ขน้ั ที่ 3 ขัน้ อธบิ ายและลงขอสรปุ
3.1 ครูสุมนักเรียน 2 คน ออกมานําเสนอสรุปทไ่ี ดจากการศกึ ษาหนาช้ันเรยี น
3.2 ครูนํานักเรียนอภิปรายเพ่อื นาํ ไปสูการสรุปโดยใชคําถามตอไปนี้
1) นักเรยี นแตละกลุมไดผลการทํากิจกรรมเหมือนหรือแตกตางกนั อยา งไร (แนวการ
ตอบ ไดผลเหมือนกัน)
2) ความถี่ของเสียงจากลําโพงท้ังสองตัวแตกตางกันหรือไม อยางไร (แนวการตอบ
ไมแ ตกตางกัน เพราะเปนเสยี งจากเครอื่ งกาํ เนดิ สญั ญาณเสยี งเดียวกนั )
3) ความดงั ของเสยี งท่ีไดย ิน ณ ตําแหนงตา ง ๆ เมื่อใชลาํ โพง 2 ตัว เปนอยางไร และ
จะอธิบายไดอยางไร (แนวการตอบ บางตําแหนงไดยินเสียงดัง บางตําแหนงไดยินเสียงคอย
ตําแหนงท่ีไดยินเสียงดังเกิดจากการรวมกันแบบเสริม และตําแหนงท่ีไดยินเสียงคอยเกิดจาก
การรวมกนั แบบหกั ลาง)
3.3 นกั เรยี นและครูรว มกันอภปิ รายและสรุปผลการทาํ การทดลอง จนสรุปได ดงั นี้
1) ลําโพง 2 ตัวเปนแหลงกําเนิดเสียงอาพันธ(มีความถี่เทากันเพราะเปนเสียงจาก
เคร่ืองกําเนดิ สัญญาณเสยี งเดียวกัน
2) เม่ือรับฟง เสียงจากลาํ โพง 2 ตัว ทส่ี งเสยี งพรอ มกนั ทต่ี ําแหนงตา ง ๆ ในแนวขนาน
กับ ขอบโตะท่ีบางตําแหนงจะไดยินเสียงดัง ที่บางตําแหนงจะไดยินเสียงคอย ถาเล่ือน
ตําแหนงท่ีรับฟงไปเร่ือย ๆ ตามแนวเสนตรงท่ีขนานกับขอบโตะ จะไดยินเสียงดังคอย
สลับกนั ไป
3) การไดย ินเสียงดงั บางตาํ แหนง และเสียงคอ ยบางตาํ แหนง ตามขอ 2 นนั้ เกิดจาก
การแทรกสอดของเสียงจากแหลงกําเนิดอาพันธ 2 แหลง ตําแหนงท่ีเสริมกันของเสียงจะได
ยนิ เสยี งดัง และตาํ แหนงทีห่ กั ลา งกันของเสียงจะไดยนิ เสยี งคอ ย
4) เสียงแสดงพฤติกรรมการแทรกสอดได
ขน้ั ที่ 4 ข้ันขยายความรู
4.1 ครอู ธิบายใหค วามรูเพ่ิมเติมเกีย่ วกบั แหลง กาํ เนดิ เสยี งอาพนั ธ
แหลงกําเนิดเสียงอาพันธ คือ แหลงกําเนิดคลื่นที่มีความถ่ีเทากัน ความยาวคล่ืน
เทากัน
อัตราเรว็ เทากัน แอมพลิจูด เทากนั มเี ฟสตรงกนั หรอื ตางกันคงท่ี
ขน้ั ที่ 5 ขน้ั ประเมนิ ผล
5.1 นักเรียนสงใบกิจกรรม เรือ่ ง การแทรกสอดของเสียง
11. บันทกึ หลงั สอน : ม. 5/2 ม.5/5
หัวขอ
ช้ัน
ผลการจัดการเรยี นการสอน
ความรคู วามสามารถ
ทักษะกระบวนการ
คณุ ลักษณะอันพึง
ประสงค
ปญ หา/อุปสรรค
ความรคู วามสามารถ
ทักษะกระบวนการ
หวั ขอ ม. 5/2 ม.5/5
ชน้ั
คณุ ลักษณะอันพึง
ประสงค
แนวทางแกไ ข
ความรูความสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ
คณุ ลักษณะอนั พงึ
ประสงค
ลงชอ่ื …………………………………………………
(……………………………………………………..)
ครูผสู อน
ความคดิ เหน็ ของหัวหนา กลุมสาระการเรยี นรู
ลงช่ือ…………………………………………………
(……………………………………………………..)
หวั หนา กลมุ สาระการเรยี นรู
ความเห็นของรองผูอาํ นวยการกลมุ บรหิ ารวิชาการ/ผูบรหิ าร หรอื ผทู ีไ่ ดรับมอบหมาย
ลงชอื่ …………………………………………………
(……………………………………………………..)
ตาํ แหนง…………………………………………..
ใบกิจกรรม เรอ่ื ง การแทรกสอดของเสียง
1. รายช่อื สมาชิกที่ …………………………………………………….. ชนั้ …………………………………
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
2. จดุ ประสงคการทํากิจกรรม
ศกึ ษาความสัมพันธข องการแทรกสอดของเสยี งกับตําแหนง
3. วสั ด-ุ อุปกรณ 4 1 เครอื่ ง
1) เครื่องกาํ เนดิ สญั ญาณเสียง 2 ตัว
2) ลาํ โพง เสน
3) สายไฟ
4. วธิ ีทาํ กจิ กรรม
1) ตอเคร่ืองกําเนิดสัญญาณเสียงกับลําโพง 2 ตัว หมุนปุมเลือกความถ่ีไปท่ี 3 กิโลเฮิรตซ และปรับความดัง
ของเสยี งให ดงั พอสมควร
2) วางลําโพงไวที่ขอบโตะ จัดหนา ลําโพงหนั ออกนอกโตะ ดังรูป
3) ฟงเสียงทางดานหนาลําโพง ณ ตําแหนงตางๆ กันในแนวขนานกับขอบโตะ เปรียบเทียบความดังของเสยี ง
ณ ตาํ แหนง ตา งๆ ตามแนวทฟี่ งเสยี ง
5. ผลการทาํ การทดลอง
6. คาํ ถามทายการทดลอง
1) ความถ่ีของเสียงจากลาํ โพงทั้งสองตัวแตกตางกันหรือไม อยางไร
ตอบ
2) ความดงั ของเสียงท่ไี ดย นิ ณ ตาํ แหนง ตาง ๆ เมือ่ ใชลาํ โพง 2 ตัว เปน อยา งไร และจะอธิบายไดอยางไร
ตอบ
7. สรุปผลการทดลอง
เฉลยใบกจิ กรรม เรอื่ ง การแทรกสอดของเสียง
1. รายชือ่ สมาชิกที่ …………………………………………………….. ชัน้ …………………………………
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
2. จุดประสงคก ารทํากจิ กรรม
ศึกษาความสัมพันธของการแทรกสอดของเสยี งกบั ตําแหนง
3. วัสด-ุ อุปกรณ 4 1 เครอื่ ง
1) เคร่ืองกาํ เนิดสัญญาณเสียง 2 ตวั
2) ลําโพง เสน
3) สายไฟ
4. วิธที าํ กจิ กรรม
1) ตอเคร่ืองกําเนิดสัญญาณเสียงกับลําโพง 2 ตัว หมุนปุมเลือกความถ่ีไปที่ 3 กิโลเฮิรตซ และปรับความดัง
ของเสียงให ดังพอสมควร
2) วางลําโพงไวท่ขี อบโตะ จัดหนาลาํ โพงหนั ออกนอกโตะ ดงั รปู
3) ฟงเสียงทางดานหนาลําโพง ณ ตําแหนงตางๆ กันในแนวขนานกับขอบโตะ เปรียบเทียบความดังของเสยี ง
ณ ตาํ แหนงตา งๆ ตามแนวทฟ่ี ง เสยี ง
5. ผลการทาํ การทดลอง
เสยี งท่ีไดยนิ จากลาํ โพง 2 ตวั ตอพวงกนั พบวา บางตาํ แหนงจะไดย ินเสียงดงั บางตําแหนงจะไดยนิ เสียงคอย
6. คาํ ถามทา ยการทดลอง
1) ความถข่ี องเสียงจากลาํ โพงทง้ั สองตัวแตกตางกันหรือไม อยา งไร
