วจิ ัยในชัน้ เรียน
เรอ่ื ง
การศกึ ษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นรายวชิ าเคมี เรื่อง ปฏกิ ิริยารดี อกซ์
ของนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 5 ทไี่ ด้รบั การจดั การเรียนรูต้ ามวัฏจักร
7 ข้นั ร่วมกับการเรยี นแบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนคิ TGT
นางสาวกฤษตยิ าภรณ์ ไชยวรรณ์
ตาแหนง่ ครผู ชู้ ว่ ย
โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 24 จงั หวดั พะเยา
สานกั บรหิ ารงานการศึกษาพเิ ศษ
สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ
1
บทคดั ย่อ
การวิจัยในครั้งน้ีมีจุดมุ่งหมาย คือ 1) เพ่ือสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ขั้น
ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT เร่ือง ปฏิกิริยารีดอกซ์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีท่ี 5 2) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาเคมี เร่ือง ปฏิกิริยารีดอกซ์ ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 5 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน ร่วมกับ
การเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนระดับช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 1 จานวน 41 คน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 24 จังหวัดพะเยา สังกัด
สานกั บรหิ ารงานการศึกษาพเิ ศษ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ
ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 ซึง่ ได้มาโดยการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling)
เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการวิจัย ประกอบด้วย 1) การศกึ ษาผลการจดั การเรียนรตู้ ามวฏั จกั ร 7 ขัน้
รว่ มกบั การเรียนแบบรว่ มมือ โดยใช้เทคนิค TGT เรอ่ื ง ปฏิกริ ยิ ารีดอกซ์ ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 จานวน 1 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์กิ ่อนและหลงั การศึกษาผลการจดั การ
เรียนรู้ตามวฏั จักร 7 ขนั้ รว่ มกับการเรยี นแบบร่วมมอื โดยใช้เทคนิค TGT เรือ่ ง ปฏิกริ ยิ ารดี อกซ์
ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5 จานวน 20 ขอ้ วิเคราะหข์ อ้ มูลโดยการหาคา่ เฉล่ีย (Mean) สว่ น
เบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และสถิตคิ ่าที (t-test for dependent sample)
ผลการวิจยั พบวา่ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของนักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ทเี่ รยี นโดยการจดั การ
เรียนรตู้ ามวัฏจักร 7 ข้ัน รว่ มกบั การเรยี นแบบร่วมมือ โดยใชเ้ ทคนิค TGT เรอ่ื ง ปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ์
หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรยี น อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดับ .05
2
สารบัญ
บทท่ี หน้า
1. บทนา....................................................................................................................... 1
ความเป็นมาของปัญหา……………………….......................................................... 1
จดุ มงุ่ หมายของการวิจัย................................................................................... 3
ความสาคัญของการวจิ ยั .................................................................................. 3
ขอบเขตของการวิจยั ........................................................................................ 3
นิยามศัพทเ์ ฉพาะ.............................................................................................. 4
สมมตฐิ านการวิจัย……...................................................................................... 5
กรอบแนวคดิ วจิ ัย............................................................................................. 6
2. เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กย่ี วขอ้ ง.............................................................................. 7
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ............... 8
การจดั การเรยี นร้ตู ามวัฏจกั ร 7 ขนั้ ................................................................... 13
การจดั การเรียนรู้แบบรว่ มมือ …………………..................................................... 18
การจัดการเรียนรูแ้ บบรว่ มมอื กันแข่งขนั ระหว่างกลุม่ (เทคนิค TGT) ………..... 25
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน…………………………………………………………………………. 30
งานวจิ ัยทเี่ กีย่ วขอ้ ง……………………………………………………………………………….. 31
3. วิธดี าเนนิ การวิจัย........................................................................………………………. 33
กลมุ่ เปา้ หมาย............................................................…………………….……….... 33
เครอ่ื งมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั ............................................................………………….. 33
การสรา้ งและหาคุณภาพเครื่องมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัย............................................ 33
การเก็บรวบรวมขอ้ มูล............................................................…………………….. 34
การวเิ คราะห์ข้อมูล............................................................……………………….... 35
3
สารบัญ (ตอ่ )
บทที่ หน้า
4. ผลการวจิ ัย............................................................................................................... 37
ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาเคมี เรื่อง ปฏิกิริยารี
ดอกซ์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ระหว่างก่อนเรียนและหลัง
เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT ร่วมกับบท
ปฏบิ ตั กิ าร.............................................................................................. 37
5. บทสรปุ ..................................................................................................................... 38
สรุปผลการวจิ ัย…………………………………………………………………………………….. 38
อภิปรายผลการวิจยั ………………………………………………………………………………. 38
ข้อเสนอแนะ…………………………………………………………………………………………. 39
บรรณานกุ รม.......................................………………................................................................. 40
ภาคผนวก………………………………...……………………………………………………………………………... 43
4
สารบัญตาราง
ตาราง หน้า
1. แสดงโครงสร้างรายวิชาเคมี 4 (รหัสวิชา ว30224) กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ปฏิกิริยารี
ดอกซ์…………................................................................…………................................. 12
2. แสดงบทบาทของครูและนกั เรียนในการเรยี นร้ตู ามวัฏจกั ร 7 ข้ัน............................ 15
3. แสดงการวิเคราะห์ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน และการจัดการ 29
เรียนรู้ แบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนคิ TGT……………………………………………………….…..
4. แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง 37
ปฏิกิริยารีดอกซ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามวัฏ
จักร 7 ข้ัน รว่ มกบั การเรยี นแบบร่วมมอื โดยใช้เทคนิค TGT ……...........................
5
บทท่ี 1
บทนา
ความเปน็ มาของปญั หา
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศกั ราช 2542 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2545 ได้
กาหนดหลกั การจัดการศึกษาไว้ใน หมวด 4 แนวการจัดการศึกษามาตรา 22 การจดั การศึกษาตอ้ ง
ยึดหลกั วา่ ผ้เู รียนทุกคนมีความสามารถเรียนรแู้ ละพัฒนาตนเองได้ และถือวา่ ผเู้ รยี นมีความสาคญั ทสี่ ดุ
กระบวนการจัดการศึกษาต้องสง่ เสริมให้ผเู้ รยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเต็มตามศกั ยภาพ
มาตรา 24 ยังระบุให้สถานศึกษาและหน่วยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งดาเนนิ การจดั เนื้อหาสาระและกจิ กรรมให้
สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผเู้ รยี น โดยคานึงถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ฝกึ
ทักษะ กระบวนการคดิ การจดั การ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรมู้ าใช้เพ่ือ
ป้องกันและแกไ้ ขปัญหา จดั กจิ กรรมใหผ้ ู้เรียนได้เรยี นร้จู ากประสบการณจ์ ริง ฝกึ การปฏบิ ตั ใิ ห้ทาได้
คดิ เปน็ ทาเปน็ รกั การอา่ น และเกดิ การใฝร่ อู้ ยา่ งต่อเน่ือง จดั การเรยี นการสอนโดยผสมผสานสาระ
ความรูด้ า้ นต่าง ๆ อย่างไดส้ ัดสว่ นสมดลุ กัน รวมท้งั ปลูกฝงั คุณธรรม ค่านยิ มทด่ี งี ามและคุณลักษณะ
อนั พึงประสงค์ไวใ้ นทุกวชิ า (กรมวิชาการ, 2546, หน้า 215)
วทิ ยาศาสตรม์ บี ทบาทสาคัญย่ิงในสงั คมโลกปัจจบุ ันและอนาคต เพราะวทิ ยาศาสตร์เก่ียวขอ้ ง
กบั ทุกคนทั้งในชวี ิตประจาวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เคร่อื งมือ เครือ่ งใช้และ
ผลผลติ ต่าง ๆ ทมี่ นุษย์ได้ใช้เพื่ออานวยความสะดวกในชวี ิตและการทางาน เหลา่ นล้ี ้วนเป็นผลของ
ความร้วู ิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคดิ สร้างสรรคแ์ ละศาสตรอ์ ืน่ ๆ วทิ ยาศาสตรช์ ่วยให้มนุษย์ได้
พฒั นาวธิ ีคิด ทั้งความคดิ เป็นเหตุเป็นผล คดิ สรา้ งสรรค์ คิดวิเคราะห์ วจิ ารณ์ มที ักษะสาคัญในการ
คน้ คว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอยา่ งเป็นระบบ สามารถตดั สนิ ใจโดยใช้ขอ้ มลู ท่ี
หลากหลายและมปี ระจักษ์พยานทต่ี รวจสอบได้ วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นวฒั นธรรมของโลกสมัยใหม่ซงึ่ เป็น
สงั คมแหง่ การเรียนรู้ (knowledge-based society) ดังนัน้ ทุกคนจงึ จาเปน็ ตอ้ งไดร้ ับการพัฒนาให้รู้
วทิ ยาศาสตร์ เพื่อทจี่ ะมีความรู้ความเขา้ ใจในธรรมชาติและเทคโนโลยที ม่ี นุษยส์ รา้ งสรรคข์ น้ึ สามารถ
นาความรูไ้ ปใช้อย่างมีเหตผุ ล สร้างสรรค์ และมีคณุ ธรรม (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2551, หน้า 92)
วทิ ยาศาสตรเ์ ข้ามามีบทบาทกบั มนุษย์ในรูปแบบตา่ ง ๆ โดยปัจจุบันมีการยอมรับวา่
วทิ ยาศาสตร์เป็นรากฐานที่สาคญั ต่อการพฒั นาดา้ นเทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งผลมาจากความกา้ วหนา้
ทางดา้ นวิทยาศาสตร์ อาจกล่าวได้วา่ ความกา้ วหนา้ ทางด้านวชิ าการ ด้านวิทยาศาสตร์ในปจั จุบนั มี
อิทธิพลสามารถพลิกผนั สงั คมของมนษุ ยไ์ ปในทางสร้างสรรคห์ รอื ทาลายล้างดว้ ยตวั ของมนุษย์ จึง
นับวา่ วิชาวทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ วิชาท่ีสาคัญไมน่ อ้ ยกว่าวิทยาการอ่ืน ๆ
วชิ าเคมกี ็เปน็ ศาสตร์แขนงหน่ึงของวิทยาศาสตร์ ซึง่ เปน็ การศึกษาโครงสรา้ งและ
องค์ประกอบ ปฏกิ ิริยาเคมีรวมท้งั สมบตั ขิ องสสารและกลไกการเปลี่ยนแปลงทางเคมี วชิ าเคมมี ี
ความสาคญั ต่อการดารงชวี ติ ในปจั จบุ นั รวมทัง้ เปน็ วชิ าที่สามารถเชื่อมโยงกับวทิ ยาศาสตรส์ าขาอ่ืน ๆ
เข้าด้วยกัน เช่น ฟิสกิ ส์ ชวี วิทยา และธรณีศาสตร์ จึงจาเป็นอย่างย่ิงทน่ี ักเรียนต้องศึกษาวิชาเคมี
เพ่ือใหน้ ักเรียนเปน็ ผู้ใฝ่รู้มีกระบวนการในการเสาะแสวงหาความรอู้ ยา่ งเปน็ ระบบ แตว่ ชิ าเคมีเป็นวิชา
6
ทีม่ ีความซบั ซ้อน ดังน้นั ครผู สู้ อนต้องหาวธิ ที ีจ่ ะทาใหผ้ ู้เรยี นเกิดความรู้ ความเขา้ ใจ กระทั่งสามารถ
สรา้ งกระบวนการเรยี นรู้ของตนเองได้ โดยใช้วธิ กี ารสอนและส่ือที่น่าสนใจ มีความหลากหลาย หลงั
การเรียนรนู้ กั เรยี นต้องเกิดทกั ษะ และได้ความรู้ที่คงทนอยู่ตลอดเวลา (ศกั ดิ์ศรัณย์ สาทิพจนั ทร์,
2558, หน้า 44)
ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย (ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 - 6) การศึกษาระดับน้ีเนน้ การเพิ่มพูน
ความรู้และทักษะเฉพาะดา้ น สนองตอบความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรยี น แต่
ละคน ทงั้ ด้านวิชาการและวิชาชพี มที ักษะในการใช้วทิ ยาการและเทคโนโลยี ทกั ษะกระบวนการคดิ
ขนั้ สงู สามารถนาความรู้ไปประยกุ ตใ์ ช้ใหเ้ กิดประโยชน์ในการศกึ ษาตอ่ และการประกอบอาชพี มุ่ง
พัฒนาตนและประเทศตามบทบาทของตน สามารถเป็นผู้นา และผใู้ ห้บรกิ ารชมุ ชนในด้านต่าง ๆ
(หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน, 2551, หนา้ 23)
การเรยี นการสอนวชิ าเคมขี องนักเรยี นระดับช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรยี นราชประชานุ
เคราะห์ 24 จังหวัดพะเยา นักเรียนเรียนวิทยาศาสตร์ด้วยการจามากกวา่ เรียนจากการทาความเข้าใจ
ท้งั นอ้ี าจเนื่องมาจากเนื้อหาวิชามลี ักษณะเปน็ นามธรรม คาศัพท์ท่ีมาก เนื้อหาบางตอนยากที่จะ
อธิบายใหเ้ ข้าใจไดโ้ ดยง่าย และเนอ้ื หาคานวณ ซง่ึ จากการจดั การเรยี นร้วู ชิ าเคมี พบว่านกั เรียนสว่ น
ใหญข่ าดความกระตอื รือรน้ ในการเรยี น เมื่อนักเรียนไมเ่ ขา้ ใจบทเรยี นจะไม่กล้าถามครูและไมส่ นใจ
บทเรยี น ดงั นนั้ ผวู้ ิจัยในฐานะเป็นผสู้ อนวิชาเคมี จงึ จาเปน็ ต้องหาทางชว่ ยเหลือและแกป้ ัญหาดังกลา่ ว
จากการศึกษาเอกสารและแนวทางการแก้ปญั หา พบว่าวธิ กี ารทจ่ี ะช่วยเหลอื นักเรียน คือการ
สอนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ดว้ ยวัฏจกั ร 7 ข้นั เปน็ การเรียนร้ทู เ่ี น้นผู้เรยี นเปน็ สาคัญและเปน็
การจดั การเรียนรทู้ ี่มุง่ การแสวงหาความร้ดู ้วยตนเอง โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์เพ่ือฝึกคดิ ฝึก
ปฏิบตั ิและฝกึ แก้ปัญหาดว้ ยตนเอง จนเกดิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยมีวัฏจักรการ
เรียนรู้ 7 ขน้ั คือ ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation Phase) ข้นั เร้าความสนใจ (Engagement
Phase) ข้ันสารวจและคน้ หา (Exploration Phase) ข้นั อธบิ าย (Explanation Phase) ข้นั ขยาย
ความคิด (Expansion Phase/Elaboration Phase) ขั้นประเมนิ ผล (Evaluation Phase) ข้ันนา
ความรไู้ ปใช้ (Extension Phase) โดยนอกจากการสบื เสาะหาความรแู้ ลว้ ส่งิ ทคี่ รูไมค่ วรละเลย คอื
การตรวจสอบพนื้ ความรูเ้ ดิมของเด็ก จะทาให้ครไู ด้ค้นพบว่าจะตอ้ งเรยี นรู้อะไรกอ่ นท่จี ะเรยี นใน
เนอ้ื หานัน้ ๆ นักเรยี นจะสรา้ งความรู้จากพน้ื ความรู้เดมิ ท่เี ด็กมี ทาให้เกิดการเรยี นรู้อย่างมี
ความหมาย และไมเ่ กดิ แนวความคดิ ท่ีผิดพลาด และการละเลยหรอื เพิกเฉย ในขั้นนี้ทาใหย้ ากแก่การ
พฒั นาแนวความคิดของเด็กซ่ึงจะไม่เปน็ ไปตามจดุ มุ่งหมายที่ครวู างไว้ นอกจากน้ียังเน้นให้นกั เรยี น
สามารถนาความรู้ท่ไี ดร้ บั ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ กิดประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวนั (Bransford, Brown and
Cocking, 2000) เพื่อให้เด็กสนใจเห็นความสาคญั ของการเรยี นวิทยาศาสตร์วา่ สามารถนาไปใช้ไดจ้ ริง
เชน่ ไร
นอกจากการสอนโดยใชร้ ปู แบบการสอนแบบวัฏจกั ร 7 ขน้ั แล้ว การเรียนแบบร่วมมือโดย ใช้
เทคนิคการแข่งขันระหว่างกลุ่ม (TGT) ถือได้ว่าเหมาะสมในการนามาใชใ้ นรายวชิ าวิทยาศาสตร์
(Slavin, 1987) เน่อื งจากเทคนิคการแข่งขนั เป็นกลมุ่ ด้วยเกม ช่วยส่งเสรมิ ใหน้ กั เรยี นศึกษาค้นคว้า
หาความรดู้ ้วยตนเอง ฝึกทกั ษะกระบวนการทางานรว่ มกันเปน็ ทีม ฝึกความรับผดิ ชอบและฝกึ การ
ช่วยเหลอื ผูอ้ ่ืนด้วยความเต็มใจ อกี ทง้ั นักเรยี นยงั ไดส้ นกุ สนานกบั การเรยี นรู้ (สุวิทย์ มูลคา : และ
7
อรทัย มลู คา, 2545, คานา) เทคนิคการแข่งขนั เป็นกลมุ่ คือ การเรียนรู้แบบแข่งขันเปน็ กลมุ่ ซง่ึ เปน็
อีกทางหนึง่ ที่ทาให้นักเรยี นมีความเอาใจใส่รบั ผิดชอบตวั เองและกลมุ่ รว่ มกับสมาชิกคนอน่ื ๆ ซึง่ มี
วธิ ีการเรยี นรู้ กระบวนการจัดกจิ กรรมดังนี้ 1) ข้นั เตรยี มเน้ือหา 2) ขนั้ จัดสมาชิกเข้ากลุ่ม 3) ขัน้
เรียนรู้ แนะนา วิธกี ารเรยี นรู้ 4) ขน้ั แขง่ ขนั แนะนาการแข่งขนั เกม 5) ขน้ั ยอมรบั ความสาเรจ็ ของ
