พระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ผเู้ รยี บเรยี งนายประสาร ธาราพรรค์
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หัว รัชกาลท่ี 6 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์
ทรงพระราชอัจฉรยิ ภาพ ทรงบาเพ็ญพระราชกรณียกจิ หลากหลาย ทรงมีพระจริยวตั รท่ี
แปลกแตกต่างจากพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีที่ผ่านมาอาทิ ในเร่ืองส่วนพระองค์
การอภิเษกสมรส การไม่มีวัดประจารัชกาล การสร้างโรงเรียนแทนสร้างวัด การเกิด
สงครามโลกคร้ังท่ี 1 ทรงตัดสินพระทัยในการประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมันเข้า
ร่วมกับสัมพันธมิตร โดยมีข้าราชการนายทหารชั้นผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วยเป็นจานวนมาก
พระองคเ์ ปน็ ผกู้ ่อกาเนิด ธนาคารออมสนิ เสอื ป่า การลูกเสอื ทรงพระราชนพิ นธ์บทร้อย
แก้ว ร้อยกรองไว้จานวนมาก ซึ่งบางเรื่องใช้เป็นแบบเรียนในทุกวันนี้ อีกทั้งในรัชสมัย
ของพระองค์มีการกอ่ การกบฏเพอ่ื หวงั เปลย่ี นแปลงการปกครอง และทา้ ยสดุ การกบฏไม่
ประสบผลสาเรจ็ แตท่ รงอภยั โทษใหบ้ ุคคลเหล่าน้ัน ทาให้ไม่มีผู้ใดต้องโทษประหารชีวิต
และในที่สุดทุกคนก็พ้นโทษจาคุกออกมา นี่คือน้าพระทัยของพระมหากษัตริย์ที่ทรง
ทศพธิ ราชธรรมสมบรู ณ์แบบอยา่ งแท้จรงิ
เทดิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
รชั กาล ท่ี 6 มงิ่ มงคล ศรสี ยาม เฉลมิ พระนาม สรา้ งผลงาน มากกึกกอ้ ง
พระราชประวตั ิ มเี รอื่ งราว มากกลน่ั กรอง ชนยกยอ่ ง ลว้ นแซซ่ อ้ ง พระเกยี รตคิ ณุ
ทรงกอ่ เกดิ การลกู เสอื และเสอื ปา่ ทรงพฒั นา การศกึ ษา พรอ้ มเกอ้ื หนนุ
ทรงสง่ เสรมิ การออมสนิ ออมลงทนุ ทรงคา้ จนุ สาธารณสขุ ไทย ใหร้ งุ่ เรอื ง
ตราพระราชบญั ญตั ิ นามสกลุ คาหนา้ ชอื่ ทเ่ี ลอ่ื งลอื ประชาธปิ ไตย ไทยตอ่ เนอื่ ง
สรา้ งสะพาน พระราม 6 นามกระเดอื่ ง ทฟี่ เู ฟอื่ ง การรถไฟ ไทยยนื ยง
ธ ประกาศ สงคราม กับเยอรมนั ทรงสรา้ งฝนั ใหเ้ ปน็ จรงิ สมประสงค์
ธงชาตไิ ทย ทรงเปลย่ี นใช้ ธงไตรรงค์ ธ ดารง คงชาตไิ ทย ไวน้ ริ นั ดร์
ธ ทรงเลศิ วรรณกรรม อกั ษรศาสตร์ ธ เกง่ กาจ การกวี สดุ สรา้ งสรรค์
มผี ลงาน ประทบั ใจ อเนกอนนั ต์ พระทรงธรรม์ เปน็ มง่ิ ขวญั ตลอดกาล
ธ ทรงมี แตก่ ารให้ ไทยทว่ั หลา้ พระเมตตา ขจรไกล แผไ่ พศาล
เทดิ ดวงใจ ในดวงจติ ไทยเนนิ่ นาน ชนกลา่ วขาน พระนามไท้ ทกุ ใจเอย
.......................................................
ประสาร ธาราพรรค์ รอ้ ยกรอง
พระราชประวตั ิ
สมเดจ็ พระศรพี ชั รนิ ทราบรมราชนิ นี าถทรงฉายรว่ มกบั พระโอรส
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6 แห่งบรม
ราชจักรวี งศ์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่า ปีมะโรง ตรงกับวันท่ี 1
มกราคม พ.ศ. 2423 ณ พระที่น่ังในพระบรมมหาราชวังชั้นใน ทรงเป็นพระโอรส
พระองคท์ ่ี 29 ในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอย่หู ัว และ เป็นองคท์ ่ี 2 ทปี่ ระสตู ิ
แตส่ มเด็จพระศรพี ัชรนิ ทราบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง มพี ระเชษฐภคนิ ี
และพระอนชุ าร่วมพระชนนี 7 พระองค์ คอื
1. สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟ้าพาหรุ ัดมณีมัย กรมพระเทพนารรี ตั น์
2. พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยหู่ วั
3. สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟา้ ตรเี พช็ รตุ มธ์ ารง
4. จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวง
พิษณุโลกประชานาถ
5. สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟา้ ศริ ิราชกกุธภณั ฑ์
6. พลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวง
นครราชสีมา
7. สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธชุ ธราดลิ ก กรมขุนเพช็ รบูรณอ์ นิ ทราชยั
8. พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เข้าพระราชพธิ โี สกนั ต์
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กับ พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
เมอ่ื ดารงพระยศเปน็ สมเด็จเจา้ ฟา้ กรมขนุ เทพทวารวดี ในพระราชพธิ โี สกนั ต์ พ.ศ. 2435
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พรอ้ มพระราชบดิ า พระราชมารดา
สมเดจ็ พระบรมชนกนาถและสมเดจ็ พระราชชนนี ทรงเรยี ก พระบาทสมเดจ็ พระ
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า “ลูกโต” ส่วนพระประยูรญาติจะเรียกขานพระองค์ท่านว่า
“ทลู กระหมอ่ มโต”
การศกึ ษา
ทรงฉายทก่ี รงุ ปารสี คราวเสดจ็ ออกไปทรงศกึ ษาทปี่ ระเทศองั กฤษ เดอื นตลุ าคม 2436
จากซา้ ย สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอฯ กรมขนุ เทพทวาราวดี(รชั กาลที่ 6)
พระเจา้ นอ้ งยาเธอ พระองคเ์ จา้ สวสั ดโิ สภณ
พระเจา้ ลกู ยาเธอ พระองคเ์ จา้ อาภากรเกยี รวิ งศ์
ในช้นั ต้นทรงเร่ิมการศกึ ษาสรรพวทิ ยาการตา่ งๆ ในพระบรมมหาราชวัง โดยมพี ระ
ยาศรีสนุ ทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) พระยาอิศรพันธ์ุโศภณ (หม่อมราชวงศ์หนู อิศ
รางกูร) และหม่อมเจ้าประภากร ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรม
พระยาบาราบปรปกั ษ์ เป็นพระอาจารยถ์ วายพระอกั ษรวชิ าภาษาไทย สว่ นภาษาองั กฤษ
ไดท้ รงศึกษากับพระอาจารย์ชาวอังกฤษ ชอ่ื นายโรเบริ ต มอแรนต์ (Robert Morant) ผู้
เป็นหลานของฟลอเรนซ์ ไนติงเกล ในการถวายพระอักษรภาษาอังกฤษนั้นกล่าวกันว่า
นายมอแรนตไ์ ด้จัดถวายอยา่ งเข้มงวดและตอ่ เนือ่ ง แมใ้ นเวลาที่เสด็จประพาสหวั เมอื งก็
จัดใหท้ รงแปลอุปรากร “มกิ าโด” (Mikado) ของ กลิ เบอร์ต (William S. Gilbert) เป็น
ภาษาไทย เมื่อทรงเจริญพระชนมายุ 10 พรรษา ได้เสด็จไปทรงศึกษาร่วมกับเจ้านาย
เชอ้ื พระวงศ์ทโี่ รงเรียนราชกุมาร ในพระบรมมหาราชวัง และภายหลังจากท่ีฝร่ังเศสส่ง
เรือรบเข้ามาในแม่น้าเจ้าพระยาท่ีเรียกกันว่า “วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112” เม่ือวันที่ 13
กรกฎาคม พ.ศ. 2436 แลว้ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอม เกลา้ เจา้ อยหู่ วั กไ็ ด้โปรดเกล้าฯ
ให้เสดจ็ ออกไปทรงศกึ ษาต่อทปี่ ระเทศอังกฤษ
สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมขนุ เทพทวาราวดี(รชั กาลท่ี 6)
สมเดจ็ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟา้ ฯ กรมขุนเทพทวาราวดีและคณะเสดจ็ ถงึ ประเทศ
องั กฤษเมื่อวนั ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 แลว้ ไดป้ ระทับ ณ สถานอัครราชทูตสยาม
เลขที่ 23 แอชเบิร์น เพลส ลอนดอน หรดี 7 (23 Ashburn Place, London S.W.7)
กอ่ นทจี่ ะเสด็จไปประทับท่เี มอื งไบรตนั ทางตอนใตข้ องประเทศองั กฤษอกี ชวั่ ระยะเวลา
หน่ึง ครั้นนายเบซิล ทอมสัน (Basil Thompson) ซึ่งราชาธิปไตย มอบหมายให้มา
จัดการถวายพระอักษรร่วมกับพระมนตรีพจนกิจ ได้ตกลงเลือกแนวทางการถวายพระ
อักษรโดยวิธีจัดหาครูมาถวายการสอนท่ีตาหนักที่ประทับ ในรูปแบบที่เรียกกันใน
ปัจจุบันว่า Home School แทนการจัดให้เสด็จไปทรงศึกษาในโรงเรียนสามัญ
เช่นเดยี วกบั นักเรียนทัว่ ไปแล้ว จงึ ได้มีการเช่าบา้ นทน่ี อร์ธ ลอดจ์ (North Lodge) ถนน
เฟิร์นแบงค์ (Fernbank Road) เมืองแอสค็อต (Ascot) ถวายเป็นที่ประทับ ใน
ขณะเดียวกันนายทอมสันซ่ึงถวายอารักขาอยู่ห่างๆ ก็ได้จัดให้นายฮาโรลด์ เมยัลส์
(Harold Mayall) มาเป็นผู้จัดตารางสอนถวาย โดยวิชาที่จัดถวายนั้นเป็นวิชาระดับ
มธั ยมศึกษา รวมทง้ั ภาษาละติน (Latin) และยูคลิด (Euclid) หรอื วชิ าเรขาคณิต 3 มิติ
การออกกาลังกายและฝกกระเบียบแถว รวมท้ังเวลาศึกษาตามลาพัง บ่ายวันพุธว่างไว้
สาหรับใหพ้ ระมนตรีพจนกจิ เฝ้า และบ่ายวันพฤหัสบดี นายร้อยเอก มิเชล ธอมัส ยาร์
