การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่ 6 THE STUDY MATHEMATICS ACHIEVEMENT USING KWDL TECHNIQUE ON PERCENTAGE FOR PRATHOMSUKSA 6 STUDENTS ภานุ เคยสนิท รายงานการวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี2565
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่ 6 THE STUDY MATHEMATICS ACHIEVEMENT USING KWDL TECHNIQUE ON PERCENTAGE FOR PRATHOMSUKSA 6 STUDENTS ภานุ เคยสนิท รหัสนักศึกษา 61100140218 รายงานการวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี2565
ก ชื่องานวิจัย การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่ 6 ผู้วิจัย ภานุ เคยสนิท สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี. อาจารย์ที่ปรึกษา รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม 1.รองศาสตราจารย์ ดร.สุนิสา วงศ์อารีย์ 2.รองศาสตราจารย์ สุปรีชา วงศ์อารีย์ ปริญญา ครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ปีที่วิจัย 2565 บทคัดย่อ วิจัยฉบับนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL วิชา คณิตศาสตร์ ของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ โดยใช้เทคนิค KWDL ของนักเรียน ประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยเป็นแผนการวิจัยแบบ ศึกษากลุ่มเดียววัดหลังการทดลองครั้งเดียวโดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ วิจัยในครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 35 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนชุมชนโนนสูง ซึ่งมาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการ จัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ สำหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 10 แผน แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.84 และแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.87 สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ขอ้มูลได้แก่ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (̅ ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน () และการทดสอบทีแบบ กลุ่มตัวอย่างเดียว (t-test one sample) ซึ่งผลวิจัยสรุปได้ว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชา คณิตศาสตร์ก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.67 คิดเป็นร้อยละ 48.35 และหลังเรียนเท่ากัน 15.25 คิดเป็นร้อยละ 76.25 และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนร้อยละ 75 พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนไม่น้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ก่อน เรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.67 คิดเป็นร้อยละ 48.35 และหลังเรียนเท่ากัน 15.25 คิดเป็นร้อยละ 76.25 และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนร้อยละ 75 ผลปรากฏว่า คะแนน เฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
ข Thesis Title The study mathematics achievement using KWDL technique on percentage for Prathomsuksa 6 students Researcher Mr. Panu Keaysanit Thesis Advisor Associate Professor Dr.Somchai Vallakitkasemsakul Thesis Co-Advisor 1.Associate Professor Dr. Sunisa Wongaree 2. Associate Professor Supreecha Wongaree Degree Bachelor of Education Academic year 2022 Abstract The objectives of this research were 1) to study mathematics learning achievement by using the KWDL technique in mathematics of grade 6 students with efficiency according to the criteria 75/75 2) to compare math learning achievement on the subject of percentages. Use the KWDL technique of grade 6 students before and after school. which is a research plan A single study group was measured after one trial. The samples used in this study were: 35 Prathomsuksa 6 students in the first semester of the academic year 2022 at Non Sung Community School which comes from group sampling The research instruments were a learning management plan using KWDL technique, mathematics subject matter percentage for grade 6 students, 10 plans, a math problem-solving ability test with a confidence value of 0.84, and The mathematical achievement test had a confidence value of 0.87. The statistics used in the data analysis were the arithmetic mean (̅ ), the standard deviation (), and the t-test one sample. ), which the research results can be concluded that 1) The learning achievement in mathematics before school has an average score of 9.67 or 48.35 percent, and after school, 15.25, equivalent to 76.25 percent. For 75 percent, it was found that the average score after school was not less than 75% 2) The learning achievement in mathematics before school had an average score of 9.67 or 48.35 percent and the same after studying. 15.25, representing 76.25 percent,
ค and when comparing the average scores before and after school 75%, the results showed that the average scores after school were higher than before.
ง กิตติกรรมประกาศ วิจัยฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความอนุเคราะห์อย่างยิ่งจาก รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย วรกิจ เกษมสกุล อาจารย์ที่ปรึกษา การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่ให้ทั้งความรู้และยังเมตตากรุณาเสียสละ เวลาให้แนวคิดที่ถูกต้องในการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ทำให้วิจัยฉบับนี้ มีความถูกต้องยิ่ง ขึ้น ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง จึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ณโอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณ คุณแม่พรทิพย์ เคยสนิท คุณพ่อวิโรจน์ เคยสนิท และสมาชิกใน ครอบครัวทุกท่าน ขอบคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ นักศึกษาปริญญาตรี คณะครุศาสตร์สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ที่คอยให้การช่วยเหลือมาตลอดจนทำให้วิจัยฉบับนี้เสร็จสมบูรณ์ ขอขอบคุณ นางมัจฉา เรืองอุไร นางเนาวรัตน์ นิลผาย และ นางอุไร ถิตย์พงษ์ที่เป็น ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเครื่องมือ และให้คำแนะนําอันเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงแก้ไขการ วิจัยฉบับนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอขอบคุณท่านผู้อํานวยการโรงเรียนชุมชนโนนสูง คณะครูโรงเรียนชุมชนโนนสูง ที่อํานวย ความสะดวกให้ความร่วมมือ และช่วยเหลือ ขอขอบคุณ อาจารย์พรทิพา หล้าศักดิ์ และคุณครูวัชรี กล้าหาญ ที่ให้คำปรึกษาในเรื่องการ ทำวิจัยในชั้นเรียน การวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนคําชี้แนะเกี่ยวกับการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ภานุ เคยสนิท
จ สารบัญ หน้า บทคัดย่อ............................................................................................................................................ก กิตติกรรมประกาศ..............................................................................................................................ง สารบัญ...............................................................................................................................................จ สารบัญ (ต่อ).......................................................................................................................................ฉ สารบัญตาราง.....................................................................................................................................ช บทที่ 1 บทนำ.....................................................................................................................................1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย..................................................................1 วัตถุประสงค์การวิจัย............................................................................................................3 สมมุติฐานการวิจัย................................................................................................................3 ขอบเขตของการวิจัย............................................................................................................3 นิยามศัพท์เฉพาะ.................................................................................................................4 ประโยชน์ที่จะได้รับ..............................................................................................................5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.............................................................................................6 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL......6 1.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL...................................6 1.2 การจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิค KWDL................................................7 1.3 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ KWDL..............................................8 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนโดยใช้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน.............................9 2.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน..........................................................9 2.2 ลักษณะสำคัญของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน......................................................9 3. แผนการจัดการเรียนรู้....................................................................................................10 3.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้............................................................10 3.2 ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้...........................................................12 3.3 รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้..................................................................15 3.4 องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้.........................................................17 3.5 ขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้.........................................................20 3.6 ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี............................................................22