ตอบ ไมแตกตา งกัน เพราะเปนเสียงจากเคร่ืองกําเนิดสัญญาณเสียงเดียวกัน
2) ความดังของเสยี งทไ่ี ดย นิ ณ ตาํ แหนง ตาง ๆ เมอื่ ใชล าํ โพง 2 ตวั เปน อยา งไร และจะอธบิ ายไดอ ยางไร
ตอบ บางตําแหนงไดยินเสียงดัง บางตําแหนงไดยินเสียงคอย ตําแหนงที่ไดยินเสียงดังเกิดจากการรวมกันแบบ
เสรมิ และตาํ แหนงทไ่ี ดยินเสยี งคอ ยเกดิ จากการรวมกันแบบหกั ลา ง
7. สรุปผลการทดลอง
จากการทําการทดลอง พบวา เม่ือใชลําโพง 2 ตวั ตอ พวงกัน จะมคี วามถเี่ ทากันเพราะเปน เสยี งท่ีมา
จากเครอ่ื กําเนดิ สัญญาณเสียงเดียวกัน ในการยินฟง เสยี ง ณ บางตาํ แหนง จะไดยินเสียงดงั ทบ่ี างตาํ แหนงจะได
ยินเสียงคอย เน่ืองจากตําแหนงที่ไดยินเสียงดังเกิดจากการรวมกันแบบเสริมกันของคล่ืนเสียง และตําแหนงที่
ไดย ินเสยี งคอย เกดิ จากการรวมกนั แบบหักลา งกันของคลื่นเสียง ดังน้นั สามารถสรุปไดว า เสยี งมกี ารแทรกสอด
เชนเดยี วกบั คลืน่ อน่ื ๆ
แผนการจดั การเรยี นรทู ี่ 29
กลมุ สาระการเรียนรูวทิ ยาศาสตร รายวิชา ว32201 วิชาฟสิกสเ พม่ิ เตมิ
หนว ยการเรียนรู 12 เรอ่ื ง เสียง(ความเขมเสียง ระดับเสยี งความถ่ีเสียงกับการไดยิน และคุณภาพเสยี ง)
ช้นั ม.5 เวลาเรยี น 2 คาบ
ครูผสู อน นศ.ปส.นศั รนู การีนา ครูพเ่ี ลี้ยง ครูจาตุรงค พรหมสถิตย
โรงเรียนคณะราษฎรบํารงุ จังหวดั ยะลา สพม.15
1. มาตรฐานการเรียนรู :
ว 5.2 เขาใจการเคล่ือนที่แบบฮารมอนิกสอยางงาย ธรรมชาติของคล่ืน เสียงและการไดยิน
ปรากฏการณท ่เี กย่ี วขอ งกับเสียง แสงและการมองเห็น ปรากฏการณท ่เี กย่ี วขอ งกับแสง รวมท้ังนําความรไู ป
ใชประโยชน
2. ผลการเรยี นรู :
1. อธิบายการเกิดเสียง การเคล่ือนที่ของเสียง ความสัมพันธระหวางคล่ืนการกระจัดของอนุภาคกับ
คลื่นความดัน ความสัมพันธระหวางอัตราเร็วของเสียงในอากาศที่ข้ึนกับอุณหภูมิในหนวยองศาเซลเซียส
การสะทอน การหักเห การแทรกสอด การเล้ียวเบน ของคลื่นเสียง รวมท้ังคํานวณปริมาณตาง ๆ ที่
เกีย่ วขอ ง
3. จดุ เนน (สพฐ., สพม., โรงเรยี น/อตั ลกั ษณ)
มงุ ม่ันในการศกึ ษาและการทาํ งาน
แสวงหาความรเู พื่อการแกป ญหา
มีทักษะการคิดขนั้ สูง
4. สาระสาํ คัญ :
พลังงานเสียงท่ีสงออกจากแหลงกําเนิดเสียงในหน่ึงหนวยเวลา เรียกวา กําลังเสียง (power of a
sound)กําลังเสียงท่ีแหลงกําเนิดเสียงสงออกไปตอหนวยพ้ืนที่ที่ต้ังฉากกับทิศทางการเคล่ือนท่ีของคลื่นเสียง
เรียกวา ความเขมเสียง (sound intensity) ซึ่งหาไดจาก = ในกรณีแหลงกําเนิดเสียงเปนจุด
= ในการบอกความดังของเสียงพจิ ารณาจากสเกลลอการิทมึ เรียกวา ระดบั เสียง (sound level)
ตามสมการ = 10
เสียงจากแหลงกําเนิดเสียงตาง ๆ มีระดับสูงต่ําของเสียงและคุณภาพเสียงที่ตางกัน ระดับสูงต่ําของ
เสียง (pitch)สัมพันธก ับความถี่ของเสยี ง เสียงทมี่ คี วามถ่ีสูง เรยี กวา เสียงสูงหรอื เสียงแหลม เสยี งทม่ี คี วามถ่ี
ต่ํา เรียกวา เสียงตํ่าหรือเสียงทุม สวนคุณภาพเสียง (quality of sound)เปนลักษณะเฉพาะของเสียงท่ีทํา
ใหผูฟงจําแนกเสียงนั้น ๆ เสียงท่ีมีคุณภาพเสียงตางกันมีรูปแบบของเสียงแตกตางกัน ท้ังนี้เพราะเสียงแตละ
รปู แบบเกิดจากผลรวมของหลายฮารมอนิกและแอมพลจิ ดู แตละฮารมอนิกที่แตกตางกนั
เสียงรบกวนเปนเสียงท่ีดังหรือมีระดับเสียงสูง และกอใหเกิดความรําคาญ ถือวาเปนมลพิษทางเสียง
(noise pollution) อาจเปนอันตรายตอสุขภาพและจิตใจ การลดหรือควบคุมระดับเสียง อาจทําได 3 วิธีคือ
การควบคุมท่แี หลง กาํ นดิ เสยี ง การควบคมุ ทางผานของเสียง และการควบคมุ ที่ผรู บั ฟงเสยี ง
5. จดุ ประสงคการเรียนรู
5.1 ดา นความรู (Knowledge; K)
1) อธบิ ายความเขมเสียงได
2) อธิบายระดับเสียงความสัมพันธร ะหวา งระดับเสยี งและความเขมเสียงได
3) อธบิ ายระดบั เสยี งและความถ่ีที่มผี ลตอการไดย นิ
4) อธบิ ายระดับสูงตํา่ ของเสียงและคุณภาพเสยี ง
5.2 ดา นทักษะกระบวนการ (Process; P)
1) คาํ นวณหาปริมาณตางๆ ท่ีโจทยกําหนด
5.3 ดานคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค (Attitude; A)
1) เปนผูมีความรับผดิ ชอบและเปนผูม ีความมงุ ม่นั ในการทํางาน
6. สมรรถนะสาํ คญั :
สมรรถนะสําคัญของผูเรียนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้นั พื้นฐาน มุงใหผเู รียนเกิดสมรรถนะสาํ คัญ 5 ประการ ดงั น้ี
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกปญหา
4. ความสามารถในการใชทักษะชีวิต
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
7. บรู ณาการ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง อาเซียน ทอ งถิ่น
สงเสริมใหนักเรียนเรียนรูคําศัพทเฉพาะภาษาอังกฤษท่ีเก่ียวกับเสียง และเสริมแนวทางการนําความรูเรื่อง
เสยี ง ไปใชอธิบายปรากฏการณท่เี กดิ ขึน้ และแกป ญ หาในทองถน่ิ
8. สื่อ/แหลง เรยี นรู :
9.1 หนังสอื เรียนรายวชิ าเพิ่มเติมวิทยาศาสตร (ฟส ิกส) ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 5 เลม 4 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.
