั ษ์)
ประวตั คิ วามเปน็ มา
พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช หรือชื่อเดิมว่า บุตร พันธรักษ์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๔๔๖ ที่บ้านอ้ายเขียว หมู่ที่ ๕ ตำบลดอนตะโก อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของ
นายอ้วน นางทองจันทร์ พันธรักษ์ เริ่มเรียนหนังสือครั้งแรกกับบิดา ตั้งแต่ ก ข ก กา ไปจนจบ พออ่าน
๓๘
สมุดขอ่ ยได้บา้ งจึงเข้าเรียนท่วี ัดอา้ ยเขียวกับอาจารย์ปานซึ่งเป็นสมภาร และอาจารย์นาม สมภารรูปต่อมาและ
ที่วัดอ้ายเขียวนี้เองท่านได้เรียนกับครูฆราวาสคนหนึ่งด้วยชื่อ นายหีด เป็นชาวอำเภอสวี จังหวัดชุมพร
ซ่งึ อาจารยป์ านไดพ้ ามาอยู่ทวี่ ัดน้ี เปน็ ผมู้ คี วามรู้ ใคร ๆ กเ็ รียกว่าหลวงหดี นายหดี ได้สอนหนงั สือไทยแบบใหม่
ใหค้ ือใช้แบบเรียนเร็ว เลม่ ๑-๒-๓ จนทา่ นขนุ มีความรู้ในวชิ าเลขและหนังสืออยู่ในเกณฑด์ ี หลังจากนั้นท่านจึง
เข้าสู่การศกึ ษาในระบบโรงเรยี น โดยเรมิ่ เข้าเรยี นในช้ันประถมศึกษาปีที่ ๑ ทโี่ รงเรียนวดั สวนปา่ น อำเภอเมือง
นครศรธี รรมราช เนอ่ื งจากทา่ นมีความรูใ้ นวิชาเลขและหนงั สืออยู่แลว้ ก่อนทจี่ ะเขา้ โรงเรยี น ดังน้นั เม่ือเข้าเรียน
ในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้ ๑ วัน ทางโรงเรียนก็เลื่อนชั้นให้เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ และวันรุ่งขึ้นก็
เลื่อนชัน้ ใหเ้ รยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี ๓ เป็นอนั ว่าท่านเขา้ โรงเรียนไดเ้ พยี ง ๓ วนั ได้เลื่อนช้ันถึง ๒ ครั้ง
เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ที่โรงเรียนวัดพระนคร ตำบลพระเสื้อเมือง (ปัจจุบันคือตำบลในเมือง)
อำเภอเมอื งนครศรีธรรมราช เข้าเรยี นตอ่ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑ ที่โรงเรยี นวัดท่าโพธว์ิ รวหิ าร
พอเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ได้ไม่กี่เดือน ก็ต้องออกจากโรงเรียนเพราะป่วยเป็นโรคคุดทะราด
ต้องพักรักษาตัวปีกว่า หลังจากนั้นได้เดินทางเข้าไปศึกษาที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ที่โรงเรียนมัธยมวัด
เบญจมบพิตรในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ขณะเรียนที่โรงเรียนนี้ ท่านได้เรียนวิชามวย ยูโดและยิมนาสติก จนมี
ความชำนาญในเชิงมวย ท่านสอบไล่ได้ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ จึงได้
เข้าเรียนต่อที่ โรงเรียนนายร้อยตำรวจห้วยจระเข้ (โรงเรียนนายร้อยตำรวจในปัจจุบัน) จั งหวัดนครปฐม
ขณะที่เรียนได้เป็นครูมวยไทยด้วย พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นอดีตนายตำรวจชื่อดัง ของวงการ
ตำรวจไทย เป็นบคุ คลทส่ี ำนักงานตำรวจแหง่ ชาติ ไม่ว่าตำแหน่งใดยศใด ยกย่อง นบั ถอื และกล่าวถึง เนือ่ งจาก
ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีของกรมตำรวจ มีชื่อเสียงเป็นอันมากในการปราบโจรผู้ร้ายในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย
จากผลงานที่โดดเด่นที่สามารถปราบปรามโจรผู้ร้ายได้มากมายจึงได้รับฉายาต่าง ๆ ว่า “นายพลตำรวจหนังเหนียว”
“นายพลตำรวจหนวดพลตำรวจตรี ขนุ พันธรักษร์ าชเดชเซย้ี ว” “ขุนพนั ธ์ดาบแดง” “รายอกะจิ” “จอมขมงั เวท”
ต่อมาได้รับพระบรมราชานุญาตให้ใช้ราชทินนามเป็นชื่อสกุล “ขุนพันธรักษ์ราชเดช” และเป็นคนสุดท้ายของ