(Captain Michael Thomas Yarr) แพทยป์ ระจาพระองค์เฝ้าเปน็ ประจา
รับราชการ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั และพระราชโอรส
เมือ่ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ไดเ้ สดจ็ ประพาสประเทศทางยโุ รป
ครั้งแรกในปีพุทธศักราช 2440 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยาม
มกุฎราชกุมาร ก็เสด็จจากลอนดอนไปเฝ้ารับเสด็จฯ ท่ีเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี หลัก
จากนนั้ ยังทรงรบั มอบพระราชภาระเป็นผู้แทนพระองคส์ มเดจ็ พระบรมราชนกนาถเสดจ็
ไปรว่ มงานพระราชพธิ ฉี ัตรมงคลสมโภชในโอกาสท่ีสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียเสวยราช
สมบัตคิ รบ 60 ปี ในปพี ุทธศกั ราช 2440 นอกจากน้ยี งั เสดจ็ ไปงานพระราชพิธบี รรจุพระ
ศพพระราชินีลุยซ่าแห่งเดนมาร์ก ในปีพุทธศักราช 2441 พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระเจา้ อลั ฟองโซท่ี 13 แหง่ สเปน และพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งอังกฤษ และพระราช
พธิ บี รรจุพระศพสมเดจ็ พระราชนิ วี ิคตอเรีย แหง่ อังกฤษในปพี ทุ ธศักราช 2445
ในระหว่างปิดภาคเรียนขณะทรงศึกษาท่ีประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงศึกษาภาษา
ฝรัง่ เศส และเสดจ็ ทอดพระเนตรกิจการทหารของประเทศในภาคพ้ืนยุโรปเป็นเนืองนิจ
ในปีพุทธศักราช 2445 ขณะทรงพระชนมายุ 22 พรรษา หลังจากทรงสาเร็จการศึกษา
จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดแล้ว พระองค์ได้เสด็จพระราชดดาเนินไปประทับที่กรุง
ปารีส ประเทศฝรั่งเศส และเสด็จพระราชดาเนินทรงเยี่ยมประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป
จนถึงประเทศอยี ปิ ต์ เพื่อเปน็ การเจรญิ สัมพันธไมตรี จากน้ันประทบั อย่ใู นกรงุ ลอนดอน
ระยะหนง่ึ เพ่ือเตรยี มพระองค์นิวตั ประเทศไทย รวมเวลาทที่ รงศึกษาในประเทศอังกฤษ
เป็นระยะเวลา 9 ปี
เสดจ็ เยอื นต่างประเทศ
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ เยอื นประเทศญปี่ นุ่
ครัน้ ในวนั ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2445 พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั เสด็จ
นิวตั ประเทศไทยทางเรือ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนตกิ สู่สหรัฐอเมรกิ า และเสดจ็ ประพาส
ตามหัวเมืองต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา เพ่ือทอดพระเนตรการปกครองและการบริหาร
บ้านเมืองของสหรัฐอเมริกา เป็นเวลาเดือนเศษ ในราวต้นเดือนธันวาคม พุทธศักราช
2445 เสดจ็ ออกจากประเทศสหรฐั อเมริกาโดยทางเรือ ถึงเมอื งโยโกฮามา ประเทศญป่ี นุ่
แลว้ ประทบั ณ ประเทศญี่ป่นุ เปน็ เวลาเดือนเศษ จากนั้นเสดจ็ ไปประทบั ณ เกาะฮอ่ งกง
แล้วจึงเสด็จถึงประเทศไทย ในวนั ท่ี 29 ธนั วาคม พ.ศ. 2446 โดยประทบั ณ พระราชวงั
สราญรมย์ และทรงเขา้ รบั ราชการทหารทันที ต่อมาทรงได้รับพระราชทานพระยศนาย
พลเอกราชองครักษ์พิเศษและจเรทัพบก กับทรงเป็นนายพันโทผู้บังคับการกรมทหาร
มหาดเล็กรักษาพระองค์ นอกจากน้ันทรงช่วยเหลือกิจการของสภาที่ปรึกษาส่วน
พระองคข์ องสมเดจ็ พระบรมชนกนาถ
ทรงผนวช
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงผนวช
ในปี พ.ศ. 2447 พระองค์ทรงพระผนวชตามพระราชประเพณี ณ พระอโุ บสถวัด
พระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสเป็นราช
อุปชั ฌายะ และประทับจาพรรษาศึกษาพระธรรมวินัยประจา ณ วดั บวรนิเวศ
ตามเสดจ็ พระราชบดิ า
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และ พระราชบดิ า
หลังจากทรงลาสิกขาแล้ว ในปีพุทธศักราช 2448 พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ เสด็จประพาสภายในประเทศ โปรดให้
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หวั ตามเสด็จดว้ ยทกุ คราว ดว้ ยมีพระราชประสงค์
จะให้ทรงคุ้นเคยกับสภาพบ้านเมือง ข้าราชการ และพสกนิกรของประเทศซ่ึงอยู่ใน
ชนบทท่ีห่างไกลเมอื งหลวง นอกจากยังเสด็จโดยลาพังพระองค์เอง เช่น เสด็จประพาส
หัวเมืองฝ่ายเหนือครั้งแรกเม่ือพุทธศักราช 2448 และคร้ังที่ 2 เมื่อพุทธศักราช 2450
(หัวเมืองฝ่ายเหนือ : กาแพงเพชร สุโขทัย สวรรคโลก อุตรดิตถ์ พิษณุโลก) เป็นผลให้
ทรงพระราชนิพนธ์เร่อื ง “เทีย่ วเมืองพระร่วง” และ “ลิลิตพายัพ” ทรงใช้พระนามแฝง
ว่า “หนานแกว้ เมืองบรู พ์” พุทธศกั ราช 2452 เสด็จไปหัวเมอื งปกั ษใ์ ต้ และทรงพระราช
นิพนธ์เร่ือง “จดหมายเหตปุ ระพาสหวั เมืองปักษใ์ ต้” ทรงใชพ้ ระนามแฝงวา่ “นายแก้ว”
นอกจากนี้ได้ทรงมีส่วนร่วมในการร่างกฎหมายหลายฉบับ และก่อนหน้าท่ีจะทรงขึ้น
ครองราชย์เพียง 2 – 3 เดือน ทรงได้รับมอบหมายให้ทรงกากับราชการกระทรวง
ยุติธรรม ซ่ึงขณะนั้นยังไม่มีเสนาบดี จึงนับว่าทรงมีพ้ืนฐานเก่ียวกับการบริหารของ
ประเทศชาติ
ทรงเป็นผสู้ าเรจ็ ราชการตา่ งพระองค์
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประทบั บนรถมา้ พระทน่ี งั่ ท่กี รงุ เบอรล์ นิ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวเสดจ็ พระราชดาเนนิ ยุโรปคร้งั ท่ี 2
ระหวา่ งวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2449 - 17 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2450 ทรงพระกรณุ าโปรด
เกลา้ ฯ พระราชทานอานาจในราชกิจท่จี ะรักษาพระนครไวแ้ ดพ่ ระองค์ เปน็ การรบั สนอง
พระเดชพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระบรมชนกนาถในหน้าท่ีอันสาคัญท่ีสุดสิ่งหนึ่ง
และได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยเป็นท่ีสุดด้วยระหว่างทรงเป็นผู้สาเร็จราชการ
แผ่นดินต่างพระองค์น้ี ทรงรับเป็นประธานการจัดสร้างพระบรมราชานุสรณ์เฉลิมพระ
เกียรติสมเด็จพระบรมชนกนาถ ซงึ่ งานสาคัญบรรลโุ ดยพระราชประสงคอ์ ยา่ งดี
การข้นึ ครองราชย์
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ขน้ึ ครองราชย์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับการสถาปนาตั้งไว้ในพระรัช
ทายาทสืบพระราชสันตติวงศ์ต้ังแต่ปีพ.ศ.2437 เม่ือสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จ
สวรรคตลงเมื่อวันท่ี 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 ได้รับการอัญเชิญเสด็จข้ึนเถลิงถวัลยราช
สมเดจ็ เปน็ พระเจ้าแผ่นดิน สืบสนองพระองคส์ มเดจ็ พระบรมชนกนาถ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับพระท่ีนั่งพุดตานกาญจน
สิงหาสน์ ในพระราชพธิ ีบรมราชาภเิ ษกทรงฉาย เมอ่ื เดือนพฤศจกิ ายน พ.ศ.2453
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงประกอบพระราชพิธี
บรมราชาภิเษก ในวันท่ี 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 ณ หมู่พระมหามณเฑียรใน
พระบรมมหาราชวงั เวลาเชา้ ประมาณ 9 โมง เสด็จฯ ทรงจุดเทยี นเครือ่ งสงั เวยพระมหา
เศวตฉัตร จุดเทียนเครื่องบูชาพระพุทธรูปและพระแท่นมณฑล ณ พระท่ีน่ังต่าง ๆ ใน
พระบรมมหาราชวัง
เม่ือแล้วเสร็จจึงเสด็จฯ สู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทรงศีลเสร็จจึงเสด็จฯ เปล้ือง
เคร่ืองที่ชานพักและผลัดพระภูษาสาหรับสรงพระมุรธาภิเษก เมื่อได้เวลาพระฤกษ์
รัชกาลท่ี 6 จึงเสด็จฯ ลงจากหอพระเจ้าสู่มณฑปพระกระยาสนาน ทรงบันทึกถึง
เหตุการณ์และความรสู้ กึ ส่วนพระองคว์ ่าขณะเสดจ็ ฯ ไปประกอบพิธีสรงพระมรุ ธาภเิ ษก
ทรงรู้สึกโหวง ๆ เหมือนฝัน ทอดพระเนตรอะไรก็ดูรางเลือน ไม่แจ่มชัดอย่างปกติและ
ทรงบันทึกไว้ใน “ประวัติตน้ รัชกาลท่ี 6” ความวา่
“—เมื่อข้ึนไปบนพระกระยาสนานและน่ังลงบนต่ังแล้ว, ตัวก็ยังชาๆ อยู่ ต่อเม่ือน้า
สหัสสะธาราได้ตกต้องตวั เปนครั้งแรกจ่ึงได้ต่ืนขึ้น, รู้สึกความเปล่ียนแปลงของตัว, และ
ในทันใดน้ันน้าตาได้ไหลลงอาบหน้าระคนกับน้าสหัสสะธารา, จึ่งมิได้มีผู้ใดสังเกตเห็น.