ฉ สารบัญ (ต่อ) หน้า 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง........................................................................................................ 24 4.1 งานวิจัยในประเทศ........................................................................................ 24 4.2 งานวิจัยต่างประเทศ...................................................................................... 26 5. กรอบแนวคิดการวิจัย.....................................................................................................26 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย...........................................................................................................27 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง.............................................................................................27 2. แบบแผนการวิจัย............................................................................................................27 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.................................................................................................28 4. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ..................................................................................28 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล.....................................................................................................31 6. การวิเคราะห์ข้อมูล.........................................................................................................32 7. สถิติที่ใช้ในการวิจัย.........................................................................................................32 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล..........................................................................................................37 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล...........................................................37 2. ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................38 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.....................................................................................................40 บทที่ 5 สรุปผลและอภิปรายผล........................................................................................................42 1. สรุปผลการวิจัย.............................................................................................................. 42 2. อภิปรายผลการวิจัย........................................................................................................42 3. ข้อเสนอแนะ...................................................................................................................44 บรรณานุกรม.................................................................................................................................... 46 ภาคผนวก..........................................................................................................................................49 ประวัติผู้วิจัย..................................................................................................................................... 85
ช สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 แผนผัง KWDL สำหรับการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์.....................................................8 2 แบบแผนการวิจัยจำแนกตามตัวแปรตาม.................................................................................8 3 คะแนนที่ได้ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน.............................................38 ของผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนรายวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง ร้อยละ โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นรายบุคคล 4 การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ..............................40 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 5 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ...........................41 โดยการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลัง (n = 35)
1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากคณิตศาสตร์ ช่วยให้ มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม นอกจากนี้ คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ อันเป็นรากฐานในการ พัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติให้มีคุณภาพและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติ (สถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2560) จุดเน้นของการเรียนการสอนจึงจำเป็นต้องพัฒนาให้นักเรียน ได้มีความเข้าใจในหลักการและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และมีทักษะพื้นฐานเพียงพอที่จะนำไปใช้แก้ปัญหาใน สถานการณ์ใหม่ๆ นักเรียนจะต้องได้ประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจจากการ ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง (ยุพิน พิพิธกุล, 2539: 3-8) จากการศึกษาสภาพปัญหาและคุณภาพด้านการศึกษาของประเทศไทยพบว่ามีปัญหาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ต่ำเห็นได้จากผลโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) ซึ่งสสวท. ได้ร่วมมือกับองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทาง เศรษฐกิจหรือ OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development) ปี ค.ศ. 2000 -2012 ใน 3 ด้านที่ประเมินพบว่าด้านวิทยาศาสตร์และด้านการอ่านมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ด้านคณิตศาสตร์ยังมีแนวโน้ม ลดลง การเพิ่มขึ้นของคะแนนมีเฉพาะช่วง PISA 2009 ถึง PISA 2012 เท่านั้นและที่สำคัญในบรรดา 3 ด้านที่ ประเมินผลการประเมินต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ OECD กำหนดทุกวิชาโดยค่าเฉลี่ย OECD ของคณิตศาสตร์ในปี 2018 คือ 489 คะแนนในขณะที่นักเรียนไทยมีคะแนนเฉลี่ย 419 คะแนนแสดงให้เห็นว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ของนักเรียนยังห่างไกลความเป็นเลิศอยู่มาก (สสวท., 2561: 3) ซึ่งจากผลการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2560- 2564 วิชาคณิตศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ โรงเรียนต้องเร่งพัฒนาให้มี ผลการเรียนอยู่ในระดับดีและผ่านเกณฑ์ แม้ว่าคณิตศาสตร์จะมีความสำคัญมากก็ตาม แต่การเรียนการสอนวิชา คณิตศาสตร์ยังไม่บรรลุผลสำเร็จตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551( ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช2560) นักเรียนส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาเป็นอย่างดี แต่นักเรียนจำนวนไม่
2 น้อยยังด้อยความสามารถในการแสดงหรืออ้างอิงเหตุผล (สสวท., 2555: 2) ซึ่งการให้เหตุผลและการพิสูจน์ทาง คณิตศาสตร์ได้ถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานหนึ่งในการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์และการให้เหตุผลและการ พิสูจน์ทางคณิตศาสตร์นั้นจะเป็นแนวทางในการพัฒนาให้แสดงออกถึงความเข้าใจอันลึกซึ้งเกี่ยวกับปรากฏการณ์ ได้อย่างกว้างขวาง (National Council of Teacher of Mathematics, 2000: 29) ดังนั้น การปรับปรุงผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนให้ดีขึ้นนั้น ต้องเริ่มจากการแก้ปัญหาทั้งด้านตัวนักเรียนเองและครูผู้สอน โดยสาเหตุหนึ่งนั้นผู้เรียน ส่วนใหญ่ไม่ได้ช่วยเหลือกัน นักเรียนที่เรียนอ่อนจะตามเพื่อนไม่ทัน นักเรียนที่เรียนอ่อนส่วนใหญ่ จะไม่สนใจการ เรียน ขาดความรับผิดชอบ ประกอบกับเทคนิคการสอนของครูยังไม่ส่งผลในทางที่จะช่วยให้ผู้เรียนประสบ ความสำเร็จในการเรียน เทคนิค KWDL เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 K (What we know) สิ่งที่โจทย์บอกให้ทราบมีอะไรบ้าง ขั้นที่ 2 W (What we want to know) โจทย์ต้องการทราบอะไร ขั้นที่ 3 D (What we do to find out) หาคำตอบตามที่โจทย์ต้องการ และขั้นที่ 4 L (What we learned) นักเรียนสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ (Shaw et al., 1997, p. 482 - 487) การดำเนินการตามลำดับขั้นตอน KWDL จะช่วย ชี้นการคิดแนวทางในการอ่านและหาคำตอบของคำถามสำคัญต่างๆ จากเรื่องนั้น จากนั้นสามารถนำมาใช้ในการ เรียนรู้ตามความต้องการ เร้าใจผู้เรียนเป็นอย่างดี ซึ่งการกำหนดขั้นตอนเทคนิค KWDL การมีคำถามนำเพื่อให้คิด หาข้อมูลของคำตอบตามที่ต้องการในแต่ละขั้นจะช่วยส่งเสริมการอ่านมากขึ้น การนำกระบวนการหรือเทคนิค KWDL ไปใช้ในการสอนคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะด้านโจทย์ปัญหาของนักเรียนทุกระดับชั้นจะมีปัญหามากที่สุด เนื่องจากการอ่านโจทย์ไม่เข้าใจชัดเจน วิเคราะห์โจทย์ไม่เป็น เป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่ง นอกจากการคิดคำนวณ ไม่เป็น (วัชรา เล่าเรียนดี, 2554, หน้า 130) จะเห็นว่า เทคนิค KWDL เป็นเทคนิคการแก้โจทย์ปัญหา ซึ่งการแก้ โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ จัดเป็นเป้าหมายสูงสุดของการสอนคณิตศาสตร์ ดังนั้น เทคนิค KWDL จึงเป็น ทางเลือกหนึ่งในการสอนคณิตศาสตร์ เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากความเป็นมาและปัญหาที่พบดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้ผู้วิจัยมีความประสงค์ที่จะใช้เทคนิค KWDL มา บูรณาการเข้าด้วยกันเพื่อนำมาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ประสบผลสำเร็จและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดย ต้องการศึกษาว่าการเรียนโดยใช้เทคนิค KWDL จะทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน หรือไม่อย่างไร เพื่อนำผลการวิจัยที่ได้มาเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ของโรงเรียนต่อไป
3 วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL วิชา คณิตศาสตร์ ของนักเรียน ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ โดยใช้เทคนิค KWDL ของ นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน สมมุติฐานการวิจัย 1. ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL วิชา คณิตศาสตร์ ของนักเรียน ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ โดยใช้เทคนิค KWDL ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2 ห้อง รวม 70 คน ประกอบด้วย ชั้น ป. 6/1, ป. 6/2 2. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 2.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย ตามหลักสูตรแกนกลาง พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง ร้อยละ ประกอบด้วย 3.1 เรื่อง บัญญัติไตรยางศ์ จำนวน 1 ชั่วโมง 3.2 เรื่อง ความหมายร้อยละ จำนวน 1 ชั่วโมง
4 3.3 เรื่อง การหาร้อยละ จำนวน 1 ชั่วโมง 3.4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาร้อยละ จำนวน 1 ชั่วโมง 3.5 เรื่อง โจทย์ปัญหาร้อยละเกี่ยวกับการซื้อขาย จำนวน 1 ชั่วโมง 3.6 เรื่อง การหาราคาขาย จำนวน 1 ชั่วโมง 3.7 เรื่อง การหาราคาทุน จำนวน 1 ชั่วโมง 3.8 เรื่อง การลดราคา จำนวน 1 ชั่วโมง 3.9 เรื่อง โจทย์ปัญหาร้อยละเกี่ยวกับการซื้อขาย(เปอร์เซ็นต์)จำนวน 1 ชั่วโมง 3.10 เรื่อง ดอกเบี้ย จำนวน 1 ชั่วโมง 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ทำการวิจัยในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 10 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง เดือน มิถุนายน 2565 – เดือน กันยายน 2565 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. เทคนิค KWDL หมายถึง เทคนิคการแก้โจทย์ปัญหา เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถแก้โจทย์ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 K : (What we know) สิ่งที่โจทย์บอกให้ทราบมีอะไรบ้าง ขั้นที่ 2 W : (What we want to know) โจทย์ต้องการทราบอะไร ขั้นที่ 3 D : (What we do to find out) หาคำตอบตามที่โจทย์ต้องการ ขั้นที่ 4 L : (What we learned) นักเรียนสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัยจิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้ จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน โดยผู้วิจัยสร้าง ขี้นตามแนวคิดของบลูม พฤติกรรมด้านนี้ประกอบด้วย 1) ความรู้ที่เกิดจากความจำ (knowledge) ซึ่งเป็นระดับล่างสุด : ความสามารถของสมองในการ ระลึกได้ จำความรู้ สารสนเทศ แสดงรายการได้ ระบุบอกชื่อได้ ซึ่งเป็นความจำระยะยาว 2) ความเข้าใจ (Comprehend) : ความสามารถของสมองในการแปลความหมายยกตัวอย่าง สรุป อ้างอิง การศึกษาของตัวเอง 3) การประยุกต์ (Application) : การนำไปใช้เป็นกระบวนการที่ได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการคิดใน สถานการณ์ใหม่ หรือสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน
5 4) การวิเคราะห์ ( Analysis) สามารถแก้ปัญหา ตรวจสอบได้ : การแยกความรู้ออกเป็นส่วน ๆ โดย สามารถให้เหตุผลว่าความรู้ส่วนย่อยที่แยกแต่ละส่วน มีความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของความรู้ทั้งหมดอย่างไหร่ 5)การประเมินค่า ( Evaluation) : ความสามารถของสติปัญญาเกี่ยวกับการตรวจสอบ ควบคุม ทดสอบ เพื่อค้นหาความไม่สอดคล้องหรือความขัดแย้งในกระบวนการ หรือผลผลิตการวิพากษ์ต่าง ๆ เพื่อการ ตัดสินใจ 6) สร้างสรรค์ ( Creating) : ความสามารถในสติปัญญ่ในการสร้างสิ่งใหม่ จากลิ่งที่เคยเรียนรู้ หรือ พบเห็นในบริบทต่าง ๆ ที่สามารถในการสร้างสรรค์งานวางแผนงาน และดำเนินตามกระบวนการจนได้รับ ความสำเร็จ ให้ครอบคลุมเนื้อหาเรื่อง ร้อยละ มีลักษณะแบบทดสอบเป็น ปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ร้อยละ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 10 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง รวม 10 ชั่วโมง ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 6 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นทบทวนความรู้เดิม เป็นการทบทวนความรู้เดิมก่อนที่จะเรียนเนื้อหาใหม่ เพื่อให้ ผู้เรียนมีพื้นฐานเพียงพอที่จะเรียนรู้เนื้อหาใหม่ ขั้นที่ 2 ขั้นสอน เป็นการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ศึกษาใบความรู้ จากแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์โดย ใช้เทคนิค KWDL เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง ร้อยละ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ประกอบกิจกรรมการ เรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนเรียนรู้และเข้าใจเพื่อให้ความคิดรวบยอดในเนื้อหาของบทเรียนที่นำมาจัดไว้ในแผนการจัดการ เรียนรู้ ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป เป็นการให้ผู้เรียนสังเกตการปฏิบัติกิจกรรมแล้วสรุปความรู้ และความคิดรวบ ยอด เชื่อมโยงนำไปสู่วิธีลัด เพื่อสะดวกในการนำไปใช้ครั้งต่อไป ขั้นที่ 4 ขั้นฝึกทักษะ เป็นการให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัด จากแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ในหนังสือเรียน จาก MAC โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ หลังจากผู้เรียนสรุปหลักการได้แล้ว ขั้นที่ 5 ขั้นการนำไปใช้ เป็นการให้ผู้เรียนฝึกแก้โจทย์ปัญหาที่ส่งเสริมการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประ นำวัน โดยใช้เทคนิค KWDL ขั้นที่ 6 ขั้นประเมินผล เป็นการตรวจสอบเพื่อวินิจฉัยว่า ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ กำหนดไว้หรือไม่ โดยตรวจสอบจากการทำแบบฝึกหัด หรือแบบทดสอบหลังเรียน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL วิชา คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วย เทคนิค KWDL ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนสูงกว่าหลังเรียน
6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัย เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่ 6 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL 1.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ KWDL ความหมายของเทคนิค KWDL ชอและคณะ (1997) อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมิสซีสซิปปี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวถึงความหมายไว้ว่า เทคนิค KWDL เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 K : (What we know) เรารู้อะไรบ้าง ขั้นที่ 2 W : (What we want to know) เราต้องการรู้ต้องการทราบอะไร ขั้นที่ 3 D : (What we do to find out) เราทำอะไร อย่างไร ขั้นที่ 4 L : (What we learned) เราเรียนรู้อะไรบ้าง วัชรา เล่าเรียนดี (2554) ได้กล่าวถึงความหมายไว้ว่า เทคนิค KWDL มาจากคำถามที่ว่า K : เรารู้อะไร (What we know) หรือโจทย์บอกอะไรเราบ้าง (สำหรับคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์) W : เราต้องการรู้ ต้องการทราบอะไร (What we want to know) หรือโจทย์ให้หาอะไร D : เราทำอะไร อย่างไร (What we do to find out) หรือเรามีวิธีการอย่างไรบ้างหรือมี วิธีดำเนินการเพื่อหาคำตอบอย่างไรบ้าง L : เราเรียนรู้อะไร (จากการดำเนินการขั้นตอนที่ 3) (What we learned) ซึ่งคือคำตอบ สาระความรู้และวิธีศึกษาคำตอบ ขั้นตอนการคิดคำนวณ เป็นต้น สรุปได้ว่า เทคนิค KWDL หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน มาจากคำถามที่ว่า ขั้นที่ 1 K : (What we know) เรารู้อะไรบ้าง ขั้นที่ 2 W : (What we want to know) เราต้องการรู้ ต้องการทราบอะไร ขั้นที่ 3 D : (What we do to find out) เราทำอะไร อย่างไร ขั้นที่ 4 L : (What we learned) เราเรียนรู้อะไรบ้าง
7 1.2 การจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิค KWDL ชอและคณะ (1997) อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมิสซีสซิปปี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้พัฒนา เทคนิค KWDL มาใช้สอนในวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งนำรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือกันแก้ปัญหา (Cooperative Problem Solving) มาผสมผสานในกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้ 1. แบ่งกลุ่มให้นักเรียนช่วยหาสิ่งที่รู้เกี่ยวกับโจทย์ สิ่งที่โจทย์กำหนดให้ และสิ่งที่โจทย์ต้องการ ทราบ โดยใช้บัตรกิจกรรม KWDL 2. ให้นักเรียนในกลุ่มร่วมกันอภิปราย เพื่อหาสิ่งที่ต้องการรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโจทย์ หา ความสัมพันธ์ของโจทย์ และกำหนดวิธีการในการแก้ปัญหา 3. ให้นักเรียนช่วยกันดำเนินการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โดยเขียนโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ในรูปประโยคสัญลักษณ์ หาคำตอบและตรวจสอบคำตอบ 4. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มสรุปเป็นความรู้ที่ได้จากการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โดย ให้ตัวแทนกลุ่มออกมานำเสนอแนวคิดในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์และสรุปส่งที ่ได้จากการเรียนรู้ วัชรา เล่าเรียนดี (2554) ได้กล่าวถึง เทคนิค KWDL เป็นเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนามาจาก เทคนิค KWL (Know - Want - Learned) ของ ดอนนา โอเกิล (1986) ซึ่งเดิม ดอนน่า โอเกิล ใช้เทคนิค KWL ใน การสอนการอ่าน โดย K (Know) รู้อะไรบ้างจากเรื่องที่อ่านหรือหัวเรื่องที่กำหนด W (Know to Know) หมายถึง ต้องการอะไรจากเรื่องที่อ่าน และ L (Learned) หมายถึง เกิดการเรียนรู้อะไรบ้าง ต่อมาในปี ค.ศ. 1987 คาร์และ โอเกิล (1987) ได้พัฒนาเทคนิค KWL เป็น KWL plus โดยมีพื้นฐานเดียวกันกับเทคนิค KWL ที่แตกต่างกัน คือ KWL plus จะมีการเพิ่มเติมการทำแผนผัง มโนทัศน์ และการสรุปของเรื่องราวต่าง ๆ ที่อ่าน เมื่อจบกระบวนการ KWL และในปี ค.ศ. 1997 ชอและคณะ (1997) อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมิสซีสซิปปี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ นำเทคนิค KWDL มาใช้สอนในวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งนำรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือกันแก้ปัญหา (Cooperative Problem Solving) มาผสมผสานในกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น การดำเนินการตามลำดับขั้นตอน KWDL จะช่วยชี้นำการคิดแนวทางในการอ่านและหาคำตอบของคำถามสำคัญ ต่าง ๆ จากเรื่องนั้น จากนั้นสามารถนำมาใช้ในการเรียนรู้ตามความต้องการเร้าใจผู้เรียนเป็นอย่างดี การกำหนด ขั้นตอนเทคนิค KWDL การมีคำถามนำเพื่อให้คิดหาข้อมูลของคำตอบตามที่ต้องการในแต่ละขั้นจะช่วยส่งเสริมการ อ่านมากขึ้น โดยเฉพาะการอ่านเชิงวิเคราะห์ การนำกระบวนการหรือเทคนิค KWDL ไปใช้ในการสอนคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะด้านโจทย์ปัญหาของนักเรียนทุกระดับชั้นจะมีปัญหามากที่สุดเนื่องจากการอ่านโจทย์ไม่เข้าใจชัดเจน วิเคราะห์โจทย์ไม่เป็น เป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่ง นอกจากการคิดคำนวณไม่เป็น ดังนั้น ทุกขั้นตอนของเทคนิค KWDL ครูจึงต้องคอยแนะนำชี้แนะแนวทางให้นักเรียนได้คิดพิจารณาและวิเคราะห์ให้หลากหลายมากที่สุด แต่การ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิค KWDL ร่วมกับการร่วมมือกันเรียนรู้ นักเรียนที่เก่งกว่าจะสามารถช่วย
8 นักเรียนที่อ่อนกว่าได้ การใช้เทคนิค KWDL ในการสอนคณิตศาสตร์ ครูต้องเตรียมแผนผัง KWDL โดยในตอนเริ่ม บทเรียนครูอธิบายและนักเรียนร่วมมือกันเรียนรู้ทำความเข้าใจซึ่งต้องมีแผนผัง KWDL ประกอบให้นักเรียน มองเห็นชัดเจนทุกคนด้วยดังตาราง 1 ตาราง 1 แผนผัง KWDL สำหรับการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ K โจทย์บอกอะไรบ้าง W โจทย์ให้หาอะไร มีวิธีการอย่างไร ใช้วิธีอะไรได้บ้าง D ดำเนินการตาม กระบวนการ แก้โจทย์ปัญหา L คำตอบที่ได้ และบอกวิธีคิด คิดคำตอบอย่างไร 1. …………………….... 2. …………………….... 3. …………………….... 4. …………………….... สิ่งที่โจทย์ต้องการทราบคือ …………………………………… วิธีการแก้ปัญหาคือ 1. …………………….... 2. …………………….... วิธีแก้ปัญหาที่เลือกใช้คือ …………………………………… แสดงวิธีทำ วิธีที่ 1 …………….. วิธีที่ 2 …………….. วิธีที่ 3 …………….. คำตอบ……………… สรุปขั้นตอนที่ใช้ สรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิค KWDL จะช่วยชี้นำการคิดแนวทางใน การอ่านและหาคำตอบของปัญหา โดยเฉพาะการนำไปใช้การเรียนการสอนคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะ ด้านโจทย์ปัญหาของนักเรียนทุกระดับชั้น จะช่วยให้นักเรียนสามารถแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1.3 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ KWDL ขั้นที่ 1 K : (What we know) สิ่งที่โจทย์บอกให้ทราบมีอะไรบ้าง ขั้นที่ 2 W : (What we want to know) โจทย์ต้องการทราบอะไร ขั้นที่ 3 D : (What we do to find out) หาคำตอบตามที่โจทย์ต้องการ ขั้นที่ 4 L : (What we learned) นักเรียนสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้
9 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนโดยใช้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในแต่ละด้านต่างๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับ ประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผลการสร้าง เครื่องมือวัดให้มีคุณภาพนั้นได้มีผู้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ดังนี้ สมพร เชื้อพันธ์ (2547, หน้า 53) สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึงความสามารถ ความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่างๆของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอนการฝึกฝน หรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีการต่างๆ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2548, หน้า 125) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง ขนาดของความสำเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอน ปราณี กองจินดา (2549,หน้า 42) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือผลสำเร็จ ที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัยจิต พิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการ สอนที่แตกต่างกัน 2.2 ลักษณะสำคัญของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี (สิริพร ทิพย์คง. 2545: 195;พิชิต ฤทธิ์จรูญ. 2545: 135 – 161) 2.2.1 ความเที่ยงตรง เป็นแบบทดสอบที่สามารถนำไปวัดในสิ่งที่เราต้องการวัดได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการวัด 2.2.2 ความเชื่อมั่น แบบทดสอบที่มีความเชื่อมั่น คือ สามารถวัดได้คงที่ไม่ว่าจะวัดกี่ครั้งก็ตาม เช่น ถ้านำ แบบทดสอบไปวัดกับนักเรียนคนเดิมคะแนนจากการสอบทั้งสองครั้งควรมีความสัมพันธ์กันดี เมื่อสอบได้คะแนนสูง ในครั้งแรกก็ควรได้คะแนนสูงในการสอบครั้งที่สอง 2.2.3 ความเป็นปรนัย เป็นแบบทดสอบที่มีคำถามชัดเจน เฉพาะเจาะจง ความถูกต้องตามหลักวิชา และ เข้าใจตรงกัน เมื่อนักเรียนอ่านคำถามจะเข้าใจตรงกันข้อคำถามต้องชัดเจนอ่านแล้วเข้าใจตรงกัน