ประเทศไทยทไี่ ดร้ บั พระราชทนิ นาม
ประวัติการรับราชการ
๑. นักเรียนนายร้อย กองบังคบั การตำรวจภธู รมณฑลนครศรธี รรมราชประจำจงั หวดั สงขลา
๒. ผบู้ ังคับหมวด กองเมือง จงั หวัดพัทลุง ผบู้ งั คบั กองเมืองจังหวดั พทั ลงุ
๓. รองผ้กู ำกบั การตำรวจภธู รจงั หวัดสุราษฎร์ธานี
๔. ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจติ ร
๕. ผู้กำกับการตำรวจภธู รจังหวดั ชยั นาท
๖. รองผูอ้ ำนวยการกองปราบพิเศษ
๗. ผู้กำกบั การตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร
๘. ผกู้ ำกบั การตำรวจภธู รจังหวดั พัทลงุ
๙. รองผูบ้ ญั ชาการตำรวจภูธรภาค ๘ จังหวดั นครศรีธรรมราช
๑๐. ผบู้ ญั ชาการตำรวจภธู รภาค ๘ จงั หวดั นครศรีธรรมราช
๓๙
ผลงานหรอื เกยี รติคุณท่ไี ดร้ บั
๑. ด้านการเมอื ง
ได้รับการเลอื กต้ังเปน็ สมาชสิ ภาผแู้ ทนราษฎรพรรคประชาธปิ ัตย์ ปี พ.ศ. ๒๕๑๒
๒. ผลงานด้านวิชาการ
พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นนักอ่านและนักเขียน ได้เขียนเรื่องราวลงในหนังสือ วารสารต่าง ๆ
เช่น ด้านประวตั ิศาสตร์ คตชิ นวทิ ยา และไสยศาสตร์
๓. ผลงานด้านการทำนุบำรุงพระพทุ ธศาสนา
เป็นผรู้ เิ ร่มิ ให้มีการบวงสรวงพระธาตนุ ครศรีธรรมราช อนั เปน็ ท่มี าของการสร้างจตคุ ามรามเทพ
เห้ง โสภาพงศ์
ประวัติความเป็นมา
นายเห้ง โสภาพงศ์ เกิดเมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๕ ที่บ้านหน้าวัดพระบรมธาตุ อำเภอเมือง
จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายชีและนางนุ้ย โสภาพงศ์ เมื่ออายุ ๘ ปี เข้าเรียนชั้นประถมศึกษา
โรงเรียนพระเสื้อเมืองในสมัยนั้น แต่ปัจจุบันคือโรงเรียนวัดพระมหาธาตุ และได้ออกไปเรียนโรงเรียนช่างถม
หน้าวัดวังตะวันออก ๓ ปี ซึ่งพัฒนาเป็นวิทยาลัยหัตถกรรมนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน จบแล้วก็ฝึกงานต่อ
ผลงานที่ทำได้ส่งให้ทางโรงเรียนจัดจำหน่าย มีกำไร โรงเรียนก็แบ่งสรรให้ นายเห้งฝึกงานและส่งผลงานให้
โรงเรียนช่างถมอยู่ราว ๒๐ ปี ช่วงเวลาดังกล่าวได้ครูช่างถมที่สำคัญ ๒ คนเป็นผู้ฝึกสอน คือครูกลั่น จันทรังษี
และครูเปรม โดยทำงานประจำอยู่ที่ร้านสุพจน์ (เป็นโรงงานและร้านที่ผลิตและจำหน่ายเครื่องถมที่มีชื่อเสียง
ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ) ณ ที่นี้ นายเห้ง โสภาพงศ์ ได้รับการฝึกทำเครื่องถมเป็นพิเศษจากนายรุ่ง สินธุรงค์
ช่างถมฝีมือเยี่ยมในยุคนั้น จนทำให้นายเห้ง โสภาพงศ์ มีฝีมือเข้าขั้นเป็นช่างถมยอดเยี่ยมของเมือง
นครศรธี รรมราชตามไปดว้ ย
๔๐
นายเห้ง โสภาพงศ์ มบี ตุ รธดิ ากับนางตุ้น ๘ คน (ชาย ๕ คน ผู้หญิง ๓ คน) ในจำนวนนี้ มผี ้ชู ายสองคน
คือ นายโสฬส โสภาพงศ์ และนายจรวย โสภาพงศ์ ที่ได้สืบทอดวิชาการทำเคร่ืองถม และนำไปประกอบอาชพี
สืบแทนบิดา นายเหง้ โสภาพงศ์ ถงึ แกก่ รรมด้วยโรคหัวใจวาย เม่อื ๒๓ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมอายุ ๘๘ ปี
ประวัติการทำงาน
เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๑ ได้ปฏิบัติงานอยู่ที่โรงเรียนช่างถมวัดวังตะวันออกถึงสามปี แล้วจึงออกไป
ทำงานเป็น “ช่างถม” อยา่ งเต็มตวั เมื่ออายุ ๒๒ ปี โดยประจำอยู่ทีร่ ้านสพุ จน์ (เปน็ โรงงาน และร้านท่ผี ลิตและ