ในเวลาน้นั เองท่ีฉนั ได้รสู้ กึ แนช่ ัดวา่ ไดเ้ สยี ทลู กระหมอ่ มไปเสยี แล้ว—“
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หวั ประทับพระท่นี งั่ พุดตานกาญจนสิงหาสน์
ทรงฉาย ณ พระท่ีนงั่ บรมพมิ าน วันที่ 17 ธนั วาคม 2454
พ ร ะ บา ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ม ง กุฎ เ ก ล้า เ จ้า อ ยู่หัว ข้ึ น ค ร อ ง ร า ชย์ มี พ ร ะ น า ม เ ต็ม ว่ า
“พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุรุษบรมนราธิราช พินิต
ประชานาถมหาสมมตวงศ์ อดิศัยพงศ์วิมลรัตน์ วรขัตติราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหา
จกั รพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ จุฬาลงกรณราชวราง
กูร บรมมกฏุ นเรนทร์สรู สนั ตติวงศวสิ ฐิ สสุ าธิตบุรพาธิการ อดลุ ยกฤษฎาภนิ ิหาร อด
เรกบญุ ฤทธิ ธัญลษั ณวจิ ติ รโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณตบาทบงกชยุคล
ประสิทธสิ รรพศุภผลอดุ ม บรมสขุ มุ าลยท์ พิ ยเทพาวตาร ไพศาลเกยี รติคณุ อดลุ ยวเิ ศา
สรรพเทเวศรานุรักษ์ บรุ มิ ศกั ดสิ มญาเทพวาราวดี ศรีมหาบุรษุ สุทธสมบัติ เสนางคนิกร
รตั นอศั วโกศล ประพนธปรีชา มทั วสมาจาร บรบิ ูรณคุณสารสยามาทนิ ครวรตุ เมกราช
ดิลก มหาปริวารนายกอนันต์มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษศิรินธร บรมชนกาดิศร
สมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราติฉัตร สิริรัตโน
ปลักษณมหาบรมราชาภิเษกฎาภิสิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามิ
นทร์ มเหศวรมินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัยพุทธาธิไตร
รตั นสรณารกั ษ์ อดลุ ยศักด์ิ อรรคนเรศราธบิ ดี เมตตากรณุ า สตี ลหฤทัย อโนมัยบุญ
การสกลไพศาล มหารักษฎาธิบดินทร์ ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถ
บพิตร พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว”
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หวั เสด็จพระราชดาเนินดว้ ยกระบวนพยุหยาตรา
โดยทางสถลมารคเลียบพระนครในพระราชพิธบี รมราชาภเิ ษกสมโภช วันท่ี 3 ธันวาคม
2454
ต่อมาใน พ.ศ. 2459 ไดท้ รงเปลี่ยนคานาหนา้ พระปรมาภไิ ธยของพระองคเ์ องใหม่
วา่ “พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรสี นิ ทรมหาวชริ าวธุ อรรคมหาบุรุษบรมนราธิราช
พนิ ิตประชานาถมหาสมมตวงศ์ ฯลฯ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หัว”
พระราชานกุ จิ
พระราชานกุ จิ คอื กาหนดเวลาทพี่ ระเจา้ แผน่ ดนิ จะทรงประพฤตพิ ระราชกจิ ตา่ งๆ
ประจาทุกวนั เรยี บเรยี งโดยพระยาอนริ ทุ เทวา (ม.ล.ฟน้ื พง่ึ บญุ ) จางวางมหาดเลก็ ดงั น้ี
11.00 น. ถงึ 11.30 น. บรรทมต่นื เสวยเคร่ืองเชา้ ที่เฉลียงข้างห้องพระบรรทม
ทรงเครื่องแลว้ เสด็จเข้าหอ้ งพระอกั ษรราชาเลขาธิการเข้าเฝ้าถวายหนังสือราชการทรง
งานแผน่ ดินอยู่จนถงึ เวลาเสวยเครอ่ื งใหญก่ ลางวัน 13.00 น. ถงึ 13.30 น. เสวยกลางวนั
อย่างไทย ด้วยประทับพระย่ีภู่ เสวยดว้ ยพระหตั ถใ์ นชามหยก วางบนโตะ๊ เล็ก เสวยเสรจ็
ราว 15.00 น. บางวันเสนาบดี กระทรวงวงั เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลเรียนพระราชปฏิบัติ
ในเร่ืองพระราชพิธีต่างๆ ในตอนเสวยแล้ว แล้วเสด็จเข้าประทับในห้องทรงพระอักษร
จนถึงเวลาเย็น ราว 17.00 น. เสด็จลงทรงการเล่นต่างๆ มีเทนนิส ราวเดอร์หรือ
แบดมนิ ตนั เสรจ็ ออกพระกาลังกายแล้วเสวยเคร่ืองวา่ ง และเสด็จขึ้นราวเวลาย่าค่าคร่ึง
ถา้ มกี ารพระราชพิธีหรืองานพิเศษก็ไมไ่ ด้เสด็จลงสนาม เสด็จออกขุนนางทุกวัน
เวลาบ่าย 17.00 น วันจนั ทรเ์ สด็จไปเฝ้าสมเด็จพระพันปหี ลวงท่ีพระราชวังพญา
ไท ในเวลายังดารงพระชนมอ์ ยู่ ตอ่ มาอีกวันจนั ทร์ เสดจ็ ทรงรถประพาสตามถนน โปรด
ให้ขับรถยนต์พระที่น่ังช้าๆ ด้วยมีพระราชดารัสว่าให้ราษฎรได้เฝ้า สับเปล่ียนกันเช่นน้ี
ทุกวันจนั ทร์ ทุกวันศุกร์ เวลา 17.00 น เสด็จออกขุนนาง แล้วมีประชุมเสนาบดี
ถ้ามรี าชการพิเศษก็เรียกประชุมเป็นพิเศษ บางคราวก็โปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดี เข้าเฝ้า
พิเศษ ย่าค่าคร่ึง สรงน้าทรงเครื่อง เสด็จเข้าห้องทรงพระอักษรจนถึงเวลาเสวยเย็น
20.30 น. เสดจ็ ลงประทบั โต๊ะเย็น พร้อมด้วยข้าราชบริพาร มีขา้ ราชการช้ันผใู้ หญ่ทั้งใน
ราชสานกั และนอกราชสานักบางคนเสวยแล้ว บางวนั ทรงบลิ เลียดหรอื ไพบ่ รดิ ส์ บางวนั
มีซ้อมละคร 24.00 น. เสวยเคร่ืองว่าง เสด็จข้ึนราว 01.00 น. บางคืนก็ดึกกว่าน้ี ทรง
บชู าพระรตั นตรัยและเทพเจ้า เสด็จเขา้ ทพี่ ระบรรทม
พระวรราชเทวี พระวรราชชายา ในพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ สทุ ธวไิ ลยลกั ษณา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคร้ังยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิ
ราช เจา้ ฟ้ามหาวชริ าวธุ สยามมกุฎราชกุมาร ไดย้ ังการหมายหม้นั จากสมเด็จพระศรพี ัช
รินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ให้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าวรวงศ์
เธอ พระองค์เจ้าสุทธวิไลยลักษณา (พระองค์หญิงกลาง) พระธิดาองค์กลางในสมเด็จ
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟ้าจาตรุ นต์รัศมี กรมพระจักรพรรดพิ งษ์ ถงึ กบั มกี ารหมายหมนั้
ว่าพระองค์เจ้าหญิงนี้จะได้เป็นสมเด็จพระราชินีในอนาคต แต่หลังสมเด็จพระบรม
โอรสาธริ าชฯ สาเร็จการศึกษาจากตา่ งประเทศกม็ ิได้สนพระทยั ในพระองคเ์ จา้ หญงิ นกั
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และพระวรกญั ญาปทาน
พระองคเ์ จา้ วลั ลภาเทวี
ต่อมาเมื่อพระองค์ไดเ้ สวยราชย์เป็นพระมหากษัตรยิ ์ในปี พ.ศ. 2453 หลังจากน้ัน
อีกหลายปีพระองค์ได้พบกบั หม่อมเจา้ วรรณวิมล วรวรรณ (ทา่ นหญิงเตอะ) พระธิดาใน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ท่ีเข้า
เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งแรกท่ีห้อ ง
ทรงไพ่บริดจ์ในงานประกวดภาพเขียน ณ โรงละครวังพญาไท ต่อมาเม่ือวันที่ 21
ตุลาคม พ.ศ. 2463 พระองค์โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามของพระธิดาในกรมพระ
นราธิปประพนั ธ์พงศ์ โดยพระนามของหม่อมเจ้าวรรณวิมล เปลี่ยนเป็น หม่อมเจ้าวัลล
ภาเทวี พรอ้ มกบั ขนษิ ฐาอกี 4 พระองค์ ทีร่ วมไปถึงหม่อมเจ้าวรรณพมิ ล วรวรรณ (ท่าน
หญิงติ๋ว) ก็ได้รับพระราชทานนามเป็น หม่อมเจ้าลักษมีลาวัณ และต่อมาในวันท่ี 9
พฤศจิกายนปีเดียวกันน้ันเอง ได้มีการสถาปนาหม่อมเจ้าวัลลภาเทวี วรวรรณ ขึ้น
เป็น พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี แต่ด้วยมีเหตุพระราชอัธยาศัยไม่
ต้องกัน จึงมีพระบรมราชโองการถอนหม้ันลงเม่ือวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2464 และ
โปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามว่า พระเจา้ วรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าวลั ลภาเทวี
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
และสมเดจ็ พระนางเจา้ อนิ ทรศกั ดศิ จี พระวรราชชายา
ก่อนการถอนหมั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้อภิเษกสมรสกับ
นางสาวประไพ สุจริจกุล เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2464 และได้มีพระราชทินนาม
เป็น สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา (พระนามเดิม: ประไพ; 10
มิถุนายน พ.ศ. 2445 — 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2518) พระวรราชชายาใน
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
พระองค์เป็นธิดาของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (ปล้ืม สุจริตกุล) กับท่านผู้หญิงสุ