กลุ่ม ดังนั้นสมาชกิ ของกลมุ่ จะตอ้ งมีการกาหนดเป้าหมายร่วมกนั ช่วยเหลอื ซ่ึงกันและกันเพอื่ นาไปสู่
ความสาเรจ็ ของกลุ่ม นอกจากนก้ี ารแขง่ ขันระหวา่ งกล่มุ ด้วยเกมจะเปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นทั้งที่เรยี น
เกง่ และอ่อนต่างต้องเข้าร่วมแขง่ ขันและไดร้ บั คาชมเชยในผลสาเรจ็ เทา่ เทียมกัน
จากความสาคัญและปัญหาที่กลา่ วมาข้างตน้ ผวู้ ิจัยจึงมีความสนใจการจดั การเรยี นรู้
ตามวัฏจักร 7 ขนั้ ร่วมกับการเรยี นแบบร่วมมือโดยใชเ้ ทคนคิ TGT เรือ่ ง ปฏกิ ริ ิยารีดอกซ์ ของ
นกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 เพอ่ื พฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของผเู้ รียน ปลกู ฝังเจตวิทยาศาสตร์
ที่ดตี อ่ วทิ ยาศาสตร์ สามารถสร้างองค์ความรไู้ ด้ด้วยตนเอง และมที ักษะการทางานร่วมกับผู้อนื่
พร้อมท้งั เปน็ แนวทางในการจัดการเรียนรู้ของครผู สู้ อนตอ่ ไป และมคี วามคาดหวงั วา่ การวิจัยในคร้งั นี้
จะเปน็ ประโยชน์ในการพฒั นาการจดั การเรียนรู้วิทยาศาสตรใ์ ห้มีคณุ ภาพและประสทิ ธิภาพมากข้ึนใน
อนาคต
จดุ มุง่ หมายของการวจิ ัย
1. เพ่ือสรา้ งแผนการจดั การเรยี นรตู้ ามวัฏจักร 7 ขั้น รว่ มกบั การเรยี นแบบร่วมมือ โดยใช้
เทคนคิ TGT เรื่อง ปฏิกริ ิยารีดอกซ์ ของนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5
2. เพอื่ เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวชิ าเคมี เร่อื ง ปฏิกริ ยิ ารีดอกซ์ ของนักเรยี นชัน้
มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ระหวา่ งก่อนเรยี นและหลังเรียนดว้ ยการจัดการเรยี นรตู้ ามวฏั จักร 7 ขัน้ ร่วมกบั
การเรยี นแบบรว่ มมือโดยใชเ้ ทคนคิ TGT
ความสาคัญของการวจิ ัย
1. ผลการวจิ ัยครัง้ นี้ทาให้ทราบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวชิ าเคมีที่ไดร้ ับการการจัดการเรียนรู้
ตามวฏั จกั ร 7 ขน้ั รว่ มกับการเรียนแบบรว่ มมือ โดยใช้เทคนิค TGT เร่ือง ปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ์ ของ
นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5
2. ผลการวิจยั ในครัง้ นคี้ รูผู้สอนสามารถใชเ้ ป็นแนวทางในการพฒั นาและการแก้ปญั หาการ
จดั กิจกรรมการเรียนการสอนวชิ าวิทยาศาสตร์ ให้เกิดประสิทธภิ าพมากยง่ิ ข้นึ
ขอบเขตของการวิจยั
ผู้วิจัยไดก้ าหนดขอบเขตการวิจัยไว้ 4 ดา้ น ซึ่งมีรายละเอียดดังน้ี
1. ขอบเขตดา้ นเน้ือหา เน้ือหาท่ใี ช้ในการสอนเปน็ ไปตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้น
พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง 2560) สาระเคมี
เรื่อง ปฏิกิรยิ ารดี อกซ์
2. ขอบเขตขอบเขตด้านประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
2.1 ประชากรท่ใี ช้ในการวจิ ยั ได้แก่ นักเรยี นระดับช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 5/1
โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 24 จงั หวดั พะเยา
8
2.2 กลมุ่ ตัวอย่าง ได้แก่ นักเรยี นระดบั ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 หอ้ ง 1 แผนการเรยี น
วทิ ยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ จานวน 41 คน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 24 จงั หวดั พะเยา โดย
การเลอื กแบบเจาะจง (Purposive sampling)
3. ขอบเขตดา้ นตวั แปร
3.1 ตัวแปรตน้ คอื การจดั การเรยี นรู้ตามวฏั จักร 7 ขน้ั ร่วมกับการเรียนแบบ
ร่วมมอื โดยใช้เทคนิค TGT
3.2 ตวั แปรตาม คอื ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ทจี่ ดั การเรยี นรตู้ ามวฏั จกั ร 7 ขนั้
ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนิค TGT เรื่อง ปฏิกิรยิ ารดี อกซ์ ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี
ที่ 5
4. ขอบเขตด้านระยะเวลา การวจิ ัยคร้งั นดี้ าเนินการในภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563
ใช้ระยะเวลา 3 สัปดาห์ สปั ดาห์ละ 3 ช่วั โมง รวมเปน็ ระยะเวลา 9 ช่วั โมง
นยิ ามศัพท์เฉพาะ
1. การจดั การเรียนรู้ตามวฏั จกั ร 7 ข้นั หมายถึง กระบวนการเรยี นร้วู ชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ พิม่ เตมิ
เรอ่ื ง ปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ์ สาหรับนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 5 โดยผู้สอนจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเกดิ การ
เรียนรดู้ ว้ ยตนเอง โดยการใช้คาถามกระตุน้ ให้ผู้เรียนคิดแก้ปญั หาอย่างมีระบบระเบียบ เพือ่ ให้ผูเ้ รียน
ได้ความรู้จากการคิดสืบสวนสอบสวนและได้เรยี นรกู้ ระบวนการแกป้ ัญหาไปดว้ ยพร้อม ๆ กัน โดยมี 7
ข้นั ตอน ดังนี้
1.1 ขั้นตรวจสอบความรเู้ ดมิ (Elicitation Phase) หมายถึง ขนั้ ตอนตรวจสอบ
ความรูเ้ ดมิ ของนักเรยี นดว้ ยคาถามที่กระตุ้นความสนใจและตรวจสอบความรู้พืน้ ฐานทจ่ี าเป็นต่อการ
เรยี น เรอ่ื ง ปฏกิ ริ ิยารีดอกซ์ต่อไป
1.2 ขั้นเร้าความสนใจ (Engagement Phase) หมายถึง ขน้ั นาเข้าบทเรยี นด้วย
การสร้างข้อสงสยั หรือเร้าความสนใจของนักเรียน ด้วยการใหน้ ักเรียนดูคลปิ วดิ โิ อ การทดลองอยา่ งงา่ ย
การใช้คาถาม และการใช้สือ่ การเรียนรอู้ ่ืนท่เี กี่ยวกับ เรอ่ื ง ปฏกิ ิรยิ ารดี อกซ์
1.3 ขน้ั สารวจและค้นหา (Exploration Phase) หมายถึง ข้ันค้นหาคาตอบของ
ขอ้ สงสัยทเี่ กิดขึน้ โดยการ ให้นกั เรียนแต่ละกลมุ่ สบื ค้นข้อมูลเกยี่ วกบั เรื่อง ปฏิกริ ิยารดี อกซ์ พร้อมท้ัง
นาขอ้ มลู ที่ได้มาจดั กระทาให้อยใู่ นรปู ของผงั มโนทัศน์ ลงในกระดาษฟรู๊ฟ
1.4 ขั้นอธบิ าย (Explanation Phase) หมายถงึ นกั เรยี นแต่ละกลุม่ นาขอ้ มูลท่ี
ไดม้ าวเิ คราะห์ แปลผล สรุปผล พร้อมนาเสนอ และแลกเปล่ียนเรียนรูซ้ ึ่งกันและกนั
1.5 ข้ันขยายความคดิ (Expansion Phase /Elaboration Phase) หมายถงึ ขน้ั
การนาความรู้ท่ีได้ไปเชื่อมโยงกับความรเู้ ดิม ครูอธบิ ายตัวอยา่ งเพม่ิ เติม รวมถงึ การชว่ ยเพอื่ นในกล่มุ ที่
ยงั ไมเ่ ขา้ ใจ เตรยี มสมาชิกในกลุ่มให้พรอ้ มเพ่ือการแข่งขนั ต่อไป
1.6 ขัน้ ประเมนิ ผล (Evaluation Phase) หมายถงึ ขน้ั การประเมินการเรยี นรขู้ อง
นกั เรยี นด้วยเกมการแข่งขนั แบบรว่ มมือ โดยใชเ้ ทคนิค TGT เร่ือง ปฏิกริ ยิ ารดี อกซ์
9
1.7 ขน้ั นาความรไู้ ปใช้ (Extension Phase) หมายถงึ ขัน้ การนาความร้ทู ี่ได้ไป
ประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวัน ด้วยการต้งั คาถามจากสง่ิ ใกล้ตวั แลว้ ให้สบื ค้นและอภปิ รายรว่ มกนั
เพื่อให้นกั เรยี นได้รู้จกั นาความรูท้ ไี่ ด้ไปใช้ไดจ้ ริง
2. การจดั การเรยี นร้แู บบร่วมมือเทคนคิ TGT หมายถึง การจดั กิจกรรมการเรยี นรทู้ มี่ ีการจดั
กลมุ่ นักเรยี น กลุ่มละ 4-5 คน ทม่ี ีความสามารถแตกตา่ งกนั คอื ความสามารถสงู ปานกลาง และ
ต่า ทางานรว่ มกันและใชเ้ กมการแขง่ ขันทางวชิ าการประเมินความร้ขู องสมาชิกภายในกลมุ่ โดยจะ
แข่งขนั ตามความสามารถของนกั เรยี น ดงั นน้ั ความสาเร็จของกลมุ่ จะข้ึนอยู่กับความสามารถของแต่
ละบคุ คล
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาเคมี เร่ือง ปฏกิ ิริยารดี อกซ์ หมายถึง ความรู้ ความสามารถ
และทกั ษะทไ่ี ดร้ ับจากการเรยี นรู้ด้วยตนเองหรอื การเรยี นการสอนในรายวิชาเคมี โดยอาศัย
ความสามารถเฉพาะบคุ คล ซึง่ สามารถวัดเป็นคะแนนท่ีได้จากการทดสอบ หรือเกรดที่ไดจ้ ากการ
เรียน
4. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน หมายถงึ เคร่ืองมือวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
เพือ่ วดั ความรขู้ องนักเรียนระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ตามวฏั จกั ร 7
ขน้ั ร่วมกับการเรยี นแบบร่วมมอื โดยใช้เทคนิค TGT เรื่อง ปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ์ รายวิชาเคมี 4 รหสั วชิ า
ว30224 ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5 เปน็ ข้อสอบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ ทผ่ี ้วู จิ ัยสรา้ งขึ้นและ
หาคณุ ภาพแลว้
5. แผนการจดั การเรียนรู้ หมายถงึ แผนการเตรยี มการสอนหรือกาหนดกิจกรรมการเรียนรู้
ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบและจัดทาไว้เปน็ ลายลกั ษณ์อักษร โดยมีการรวบรวมข้อมลู ตา่ ง ๆ ไว้เพ่ือให้
ผเู้ รียนบรรลุตามจุดมงุ่ หมายที่กาหนด
สมมุติฐานของการวิจัย
1. แผนการจดั การเรียนรตู้ ามวฏั จักร 7 ขั้น รว่ มกับการเรยี นแบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนคิ
TGT เรอ่ื ง ปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ์ ของนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ทีส่ รา้ งขึน้ โดยรวมมคี วามเหมาะสม
อย่ใู นระดบั มากท่ีสดุ
2. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนทีเ่ รยี นโดยการจดั การเรยี นรู้ตามวฏั จักร 7 ขัน้ รว่ มกับการเรียน
แบบร่วมมอื โดยใช้เทคนคิ TGT เรอื่ ง ปฏิกิริยารดี อกซ์ ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 หลงั เรียน
สูงกวา่ ก่อนเรยี น
กรอบแนวคิดวิจัย 10
ตัวแปรอิสระ ตน้ แปรตาม
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ
เร่ือง การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ นกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 5 เร่อื ง
ตามวฏั จักร 7 ข้นั ร่วมกบั การเรยี น ปฏิกริ ิยารีดอกซ์
แบบรว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนิค TGT
เรอ่ื ง ปฏิกริ ยิ ารดี อกซ์ ของนักเรียน
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5
11
บทที่ 2
เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กี่ยวข้อง
การวิจัยเรื่อง การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน ร่วมกับการเรียนแบบ
ร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT เรื่อง ปฏิกิริยารีดอกซ์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้
ศึกษาเอกสารและงานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้อง ดังนี้
1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560)
1.1 เปา้ หมายของวทิ ยาศาสตร์
1.2 เรยี นรอู้ ะไรในวิทยาศาสตร์
1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
1.4 เรียนรู้อะไรในวทิ ยาศาสตรเ์ พ่มิ เติม
1.5 สาระวทิ ยาศาสตร์เพม่ิ เติม
1.6 คาอธิบายรายวิชาเคมี 4
1.7 ผลการเรียนรู้รายวชิ าเคมี 4
1.8 โครงสร้างรายวิชาเคมี 4
2. การจดั การเรยี นร้ตู ามวฏั จักร 7 ขัน้
2.1 ความหมายของการจดั เรยี นรูต้ ามวัฏจักร 7 ขนั้
2.2 ขนั้ ตอนการจัดการเรียนรูต้ ามวัฏจักร 7 ขน้ั
2.3 บทบาทของครแู ละนกั เรียนในการเรยี นรตู้ ามวฏั จกั ร 7 ข้นั
3. การจัดการเรยี นรู้แบบร่วมมอื (Cooperative Learning)
3.1 ความหมายของการจดั เรียนรูแ้ บบร่วมมือ
3.2 องคป์ ระกอบสาคัญของการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมือ
3.3 เทคนคิ การเรียนรแู้ บบรว่ มมอื
3.4 ประโยชน์ของการจัดการเรยี นรแู้ บบร่วมมอื
4. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันแข่งขันระหว่างกลุ่ม (เทคนิค TGT) (Teams Games
Toumaments : TGT)
4.1 ความหมายของการจัดการเรียนรแู้ บบรว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนิค TGT
4.2 ลักษณะของจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใชเ้ ทคนิค TGT
4.3 ขั้นตอนการจัดการเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื โดยใช้เทคนคิ TGT
5. ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน
5.1 ความหมายของผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น
5.2 ความหมายของแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น
6. งานวิจัยทเี่ กยี่ วข้อง
6.1 วิจัยในประเทศ
12
6.1.1 งานวิจัยที่ข้องกบั การจัดการเรยี นรูต้ ามวัฏจกั ร 7 ขั้น
6.1.2 งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค
TGT
6.2 วิจัยตา่ งประเทศ
1. หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
1.1 เปา้ หมายของวทิ ยาศาสตร์
ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มงุ่ เนน้ ให้ผู้เรยี นไดค้ ้นพบความรูด้ ว้ ยตนเองมากที่สุด เพือ่ ให้
ได้ท้ังกระบวนการและความรจู้ ากวิธีการสังเกต การสารวจตรวจสอบ การทดลอง แลว้ นาผลที่ได้มา
จัดระบบเป็นหลกั การ แนวคิด และองค์ความรู้ การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตรจ์ ึงมีเป้าหมาย
ท่สี าคัญ ดังนี้
1. เพื่อให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎี และกฎท่เี ป็นพ้ืนฐานในวชิ าวิทยาศาสตร์
2. เพ่ือให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และข้อจากัดใน
การศึกษาวิชาวทิ ยาศาสตร์
3. เพอ่ื ใหม้ ที กั ษะทสี่ าคัญในการศึกษาคน้ ควา้ และคดิ คน้ ทางเทคโนโลยี
4. เพ่ือให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีมวลมนุษย์
และสภาพแวดล้อมในเชงิ ที่มอี ิทธิพลและผลกระทบซึ่งกันและกัน
5. เพื่อนาความรู้ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิด
ประโยชน์ต่อสังคมและการดารงชวี ิต
6. เพอ่ื พัฒนากระบวนการคิดและจนิ ตนาการ ความสามารถในการแกป้ ัญหา และ
การจดั การทกั ษะในการสอ่ื สาร และความสามารถในการตดั สินใจ
7. เพอ่ื ใหเ้ ป็นผทู้ ่ีมีจติ วิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยา่ งสร้างสรรค์
1.2 เรียนรอู้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ท่ีเน้นการเช่ือมโยง
ความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการ
สืบเสาะหาความรู้และแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนรว่ มในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทา
กิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับช้ันโดยกาหนดสาระสาคัญ
ดงั น้ี
วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในส่ิงแวดล้อม องค์ประกอบของส่ิงมีชีวิตการ
ดารงชีวิตของมนุษย์และสัตว์การดารงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และ
วิวัฒนาการของสิง่ มีชวี ติ
วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เก่ียวกับธรรมชาติของสาร การเปล่ียนแปลงของสารการ
เคล่อื นที่ พลังงาน และคลื่น
13
วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เก่ียวกับองค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ภายใน
ระบบสรุ ิยะ เทคโนโลยอี วกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวทิ ยา กระบวนการเปลยี่ นแปลง
ลมฟ้าอากาศ และผลตอ่ ส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดลอ้ ม
เทคโนโลยี
1. การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวิตในสังคม
ทีม่ ีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเรว็ ใช้ความรแู้ ละทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และศาสตร์
อืน่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
เลอื กใช้เทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสมโดยคานงึ ถึงผลกระทบต่อชวี ติ สังคม และสงิ่ แวดล้อม
2. วิทยาการคานวณ เรียนรู้เกี่ยวกับการคิดเชิงคานวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปญั หา
เป็นข้ันตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการส่อื สาร ในการแกป้ ัญหาท่ีพบในชีวติ จริงได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงไม่มีชีวิต
กับส่ิงมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอด
พลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนท่ใี นระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบทมี่ ี
ต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไข
ปญั หาสิง่ แวดลอ้ ม รวมท้ังนาความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารเข้า
และออกจากเซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ี
ทางานสมั พนั ธ์กัน ความสมั พันธ์ของโครงสร้าง และหนา้ ทีข่ องอวยั วะตา่ ง ๆ ของพชื ที่ทางานสัมพันธ์
กนั รวมทง้ั นาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคญั ของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม
สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมท่ีมีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและ
วิวฒั นาการของส่งิ มีชวี ติ รวมทัง้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์
สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธร์ ะหว่างสมบัติ
ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลง
สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุ
ลกั ษณะการเคล่อื นทแ่ี บบต่าง ๆ ของวตั ถุรวมท้ังนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาตขิ องคลืน่ ปรากฏการณ์ท่ี
เก่ียวข้องกบั เสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ รวมทง้ั นาความร้ไู ปใช้ประโยชน์
14
สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และววิ ฒั นาการของเอกภพ
กาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะท่ีส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ
ประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศ
มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการ
เปล่ียนแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและ
ภมู ิอากาศโลก รวมทง้ั ผลต่อส่งิ มชี วี ติ และสิ่งแวดล้อม
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวิตในสังคมที่มีการ
เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์อ่ืน ๆ
เพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคานงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชีวติ สังคม และสิง่ แวดลอ้ ม
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็น
ข้ันตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทางาน และการ
แกป้ ญั หาไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ รเู้ ทา่ ทัน และมีจรยิ ธรรม
1.4 เรยี นรอู้ ะไรในวทิ ยาศาสตรเ์ พม่ิ เติม
วิทยาศาสตร์เพ่ิมเติม ผเู้ รียนจะได้เรยี นรู้สาระสาคญั ดังน้ี
ชีววิทยา เรียนรู้เก่ียวกับการศึกษาชีววิทยา สารท่ีเป็นองค์ประกอบของส่ิงมีชีวิต เซลล์ของ
ส่ิงมีชีวิต พันธุกรรมและการถ่ายทอด วิวัฒนาการ ความหลากหลายทางชีวภาพ โครงสร้างและการ
ทางานของส่วนต่าง ๆ ในพืชดอก ระบบและการทางานในอวัยวะต่าง ๆ ของสัตว์ และมนุษย์และ
สิ่งมีชีวิตและส่งิ แวดลอ้ ม
เคมี เรียนรู้เก่ียวกับปริมาณสาร องค์ประกอบและสมบัติของสารการเปลี่ยนแปลงของสาร
ทักษะและการแกป้ ัญหาทางเคมี
ฟิสิกส์ เรยี นรู้เก่ยี วกับธรรมชาติและการค้นพบทางฟิสกิ สแ์ รงและการเคล่ือนทีแ่ ละพลังงาน
โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับโลกและกระบวนการเปล่ียนแปลงทาง
ธรณีวิทยา ข้อมูลทางธรณีวทิ ยาและการนาไปใช้ประโยชน์การถ่ายโอนพลังงานความร้อนของโลกการ
เปลี่ยนแปลงลักษณะลมฟ้าอากาศกับการดารงชีวิตของมนุษย์ โลกในเอกภพ และดาราศาสตร์กับ
มนุษย์
1.5 สาระวทิ ยาศาสตร์เพิม่ เติม
สาระเคมี
1. เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมี และ
สมบัติของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์และพอลิเมอร์
รวมทั้งการนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
2. เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมีปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมีอัตราการเกิด
ปฏิกิริยาเคมีสมดุลในปฏิกิริยาเคมีสมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และเซลล์
ปฏกิ ิริยารดี อกซ์ รวมท้ังการนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
15
3. เข้าใจหลักการทาปฏิบัติการเคมีการวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วยการ
คานวณปริมาณของสาร ปฏิกิริยารีดอกซ์ รวมท้ังการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบาย
ปรากฏการณใ์ นชีวติ ประจาวนั และการแกป้ ญั หาทางเคมี
1.6 คาอธบิ ายรายวิชาเคมี 4
คาอธิบายรายวิชาเพ่ิมเติม เคมี 4 (รหัสวิชา ว30224) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 5 เวลา 60 ชั่วโมง จานวน 1.5 หน่วยกติ
ศึกษาทฤษฎีกรด-เบสของอาร์เรเนียส เบรินสเตด-ลาวรี และลิวอิส คานวณความสามารถใน
การแตกตัวหรือความแรงของกรดและเบส ค่า pH ความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออนหรือไฮดรอก
ไซด์ไอออนของสารละลายกรดและเบส ศึกษาปฏิกิริยาสะเทินและปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสของเกลือ การ
ไทเทรต และการเลือกใช้อินดิเคเตอร์ คานวณปริมาณสารหรือปฏิกิริยารีดอกซ์กรดหรือเบสจากการ
ไทเทรต ศกึ ษาสมบตั ิและองคป์ ระกอบของสารละลายบัฟเฟอร์ รวมท้งั การนาความรู้เกี่ยวกับกรด-เบส
ไปใชป้ ระโยชน์
ศึกษาเลขออกซิเดชัน ปฏิกิริยารีดอกซ์ ตัวรีดิวซ์ ตัวออกซิไดส์ ครึ่งปฏิกิริยาออกซิเดชันและ
ครึ่งปฏิกิริยารีดักชันของปฏิกิริยารีดอกซ์ เปรียบเทียบความสามารถในการเป็นตัวรีดิวซ์หรือตัวออกซิ
ไดส์ การเขียนและดุลสมการรีดอกซ์ด้วยการใช้เลขออกซิเดชันและวิธีครึ่งปฏิกิริยา ศึกษาเซลล์
ปฏิกิริยารีดอกซ์และการเขียนแผนภาพเซลล์ คานวณค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของเซลล์ ศึกษาหลักการ
ทางานของเซลล์ปฐมภูมิและเซลล์ทุติยภูมิ หลักการทางปฏิกิริยารีดอกซ์ที่ใช้ในการชุบโลหะ การแยก
สารเคมีด้วยกระแสไฟฟ้า การทาโลหะให้บริสุทธ์ิและการป้องกันการกัดกร่อนของโลหะ รวมท้ัง
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เกีย่ วขอ้ งกบั เซลล์ปฏิกริ ยิ ารดี อกซ์ในชีวิตประจาวัน
โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกต
วิเคราะห์ เปรียบเทียบ อธิบาย อภิปราย และสรุป เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถใน
การตัดสินใจ มีทักษะปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ ในด้านการใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการคิดและการแก้ปัญหาด้านการสือ่ สาร สามารถส่ือสารส่ิงท่ีเรียนรู้และนา
ความรไู้ ปใช้ในชีวิตของตนเอง มจี ติ วิทยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรม และคา่ นยิ มทเ่ี หมาะสม
1.7 ผลการเรียนร้รู ายวชิ าเคมี 4
ผลการเรียนรรู้ ายวิชาเพ่ิมเติม เคมี 4 (รหัสวชิ า ว30224) กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 5 เรื่อง ปฏิกิรยิ ารีดอกซ์ มีดงั นี้
1. คานวณเลขออกซเิ ดชนั และระบุปฏกิ ิรยิ าท่เี ปน็ ปฏกิ ิริยารีดอกซ์
2. วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเลขออกซิเดชันและระบุตัวรีดิวซ์และตัวออกซิไดส์ รวมทั้งเขียน
คร่งึ ปฏิกริ ิยาออกซเิ ดชันและคร่งึ ปฏิกริ ยิ ารีดกั ชันของปฏิกิริยารดี อกซ์
3. ทดลองและเปรียบเทียบความสามารถในการเป็นตัวรีดิวซ์หรือตัวออกซิไดส์ และเขียน
แสดงปฏกิ ิรยิ ารีดอกซ์
1.8 โครงสร้างรายวชิ าเคมี 4
ผู้วิจัยได้ศึกษาคาอธิบายรายวิชา ผลการเรียนรู้ และเนื้อหาสาระของรายวิชาเพิ่มเติม เคมี 4
(รหัสวิชา ว30224) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
5 เร่ือง ปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ์ แล้วจึงได้จดั ทาโครงสรา้ งรายวิชา เรอ่ื ง ปฏิกริ ยิ ารดี อกซ์ ดังตาราง
16
ตาราง 1 แสดงโครงสรา้ งรายวชิ าเคมี 4 (รหสั วิชา ว30224) กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 เรื่อง ปฏกิ ิริยารดี อกซ์
เร่อื ง ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก/
(ชม.) คะแนน
ปฏกิ ริ ิยารี สาระเคมี 6 10%
ดอกซ์ 2. เข้าใจการเขยี นและ
การดุลสมการเคมี ปริมาณ
สมั พนั ธ์ในปฏิกิรยิ าเคมี
อัตราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
สมดลุ ในปฏิกริ ิยาเคมี สมบตั ิ
และปฏกิ ิริยาของกรด-เบส
ปฏกิ ริ ิยารดี อกซแ์ ละเซลล์
ปฏกิ ริ ิยารดี อกซ์ รวมทัง้ การ
นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
1. คานวณเลขออกซเิ ดชนั ปฏิกิรยิ ารีดอกซ์เป็น
และระบุปฏกิ ิริยาท่เี ป็น การศึกษาปฏิกริ ิยาเคมีที่
ปฏิกริ ยิ ารดี อกซ์ เกี่ยวข้องกับพลงั งานไฟฟา้
2. วเิ คราะหก์ ารเปล่ยี นแปลง โดยปฏกิ ริ ยิ าเคมีท่ีมีการถ่าย
เลขออกซเิ ดชันและระบตุ วั โอนอิเลก็ ตรอนระหวา่ งสาร
รีดิวซ์และตวั ออกซิไดส์ เรยี กวา่ ปฏิกิรยิ ารดี อกซ์
รวมทั้งเขยี นครง่ึ ปฏิกิรยิ า ประกอบดว้ ยครึ่งปฏกิ ริ ยิ า
ออกซิเดชันและครึง่ ปฏกิ ริ ยิ า ออกซเิ ดชนั ของตวั รดี ิวซ์ซึ่งให้
รีดักชันของปฏิกิริยารีดอกซ์ อิเลก็ ตรอน และครึง่ ปฏกิ ริ ยิ า
3. ทดลองและเปรยี บเทยี บ รีดกั ชนั ของตัวออกซิไดส์ซึง่
ความสามารถในการเปน็ ตัว รับอิเลก็ ตรอน
รีดวิ ซ์หรอื ตัวออกซิไดส์ และ ความสามารถในการให้
เขียนแสดงปฏกิ ิริยารดี อกซ์ หรือรบั อิเล็กตรอนใน
ปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ์สังเกตไดจ้ าก
การทดลอง
17
2. การจดั การเรยี นรูต้ ามวัฏจักร 7 ขน้ั
2.1 ความหมายของการจัดเรียนร้ตู ามวฏั จักร 7 ข้นั
ค.ศ. 2003 Eisenkraft (2003 : 57-59) ได้เสนอรูปแบบการสอนเป็น 7 ขั้น โดยปรับจาก
การสอน 5 ขั้น มาเป็น 7 ขั้น ได้ปรับรูปแบบการสอนในขั้นเร้าความสนใจ แยกออกเป็นสองส่วน
คือ ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation) และขั้นเร้าความสนใจ (Engagement) และในขั้นขยาย
ความรู้ และขน้ั ประเมนิ ความร้ไู ด้ปรบั เป็น 3 ส่วนคอื ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration) ขั้นประเมนิ ผล
(Evaluation) และขนั้ นาความรู้ไปใช้ (Extension) ซึ่งสรปุ รูปแบบการสอนแบบ 7 ขนั้ หรอื เรยี กย่อ
ว่า 7E มีดังนี้ คือ ข้ันตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation) ขั้นเร้าความสนใจ (Engagement) การ
สารวจและค้นหา (Exploration) ข้ันอธิบาย (Explanation) ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) ขั้น
ประเมนิ ผล (Evaluation) และขัน้ นาความร้ไู ปใช้ (Extension) ซงึ่ กระบวนการสอน 7 ขั้น ท่เี กิดข้ึน
อย่างต่อเน่ืองกันไปในลักษณะของวัฏจักรการเรียนรู้ (Cycle) ในขั้นตรวจสอบความรู้เดิมจะช่วยให้
นกั เรียนถ่ายโอนความรู้ท่มี ีอยู่ และช่วยป้องกนั ไม่ให้เกิดแนวความคิดท่ีผดิ พลาด (Eisenkraft, 2003 :
57)
การจัดเรยี นร้ตู ามวฏั จกั ร 7 ขัน้ เป็นรปู แบบการเรยี นการสอนแบบสืบเสาะแบบหน่ึง ทเ่ี น้นให้
ผู้เรียนสามารถใช้วิธีการสืบเสาะหาความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ (Inquiry Approach) ที่ต้องอาศัยทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นพบความรู้หรือประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมีความหมายดว้ ย
ตนเอง (คนึงเนตร แกว้ วเิ ศษ, 2557)
จากท่ีกล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การจัดเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน เป็นกระบวนการสอน 7 ขั้น
เกดิ ข้ึนอย่างต่อเนื่องกันไปในลักษณะของวฏั จักรการเรียนรู้ (Cycle) ทเ่ี นน้ ให้ผเู้ รียนสามารถใช้วิธีการ
สืบเสาะหาความรู้ ที่ต้องอาศัยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นพบความรู้หรือ
ประสบการณ์การเรียนร้อู ย่างมีความหมายด้วยตนเอง
2.2 ข้นั ตอนการจัดการเรยี นรตู้ ามวัฏจักร 7 ข้นั
Eisenkraft (2003, 57-59) พัฒนารูปแบบของวงจรการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน เป็น 7 ข้ันตอน
โดยให้เหตุผลว่าข้ันตอนของวงจรการเรียนรูปแบบ 5E เป็นขั้นตอนที่ยังไม่ต่อเน่ือง และยังไม่สมบูรณ์
จงึ ไดท้ าการเพม่ิ ขนั้ ตอนของการเรยี นรู้อกี 2 ขนั้ ตอน คือ ขั้นตรวจสอบความรูเ้ ดมิ (elicit) และขนั้ นา
ความร้ไู ปใช้ (extend) ดงั แผนภาพ
แผนภาพ 1 แสดงการพฒั นารปู แบบของวงจรการเรยี นรู้ 5 ขนั้ ตอน เปน็ 7 ขัน้ ตอน
ขั้นตรวจสอบความรเู้ ดมิ (Elicitation Phase)
สรา้ งความสนใจ (Engagement) ขนั้ เรา้ ความสนใจ (Engagement Phase)
ก า ร ส า ร ว จ แ ล ะ ค้ น ห า ข้ันสารวจและค้นหา (Exploration Phase)
(Exploration)
การอธิบาย (Explanation) ขัน้ อธิบาย (Explanation Phase)
การขยายความรู้ (Elaboration) ขั้นขยายความรู้ (Expansion Phase/Elaboraton
Phase)
การประเมินผล (Evaluation) ขั้นประเมนิ ผล (Evaluation Phase)
ขน้ั นาความร้ไู ปใช้ (Extension Phase)
18
โดยรายละเอยี ดของแตล่ ะขนั้ ตอนมีดงั น้ี
1. ข้ันตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation Phase) ครูจะทาหน้าที่การต้ังคาถามเพ่ือกระตุ้น
ความสนใจให้เด็กแสดงความรู้เดิม คาถามอาจจะเป็นประเด็นปัญหาท่ีเกิดขึ้นตามสภาพสังคม
ทอ้ งถิ่น หรือประเดน็ ขอ้ ค้นพบทางวิทยาศาสตร์ การนาวทิ ยาศาสตร์มาใชใ้ นชีวิตประจาวัน และเด็ก
สามารถเช่ือมโยงการเรียนรู้ไปยังประสบการณ์ที่ตนมี ทาให้ครูได้ทราบว่าเด็กแต่ละคนมีพ้ืนฐานเป็น
อย่างไร ครูควรเติมเต็มส่วนใดให้นักเรียน และครูยังสามารถวางแผนการจัดการเรียนรู้ได้อย่าง
เหมาะสมสอดคล้องกบั ความต้องการของนักเรยี น
2. ข้ันเร้าความสนใจ (Engagement Phase) ขั้นนี้เป็นการนาเข้าสู่เนื้อหาในบทเรียนหรือ
เร่ืองท่ีน่าสนใจ ซึ่งอาจเกิดจากความสนใจของนักเรียนหรือเกิดจากการอภิปรายในกล่มุ เร่ืองท่ีสนใจ
อาจมาจากเหตุการณ์ที่กาลงั จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาน้ัน หรือเป็นเรื่องทเ่ี ชื่อมโยงกับความรู้เดมิ ท่ีเด็กเพิ่ง
เรียนรู้มา ครูทาหน้าท่ีกระตุ้นให้นักเรียนสร้างคาถาม ยั่วยุให้นักเรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น
และกาหนดประเด็นท่ีจะศึกษาแก่นักเรียน ในกรณีที่ยังไม่มีประเด็นท่ีน่าสนใจ ครูอาจให้ศึกษาจาก
ส่ือต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วารสาร อินเตอร์เน็ต เป็นต้น ซ่ึงทาให้นักเรียนเกิดความคิดขัดแย้ง
จากส่ิงที่นักเรียนเคยรู้มาก่อน ครูเป็นผู้ที่ทาหน้าที่กระตุ้นให้นักเรียนคิด โดยเสนอประเด็นที่สาคัญ
ข้ึนมาก่อน แต่ไม่ควรบังคับให้เด็กยอมรับประเด็นหรือคาถามที่ครูกาลังสนใจ เป็นเรื่องที่ให้นักเรียน
ศกึ ษา เพอื่ นาไปส่กู ารสารวจตรวจสอบในข้นั ต่อไป
3. ขั้นสารวจและค้นหา (Exploration Phase) เมื่อนักเรียนทาความเข้าใจประเด็นหรือท่ี
สนใจจะศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว ก็มีการวางแผน กาหนดแนวทางการสารวจตรวจสอบตั้งสมมติฐาน
กาหนดทางเลือกท่ีเป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ
วิธีการตรวจสอบ อาจทาได้หลายวิธี เช่น สืบค้นข้อมูล สารวจ ทดลอง กิจกรรมภาคสนาม
เป็นตน้ เพื่อให้ได้ขอ้ มลู อย่างเพียงพอ ครูทาหนา้ ท่กี ระตนุ้ ใหน้ ักเรียนตรวจสอบปัญหาและดาเนินการ
ตรวจสอบและรวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง
4. ข้ันอธิบาย (Explanation Phase) เมื่อนักเรียนได้ข้อมูลมาแล้ว นักเรียนจะนาข้อมูล
เหลา่ น้นั มาทาการวิเคราะห์ แปลผล สรุปผล และนาเสนอผลได้ในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ บรรยายสรุป
สรา้ งแบบจาลอง วาดรูป ตาราง กราฟ ฯลฯ ซง่ึ จะช่วยใหน้ ักเรียนมแี นวโน้มหรือความสัมพันธ์ของ
ข้อมูล สรุปและอภิปรายผลการทดลอง โดยอ้างอิงประจักษ์พยานอย่างชัดเจนเพ่ือนาเสนอแนวคิด
ต่อไป ข้ันนี้จะทาให้นักเรียนได้สร้างองค์ความรู้ใหม่ การค้นพบในข้ันน้ีอาจเป็นไปได้หลายทาง เช่น
สนบั สนุนสมมตฐิ าน แตผ่ ลทไ่ี ดจ้ ะอยู่ในรูปแบบใดกส็ ามารถสร้างความรู้ และชว่ ยนกั เรยี นได้เกิดการ
เรียนรู้
5. ข้ันขยายความรู้ (Expansion Phase/Elaboraton Phase) ข้ันนี้เป็นการนาความรู้ที่
สรา้ งข้ึนไปเช่ือมโยงกับความรู้เดิม หรอื แนวคดิ เดิมที่ค้นคว้าเพ่มิ เตมิ หรอื แบบจาลอง หรือข้อสรุปท่ี
ได้ ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือเหตุการณ์อ่ืน ๆ ถ้าใช้อธิบายเร่ืองราวต่าง ๆ ได้มากก็แสดงว่ามี
ข้อจากัดน้อย ซง่ึ กจ็ ะช่วยให้เชื่อมโยงเกี่ยวกับเร่ืองราวต่าง ๆ และทาใหเ้ กดิ ความรู้กว้างขวางข้ึน ครู
ควรจัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ให้นักเรียนมีความรู้มากขึ้น และขยายแนวกรอบความคิดของตนเอง
และต่อเติมให้สอดคล้องกับประสบการณ์เดิม ครูควรส่งเสริมให้นักเรียนตั้งประเด็นเพ่ืออภิปรายและ
แสดงความคดิ เห็นเพม่ิ เตมิ ให้ใหช้ ัดเจนมากยิ่งขึ้น
19
6. ขน้ั ประเมนิ ผล (Evaluation Phase) ขัน้ นี้เปน็ การประเมินการเรียนร้ดู ้วยกระบวนการ
ต่าง ๆ ว่านักเรียนรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด ข้ันนี้จะช่วยให้นักเรียนสามารถนา
ความรทู้ ี่ไดม้ าประมวลและปรับประยุกตใ์ ช้ในเรื่องอน่ื ๆ ได้ ครคู วรสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรียนนาความรู้ใหม่ท่ี