2560)
9.2 หองสมุด
9.3 อินเทอรเ น็ต
9.การวดั และประเมนิ ผล :
จดุ ประสงคก ารเรยี นรู วธิ ีการวดั เครอ่ื งมือ เกณฑการประเมนิ
ดา นความรู (K)
1) อธบิ ายความเขม เสียงได 1) ต ร ว จ ก ร ะ ด า ษ 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
2) อธิบายระดับเสียงความสัมพันธระหวาง ปรูฟ (นํ้าตาล)ของแต ทาํ กิจกรรม สรุปเน้ือหาท่ีศึกษา
ระดับเสียงและความเขม เสยี งได ล ะ ก ลุ ม ที่ ไ ด จ า ก และทําความเขาใจได
3) อธิบายระดบั เสยี งและความถ่ที ี่มีผลตอการ การศึกษาคนควา ระดับดี ผา นเกณฑ
ไดยิน
4) อธิบายระดับสูงต่ําของเสียงและคุณภาพ
เสียง
ดา นกระบวนการ (P)
1) คาํ นวณหาปรมิ าณตา งๆ ทีโ่ จทยก ําหนดได 1) ตรวจแบบฝก หัด 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
ทํากจิ กรรม ทํ า แ บ บ ฝ ก หั ด ไ ด
ระดบั ดี ผานเกณฑ
ดานคุณลักษณะ (A)
1) เปน ผูมีความรบั ผดิ ชอบและ 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนทําภาระ
เปน ผมู คี วามมุงมน่ั ในการทํางาน เรอื่ ง การสะทอ นของ ทํากจิ กรรม ง า น ท่ี ไ ด รั บ
เสยี ง มอบหมายไดระดับดี
2) ตรวจแบบฝกหดั ผานเกณฑ
10. กจิ กรรมการเรยี นรู :
ขน้ั ที่ 1 ขัน้ สรางความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรูเดิม เร่ือง พฤตกิ รรมของเสียง
1.2 ครูถามนักเรียนวาเสียงเกิดข้ึนไดอยางไรและเสียงมาถึงผูฟงไดอยางไร (แนวการตอบ
เสียงเกดิ จากการส่ันของแหลงกําเนิดเสียง และถา ยโอนพลังงานใหอนภุ าคของอากาศที่อยูรอบๆ แลว
ถายโอนตอ กนั เปน ทอดๆ มาถึงผูฟง แลวไดย นิ เสยี ง)
1.3 ครตู ้งั คาํ ถามเพอ่ื นําเขาสกู ารทํากิจกรรม
1) ถาเปดวิทยุไวกลางสนาม แลวเดินหางจากวิทยุออกไปเรื่อยๆ เสียงท่ีไดยินจาก
วิทยจุ ะเปนอยา งไร (แนวการตอบ เสียงจะดังคอยลงเร่อื ยๆ ตามระยะที่เพ่มิ ขึน้ )
2) ครูช้ีใหนักเรียนเห็นวาผูฟงจะไดยินเสียงจากแหลงกําเนิดเสียงนั้นมีองคประกอบ
หลายประการ โดยความเขมเสียงเปนองคประกอบหนงึ่ ของการไดยิน
3) นกั เรียนคดิ วา คําวา “ระดับเสียง” หมายความวา อยา งไร
4) นกั เรียนคดิ วา คําวา “ความถเ่ี สยี งกับการไดยิน” หมายความวาอยางไร
5) นักเรียนคิดวา คําวา “คุณภาพเสียง” หมายความวา อยางไร
ขั้นท่ี 2 ขน้ั สาํ รวจและคน หา
2.1 จัดกลุม นักเรยี น กลุมละประมาณ 8 คน โดยใหสมาชกิ แตละกลุมมีความรคู วามสามารถ
ทีค่ ละกันกลมุ น้จี ะเปนกลุมประจํา
2.2 ครูจัดแบงเนื้อหาทีจ่ ะเรยี นเปน เนือ้ หายอย ๆ เทา กบั จาํ นวนสมาชิกในกลุมของนักเรยี น
อาจจัดทาํ เปนบทเรยี นหนา เดียวกไ็ ด
2.3 ใหสมาชิกในแตละกลุมจับฉลากหมายเลขของเนื้อหา คนละ 1 ฉลาก เพ่ือรับผิดชอบใน
การศึกษาหวั ขอยอยของเนื้อหา คนละ 1 หัวขอ
2.4 ใหนักเรียนแตละคนศึกษาและทําความเขาใจเน้ือหาตามหมายเลขท่ีตัวเองได ซึ่งครูติด
เนอ้ื หาบนโตะ
2.5 นักเรียนแตละคนท่ีศึกษาและทําความเขาใจเน้ือหา (ใชเวลา 15 นาที) ใหกลับไปยังกลุม
ตนเองแลวอธิบายความรทู ี่ไดจ ากการศกึ ษาและทําความเขาใจในเนื้อหาท่ีไดร บั มอบหมายใหเพอ่ื นฟง
2.6 นกั เรยี นแตละกลมุ ชวยกันสรปุ ความรทู ี่ไดใ นการศึกษาลงในกระดาษปรูฟ (นาํ้ ตาล)
ขน้ั ท่ี 3 ขน้ั อธบิ ายและลงขอสรปุ
3.1 ครูสุมนักเรียน 2 กลุม ออกมานําเสนอผลการสืบคนของกลุมตนเองหนาชั้นเรียน
(https://random.thaiware.com/) หรอื โปรแกรม Super Soomm And Goomm
3.2 ครูนาํ นักเรยี นอภิปรายเพ่อื นําไปสกู ารสรปุ โดยใชค ําถามตอ ไปนี้
1) การที่เราไดยินเสียงดังเสียง-คอย ข้ึนอยูกับพลังงานของเสียงที่สงมาถึงหูอยางไร
(แนวการตอบ การไดยินเสียงดังคอยข้ึนกับพลังงานของคลื่นเสียง โดยพลังงานของคลื่นเสียงข้ึนกับ
แอมพลจิ ดู ของคล่นื เสยี ง)
2) คําวา “ความเขม เสยี ง” หมายความวาอยางไร (แนวการกําลงั เสยี งที่แหลง กําเนิด
เสียงสงออกไปตอหนวยพ้ืนท่ีท่ีตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนท่ีของคล่ืนเสียงสวนพลังงานเสียงเปนผล
คณู ระหวางกําลัง เสียงท่แี หลง กําเนิดเสียงสงออกไปกับเวลา)
3) เดซิเบลเปน หนว ยของคาใด (แนวการตอบ ระดับเสียง)
4) การไดยินเสียงนอกจากจะขึ้นอยูกับระดับเสียงแลวยังขึ้นอยูกับคาใด (แนวการ