10 2.2.4 การถามลึก หมายถึง ไม่ถามเพียงพฤติกรรมขั้นความรู้ความจำ โดยถามตามตำราหรือถามตามที่ครู สอน แต่พยายามถามพฤติกรรมขั้นสูงกว่าขั้นความรู้ความจำ ได้แก่ ความเข้าใจการนำไปใช้ การวิเคราะห์การ สังเคราะห์และการประเมินค่า 2.2.5. ความยากง่ายพอเหมาะ หมายถึง ข้อสอบที่บอกให้ทราบว่าข้อสอบข้อนั้นมีคนตอบถูกมากหรือ ตอบถูกน้อย ถ้ามีคนตอบถูกมากข้อสอบข้อนั้นก็ง่ายและถ้ามีคนตอบถูกน้อยข้อสอบข้อนั้นก็ยาก ข้อสอบที่ยากเกิน ความสามารถของนักเรียนจะตอบได้นั้นก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่สามารถจำแนกนักเรียนได้ว่าใครเก่งใครอ่อน ในทางตรงกันข้ามถ้าข้อสอบง่ายเกินไปนักเรียนตอบได้หมดก็ไม่สามารถจำแนกได้เช่นกัน ฉะนั้นข้อสอบที่ดีควรมี ความยากง่ายพอเหมาะ ไม่ยากเกินไปไม่ง่ายเกินไป 2.2.6. อำนาจจำแนก หมายถึง แบบทดสอบนี้สามารถแยกนักเรียนได้ว่าใครเก่งใครอ่อนโดยสามารถ จำแนก นักเรียนออกเป็นประเภทๆ ได้ทุกระดับอย่างละเอียดตั่งแต่อ่อนสุดจนถึงเก่งสุด 2.2.7. ความยุติธรรม คำถามของแบบทดสอบต้องไม่มีช่องทางชี้แนะให้นักเรียนที่ฉลาดใช้ไหวพริบในการ เดาได้ถูกต้องและไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่เกียจคร้านซึ่งดูตำราอย่างคร่าวๆตอบได้ และต้องเป็นแบบทดสอบที่ไม่ ลำเอียงต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี ต้องเป็นแบบทดสอบที่มีความเที่ยงตรงความเชื่อมั่น ความเป็นปรนัย ถาม ลึก มีความยากง่ายพอเหมาะ มีค่าอำนาจจำแนก และมีความยุติธรรม 3. แผนการจัดการเรียนรู้ 3.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการหรือ โครงการที่จัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนรายวิชาใดวิชาหนึ่ง เป็นการเตรียมการสอนอย่างมีระบบ และเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ครูพัฒนาการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนไปสู่ จุดประสงค์การเรียนรู้ตามจุดหมายของหลักสูตร กรมวิชาการ (2545) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การเตรียมการเป็น ลายลักษณ์อักษรเพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละครั้งโดย กำหนดสาระสำคัญ จุดประสงค์
11 การเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผล คุณธรรม จริยธรรม หลักศาสนาที่ต้องการเน้น ตัว บ่งชี้ บันทึกหลังสอน นิคม ชมพูหลง (2554) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการ หรือ โครงการที่จัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน รายวิชาใดวิชาหนึ่ง เป็นการเตรียมการสอนอย่างมีระบบ และเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ครูพัฒนาการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนไปสู่ จุดประสงค์การเรียนรู้ตามจุดหมายของหลักสูตรได้อย่างมีคุณภาพ รุจิร์ ภู่สาระ (2545) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง เครื่องมือ แนว ทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนตามที่กำหนดไว้ในสาระการเรียนรู้แต่ละกลุ่ม วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2545) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อการสอน การวัดผลประเมินผลให้สอดคล้องกับ เนื้อหาและวัตถุประสงค์ที่ กำหนดให้ไว้ในหลักสูตร ทำให้ผู้สอนทราบว่าจะสอนเนื้อหาใด เพื่อ จุดประสงค์ใด สอนอย่างไร ใช้สื่ออย่างไร และ วัดประเมินผลโดยวิธีใด ถวัลย์ มาศจรัส, ณิชนัน ประสงค์ และอาภรณ์ หนิมสุข (2546) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการ จัดการเรียนรู้ หมายถึง การนำวิชาการหรือกลุ่มประสบการณ์ที่ต้องการสอนตลอดภาคเรียน มาสร้างเป็นแผนการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยมีจุดประสงค์ เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อ การวัดและประเมินผล สอดคล้องคล้องกับจุดเน้นของหลักสูตร สภาพของผู้เรียน ความพร้อมของ โรงเรียนและตรงกับชีวิตจริงในท้องถิ่น จิรภัทร แก้วกู่ (2547) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนซึ่งครู เตรียมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน โดยวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แผนการใช้สื่อ การเรียนรู้ หรือแหล่งการเรียนรู้ แนวการวัดผลประเมินผล โดยการวิเคราะห์จากคำอธิบายรายวิชา หรือหน่วยการเรียนรู้ ซึ่ง ยึดผลการเรียนที่คาดหวังและสาระการเรียนรู้ที่กำหนด อันสอดคล้องกับ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 41 เพลินพิศ ธรรมรัตน์ (2550) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การ เตรียมการสอนเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าหรือคือบันทึกการสอนปกติตามปกติเป็นการเตรียมการ สอนอย่างมี ระบบเป็นลายลักษณ์อักษรและเครื่องมือช่วยให้ครูวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอน การใช้สื่อและ อุปกรณ์ ตลอดจนการวัดผลและประเมินผลให้สอดคล้องกับจุดประสงค์และ สอดคล้องกับระดับพัฒนาการของ ผู้เรียน เพื่อผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีและครบถ้วนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ครูรับผิดชอบ
12 อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อการสอน การวัดผลประเมินผลให้สอดคล้องกับสาระ การเรียนรู้และ จุดประสงค์การเรียนรู้หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวังในหลักสูตร สุวิทย์ มูลค่า และคณะ (2551) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการ เตรียมการสอนหรือการกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบและจัดทำไว้อย่างเป็นลายลักษณ์ อักษร โดยมีการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มากำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดหมายที่กำหนด ไว้ โดยเริ่มต้นจากการกำหนดวัตถุประสงค์จะให้ผู้เรียนเกิดการ เปลี่ยนแปลงด้านใด (สติปัญญาหรือเจตคติหรือ ทักษะ) จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิธีใด ใช้สื่อ การสอนหรือแหล่งเรียนรู้ใด และจะประเมินผลอย่างไร ฆนัท ธาตุทอง (2552) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การเตรียมการสอน เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นเอกสารแนวทางสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อ พัฒนาผู้เรียน เป็นการนำวิชาหรือ ประสบการณ์ที่จะต้องทำการสอนตลอดปีการศึกษาหรือตลอดภาค เรียนมาสร้างเป็นแผนการจัดกิจกกรมการ เรียนรู้โดยมีการกำหนดจุดประสงค์ กิจกรรม สื่อ อุปกรณ์การวัดและประเมินผล สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการเตรียมการสอนหรือการกำหนด กิจกรรมการ เรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ และเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการ พัฒนาการเรียนการสอน ไปสู่จุดประสงค์ที่กำหนดไว้และสู่จุดหมายของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.2 ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542) ได้กล่าวไว้ว่า การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้จะก่อให้เกิดประโยชน์ ดังนี้ 1. ก่อให้เกิดการวางแผนและการเตรียมตัวล่วงหน้า เป็นการนำเทคนิควิธีการสอนการ เรียนรู้ สื่อเทคโนโลยี และจิตวิทยาการเรียนการสอนมาผสมผสานประยุกต์ให้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม 2. ส่งเสริมให้ครูผู้สอนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร เทคนิคการเรียนการสอนการ เลือกใช้สื่อการวัดและการประเมินผลตลอดจนประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจำเป็น 3. เป็นคู่มือการสอนสำหรับตัวครูผู้สอนและครูที่สอนแทน นำไปใช้ปฏิบัติการสอน อย่าง มั่นใจ 4. เป็นหลักฐานแสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผล ที่จะ เป็น ประโยชน์ต่อประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนต่อไป 5. เป็นหลักฐานแสดงความเชี่ยวชาญของครูผู้สอนซึ่งสามารถนำไปเสนอเป็นผลงาน ทาง วิชาการได้
13 วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2545) ได้กล่าวไว้ว่า การวางแผนการสอนมีความสำคัญดังนี้ 1. ทำให้ผู้สอนสอนด้วยความมั่นใจ เมื่อเกิดความมั่นใจในการสอนย่อมเกิดความ คล่องแคล่วเป็นตามลำดับขั้นตอนอย่างราบรื่นไม่ติดขัดเพราะได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว 2. ทำให้การสอนมีความคุ้มค่าคุ้มกับเวลาที่ผ่านไป เพราะผู้สอนสอนอย่างมีแผน เป้าหมาย และมีทิศทางในการสอนมิใช่สอนอย่างเลื่อนลอยผู้เรียนก็จะได้รับความรู้ ความคิด เกิดเจต คติ เกิด ทักษะ และประสบการณ์ใหม่ตามที่ผู้สอนวางแผนไว้ทำให้การเรียนการสอนมีคุณค่า 3. ทำให้เป็นการสอนที่ตรงตามหลักสูตร ทั้งนี้เพราะในการวางแผนการสอนผู้สอน ต้อง ศึกษาหลักสูตรทั้งทางด้านจุดประสงค์การสอน เนื้อหาสาระ กิจกรรม การใช้สื่อการสอน และการ วัดประเมินผล เมื่อผู้สอนสอนตามแผนการสอนก็เป็นการสอนที่ตรงตามจุดหมายและทิศทางของ หลักสูตร 4. ทำให้การสอนบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพดีกว่าการสอนที ่ไม่มีการวางแผน เนื่องจากการวางแผนการสอน ผู้สอนต้องวางแผนอย่างรอบครอบในทุกองค์ประกอบของการสอน รวมทั้งการจัด เวลา สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งจะเอื้ออำนวยให้เกิดการเรียนรู้ได้สะดวกและง่ายขึ้น 5. ทำให้ผู้สอนมีเอกสารเตือนความจำ สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการสอน ต่อไป ทำให้ไม่เกิดความซ้ำซ้อน และเป็นแนวทางในการทบทวนหรือการออกข้อสอบเพื่อวัดผล ประเมินผู้เรียนได้ นอกจากนี้ทำให้ผู้สอนมีเอกสารไว้ให้เป็นแนวทางแก่ผู้ที่สอนแทนในกรณีที่จำเป็น เมื่อผู้สอนไม่สามารถเข้าสอนเอง ได้ ผู้เรียนจะได้รับความรู้และประสบการณ์ที่ต่อเนื่องกัน 6. ทำให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อผู้สอนและต่อวิชาที่เรียน ทั้งนี้เพราะว่าผู้สอน สอนด้วย ความพร้อมทั้งทางด้านจิตใจและวัตถุ ความพร้อมทางด้านจิตใจ คือความมั่นใจในการสอน เพราะผู้สอนได้ เตรียมการสอนไว้อย่างพร้อมเพรียง เมื่อเกิดความพร้อมในการสอนย่อมสอนด้วยความกระจ่างแจ้ง ทำให้ผู้เรียน เกิดความเข้าใจในบทเรียน อันส่งผลให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อผู้สอนและต่อ วิชาที่เรียน จิรภัทร แก้วกู่ (2547)ได้กล่าวไว้ว่า การวางแผนการจัดการเรียนรู้เป็นการมองล่วงหน้า และ เตรียมการกำหนดขั้นตอน แนวทาง และวิธีปฏิบัติงานในอนาคต เพื่อให้งานสำเร็จตาม วัตถุประสงค์ว่า 1. ใคร ? 2. ทำอะไร ? 3. ที่ไหน ? 4. เมื่อไร ? 5. อย่างไร ? โดยนัยนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ จึงเป็นการเตรียมการสอนอย่างเป็นระบบและเป็น ลาย ลักษณ์อักษร ระบบการดำเนินงานที่ต้องมีมาตรฐานชัดเจน มีเวลา กิจกรรม แหล่ง - สื่อการ เรียนรู้ และ ผู้รับผิดชอบที่แน่นอน ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ทำให้สามารถคาดหวังได้ 3 ระยะ คือ
14 1. ก่อนการนำไปใช้ ตรวจสอบได้ว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นอย่างไร มี ความเหมาะสมหรือไม่ และมีสิ่งใดยังบกพร่องที่ต้องนำไปแก้ไข 2. ระหว่างนำไปใช้ สามารถสังเกตแล้วบันทึกผลการดำเนินการทั้งในแง่ความสำเร็จ ความล้มเหลว และแนวทางแก้ไข 3. เมื่อสิ้นสุดการใช้ สามารถตรวจสอบได้ว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้บรรลุ ผลสำเร็จอย่างไรบ้าง อาทิ 3.1 เวลาในแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มากหรือน้อยเกินไป 3.2 มาตรฐานกลุ่มช่วงชั้นสาระการเรียนรู้ บรรลุหรือไม่ 3.3 สื่อการเรียนรู้ ตรง ไม่ตรง ประหยัดหรือสิ้นเปลืองอย่างไร 3.4 กิจกรรมการเรียนรู้ เหมาะสมหรือไม่ อย่างไร อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ดังนี้ 1. ทำให้เกิดการวางแผนวิธีสอนวิธีเรียนที่มีความหมายยิ่งขึ้น เพราะเป็นการจัดทำ อย่าง มีหลักการที่ถูกต้อง 2. ช่วยให้ครูมีคู่มือการสอนที่ทำด้วยตนเอง ทำให้เกิดความสะดวกในการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน ทำให้สอนได้ครบถ้วนตรงตามหลักสูตร และสอนได้ทันเวลา 3. เป็นผลงานวิชาการที่สามารถเผยแพร่เป็นแบบอย่างได้ 4. ช่วยให้ความสะดวกแก่ครูผู้มาสอนแทนในกรณีที่ผู้สอนไม่สามารถเข้าสอนได้ สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2551) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ดังนี้ 1. ทำให้เกิดการวางแผนวิธีสอนที่ดี วิธีเรียนที่ดี ที่เกิดจากการผสมผสานความรู้และ จิตวิทยาการศึกษา 2. ช่วยให้ครูผู้สอนมีคู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำไว้ล่วงหน้าด้วยตนเอง และ ทำ ให้ครูมีความมั่นใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามเป้าหมาย 3. ช่วยให้ครูผู้สอนทราบว่าการสอนของตนได้เดินไปในทิศทางใดหรือทราบว่าจะ สอน อะไร ด้วยวิธีใด สอนทำไม สอนอย่างไร จะใช้สื่อและแหล่งการเรียนรู้และจะวัดหรือประเมินผล อย่างไร 4. ส่งเสริมให้ครูผู้สอนใฝ่ศึกษาหาความรู้ทั้งเรื่องหลักสูตร วิธีจัดการเรียนรู้ จัดหา และ ใช้สื่อแหล่งเรียนรู้ตลอดจนการวัดและประเมินผล 5. ใช้เป็นคู่มือสำหรับผู้ที่มาสอน (จัดกิจกรรมการเรียนรู้) แทนได้ 6. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่นำไปใช้และพัฒนาแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อ วง การศึกษา