จำหน่ายเครื่องถมที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวดั นครศรีธรรมราช) ณ ที่นี้ นายเห้ง ได้รับการฝึกทำเครื่องถมเป็น
พิเศษจากนายรุ่ง สินธุรงค์ ช่างถมฝีมือเยี่ยมในยุคนั้น จนทำให้นายเห้ง โสภาพงศ์ มีฝีมือเข้าขั้นเป็นช่างถม
ยอดเยย่ี มของเมืองนครศรีธรรมราช ในการทำเคร่ืองถม นายเห้ง ยงั คงใช้กรรมวิธีแบบดั้งเดิม งานทุกช้ินจะทำ
ด้วยวัสดุที่เป็นของแท้ งานที่ทำมีหลายชนิด เช่น หีบบุหรี่ กล่องไม่ขีดไฟ ขันน้ำ พานรองสำหรับตักบาตร
จานรองแก้ว ฝาครอบแก้ว ตลับแป้ง คนโทกรวดน้ำ โตก ตลอดจนทำถมเลี่ยม กระเป๋าย่านลิเภา เลี่ยมหัวไม้เท้า
เลย่ี มเคร่ืองรางของขลงั มเี ขี้ยวหมูตัน กระดูกหัวเสอื
ผลงานหรอื เกยี รตคิ ณุ ท่ีไดร้ บั
๑. ได้รับการยกย่องเชิดชูให้เป็นผู้อนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมทำถมนคร สำนักงานคณะกรรมการ
วัฒนธรรมแหง่ ชาติ เปน็ ศลิ ปินพ้ืนบา้ นดเี ดน่ พ.ศ. ๒๕๒๘
๒. ผลงานการทำชุดน้ำชาถมทอง ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช
มหาราชบรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ทรงสั่งให้จัดทำขึ้นเพื่อไปพระราชทานแก่ประธานาธิบดีดไวต์ ดี.ไอเซน
ฮาวค์ แห่งสหรฐั อเมริกา
๓. คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้ประกาศยกย่องให้นายเห้ง โสภาพงศ์ เป็นศิลปินพื้นบ้าน
ดเี ด่น ประจำปี ๒๕๒๙ สาขาเครอื่ งถม
๔. ในวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๐ คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติได้ยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ
ประจำปี ๒๕๒๙ สาขาทัศนศิลป์ (เคร่ืองถม) เข้ารับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า
กรมสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี
๔๑
ดร.สรุ นิ ทร์ พิศสวุ รรณ
ประวัติความเปน็ มา
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๒ เป็นคนบ้านตาล ต.กำแพงเซา
อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พ่อชื่อ ฮัจญีอิสมาแอล แม่ชื่อ ซอฟียะห์ พิศสุวรรณ เป็นลูกชายคนโต
จากทั้งหมด ๑๑ คน มีคุณตาชื่อ ฮัจญียะโกบ พิศสุวรรณ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปอเนอะบ้านตาลหรือ
โรงเรียนประทีปศาสน์ โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามของเอกชน ส่วนคุณตาทวดของ ดร.สุรินทร์
เปน็ ผ้บู กุ เบกิ ชมุ ชนมสุ ลิมใน จ.นครศรธี รรมราช ช่ือ อหิ ม่ามตวู นั ฆูอลั มรั ฮมู ฮัจญีซดิ ฎกิ พิศสุวรรณ
ด้านการศึกษา ดร.สุรินทร์เข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดบ้านตาล มัธยมศึกษาจาก
โรงเรียนพรสวัสดิ์วิทยา โรงเรียนเบญจมราชูทิศ และโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช ตามลำดับ ในระดับปริญญาตรี
ได้ศึกษาที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยเรียนปี ๑-๒ และได้รับทุน Frank Bell Appleby
ไปศึกษาต่อ ปี ๓-๔ ด้านรัฐศาสตร์ที่ Claremont Men’s College, Claremont University และสำเร็จ
การศึกษาระดับปริญญาตรีจากที่นั้น และศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกที่ Harvard University
ด้านรัฐศาสตร์ โดยได้รบั ทนุ จาก Rockefeller ภายใตก้ ารสนับสนนุ ของ อ.เสน่ห์ จามรกิ
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ สมรสกับอลิสา พิศสุวรรณ (ฮัจญะห์อาอีชะฮ์) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ มีลูกชาย