ตอบ ความถ่เี สียง)
5) ความเขมเสียงมีผลตอการไดยินเสียงดัง-คอยอยางไร (แนวการตอบ ความเขม
เสียงมีผลตอความดังของเสียงท่ีไดยิน โดยความเขมเสียงมากไดยินเสียงดังกวาขณะความเขมเสียง
นอ ย)
6) เสียงเบาท่ีสุดที่คนปกติสามารถไดยินมีความเขมเสียงตางกัน ขึ้นอยูกับคาใด
(แนวการตอบ ความถีเ่ สยี ง)
7) ทคี่ วามถ่ี 1000 เฮริ ตซเสยี งเบาท่สี ุดทีม่ นุษยสามารถไดยนิ มีความเขม เสยี งเทาใด
(แนวการตอบ 10-12 W/m2)
8) ท่ีความถ่ี 1000 เฮิรตซเสียงดังที่สุดท่ีไมเปนอันตรายตอแกวหู มีความเขมเสียง
เทาใด (แนวการตอบ 1 W/m2)
9) สาํ หรับเสยี งความถี่ 1000 เฮริ ตซทีม่ นษุ ยไดยนิ และไมเปน อันตรายตอหูอยใู นชวง
กเี่ ดซเิ บล (แนวการตอบ อยใู นชวง 0-120 เดซเิ บล)
10) สัตวแตละชนิดจะไดยินเสียงในชวงความถี่เหมือนหรือแตกตางกัน (แนวการ
ตอบ แตกตา งกัน)
11) มนุษยสามารถไดยินเสียงที่มีระดับเสียงตํ่ากวา 0 เดซิเบล ไดหรือไม (แนวการ
ตอบ ไดข ้นึ อยูก ับความถข่ี องเสียง เชน เสยี งความถ่ปี ระมาณ 1800-5300 เฮิรตซ)
12) มนุษยสามารถไดยินเสียงท่ีมีระดับเสียงเกินกวา 120 เดซิเบล โดยไมเจ็บปวด
ไดหรือไม (แนวการตอบ ไดขึ้นอยูกับความถี่ของเสียง เชน เสียงความถี่ประมาณ 20-720 เฮิรตซและ
เสียงความถ่ีสูงกวา ประมาณ 10000 เฮิรตซ)
13) การที่มนุษยไดยินเสียงสูงเสียงตํ่า ข้ึนอยูกับส่ิงใดของเสียง (แนวการตอบ
ความถีเ่ สยี ง)
14) มนุษยสามารถจําแนกเสียงที่ไดยินจากแหลงกําเนิดเสียงที่ตางกันไดอยางไร
(แนวการตอบ ไดข้ึนอยูกับความถ่ีของเสียง เชน เสียงความถ่ีประมาณ 20-720 เฮิรตซและ เสียง
ความถี่สงู กวา ประมาณ 10000 เฮิรตซ)
15) เสียงที่มีความถี่สูงมีระดับสูงตํ่าของเสียงสูง เรียกวาอีกอยางวา (แนวการตอบ
เสยี งสงู หรือเสียงแหลม)
16 )เสียงท่ีมีความถี่ต่ํา มีระดับสูงต่ําของเสียงตํ่า เรียกวาอีกอยางวา (แนวการตอบ
เสยี งต่าํ หรอื เสยี งทมุ )
17) ขลยุ แคน ซอ โดยเลน โนต ตวั เดยี วกนั ทาํ ไมเสยี งจากเครอ่ื งดนตรีตางชนิดกันจึง
ใหเสยี งท่แี ตกตา งกัน (แนวการตอบ เพราะเครอ่ื งดนตรีแตละชนิดมคี ุณภาพเสียงแตกตาง)
18) เสียงที่ไดยินมีลักษณะเฉพาะตัวแตกตางกันเรียกวา (แนวการตอบ มีคุณภาพ
เสียงแตกตา งกนั )
3.3 นกั เรยี นและครูรวมกันอภปิ รายและสรุปการศึกษาคนควาจนไดข อสรปุ เร่ือง ความเขม
เสยี งระดับเสยี ง ความถีเ่ สยี งกบั การไดย นิ และคุณภาพเสียง
ขน้ั ที่ 4 ขัน้ ขยายความรู
4.1 ครอู ธิบายใหค วามรเู พิม่ เติมเกย่ี วกบั สมการและตัวแปรทเ่ี กี่ยวของ
4.2 ครูอธิบายใหความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องวัดระดับเสียง (sound level meter) ใน
หนังสอื เรยี น หนา 25
4.3 ครูอธิบายใหค วามรูเพิม่ เตมิ เกยี่ วกับหนว ยฟอน ในหนังสือเรยี น หนา 37
4.4 ครูอธิบายตวั อยา งโจทยป ญหา ในหนงั สือเรียน หนา 23 และ 25
4.5 ครใู หนกั เรยี นแตละคนเลาสูกันฟงถึงความรูท่ีไดจ ากการทาํ กิจกรรม และปญ หาที่เกิดขึ้น
ระหวา งการทํากิจกรรม
ขนั้ ท่ี 5 ขน้ั ประเมินผล
5.1 นักเรยี นสงกระดาษปรูฟ (นํ้าตาล) ของแตละกลมุ ที่ไดจากการศึกษาคน ควา
5.2 นกั เรยี นทําแบบฝกหดั 12.2 ในหนังสอื เรยี น หนา 34 ขอ 1. – 5.
11. บันทกึ หลังสอน : ม. 5/2 ม.5/5
หัวขอ
ชัน้
ผลการจัดการเรยี นการสอน
ความรูค วามสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ
หวั ขอ ม. 5/2 ม.5/5
ชั้น
คณุ ลักษณะอนั พงึ
ประสงค
ปญหา/อุปสรรค
ความรคู วามสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ
คุณลักษณะอันพงึ
ประสงค
แนวทางแกไข
ความรูความสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ
หวั ขอ ม. 5/2 ม.5/5
ช้ัน
ลงชื่อ…………………………………………………
คุณลักษณะอันพึง (……………………………………………………..)
ประสงค
ครูผูสอน
ความคิดเหน็ ของหัวหนา กลุมสาระการเรยี นรู
ลงชอ่ื …………………………………………………
(……………………………………………………..)
หัวหนา กลุมสาระการเรยี นรู
ความเหน็ ของรองผูอํานวยการกลุมบรหิ ารวิชาการ/ผูบ รหิ าร หรือผูทไ่ี ดรบั มอบหมาย
ลงชือ่ …………………………………………………
(……………………………………………………..)
ตําแหนง …………………………………………..