15 7. เป็นผลงานทางวิชาการที่แสดงถึงความชำนาญและความเชี่ยวชาญของครูผู้สอน สำหรับประกอบการประเมินเพื่อขอเลื่อนตำแหน่งครูและวิทยฐานะให้สูงขึ้น ฆนัท ธาตุทอง (2552) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ดังนี้ 1. ทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมีความหมายยิ่งขึ้น 2. ผู้สอนมีคู่มือการสอนที่มีคุณภาพ 3. เป็นผลงานที่มีศักยภาพของการเป็นผู้สอนมืออาชีพ 4. ผู้สอนคนอื่นใช้สอนแทนเราได้ 5. ทำให้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามสภาพที่เป็นจริง 6. ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบองค์รวมที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้หลายอย่าง ใน ขณะเดียวกัน 7. ทำให้ขยายขอบเขตการศึกษาไปได้อย่างไม่จำกัดโดยมีความเกี่ยวข้องกับวิชา อื่น ๆ ได้อย่างกลมกลืน 8. ทำให้การเรียนการสอนมีคุณภาพตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรสถานศึกษา 9. ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้มีความสมบูรณ์ ครบถ้วน โดยไม่จำกัดระยะเวลา สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีความสำคัญ คือ ช่วยให้ครูผู้สอนมีคู่มือการจัด กิจกรรมการ เรียนรู้ที่ทำล่วงหน้าด้วยตนเอง ทำให้ครูผู้สอนมีความมั่นใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่มีเป้าหมาย เป็นแนวทางสำหรับครูและวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดจนการวัดและประเมินผลอย่าง ละเอียด และเป็นการเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ในการสอน เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว 3.3 รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรุ้ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542) ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่นิยมใช้กันมี 2 รูปแบบ คือ 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยายหรือหัวข้อ 2. แผนการจัดการเรียนรู้แบบตาราง กรมวิชาการ (2545) ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มี 3 รูปแบบ ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยาย เขียนโดยใช้หัวข้อเรื่องตามที่กำหนดมากำกับ แต่ ลำดับกิจกรรมการเรียนการสอนจะเป็นเพียงเชิงบรรยายโดยกิจกรรมที่ครูจัดเตรียมไว้ไม่ระบุชัดเจนว่านักเรียนทำ อะไร 2. แผนการจัดการเรียนรู้แบบตาราง เขียนโดยใช้หัวข้อเรื่องตามที่กำหนดมากำกับ แต่ บรรจุลงในตารางเกือบทั้งหมด
16 3. แผนการจัดการเรียนรู้แบบพิสดาร เป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีรายละเอียด มากยิ่งขึ้น การลำดับกิจกรรมการเรียนการสอนแยกเป็นกิจกรรมที่ครูปฏิบัติและสิ่งที่ นักเรียนปฏิบัติซึ่งสอดคล้อง กัน จิรภัทร แก้วกู่ (2547) ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีรูปแบบการเขียนที่ใช้กันอยู่ 3 รูปแบบ คือ 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบเรียงหัวข้อหรือแบบบรรยาย ข้อดี : มีเนื้อที่ให้ลงรายละเอียดในแต่ละหัวข้อของแผนการสอนได้มาก ไม่มี ข้อจำกัด ข้อด้อย : ไม่สามารถแสดงความสัมพันธ์ของแต่ละหัวข้อได้ชัดเจน 2. แผนการจัดการเรียนรู้แบบตาราง ข้อดี : หัวข้อแต่ละข้อสามารถแสดงความสัมพันธ์ของแต่ละหัวข้อได้ชัดเจน ข้อด้อย : มีเนื้อที่ให้ลงรายละเอียดในแต่ละหัวข้อของแผนการสอนได้น้อย 3. แผนการจัดการเรียนรู้แบบกึ่งตาราง / ผสม เป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือ 1. นำหัวข้อแต่ละข้อที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน มาใส่ไว้ในตารางให้ชัดเจน 2. ส่วนหัวข้อที่มีความสัมพันธ์ห่างออกไป นำไปใส่ไว้นอกตารางให้มีเนื้อที่ สำหรับ ลงรายละเอียดในแต่ละหัวข้อได้มากขึ้น สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2551) ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่นิยมใช้กันทั่วไปมี3 รูปแบบ ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยาย เขียนโดยใช้ประเด็นทั้ง 10 ประเด็นมากำกับ แต่ ลำดับกิจกรรมการเรียนการสอนจะเป็นเพียงเชิงบรรยายโดยกิจกรรมที่ครูจัดเตรียมไว้ไม่ระบุชัดเจนว่านักเรียนทำ อะไร
17 2. แผนการจัดการเรียนรู้แบบตาราง เขียนโดยใช้ประเด็นสำคัญที่เป็นองค์ประกอบ ของ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มากำกับแต่บรรจุองค์ประกอบสำคัญเหล่านั้นลงในตารางเกือบ ทั้งหมด 3. แผนการจัดการเรียนรู้แบบพิสดาร เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีรายละเอียดมาก ยิ่งขึ้น การลำดับกิจกรรมการเรียนการสอนแยกเป็นกิจกรรมที่ครูปฏิบัติและสิ่งที่นักเรียนปฏิบัติซึ่ง สอดคล้องกัน สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่นิยมใช้กันทั่วไปมี 3 รูปแบบ คือ 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยายหรือแบบเรียงหัวข้อ 2. แผนการจัดการเรียนรู้แบบตาราง 3. แผนการจัดการเรียนรู้แบบพิสดารหรือแบบกึ่งตาราง / ผสม 3.4 องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ รุจิร์ ภูสาระ (2545) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ดังนี้ 1. สาระสำคัญ 2. จุดประสงค์ปลายทาง 3. จุดประสงค์นำทาง 4. เนื้อหา 5. กิจกรรมการเรียนการสอน 6. สื่อการเรียนการสอน 7. การวัดและประเมินผล ณัฐวุฒิ กิจรุ่งเรือง (2545) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ ไว้ดังนี้ 1. หัวเรื่อง 2. สาระสำคัญ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 4. เนื้อหาสาระ 5. กิจกรรมการเรียนรู้
18 6. สื่อการเรียนรู้ 7. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สุคนธ์ สินธพนานนท์ และคณะ (2545) ได้กำหนดหัวข้อในการเขียนแผนการจัดการ เรียนรู้ (Lesson Plan) ประกอบด้วยหัวข้อสำคัญ 9 ข้อ โดยบูรณาการของหน่วยศึกษานิเทศก์สำนักงาน คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ 7 ข้อ และเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการ การข้าราชการครู อีก 2 หัวข้อ ดังนี้ 1. สาระสำคัญ (Concept) เป็นความคิดรวบยอดหรือหลักการของเรื่องหนึ่งที่ ต้องการให้เกิดกับนักเรียนเมื่อเรียนตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แล้ว 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objective) เป็นการกำหนดจุดประสงค์ที่ ต้องการให้เกิดกับนักเรียนเมื่อเรียนตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แล้ว 3. เนื้อหาสาระ (Content) เป็นเนื้อหาที่จัดกิจกรรมและต้องการให้เกิดกับนักเรียน เมื่อเรียนตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แล้ว 4. กิจกรรมการเรียนการสอน (Instructional Activities) เป็นการเสนอขั้นตอนหรือ กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กำหนดในแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้น 5. สื่อการเรียนรู้และอุปกรณ์ (Instructional Media) เป็นสื่อการเรียนรู้และวัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กำหนดในแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6. การวัดและประเมินผล (Measurement and Evaluation) เป็นการกำหนด ขั้นตอนหรือวิธีการวัดและประเมินผลนักเรียนบรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดให้ 7. กิจกรรมเสนอแนะ เป็นกิจกรรมที่บันทึกเพิ่มเติมของครูผู้สอนหลังจากที่ได้นำ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้บังคับบัญชาตรวจเพื่อปรับปรุงแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ก่อนนำไปใช้สอน 8. กิจกรรมเสนอแนะของผู้บังคับบัญชา เป็นการตรวจแผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ เพื่อเสนอแนะหลังจากได้ตรวจความถูกต้อง การกำหนดรายละเอียดในหัวข้อต่าง ๆ 9. บันทึกผลหลังสอน เป็นการบันทึกของผู้สอนหลังจากนำแผนการจัดกิจกรรม การ เรียนรู้ไปใช้แล้ว เพื่อนำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไปปรับปรุงและใช้สอนในคราวต่อไป ประกอบด้วย 3 หัวข้อ คือ
19 9.1 ผลการเรียน เป็นการบันทึกผลการเรียนด้านปริมาณและคุณภาพทั้ง 3 ด้าน คือด้านพุทธพิสัย ด้านทักษะพิสัยและด้านกระบวนการ ซึ่งได้กำหนดขึ้นในกิจกรรมการเรียนการสอน และขั้น ประเมินผล 9.2 ปัญหาและอุปสรรค เป็นการบันทึกปัญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้นในขณะสอน ก่อน สอนและหลังสอน 9.3 ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข เป็นการบันทึกเสนอแนะเพื่อปรับปรุงการ เรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุวัตถุประสงค์ของบทเรียนที่หลักสูตรกำหนด จิรภัทร แก้วกู่ (2547) ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ มุ่งแสดงให้เห็นถึงการนำ รายวิชาแต่ละรายวิชาที่จะสอนมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรียกว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่ง ดุจแผนที่นำ ทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วยส่วนย่อย ๆ ที่ผูกโยงสัมพันธ์กันอย่างเป็น ระบบ 12 รายการ ดังนี้ 1. เวลาที่ใช้สอน 2. กลุ่มสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 3. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 4. ผลการเรียนที่คาดหวัง 5. กิจกรรมการเรียนรู้ 6. สาระการเรียนรู้ 7. สื่อการเรียนรู้ 8. การวัดผลประเมินผล 9. ใบความรู้ 10. ใบงาน / แบบฝึกหัดทดสอบ 11. กิจกรรมเสนอแนะ 12. เครื่องมือวัดผลประเมินผล อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ ไว้ดังนี้ 1. วิชา หน่วยที่สอน สาระสำคัญ (ความคิดรวบยอด) ของเรื่อง 2. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 3. เนื้อหา 4. กิจกรรมการเรียนการสอน
20 5. สื่อการเรียนการสอน 6. การวัดและประเมินผล สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ มีองค์ประกอบสำคัญ คือ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชี้วัดหรือผลการเรียนรู้ 2. สาระสำคัญ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 4. สาระการเรียนรู้ 5. กิจกรรมการเรียนรู้ 6. การวัดและประเมินผล 7. สื่อการเรียนรู้ 8. บันทึกผลหลังสอน 3.5 ขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ ไว้ดังนี้ 1. เลือกรูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้ นำหน่วยการเรียนรู้ที่กำหนดไว้แล้วมา พิจารณาจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ 2. ตั้งชื่อแผนตามหัวข้อสาระการเรียนรู้ 3. กำหนดจำนวนเวลา ระบุระดับชั้น 4. วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้จากผลการเรียนรู้รายปี / รายภาค ที่เลือกไว้เขียน เป็นจุดประสงค์การเรียนรู้รายวิชา โดยยึดหลักการเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ของ ลินน์ มอริส (Lynn Morris) ที่ว่าจุดประสงค์การเรียนรู้ต้อง 4.1 บรรยายจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่วิธีการ 4.2 สะท้อนถึงระดับต่างๆ ของทักษะที่เกิด 4.3 ใช้คำกิริยาที่เป็นรูปธรรม และใช้องค์ประกอบ 3 ส่วน ของโรเบิร์ต เมเจอร์ (Robert Mager) คือ 4.3.1 พฤติกรรม