ได้ไปเช่ือมโยงกับความรู้เดิมและสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ นอกจากน้ีครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้
ตรวจสอบซึง่ กนั และกัน
7. ข้ันนาความรู้ไปใช้ (Extension Phase) ครูจะต้องมีการจัดเตรียมโอกาสให้นักเรียนนา
ความรู้ท่ีได้ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม และเกิดประโยชน์ต่อชีวติ ประจาวัน ครูเป็นผู้ทาหน้าที่กระตุน้
ให้นักเรียนสามารถนาความรู้ไปสร้างความรู้ใหม่ ซ่ึงจะช่วยให้นักเรียนสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ได้
จากข้ันตอนต่าง ๆ ในรปู แบบการจดั เรียนรู้ตามวฏั จกั ร 7 ขน้ั จะเห็นไดว้ า่ เนน้ การถา่ ยโอน
การเรียนรู้และการตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียน ซึ่งเป็นส่ิงท่ีครูไม่ควรละเลย เน่ืองจากการ
ตรวจสอบพ้ืนฐานความรเู้ ดมิ ของนักเรยี น จะทาใหค้ รูได้คน้ พบว่านักเรียนจะต้องเรียนรู้อะไรก่อนที่จะ
เรียนในเน้ือหาน้ัน ๆ โดยนักเรียนจะสร้างความรู้จากพ้ืนความรู้เดิมที่นักเรียนมี ทาให้เกิดการเรียนรู้
อย่างมีความหมาย นอกจากนี้ยังเน้นให้นักเรียนสามารถนาความรู้ท่ีได้รับไปประยุกต์ใช้ให้เกิด
ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวัน
2.3 บทบาทของครแู ละนกั เรียนในการเรียนรตู้ ามวฏั จกั ร 7 ขน้ั
การนารูปแบบการจัดเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน ไปใช้ ครูควรจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับ
ความรู้ความสามารถของนักเรียน เนื่องจากความรู้ความสามารถของนักเรียนมีความแตกต่างกัน จึง
จาเป็นอย่างยิ่งท่ีครูต้องมีความรู้เก่ียวกับบทบาทครแู ละนักเรียน เพ่ือช่วยให้การจดั กิจกรรมการเรยี น
การสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บทบาทครูและนักเรียนในการจัดเรียนรตู้ ามวัฏจกั ร 7 ขั้น สรุป
ได้ดงั ตาราง
ตาราง 2 แสดงบทบาทของครูและนกั เรยี นในการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ขัน้
ข้ันการเรยี นรู้ บทบาทของครู บทบาทของนักเรียน
1. ขน้ั ตรวจสอบความรเู้ ดิม - ตง้ั คาถาม/กาหนดประเด็น - ตอบคาถามตามความเข้าใจ
(Elicitation Phase) ปัญหา กระตุ้นให้
ตนเอง
นกั เรยี นได้แสดงความรูเ้ ดิม - แสดงความคดิ เหน็ อยา่ ง
- ตรวสอบความรู้ อสิ ระ
ประสบการณ์เดมิ ของนักเรยี น - อภิปรายร่วมกนั ระหวา่ งครู
- เติมเตม็ ประสบการณ์เดมิ กบั นกั เรยี น และนกั เรยี นกับ
- วางแผนการจดั การเรียนรู้ นักเรยี น
2. ขน้ั เรา้ ความสนใจ - สรา้ งความสนใจ - ถามคาถามตามประเด็น
(Engagement Phase) - ตง้ั คาถามกระตุ้นให้คิด - แสดงความสนใจใน
- สร้างความกระหายใคร่รู้ เหตุการณ์
- ยกตัวอยา่ งประเด็นที่ - กระหายอยากรู้คาตอบ
นา่ สนใจ - แสดงความคดิ เห็นและ
- จัดสถานการณ์ใหน้ กั เรียน นาเสนอความคิด
สนใจ
20
ขนั้ การเรียนรู้ บทบาทของครู บทบาทของนักเรยี น
3. ข้นั สารวจและคน้ หา
(Exploration Phase) - ดึงคาตอบท่ียังไมช่ ดั เจนนกั - นาเสนอประเดน็ /
4. ข้ันอธิบาย (Explanation มาคดิ และอภิปรายร่วมกัน สถานการณ์ทีส่ นใจ
Phase)
- อภปิ รายประเดน็ ท่ีต้องการ
ทราบ
- สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรียนทางาน - คดิ อยา่ งอสิ ระแต่อยู่ใน
ร่วมกัน ขอบเขตของกจิ กรรมสารวจ
- สารวจตรวจสอบซกั ถาม ตรวจสอบ
นกั เรียนเพื่อนาไปสกู่ ารสารวจ - ทดสอบการคาดคะเน
ค้นหา สมมตฐิ าน
- สังเกตและรับฟังความ - คาดคะเนและตัง้ สมมติฐาน
คดิ เห็นของนกั เรยี น ใหม่
- ให้ข้อเสนอแนะ คาปรึกษา - พยายามหาทางเลือกในการ
แก่นักเรยี น แก้ปญั หาและอภปิ ราย
- ใหก้ าลังใจและช้แี นะ ทางเลือกกับคนอนื่ ๆ
แนวทางนาไปสู่การสารวจ - บันทกึ การสังเกตและให้
ตรวจสอบ ขอ้ คิดเหน็
- ส่งเสรมิ ใหน้ กั เรยี นได้สารวจ - ลงข้อสรปุ บนพน้ื ฐานของ
ตรวจสอบ โดยใช้กระบวนการ ข้อมลู ที่มีความน่าเชอื่ ถือได้
ทางวิทยาศาสตร์ - ใชท้ ักษะกระบวนการทาง
- สง่ เสริมคุณธรรม จรยิ ธรรม วิทยาศาสตรใ์ นการสารวจ
ทางวิทยาศาสตร์ ตรวจสอบ
- ส่งเสริมและพัฒนาเจตคติ - มจี รรยาบรรณของ
ทางวทิ ยาศาสตร์แก่นกั เรยี น นักวทิ ยาศาสตร์
- ส่งเสริมให้นักเรียนไดค้ ิดและ - อธบิ ายการแกป้ ัญหาหรือ
แสดงความคิดเหน็ อยา่ งอสิ ระ คาตอบทีเ่ ป็นไปได้
- สง่ เสริมใหน้ ักเรียนอธบิ าย - รบั ฟังคาอธบิ ายของคนอ่นื
ความคดิ รวบยอดตามความ อย่างสรา้ งสรรค์
เข้าใจของตัวเอง - คิดวเิ คราะหว์ จิ ารณใ์ น
- ให้นักเรียนแสดงหลักฐาน ประเด็นท่เี พือ่ นนาเสนอ
ใหเ้ หตุผลอยา่ งเหมาะสม - ถามคาถามอย่างสรา้ งสรรค์
- ให้นกั เรียนอธบิ าย ให้คา เก่ยี วกับสิง่ ที่คนอ่นื ได้อธิบาย
จากัดความและบง่ ชปี้ ระเด็นท่ี - รับฟังและพยายามทาความ
สาคญั จากปรากฏการณ์ได้ เข้าใจเกีย่ วกับสง่ิ ท่ีครูอธิบาย
- อา้ งองิ กจิ กรรมทไี่ ด้ปฏบิ ตั ิมา
21
ขนั้ การเรยี นรู้ บทบาทของครู บทบาทของนักเรยี น
- ใหน้ กั เรยี นใชป้ ระสบการณ์ - ใหข้ ้อมูลท่ีไดจ้ ากการบนั ทึก
เดมิ ของตนเป็นพืน้ ฐานในการ การสงั เกตประกอบคาอธิบาย
อธิบายความคิดรวบยอด
5. ขนั้ ขยายความรู้ (Expansion - ส่งเสรมิ ใหน้ ักเรียนไดน้ า - นาข้อมูลท่ีได้จากการสารวจ
Phase/Elaboraton Phase) ความรทู้ ี่เรียนมา ไปปรบั ตรวจสอบไปปรับประยุกต์ใชใ้ น
ประยกุ ต์ใช้ให้เกดิ ประโยชน์ สถานการณ์ใหมท่ ี่คลา้ ยกบั
อยา่ งสรา้ งสรรค์ สถานการณเ์ ดิม
- สง่ เสรมิ ให้นกั เรยี นไดน้ า - ใชข้ อ้ มูลเดิมในการถามตาม
ความรูท้ ี่เรียนมาไปปรบั ความม่งุ หมายของการทดลอง
ประยุกตใ์ ชห้ รือขยายความรใู้ น - บันทกึ การสังเกตข้ออธบิ าย
สถานการณ์ใหม่ - ตรวจสอบความเข้าใจตนเอง
- สง่ เสริมให้นกั เรียนไดน้ า ดว้ ยการอภปิ รายข้อค้นพบกบั
ความรู้ทีเ่ รียนมาไปปรับ เพ่อื น ๆ
ประยกุ ตใ์ ชต้ ามบรบิ ท
- เปดิ โอกาสให้นกั เรยี นได้
อธบิ ายความรคู้ วามเข้าใจอยา่ ง
หลากหลาย
- ให้นักเรียนอ้างองิ ข้อมูลทีม่ ี
อยู่พร้อมทั้งแสดงหลกั ฐาน
และถามคาถามเกี่ยวกบั สิง่ ที่
นักเรยี นได้เรียนรู้
6. ขั้นประเมินผล (Evaluation - สังเกตนักเรียนในการนา - ตอบคาถามโดยอาศยั
Phase) ความคดิ รวบยอดและทักษะ ประจกั ษ์พยานหลักฐาน และ
ใหม่ไปปรับใช้ คาอธบิ ายท่ียอมรับได้
- ประเมนิ ความรู้และทกั ษะ - แสดงความรู้ความเขา้ ใจของ
นักเรยี น ตนเอง จากกจิ กรรมสารวจ
- หาหลักฐานทแ่ี สดงว่า ตรวจสอบ
นักเรยี นได้เปลี่ยนความคิดหรือ
พฤติกรรม
- ใหน้ กั เรยี นประเมินตนเอง
เกี่ยวกบั การเรยี นรู้และทักษะ
กระบวนการกล่มุ
7. ขนั้ นาความรไู้ ปใช้ - ถามคาถามปลายเปดิ ใน - เสนอแนะข้อคาถามหรือ
(Extension Phase) ประเด็นตา่ งๆ หรือสถานการณ์ ประเด็นท่เี กีย่ วข้อง เพื่อ
ทก่ี าหนดได้ สง่ เสรมิ ใหมกี ารนา
22
ขั้นการเรียนรู้ บทบาทของครู บทบาทของนกั เรียน
- กระตนุ้ ให้นักเรียนตัง้ ข้อ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
คาถามตามประเดน็ ท่ี ไปใชใ้ นการสารวจตรวจสอบ
สอดคล้องกบั บริบท ต่อไป
- กระตุ้นให้นกั เรียนนาส่งิ ที่ได้ - นาความรู้ทีไ่ ด้ไปปรบั ใชอ้ ย่าง
เรียนรูไ้ ปปรับใช้ เหมาะสม
- แนะแนวทางในการนาความรู้ - ใชท้ ักษะกระบวนการทาง
เดมิ ไปสร้างเป็นองคค์ วามรู้ใหม่ วิทยาศาสตรใ์ นการเชื่อมโยง
- ปรบั ปรงุ วิธีการจดั การเรียน เนือ้ หาสาระไปสู่การแก้ปญั หา
การสอน - มีคุณธรรม จรยิ ธรรม ในการ
นาความรไู้ ปปรบั ใชใ้ น
ชีวิตประจาวนั
3. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
3.1 ความหมายของการจดั เรียนรู้แบบรว่ มมือ
สาหรับการจัดการเรยี นร้แู บบร่วมมือได้มีนักวชิ าการใหค้ วามหมายไว้หลายทา่ น ดังนี้
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553, หน้า 124) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือหรือแบบมี
ส่วนร่วม หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนมีความรู้ความสามารถต่างกันได้ร่วมมือกัน
ทางานกลุ่มด้วยความต้ังใจและเต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน้าท่ีในกลุ่มของตน ทาให้งานของกลุ่ม
ดาเนนิ ไปสเู่ ปา้ หมายของงานได้
สลาวิน (Slavin, 1987, p. 7-13) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือว่า หมายถึง
วธิ กี ารจัดการเรยี นการสอนท่ีใหน้ กั เรียนทางานร่วมกนั เป็นกลุม่ เล็ก โดยทวั่ ไปมสี มาชกิ กลมุ่ ละ 4 คน
สมาชิกกลุ่มมีความสามารถในการเรียนตา่ งกัน สมาชิกในกลุ่มจะรับผิดชอบในสิ่งท่ีได้รับการสอนและ
ช่วยเพื่อนสมาชิกให้เกิดการเรียนรู้ด้วย มีการช่วยเหลือซ่ึงกันและกันโดยมีเป้าหมายในการทางาน
รว่ มกนั คือ เป้าหมายของกลุ่ม
ไสว ฟักขาว (2544, หน้า 193) กล่าวถึงการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ว่า เป็นการจัดการเรียน
การสอนท่ีแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน มีการ
แลกเปลี่ยนความคิดเหน็ มีการช่วยเหลอื สนับสนุนซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกันท้ังใน
สว่ นตน และสว่ นรวม เพ่อื ใหก้ ลุ่มได้รับความสาเร็จตามเป้าหมายทีก่ าหนด
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2547, หน้า 19) กล่าวว่า การเรียน
แบบร่วมมือเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถนามาใช้ในเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ได้อย่างเหมาะสม
วิธีหน่ึง เนื่องจากขณะท่ีนักเรยี นทากิจกรรมร่วมกันในกล่มุ นักเรียนจะได้มีโอกาสแลกเปล่ียนความรู้
กบั สมาชิกของกลมุ่ และการทแี่ ต่ละคนมีวยั ใกลเ้ คียงกนั ทาให้สามารถส่อื สารกนั ได้เป็นอยา่ งดี
พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2544, หน้า 152) ได้ให้ความหมาย ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมอื
ไว้ว่า เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรยี นเปน็ สาคัญของการเรียนรู้ นักเรียนอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ
มีกระบวนการทางานเป็นกลมุ่ แบบทุกคนร่วมมือกนั นกั เรยี นทุกคนในกลุม่ มคี วามสามารถแตกต่างกัน
23
มีบทบาทท่ีชัดเจนในการเรียน หรือการทากิจกรรมอย่างเท่าเทียมกันและหมนุ เวียนบทบาทหนา้ ที่กัน
ภายในกลุ่มอย่างทั่วถึง มีปฏิสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน ได้พัฒนาทักษะความร่วมมือในการทางานกลุ่ม
นักเรียนในกลุ่มมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ตรวจสอบผลงานร่วมกัน ขณะเดียวกันก็ต้อง
ร่วมกันรบั ผดิ ชอบการเรียน ในงานทกุ ขั้นตอนของสมาชิกกลุ่ม ซ่ึงนักเรียนจะบรรลุเปา้ หมายของการ
จัดการเรียนรู้ได้ก็ต่อเม่ือสมาชิกทุกคนในกลุ่มบรรลุเป้าหมายเช่นเดียวกัน ดังนั้นนักเรียนทุกคนต้อง
ชว่ ยเหลอื พ่ึงพากันเพือ่ ใหท้ กุ คนในกลมุ่ ประสบความสาเร็จและบรรลเุ ปา้ หมายร่วมกนั
จากความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือข้างต้น สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
หมายถึง การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยผู้สอนจัดให้ผู้เรียนแบ่งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ
ประมาณ 4 - 6 คน เพ่ือให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการทางานร่วมกัน ช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน และ
รว่ มกันรบั ผดิ ชอบงานในกลุม่ ที่ไดร้ บั มอบหมาย เพอ่ื ให้เกิดเป็นความสาเร็จของกลุม่
3.2 องคป์ ระกอบสาคัญของการเรยี นร้แู บบร่วมมือ
นกั วชิ าการหลายท่านได้กล่าวถงึ องค์ประกอบของการเรียนรูแ้ บบร่วมมือ ไวด้ ังน้ี
จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson, 1987, p. 13-14) ได้ กล่าวถึง
องคป์ ระกอบทส่ี าคญั ของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไวด้ ังนี้
1. ความเก่ียวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก (Positive Interdependence) หมายถึง การที่
สมาชิกในกลุ่มทางานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน มีการทางานร่วมกันโดยท่ีสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมใน
การทางาน มีการแบ่งปันวัสดุ อุปกรณ์ ข้อมูลต่าง ๆ ในการทางาน ทุกคนมีบทบาทหน้าท่ีและ
ประสบความสาเร็จร่วมกัน สมาชิกในกลุ่มจะมีความรู้สึกว่าตนประสบความสาเร็จได้ก็ต่อเม่ือสมาชิก
ทุกคนในกลุ่มประสบความสาเร็จด้วย สมาชิกทุกคนจะได้รับผลประโยชน์หรือรางวัลผลงานกลุ่มโดย
เท่าเทียมกัน เช่น ถ้าสมาชิกทุกคนช่วยกัน ทาให้กลุ่มได้คะแนน 90% แล้วสมาชิกแต่ละคนจะได้
คะแนนพเิ ศษเพ่มิ อกี 5 คะแนน เปน็ รางวลั เปน็ ต้น
2. การมีปฏิสัมพันธ์ท่ีส่งเสริมซ่ึงกันและกัน (Face To Face Promotive Interaction)
เป็นการติดต่อสัมพันธ์กัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การอธิบายความรู้ให้แก่เพ่ือนใน
กลมุ่ ฟงั เปน็ ลักษณะสาคัญของการติดต่อปฏสิ ัมพันธ์โดยตรงของการเรียนแบบรว่ มมือ ดังนัน้ จึงควรมี
การแลกเปลี่ยนให้ข้อมูลย้อนกลับ เปิดโอกาสให้สมาชิกเสนอแนวความคิดใหม่ ๆ เพ่ือเลือกในสิ่งท่ี
เหมาะสมท่ีสุด
3. ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน (Individual Accountability) ความรับผิดชอบ
ของสมาชิกแต่ละบุคคล เป็นความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละบุคคล โดยมีการ
ช่วยเหลือส่งเสรมิ ซ่ึงกันและกัน เพ่ือให้เกิดความสาเร็จตามเป้าหมายกลุ่ม โดยท่ีสมาชิกทุกคนในกลุม่
มคี วามมน่ั ใจและพร้อมทีจ่ ะไดร้ บั การทดสอบเปน็ รายบคุ คล
4. การใช้ทักษะระหว่างบุคคลและทักษะการทางานกลุ่มย่อย (Interdependence and
Small Group Skills) ทักษะระหว่างบุคคลและทักษะการทางานกลุ่มย่อย นักเรียนควรได้รับการ
ฝึกฝนทักษะเหล่าน้ีเสียก่อน เพราะเป็นทักษะสาคัญท่ีจะช่วยให้การทางานกลุ่มประสบผลสาเร็จ
นักเรียนควรได้รับการฝึกทักษะในการสื่อสาร การเป็นผู้นา การไว้วางใจผู้อื่น การตัดสินใจ การ
แก้ปัญหา ครูควรจัดสถานการณ์ท่ีจะส่งเสริมให้นักเรียน เพ่ือให้นักเรียนสามารถทางานได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ
24
5. กระบวนการกลุ่ม (Group Process) เป็นกระบวนการทางานท่ีมีข้ันตอนหรือวิธีการที่
จะช่วยให้การดาเนินงานกลุ่มเปน็ ไปอย่างมีประสิทธิภาพ น่ันคือ สมาชิกทุกคนต้องทาความเข้าใจใน
เป้าหมายการทางาน วางแผนปฏิบัติงานร่วมกัน ดาเนินงานตามแผนตลอดจนประเมินผลและ
ปรับปรุงงาน
องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือทั้ง 5 องค์ประกอบน้ีต่างมีความสัมพันธ์ซ่ึงกันและ
กัน ในอันที่จะช่วยให้การเรียนแบบร่วมมือดาเนินไปด้วยดี และบรรลุตามเป้าหมายท่ีกลุ่มกาหนด
โดยเฉพาะทักษะทางสังคม ทักษะการทางานกลุม่ ย่อย และกระบวนการกลุ่มซึ่งจาเปน็ ท่ีจะต้องได้รับ
การฝึกฝน ท้ังน้ีเพื่อให้สมาชิกกลุ่มเกิดความรู้ ความเข้าใจและสามารถนาทักษะเหล่านี้ไปใช้ให้เกิด
ประโยชน์ได้อย่างเต็มท่ี
อาภรณ์ ใจเทย่ี ง (2553, หนา้ 125) กลา่ วถึงองคป์ ระกอบของการจดั การเรียนรแู้ บบร่วมมือ
ไวว้ ่า ต้องคานึงถงึ องคป์ ระกอบในการใหผ้ เู้ รียนทางานกลุ่ม ดังขอ้ ตอ่ ไปน้ี
1. มีการพึ่งพาอาศัยกัน (Positive Interdependence) หมายถึง สมาชิกในกลุ่มมี
เป้าหมายร่วมกัน มีส่วนรับความสาเร็จร่วมกัน ใช้วัสดุอุปกรณ์ร่วมกัน มีบทบาทหน้าที่ทุกคนท่ัวกัน
ทกุ คนมีความร้สู ึกว่างานจะสาเร็จได้ต้องชว่ ยเหลือซง่ึ กนั และกนั
2. มีปฏสิ ัมพนั ธอ์ ยา่ งใกล้ชิดในเชงิ สร้างสรรค์ (Face to Face Promotive Interaction)
หมายถงึ สมาชกิ กล่มุ ได้ทากิจกรรมอย่างใกลช้ ดิ เชน่ แลกเปลย่ี นความคิดเห็น อธิบายความรูแ้ ก่กัน
ถามคาถาม - ตอบคาถามกันและกนั ด้วยความรสู้ ึกทีด่ ีต่อกนั
3. มีการตรวจสอบความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน (Individual Accountability)
เป็นหน้าท่ีของผู้สอนท่ีจะต้องตรวจสอบว่า สมาชิกทุกคนมีความรับผิดชอบต่องานกลุ่มหรือไม่มาก
น้อยเพียงใด เช่น การส่มุ ถามสมาชิกในกลุ่ม สังเกตและบันทกึ การทางานกลุ่ม ใหผ้ เู้ รยี น อธบิ ายส่ิง
ที่ตนเรยี นรใู้ หเ้ พือ่ นฟัง ทดสอบรายบคุ คล เป็นต้น
4. มีการฝึกทักษะการช่วยเหลือกันทางาน และทักษะการทางานกลุ่มย่อย
(Interdependence and Small Groups Skills) ผู้เรียนควรได้ฝึกทักษะท่ีจะช่วยให้งานกลุ่ม
ประสบความสาเร็จ เช่น ทักษะการส่อื สาร การยอมรับและชว่ ยเหลือกัน การวิจารณค์ วามคิดเห็น โดย
ไม่วิจารณ์บุคคล การแก้ปัญหาความขัดแย้ง การให้ความช่วยเหลือ และการเอาใจใส่ต่อทุกคน อย่าง
เท่าเทียมกนั การทาความรู้จักและไวว้ างใจผ้อู น่ื เปน็ ต้น
5. มีการฝึกกระบวนการกลุ่ม (Group Process) สมาชิกต้องรับผิดชอบต่อการทางาน ของ