ฉลากหมายเลข
12345
67
ความเขม เสยี ง(sound intensity) หมายเลข
1
ความเขม เสียงเสียงเกิดจากการสัน่ ของแหลง กําเนิดเสียงและเกดิ การถายโอนพลังงาน
ไปยังอนุภาคอากาศท่ีอยูรอบๆจนกระทั่งถึงหูเราทําใหเราไดยินเสียงเสียงที่หูไดยนิ อาจจะดัง
หรือคอยข้ึนอยูกับพลังงานของคล่ืนเสียงโดยพลังงานของคลื่นเสียงจะมากหรือนอยก็ข้ึนอยู
กั บ แ อ ม พ ลิ จู ด ข อ ง ค ลื่ น เ สี ย ง นั้ น ท้ั ง นี้ แ อ ม พ ลิ จู ด ข อ ง ค ล่ื น เ สี ย ง ขึ้ น อ ยู กั บ
แอมพลิจูดการส่ันของแหลงกําเนิดเสียงหรือข้ึนอยูกับพลังงานของแหลงกําเนิดเสียง
รูป12.8แสดงการเปรียบเทียบเสียงท่ีมีความยาวคล่ืนทากันแตมีแอมพลิจูดตางกันจะเห็นวา
เสียงที่มีแอมพลิจูดมากกวา (รูป 12.8ก.) จะมีความดันอากาศท่ีเปล่ียนไปมากกวา(อนุภาค
ของตัวกลางเบียดเขาใกลกันไดชิดมากกวา หรือความสูงของรูปคล่ืนสูงกวา)เมื่อเทียบกับ
เสียงท่ีมีแอมพลิจูดนอยกวา (รูป12.8 ข.) ซ่ึงมีความดันอากาศท่ีเปลี่ยนไปนอยกวา(อนุภาค
ของตัวกลางเบยี ดเขาใกลกนั ไดชิดนอยกวา หรอื ความสูงของรปู คล่ืนต่าํ กวา )
รปู 12.8 การเปรยี บเทยี บเสียงที่มีมาก (ก.) กบั เสียงทม่ี ีแอมพลจิ ดู นอย (ข.)
กําลงั เสยี ง (power of a sound)
อัตราการถายโอนพลังงานเสียงของแหลงกําเนิด มีคาเทากับพลังงานเสียงที่ออกจาก
แหลงกําเนิดตอ หนว ยเวลา ซ่ึงเรียกวา กําลงั เสียง (power of a sound) ผฟู ง จะไดยนิ เสยี ง
จากแหลงกําเนิดเสียงที่มีกําลังเสียงมาก ดังกวาเสียงจากแหลงกํานิดเสียงที่มีกําลังเสียงนอย
เมอื่ อยูหา งจากแหลง กําเนดิ เสียงเทา กัน
กําลังเสียงที่แหลงกําเนิดเสียงสงออกไปตอหนวยพ้ืนที่ที่ตั้งฉากกับทิศทางการ
เคลอื่ นท่ีของคลืน่ เสียง เรียกวาความเขมเสยี ง (sound intensity)
สมการความเขม เสียงและกําลังเสียง หมายเลข
2
= เมอ่ื คอื ความเขมเสียง มีหนวยวตั ตตอ ตารางเมตร
คือ กาํ ลังเสียงของแหลงกาํ เนิดเสียง มหี นวยวัตต
คอื พ้ืนทีท่ เ่ี สียงเคล่ือนทีผ่ า นในทศิ ตั้งฉาก มีหนว ยตารางเมตร
โดยความเขมเสียงมีคาลดลงเม่ือระยะหางจากแหลงกําเนิดเสียงมากข้ึน สําหรับ
แหลง กําเนดิ เสียงทเ่ี ปนจดุ จะแผคล่นื เสียงออกมาทุกทิศทางโดยมลี กั ษณะเปนพ้ืนผวิ ทรงกลม
ทม่ี แี หลงกําเนดิ เสียงอยูท ีศ่ ูนยกลางของทรงกลมความเขม สยี งจากแหลงกําเนิด ณตําแหนงที่
อยูหางจากแหลง กําเนดิ เสยี งเปน ระยะ r มีคา
=4
น่ันคือความเขมเสียงแปรผกผันกับกําลังสองของระยะหางจากแหลงกําเนิดเสียงเชน
ที่ระยะหางจากแหลงกําเนิดเสียง (ที่เปนจุด) เปนระยะ r, 2r และ 3r มีความเขมเสียงเปน
, /4 และ /9 ตามลาํ ดบั ดังรปู 12.9
รูป 12.9 การเปรยี บเทยี บความเขมเสยี งท่ตี าํ แหนงหา งจากแหลงกําเนดิ เสียงเปน ระยะตา งๆ
ระดับเสยี ง (sound level) หมายเลข
3
การไดยินของคนปกติ พบวา ความเขมเสียงที่มนุษยสามารถไดยินอยูในชวงที่กวาง
มาก เชน ที่ความถี่เสียง 100 เฮิรตซ เสียงท่ีเบาสุดมนุษยสามารถไดยินมีความเขม 10-12
วัตตตอตารางเมตร และเสียงที่ดังท่ีสุดที่ไมเปนอันตรายตอแกวหู มีความเขม 1 วัตตตอ
ตารางเมตร เพื่อลดชวงที่กวางมาก จึงพิจารณาการไดยินจากปริมาณที่ใชสเกลลอการิทึม
(logarihmic scale) และเรียกปริมาณนวี้ า ระดับเสยี ง (sound level)ดงั นี้
เมื่อ คือ ระดับเสยี ง มหี นวย เดซิเบล (dB)
= 10 คอื ความเขมเสียงทพ่ี จิ ารณา มหี นว ยวตั ตตอ ตารางเมตร (W/m2)
คือ ความเขมเสียงอางองิ มคี าเทา กับ (1.0 x 10-12 W/m2)
ตาราง 12.2 ระดับเสียงจากแหลง กําเนดิ ตางๆ
แหลง กาํ เนิด ระดบั เสยี ง ผลการรบั ฟง
(เดซเิ บล: dB)
การหายใจปกติ 10 แทบจะไมไ ดย นิ
การกระซบิ แผวเบา 30 เงียบมาก
สาํ นักงานทเ่ี งยี บ 50 เงยี บ
การพดู คยุ ธรรมดา 60 ปานกลาง
เครอ่ื งดดู ฝุน 75 ดงั
โรงงานทวั่ ไป, ถนนทม่ี ีการจราจรหนาแนน 80 ดัง
เครอ่ื งเสยี งสเตอรโิ อในหอง 90 รบั ฟงบอ ยๆ
เครือ่ งเจาะถนนแบบอัดลม 90 การไดย นิ
เครอ่ื งตัดหญา 100 จะเสอ่ื ม
ดิสโกเธค, การแสดงดนตรีประเภทร็อก 120 อยา งถาวร
ฟาผา ระยะใกล 130 ไมส บายหู
เคร่อื งบนิ ไอพน ขนึ้ ระยะใกล 150 เจบ็ ปวดในหู
เครือ่ งยนตจรวดขนาดใหญใ นระยะใกล 180 แกวหชู ํารุดทันที
เรอื่ ง ความถเ่ี สยี งกบั การเริ่มไดย นิ หมายเลข
4
สําหรับเสียงท่ีมีความถ่ี 100 เอิรตชระดับเสียงท่ีมนุษยไดยินจะอยูในชวง 0 จนถึง 120
เดซิเบลหากเสยี งมีความถ่เี ปล่ียนไประดับเสยี งที่ไดยนิ ก็จะเปลยี่ นไปดวย เชนเสยี งความถ่ี 100
เฮิรตช ระดับเสียงท่ีเบาท่ีสุดท่ีมนุษยไดยินมีคาประมาณ 35 เดซิเบล ดังรูป 12.10