ดว้ ยกัน ๓ คน โดยคนโตช่อื ฟอู าด้ี พิศสุวรรณ คนท่ีสองชื่อ ฮสุ นี พิศสวุ รรณ และคนสดุ ทอ้ งช่อื ฟกิ ร่ี พิศสวุ รรณ
หลังจากจบการศึกษาปริญญาเอกจาก Harvard University ดร.สุรินทร์ ต้องกลับมาเป็น อาจารย์ท่ี
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามเงื่อนไขของทุนการศึกษาที่ได้รับไปศึกษา ในระดับปริญญาโท
และเอก โดยเปน็ อาจารย์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๕๒๙ ชีวติ การเปน็ นักการเมืองของ ดร.สุรินทร์จึงได้
เริ่มต้นขึ้น เมื่อสัมพันธ์ ทองสมัคร มาโนชย์ วิชัยกุล และคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช
จากพรรคประชาธิปัตย์ ไดเ้ ดินทางมาหา ดร.สรุ นิ ทร์ ทค่ี ณะรฐั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ และได้ชักชวน
ให้ ดร.สุรินทร์ สมคั ร ส.ส.จังหวดั นครศรธี รรมราช ในนามของพรรคประชาธิปัตย์ ในตอนแรก ดร.สุรนิ ทร์ ไม่ได้
๔๒
ตอบรับในทันที แต่ในเวลาต่อมากต็ อบรับคำทจี่ ะลงสมัครและก็ไดร้ ับเลือกต้งั ในทสี่ ุด เม่ือไดเ้ ปน็ ส.ส. นายชวน
หลกี ภัย ประธานสภาผูแ้ ทนราษฎร ไดช้ กั ชวนให้ ดร.สุรนิ ทร์ มารับหนา้ ที่เปน็ เลขานุการประธานสภา หลังจาก
น้ันเม่ือมีการยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ดร.สุรินทร์ ก็ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. อีกคร้ังและได้รับ
การแต่งตั้ง เป็นเลขานุการให้กับ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ด้วยเหตุที่
ดร.สุรินทร์ ศึกษามาทางด้านรัฐศาสตร์อยู่แล้วทางผู้ใหญ่ในพรรคจึงเห็นว่าน่าจะเหมาะสมที่จะไปช่วยงาน
ในกระทรวงมหาดไทย หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ เมื่อชวน หลีกภัยได้รับการเลือกตั้งจากสภาฯ ให้ดำรง
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดร.สุรินทร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
(สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ๑ พ.ศ. ๒๕๓๕-๒๕๓๘) และในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ เมื่อประเทศไทยประสบวิกฤต
เศรษฐกิจต้มยำกุ้ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้มีการเลือก
นายกรัฐมนตรีใหม่ และในครั้งนี้ นายชวน หลีกภัยได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ ๒ คณะรัฐมนตรี
ชวน ๒ ครั้งนี้ได้แต่งตั้งให้ ดร.สุรินทร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (สมัยรัฐบาล ชวน หลีกภัย ๑
พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔) และได้มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศในช่วงหลังวิกฤตเพื่อนำพา
ประเทศกลับสู่ภาวะปกติ รวมถึงมีการผลักดันบทบาทของอาเซียนในการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างสมาชิก
ภายในอาเซียนอีกด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ประเทศไทยได้รับสิทธิในการเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่ง
เลขาธิการอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศจึงได้ทำการสรรหาบุคคลที่ประเทศไทยจะส่งไปดำรงตำแหน่ง
ดังกล่าว และในที่สุดจึงได้เสนอชื่อ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน ตั้งแต่ปีพ.ศ.