กลุ่มต้องสามารถประเมินการทางานของกลุ่มได้ว่า ประสบผลสาเร็จมากน้อยเพียงใด เพราะเหตุใด
ต้องแก้ไขปัญหาท่ีใดและอย่างไร เพ่ือให้การทางานกลุ่มมีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม เป็นการฝึก
กระบวนการกลุม่ อย่างเป็นกระบวนการ
จากองค์ประกอบสาคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือท่ีกล่าวมา จึงสรุปได้ว่าการเรียนรู้แบบ
รว่ มมอื น้นั มอี งคป์ ระกอบ 5 ประการดว้ ยกนั ดงั นี้
1. มกี ารพึง่ พาอาศัยซึ่งกนั และกัน โดยสมาชิกแต่ละคนมเี ป้าหมายในการทางานกลุ่มร่วมกัน
ซ่งึ จะต้องพึง่ พาอาศยั ซึง่ กนั และกัน เพ่อื ความสาเรจ็ ของการทางานกลุ่ม
2. มปี ฏสิ มั พนั ธ์กนั อย่างใกลช้ ิดในเชิงสร้างสรรค์ เปน็ การใหส้ มาชิกไดร้ ว่ มกันทางานกลุ่มกัน
อยา่ งใกลช้ ดิ โดยการเสนอและแสดงความคิดเหน็ กนั ของสมาชิกภายในกลุม่ ดว้ ยความรสู้ กึ ทีด่ ีตอ่ กัน
25
3. มีความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน หมายความว่า สมาชิกภายในกลุ่มแต่ละคน
จะต้องมีความรับผิดในการทางาน โดยท่ีสมาชิกทุกคนในกลุ่มมีความมั่นใจ และพร้อมท่ีจะได้รับการ
ทดสอบเปน็ รายบคุ คล
4. มีการใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มย่อย ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะการทางานกลุ่ม
ย่อย นักเรียนควรได้รับการฝึกฝนทักษะเหล่านี้เสียก่อน เพราะเป็นทักษะสาคัญท่ีจะช่วยให้การ
ทางานกลุ่มประสบผลสาเรจ็ เพอ่ื ให้นักเรยี นจะสามารถทางานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ
5. มีการใช้กระบวนการกลุ่มซ่ึงเป็นกระบวนการทางานท่ีมีข้ันตอนหรือวิธีการท่ีจะช่วยให้
การดาเนินงานกลุ่มเป็นไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ในการวางแผนปฏิบัติงานและเป้าหมายในการทางาน
ร่วมกัน โดยจะตอ้ งดาเนินงานตามแผนตลอดจนประเมนิ ผลและปรับปรุงงาน
3.3 เทคนคิ การเรียนรแู้ บบร่วมมอื
วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545, 177–195) อ้างใน อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550, 123–125)
กล่าวถึง เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ว่า เทคนิคที่นามาใช้ในการเรียนรู้แบบร่วมมือ มี
หลายวิธี ได้แนะนาไว้ดังน้ี
1. ปริศนาความคดิ (Jigsaw)
ปริศนาความคิด เป็นเทคนิคท่ีสมาชิกในกลุ่มแยกย้ายกันไปศึกษาหาความรู้ ในหวั ขอ้ เน้ือหา
ที่แตกตา่ งกนั แลว้ กลับเขา้ กลมุ่ มาถา่ ยทอดความรู้ที่ได้มาใหส้ มาชิกกลุ่มฟัง วิธีนค้ี ล้ายกับการต่อภาพ
จกิ ซอร์ จึงเรยี กวิธีนว้ี า่ Jigsaw หรอื ปริศนาการคดิ
ลกั ษณะการจดั กิจกรรม
ผเู้ รียนท่มี ีความสามารถต่างกันเข้ากลมุ่ รว่ มกันเรยี กว่า กลมุ่ บา้ น (Home Group) สมาชิก
ในกลุ่มบ้านจะรับผิดชอบศึกษาหัวข้อท่ีแตกต่างกัน แล้วแยกย้ายไปเข้ากลุ่มใหม่ในหัวข้อเดียวกัน
กล่มุ ใหม่นเ้ี รียกวา่ กลมุ่ ผู้เชยี่ วชาญ (Expert Group) เมอื่ กล่มุ ผู้เชี่ยวชาญทางานรว่ มกันเสร็จ กจ็ ะ
ย้ายกลับไปกลุ่มเดิมคือ กลุ่มบ้านของตน นาความรู้ท่ีได้จากการอภิปรายจากกลุ่มผู้เช่ยี วชาญมาสรปุ
ใหก้ ลมุ่ บ้านฟัง ผสู้ อนทดสอบและใหค้ ะแนน
2. กลุ่มรว่ มมอื แขง่ ขนั (Teams – Games – Toumaments หรอื TGT)
เทคนคิ กลุ่มรว่ มมอื แข่งขนั เป็นกิจกรรมทีส่ มาชิกในกลุ่มเรียนรเู้ นื้อหาสาระจากผูส้ อนด้วยกัน
แล้วแต่ละคนแยกย้ายไปแข่งขันทดสอบความรู้ คะแนนท่ีได้ของแต่ละคนจะนามารวมกันเป็นคะแนน
ของกลุม่ กลุม่ ท่ีไดค้ ะแนนรวมสูงสดุ ไดร้ บั รางวลั
ลักษณะการจัดกจิ กรรม
สมาชิกกลุ่มจะช่วยกันเตรียมตัวเข้าแข่งขัน โดยผลัดกันถามตอบให้เกิดความแม่นยาใน
ความรู้ที่ผู้สอนจะทดสอบ เม่ือได้เวลาแข่งขัน แต่ละทีมจะเข้าประจาโต๊ะแข่งขัน แล้วเร่ิมเล่นเกม
พร้อมกันด้วยชุดคาถามท่ีเหมือนกัน เม่ือการแข่งขันจบลง ผู้เข้าร่วมแข่งขันจะกลบั ไปเข้าทีมเดิมของ
ตนพร้อมคะแนนทีไ่ ดร้ ับ ทีมทไี่ ด้คะแนนรวมสูงสุดถือวา่ เปน็ ทมี ชนะเลศิ
3. กล่มุ ร่วมมือช่วยเหลือ (Team Assisted Individualization : TAI)
เทคนิคการเรียนรู้วิธีน้ี เป็นการเรียนรู้ท่ีเปิดโอกาสให้สมาชิกแต่ละคนได้แสดงความสามารถ
เฉพาะตนก่อน แล้วจึงจับคู่ตรวจสอบกันและกัน ช่วยเหลือกันทาใบงานจนสามารถผ่านได้
26
ต่อจากนั้นจึงนาคะแนนของแต่ละคนมารวมเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มท่ีได้คะแนนสูงสุดจะเป็นฝ่าย
ไดร้ บั รางวัล
ลกั ษณะการจดั กจิ กรรม
กลุ่มจะมีสมาชิก 2 – 4 คน จับคู่กันทางานตามใบงานท่ีได้รับมอบหมาย แล้วแลกเปลี่ยนกัน
ตรวจผลงาน ถ้าผลงานยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ ต้องแก้ไขจนกว่าจะผ่าน ต่อจากนั้นทุกคนจะทาข้อ
ทดสอบ คะแนนของทุกคนจะมารวมกนั เปน็ คะแนนของกลุ่ม กล่มุ ท่ไี ดค้ ะแนนสูงสดุ จะไดร้ บั รางวลั
4. กลมุ่ สบื คน้ (Group Investigation : GI)
กลุ่มสืบค้น เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการศึกษาค้นคว้าแสวงหา
ความรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนแตล่ ะกลมุ่ ได้รับมอบหมายให้ค้นควา้ หาความรู้มานาเสนอ ประกอบเนื้อหา
ท่ีเรียน อาจเปน็ การทางานตามใบงานทก่ี าหนด โดยที่ทุกคนในกลมุ่ รับรู้และชว่ ยกันทางาน
ลักษณะการจัดกิจกรรม
สมาชกิ กลมุ่ จะชว่ ยกนั ศึกษาค้นคว้าหาคาตอบ หรือความรู้มานาเสนอต่อชั้นเรียน โดยผู้สอน
แบ่งเน้ือหาเป็นหัวข้อย่อย แต่ละกลุ่มศึกษากลุ่มละ 1 หัวข้อ เม่ือพร้อม ผู้เรียนจะนาเสนอผลงานที
ละกลุ่ม แลว้ ร่วมกันประเมนิ ผลงาน
5. กลมุ่ เรียนรรู้ ว่ มกัน (Learning Together : LT)
กลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมที่ให้สมาชิกในกลุ่มได้รับผิดชอบ มีบทบาท
หนา้ ทีท่ ุกคน เช่น เป็นผ้อู า่ น เปน็ ผจู้ ดบนั ทกึ เป็นผรู้ ายงานนาเสนอ เป็นต้น ทุกคนช่วยกันทางาน
จนได้ผลงานสาเร็จ สง่ และนาเสนอผ้สู อน
ลกั ษณะการจัดกจิ กรรม
กลุ่มผู้เรียนจะแบ่งหน้าที่กันทางาน เช่น เป็นผู้อ่านคาสั่งใบงาน เป็นผู้จดบันทึกงาน เป็นผู้
หาคาตอบ เป็นผตู้ รวจคาตอบ กลุ่มจะได้ผลงานทเี่ กดิ จากการทางานของทุกคน
6. กลมุ่ ร่วมกันคดิ (Numbered Heads Together : NHT)
กิจกรรมน้ีเหมาะสาหรับการทบทวนหรือตรวจสอบความเข้าใจ สมาชิกกลุ่มจะประกอบด้วย
ผู้เรียนท่ีมีความสามารถเก่ง ปานกลาง และอ่อนคละกัน จะช่วยกันค้นคว้าเตรียมตัวตอบคาถามท่ี
ผู้สอนจะทดสอบ ผู้สอนจะเรียกถามทีละคน กลุ่มที่สมาชิกสามารถตอบคาถามได้มากแสดงว่าได้
ช่วยเหลือกนั ดี
ลกั ษณะการจัดกิจกรรม
สมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกัน จะร่วมกันอภิปรายปัญหาท่ีได้รับเพ่ือให้เกิดความ
พร้อมและความม่ันใจที่จะตอบคาถามผู้สอน ผู้สอนจะเรียกสมาชิกกลุ่มให้ตอบทีละคน แล้วนา
คะแนนของแต่ละคนมารวมเปน็ คะแนนของกลุ่ม
7. กลมุ่ ร่วมมือ (Co – op Co - op)
กล่มุ ร่วมมอื เปน็ เทคนิคการทางานกลุ่มวิธหี นึ่ง โดยสมาชิกในกลมุ่ ที่มีความสามารถและความ
ถนัดแตกตา่ งกนั ได้ แสดงบทบาทตามหนา้ ท่ีที่ตนถนัดอยา่ งเต็มท่ี ทาใหง้ านประสบผลสาเรจ็ วิธนี ้ีทา
ให้ผู้เรียนได้ฝึกความรับผิดชอบการทางานกลุ่มร่วมกัน และสนองต่อหลักการของการเรียนรู้ และ
ร่วมมือทวี่ ่า “ความสาเร็จแต่ละคน คอื ความสาเรจ็ ของกลุม่ ความสาเรจ็ ของกล่มุ คือ ความสาเรจ็
ของทุกคน”
27
ลักษณะการจัดกิจกรรม
สมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันจะแบ่งหน้าท่ีรับผิดชอบไปศึกษาหัวข้อย่อยทีได้รับ
มอบหมาย แล้วนางานจากการศึกษาค้นคว้ามารวมกันเป็นงานกลุ่มปรับปรุงให้ต่อเน่ืองเช่ือมโยง มี
ความสละสลวย เสร็จแลว้ จึงนาเสนอต่อชน้ั เรียน ทุกกลุ่มจะชว่ ยกนั ประเมินผลงาน
วันเพญ็ จันทร์เจรญิ (2542, หนา้ 119-128) กล่าวถึง เทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมือไวด้ ังน้ี
1.1 เทคนิคการแข่งขันระหว่างกลุ่มด้วยเกม (Team – Games – Tournament หรือ
TGT) คือ การจัดกลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มละ 4 คน ระดับความสามารถต่างกัน
(Heterogeneous teams) คือ นักเรียนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน ครู
กาหนดบทเรียนและการทางานของกลุ่มเอาไว้ ครูทาการสอนบทเรียนให้นักเรียนทั้งชั้นแล้วให้กลุ่ม
ทางานตามทีก่ าหนด นักเรียนในกลุ่มช่วยเหลอื กนั เดก็ เกง่ ชว่ ยและตรวจงานของเพ่ือนใหถ้ ูกต้องก่อน
นาส่งครู แล้วจัดกลุ่มใหม่เป็นกลุ่มแข่งขันที่มีความสามารถเท่า ๆ กัน ( Homogeneous
tournament teams) มาแข่งขันตอบปัญหาซ่ึงจะมีการจัดกลุ่มใหม่ทุกสัปดาห์ โดยพิจารณาจาก
ความสามารถของแต่ละบุคคล คะแนนของกลุ่มจะได้จากคะแนนของสมาชิกท่ีเข้าแขง่ ขันรว่ มกับกลุ่ม
อนื่ ๆ ร่วมกัน แล้วมีการมอบรางวัลใหแ้ กก่ ลุ่มทไี่ ด้คะแนนสงู ถึงเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้
1.2 เทคนิคการแบ่งกลุ่มแบบกลุ่มสัมฤทธ์ิ (Student Teams Achievement Divisions
หรือ STAD) คอื การจดั กลมุ่ เหมือน TGT แตไ่ มม่ กี ารแข่งขัน โดยใหน้ กั เรียนทุกคนตา่ งคนต่างทา
ขอ้ สอบ แล้วนาคะแนนพฒั นาการ (คะแนนทด่ี กี วา่ เดิมในการสอบครั้งกอ่ น) ของแตล่ ะคนมารวมกัน
เป็นคะแนนกลุ่ม และมีการให้รางวัล
1.3 เทคนิคการจัดกลุ่มแบบช่วยรายบุคคล (Team Assisted Individualization หรือ
TA) เทคนคิ นเ้ี หมาะกับวิชาคณติ ศาสตร์ ใช้สาหรับระดบั ประถมปีที่ 3 – 6 วิธนี ส้ี มาชิกกลุม่ มี 4 คน
มีระดับความรู้ต่างกัน ครูเรียกเด็กท่ีมีความรู้ระดับเดียวกันของแต่ละกลุ่มมาสอนตามความยากง่าย
ของเน้ือหา วิธีที่สอนจะแตกต่างกัน เด็กกลับไปยังกลุ่มของตน และต่างคนต่างทางานที่ได้รับ
มอบหมายแต่ชว่ ยเหลอื ซ่งึ กันและกัน มกี ารใหร้ างวลั กล่มุ ที่ทาคะแนนได้ดกี ว่าเดิม
1.4 เทคนิคโปรแกรมการร่วมมือในการอ่านและเขียน (Cooperative Integrated
Reading and Composition หรือ CIRC) เทคนิคนี้ใช้สาหรับวิชา อ่าน เขียน และทักษะอ่ืน ๆ
ทางภาษา สมาชิกในกลุ่มมี 4 คน มีพ้ืนความรู้เท่ากัน 2 คน อีก 2 คน ก็เท่ากันแต่ต่างระดับ
ความรู้กับ 2 คนแรก ครูจะเรียกคู่ท่ีมีความรู้ระดับเท่ากันจากกลุ่มทุกกลุ่มมาสอนให้กับเข้ากลุ่ม
แล้วเรียกคู่ต่อไปจากทุกกลุ่มมาสอน คะแนนของกลุ่มพิจารณาจากคะแนนสอบของสมาชิกกลุ่มเป็น
รายบุคคล
1.5 เทคนิคการต่อภาพ (Jigsaw) เทคนิคนใ้ี ชส้ าหรับนกั เรยี นช้นั ประถมปีที่ 3 - 6
สมาชิกในกลุ่มมี 6 คน ความรู้ต่างระดับกัน สมาชิกแต่ละคนไปเรียนร่วมกันกับสมาชิกของกลุ่มอื่น
ๆ ในหัวข้อที่ต่างกันออกไป แล้วทุกคนกลับมากลุ่มของตน สอนเพื่อนในสิ่งท่ีตนไปเรียนร่วมกับ
สมาชกิ ของกลมุ่ อื่น ๆ มา การประเมินผลเปน็ รายบุคคลแลว้ รวมเป็นคะแนนของกลุ่ม
1.6 เทคนิคการต่อภาพ 2 (Jigsaw II) เทคนิคน้ีสมาชิกในกลุ่ม 4 – 5 คน นักเรียนทุกคน
สนใจเรียนบทเรียนเดียวกัน สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มให้ความสนใจในหัวข้อย่อยของบทเรียนต่างกัน
ใครที่สนใจหัวข้อเดียวกันจะไปประชุมกัน ค้นคว้าและอภิปราย แล้วกลับมาที่กลุ่มเดิมของตนสอน
28
เพ่ือนในเรื่องที่ตนเองไปประชุมกับสมาชิกของกลุ่มอื่นมา ผลการสอบของแต่ละคนเป็นคะแนนของ
กลุ่ม กลมุ่ ทท่ี าคะแนนรวมได้ดีกวา่ คร้ังก่อน (คิดคะแนนเหมือน STAD) จะไดร้ บั รางวัล ขัน้ ตอนการ
เรยี นมีดังนี้
1) ครแู บ่งหวั ขอ้ ทจ่ี ะเรียนเป็นหวั ขอ้ ยอ่ ยๆใหเ้ ทา่ กบั จานวนสมาชิกของแตล่ ะกลุ่ม
2) จัดกลุ่มนักเรียนโดยให้มีความสามารถคละกันภายในกลุ่มเป็นกลุม่ บ้าน (Home
group) สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยท่ีตนได้รับมอบหมายเท่านั้น โดยใช้เวลาตามที่
ครูกาหนด
3) จากนั้นนักเรียนท่ีอ่านหัวข้อย่อยเดียวกันมาน่ังดว้ ยกันเพื่อทางาน ซักถาม และ
ทากจิ กรรม ซ่งึ เรยี กว่ากลมุ่ ผู้เชีย่ วชาญ (Expert group) สมาชิกทกุ ๆ คน รว่ มมอื กนั อภิปรายหรือ
ทางานอยา่ งเท่าเทียมกัน โดยใช้เวลาตามทคี่ รูกาหนด
4) นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มผู้เช่ียวชาญ กลับมายังกลุ่มบ้าน (Home group) ของ
ตน จากนั้นผลัดเปล่ียนกันอธิบายให้เพ่ือนสมาชิกในกลุ่มฟัง เริ่มจากหัวข้อย่อยที่ 1, 2, 3 และ 4
เปน็ ต้น
5) ทาการทดสอบหัวข้อย่อย 1 – 4 กับนักเรียนท้ังห้อง คะแนนของสมาชิกแต่ละ
คนในกลมุ่ รวมเปน็ คะแนนกลุ่ม กลมุ่ ทไี่ ดค้ ะแนนสูงสดุ จะได้รับการตดิ ประกาศ
1.7 เทคนิคการตรวจสอบเป็นกลุ่ม (Group Investigation) เทคนิคน้ีสมาชิกในกลุ่มมี
2 – 6 คน เป็นรูปแบบที่ซับซ้อน แต่ละกลุ่มเลือกหัวข้อเร่ืองที่ต้องการจะศึกษาค้นคว้า สมาชิกใน
กลุ่มแบ่งงานกันทั้งกลุ่มมีการวางแผนการดาเนินงานตามแผน การวิเคราะห์ การสังเคราะห์งานท่ีทา
การนาเสนอผลงานหรือรายงานต่อหน้าชั้น การใหร้ างวลั หรือให้คะแนนเปน็ กล่มุ
1.8 เทคนิคการเรียนร่วมกัน (Learning Together) วิธีนี้สมาชิกในกลุ่มมี 4 – 5 คน
ระดบั ความรู้ความสามารถตา่ งกัน ใช้สาหรบั นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 2 – 6 โดยครทู าการสอนท้ัง
ชน้ั เด็กแตล่ ะกลุม่ ทางานตามที่ครมู อบหมาย คะแนนของกลุม่ พิจารณาจากผลงานของกล่มุ
1.9 เทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมอื รว่ มกลุ่ม (Co – op – Co - op) ซึง่ เทคนิคนี้ประกอบด้วย
ข้นั ตอนต่าง ๆ คือ นักเรียนช่วยกนั อภปิ รายหวั ข้อท่ีจะศึกษา แบ่งหัวขอ้ ใหญเ่ ป็นหัวข้อย่อย แลว้ จดั
นักเรียนเข้ากลุ่มตามความสามารถท่ีแตกต่างกัน กลุ่มเลือกหัวข้อท่ีจะศึกษาตามความสนใจของกลุ่ม
กลุ่มแบ่งหัวข้อย่อยออกเป็นหัวข้อเล็ก ๆ เพ่ือนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มเลือกไปศึกษา และมีการ
กาหนดบทบาทและหน้าที่ของแต่ละคนภายในกลุ่ม แล้วนักเรียนเลือกศึกษาเรื่องที่ตนเลือกและ
นาเสนอต่อกลุ่ม กลุ่มรวบรวมหัวข้อต่าง ๆ จากนกั เรียนทุกคนภายในกลุ่ม แล้วรายงานผลงานต่อชั้น
และมีการประเมินผลงานของกลมุ่
เทคนิคทั้ง 9 ดังกล่าวข้างต้นน้ี ส่วนมากจะใช้ตลอดคาบการเรียนหรือตลอดกิจกรรมการ
เรียนในแต่ละคาบ เรียกการเรียนแบบร่วมมือประเภทน้ีว่า การเรียนแบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ
(Formal cooperative Learning)
จากท่ีกล่าวมาทั้งหมดสรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นวิธีการท่ีผู้เรียนได้ฝึกทักษะการ
มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอย่างแท้จริง ได้ฝึกความรับผิดชอบ ฝึกเป็นผู้นา ผู้ตามกลุ่มฝึกการทางาน
ให้ประสบผลสาเร็จ และฝึกทักษะทางสังคม ผู้สอนควรเลือกใช้เทคนิควิธีต่าง ๆ ดังกล่ามาให้
เหมาะสมกบั เนือ้ หาสาระ และจดุ ประสงค์การเรยี นรทู้ ี่กาหนดไว้
29
3.4 ประโยชนข์ องการจดั การเรียนรูแ้ บบรว่ มมือ
นักการศึกษาที่ได้นาวิธีการในการจัดกิจกรรมไปปฏิบัติตามหลักการและขั้นตอนได้กล่าวถึง
ประโยชน์ของการจัดการเรยี นร้แู บบรว่ มมือ ดงั นี้
ศุภวรรณ เล็กวิไล (2542, หนา้ 4) ไดก้ ล่าวว่าการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือมปี ระโยชน์ดังนี้
1. ช่วยให้เกิดความเช่ือมนั่ และความภาคภมู ิใจในตนเอง
2. ได้พฒั นาทกั ษะทางสงั คมและการเข้าสังคม
3. มีสุขภาพจิตทีด่ ี ทางานและเรยี นอยา่ งมีความสุข
4. ช่วยให้เข้าใจตนเองและยอมรับความแตกตา่ งระหว่างบุคคล
5. ฝึกการคิดแกป้ ัญหา คดิ คน้ ควา้ ดว้ ยตวั เอง
6. เกดิ ความสัมพันธอ์ นั ดีตอ่ กนั ระหว่างสมาชิก
7. เกิดเจตคตทิ ่ีดตี อ่ วิชาที่ศกึ ษา
8. ชว่ ยให้เป็นผทู้ ม่ี เี หตุมผี ลและมคี วามคดิ ในระดับทส่ี ูงข้ึน
พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2544, หน้า 16) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือมีประโยชน์
ดังนี้
1. สร้างความสมั พันธ์ทีด่ รี ะหว่างสมาชิก เพราะทุกคนรว่ มมือกนั ทางานกล่มุ ทุก ๆ คนมสี ่วน
รว่ มเทา่ เทียมกนั
2. สมาชิกทุกท่านมีโอกาสพูด แสดงออก แสดงความคิดเห็น และลงมือกระทาอย่างเท่า
เทียมกนั
3. เสริมให้ความช่วยเหลือกัน เช่น เด็กเก่งช่วยเด็กท่ีเรียนไม่เก่ง ทาให้เด็กเก่งภาคภูมิใจ
รูจ้ กั สละเวลา ส่วนเด็กทีไ่ มเ่ ก่งเกิดความซาบซึง้ ในนา้ ใจเพ่ือนสมาชิกด้วยกัน
4. ร่วมกันคิดทุกคนทาให้เกิดการระดมความคิด นาข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่วมกันเพื่อ
ประเมินคาตอบท่ีเหมาะสมท่ีสุด เป็นการส่งเสริมให้ช่วยกันคิดหาข้อมูลให้มากและวิเคราะห์และ
ตดั สนิ ใจเลือก
5. ส่งเสริมทักษะทางสังคม เช่น การอยู่ร่วมกันด้วยมนษุ ยสัมพันธท์ ่ีดีต่อกัน เข้าใจกันและ
กัน อีกท้ังส่งเสริมทักษะการสื่อสาร ทักษะการทางานเป็นกลุ่ม ส่ิงเหล่าน้ีล้วนส่งเสริมผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนให้สูงขนึ้
จากประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือท่ีกล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การ
จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิกในกลุ่ม เพราะทุกคนในกลุ่ม
ร่วมกันทางาน ทาให้เกิดการระดมความคิด ฝึกการคิดแก้ปัญหา ช่วยส่งเสริมทักษะการสื่อสาร
ทักษะการทางานเป็นกลุ่ม ช่วยให้เกิดความเชื่อม่ันและความภาคภูมิใจในตนเอง ทาให้ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี นของนกั เรยี นดีข้ึน
4. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันแข่งขันระหว่างกลุ่ม (เทคนิค TGT) (Teams
Games Toumaments : TGT)
4.1 ความหมายของการจดั การเรียนรู้แบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนคิ TGT
สมพงษ์ สิงหะพล (2542, หน้า 23-28) กล่าวว่า TGT (Team Games Tournaments)
เรียกภาษาไทยว่า แบบทีมแข่งขัน เป็นวิธีการเรียนรู้แบบทีม มีการแบ่งกลุ่มศึกษางาน ทางาน ทา
30
แบบฝึกหัด แบบทดสอบต่าง ๆ ตามบทเรียน จากนั้นให้ทุกคนในทีมแยกเข้ากลุ่มแข่งขันตอบปัญหา
ซ่ึงแต่ละกลุ่ม (โต๊ะแข่งขัน) จะแยกระดับความยากง่ายต่างกัน มีการเลื่อนระดับตามผลการทดสอบ
ของตน แล้วนาคะแนนมาคิดเป็นคะแนนความกา้ วหนา้ ของกลมุ่
สุวิทย์ มูลคา และอรทัย มูลคา (2545, หน้า 163) การเรียนแบบรว่ มมือหรือประเภทกลมุ่
แข่งขัน (Teams - Games - Tournaments หรือ TGT) หรือการแข่งขันระหว่างกลุ่มด้วยเกม
หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยใชเ้ ทคนิค TGT เป็นการเรียนแบบรว่ มมืออีกรูปแบบหน่ึงคล้ายกันกับ
เทคนิค STAD ท่ีแบ่งผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันออกเป็นกลุ่มเพ่ือทางานร่วมกัน กลุ่มละ
ประมาณ 4 - 5 คน โดยกาหนดให้สมาชิกของกลุ่มได้แข่งขันกันในเกมการเรียนที่ผู้สอนจัดเตรียมไว้
แล้วทาการทดสอบความรู้ โดยการใช้เกมการแข่งขันตัวต่อตัวกับทีมอ่ืน นาเอาคะแนนมาบวกเป็น
คะแนนรวมของทีม ผู้สอนจะต้องใช้เทคนิคการเสริมแรง เช่น ให้รางวัล คาชมเชย เป็นต้น ดังนนั้
สมาชิกกลุม่ จะตอ้ งมีการกาหนดเปา้ หมายรว่ มกันช่วยเหลือซ่งึ กนั และกนั เพื่อความสาเร็จของกลุ่ม
สลาวิน (Slavin, 1987, pp. 23-26) ได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(เทคนคิ TGT) วา่ หมายถงึ การเรียนแบบทีมแขง่ ขนั เปน็ การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนที่ใหผ้ ูเ้ รียน
ไดร้ ่วมกลุ่ม เพ่อื ทางานรว่ มกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกนั สมาชิกในแต่ละทีมประกอบดว้ ยสมาชิกที่
มีความสามารถแตกต่างกัน คือ ความสามารถสูง ปานกลาง และต่ามาร่วมกลุ่มกันใน อัตราส่วน
1 : 2 : 1 ซึ่งสมาชิกของทีมจะได้แข่งขันในเกมวิชาการ โดยความสาเร็จของทีมจะข้ึนอยู่กับ
ความสามารถของแต่ละบคุ คลเป็นสาคญั
จากความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ท่ี กล่าวมาข้างต้น สามารถ
สรปุ ไดว้ า่ การจัดการเรยี นร้แู บบร่วมมือเทคนคิ TGT หมายถึง การจัดกจิ กรรมการเรยี นรูท้ ่มี กี ารจัด
กลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 4 - 5 คน ที่มีความสามารถแตกต่างกัน คือ ความสามารถสูง ปานกลาง
และต่า ทางานร่วมกันและใช้เกมการแข่งขันทางวชิ าการประเมินความรู้ของสมาชิกภายในกลุ่ม โดย
จะแข่งขันตามความสามารถของนักเรียน ดังน้ัน ความสาเร็จของกลุ่มจะขึ้นอยู่กับความสามารถของ
แตล่ ะบคุ คล
4.2 ลักษณะของจดั การเรยี นรแู้ บบร่วมมอื โดยใช้เทคนิค TGT
สลาวิน (Slavin, 1987, pp. 23-26) กล่าวว่าเทคนิค TGT เป็นการจัดการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือกันมอี งคป์ ระกอบ 3 ประการ คือ
1. ทีม (Teams) เป็นการแบ่งสมาชิกในห้องออกเป็นกลุ่ม ๆ โดยสมาชิกในแต่ละกลุ่ม
ประกอบไปดว้ ย นักเรียนเกง่ ปานกลาง และออ่ น ในอตั ราส่วน 1 : 2 : 1 อย่างไรกด็ แี ต่ละทีมต้อง
ประมาณว่ามีความสามารถทางการเรียนพอ ๆ กันตลอดช่วงการใช้เทคนิค TGT ในการจัดกิจกรรม
สมาชิกจะต้องสังกัดทีมถาวร ซึ่งแต่ละทีมจะได้รับการฝึกฝนท่ีเหมือนกัน สมาชิกในทีมจะช่วยเหลือ
ซง่ึ กนั และกันในการทบทวนสิ่งท่คี รูสอน เพือ่ ใชใ้ นการชิงชยั ทางวชิ าการ
2. เกม (Games) เกมที่ใช้เป็นเกมเพื่อใช้ทดสอบความรู้ความเข้าใจ โดยใช้การแข่งขันมี
การจัดโต๊ะสาหรับการแข่งขัน สาหรับผู้เข้าแข่งขันจากกลุ่มต่าง ๆ จะใช้คาถามในบัตรหรือเอกสาร
ชนดิ เดยี วกนั ผเู้ รียนจะสลบั กันหยิบบตั รซึ่งในบัตรจะมีคาถามอยู่ ผู้แขง่ ขันจะตอ้ งตอบคาถามในบัตร
ถา้ ตอบคาถามไม่ได้ผู้อื่นมีโอกาสตอบได้เช่นกนั เพราะกติกากาหนดให้ผูเ้ ล่นเปิดโอกาสใหผ้ ู้แขง่ ขันคน
อืน่ ๆ ตอบคาถามของตนได้
31
3. การแข่งขัน (Tournaments) การแข่งขนั จะมีสัปดาหล์ ะ 1 คร้ัง โดยนักเรียนของแต่ละ
กลุ่มจะเป็นตัวแทนชิงชัยกับกลุ่มอ่ืน ๆ ซึ่งมีศักยภาพทุก ๆ ด้านเท่าเทียมกัน เพ่ือทดสอบความรู้
ความเข้าใจ จากน้ันนาคะแนนของสมาชิกในกลุ่มมารวมกัน การที่จะตัดสินใจว่ากลุ่มไหนจะได้รับ
รางวัลในส่วนน้ีขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของครู ซ่ึงจะกาหนดรางวัลให้กับกลุ่มไว้ 3 รางวัล ได้แก่
goodtaem, greatteam และ superteam โดยใช้เกณฑก์ ารคดิ คะแนนกลมุ่ ดังนี้
คะแนนเฉล่ียของกลมุ่ รางวลั
24 – 29 goodteam
30 – 35 greatteam
36 – 40 superteam
จากลักษณะของเทคนิค TGT ผู้วิจัยจึงได้นามาใช้เป็นเทคนิคในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
เพ่อื ส่งเสริมใหม้ กี จิ กรรมการเรยี นรทู้ ่หี ลากหลาย ทาใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความสนุกสนาน
4.3 ขัน้ ตอนการจดั การเรยี นรู้แบบร่วมมอื โดยใช้เทคนิค TGT
นกั การศกึ ษาได้กล่าวถึงข้ันตอนการจัดการเรียนรโู้ ดยใชเ้ ทคนิค TGT วา่ มีข้ันตอนดงั น้ี
สุลัดดา ลอบฟ้า (2536 , หน้า 35-37) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือ (เทคนิค TGT) ไว้ว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ STAD
แตกต่างกันที่ TGT ไม่มีการทดสอบแต่จะใช้วิธีการเล่นเกมการแข่งขันตอบปัญหาแทน ซ่ึงการ
จดั การเรยี นร้แู บบร่วมมอื (เทคนิค TGT) ประกอบดว้ ยขนั้ ตอนดงั นี้
1. การนาเสนอบทเรียนต่อท้ังชั้น เน้ือหาบทเรียนจะถูกนาเสนอต่อผู้เรียนทั้งชั้น โดย
ครูผู้สอน ซึ่งครูผู้สอนต้องใช้เทคนิคการสอนท่ีเหมาะสมตามลักษณะของเนื้อของบทเรียน โดยใช้ส่ือ
การเรียนการสอนประกอบคาอธิบายของครู เพ่ือให้ผู้เรียนเข้าใจเน้ือหาบทเรียนมากทีส่ ุด
2. การเรียนกลุ่มย่อยให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มศึกษาหาบัตรความรู้ ทากิจกรรมจากบัตรงาน
และตรวจคาตอบจากบัตรเฉลย โดยครูกระตุ้นให้ผู้เรียนร่วมมือทางาน มีการอภิปรายเพ่ือค้นหา
แนวทางในการแกป้ ัญหา เนน้ ให้ผเู้ รยี นช่วยเหลอื ซ่ึงกนั และกันเพอ่ื ความสาเรจ็ ของกล่มุ
3. การเล่นเกมแข่งขันตอบปัญหา เป็นการแข่งขันตอบปัญหาเกี่ยวกับเน้ือหาของบทเรียน
โดยมีจุดประสงค์เพื่อทดสอบความรู้ความเข้าใจในบทเรียน เกมประกอบด้วยผู้เล่น 4 คน ซ่ึงแต่ละ
คนจะเป็นตัวแทนของกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่ม การกาหนดผู้เรียนเข้ากลุ่มเล่นเกมจะยึดหลักผู้เรียนที่มี
ความสามารถทดั เทียมกันแขง่ ขนั กนั
4. การยกย่องทีมที่ประสบผลสาเร็จ ทีมท่ีได้คะแนนรวมถึงตามเกณฑ์ที่กาหนดจะได้รับ
รางวลั และการยกยอ่ ง
สลาวิน (Slavin, 1990, pp 21-35) ได้กล่าวถึงเทคนิค TGT ว่าประกอบด้วยขั้นตอน
ดังต่อไปนี้
1. ขน้ั แจ้งผลการเรยี นรู้ ครจู ะเป็นผ้แู จง้ ให้นกั เรยี นทราบผลการเรียนร้รู ายวิชานน้ั
2. ข้ันนาเข้าสู่กิจกรรมการเรียนการสอน เพ่ือให้นักเรียนมีความพร้อมและกระตุ้นความ
สนใจในการเรียน โดยเลือกใช้กิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเล่นเกม การอภิปรายซักถาม แบบฝึกหัด
ทบทวน
3. ขัน้ กิจกรรมการเรยี นการสอน
32
3.1 ครูสอนเน้ือหาสาระด้วยวิธีการสาธิต บรรยายหรืออภิปรายโดยการใช้สื่อ
ประกอบการสอน หลงั จากน้ันผู้เรยี นหารือและอธบิ ายในสิ่งทีส่ มาชิกในกลุ่มยังไม่เขา้ ใจ
3.2 ขั้นฝึกทกั ษะ ครแู จกเอกสารทักษะ หรือเกมฝึกทักษะใหน้ ักเรียนในแต่ละกลุ่ม
ได้ปรกึ ษาหารอื และรว่ มกันในการคิดแกโ้ จทยป์ ญั หา
3.3 ใช้เกมฝึกทักษะหรือเกมการแข่งขันทางวิชาการ โดยแบ่งแข่งขันตาม
ความสามารถของนักเรยี น
4. ขั้นสรุป ครแู ละนกั เรียนช่วยกันสรปุ พร้อมประกาศผลการแขง่ ขัน
5. ในการวัดและประเมินผล วัดจากการสังเกตพฤติกรรมขณะปฏิบัติกิจกรรมการตอบ
คาถาม ทาแบบฝกึ หดั การทาแบบทดสอบและเกมแขง่ ขนั ทางวชิ าการ
วัชรา เล่าเรียนดี (2547 , หน้า 16) ได้กล่าวถึงข้ันตอนการจัดการสอนโดยใช้เทคนิคการ
แข่งขันระหวา่ งกลมุ่ ดังน้ี
1. ขั้นสอน ครูสอนบทเรยี นใชเ้ วลา 1-2 คร้งั /ช่ัวโมง
2. ขั้นกจิ กรรมกล่มุ ร่วมกันศึกษา ฝกึ ปฏบิ ตั ติ ามใบงานใช้เวลา 1-2 คร้ัง/ชวั่ โมง
3. ข้ันการแข่งขัน ตอบปัญหาระหว่างกลมุ่ ใหม่ท่ีจดั ขึ้น ใช้เวลา 1 ช่ัวโมง ทีมละ 4 - 5 คน
ตามจานวนของนกั เรยี นในห้อง
4. ข้นั ใหร้ างวัลกลมุ่ คะแนนกลุ่มคานวณได้จากคะแนนพัฒนาของสมาชกิ รว่ มกนั และเฉลยี่
จากข้ันตอนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT ท่ีกล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า
ข้ันตอนการจดั การเรียนรแู้ บบร่วมมือโดยใชเ้ ทคนคิ TGT ประกอบด้วยขนั้ ตอนดงั ต่อไปน้ี
1. ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน โดยการบอกจดุ ประสงค์การเรียนรู้ การทบทวนความรูเ้ ดิม การเร้า
ความสนใจโดยการเลน่ เกมหรือการอภปิ รายซกั ถาม
2. ข้ันกิจกรรมการเรียนการสอน ดาเนินการจัดกิจกรรมสืบค้น ค้นคว้าหาคาตอบโดยใช้
กระบวนการกลุ่ม มีการนาเสนอผลการสบื ค้น ทาแบบฝกึ หัด
3. ข้ันการแข่งขัน การเล่นเกมแข่งขันตอบปัญหา เป็นการแข่งขันตอบปัญหาเก่ียวกับ
เนื้อหาของบทเรียนโดยมีจดุ ประสงคเ์ พื่อทดสอบความรู้ความเข้าใจในบทเรียน แล้วนาคะแนนท่ีได้ไป
รวมกับสมาชิกในกลมุ่
4. ข้ันยกย่องทีมท่ีประสบผลสาเร็จ ประกาศผลคะแนนแต่ละกลุ่ม กลุ่มท่ีได้คะแนนสูงสุดะ
ได้รบั รางวลั และคาชมเชย
จากการศกึ ษาข้ันตอนการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ขัน้ และการจดั การเรียนรู้แบบร่วมมือ
โดยใชเ้ ทคนคิ TGT นาขอ้ มูลท่ีได้ศกึ ษามาวิเคราะห์เปรียบเทียบข้ันตอนการจดั การเรยี นรู้ได้ ดงั ตาราง
33
ตาราง 3 แสดงการวิเคราะหข์ ้ันตอนการจัดการเรยี นรู้ตามวฏั จักร 7 ขนั้ และการจดั การเรียนรู้
แบบร่วมมือโดยใช้เทคนคิ TGT
การจัดการเรียนร้ตู ามวฏั จักร 7 ขนั้ การจัดการเรียนรแู้ บบรว่ มมือโดยใช้เทคนคิ TGT
1. ขั้นตรวจสอบความรเู้ ดิม เพ่ือตรวจสอบ 1. ขัน้ นาเขา้ สู่บทเรียน การบอกจุดประสงค์การ
ความรพู้ น้ื ฐานของผู้เรียนแต่ละคน มีพืน้ เรียนรู้ การทบทวนความรู้เดิม เพือ่ ตรวจสอบ
ฐานความรเู้ ดิมเทา่ ไหร่ ครตู ้องทบทวน ความร้เู ดิมของผู้เรยี น เพื่อครูผูส้ อนจะได้วาง
เนอื้ หา สว่ นไหนเพิ่มเตมิ ให้ผู้เรียน ทาใหค้ รู แผนการจัดการเรียนรู้ไดถ้ ูกต้อง และจัดเตรียม
สามารถวางแผนการสอนได้ถูกต้อง เน้อื หาใด เพ่ือเสรมิ นักเรียนก่อนท่ีจะเรียนเนอ้ื หา
นน้ั
2. ข้ันเร้าความสนใจ การใส่ส่ือวดิ โี อ การ 1. ข้ันนาเขา้ สู่บทเรียน การเร้าความสนใจ
เล่นเกมหรือตอบคาถาม เพือ่ กระตุน้ ความ ผู้เรียนโดยการใช้สอ่ื วดิ โิ อ การอภิปรายซกั ถาม
สนใจของผเู้ รียนให้เกิดความสงสัยในเนอื้ หาที่ เพ่ือเชื่อมโยงความรู้เข้าสบู่ ทเรียน
จะเรยี น เปน็ การนาเข้าสบู่ ทเรียนโดย
เชือ่ มโยงเขา้ กบั ความรูเ้ ดิม
3. ขนั้ สารวจและค้นหา สบื คน้ หาคาตอบ 2. ขั้นกจิ กรรมการเรยี นการสอน ดาเนนิ กจิ กรรม
ของบทเรียนทีส่ งสัย โดยใช้กระบวนการกลมุ่ สืบค้น สารวจหาคาตอบดว้ ยการใช้กระบวนการ
ในการสบื ค้นหาความรู้ กลมุ่
4. ข้ันอธบิ าย หลังการสบื ค้นหาคาตอบจาก 2. ขั้นกิจกรรมการเรยี นการสอน หลงั จากสบื
แหลง่ เรียนรู้ นาความรทู้ ส่ี ืบคน้ ไดม้ าอภปิ ราย คน้ หาความรู้ รวบรวมขอ้ มลู นาขอ้ มลู ที่ได้มา
รว่ มกนั ภายในกลุม่ และลงข้อสรุป สรุปและนาเสนอขอ้ มูลทไี่ ดส้ ืบคน้
5. ขนั้ ขยายความรู้ การนาความรูท้ สี่ รา้ งข้นึ 2. ขน้ั กิจกรรมการเรยี นการสอน การทาแบบฝึก
ไปเช่ือมโยงกบั ความรเู้ ดิม หรอื นา เพิ่มเติม สบื ค้นความรเู้ พ่มิ เติมจากแนวคดิ ทไ่ี ด้
แนวความคดิ ท่ีไดค้ น้ คว้าเพ่ิมเตมิ การทา
แบบฝกึ หัดเพ่ิมเติม
6. ขัน้ ประเมินผล เปน็ การประเมินการ 3. ขั้นการแขง่ ขัน ประเมินผลความรูท้ ีเ่ รียนโดย
เรยี นรู้ดว้ ยกระบวนการต่าง ๆ วา่ หลงั จากสืบ แขง่ ขนั ตอบปัญหา และนับคะแนนผชู้ นะ
คน้ หาความรแู้ ลว้ นักเรียนมคี วามร้อู ะไรบ้าง 4. ข้ันยกยอ่ งทีมทป่ี ระสบผลสาเร็จ นาคะแนนท่ี
อย่างไ ร และมากน้อยเพยี งใด ไดก้ ลบั ไปรวมกบั สมาชิกในกลุ่ม กลมุ่ ท่มี ีคะแนน
สงู สุดเป็นผู้ชนะจะได้รบั รางวัล
7. ข้ันนาความรู้ไปใช้ นาความร้ทู ไ่ี ดจ้ ากการ 2. ขน้ั กจิ กรรมการเรยี นการสอน นาความร้ทู ่ีได้
สืบคน้ ไปประยุกตใ์ ช้ให้เหมาะสมและเกิด จากการสืบคน้ มาอภิปรายกบั ตวั อย่างที่พบใน
ประโยชน์ต่อชีวติ ประจาวนั ชีวติ ประจาวนั หรือประยกุ ต์ใช้กบั กจิ กรรมใน
ชวี ิตประจาวัน
34
5. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
5.1 ความหมายของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement) เป็นผลการเรียนท่ีบ่งบอกว่าผู้เรียนประสบ
ผลสาเร็จในการเรียนมากน้อยเพียงใด จะปรับปรุงหรือพัฒนาในส่วนใดบ้างท้ังตัวผู้เรียนและผู้สอน
ซ่ึงวัตถุประสงค์ท่ีสาคัญในการสอนคือการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ท่ีตั้งไว้
สาหรบั ความหมายของผลสัมฤทธิท์ างการเรียน มีนักการศกึ ษาไดใ้ หค้ วามหมายไวห้ ลายทา่ น ดังนี้
กระทรวงศึกษาธิการ (2552, หน้า 13 อ้างอิงใน รดา วัฒนนิรันดร์, 2558 หน้า 42) ได้
บัญญัติศัพท์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสาเร็จหรือ
ความสามารถในการกระทาใด ๆ ที่ต้องอาศัยทักษะหรือมิฉะนั้นก็ต้องอาศัยความรู้ในวิชาหนึ่งวิชาใด
โดยเฉพาะ
ขนิษฐา บุญภักดี (2552, หน้า 10) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและ
ความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน อาจจะได้มาจากกระบวนการท่ีไม่ต้องอาศัย
การทดสอบ เชน่ การสังเกต และการใชแ้ บบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนทว่ั ไป
พิมพ์ประภา อรัญมิตร (2552, หน้า 18) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ
ความรู้ ความสามารถ ที่แสดงความสาเร็จในการเรียนการสอนในวิชาต่าง ๆ ซ่ึงสามารถวัดเป็น
คะแนนได้จากแบบทดสอบภาคทฤษฎหี รอื ภาคปฏบิ ตั หิ รอื ทง้ั สองอย่าง
Good (1973, หน้า 6-7 อ้างอิงใน กุลกาญจน์ สุวรรณรักษ์, 2558, หน้า14) ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนหมายถึง การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Attained) หรือการพัฒนาทักษะทางการ
เรียนซง่ึ โดยปกติพิจารณาจากคะแนนสอบที่กาหนด คะแนนท่ีได้จากงานท่ีครผู ู้สอนมอบหมายให้หรือ
ทง้ั สองอย่าง
จากความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดังกล่าว สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หมายถึง ความสามารถที่แสดงให้เห็นความสาเร็จอันเกิดจากการเรียนการสอนหรือทักษะของบุคคล
นนั้ ๆ ซงึ่ สามารถวดั ได้จากคะแนนโดยการทดสอบหรอื ทางานทีไ่ ด้รบั มอบหมาย
5.2 ความหมายของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
ภัทราพร เกษสังข์ (2549, หนา้ 103) ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน หมายถึง แบบทดสอบท่ีใช้วัดความรู้และความสามารถของบุคคลในด้านวิชาการและทักษะใน
เนือ้ หาวชิ าท่เี รยี นไปแลว้
สมนึก ภัททิยธนี (2549, หน้า 73) ได้กล่าวไว้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หมายถงึ แบบทดสอบที่วดั สมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ท่นี กั เรียนได้รับการเรียนรู้ท่ีผา่ นมาแล้ว
บุญชม ศรีสะอาด (2546, หน้า 122) ได้กล่าวไว้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนเป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดผลการเรียนรู้ในเน้ือหาและจุดประสงค์ในรายวิชาต่าง ๆ ท่ีเรียนมาใน
โรงเรยี นและสถานศึกษาต่าง ๆ เป็นเคร่ืองมือหลักของการวดั ผล
เยาวดี วิบูลย์ศรี (2545, หน้า 26) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ หมายถึง การ