ซึ่งแสดงความสัมพันธระหวางระดับเสียงที่ความถี่ตาง ๆจะเห็นวา การท่ีเราจะไดยินเสียงที่มี
ความถ่ีต่ําน้ันเสียงนั้นจะตองมีระดับเสียงสูงกวาการไดยินเสียงที่มีความถ่ีสูงกวานอกจากนี้จะ
เห็นวา ขีดเร่ิมเปล่ียนของการไดยิน (threshold of hearing) และขีดเร่ิมเปล่ียนของการ
เจ็บปวด(threshold of pain) สําหรับเสียงแตล ะความถ่ีน้ันมคี า ไมเทากนั
รูป 12.10 ความสมั พันธร ะหวางระดบั เสียงที่มนษุ ยไดยินทคี่ วามถต่ี างๆ
ชว งความถเี่ สยี งท่สี ัตว- มนุษยผลติ หมายเลข
และชวงความถเ่ี สียงทม่ี นุษย- สัตวไ ดย ิน 5
มนุษยไดยินเสียงในชวงความถี่หนึ่ง สําหรับสัตวอื่นๆจะไดยินเสียงในชวงความถ่ีหน่ึง
ๆเชน กนั และตา งกส็ ามารถใหเสยี งทีม่ ีชว งความถ่ีตางๆกันดวยซ่งึ พิจารณาไดจ ากรปู 12.11
รปู 12.11 แผนภาพแสดงชวงความถเ่ี สยี งที่สตั ว- มนุษยผลิต
และชวงความถ่ีเสยี งทม่ี นษุ ย-สัตวไ ดยิน
ระดับสงู ต่ําของเสียง หมายเลข
6
ระดับสูงตํ่าของเสียงเม่ือเราไดยนิ เสียงพูด เสียงดนตรหี รือเสยี งรองเพลงบางคน
อาจบอกวาเสียงนี้เปนเสียงสูงหรือเสียงต่ําการระบุวาเปนเสียงสูงเสียงตํ่า เสียงแหลม
เสียงทุมนี้เปนการบอกถึงระดับสูงต่ําของเสียง (pitch)ซ่ึงเปนการบอกในเชิงคุณภาพ
ข้ึนอยูกับผูฟงแตละคนบางคนอาจบอกวาเสยี งนี้สูงมาก ในขณะท่ีอีกคนหน่ึงบอกวาเปน
เสียงสูงธรรมดา ปริมาณที่สัมพันธกับระดับสูงต่ําของเสียงคือความถี่ของเสียง ซ่ึงเปน
การบอกในเชิงปริมาณสามารวัดคาเปนตัวเลขเพ่ือใชเปรียบเทียบกันไดโดยตรง
โดยทวั่ ไป เมอ่ื กลาวถึงเสียงสงู (high pitch) หรือเสยี งแหลม (treble) หมายถึงเสียง
ท่ีมีความถีส่ ูงและเสียงต่ํา (low pitch) หรอื เสียงทุม (bass) หมายถงึ เสียงทีม่ ีความถ่ี
ต่ํา
รูป 12.12 การเปรียบเทียบเสยี งท่ีมคี วามถ่ีสงู (ก.) กบั เสียงท่มี ีความถีต่ ํา่ (ข.)
คณุ ภาพเสยี ง (quality of sound) หมายเลข
7
เครื่องดนตรีสองชนิดเชนเปยโน และ ขลุยเลนตัวโนตตัวเดียวกันที่มีความถี่
เทากัน แตเราก็สามารถแยกไดวาเสียงใดเปนเสียงจากเปยโนเสียงใดเปนเสียงจากขลุย
ในวิชาฟสิกสเราบอกวาเสียงจากเครื่องดนตรีท้ังสองนี้มีคุณภาพเสียง (quality of
sound)แตกตางกันคุณภาพเสียงในวิชาฟสิกสจึงไมใชการระบุวาเสียงจากเคร่ืองตนตรี
ชนิดใดดีกวากันหรือไพเราะกวากันแตเปนการบอกถึงรูปแบบของเสียงที่มีความ
เฉพาะตัวของเครอื่ งดนตรีแตล ะชนดิ คลา ยกบั ลายนว้ิ มือของแตละคน
เมื่อเครื่องคนตรีเลนโนตตัวหน่ึง เคร่ืองดนตรีจะผลิตเสียงท่ีมีความถี่หลายคา
ออกมาพรอมกันเรียกวาอารมอนิก (harmonics)เสียงที่มีความถี่ต่ําสุดเรียกวาฮารมอ
นิกท่ีหน่ึง (first harmonic) หรือความถ่ีมูลฐาน(fundamental frequency)เสียง
ที่เหลือจะมีความถ่ีเปนจํานวนเต็มเทาของความถ่ีมูลฐานฮอรมอนิกท่ีสองมีความถ่ีเปน
สองเทาของความถ่ีมูลฐานฮารมอนิกที่สามมีความถี่เปนสามเทาของความถี่มูลฐานเปน
ตน หรือเขียนแทนดวย = โดย คือความถี่ของฮารมอนิกท่ี1หรือ ความถี่
มลู ฐาน ซ่ึงเปนความถ่ีตํา่ สดุ ของการสัน่ ฮารมอนกิ เหลา นี้จะรวมกันเปน สียงทีเ่ ราไดยินดัง
ตวั อยา งในรูป 12.13
รปู 12.13 การรวมฮารมอนกิ ตางๆ ที่มแี อมพลจิ ดู ตางกนั
แผนการจัดการเรยี นรูที่ 30 รายวิชา ว32201 วิชาฟส ิกสเพิม่ เติม
กลุมสาระการเรียนรวู ทิ ยาศาสตร ชน้ั ม.5 เวลาเรยี น 2 คาบ
หนวยการเรียนรู 12 เรือ่ ง เสียง(มลพิษทางเสียงและการปองกนั )
ครผู ูส อน นศ.ปส.นศั รนู การนี า ครูพีเ่ ลยี้ ง ครจู าตรุ งค พรหมสถิตย
โรงเรยี นคณะราษฎรบาํ รุง จังหวดั ยะลา สพม.15
1. มาตรฐานการเรยี นรู :
ว 5.2 เขาใจการเคล่ือนที่แบบฮารมอนิกสอยางงาย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการไดยิน
ปรากฏการณท เี่ กย่ี วของกบั เสยี ง แสงและการมองเห็น ปรากฏการณท เี่ ก่ยี วของกบั แสง รวมท้ังนาํ ความรไู ป
ใชป ระโยชน
2. ผลการเรียนรู :
1. อธิบายการเกิดเสียง การเคลื่อนที่ของเสียง ความสัมพันธระหวางคลื่นการกระจัดของอนุภาคกับ
คลื่นความดัน ความสัมพันธระหวางอัตราเร็วของเสียงในอากาศท่ีข้ึนกับอุณหภูมิในหนวยองศาเซลเซียส
การสะทอน การหักเห การแทรกสอด การเล้ียวเบน ของคลื่นเสียง รวมทั้งคํานวณปริมาณตาง ๆ ท่ี
เก่ยี วของ
3. จดุ เนน (สพฐ., สพม., โรงเรียน/อตั ลกั ษณ)
มงุ ม่ันในการศกึ ษาและการทาํ งาน
แสวงหาความรูเพ่ือการแกปญหา
มีทักษะการคดิ ข้ันสูง
4. สาระสําคัญ :
พลังงานเสียงท่ีสงออกจากแหลงกําเนิดเสียงในหนึ่งหนวยเวลา เรียกวา กําลังเสียง (power of a