๒๕๕๑-๒๕๕๕ ในระหว่างการเป็นเลขาธิการอาเซยี นนั้น ดร.สรุ นิ ทร์ พศิ สวุ รรณ ไดด้ ำเนินการเพื่อให้ประเทศ
สมาชิกอาเซียนให้สัตยาบันกฎบัตรอาเซียนให้สามารถประกาศใช้ได้ และยังรณรงค์ และประชาสัมพันธ์เพื่อ
ประชาชนในประเทศสมาชิกตระหนักถึงความสำคัญของอาเซียน หลังจากหมดวาระ ดร.สรุ ินทร์ ก็ยงั ทำงานใน
การเผยแพร่และให้ความรู้เกี่ยวกับอาเซียนต่อไป ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มอบตำแหน่ง
ธรรมศาสตราภชิ าน ประจำคณะรฐั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตรเ์ พ่อื เป็นเกียรติแก่ ดร.สุรนิ ทร์ พิศสวุ รรณ
ผลงานหรือเกียรติคณุ ที่ได้รบั
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ได้มีบทบาทอย่างสำคัญในเรื่องการต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่เป็น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่ง ดร.สุรินทร์ มีผลงานที่โดดเด่นอยู่ ๒ เรื่องด้วยกัน โดยในเรื่องแรกน้ัน
ในปี พ.ศ.๒๕๔๐ ดร.สุรนิ ทร์เป็นผรู้ ณรงค์หาเสียง และสนบั สนุน ดร.ศุภชัย พานชิ ภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและ
รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงพาณิชย์ ณ ขณะน้นั ใหไ้ ด้รบั การเลือกตั้งเป็นผ้อู ำนวยการใหญข่ ององค์การการค้าโลก
(World Trade Organization; WTO) ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้นต้องแข่งกับ ไมค์ มัวร์ (Mike Moore) อดีตนายกรัฐมนตรี
นิวซีแลนด์ ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังในการแข่งขันการเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO น้ี
มีการแข่งขันอย่างดุเดือดมากถึงขั้นมีการเดินขบวนนำพวงหรีดไปวางไว้ที่หน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา
ในประเทศไทยจนอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ จนในที่สุด ดร.สุรินทร์ ได้มีโอกาสคุยโทรศัพท์
กับ แมเดลีน อัลไบรท์ (Madeleine Albright) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา
๔๓
ในเรอ่ื งดังกล่าวจนนำไปสขู่ ้อเสนอของ ดร.สรุ นิ ทร์ ท่ีใหผ้ ลดั กนั เปน็ ผ้อู ำนวยการใหญ่ WTO คนละ ๓ ปี โดยให้
ไมค์ มัวร์ ได้เป็นก่อน แล้วตามด้วย ดร.ศุภชยั ในวาระตอ่ ไปอกี ๓ ปี
ในเรื่องที่สอง ดร.สุรินทร์ เป็นคนสำคัญที่ไปเจรจาของบประมาณช่วยเหลอื จากญีป่ ุ่นเพื่อใช้ในการส่ง
กองกำลงั รักษาสันติภาพ ไทย-ฟิลปิ ปนิ ส์ เพือ่ ไปรักษาสันติภาพในตมิ อร์-เลสเต หรอื ตมิ อร์ ซ่ึงเพิ่งแยกตัวออก
และจากอินโดนีเซีย และในขณะนั้นเกิดความขัดแย้งและความวุ่นวายจนบานปลายกลายเป็นปัญหาระหว่าง
อินโดนีเซีย-ติมอร์-เลสเต จนนำไปสู่การฆ่าพลเมืองติมอร์-เลสเต จำนวนมาก ประชาคมโลกต้องการให้
เหตุการณ์ดังกล่าวยุติลง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีประเทศมหาอำนาจใดเข้ามาควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ถึงแม้ว่าบริเวณดังกล่าวจะอยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของออสเตรเลีย แต่ออสเตรเลียก็กลัวที่จะเข้าไปแทรกแซง
เพราะอาจจะไม่สามารถควบคมุ สถานการณ์ได้