ธรรมมนตรี (กิมไล้ สจุ ริตกลุ ) เขา้ รบั ราชการฝ่ายใน ได้รับพระราชทานบรรดาศักด์ิเป็น
พระอินทราณี ต่อมาพระอินทราณตี ้งั ครรภ์ จงึ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ สถาปนาพระ
อินทราณี ข้นึ ดารงพระยศเจา้ นายตาแหน่งพระมเหสที ี่ พระวรราชชายาเธอ พระอินทร
ศักดศิ จี ทรงได้รับการสถาปนาพระราชอิสริยยศสูงสุดท่ี สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ
ศจี พระบรมราชินี ภายหลังสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี ทรงตกพระครรภ์หลาย
ครั้ง เป็นเหตุประการหน่ึงให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราช
โองการใหอ้ อกพระนามว่า สมเดจ็ พระนางเจ้าอนิ ทรศกั ดิศจี พระวรราชชายา
ต่อมาเมื่อวันท่ี 8 กันยายน พ.ศ. 2468 ได้มีการเขียนพระราชพินัยกรรมข้ึน โดย
ได้เขียนไวว้ า่ วา่ หา้ มนาพระอัฐิของพระองค์ตง้ั คกู่ ับพระอฐั ขิ องสมเดจ็ พระนางเจ้าอินทร
ศกั ดิศจี หากจะตั้งกใ็ ห้ต้ังคกู่ บั สวุ ทั นา เพราะทรงยกยอ่ งวา่ เปน็ "เมียดีจรงิ ๆ" และยงั เปน็
ท่ีทรงหวังว่าจะมีพระราชโอรสสืบไปได้ และด้วยเกิดเหตุหลายประการเกี่ยวข้องกับ
สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี อันมีเรื่องการตกพระครรภ์หลายครั้ง
เปน็ เหตผุ ลประการหนงึ่ จึงมีการลดพระอิสริยยศของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี
ลงเป็นพระวรราชชายาแทน เมื่อวันที่ 20 กันยายน ต่อมาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน
นัน้ เองก็ได้มกี ารสถาปนาเจา้ จอมสุวทั นาซึ่งเปน็ ทีแ่ น่นอนแล้วว่าจะประสตู กิ าลพระบตุ ร
ในไมช่ า้ ขึ้นเป็น พระนางเจ้าสวุ ัทนา พระวรราชเทวี เพื่อ "...ผดุงพระราชอิศริยยศแห่ง
พระกุมารที่จะมพี ระประสตู กิ ารในเบือ้ งหน้า"
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั และพระนางเธอลกั ษมลี าวณั
ตอ่ มาเมือ่ วันที 4 เมษายน ปเี ดียวกนั นัน้ เอง พระองคก์ ็ไดส้ ถาปนาหมอ่ มเจา้ ลักษมี
ลาวัณ วรวรรณพระขนิษฐาของอดีตพระวรกัญญาปทานขึ้นเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ พร้อมกับทรงหมั้น และมีพระราชวินิจฉัยว่าจะได้ทรงทาการ
ราชาภิเษกสมรสในภายหน้า และวันที่ 27 ตุลาคมของปีนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ
เกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอภิเษกสมรสกับนางสาวเปรื่อง สุจริตกุล พ่ีสาวของพระ
อินทราณี และอดีตนางสนองพระโอษฐ์ในอดีตพระวรกัญญาปทาน ได้รับการแต่งตั้งมี
ราชทินนามเป็น พระสุจรติ สดุ า แตก่ ม็ ไิ ด้ตง้ั ครรภ์ตามพระราชประสงค์
ด้วยเหตุที่พระอินทราณีได้ตั้งครรภ์ จึงได้รับการสถาปนาเป็น พระวรราชชายา
เธอ และพระบรมราชินี ตามลาดบั แตใ่ นปลายปเี ดยี วกันนน้ั กไ็ ดส้ ถาปนาพระเจา้ วรวงศ์
เธอ พระองคเ์ จา้ ลกั ษมีลาวณั ขน้ึ เป็น พระนางเธอลักษมีลาวัณ พระนามเดิมว่า หม่อม
เจ้าวรรณวิมล วรวรรณ พระขนิษฐาของอดตี พระวรกญั ญาปทาน
ในวนั ท่ี 8 กันยายน พ.ศ. 2464 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใหส้ ถาปนา หมอ่ มเจา้
ลักษมลี าวณั เป็น พระเจ้าวรวงศเ์ ธอ พระองค์เจา้ ลักษมลี าวณั พรอ้ มกบั ทรงหมั้น และมี
พระราชวินิจฉัยวา่ จะไดท้ รงทาการราชาภิเษกสมรส
แต่ท้ังสองพระองค์มิได้อภิเษกสมรสหรือมีโอรสธิดาด้วยกัน ท้ายท่ีสุดจึงตัดสิน
พระทยั แยกกนั อยู่ ตอ่ มาไม่นานทรงได้ถอนหมั้นและสถาปนาหม่อมเจ้าลกั ษมลี าวณั ขนึ้
เป็น "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ" ทันที พร้อมกับทรงหม้ันและมีพระราช
วินิจฉัยว่า จะทรงทาการราชาภิเษกสมรสด้วย ครั้งหมั้นหมายเพียงไม่นาน
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยูห่ ัว ก็ทรงอภเิ ษกสมรสกับพระสจุ รติ สดุ า (ธดิ าของ
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี) พระองคจ์ งึ ทรงตัดสนิ พระราชหฤทยั "แยกกันอยู่" กับพระเจ้า
วรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าลกั ษมีลาวัณ ทง้ั ท่ยี ังมิทันไดอ้ ภิเษกสมรสกัน
ขา่ วพระนางเธอลกั ษมลี าวณั ถกู ลอบปลงพระชนม์
พระนางเธอลักษมลี าวณั ทรงตัดสนิ พระทัยแยกมาอย่ตู ามลาพงั ณ พระตาหนกั ใน
ซอยพรอ้ มพงศ์ รมิ คลองแสนแสบ ทรงดารงพระชนมอ์ ย่างเรียบง่ายและเงียบสงบ ทรง
ใช้เวลาว่างไปกับการพระนพิ นธ์ต่าง ๆ ภายหลังสงครามโลกครง้ั ท่ี 2 ทรงยา้ ยไปประทับ
ณ พระตาหนักลักษมีวิลาศ ถนนศรีอยุธยา ส่ีแยกพญาไท โดยเฉพาะในช่วงบ้ันปลาย
พระชนมช์ พี พระองค์ทรงรกั สันโดษและประทบั อยเู่ พียงพระองค์เดยี วในพระตาหนกั จงึ
เปิดช่องให้ผู้ท่ีรู้ความเคลื่อนไหวในพระตาหนักดี น่ันคือ ข้าหลวงคนสวนเดิมในพระ
ตาหนัก และรวู้ ่าในตชู้ ั้นลา่ งพระตาหนกั ลกั ษมีวิลาศมีเครอื่ งราชอสิ ริยาภรณ์ บคุ คลผนู้ นั้
จึงกลับเข้ามายังพระตาหนักลักษมีวิลาศ และย่องเข้ามาทางข้างหลังใช้ชะแลงทาร้าย
พระเศียรขณะประทับพรวนดินอยู่จนสิ้นพระชนม์ ชายคนสวนผู้น้ันจานา
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ด้วยไม่รู้จัก เจ้าของโรงรับจานาเห็นผิดสังเกตจึงแจ้งเจ้าหน้าที่
ตารวจ และเขาก็รับสารภาพถึงการฆาตกรรม และกล่าวว่าตนทราบแตเ่ พยี งวา่ พระนาง
ทรงเปน็ เจ้านาย ไม่คดิ วา่ จะทรงเปน็ เจา้ นายใหญถ่ ึงเพียงนน้ั
พระนางเจา้ สวุ ทั นา พระวรราชเทวี
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี พระนามเดิม เครือแก้ว อภัยวงศ์ (หรือ พระ
นางเจ้าสุวัทนา) ได้มีโอกาสร่วมแสดงละครพระราชนิพนธ์เร่ือง พระร่วง ได้รับบทเป็น
สาวใช้ของนางจนั ทร์ ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงแสดงเป็นนายมั่น
ปืนยาว ซ่ึงต้องมีบทพูดจาโต้ตอบกับบรรดาสาวใช้ของนางจันทร์ คุณเครือแก้วก็ได้
ฝกก ซอ้ มเตม็ ท่เี ล่นเสมือนจริง ทาใหเ้ คอื งพระทยั สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดศิ จี พระวร
ราชชายา จงึ โปรดให้ขา้ หลวงสง่ เสียงโหฮ่ าข้ึน และใชเ้ ทา้ ตบพนื้ พระทน่ี งั่ เปน็ เหตใุ หพ้ ระ
เจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธถึงกับเสด็จขึ้นทันที และครั้งน้ันเองพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ
เกล้าฯ ได้มีจิตประดิพัทธ์ต้องในอัธยาศัยของเครือแก้ว เนื่องด้วยความสุขุม ไม่ได้
ตอบสนองตอ่ เหตุการณก์ ระทบกระเทือนทีเ่ กิดข้นึ วนั ที่ 10 สงิ หาคม พ.ศ. 2467 ได้ทรง
สถาปนาคุณสุวทั นาขนึ้ เปน็ เจา้ จอมสุวทั นา พระสนมเอก พรอ้ มทั้งทรงพระกรณุ าโปรด
เกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ พระท่ีนั่งบรมพิมาน ใน
พระบรมมหาราชวัง ถอื เป็นสตรที า่ นสุดทา้ ยทไ่ี ด้รบั การสถาปนาเปน็ เจา้ จอมในราชวงศ์
จักรี รัชสมัยรัชกาลท่ี 6 พระองค์ทรงให้เจ้าจอมสุวัทนาตามเสด็จไปในการทรงปฏิบัติ
พระราชกรณยี กจิ อย่เู นอื ง ๆ
รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชธิดา ซ่ึงประสูติแต่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ธิดา
เพยี งพระองคเ์ ดียว คือ สมเด็จพระเจา้ ภคนิ เี ธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณ
วดี ประสูติ ณ วันอังคารท่ี 24 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2468 หลังจากนนั้ เพียง 2 วัน รัชกาล
ท่ี 6 ก็ทรงสวรรคต ในวนั ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
พระสจุ รติ สดุ า
ครั้นเม่ือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงหม้ันกับ พระวรกัญญา
ปทาน พระองคเ์ จา้ วัลลภาเทวี ก็โปรดให้เปร่อื งมาเปน็ นางสนองพระโอษฐ์ของพระองค์
เจ้าวัลลภาเทวี และได้ตามเสด็จพระราชดาเนินในพระราชกรณียกิจต่าง ๆ เมื่อปี พ.ศ.