21 4.3.2 สถานการณ์หรือเงื่อนไข 4.3.3 เกณฑ์ 5. เลือกจุดประสงค์การเรียนรู้ที่วิเคราะห์ไว้แล้ว เฉพาะข้อที่สัมพันธ์กับหัวข้อ สาระ การเรียนรู้ กำหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ หรือจุดประสงค์ปลายทางตามธรรมชาติวิชา 6. วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ เป็นรายละเอียดสำหรับนำไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เป็นเนื้อหาใหม่ของมวลเนื้อหาที่กำหนดไว้ ที่จำเป็นต้องใช้ 7. กำหนดจุดประสงค์นำทางตามลำดับความยากง่ายของเนื้อหานั้นๆ 8. เลือกกิจกรรมและเทคนิคการสอนที่เหมาะสม 9. เลือกสื่อ อุปกรณ์สำหรับใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับ สาระการเรียนรู้ที่เลือกมา เช่น รูปปลา บัตรคำ วีดีทัศน์ 10. จัดทำลำดับขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยคำนึงถึงขั้นตอนการสอน ธรรมชาติวิชา ตามจุดประสงค์นำทางและควรคำนึงถึงการบูรณาการเทคนิคและกระบวนการเรียนรู้รวมทั้งสาระ การเรียนรู้อื่นๆ เข้าไว้ในแต่ละขั้นตอนด้วย 11. กำหนดการวัดประเมินผล โดยระบุวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ที่เกิดระหว่าง เรียน ตามจุดประสงค์ย่อย จุดประสงค์นำทาง และที่เกิดหลังการเรียนการสอน เมื่อจบแผนการจัด กิจกรรมการ เรียนรู้ โดยวิธีการวัดหลากหลาย รูปแบบ ตามความเหมาะสม เช่น ปฏิบัติจริง การ ทดสอบความรู้ การทำงาน กลุ่ม กรมวิชาการ (2545) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ ไว้ดังนี้ 1. เลือกรูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้ นำหน่วยการเรียนรู้ที่กำหนดไว้แล้วมา พิจารณาจัดทำเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ 2. ตั้งชื่อแผนตามหัวข้อสาระการเรียนรู้ 3. กำหนดจำนวนเวลา ระบุระดับชั้น 4. วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ 5. เลือกจุดประสงค์การเรียนรู้ที่วิเคราะห์ไว้แล้ว เฉพาะข้อที่สัมพันธ์กับสาระการ เรียนรู้ กำหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ หรือจุดประสงค์ปลายทาง 6. วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ เป็นรายละเอียดสำหรับนำไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 7. กำหนดจุดประสงค์นำทางตามลำดับความยากง่ายของเนื้อหานั้นๆ
22 8. เลือกกิจกรรมและเทคนิคการสอนที่เหมาะสม 9. เลือกสื่อ อุปกรณ์ สำหรับใช้ประกอบการสอน 10. จัดทำลำดับขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 11. กำหนดการวัดประเมินผลโดยระบุถึงวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550)ได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ดังนี้ 1. วิเคราะห์คำอธิบายรายวิชา รายปี หรือรายภาค และหน่วยการเรียนรู้ที่ สถานศึกษาจัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ในการเรียนรายละเอียดแต่ละหัวข้อของแผนการจัดกิจกรรมเรียนรู้ 2. วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เพื่อนำมาเขียนเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้โดยให้ ครอบคลุมพฤติกรรมทั้งด้านความรู้ ทักษะ / กระบวนการ เจตคติและค่านิยม 3. วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ โดยเลือกและขยายสาระการเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับ ผู้เรียน ชุมชน และท้องถิ่น 4. วิเคราะห์กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยเลือกรูปแบบการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 5. วิเคราะห์กระบวนการประเมินผล โดยเลือกใช้วิธีการวัดและประเมินผลที่ สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ 6. วิเคราะห์แหล่งการเรียนรู้ โดยคัดเลือกสื่อการเรียนรู้ และแหล่งการเรียนรู้ทั้งใน และนอกห้องเรียน ให้เหมาะสม สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ สรุปได้ว่า การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ มีลำดับขั้นตอนดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตร 2. วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา เวลา กิจกรรม วิธีการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ให้เหมาะสมกับเนื้อหา 3. จัดทำเครื่องมือวัดและประเมินผลให้ครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ 3.6 ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี สิริพร ทิพย์คง (2545) ได้กล่าวถึงลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีจะช่วยให้การ เรียนการสอนประสบผลสำเร็จได้ดี ดังนั้นครูผู้สอนจึงควรทราบถึงลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ดังนี้
23 1. สอดคล้องกับหลักสูตรและแนวการสอนของกรมวิชาการ และ กระทรวงศึกษาธิการ 2. นำไปสอนได้จริงและมีประสิทธิภาพ 3. เขียนอย่างถูกต้องตามหลักวิชา เหมาะสมกับผู้เรียนและเวลาที่กำหนด 4. มีความกระจ่างชัดเจน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและเข้าใจตรงกัน 5. มีรายละเอียดมากพอที่จะทำให้ผู้อ่านนำไปใช้ในการสอนได้ 6. ทุกหัวข้อในแผนการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน 7. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีกิจกรรมให้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติมากที่สุด โดย ครู เป็นผู้คอยชี้แนะ ส่งเสริมหรือกระตุ้นให้กิจกรรมดำเนินไปตามความมุ่งหมาย 8. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่สามารถ จัดหา ได้ในท้องถิ่น หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุอุปกรณ์สำเร็จรูปราคาสูง อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550) ได้กล่าวถึงลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ไว้ดังนี้ 1. สอดคล้องกับหลักสูตรและแนวการสอนของกรมวิชาการ และ กระทรวงศึกษาธิการ 2. นำไปสอนได้จริงและมีประสิทธิภาพ 3. เขียนอย่างถูกต้องตามหลักวิชา เหมาะสมกับผู้เรียนและเวลาที่กำหนด 4. มีความกระจ่างชัดเจน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและเข้าใจตรงกัน 5. มีรายละเอียดมากพอที่จะทำให้ผู้อ่านนำไปใช้ในการสอนได้ 6. ทุกหัวข้อในแผนการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2550)ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีจะช่วยทำให้การจัด กิจกรรมการเรียนรู้ประสบผลสำเร็จได้ดี ดังนั้นครูผู้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ควรทราบถึงลักษณะของ แผนการจัดการ เรียนรู้ที่ดี ดังนี้ 1. มีความสอดคล้องกับหลักสูตรและแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของ กรม วิชาการ และกระทรวงศึกษาธิการ 2. นำไปสอนได้จริงและมีประสิทธิภาพ 3. เขียนอย่างถูกต้องตามหลักวิชา เหมาะสมกับผู้เรียนและเวลาที่กำหนด 4. มีความกระจ่างชัดเจน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและเข้าใจตรงกัน
24 5. มีรายละเอียดมากพอที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจสามารถนำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้ สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีควรมีความสอดคล้องกับหลักสูตร นำไปสอนได้จริง เหมาะสมกับผู้เรียนและเวลาที่กำหนด มีรายละเอียดมากพอที่จะนำไปใช้ในการสอน มีความกระจ่าง ชัดเจนทำให้ ผู้อ่านเข้าใจง่ายและเข้าใจตรงกัน เน้นทักษะกระบวนการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่สามารถจัดหา ได้ในท้องถิ่น ทุกหัวข้อใน แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติมากที่สุด โดยครูเป็นผู้คอย ชี้แนะ ส่งเสริมหรือกระตุ้นให้กิจกรรมดำเนินไปตามความ มุ่งหมาย 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 งานวิจัยในประเทศ ศศิธร แก้วมี (2555) ได้พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โดยใช้ เทคนิค K-W-D-L สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยรูปแบบ การจัดการเรียนรู้คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านบาโหย อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัด สงขลา ปีการศึกษา 2554 จำนวน 33 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง พบว่า รูปแบบการจัดการ เรียนรู้การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้ เทคนิค K-W-D-L สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 79.29/77.33 ความสามารถ ในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังการจัดการเรียนรู้การแก้โจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์โดยใช้เทคนิค K-W-D-L สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และความ พึงพอใจของ นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้เทคนิค K-W-D-L อยู่ในระดับ มาก พันธ์ทิพย์ ใจกล้า (2556) ได้พัฒนาชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค K-W-D-L เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านห้วยกั้ง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 ประชากร คือนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 12 คน พบว่า ชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค K-W-D-L เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 89.58/87.78 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด ดัชนีประสิทธิผลของ ชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค K-W-D-L เท่ากับ 0.6271 คิดเป็นร้อยละ 62.71 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังจากจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KW-D-L สูง กว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 และเจตคติของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ ปัญหาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค K-W-D-L อยู่ในระดับเห็นด้วย โสภิดา โตโสภณ (2556) ได้พัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องบทประยุกต์ สำหรับ นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL กลุ่มตัวอย่างคือ
25 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองโดนประสาทวิทย์ อำเภอ ลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 24 คนโดยการสุ่มอย่างง่าย พบว่า ประสิทธิภาพของ การเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง บท ประยุกต์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เท่ากับ 84.88/82.92 ซึ่งผ่าน เกณฑ์ 80/80 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์เรื่อง บท ประยุกต์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความพึงพอใจ ของ นักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง บทประยุกต์ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL โดย ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด รุจิอร รักใหม่ (2557) ได้ศึกษาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์เรื่อง ลำดับ และอนุกรมโดยใช้เทคนิค KWDL สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสตรีพัทลุง จังหวัดพัทลุง กลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แผนการเรียนวิทย์-คณิต โรงเรียนสตรีพัทลุง จังหวัด พัทลุง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 ใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม จำนวน 2 ห้องเรียน กลุ่มทดลองเป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6/6 จำนวน 30 คน และกลุ่มควบคุมเป็น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 6/5 จำนวน 30 คน พบว่า ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม ของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 จำนวนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL มี ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 มากกว่าร้อย ละ 70 ของนักเรียนทั้งหมดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ค่าดัชนีประสิทธิผลของ ความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม ของนักเรียนที่ได้รับการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL มีค่าเท่ากับ 0.7480 กัญญาภรณ์ สีนินทิน (2558) ได้พัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง บทประยุกต์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI ร่วมกับเทคนิค KWDL ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปี ที่ 5 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดป่าไผ่ ตำบลทับ กวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัด สระบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 60 คน โดยใช้วิธีการ สุ่มแบบกลุ่ม ได้นักเรียน 2 ห้อง โดย แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 1 ห้อง และกลุ่มควบคุม 1 ห้อง พบว่า ทักษะการแก้โจทย์ปัญหาวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยวิธีปกติหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทักษะการแก้ โจทย์ปัญหาวิชาคณิตศาสตร์ของ นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เทคนิค TAI ร่วมกับเทคนิค KWDL หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที ่ระดับ .05 ทักษะการแก้โจทย์ปัญหาวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับ การ 68 จัดการเรียนรู้เทคนิค TAI ร่วมกับเทคนิค KWDL สูงกว่าการจัดการเรียนรู้โดยวิธีปกติ อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05