เรยี นรู้ในอดีตหรอื ในสภาพปัจจบุ ันของแต่ละบุคคล
35
จากความหมายทกี่ ลา่ วมาข้างต้นสรุปได้วา่ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น หมายถงึ
เคร่ืองมือท่ีใช้วัดความรู้ และความสามารถของบุคคลในด้านเน้ือหาวิชาและจุดประสงค์ในรายวิชา
ตา่ ง ๆ ทไ่ี ด้ศึกษามาแล้ว
6. งานวิจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง
6.1 วจิ ยั ในประเทศ
6.1.1 งานวจิ ยั ที่ข้องกับการจดั การเรยี นร้ตู ามวฏั จักร 7 ขั้น
พฤกษ์ โปร่งสาโรง (2549, บทคัดย่อ) ศึกษาผลการเรียนการสอน 7E ในวิชา
ฟิสิกส์ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนมัธยมศึกษา
ตอนปลาย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม
ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน 7E มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนฟิสิกส์หลังการเรียนสูงกว่านักเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่
ระดบั .05
ยุพิน ลุนบง (2555, บทคัดย่อ) ศึกษาการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน รายวิชาเคมีเพ่ิมเติม เรื่อง
บทบาทของสารประกอบคาร์บอนต่อการดารงชีวิตในท้องถ่ิน โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบ
เสาะหาความรู้ (7Es) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนพลพัฒนศึกษา ผลการวิจัยพบว่า
คะแนนเฉล่ียของนักเรียนท่ีได้จากการทาแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท้ายหน่วยการเรียนรู้
เท่ากับ 32.43 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 87.07 ของคะแนนเต็มและมีจานวนนักเรียนที่ได้คะแนน
ผ่านเกณฑ์ เท่ากับ 14 คน คิดเป็นร้อยละ 100.00 ตามลาดับ ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์การประเมินท่ี
กาหนดไว้
สุภาพร พลพุทธา (2552, บทคัดย่อ) ศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ตามวงจรการเรียนรู้แบบ 7E ในวิชาฟิสิกส์ ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนหนองห้ิงพิทยา ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ตาม
วงจรการเรียนรู้แบบ 7E ในรายวิชาฟิสิกส์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี
ระดับ .01
6.1.2 งานวิจัยทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั การจดั การเรียนรแู้ บบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT
ธนัดดา คงมีทรัพย์ (2557, บทคัดย่อ) ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
วิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ เร่ืองระบบนิเวศของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการ
จัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ (เทคนิค TGT) กับแบบปกติโรงเรียนอ่างทอง
ปัทมโรจน์วิทยาคม ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบนิเวศ ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 4 พบว่า กลุ่มท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (เทคนิค TGT) สูงกว่ากลุ่มท่ี
ไดร้ ับการจดั การเรียนรแู้ บบปกติ อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .01
ศริ ประภา พบวนั ดี (2558, บทคดั ย่อ) ศกึ ษาการพัฒนาผลการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจดั การเรยี นรู้แบบรว่ มมือเทคนิค TGT โรงเรยี นเมืองเตา
36
วิทยาคม ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการ
เรียนร้แู บบร่วมมือเทคนิค TGT มคี ะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นหลังเรยี นสงู กว่าก่อนเรียน อย่างมี
นยั สาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .01
กญั ญา โชคสวสั ด์ิภญิ โญ (2553, บทคดั ย่อ) ศกึ ษาการใช้ชดุ การเรยี นรู้แบบร่วมแรง
ร่วมใจด้วยเทคนิคกลุ่มแข่งขัน (TGT) เพอื่ พฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เร่อื ง โมลและสารละลาย
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนาน้อย ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นของนกั เรยี นหลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียน อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดับ .01
6.2 วจิ ยั ต่างประเทศ
Slavin (1990) ได้เปรียบเทียบผลการใช้วิธีการเรียนแบบกลุ่มแข่งขัน (TGT) กับวิธีปกติ
กลมุ่ ตัวอย่างเป็นนักเรยี นที่มีปัญหาทางอารมณ์ เพ่ือศกึ ษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน วชิ า สังคมศึกษา
และสังคมมิติ โดยส่มุ นกั เรียนเปน็ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ผลการวิจัยพบวา่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการ
เรียนไม่แตกต่างกัน แต่นักเรียนกลุ่มทดลองสามารถทางานท่ีได้รับมอบหมายได้ดีกว่าอย่างเด่นชัด
นักเรียนกลุ่มทดลองได้ให้ความสาคัญกับเพื่อนร่วมชั้นและต้องการเพื่อนทางาน หลังจากผ่านไป 5
เดือน เม่ือนักเรียนไปอยู่ช้ันเรียนใหม่ได้มีการติดตามสังเกตพฤติกรรม พบว่า นักเรียนที่เรียนแบบ
กลุ่มแข่งขัน (TGT) มีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเพื่อนมากกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสาคัญทาง
สถิติที่ระดับ .05 ซ่ึงเป็นการค้นพบท่ีสาคัญเพราะปฏิสัมพันธ์ที่ดีในกลุ่มเพ่ือน เป็นจุดมุ่งหมายสาคัญ
ทางการเรยี นแบบกล่มุ เกมแขง่ ขนั (TGT)
Arsaythamby and Chairhany (2013) ได้เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง
คาศัพท์ระหว่างกลุ่มที่ได้รับการสอนโดยใช้เทคนิค TGT และกลุ่มท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ
กลุ่มตัวอย่างถูกสุ่มด้วยวิธี Cluster Random Sampling ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองท่ีได้รับ
การสอนโดยใช้เทคนิค TGT มีคะแนนเฉลี่ย เรื่อง คาศัพท์ 76.21 คะแนน และกลุ่มควบคุมที่
ไดร้ บั การจัดการเรียนรู้แบบปกตมิ ีคะแนนเฉลย่ี 69.25 คะแนน และจากข้อมูลจากสถิติสามารถสรุป
ได้ว่า ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น เรื่อง คาศัพท์ ของนกั เรียนทไ่ี ดร้ ับการสอนโดยเทคนิค TGT และวธิ ี
ปกติมคี วามแตกตา่ งกัน อย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดบั .05
จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ท้ังในและ
ต่างประเทศ พบว่าผลการวิจัยมีความสอดคล้องกัน กล่าวคือการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค
TGT ชว่ ยพัฒนาผู้เรยี นใหม้ ผี ลสัมฤทธิท์ างการเรยี นดีขึน้
37
บทที่ 3
วิธีดาเนนิ การวิจยั
การวิจัย เร่ือง การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาเคมี เรื่อง ปฏิกิริยารีดอกซ์ ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน ร่วมกับการเรียนแบบ
ร่วมมอื โดยใช้เทคนคิ TGT ผวู้ ิจัยได้ดาเนินการวจิ ัยตามข้นั ตอนดงั น้ี
1. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
2. เคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัย
3. การสร้างและหาคุณภาพเครอื่ งมือท่ีใชใ้ นการวิจัย
4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
5. การวิเคราะห์ข้อมลู
ประชากรและกลุ่มเปา้ หมาย
การการวิจยั ในคร้ังน้ี ผู้วจิ ัยได้กาหนดประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ งที่ใช้ในการวจิ ยั ดังนี้
ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563
โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 24 จังหวัดพะเยา จานวน 3 ห้อง ทงั้ หมด 109 คน
กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 1 ภาคเรียนท่ี 2
ปีการศึกษา 2563 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 24
จังหวัดพะเยา จานวน 41 คน โดยการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive sampling)
เครือ่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั
การวิจัยในคร้งั นี้ ผ้วู ิจัยไดก้ าหนดเคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยได้กาหนดเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ดังน้ี
1. แผนการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค
TGT เรอ่ื ง ปฏิกริ ิยารดี อกซ์ ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5
2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ก่อนและหลงั การจัดการเรียนรตู้ ามวัฏจักร 7 ขน้ั ร่วมกบั การ
เรียนแบบรว่ มมอื โดยใช้เทคนคิ TGT เรือ่ ง ปฏกิ ริ ิยารีดอกซ์ ของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5
การสร้างและหาคุณภาพเคร่ืองมือท่ใี ชใ้ นการวิจยั
การวิจัยในคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้กาหนดการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี
1. สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ขั้น ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้
เทคนคิ TGT เร่ือง ปฏกิ ิริยารีดอกซ์ รายวิชาเคมี 4 ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5
1.1 ศึกษาหลักการและทาความเข้าใจเกีย่ วกับการจัดการเรียนร้ตู ามวฏั จกั ร 7 ขน้ั
1.2 ศึกษาหลักการและทาความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้
เทคนิค TGT
38
1.3 ศึกษาและทาความเข้าใจการจัดการเรียนรู้ เน้ือหา สาระสาคัญ คาอธิบาย
รายวิชา ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังเกี่ยวกับ เรื่อง ปฏิกิริยารีดอกซ์ ท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 สาระเคมี และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 24
1.4 สรา้ งแผนการจัดการเรียนรตู้ ามวฏั จักร 7 ขนั้ ร่วมกบั การเรียนแบบรว่ มมือโดย
ใช้เทคนคิ TGT เรือ่ ง ปฏิกิริยารดี อกซ์
1.5 นาแผนการจดั การเรยี นรู้ตามวฏั จกั ร 7 ขั้น รว่ มกบั การเรียนแบบร่วมมอื โดย
ใช้เทคนิค TGT เร่อื ง ปฏิกิรยิ ารีดอกซ์ ไปใชก้ ับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 หอ้ ง 1 โรงเรียนราช
ประชานเุ คราะห์ 24 ในภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 ซง่ึ เปน็ กลมุ่ ตัวอย่าง
2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธก์ิ ่อนและหลงั การจัดการเรียนรู้ตามวัฏจกั ร 7 ขน้ั ร่วมกบั การ
เรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT เรื่อง ปฏิกิริยารีดอกซ์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน
พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 5 สาระเคมี และโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 24 จานวน 20 ข้อ ผู้วิจัยได้
ดาเนินการสรา้ งและหาคุณภาพตามขั้นตอน ดงั น้ี
2.1 ศึกษาหลักสูตร ตารา เนอื้ หา และผลการเรยี นรู้ เรอื่ ง ปฏิกริ ิยารดี อกซ์ เพอื่
รวบรวมเนอ้ื หาท่นี กั เรียนตอ้ งศึกษาในบทเรียนแลว้ นามาเปน็ ข้อมลู ในการสร้างแบบทดสอบ
2.2 ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบ และสร้างตารางวิเคราะห์ข้อสอบ เพ่ือออก
ขอ้ สอบใหค้ รอบคลมุ
2.3 ดาเนินการสร้างแบบทดสอบ โดยสร้างแบบทดสอบแบบเลือกตอบ (Multiple
Choices) ชนิด 4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ขอ้
2.4 นาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน เร่ือง ปฏิกิรยิ ารดี อกซ์ ทมี่ ีคณุ ภาพ
ตามเกณฑ์กาหนดไปใชก้ บั กล่มุ ตวั อย่างต่อไป
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การวิจยั ในครัง้ นี้ ผวู้ จิ ยั ได้ดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูลจากการสอนกลุ่มตัวอยา่ งดว้ ยตนเอง
โดยใช้การจัดการเรียนรูต้ ามวัฏจกั ร 7 ข้นั ร่วมกบั การเรียนแบบร่วมมอื โดยใช้เทคนิค TGT เรือ่ ง
ปฏิกริ ยิ ารีดอกซ์ ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนราช
ประชานุเคราะห์ 24 จานวน 41 คน ซึง่ มีข้นั ตอนดงั ต่อไปนี้
1. ผู้วิจัยทาความรู้จักกับกลุ่มตัวอย่าง ช้ีแจงรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ตามวัฏ
จักร 7 ขน้ั ร่วมกบั การเรยี นแบบร่วมมอื โดยใชเ้ ทคนิค TGT
2. นาแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre - test) ทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบทดสอบ
วดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนทผ่ี ูว้ ิจัยสรา้ งข้ึน จานวน 20 ข้อ
3. ผู้วิจัยดาเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างตามการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน ร่วมกับ การ
เรยี นแบบรว่ มมือ โดยใช้เทคนิค TGT เร่อื ง ปฏกิ ิริยารีดอกซ์ ของชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5
39
4. เมื่อสิ้นสุดการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ขั้น ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้
เทคนิค TGT แล้ว นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนทดสอบหลังเรียน (Post - test) กับ
กลุ่มตวั อยา่ ง โดยใช้ขอ้ สอบชุดเดียวกันกับการทดสอบกอ่ นเรยี น
5. นาแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน ร่วมกับการ
เรยี นแบบรว่ มมอื โดยใช้เทคนิค TGT เร่อื ง ปฏกิ ิรยิ ารีดอกซ์ ไปเกบ็ รวบรวมข้อมลู กบั นักเรียนกลุ่ม
ตัวอยา่ ง
6. นาข้อมูลที่ได้จากการวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และการประเมินความพึงพอใจทางการ
เรยี นมาวิเคราะหท์ างสถติ ิ เพ่อื ทดสอบสมมตุ ฐิ าน และสรุปผลทไ่ี ดจ้ ากการทดลอง
การวิเคราะห์ข้อมลู
การวิเคราะห์ข้อมูลเพอ่ื ตรวจสอบสมมติฐาน
1.1 ศึกษาผลการเรยี นรูโ้ ดยใช้ค่าสถิติคา่ เฉลี่ย และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
1.2 เปรียบเทียบความแตกต่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างคะแนนก่อนเรียน
และหลงั เรยี น โดยการทดสอบคา่ ที (t - test dependent)
1.3 ศึกษาความพงึ พอใจโดยใช้ค่าสถติ คิ ่าเฉล่ีย และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน
สตู รและสถิติท่ีใช้ในการวจิ ยั ประกอบดว้ ย 3 สว่ น มีรายละเอยี ดดังน้ี
สว่ นท่ี 1 สถติ ิทีใ่ ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมลู ไดแ้ ก่
1.1 คา่ เฉล่ยี (mean) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545, หน้า 105) ใชส้ ตู รดังน้ี
X
X n
เมอ่ื X แทน ค่าเฉล่ยี
X แทน ผลรวมของข้อมลู ทัง้ หมด
n แทน จานวนข้อมูลท้ังหมด
1.2 ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (standard deviation) (บุญชม ศรี
สะอาด, 2545, หนา้ 103) ใช้สูตรดงั น้ี
S.D. NX2 (X)2
N(N 1)
เมื่อ S.D. แทน สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน
X แทน สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน
X2 แทน ผลรวมคะแนนแต่ละคนยกกาลงั สอง
(X)2 แทน ผลรวมของคะแนนทัง้ หมดยกกาลงั สอง
N แทน จานวนนักเรยี น
40
1.3 การทดสอบ t – test dependent (บุญชม ศรีสะอาด, 2545, หนา้
112) ใชส้ ตู รดงั นี้ t D
nD2 (D)2
การทดลอง
และหลังการทดลอง n1
เมอ่ื t แทน สถิตทิ ดสอบ t – test
D แทน ความแตกต่างของคะแนนแตล่ ะคู่
n 1 แทน จานวนคู่ของคะแนนหรือจานวนนักเรียน
D แทน ผลรวมท้ังหมดของผลต่างของคะแนนก่อนและหลงั
D2 แทน ผลรวมของกาลังสองของผลต่างของคะแนนก่อน
41
บทท่ี 4
ผลการวิจยั
การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้
เทคนิค TGT เร่ือง ปฏิกิริยารีดอกซ์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูล
นาเสนอผลการวิเคราะห์โดยมีรายละเอยี ดตามข้ันตอนดาเนนิ การวิจยั ดังต่อไปนี้
ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาเคมี เร่ือง ปฏิกิริยารีดอกซ์ ของนักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน
รว่ มกับการเรยี นแบบร่วมมือโดยใช้เทคนคิ TGT
ผลการเปรียบเทียบท่ีได้จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียน
(Pretest) กับผลจากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Posttest) ผู้วิจัย
นาเสนอการวเิ คราะหข์ ้อมูล ดังตาราง
ตาราง 4 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนก่อนเรยี นและหลังเรยี น เรอ่ื ง ปฏกิ ิรยิ า
รีดอกซ์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน ร่วมกับการ
เรยี นแบบรว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนิค TGT
การทดสอบ n คะแนนเตม็ X S.D. D t Sig.