2463 ท่ีมีการจัดตั้งกองเสือป่าหญิงขึ้น ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ เปร่ือง สุจริตกุล
รบั พระราชทานยศนายกกองเสือป่าหญิงรุ่นแรกดว้ ย
เม่อื เปรื่องมีอายไุ ด้ 26 ปี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ ฯ ได้ทรงขอเปร่ืองจาก
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกอบพระราชพิธีอภิเษก
สมรส เมอ่ื วนั ท่ี 27 ตลุ าคม พ.ศ. 2464 และถือเป็นสภุ าพสตรีสามัญชนคนแรกท่ีได้เข้า
พธิ ีดังกลา่ ว
พระยาอนริ ทุ ธเทวา มหาดเลก็ “คนโปรด” ในรชั กาลที่ 6
พระยาอนริ ทุ ธเทวา
พลตรี พระยาอนิรุทธเทวา หรือ หม่อมหลวงฟื้น พ่ึงบุญ เกิดเมื่อวันที่ 23
พฤษภาคม พ.ศ. 2436 เปน็ บุตรของ พระยาประสทิ ธิศ์ ุภการ (หม่อมราชวงศล์ ะม้าย พึ่ง
บุญ) กับพระนมทัต พ่ึงบุญ ณ อยุธยา พระนมในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยูห่ วั รัชกาลท่ี 6 มพี ช่ี ายคอื เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟอื้ พึง่ บญุ ) ท่ีต่างก็
ได้ถวายงานสนองเบ้ืองพระยุคลบาทรัชกาลที่ 6 ต้ังแต่ครั้งยังดารงพระอิสริยยศเป็น
สยามมกุฎราชกมุ าร พระยาอนิรุทธเทวา ถวายตัวพร้อมกับพี่ชายเม่ือ พ.ศ. 2446 หลัง
รัชกาลท่ี 6 เสด็จนิวัติจากทวีปยุโรปคืนสู่พระนคร จากนั้นใน พ.ศ. 2449 ท่านรับ
ราชการคร้ังแรกเปน็ มหาดเลก็ ห้องพระบรรมทม เม่อื พ.ศ. 2454
พระยาอนริ ุทธเทวาเปน็ มหาดเลก็ ที่ถวายงานรับใช้รัชกาลท่ี 6 อย่างใกล้ชิดเสมอ
มา เช่นครง้ั ท่เี สดจ็ บางปะอนิ ถา้ รชั กาลที่ 6 ทรงเรอื กรรเชียง พระยาอนิรทุ ธเทวาจะนัง่
เรือลาเดียวกับพระองค์ ส่วนเจ้าพระยารามราฆพจะแล่นเรือยนต์โฉบไปมาเพื่อตรวจ
ความเรียบร้อย ขณะท่ีมหาดเล็กคนอ่ืนจะตามเสด็จด้วยเรือกรรเชียงลาอ่ืน จึงแสดงให้
เหน็ ถึงการเปน็ “คนโปรด” ไดอ้ ยา่ งชัดเจน
พระยาอนริ ทุ ธเทวา
พระยาอนิรทุ ธเทวามหี น้าทที่ ีต่ อ้ งถวายงานรบั ใชอ้ ย่างใกล้ชดิ เชน่ มีหน้าทต่ี ดั แตง่
พระนขา (เล็บ) ปลงพระมสั สุ (โกนหนวด) ซ่ึงไม่มีใครถวายงานนี้ได้ดีเท่าท่าน และต้อง
นอนอยู่ใกล้ชิดห้องพระบรรทมหรือพื้นปลายพระแท่น (เตียง) เพ่ือถวายอารักขา เมื่อ
รัชกาลที่ 6 ทรงตื่นบรรทมจะรับสั่งว่า “ฟ้ืน พ่อต่ืนแล้ว” นอกจากนี้ท่านยังได้ร่วมโต๊ะ
เสวยกับรัชกาลที่ 6 อีกดว้ ย การจะเปน็ คนโปรดนั้นไม่ใช่เร่ืองง่าย พระยาอนิรทุ ธเทวาจา
เป็นต้องศึกษางานหลายด้านท่ีต้องเพียบพร้อมด้วยความสามารถอันจะถวายงานรับใช้
รชั กาลที่ 6 ให้เปน็ ไปตามพระราชประสงค์โดยมิให้ขาดตกบกพร่อง ท่านทราบเสมอว่า
รัชกาลท่ี 6 โปรดส่ิงใด ไม่โปรดสิ่งใด ถวายงานตลอดทั้งกลางวันกลางคืนโดยมิเหน็ด
เหนื่อย “ถวายพระราชปรนนบิ ัตยิ ่งิ เสียกว่าพระมเหสี” จนทาใหเ้ ปน็ ทพี่ อพระราชหฤทยั
และโปรดปรานมาก
กบฏ ร.ศ. 130
คณะกบฏ ร.ศ.130
ในปี พ.ศ. 2454 เกิดเหตุการณ์กบฏ ชื่อว่า กบฎ ร.ศ. 130 ประกอบด้วย
ทหารบก ทหารเรอื ขา้ ราชการ พลเรอื น ได้รว่ มกันคิดทีจ่ ะทาการเพ่ือทจ่ี ะเปลย่ี นแปลง
การปกครองจากสมบูรณาญาสิทธริ าชยม์ าเป็นประชาธิปไตย ตอ้ งการจะเปล่ียนระบอบ
การปกครองเปน็ สาธารณรัฐ คอื มปี ระธานาธิบดีเป็นประมุข
ความคิดของพวกกอ่ กบฎแบ่งเปน็ 2 พวก
1. ตอ้ งการจะเปลย่ี นระบอบการปกครองเปน็ สาธารณรฐั คอื มปี ระธานาธบิ ดี
เปน็ ประมขุ
2. ตอ้ งการให้มกี ารปกครองแบบประชาธปิ ไตย
หัวหน้ากบฏเปน็ นายทหารผู้ใหญ่ คือ พันตรหี ลวงพฆิ เนศวรป์ ระสทิ ธริ กั ษ์ ในขณะ
น้ันพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงซ้อมรบกับกองทหารเสือป่าท่ี จังหวัด
นครปฐม กบฏคณะนเี้ ป็นนายทหารชั้นผู้น้อยประมาณ 100 คน โดยจะทาการใน วันท่ี
1 เมษายน พ.ศ. 2455 ซ่ึงเป็นวันถือน้าพิพัฒน์สัตยา แต่ความลับรั่วไหลถึงสมเด็จพระ
เจ้านอ้ งยาเธอ เจ้าฟา้ กรมหลวงพษิ ณโุ ลกประชานารถ จึงได้ดาเนนิ การจับกมุ ไวไ้ ด้ และ
ไดต้ งั้ ศาลพิเศษพจิ ารณาคดนี ี้ ผลของการตัดสินคดี คือ สัง่ ลงโทษประหารชวี ติ นายทหาร
ทเ่ี ปน็ หัวหน้าก่อการกบฏ 3 นาย จาคกุ ตลอดชีวิต 20 นาย จาคุก 20 ปี 32 นาย ส่วนที่
เหลือให้จาคกุ 15 ปี และ 12 ปี ลดหลั่นกันไปเมื่อตดั สินพจิ ารณาคดีเสรจ็ สิ้นลง จึงได้นา
ความตัดสิน ข้ึนกราบบังคมทูลขอพระราชทานความเห็นชอบตามท่ีเสนอทูลเกล้าฯ
ถวายไปในตอนแรก เม่ือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับทราบ จึงมี
พระราชปรารภ ความว่า“เราไม่ได้มีจิตพยาบาทคาดร้ายแก่พวกนี้ เห็นควรลดหย่อน
ผ่อนโทษโดยฐานกรุณา ซ่ึงเป็นอานาจของพระเจ้าแผ่นดินที่จะยกให้ได้”ด้วยพระราช
ดารัสดังน้ี ผกู้ อ่ การกบฏจึงไดร้ บั การผ่อนโทษ ทาใหไ้ มม่ ผี ใู้ ดตอ้ งโทษประหารชวี ติ และใน
ท่ีสุดทกุ คนกพ็ ้นโทษจาคกุ ออกมา
รว่ มสงครามโลกคร้ังท่ี 1
14 กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ สยามนาธงชยั เฉลมิ พลเขา้ รว่ มสวนสนามประกาศชยั
ชนะผา่ นประตชู ยั ณ กรงุ ปารสี ฝรงั่ เศสประเทศไทยเขา้ รว่ มสงครามโลกครง้ั ท่ี 1
กองทหารบกรถยนตรใ์ นพธิ รี บั ธงชยั เฉลมิ พลทสี่ ถานรี ถไฟเมอื งนอยสตัดต์
ประเทศเยอรมนี วนั ที่ 17 มนี าคม 2461
สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นการรบกันระหว่างสองฝ่าย ฝ่ายหน่ึงมีเยอรมัน
ออสเตรีย ฮังการี และอีกฝ่ายหน่ึงมี อเมริกา เบลเย่ียม อังกฤษ ฝร่ังเศส อิตาลี ฝ่ายน้ี
เรียกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตรท่ี 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตัดสิน
พระทัยส่งทหารไปช่วยฝ่ายสัมพันธมติ รในตอนแรกไทยรักษาความเปน็ กลางอยา่ งมนั่ คง
แต่เน่ืองจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยหู่ วั ทรงใหค้ วามสนใจและติดตามข่าว
สงครามอย่างใกล้ชิดพระองค์ทรงเล็งเห็นการณ์ไกลในการให้ประเทศไทยประกาศเข้า
รว่ มกับฝ่ายพันธมติ ร เพราะถา้ ฝ่ายพนั ธมติ รได้รบั ชยั ชนะจะมีผลดีในการท่ปี ระเทศไทย
จะได้เรียกรอ้ งสิทธติ ่างๆ เช่น ขอแก้ไขสทิ ธิสัญญาท่ไี มเ่ ป็นธรรมทท่ี าไวก้ บั นานาประเทศ
จึงได้ประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี ในวันท่ี 22 กรกฎาคม พ.ศ.