26 4.2 งานวิจัยต่างประเทศ ชอและคณะ (1997) ไดศึกษาโดยทำการอบรมครูผู้สอนเกรด 4 เกี่ยวกับการรวมกลุ่ม แก้โจทย์ ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้เทคนิค KWDL และให้นำไปทดลองสอนนักเรียนแล้วนำผลไปเปรียบเทียบกับนักเรียนที่ เรียนโดยการสอนแบบปกติ ผลการวิจัยพบว่านักเรียนที่รวมกลุ่มแก้ปัญหา คณิตศาสตร์โดยใช้เทคนิค KWDL สามารถเขียนคำตอบได้ละเอียดมากกว่าและยังมีเจตคติทางบวก กับวิชาคณิตศาสตร์อีกด้วย คิวโอโช (1997) ได้ศึกษากลวิธีการพัฒนาการเรียนเกี่ยวกับความเข้าใจในเนื้อหา ประเภทวิชาการ ผลปรากฏว่า การสอนแบบ KWDL สามารถพัฒนาความเข้าใจในเรื่องการอ่านของ นักเรียนได้ดีขึ้น แคเธอรีน (2008) ได้ศึกษาผลการใช้วิธีสอน 3 วิธี ได้แก่ PW, KWL และ DRTA ในการ สอนอ่าน จับใจความ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนเกรด 2 จำนวน 31 คน โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ใช้วิธีสอนแบบ PW กลุ่มที่ 2 ใช้วิธีสอนแบบ KWL และกลุ่มที่ 3 ใช้วิธีสอนแบบ DRTA กลุ่มที่ 4 เป็น กลุ่มควบคุม ผลการทดลองพบว่า นักเรียนกลุ่มที่ 1 - 3 เข้าใจในการอ่านจับใจความสูงกว่านักเรียน กลุ่มที่ 4 ที่เป็นกลุ่มควบคุม จากการศึกษาผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเทคนิค KWDL ในงานวิจัย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สรุปได้ว่า เทคนิค KWDL สามารถช่วยให้นักเรียนมีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ จึงทำให้ นักเรียนเกิดการเรียนรู้ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนบรรลุจุดประสงค์ตามความต้องการของการจัดการศึกษา จึงเป็น นวัตกรรมทางการศึกษา ที่สมควรนำมาเป็นสื่อเพื่อประกอบการเรียนการสอนของครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5. กรอบแนวคิดการวิจัย ในการท าวิจัยครั้งนี้ มีกรอบแนวคิด ดังภาพ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ขั้นที่ 1 K : (What we know) สิ่งที่โจทย์บอกให้ทราบมีอะไรบ้าง แบ่งกลุ่มให้ นักเรียนช่วยหาสิ่งที่รู้เกี่ยวกับโจทย์ สิ่งที่โจทย์กำหนดให้ และสิ่งที่โจทย์ ต้องการทราบ โดยใช้บัตรกิจกรรม KWDL ขั้นที่ 2 W : (What we want to know) โจทย์ต้องการทราบอะไร ให้ นักเรียนในกลุ่มร่วมกันอภิปราย เพื่อหาสิ่งที่ต้องการรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโจทย์ หาความสัมพันธ์ของโจทย์ และกำหนดวิธีการในการแก้ปัญหา ขั้นที่ 3 D : (What we do to find out) หาคำตอบตามที่โจทย์ต้องการ ให้ นักเรียนช่วยกันดำเนินการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โดยเขียนโจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์ในรูปประโยคสัญลักษณ์ หาคำตอบและตรวจสอบคำตอบ ขั้นที่ 4 L : (What we learned) ให้ตัวแทนนักเรียนสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ร้อยละ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
27 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ เป็นการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยตามขั้นตอนดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. แบบแผนการวิจัย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. สถิติที่ใช้ในการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2 ห้อง รวม 70 คน ประกอบด้วย ชั้น ป. 6/1, ป. 6/2 1.2 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้อง จำนวนนักเรียน 35 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม โดยการการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL 2. แบบแผนการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็น การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ โดยใช้แบบ แผนการวิจัยแบบ One Group Pretest - Posttest Design (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2538 : 249) และ แบบกลุ่มเดี่ยวสอบหลัง (One Group Posttest-Only Design) (พวงรัตน์ ทวีรัตน์,2540 : 60 - 61) ซึ่งมี ลักษณะแบบแผนการวิจัย ดังตารางที่1
28 ตารางที่ 2 แบบแผนการวิจัยจำแนกตามตัวแปรตาม ตัวแปรตาม แบบแผนการวิจัย หมายเหตุ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน One Group Pretest - Posttest Design ใช้แบบทดสอบฉบับเดิม 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 3.1 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 3.1.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ จำนวน 10 แผนการจัดการเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้ละ 1ชั่วโมง รวม 10ชั่วโมงต่อโรงเรียน 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 3.2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง ร้อยละ ทดสอบก่อนเรียนและหลัง เรียน เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 1 ฉบับ จำนวน 20 ข้อ 4. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยของเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองและเครื่องมือที่ใช้ในการ เก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ร้อยละ 2) แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง ร้อยละ ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ จำนวน 10แผนการ จัดการเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้ละ 1ชั่วโมง รวม 10ชั่วโมงต่อโรงเรียน ตามขั้นตอนดังนี้ 1.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์สาระที่ 1 จำนวนและพีชคณิต มาตรฐาน เข้าใจความ หลากหลายของการแสดงจำนวน ระบบจำนวน การดำเนินการของจำนวน ผลที่เกิดขึ้น จากการดำเนินการ สมบัติ ของการดำเนินการ และนําไปใช้ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง ร้อยละ 1.2 วิเคราะห์และกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ และกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ 1.3 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง ร้อยละ โดยให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และ กิจกรรมการเรียนรู้ในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
29 1.3.1 เรื่อง บัญญัติไตรยางศ์ จำนวน 1 ชั่วโมง 1.3.2 เรื่อง ความหมายร้อยละ จำนวน 1 ชั่วโมง 1.3.3 เรื่อง การหาร้อยละ จำนวน 1 ชั่วโมง 1.3.4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาร้อยละ จำนวน 1 ชั่วโมง 1.3.5 เรื่อง โจทย์ปัญหาร้อยละเกี่ยวกับการซื้อขาย จำนวน 1 ชั่วโมง 1.3.6 เรื่อง การหาราคาขาย จำนวน 1 ชั่วโมง 1.3.7 เรื่อง การหาราคาทุน จำนวน 1 ชั่วโมง 1.3.8 เรื่อง การลดราคา จำนวน 1 ชั่วโมง 1.3.9 เรื่อง โจทย์ปัญหาร้อยละเกี่ยวกับการซื้อขาย จำนวน 1 ชั่วโมง (เปอร์เซ็นต์) 1.3.10 เรื่อง ดอกเบี้ย จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการ สอนคณิตศาสตร์และการวัดผลและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของ แผนการจัดการเรียนรู้ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item objective congruence : IOC) ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กระบวนการจัดการเรียนรู้และการวัดประเมินผล โดยให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละ ท่านพิจารณาตรวจสอบให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ มีความเหมาะสมและสอดคล้อง กัน ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ มีความเหมาะสมและสอดคล้อง กัน ให้คะแนนเป็น –1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ มีความไม่เหมาะสมและไม่ สอดคล้องกัน แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยดัชนี ความสอดคล้องขององค์ประกอบ ที่มีค่า IOC ที่ใช้ได้มีค่าระหว่าง 0.67 – 1.00 โดยข้อสอบที่นำมาใช้ มีค่าเฉลี่ย IOC ที่ 0.95 1.5 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่าน การปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน คละ ความสามารถ เพื่อดูความเหมาะสมของกระบวนการจัดการเรียนรู้ เวลาที่ใช้และปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วนำมา ปรับปรุงแก้ไข
30 1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง ร้อยละ ไปใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างต่อไป 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ ทดสอบก่อนเรียนและหลัง เรียน เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 1 ฉบับ จำนวน 20 ข้อ ตามขั้นตอน ดังนี้ 2.1 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลทางการศึกษาในเรื่องการวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนคณิตศาสตร์วิธีสร้างแบบทดสอบ และการเขียนข้อสอบตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ 2.2 วิเคราะห์และกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ และกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เรื่อง ร้อยละ จากนั้นสร้างตารางวิเคราะห์ข้อสอบให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เป็นแบบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก โดยวัดผลการเรียนรู้ 4 ด้าน ตามแนวคิดของคอล์ฟเฟอร์ (Klopfer, 1971) คือ 1) ด้านความรู้ความจำ 2) ด้านความเข้าใจ 3) ด้านการนำความรู้ไปใช้ จำนวน 20 ข้อ 2.4 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง ร้อยละ เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนคณิตศาสตร์และการวัดผลและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์โดยพิจารณา จากค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item objective congruence: IOC) ระหว่างข้อคำถามและจุดประสงค์ การเรียนรู้โดยให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านพิจารณาตรวจสอบให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความเหมาะสมและสอดคล้องกัน ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความเหมาะสมและสอดคล้องกัน ให้คะแนนเป็น –1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้อง กัน แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบ โดยดัชนีความสอดคล้องของ องค์ประกอบ ที่มีค่า IOC ที่ใช้ได้มีค่าระหว่าง 0.67 – 1.00 โดยข้อสอบที่นำมาใช้ มีค่าเฉลี่ย IOC ที่ 0.95 2.5 ปรับปรุงแก้ไขแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ร้อยละตามข้อเสนอแนะของ ผู้เชี่ยวชาญแล้วนำไปทดสอบกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ที่ผ่านการจัดการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ แล้วนำคะแนนการทดสอบมาวิเคราะห์หาความยากง่าย (p) และอำนาจจำแนก (r) เป็นรายข้อ โดยมีความยากง่ายระหว่าง 0.21 – 0.75 และอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.23 – 0.65 2.6 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 20 ข้อ ที่คัดเลือกไว้ มาวิเคราะห์ หา ความเชื่อมั่นทั้งฉบับ โดยคำนวณจากสูตร KR -20 โดยพิจารณาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับตั้งแต่ 0.72