ที่สุดจึงประสานให้ไทย ซึ่งขณะนั้นอยู่ในวาระการดำรงตำแหนง่ ประธานอาเซียนช่วยเป็นแกนหลักใน
การขอความช่วยเหลือจากประเทศในอาเซียนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ดังกล่าว แม้แต่ โคฟี อันนัน
(Kofi Annan) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (United Nations) และ บิล คลินตัน (Bill Clinton)
ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็ขอความช่วยเหลือให้ไทยช่วยเป็นแกนนำหลักในการแก้ปัญหาดังกล่าว
และได้ข้อยุติโดยมีฟิลิปปินส์กับไทยที่พร้อมจะส่งกองกำลังรักษาสันติภาพจำนวน ๓,๔๐๐ นาย ไปที่ติมอร์-
เลสเต แตด่ ว้ ยทท่ี ้งั ไทยและฟลิ ิปปินส์ประสบปัญหาในวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกงุ้ (วิกฤตการเงนิ พ.ศ. ๒๕๔๐) อยู่
จึงไม่มีงบประมาณในการสนับสนุนการส่งกองกำลังดังกล่าวได้ ในที่สุด ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ได้ไปเจรจาขอ
งบประมาณสนับสนุนดังกล่าวจากญี่ปุ่น และญี่ปุ่น ได้อนุมัติเงนิ จำนวน ๑๐๐ ลา้ นดอลลาร์สหรัฐ ทำให้การส่ง
กองกำลงั รว่ มไทย-ฟลิ ิปปินสเ์ พอ่ื ไปรักษาสันตภิ าพที่ติมอร์-เลสเต ประสบความสำเร็จในท่ีสดุ
หลังจากครบวาระของรัฐบาลชวนหลีกภัย (พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔) ดร.สุรินทร์ ไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ
ในทางการเมือง จนในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เปน็ วาระทีไ่ ทยจะต้องเป็นเลขาธิการอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ
จึงได้มีการสรรหาบุคคลที่เหมาะสมในตำแหน่งดังกล่าว และได้มีมติให้เสนอชื่อ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ
เป็นเลขาธิการอาเซียนตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๕ ซึ่ง ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ มีส่วนสำคัญในการผลักดันใน
ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศให้สัตยาบันต่อกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) จนแล้วเสร็จในวันที่ ๑๔
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑ และได้ประกาศใช้ในที่สุด นอกจากนี้แล้ว ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ยังได้รณรงค์และ
ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนทั้ง ๑๐ ชาติตระหนักและรู้จักอาเซียนให้มากขึ้นอีกด้วย ในวันที่ ๓๐
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐ ณ โรงพยาบาลรามคำแหง ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย
เฉียบพลนั สริ อิ ายุรวม ๖๘ ปี
๔๔
สรอ้ ย ดาแจ่ม
ประวตั คิ วามเป็นมา
นายสร้อย ดำแจ่ม ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้านเพลงบอก) เกิดเมื่อปี
พุทธศักราช ๒๔๖๘ ที่อำเภอเชียรใหญ่ จังหวดั นครศรธี รรมราช อายุ ๗๕ ปี จบการศกึ ษาชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๓
จากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่านมีความสนใจ และเริ่มหัดเพลงบอกครั้งแรกเมื่ออายุ
๑๗ ปี โดยได้ไปเป็นศิษย์ของเพลงบอก ปาน ชีช้าง ซึ่งมีฉายาว่า “ปานบอด” เพลงบอกสร้อยได้ฝึกฝนอย่าง