2460 โดยประกาศกระแสพระราชโองการประณามว่า “เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี
เป็นฝา่ ยละเมิดเมตตาธรรมของมวลมนษุ ย์ มไิ ด้รับความนับถอื ตอ่ ประเทศเลก็ ไม่ปฏิบตั ิ
ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นผู้ก่อกวนความสุขของโลก” ซ่ึงเหตุการณ์ก็เป็น
ดังท่พี ระองค์คาดไว้ คือ ฝ่ายพนั ธมิตรไดร้ ับชยั ชนะ
พระพทุ ธรปู ประจารชั กาล และ พระพทุ ธรปู ประจาพระชนมวารรชั กาลท่ี 6
พระพทุ ธรปู ประจารัชกาลท่ี 6 พระพทุ ธรปู ประจาพระชนมวารรชั กาลท่ี6
พระพทุ ธรปู ประจารชั กาลท่ี
พระพุทธรูปประจารัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างราว
พ.ศ. 2468-2475 หน้าตักกว้าง 7.5 เซนติเมตร สูงเฉพาะองค์พระ 12 เซ็นติเมตร สูง
รวมฉัตร 39 เซนติเมตร สรา้ งด้วยทองคา ภายใตฉ้ ัตรปรุทอง 3 ช้ัน
พระพทุ ธรปู ประจาพระชนมวาร
พระพุทธรูปประจาพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น
พระพุทธรูปปางนาคปรก 7 เศียร ประทับใต้ต้นจิก สร้างเม่ือปี พ.ศ. 2453 สร้างด้วย
ทองคาลงยาประดับอัญมณี ความสูงถึงยอดต้นจิก 20.70 เซนติเมตร ประดิษฐาน ณ
หอพระ วมิ านองค์ขวา พระทน่ี ่งั จักรีมหาปราสาท
พระราชลญั จกรประจารชั สมยั
พระราชลญั จกรประจาพระองคพ์ ระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
พระราชลัญจกรประจาพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แก่
พระวชิระ ซึ่งมาจากพระบรมนามาภิไธยก่อนทรงราชย์ น่ันคือ "มหาวชิราวุธ" ซึ่ง
หมายถงึ สายฟ้าอนั เปน็ ศาตราวธุ ของพระอินทร์ พระราชลัญจกรพระวชิระนนั้ เป็นตรา
งา รปู รี กวา้ ง 5.5 ซ.ม. ยาว 6.8 ซ.ม. มีรูปวชิราวุธเปลง่ รศั มีท่ียอด ประดษิ ฐานบนพาน
แวน่ ฟ้า 2 ชั้น มีฉตั รบริวารตัง้ ขนาบทง้ั 2 ข้าง
เครอ่ื งราชอสิ รยิ ภรณป์ ระจารชั สมยั
เครอ่ื งขตั ตยิ ราชอสิ รยิ าภรณอ์ นั มเี กยี รตคิ ณุ รงุ่ เรอื งยง่ิ มหาจกั รบี รมราชวงศ์
เครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณอ์ นั เปน็ โบราณมงคลนพรตั นราชวราภรณ์
เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณจ์ ลุ จอมเกลา้ ชั้นท่ี 1 ปฐมจลุ จอมเกลา้ วเิ ศษ
เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณร์ ตั นวราภรณ์
เครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณอ์ นั มศี กั ดริ์ ามาธบิ ดี ชนั้ ท่ี 1 (เสนางคะบด)ี
เครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณอ์ นั เป็นทเี่ ชดิ ชยู ง่ิ ชา้ งเผอื ก ชัน้ มหาปรมาภรณ์
ชา้ งเผอื ก
เครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณอ์ นั มเี กยี รตยิ ศยง่ิ มงกฎุ ไทย ชนั้ มหาวชริ
มงกฎุ (ม.ว.ม.)
เหรยี ญดษุ ฎมี าลา เขม็ ราชการแผน่ ดนิ (ร.ด.ม.(ผ))
เหรยี ญดษุ ฎมี าลา เข็มศลิ ปวทิ ยา (ร.ด.ม.(ศ))
เหรยี ญจกั รมาลา (ร.จ.ม.)
เหรยี ญรตั นาภรณ์ รชั กาลท่ี 4 ชนั้ ที่ 1
เหรยี ญรตั นาภรณ์ รชั กาลท่ี 5 ชน้ั ที่ 1
เหรยี ญรตั นาภรณ์ รชั กาลท่ี 6 ชั้นที่ 1
เหรยี ญราชรจุ ริ ชั กาลท่ี 6
พระราชกรณยี กจิ ในดา้ นตา่ ง ๆ
ดา้ นการตา่ งประเทศ
ประเทศไทยเขา้ รว่ มสงครามโลกครง้ั ที่ 1
ทหารอาสาของไทย รว่ มเดนิ สวนสนามสวนสนามฉลองชยั ชนะ
ในสงครามโลกครงั้ ที่ 1 ทปี่ ระตชู ยั ณ นครปารสี
สงครามโลกคร้ังท่ีหนึ่งเกิดขึ้นในรัชสมัยรัชกาลท่ี 6 เม่ือ พ.ศ. 2457 สยามตั้งตัว
เป็นกลาง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราชโองการ
ประกาศสงครามกับประเทศฝ่ายเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งท่ี 1 เมื่อวันที่ 22
กรกฎาคม พ.ศ. 2460 โดยประเทศไทยได้เข้าร่วมกับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร ซ่ึง
ประกอบด้วยประเทศอังกฤษ ฝร่ังเศส และรัสเซียเป็นผู้นา พร้อมท้ังได้ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้ส่งทหารไทยอาสาสมัครไปช่วยรบ 1,284 คน ท้ังน้ีรวมท้ังนายและพล
ทหาร สมทบกับนักเรียนไทยในนานาประเทศอีกประมาณ 400 คน รวมทหาร
อาสาสมคั รทง้ั หมดประมาณ 1,600 คน
ทหารอาสาออกเดนิ ทางเมอื่ พ.ศ. 2461 ถงึ ประเทศฝร่ังเศสอยู่ใต้บัญชาการของ
นายพล เปแตง ซงึ่ ขณะนั้นดารงตาแหน่งแมท่ พั ใหญฝ่ า่ ยสัมพนั ธมิตร ไดไ้ ปปฏบิ ตั กิ ารใน
สมรภมู ปิ ระเทศฝรัง่ เศสและเบลเยีย่ ม
สาเหตุทีพ่ ระองคส์ ง่ ทหารไปช่วยฝ่ายสัมพันธมิตร
1. เยอรมัน ทาลายความเป็นกลางของเบลเย่ียม ซ่ึงเท่ากับละเมิดกฎหมาย
ระหว่างประเทศ
2. เยอรมนั ดอ้ ยกวา่ พันธมติ รทุกอยา่ ง
3. เพื่อจะไดเ้ ผยแพรเ่ กียรติคณุ ของชาติไทย ใหน้ านาประเทศรจู้ กั ชาติไทย
4. เพ่ือขจัดปัญหาสนธิสัญญาต่างๆ ที่นานาชาติพยายามผูกมัดไทย และในวันที่
22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 จงึ ส่งทหารเข้าสสู่ งคราม
ประโยชน์ของไทยทีไ่ ดร้ ับจากผลของสงคราม
1. ทาใหท้ ั่วโลกรู้จักประเทศไทยมากขึน้ และพรอ้ มกันน้นั ชาตไิ ทยกไ็ ด้รับเกียรติ
ยกยอ่ งใหเ้ ท่าเทียมกบั อารยประเทศ
2. ความไมเ่ สมอภาคกับนานาประเทศ ที่เคยมีอยู่กับไทยก็ค่อยๆลดน้อยลง โดย
ความช่วยเหลือของ ดร. ฟรานซิสบีแซร์ บุตรเขยของประธานาธิบดีวิลสัน ต่อมาโปรด
เกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิใ์ ห้เปน็ พระยากัลยาณไมตรี
3. ไทยได้ยกเลิกสัญญาเก่าๆ ที่เคยทาไว้กับเยอรมัน ออสเตรีย ฮังการี
เช่นเดียวกับสิทธสิ ภาพนอกอาณาเขตก็เป็นอนั ยกเลิกไปต้ังแต่วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.