sound)กําลังเสียงท่ีแหลงกําเนิดเสียงสงออกไปตอหนวยพื้นท่ีท่ีต้ังฉากกับทิศทางการเคล่ือนที่ของคลื่นเสียง
เรียกวา ความเขมเสียง (sound intensity) ซึ่งหาไดจาก = ในกรณีแหลงกําเนิดเสียงเปนจุด
= ในการบอกความดงั ของเสียงพิจารณาจากสเกลลอการทิ มึ เรียกวา ระดับเสียง (sound level)
ตามสมการ = 10
เสียงจากแหลงกําเนิดเสียงตาง ๆ มีระดับสูงต่ําของเสียงและคุณภาพเสียงท่ีตางกัน ระดับสูงตํ่าของ
เสยี ง (pitch)สัมพันธกับความถี่ของเสยี ง เสียงทมี่ ีความถี่สูง เรยี กวา เสยี งสูงหรอื เสียงแหลม เสียงทมี่ ีความถ่ี
ต่ํา เรียกวา เสียงตํ่าหรือเสียงทุม สวนคุณภาพเสียง (quality of sound)เปนลักษณะเฉพาะของเสียงท่ีทํา
ใหผูฟงจําแนกเสียงน้ัน ๆ เสียงที่มีคุณภาพเสียงตางกันมีรูปแบบของเสียงแตกตางกัน ทั้งนี้เพราะเสียงแตละ
รูปแบบเกดิ จากผลรวมของหลายฮารมอนิกและแอมพลจิ ดู แตละฮารมอนกิ ท่ีแตกตางกัน
เสียงรบกวนเปนเสียงที่ดังหรือมีระดับเสียงสูง และกอใหเกิดความรําคาญ ถือวาเปนมลพิษทางเสียง
(noise pollution) อาจเปนอันตรายตอสุขภาพและจิตใจ การลดหรือควบคุมระดับเสียง อาจทําได 3 วิธีคือ
การควบคมุ ท่แี หลง กาํ นิดเสยี ง การควบคุมทางผา นของเสียง และการควบคมุ ทีผ่ รู ับฟง เสยี ง
5. จุดประสงคการเรยี นรู
5.1 ดานความรู (Knowledge; K)
1) อธิบายมลพิษทางเสยี งทม่ี ีตอสุขภาพและการปอ งกัน
5.2 ดานทักษะกระบวนการ (Process; P)
1) นกั เรียนสามารถจดั กระทําและส่อื ความหมายของขอมูลทีศ่ กึ ษาคน ควา ได
5.3 ดา นคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค (Attitude; A)
1) เปน ผมู คี วามรบั ผดิ ชอบและเปนผมู ีความมุงม่ันในการทํางาน
6. สมรรถนะสําคัญ :
สมรรถนะสําคัญของผูเรียนหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน มุงใหผูเรยี นเกดิ สมรรถนะสําคญั 5 ประการ ดังน้ี
1. ความสามารถในการสือ่ สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกปญ หา
4. ความสามารถในการใชทกั ษะชวี ติ
5. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี
7. บูรณาการ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซยี น ทองถน่ิ
สงเสริมใหนักเรียนเรียนรูคําศัพทเฉพาะภาษาอังกฤษท่ีเกี่ยวกับเสียง และเสริมแนวทางการนําความรูเร่ือง
เสียง ไปใชอธบิ ายปรากฏการณท ี่เกิดขน้ึ และแกป ญ หาในทองถ่ิน
8. ส่อื /แหลงเรียนรู :
9.1 หนังสือเรยี นรายวชิ าเพิ่มเติมวิทยาศาสตร (ฟสิกส) ชั้นมัธยมศกึ ษาปท่ี 5 เลม 4 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.
2560)
9.2 หองสมุด
9.3 อนิ เทอรเน็ต
9.การวัดและประเมนิ ผล :
จดุ ประสงคการเรยี นรู วิธีการวดั เคร่อื งมือ เกณฑก ารประเมนิ
ดา นความรู (K)
1) อธบิ ายมลพษิ ทางเสยี งที่มตี อสุขภาพและ 1) ตรวจใบสรุปองค 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
การปอ งกนั ความรูจากการศึกษา ทาํ กจิ กรรม สรุปเน้ือหาท่ีศึกษา
คน ควา และทําความเขาใจได
ระดับดี ผานเกณฑ
ดา นกระบวนการ (P)
1) นักเรียนสามารถจัดกระทําและส่ือ 1) ตรวจใบสรุปองค 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
ความหมายของขอ มลู ทีศ่ ึกษาคนควา ได ความรูจากการศึกษา ทาํ กจิ กรรม สรุปเนื้อหาที่ศึกษา
คน ควา และทําความเขาใจได
ระดบั ดี ผา นเกณฑ
ดา นคุณลกั ษณะ (A)
1) เปน ผูมีความรบั ผิดชอบและ 1) ตรวจใบสรุปองค 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนทําภาระ
เปน ผมู ีความมงุ มน่ั ในการทํางาน ความรูจากการศึกษา ทาํ กิจกรรม ง า น ท่ี ไ ด รั บ
คน ควา มอบหมายไดระดับดี
ผานเกณฑ
10. กจิ กรรมการเรยี นรู :
ขนั้ ที่ 1 ขนั้ สรางความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรูเ ดิม เร่ือง ความเขม ระดบั เสียง ความถเ่ี สยี ง และคณุ ภาพเสียง
1.2 ครูตงั้ คาํ ถามเพ่อื นําเขาสกู ารทํากิจกรรม
1) เสียงประเภทใดที่เปนเสียงท่ีนักเรียนไมตองการไดยิน และเสียงนั้น ๆ มีผลตอ
นกั เรียนอยางไร (โดยเปดโอกาสใหนกั เรยี นตอบอภปิ รายอยา งอิสระ ไมคาดหวังคําตอบทถี่ ูกตอง)
2) นักเรียนรูจัก คําวา “มลพิษทางเสียง” หรือไม และนิยามหมายความวาอยางไร
(โดยเปด โอกาสใหนักเรยี นตอบอภิปรายอยางอสิ ระ ไมคาดหวังคําตอบท่ีถกู ตอ ง)
3) หากนักเรียนไดยินเสียงดงั มากๆ นักเรียนมีวิธีการปอ งกันและใหไดยนิ เสยี งลดลง
ไดอ ยางไร (โดยเปด โอกาสใหน ักเรียนตอบอภิปรายอยา งอิสระ ไมค าดหวังคําตอบทีถ่ ูกตอ ง)
ข้ันท่ี 2 ขั้นสํารวจและคนหา
2.1 นักเรยี นทุกคนศึกษาคนควา และทาํ ความเขาใจเนื้อหา เรอื่ ง มลพิษทางเสยี งและการ