กอ่ นเรียน 35 20 7.11 1.21 9.26 19.232 * 0.000
หลังเรียน 35 20 16.37 2.58
* แทน ระดบั นยั สาคญั ทางสถติ ทิ ี่ .05
จากตาราง 4 พบว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดการเรยี นรู้ตามวัฏจักร 7 ขั้น ร่วมกับการ
เรียนแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT เร่ือง ปฏิกิริยารีดอกซ์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 มี
คะแนนทดสอบกอ่ นเรียนเฉลยี่ เท่ากับ 7.11 คะแนน และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน เท่ากบั 1.21คะแนน
ทดสอบหลังเรียนเฉลี่ย เท่ากับ 16.37 คะแนน และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 2.58 และเม่ือ
เปรียบเทียบความแตกต่างของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า มีผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนหลังเรยี นสูงกว่ากอ่ นเรยี นอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั .05
42
บทท่ี 5
บทสรปุ
การศกึ ษาผลการจัดการเรียนรูต้ ามวัฏจักร 7 ขน้ั ร่วมกบั การเรยี นแบบร่วมมอื โดยใช้เทคนคิ
TGT เรื่อง ปฏิกิริยารีดอกซ์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ผู้วิจัยนาเสนอสรุปผลการวิจัย
อภิปรายผล และข้อเสนอแนะตามลาดบั ดงั น้ี
สรุปผลการวจิ ัย
ผลของการวิจัย เรอ่ื ง การศกึ ษาผลการจดั การเรยี นร้ตู ามวัฏจักร 7 ข้นั รว่ มกับการเรียนแบบ
รว่ มมอื โดยใช้เทคนคิ TGT เรอ่ื ง ปฏกิ ิรยิ ารดี อกซ์ ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 มขี ้อสรุปว่า
ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาเคมี เรื่อง ปฏิกิริยารีดอกซ์ ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้
เทคนิค TGT หลงั เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05
อภปิ รายผลของการวิจัย
ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาเคมี เร่ือง ปฏิกิริยารีดอกซ์ ของนักเรยี น
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ดว้ ยการจัดการเรยี นร้ตู ามวัฏจกั ร 7 ขนั้ รว่ มกับการเรยี นแบบรว่ มมือโดย
ใช้เทคนคิ TGT
นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง ปฏิกิริยารีดอกซ์ จากการที่ได้รับการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT หลังเรียนสูงกว่าก่อน
เรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉล่ียก่อนเรียนเท่ากับ 7.11คะแนน และ
คะแนนหลังเรยี นเฉล่ยี เท่ากับ 16.37 คะแนน ผลการวจิ ัยที่เกดิ ขึ้นเปน็ ผลมาจากการการเรยี นรู้ตามวัฏ
จกั ร 7 ขน้ั ร่วมกบั การเรยี นแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค TGT เป็นการจดั การเรียนรู้ท่ีให้นักเรียนได้
เรียนรู้รว่ มกัน โดยอาศัยกระบวนการเรียนรู้แบบกลุ่ม ใหเ้ กิดการช่วยเหลือกันท้งั การเรียนเน้ือหา หรอื
การทาแบบฝึกหัด สมาชิกภายในกลุ่มจะคอยช่วยเหลือกันหากมีสมาชิกคนใดภายในกลุ่มไม่เข้าใจ
ถงึ แมว้ ่าจะเปน็ การเรียนรูแ้ บบกลุ่ม แตน่ กั เรียนตอ้ งเรียนรูใ้ ห้เกิดเป็นองค์ความรู้ของตนเอง เน่อื งจากมี
การทดสอบเป็นรายบุคคล แล้วนาคะแนนไปรวมเป็นคะแนนของกลุ่ม ซึ่งจะทาให้นักเรียนเกิดความ
กระตอื รอื รน้ ทจี่ ะเรียนรู้หรือมีการสืบเสาะหาความรู้มากข้ึน เพ่ือให้เกิดความเขา้ ใจมากท่ีสุด ซ่งึ เป็นไป
ตามสมมติฐานท่ีตั้งไว้ โดยผลที่ได้สอดคล้องกับงานวิจัยของ ศิรประภา พบวันดี (2558, บทคัดย่อ)
ศึกษาการพัฒนาผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โดยการจัดการเรียนรู้
แบบรว่ มมือเทคนิค TGT โรงเรยี นเมืองเตาวิทยาคม ผลการวจิ ยั พบวา่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของ
นักเรยี นที่เรียนดว้ ยการจัดกจิ กรรมการ เรียนรแู้ บบรว่ มมือเทคนิค TGT มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นหลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรียน อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิที่ระดับ .01
43
1. ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวจิ ัยไปใช้
1.1 การนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้
ครูผู้สอนควรทาการศึกษาลาดับขั้นในการจัดกิจกรรมการเรียนให้เข้าใจก่อนนาไปใช้ในการจัดการ
เรยี นรู้
1.2 เวลาในการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ควรมีมากพอ เพ่ือให้นักเรยี นได้ศึกษาค้นคว้า
และทากิจกรรมโดยไม่เร่งรีบ ซ่ึงจะส่งผลให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
และมคี วามละเอยี ดรอบคอบในการทางาน
1.3 ก่อนจดั กิจกรรมการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้นั รว่ มกนั การเรยี นรู้แบบรว่ มมือโดย
ใช้เทคนิค TGT ครูผู้สอนควรอธิบายข้ันตอนการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ขั้น ร่วมกับการเรียนรู้
แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT เพ่อื ให้นักเรียนเข้าใจข้ันตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรแู้ ละปฏิบัติตาม
ได้ถกู ต้อง
1.4 ก่อนท่ีนักเรียนจะทากิจกรรมโต๊ะแข่งขัน ในข้ันการประเมินผล ครูผู้สอนควร
ชี้แจง วิธีการแข่งขัน กฏ และกติกาให้ชัดเจน เพ่ือให้นักเรียนทุกคนเข้าใจการแข่งขัน และร่วม
กิจกรรมไดอ้ ยา่ งสนุกสนาน
2. ขอ้ เสนอแนะในการทาวจิ ัยคร้งั ต่อไป
2.1 การจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ขั้น เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีใช้ระยะเวลา
ค่อนข้างมาก ครูผู้สอนควรมีการยืดหยุ่นในการจัดกิจกรรมแต่ละข้ันให้มีความเหมาะสมตาม
ความสามารถของนักเรยี น
2.2 ควรทาการศึกษาค้นคว้าเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้ที่สง่ เสรมิ ทักษะกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การเรยี นร้โู ดยใช้ปญั หาเป็นฐาน (PBL) การเรยี นรแู้ บบโครงงาน
รูปแบบการสอนแบบซปิ บาโมเดล เป็นต้น
2.3 ควรทาการศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี โดยการจัดการ
เรียนรู้ตามวัฏจกั ร 7 ข้ัน ร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคอ่ืน ๆ เช่น Jigsaw, STAD, LI
เป็นต้น
2.4 ควรทาการศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักร 7 ข้ัน ร่วมกับการเรียนแบบ
ร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT กับตัวแปรอ่ืน ๆ เช่น ความคงทนในการเรียนรู้ ความสามารถในการคิด
วเิ คราะห์ เปน็ ต้น
44
บรรณานกุ รม
45
บรรณานกุ รม
กรมวชิ าการ. (2546). พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ 2542. กรงุ เทพฯ
กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2542). พระราชบัญญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพ่มิ เติม
(ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพร้าว
กญั ญา โชคสวสั ดิภ์ ิญโญ. (2553). การใชช้ ุดการเรยี นรู้แบบร่วมแรงร่วมใจด้วยเทคนคิ กลมุ่ แขง่ ขัน
(TGT) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน เร่ือง โมลและสารละลาย. วทิ ยานพิ นธ์,
มหาวิทยาลยั อุบลราชธานี
คนงึ เนตร แก้ววเิ ศษ. (2556). การพฒั นาชดุ กจิ กรรมการจัดการเรยี นรแู้ บบวฏั จักร 7 ขั้น เรอื่ ง
กระบวนการเปลี่ยนแปลงโลก ของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2
โรงเรยี นห้วยปลาไหล. พิษณุโลก: มหาวิทยาลยั นเรศวร
ธนดั ดา คงมที รัพย์. (2557). การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา
ศาสตร์ เรอื่ ง ระบบนิเวศ ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ที่ได้รับการจัดการเรยี นร้ตู าม
รูปแบบการ เรียนรู้แบบรว่ มมือ (เทคนิค TGT) กบั แบบปกติ. วิทยานพิ นธ์, มหาวิทยาลัย
ราชภัฏเทพสตรี
บุญชม ศรีสะอาด. (2553). การวิจยั เบอ้ื งตน้ (พิมพ์คร้งั ที่ 8). กรุงเทพฯ: สุวรี ิยสาสน์
บญุ ชม ศรีสะอาด. (2540). การวิจัยทางการวัดผลและประเมินผล. กรงุ เทพฯ: สวุ ีริยาสาส์น
พฤกษ์ โปร่งสาโรง. (2549). ผลของการใช้รูปแบบการเรียนการสอน 7E ในวิชาฟิสิกส์ ที่มีต่อ
ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน และความสามารถในการแกป้ ัญหาของนกั เรียนมัธยมศกึ ษาตอน
ปลาย. วทิ ยานพิ นธ์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั
พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต.์ (2544). การเรยี นการสอนทเ่ี น้นผเู้ รยี นเป็นสาคญั . กรุงเทพฯ : เดอะมาสเตอร์
กรปุ๊ แมเนจเมน้
ยุพนิ ลนุ บง. (2555). กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น รายวิชา เคมี
เพมิ่ เตมิ เรื่อง บทบาทของสารประกอบคาร์บอนตอ่ การดารงชีวติ ในทอ้ งถิ่น ของนกั เรียน
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (7Es).
วิทยานพิ นธ์, มหาวิทยาลยั ขอนแกน่
โรงเรยี นวังทองพิทยาคม. (2553). หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ปีการศกึ ษา 2560
โรงเรยี นวังทองพิทยาคม พิษณุโลก: กลุ่มบรหิ ารวชิ าการ, โรงเรียนวังทองพิทยาคม
ล้วน สายยศ. (2540). สถิตวิ ิทยาทางการวจิ ัย / ล้วน สายยศ, องั คณา สายยศ. กรุงเทพฯ :
สวุ ีริยาสาสน์
ล้วน สายยศ. (2538). เทคนิคการวจิ ัยทางการศกึ ษา / ลว้ น สายยศ, อังคณา สายยศ. กรุงเทพฯ :
สวุ รี ิยาสาสน์
ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2539). เทคนคิ การวัดผลการเรยี นรู้. กรงุ เทพฯ : ชมรมเดก็
วัชรา เล่าเรยี นด.ี (2545). เทคนคิ การจดั การเรยี นการสอนและการนเิ ทศ. นครปฐม : มหาวิทยาลยั
ศิลปากร
วัฒนาพร ระงบั ทุกข.์ (2542). แผนการสอนทเ่ี นน้ ผูเ้ รยี นเปน็ ศนู ย์กลาง. กรุงเทพฯ :
บรษิ ัท แอล.ท.ี เพลส จากัด.
46
ศิรประภา พบวันด.ี (2558). การพัฒนาผลการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษา
ปที ี่ 1 โดยการจดั การเรียนรู้แบบรว่ มมือเทคนคิ TGT. วิทยานพิ นธ์, มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏ
มหาสารคาม
สุภาพร พลพุทธา. (2552). ศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหา
ความรู้ตามวงจรการเรียนร้แู บบ 7E ในวชิ าฟิสกิ ส์ นักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5.
วิทยานพิ นธ์, มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร
สุลดั ดา ลอยฟ้า. (2536). รปู แบบการสอนแบบร่วมมือกนั เรียนร้.ู ขอนแกน่ : คณะศึกษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่
สุวิทย์ มูลคา และอรทัย มลู คา. (2553). 21 วธิ ีการจดั การเรยี นร้เู พื่อพัฒนากระบวนการคดิ .
พิมพ์ครัง้ ท่ี 9. กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ์
ไสว ฟักขาว. (2542). การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนยก์ ลาง. กรงุ เทพฯ : เอมพันธ์
อาภรณ์ ใจเทีย่ ง. (2553). หลักการสอน. พิมพค์ ร้ังท่ี 5. กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร์
Johnson, D. W. ; Johnson, R. T. and Holubec, E. J. 1 9 9 4 . The Nuts and Bolts of
Cooperative Learning. Minnesota : Interaction Book Company.
Johnson, D. W. ; Johnson, R.T. and Smith, K. A. 1991. “Cooperative Learning
Increasing College Faculty Instructional Productivity", Higher Education
Report No. 4. Washington D.C. : The George Washington University.
Slavin, R E. ( 1 9 9 3 ) . “ Cooperative Learning” Review of Education Reseearch. 5 0
(Summer) : 315-342
47
ภาคผนวก
48
แผนการจัดการเรียนรู้
เรอ่ื ง ปฏิกิริยารีดอกซ์
กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ รายวชิ าเคมี 2 รหัสวชิ า ว30222
เคมีไฟฟ้า
ภาคเรยี นท่ี 2/2563 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 5
เวลา 3 ชว่ั โมง
ผสู้ อน : นางสาวกฤษตยิ าภรณ์ ไชยวรรณ์
1. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระเคมี
3. เข้าใจหลักการทาปฏิบัติการเคมี การวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและการเปล่ียนหน่วย การคานวณ
ปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบาย
ปรากฏการณ์ในชวี ิตประจาวันและการแก้ปัญหาทางเคมี
2. สาระสาคญั
เลขออกซิเดชันเป็นค่าท่ีแสดงประจุไฟฟ้าหรือประจุไฟฟ้าสมมติของอะตอมของธาตุหรือไอออน ซ่ึงหา
ได้จากจานวนอเิ ล็กตรอนท่ีให้หรือรับอิเล็กตรอนหรอื จานวนอิเล็กตรอนที่ใชร้ ่วมกัน เมอื่ ทราบเลขออกซิเดชัน
ของธาตุจะสามารถระบุได้ว่าปฏิกิริยาใดเป็นปฏิกิริยารีดอกซ์ โดยพิจารณาการเปลี่ยนแปลงเลขออกซิเดช่ัน
ของธาตุในสารท่ีทาปฏิกิรยิ าเคมีกนั
3. ผลการเรียนรู้
คานวณเลขออกซเิ ดชนั และระบุปฏกิ ิริยาท่ีเปน็ ปฏิกิริยารีดอกซ์
4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ด้านความรู้ ความเขา้ ใจ (K)
1. คานวนเลขออกซเิ ดชันของธาตใุ นสารประกอบและไอออนต่าง ๆ
2. ระบปุ ฏิกริ ิยาทีเ่ ป็นปฏกิ ิรยิ ารีดอกซ์
ด้านทกั ษะกระบวนการ (P)
1. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (การใช้จานวน)
ด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
1. ซือ่ สัตย์
2. มีวนิ ัย
3. ใฝเ่ รยี นรู้
4. มุ่งมน่ั ในการทางาน
5. มจี ติ สาธารณะ
5. จิตวทิ ยาศาสตร์
1. ความอยากรู้อยากเหน็
2. ความรอบคอบ
3. ความมเี หตผุ ล
49
4. ความใจกวา้ ง
5. เจตคติท่ดี ตี ่อวทิ ยาศาสตร์
6. สมรรถนะสาคัญของนักเรียน
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
7. สาระการเรยี นรู้
- เลขออกซเิ ดชั่น
- ปฏกิ ิริยารดี อกซ์
8. กระบวนการจัดการเรียนรู้
การจดั การเรยี นรู้ตามวัฏจกั ร 7 ข้นั ร่วมกับการเรียนแบบรว่ มมือโดยใชเ้ ทคนคิ TGT
ชว่ั โมงที่ 1-2 (เวลา 2 ชวั่ โมง)
ขั้นตรวจสอบความรู้เดมิ (Elicitation Phase) 30 นาที
1. นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี นเรอื่ ง เคมไี ฟฟ้า
2. ครูทบทวนความรเู้ ดมิ เกี่ยวกบั ความหมายของเลขออกซิเดชนั
ขัน้ เรา้ ความสนใจ (Engagement Phase) 10 นาที
3. ครยู กตัวอยา่ งแหลง่ กาเนิดพลังงานไฟฟ้าท่ไี ด้จากแหล่งต่าง ๆ รวมทงั้ ที่ได้จากปฏิกิริยาเคมี เช่น
แบตเตอร่รี ถยนต์ ถา่ นไฟฉาย เพอ่ื ช้ีใหเ้ หน็ ว่าปฏิกริ ยิ าเคมีสามารถให้พลังงานไฟฟ้าได้ และการศกึ ษาเกี่ยวกับ
การเกดิ ปฏิกิริยาเคมแี ละพลังงานไฟฟา้ เรียกว่า เคมีไฟฟา้
4. ครูอธิบายว่าพลังงานไฟฟ้าเกิดจากการถ่ายโอนอิเล็กตรอน ปฏิกิริยาเคมีที่มีการถ่ายโอน
อเิ ล็กตรอนระหว่างสารเรียกว่า ปฏกิ ิรยิ ารีดอกซ์ โดยการถา่ ยโอนอิเลก็ ตรอนระหว่างสารพิจารณาได้ จากการ
เปลีย่ นแปลงเลขออกซิเดชันของธาตใุ นสารทท่ี าปฏกิ ิรยิ าเคมีน้ัน
ขน้ั สารวจค้นหา (Exploration Phase) 20 นาที
5. นกั เรยี นแบ่งกลมุ่ กลุม่ ละ 6 – 7 คน เพื่อศึกษาขอ้ กาหนดและวิธกี ารหาเลขออกซิเดชันของธาตุ
จากหนังสอื เรียน
ข้นั อธิบาย (Explanation Phase) 20 นาที
6. ครูอภิปรายร่วมกับนักเรียนเก่ียวกับข้อกาหนดและวิธีการหาเลขออกซิเดชันของธาตุ และให้
ความร้เู พม่ิ เติมว่าในสารประกอบ ธาตุทีม่ คี ่าอเิ ล็กโทรเนกาตวิ ติ มี ากกวา่ จะมเี ลขออกซเิ ดชันเป็นคา่ ลบ จากนน้ั
แสดง การคานวณเลขออกซิเดชันโดยใช้ตัวอย่างท่ี 1 คือซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์(SO2)และฟอสเฟตไอออน(PO43-)
และตวั อย่างท่ี 2 คือ หาเลขออกซิเดชนั ของ O ใน H2O2 KO2 และ OF2