2461
4. ไทยต้งั พกิ ัดอตั ราภาษีสินคา้ ขาเขา้ ได้โดยเสรีนอกจากบางอย่าง ซึ่งได้ทาไว้กับ
องั กฤษ อิตาลี เปน็ สนธสิ ญั ญาพิเศษ
5. เม่ือหมดอายุสัญญาแล้ว ไทยก็ได้ความเสมอภาคเท่าเทียมกับนานาประเทศ
โดยสมบรู ณ์
6. ประเทศไทยไดเ้ ขา้ เป็นสมาชกิ สนั นบิ าตชาติ
ดา้ นการคมนาคม
สะพานพระราม 6
ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหส้ รา้ งสะพานพระราม 6 ขา้ มแม่น้าเจา้ พระยาเชอื่ ม
ทางรถไฟทั้งปวงในพระราชอาณาจักรโดยโยงเข้ามาสู่ศูนย์กลางทีส่ ถานหี ัวลาโพง
ในปี พ.ศ.2460 ทรงต้ังกรมรถไฟหลวงทรงปรับปรุงและขยายงานกิจการรถไฟ
ให้รวมกรมรถไฟซ่ึงเคยแยกเป็น 2 กรมเข้าเป็นกรมเดียวกัน เรียกว่า กรมรถไฟหลวง
เรม่ิ เปดิ กจิ การเดนิ รถไฟสายกรงุ เทพฯ ถงึ เชียงใหม่ ทรงเปดิ เดนิ รถด่วนระหว่างประเทศ
สายใต้ตดิ ตอ่ กบั รถไฟมลายู (มาเลเซยี )
ทรงจัดตั้งกรมอากาศยาน ได้เร่ิมการขนส่งไปรษณียภัณฑ์ทางอากาศระหว่าง
กรุงเทพฯ ไปยังนครราชสีมาเป็นครั้งแรกเมือ่ พ.ศ. 2463
ดา้ นการศกึ ษา
โรงเรยี นวชริ าวธุ วทิ ยาลยั
ในดา้ นการศึกษาพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยู่หัว ทรงรเิ ร่ิมสร้างโรงเรยี น
ข้ึนแทนวัดประจารัชกาล ได้แก่ โรงเรียนมหาดเล็กหลวง ซ่ึงในปัจจุบันคือโรงเรียน
วชิราวธุ วทิ ยาลยั ทงั้ ยังทรงสนับสนนุ กิจการของโรงเรยี นราชวทิ ยาลยั ซง่ึ พระบาทสมเดจ็
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาข้ึนในปี พ.ศ. 2440 (ปัจจุบันคือ
โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลยั ในพระบรมราชปู ถัมภ์) ทรงจัดการศึกษาระดับอุดมศกึ ษา
โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกฐานะ โรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นเป็น
จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2459 นับเปน็ มหาวทิ ยาลยั แหง่ แรกของไทย
โรงเรยี นเพาะชา่ ง
โปรดเกลา้ ใหจ้ ดั ตง้ั สถาบนั การศกึ ษาหนง่ึ และพระราชทานนามวา่ โรงเรยี นเพาะ
ชา่ ง ในวนั ท่ี 7 มกราคม 2456 พระองคเ์ สดจ็ พระราชดาเนนิ ทรงเปดิ โรงเรยี นเพาะชา่ ง
ดว้ ยพระองคเ์ องดว้ ยจดุ เรมิ่ ตน้ นท้ี าให้
ประเทศไทยยังมีช่างฝีมือทางศิลปกรรมไทยไว้สืบทอดและสร้างสรรค์ส่ิงดีงาม
จนถึงปัจจบุ ัน
พ.ศ. 2461 โปรดใหอ้ อกพระราชบญั ญตั ิ โรงเรยี นราษฎร์
พ.ศ. 2464 โปรดใหอ้ อกพระราชบญั ญตั ปิ ระถมศกึ ษา
โรงเรยี นปรนิ สร์ อยแยลสว์ ทิ ยาลยั
การเปดิ โรงเรียนในเมืองเหนอื พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอื่ ครงั้ ยงั
ทรงดารงพระอสิ ริยยศสยามมกฎุ ราชกมุ ารไดเ้ สดจ็ พระราชทานนามโรงเรียนปรนิ สร์ อย
แยลส์วิทยาลัย เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2449 ซ่ึงไม่เป็นเพียงแต่การนารูปแบบ
การศึกษาตะวันตกมายังหัวเมืองเหนือเท่านั้น แต่ยังแฝงนัยการเมืองระหว่างประเทศ
เอาไว้ด้วย เห็นได้จากการเสด็จประพาสมณฑลพายัพท้ังสองคร้ังระหว่าง พ.ศ. 2448-
2450 พระองค์ได้ทรงสนพระทัยในกจิ การโรงเรียนทจี่ ัดต้ังข้นึ มาใหม่ท้งั สิน้ โดยพระองค์
ทรงบันทึกไว้ในพระราชนิพนธ์ "เที่ยวเมืองพระร่วง" และ "ลิลิตพายัพ" ทั้งนี้ เป้าหมาย
ของการจดั การศกึ ษายงั แฝงประโยชนท์ างการเมอื งทจ่ี ะใหช้ าวทอ้ งถน่ิ กลมเกลยี วกบั ไทย
อกี ด้วย
ดา้ นศลิ ปวัฒนธรรมไทย
ตาหนกั ในพระราชวงั สนามจนั ทร์
ทรงต้ังกรมมหรสพ เพื่อฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทย และยังได้ทรงสร้างโรงละคร
หลวงไวใ้ นพระราชวังทกุ แหง่ เพอ่ื ส่งเสรมิ การแสดงละครในหม่ขู ้าราชบริพารนอกจากน้ี
ยังทรงสนพระราชหฤทัยด้านจิตรกรรมและทรงนาสถาปัตยกรรมไทยผสมผสานแบบ
ตะวันตกนามาซ่งึ ความโดดเดน่ งดงาม อาทิ ตาหนักในพระราชวังสนามจันทร์ ทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบอาคารสมัยใหม่เป็นแบบทรงไทย เช่น ตึกอักษรศาสตร์
ซ่ึงเป็นอาคารเรียนหลังแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาคารโรงเรียนวชิราวุธ
วิทยาลัย
ดา้ นการปกครอง
ทรงปลูกฝังประชาธิปไตยให้กับประชาชน ทรงสร้างดุสิตธานีเป็นที่ทดลองการ
ปกครองแผนใหม่จาลองการปกครองตามวิถที างประชาธปิ ไตย และทรงพยายามปลกุ ฝงั
ให้ประชาชนรคู้ ณุ ค่าของเสรภี าพและการใช้เสรภี าพอย่างมขี อบเขต
พ.ศ. 2468 พระราชบญั ญตั กิ ารเกณฑท์ หารเขา้ ประจาการ
พ.ศ. 2460 ใหเ้ ลกิ โรงหวย ก.ข. โรงบ่อนการพนันต่างๆ ธงชาตใิ หเ้ ลิกเคร่อื งหมาย
เดิม เปลี่ยนเป็นธงไตรรงค์โปรดให้หนังสือพิมพ์เอกชนออกแสดงความคิดเห็นได้ การ
เปล่ียนแปลงการใช้ วัน เดือน ปี เช่น วันขึ้นปีใหม่ ให้นับเอา 1 เมษายน พ.ศ. 2432
เป็นวนั ข้ึนปใี หม่และให้เลิกใชจ้ ลุ ศักราชรัตนโกสินทรศก ใหใ้ ชพ้ ทุ ธศกั ราชแทนทรงจดั ตง้ั
กองเสอื ป่าข้ึนเมื่อ พ.ศ. 2453
ดา้ นการศาสนา
พระองค์ทรงได้ทานุบารุงทางวัด แล้วยังให้พระภิกษุได้รับการศึกษาอย่าง
กวา้ งขวาง พระองคท์ รงสงั่ สอนข้าราชการในเรือ่ งศาสนาดว้ ยพระองคเ์ อง และพระราช
นิพนธ์หนังสือเรอ่ื งพระพุทธเจ้าตรสั รอู้ ะไร
ดา้ นกจิ การเสอื ปา่ และลกู เสอื
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี 6 ประทบั ฉายพระบรมฉายา
ลกั ษณพ์ รอ้ มดว้ ยเหลา่ เสอื ปา่ ทส่ี โมสรเสอื ปา่ พระราชวงั ดสุ ติ
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎเกลา้ เจา้ อยู่หัวเมอ่ื คร้งั ทยี่ ังดารงตาแหน่งมกุฎราชกุมาร
ทรงมีพระราชประสงค์จะจัดต้ัง “กองเสือป่า” หลังจากเสด็จกลับจากมณฑลพายัพใน
พ.ศ. 2448 หากทรงระงับไวแ้ ละทรงรบั ส่ังใหม้ หาดเล็กและข้าราชบริพารในพระองคฝ์ กก
ทหารและเล่นซ้อมรบ เช่น การเล่นโปลิศจับขโมย หรือการเล่นปราบเจ๊กก่อการอั้งย่ี
หลังจากกระยาหารค่าในพระราชอุทยานของพระราชวังสราญรมย์ ซึ่งผู้ท่ีไม่ทราบ
วตั ถุประสงคท์ แ่ี ทจ้ รงิ กม็ องว่าเปน็ การละเลน่ เพอ่ื สรา้ งพระราชสาราญใหแ้ กพ่ ระองคเ์ ปน็
สาคัญ
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงชดุ กองเสอื ปา่
เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์สมบตั ใิ น พ.ศ. 2453 พระราชดารทิ จ่ี ะจดั ตง้ั กองเสอื ปา่ ได้
เกดิ ขน้ึ พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ทรงมีพระบรมราชาธบิ ายเรอ่ื งเสอื ปา่ วา่
มลี กั ษณะคล้ายทหารรกั ษาดินแดนของอังกฤษ (Territory Army) มหี นา้ ทส่ี นบั สนนุ การ
ทางานของทหารโดยเฉพาะในยามศึกสงคราม ซ่ึงจาเป็นต้องมีอาสาสมัครคอยป้องกัน
ประเทศในขณะทีท่ หารออกไปรบ แตต่ ่างกันทร่ี ูปแบบการปกครองดว้ ยกองทหารรักษา
ดนิ แดนขององั กฤษขน้ึ ตรงกับกระทรวงกลาโหม แต่กองเสอื ปา่ ขึน้ ตรงตอ่ พระองค์เดือน
พฤษภาคม พ.ศ. 2454 กองเสือป่าได้ถือกาเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ พระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อย่หู ัวทรงเปน็ สมาชิกเสอื ป่าหมายเลข 1 และทรงดารงตาแหน่งนาย