31 2.7 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ ที่หาคุณภาพ เรียบร้อยแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างต่อไป 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาศึกษาปีที่ 6 ผู้วิจัยมีขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตร วิเคราะห์หลักสูตร กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้และสาระการเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรแกนการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 เกี่ยวกับ ร้อยละ 2. ศึกษาวิธีสร้างและเขียนแบบทดสอบประเภทเลือกตอบจากหนังสือการวัดผลการศึกษาของ สมนึก ภัททิยธนี (2549, หน้า 202-232) 3. ติดต่อประสานงานกับผู้บริหารโรงเรียนเพื่อขอความร่วมมือในการศึกษาและทดลองใช้การ จัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ 4. เลือกนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 5. จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ร้อยละ และประเมินความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) 6. สร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์คัดเลือกคุณภาพ มี ค่า IOC ค่าความยาก ค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 7. นำไปใช้จัดกรรมการเรียนรู้โดยการชี้แจงกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ เพื่อให้ผู้เรียนปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง 8. ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนคณิตศาสตร์เพื่อนำคะแนนมาวิเคราะห์เป็นคะแนนก่อนเรียน 9. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ กับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยผู้วิจัยและผู้ช่วยนักวิจัยเป็นผู้ออกแบบการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้เอง ใช้เวลา 10 ชั่วโมงโดยผู้วิจัยดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แผนการ จัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL จำนวน 10 แผน รวม 10 ชั่วโมง 10. เมื่อสิ้นสุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทำการทดสอบหลังเรียน (Post-test) กับนักเรียนกลุ่มเดิม ในแต่ละโรงเรียน ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ซึ่งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เป็นเอกสารทั้งสองฉบับเป็นชุดเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อน เรียน 11. หาประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเรื่อง ร้อยละ (E1/E2)
32 13. นำคะแนนจากการตรวจแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบประเมิน ความสามารถในการแก้ปัญหา มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีทางสถิติ เพื่อตรวจสอบสมมติฐาน 6. การวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่ 6 ผู้วิจัยได้ดำเนินการการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามเกณฑ์ 75/75 ด้วยค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ และประสิทธิภาพของ ผลลัพธ์ (E1/E2) 2. วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ ก่อนเรียนและหลังเรียนมาคิดคะแนนเป็นร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) แล้วนำคะแนนมาทดสอบสมมติฐาน โดยใช้สถิติ t-test Dependent Sample (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2543 : 165-167) 7. สถิติที่ใช้ในการวิจัย 1. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาคุณภาพเครื่องมือ 1.1 การหาค่าความเที่ยงตรง (Validity) ของแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตรดัชนีความสอดคล้อง IOC ดังนี้(สมนึก ภัททิยธนี, 2558 : 220-221) IOC = N R เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหา หรือระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 1.2 การหาค่าความยากและค่าอำนาจจำแนกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งเป็นแบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม โดยใช้สูตร ดังนี้(สมนึก ภัททิยธนี, 2558 : 195)
33 N R p = f Ru Rl r − = เมื่อ P แทน ค่าความยาก R แทน ค่าอำนาจจำแนก R แทน จำนวนผู้ตอบถูกทั้งหมด (Ru+Rl) N แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำ (ซึ่งเท่ากับ 2f) f แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ำ Ru แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงที่ตอบข้อนั้นถูก Rl แทน จำนวนคนในกลุ่มต่ำที่ตอบข้อนั้นถูก 1.3 การหาค่าความเชื่อมั่นแบบทดสอบวัดวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ค่าความ เชื่อมั่นด้วยสูตร KR-20 ดังนี้(สมนึก ภัททิยธนี, 2558 : 223) − − − = tt 2 s pq 1 n 1 n KR 20 : r เมื่อ tt r แทนค่า ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ n แทนค่า จำนวนข้อของแบบทดสอบทั้งฉบับ P แทนค่า อัตราส่วนของผู้ตอบถูกในข้อนั้น q แทนค่า อัตราส่วนของผู้ตอบผิดในข้อนั้น S 2 แทนค่า ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบับ 1.4 การหาค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) ของแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า โดยใช้t-test โดยใช้สูตร ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2556 : 96-97) N S S X X t 2 L 2 H H L + − = เมื่อ t แทน อำนาจจำแนก XH แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มสูง XL แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มต่ำ
34 2 SH แทน ความแปรปรวนของกลุ่มสูง 2 SL แทน ความแปรปรวนของกลุ่มต่ำ N แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ำซึ่งมีจำนวนเท่ากัน 2. สถิติพื้นฐาน ดังนี้ 2.1 ร้อยละ (Percentage) มีสูตรคำนวณ ดังนี้(สมบัติ ท้ายเรือคำ, 2553 : 29) 100 N f p = เมื่อ p แทน ร้อยละ f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ N แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด 2.2 ค่าเฉลี่ย (Mean) มีสูตรคำนวณ ดังนี้(สมบัติ ท้ายเรือคำ, 2553 : 29) N x X = เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ย x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม 2.3 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) มีสูตรคำนวณ ดังนี้ (สมบัติ ท้ายเรือคำ, 2553 :123) ( ) N(N 1) N X X S.D. 2 2 − − = เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด X แทน คะแนนแต่ละตัว N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม
35 3. การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพและดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการ เรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 3.1 หาค่าประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้(E1/E2) ตามเกณฑ์75/75 การหาค่า E1 และ E2 ใช้สูตร ดังนี้(เผชิญ กิจระการ, 2544 : 49) 100 A N X E1 = เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ x แทน คะแนนรวมของแบบฝึกหัดหรือ แบบทดสอบย่อยทุกชุดรวมกัน A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดทุกชุดรวมกัน N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด 100 B N x E2 = เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ x แทน คะแนนรวมของแบบแบบทดสอบหลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด 75 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งหมดที่ได้จากกิจกรรมกลุ่ม การปฏิบัติการทดลองและการทดสอบย่อยด้วยการจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6ซึ่งต้องได้คะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 75 75 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งหมดที่ได้จากแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนรู้ตามการจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6ซึ่งต้องได้คะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 75 3.2 การหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้(E.I) ใช้สูตร ดังนี้ (เผชิญ กิจระการ, 2544 : 49) คะแนนรวมจากแบบทดสอบหลังเรียน – คะแนนรวมจากแบบทดสอบก่อนเรียน ผลคูณของคะแนนเต็มกับจำนวนคน – คะแนนรวมจากแบบทดสอบก่อนเรียน ดัชนีประสิทธิผล =
36 4. สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน 4.1 การเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สูตรคำนวณหาค่า t-test แบบ Dependent Samples (บุญชม ศรีสะอาด, 2556 : 68) (N 1) N D ( D) D t 2 2 − − = เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤต เพื่อทราบนัยสำคัญ D แทน ความแตกต่างระหว่างคะแนนแต่ละคู่ N แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่างหรือจำนวนคู่ แทน ผลรวม df แทน ความเป็นอิสระมีค่าเท่ากับ N – 1
37 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ตรงกัน ผู้วิจัยได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ n แทน จำนวนนักเรียน X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง (Mean) S.D. แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) df แทน ระดับชั้นความเป็นอิสระ (Degree of freedom) MD แทน ค่าเฉลี่ยของผลต่างของคะแนนระหว่างการทดสอบหลังเรียน กับการทดสอบก่อนเรียน S.D.D แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลต่างของคะแนนระหว่างการทดสอบ หลังเรียนกับการทดสอบก่อนเรียน E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการที่ได้จากการประเมินใบกิจกรรมที่ 1.1 ใบกิจกรรม 1.2 และการทดสอบย่อยของแต่ละแผน E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนของนักเรียนทุกคน % แทน ร้อยละ t แทน ค่าสถิติที่ใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤตจากการแจกแจงแบบที (t-distribution) P แทน ความน่าจะเป็นสำหรับบอกนัยสำคัญทางสถิติ * แทน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
38 ** แทน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลได้ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL วิชา คณิตศาสตร์ ของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 ตอนที่ 2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ โดยการจัดการ เรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและ หลัง ตารางที่ 3 คะแนนที่ได้ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรียนรายวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง ร้อยละ โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นรายบุคคล คนที่ ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 1 9 45 14 70 2 12 60 16 80 3 8 40 15 75 4 9 45 15 75 5 12 60 15 75 6 9 45 18 90 7 7 35 14 70 8 6 30 14 70 9 9 45 17 85 10 8 40 14 70 11 8 40 14 70 12 12 60 18 90 13 11 55 17 85 14 9 45 15 75
39 ตารางที่ 3 คะแนนที่ได้ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน รายวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง ร้อยละ โดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นรายบุคล คนที่ ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 15 9 45 18 90 16 8 40 14 70 17 8 40 15 75 18 11 55 15 75 19 10 50 17 85 20 7 35 15 75 21 9 45 19 95 22 6 30 14 70 23 4 20 16 80 24 6 30 15 75 25 8 40 14 70 26 10 50 15 75 27 7 35 14 70 28 5 25 15 75 29 9 45 14 70 30 5 25 14 70 31 6 30 18 90 32 7 35 17 85 33 8 40 16 80 34 9 45 14 70 35 5 25 17 85
40 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามจุดประสงค์ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL วิชา คณิตศาสตร์ ของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 ดังตารางที่ 3 ตารางที่4 การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อยละ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 รายการประเมิน จำนวน นักเรียน คะแนนเต็ม คะแนนรวม คะแนน เฉลี่ย ประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ 75/75 คะแนนกระบวนการ ระหว่างเรียน (E1 ) 35 50 1444 41.25 82.51 คะแนนวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียน (E2 ) 35 20 542 15.5 77.43 จากตารางที่ 4 พบว่า การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ร้อย ละ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ 82.51/77.43 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75/75 ตอนที่ 2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ โดยการ จัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลัง
41 ตารางที่ 5 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ โดยการจัดการ เรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลัง (n = 35) การทดสอบ X S.D. MD S.D.D t Sig.(2-tailed) ก่อนเรียน 8.17 2.06 7.33 2.29 24.46 0.0000 หลังเรียน 15.50 1.52 * มีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 จากตารางที่ 5 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง ร้อยละ ก่อนเรียนและ หลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ KWDL มีคะแนน เฉลี่ยเท่ากับ 8.17 คะแนน และ 15.50 คะแนน ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อน และหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05