เอาจริงเอาจัง จนเกิดความชำนาญและยึดเป็นอาชีพ จนถึงแก่กรรม นับเป็นเวลาเกือบ ๖๐ ปี ท่านได้ออก
ตระเวนว่าเพลงบอกอย่างสม่ำเสมอจนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายไปทั่วภาคใต้ ทั้งยังได้เดินทางไปแสดงที่
กรุงเทพมหานครและประเทศมาเลเซียดว้ ย
เพลงบอกสรอ้ ย เป็นผทู้ ีม่ คี วามตัง้ ใจในการทำงานเปน็ อย่างยิง่ ทกุ คร้งั ที่จะออกแสดงท่านจะเตรียมตัว
คน้ ควา้ หาความรูแ้ ละข้อมลู เกีย่ วกบั เรื่องที่จะแสดงเปน็ อย่างดี จึงทำใหผ้ ลงานของทา่ นมีคุณค่าสูง ทั้งท่านยังมี
ลีลาและชัน้ เชิงเปน็ เยี่ยม ทำให้เป็นทถี่ กู ใจของผชู้ มและผู้ฟังเสมอ จดุ เด่นประการสำคัญทท่ี ำให้เพลงบอกสร้อย
มีความโดดเด่นเป็นพิเศษคือความสามารถในการสร้างผลงานประเภท “มุขปาฐะ” ซ่ึงขับสด ๆ และแต่งบทเพลงบอก
ด้วยตัวของท่านเอง ซึ่งท่านได้สร้างผลงานเอาไว้มากมาย แต่ที่น่าเสียดายว่า ผลงานจำนวนมากของท่านไม่ได้
รับการบันทึกเอาไว้ ต่อมาในระยะหลังยุคเทคโนโลยีได้การบันทึกเสยี งแพร่หลาย ผลงานของท่านจึงได้รบั การ
บนั ทึกเผยแพร่ส่วนหนึ่ง
นอกจากการรับงานว่าเพลงบอกในงานประเภทตา่ ง ๆ เช่น งานบวช งานเทศกาลรื่นเริงทั่วไปอันเปน็
งานที่มีรายได้เลี้ยงชีพแล้ว ท่านยังได้ช่วยเหลืองานบุญกุศลตลอดจนงานสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ ที่มีผู้มา
ขอความร่วมมืออยู่เสมอ ทั้งยังมีส่วนในการอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปะและวัฒนธรรมพื้นบ้านแขนงนี้ให้ยังคง
เป็นที่นิยมอยู่ได้ บทบาทสำคัญในการนี้ของเพลงบอกสร้อย คือ การถ่ายทอดฝึกฝนผู้ที่สนใจและมีแววเพื่อให้
สืบทอดศิลปะเพลงบอกนี้ต่อไป จนมีลูกศิษย์ลูกหาที่มีฝีมือและชื่อเสียง เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี เช่น
๔๕
เพลงบอกสุรินทร์ เสียงเสนาะ เพลงบอกเปลื้อง เสียงเสนาะ เพลงบอกแพ่ง เสียงเสนาะ และเพลงบอกนิกร
เสียงเสนาะ ซง่ึ เป็นบตุ รชายของท่านเอง เป็นตน้
ผลงานหรือเกยี รตคิ ุณท่ีได้รับ
๑. เพลงบอกสร้อย เสียงเสนาะได้รับรางวัลจากการประชันการว่าเพลงบอกและเกียรติคุณ
จากการบำเพญ็ คุณประโยชน์หลายประการ อาทิ
- ได้รับรางวัลจากนายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี ในโอกาสชนะเลิศการประชัน
วา่ เพลงบอก ทจี่ งั หวดั สงขลา เมอ่ื ปีพุทธศกั ราช ๒๕๒๐
- ได้รับโล่เกียรติคุณชนะเลิศในการแข่งขันการว่าเพลงบอก ในงานแห่พระและทอดผ้าป่า
ประจำปพี ุทธศกั ราช ๒๕๒๐ จากจังหวดั สงขลา
- ได้รับโล่เกียรติคุณชนะเลิศในการแข่งขนั การว่าเพลงบอก ในงานเทศกาลเดอื นสิบประจำปี
พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๒ จังหวดั นครศรธี รรมราช
- ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขากีฬาและนันทนาการ ประจำปี
พทุ ธศักราช ๒๕๓๔ จากสำนกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรม
๒. ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขากีฬาและนันทนาการ ประจำปี
พุทธศกั ราช ๒๕๓๔ จากสำนกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ
๓. ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้านเพลงบอก)
พทุ ธศักราช ๒๕๓๘ นบั เป็นศิลปินเพลงบอกท่านแรกท่ไี ด้รบั เกียรตยิ ศ