กองใหญ่ และสมาชิกเมื่อเริ่มก่อต้ังอีก 16 คน ซึ่งท้ังหมดเป็นข้าราชบริพารท่ีใกล้ชิด
พระองค์ กองเสือป่ายังได้เปิดรับสมัครสมาชิกเพ่ิมเติม จนมีสมาชิกเสือป่าท้ังสิ้น 141
คน ต่อมาในวนั ท่ี 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 มพี ระราชพิธีถือน้าพิพฒั น์สัตยาของสมาชกิ
เสือปา่ ขึ้นเป็นครงั้ แรก ทีว่ ัดพระศรีรตั นศาสดาราม ในลักษณะท่ีคลา้ ยคลงึ กับการถือนา้
พิพฒั นส์ ตั ยาของทหาร ที่มีการอ่านโองการแช่งน้า และให้สมาชิกกล่าวคาปฏิญาณ ว่า
จะจงรักภกั ดีตอ่ พระมหากษัตริย์ และจะเชื่อฟังคาสง่ั ของผู้บังคับบญั ชาอย่างเครง่ ครัด
วนั ที่ 17 มิถนุ ายน จัดพระราชพิธีถอื นา้ พพิ ฒั น์สตั ยาคร้ังท่ี 2 (กระทาเหมอื นในครั้งแรก)
โดยมีสมาชกิ เสือป่าเพิ่มข้ึนมาเป็น 2 กองร้อย ซึ่งก่อนที่จะเร่ิมพิธี พระบาทสมเด็จพระ
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เสือป่าท่ีมียศนายหมู่ข้ึนไปร่วมถ่ายรูปกับพระองค์
พร้อมกันน้ียังเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการถ่ายรูปหมู่ของบรรดาสมาชิกเสือป่าบริเวณ
สนามหญ้าขา้ งหอวชิรญาณ
พระราชพิธีถือน้าพิพัฒน์สัตยาทั้ง 2 คร้ัง สะท้อนให้เห็นว่าทรงให้ความสาคัญแก่
กองเสือป่าเป็นอยา่ งมากเมอ่ื “เสอื ปา่ ” เปน็ พระราชนยิ มของพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ
เกล้าเจ้าอยู่หัว ข้าราชการกระทรวงต่าง ๆ จึงสมัครเข้าเป็นสมาชิกเป็นจานวนมาก
ขา้ ราชการพลเรอื นท่ีไม่เขา้ ร่วมกจ็ ะถกู มองวา่ แปลกแยกออกจากผอู้ น่ื นอกจากนยี้ งั มอี กี
ปัจจัยหน่ึงท่ีน่าจะทาให้มีผู้สมัครเข้าเป็นเสือป่าเป็นจานวนมาก คือได้รับการยกเว้นไม่
ตอ้ งเกณฑท์ หาร นอกจากฝกกทหารแล้ว พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมี
พระบรมราชโองการให้เสือป่าเข้ารับการอบรมโดยทรงเป็นผู้สอนด้วยพระองค์เอง ณ
สโมสรเสือป่าทุกบ่ายวันเสาร์ และทรงกาหนดให้เสือป่าต้องทาการซ้อมรบรวมถึงเดิน
ทางไกลเปน็ ประจาทุกปี
ดา้ นกจิ การลกู เสอื
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือพระชนมายุได้ 13 พรรษา ได้เสด็จ
ไปทรงศกึ ษา ณ ประเทศอังกฤษ ทวีปยุโรป ระหว่างทท่ี รงศกึ ษาอยนู่ น้ั ไดท้ รงทราบเรอื่ ง
การสู้รบเพื่อรักษาเมืองมาฟิคิง (Mafeking) ของ ลอร์ดเบเดน โพเอลล์ (Lord Baden
Powell) ซงึ่ ไดต้ งั้ กองทหารเด็กเป็นหน่วยสอดแนมชว่ ยรบในการรบกับพวกบวั ร์ (Boar)
จนประสบผลสาเร็จ และไดต้ ้ังกองลกู เสือขน้ึ เปน็ ครัง้ แรกของโลก ทปี่ ระเทศองั กฤษ เมอื่
พ.ศ. 2450 เมอื่ พระองคเ์ สดจ็ นวิ ตั สิ ู่ประเทศไทย กไ็ ดท้ รงจดั ต้ังกองเสอื ป่า (Wild Tiger
Corps) ข้ึน เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2454 มจี ดุ ม่งุ หมายเพอ่ื ฝกก หัดใหข้ า้ ราชการและพล
เรือนได้เรียนรู้วิชาทหาร เพ่ือเป็นคุณประโยชน์ต่อบ้านเมือง รู้จักระเบียบวินัย มีความ
จงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ต่อจากน้ันอีก 2 เดือน ก็ได้
พระราชทานกาเนิดลูกเสือไทยข้ึนเม่ือวันที่ 1 กรกฎาคม 2454 ด้วยทรงมีพระราช
ปรารภวา่ เมื่อฝกกผใู้ หญเ่ ป็นเสือป่า เพ่ือเตรยี มพรอ้ มในการชว่ ยเหลือชาติบา้ นเมืองแล้ว
เหน็ ควรทีจ่ ะมกี ารฝกก เด็กชายปฐมวยั ใหม้ คี วามรูท้ างเสอื ปา่ ดว้ ย เมือ่ เติบโตข้ึนจะไดร้ ูจ้ ัก
หน้าท่ีและประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้าน เมือง จากน้ัน ทรงต้ังกองลูกเสือ
กองแรกขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (โรงเรียนวชิราวุธ ในปัจจุบัน) และจัดตั้งกอง
ลูกเสือตามโรงเรียน ต่าง ๆ ให้กาหนดข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือขึ้น รวมทั้ง
พระราชทาน คาขวัญใหล้ กู เสือว่า “เสยี ชีพ อย่าเสียสตั ย์ ”
นายชพั ท์ บุนนาค
ผู้ท่ีได้รับยกย่องว่าเป็นลูกเสือไทยคนแรก คือ นายชัพท์ บุนนาค ซึ่งต่อมา ได้รับ
พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “นายลิขิตสารสนอง” ปี พ.ศ. 2463 ได้จัดส่งผู้แทนคณะ
ลูกเสือไทย จานวน 4 คน ไปร่วมงานชุมนุมลูกเสือโลก คร้ังที่ 1 (1st World Scout
Jamboree) ซึ่งจัดเป็นคร้ังแรกของโลก ณ อาคารโอลิมเปีย กรุงลอนดอน ประเทศ
อังกฤษ ปี พ.ศ. 2465 คณะลูกเสือไทย ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมัชชาลูกเสือโลก
ซ่ึงขณะนน้ั มสี มาชกิ รวมท้ังสิ้น 31 ประเทศ ประเทศท้งั 31 ประเทศนี้ นบั เปน็ สมาชิกรุ่น
แรก หรือสมาชิกผู้ก่อการจัดต้ัง (Foundation Members) สมัชชาลูกเสือโลกขึ้นมา ปี
พ.ศ. 2467 ไดจ้ ัดสง่ ผแู้ ทนคณะลกู เสอื ไทย 10 คน ไปรว่ มงานชมุ นุมลกู เสอื โลก ครง้ั ท่ี 2
ณ ประเทศเดนมารก์
ลกู เสอื โลก เกดิ ครง้ั แรก ทอี่ งั กฤษ เปน็ แนวคดิ เตรยี มคนไว้ เปน็ ทหาร
ลอรด์ บาเดน วางแนวคดิ ทกุ กิจการ โลกสบื สาน แพรห่ ลายไป ทวั่ ธาตรี
วนั ลกู เสอื แหง่ ชาติ 1 กรกฎา องคร์ าชา ทรงกอ่ ตง้ั เสรมิ ศกั ดศิ์ รี
รชั กาลที่ 6 พระประสงค์ ไทยสามคั คี สขุ เปรมปรดี ิ์ มนี า้ ใจ รแู้ บง่ ปนั
ลกู เสอื ไทย คนแรกชอื่ “ชพั น์ บนุ นาค” เรอ่ื งดมี าก การลกู เสอื ไทยสรา้ งสรรค์
พระประมขุ สนบั สนนุ สว่ นสาคญั โลกลอื ลนั่ ลกู เสอื ไทย กา้ วหนา้ ไกล
คาปฏญิ าณ เสยี ชพี อยา่ เสยี สตั ย์ มงุ่ มนั่ ชดั คาสญั ญา ไมห่ วน่ั ไหว
รกั ษค์ วามดี ดจุ ชวี ติ สดุ หวั ใจ ปญั หาใด แกไ้ ขได้ ใหร้ ว่ มมอื
รว่ มรกั ษ์ชาติ ศาสนก์ ษตั รยิ ์ เสยี สละ มธี รรมะ รบั ผดิ ชอบ นา่ เชอ่ื ถอื
กตญั ญู มศี ลี ธรรม คนเลอ่ื งลอื ผลลพั ธค์ อื ชาตริ งุ่ เรอื ง นนั้ เรอื่ งจรงิ
มศี รทั ธา เปน็ พนี่ อ้ ง ของลกู เสอื รเู้ ออ้ื เฟอื้ ชว่ ยเหลอื กนั หลากหลายสงิ่
ทาประโยชน์ เพอื่ สงั คม นน้ั ดยี งิ่ ไมท่ อดทงิ้ อดุ มการณ์ ลกู เสอื ไทย
....................................................................
ประสาร ธาราพรรค์ รอ้ ยกรอง
ดา้ นจติ รกรรม
ภาพฝพี ระหตั ถร์ ัชกาลที่ 6
ทรงส่งเสริมการวาดภาพฝาผนัง เช่น ทรงให้ทดลองเขียนภาพเทพชุมนุมในห้อง
พระเจ้า ณ พระท่ีน่ังพิมานในพระราชวังสนามจันทน์ ก่อนท่ีจะนาไปวาดท่ีฝาผนังพระ
วิหารทิศ วัดพระปฐมเจดีย์ ท้ังยังทรงพระกรุณาให้หาผู้เช่ียวชาญต่างประเทศด้าน
จิตรกรรมและประติมากรรม คอื PROF.C.FEROCI หรอื ทา่ นศาสตราจารย์ ศลิ ป์ พรี ะศรี
เข้าเฝ้า เพือ่ สง่ เสรมิ ใหศ้ ิลปนิ ไทยได้เรยี นร้ศู ลิ ปะสากลขนึ้ อนั สง่ ผลตอ่ การพฒั นาแนวคดิ
สร้างสรรค์ทางด้านศิลปะไทยส่วนพระองค์สนพระทัยในการวาดภาพล้อ ทรงวาดภาพ
ล้อไว้หลายชุด แล้วส่งไปพิมพ์ในหนังสือดุสิตสมิต ภาพล้อเหล่านี้ถ้าเป็นภาพล้อผู้ใด ผู้
นน้ั ก็จะซ้อื ในราคาสูง เงินคา่ ภาพล้อจะพระราชทานไปใชใ้ นกจิ การกุศลท้ังสนิ้