ปองกัน ในหนังสือเรียน หนา 31-32 แลว สรปุ องคความรูจากการศึกษาคนควาลงใน กระดาษ A4 ทค่ี รู
แจกให
ขนั้ ท่ี 3 ขนั้ อธิบายและลงขอสรปุ
3.1 ครูสมุ นักเรียน 1 คน ออกมานําเสนอผลงานของตนเองหนา ช้นั เรยี น
3.2 ครนู าํ นกั เรียนอภปิ รายเพอื่ นําไปสูการสรปุ โดยใชค าํ ถามตอไปนี้
1) เสียงประเภทใดที่เปนเสียงที่นักเรียนไมตองการไดยิน และเสียงน้ัน ๆ มีผลตอ
นกั เรียนอยา งไร (แนวการตอบ เสยี งท่ีมีระดับเสียงสูงและเสียงทกี่ อใหเ กดิ ความราํ คาญ)
2) คําวา “เสยี งรบกวน (noise)” หมายความวาอยางไร (แนวการตอบ มรี ะดับเสียง
สูง นอกจากน้ยี งั มีเสยี งทีก่ อ ใหเกิดความราํ คาญ)
3) คําวา “มลพิษทางเสียง” หมายความวาอยางไร (แนวการตอบ เสียงรบกวนท่ีมี
ระดับเสียงสูง และเสียงรบกวนท่ีกอใหเกิดความรําคาญหรือเสียงที่ไมตองการ อาจเปนอันตรายตอ
ผูฟง ทง้ั อนั ตรายตอ การไดย นิ และอันตรายตอสุขภาพและจติ ใจ)
4) เสียงท่ีมีความถ่ีสูง จัดเปนมลพิษทางเสียงหรือไม เพราะเหตุใด (แนวการตอบ
เปน เพราะเสียงท่ีมีความถ่ีสูงท่ีหูไดยินเปนเวลานาน จะกอใหเกิดความรําคาญและนอกจากนี้ยังมี
พลังงานสูงจงึ สง ผลตอ เนื้อเย่อื ของอวัยวะท่ีไดรบั พลงั งานเสยี ง ทําใหเ กดิ ความเสียหายไดแ ตท้ังน้ีขึ้นอยู
กบั ระดบั เสียงและระยะเวลาทไี่ ดย ินเสียงน้ัน)
4) เสียงท่ีมีความถ่ีสูง จัดเปนมลพิษทางเสียงหรือไม เพราะเหตุใด (แนวการตอบ
เปน เพราะเสียงท่ีมีความถี่สูงท่ีหูไดยินเปนเวลานาน จะกอใหเกิดความรําคาญและนอกจากนี้ยังมี
พลังงานสงู จงึ สงผลตอเนือ้ เยื่อของอวยั วะที่ไดรับพลังงานเสียง ทําใหเ กดิ ความเสียหายไดแ ตท ง้ั น้ีข้ึนอยู
กับระดับเสียงและระยะเวลาทีไ่ ดยนิ เสียงนน้ั )
5) เสียงรบกวนในชุมชนที่มีระดับเสียงไมเกินก่ีเดซิเบล จะไมเปนอันตรายตอการได
ยิน (แนวการตอบ ไมเกิน 70 เดซเิ บล)
6) คาํ วา “WHO” คอื (แนวการตอบ องคก ารอนามัยโลก (World Health
Organization ; WHO)
7) แนวทางการลดมลพิษทางเสียงมีก่ีวิธี อะไรบาง (แนวการตอบ 3 วิธี 1.การ
ควบคุมที่แหลงกําเนิดเสยี ง 2.การควบคมุ ทางผานของเสยี ง และ 3.การควบคุมที่ผูร บั ฟงเสยี ง)
3.3 นักเรียนและครรู ว มกันอภปิ รายและสรุปการศึกษาคน ควาจนไดข อสรปุ เรือ่ ง มลพิษทาง
เสยี งและการปองกนั
ข้ันที่ 4 ขน้ั ขยายความรู
4.1 ครูอธบิ ายใหความรูเพิ่มเตมิ เก่ียวกบั คลน่ื ใตเ สยี งกบั มลพิษทางเสียง
4.2 ครูใหน กั เรยี นแตละคนเลาสูกนั ฟงถึงความรทู ี่ไดจากการทาํ กิจกรรม และปญ หาทีเ่ กิดขึ้น
ระหวา งการทาํ กิจกรรม
ขน้ั ที่ 5 ข้นั ประเมนิ ผล
5.1 นักเรียนสงสรปุ องคค วามรูจากการศกึ ษาคน ควา
11. บันทกึ หลังสอน : ม. 5/2 ม.5/5
หัวขอ
ช้ัน
ผลการจัดการเรยี นการสอน
ความรคู วามสามารถ
ทักษะกระบวนการ
คณุ ลักษณะอนั พงึ
ประสงค
ปญหา/อุปสรรค
ความรคู วามสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ
หวั ขอ ม. 5/2 ม.5/5
ชน้ั
คณุ ลักษณะอันพึง
ประสงค
แนวทางแกไ ข
ความรูความสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ
คณุ ลักษณะอนั พงึ
ประสงค
ลงชอ่ื …………………………………………………
(……………………………………………………..)
ครูผสู อน
ความคดิ เหน็ ของหัวหนา กลุมสาระการเรยี นรู
ลงช่ือ…………………………………………………
(……………………………………………………..)
หวั หนา กลมุ สาระการเรยี นรู
ความเห็นของรองผูอาํ นวยการกลมุ บรหิ ารวิชาการ/ผูบรหิ าร หรอื ผทู ีไ่ ดรับมอบหมาย
ลงชอื่ …………………………………………………
(……………………………………………………..)
ตาํ แหนง…………………………………………..
แผนการจัดการเรยี นรทู ี่ 31 รายวชิ า ว32201 วิชาฟสกิ สเ พม่ิ เตมิ
กลมุ สาระการเรียนรวู ทิ ยาศาสตร ช้ัน ม.5 เวลาเรียน 1 คาบ
หนวยการเรียนรู 12 เรอื่ ง เสียง(คล่นื น่งิ ของเสียง)
ครูผสู อน นศ.ปส.นัศรูน การีนา ครพู ี่เลีย้ ง ครจู าตุรงค พรหมสถิตย
โรงเรยี นคณะราษฎรบํารงุ จังหวัดยะลา สพม.15
1. มาตรฐานการเรยี นรู :
ว 5.2 เขาใจการเคลื่อนท่ีแบบฮารมอนิกสอยางงาย ธรรมชาติของคล่ืน เสียงและการไดยิน
ปรากฏการณท เี่ กย่ี วของกบั เสียง แสงและการมองเหน็ ปรากฏการณท ีเ่ กย่ี วขอ งกบั แสง รวมทั้งนาํ ความรไู ป
ใชประโยชน
2. ผลการเรียนรู :
1. อธิบายการเกิดเสียง การเคลื่อนที่ของเสียง ความสัมพันธระหวางคลื่นการกระจัดของอนุภาคกับ
คลื่นความดัน ความสัมพันธระหวางอัตราเร็วของเสียงในอากาศท่ีข้ึนกับอุณหภูมิในหนวยองศาเซลเซียส
การสะทอน การหักเห การแทรกสอด การเลี้ยวเบน ของคลื่นเสียง รวมทั้งคํานวณปริมาณตาง ๆ ท่ี
เกีย่ วของ
3. จุดเนน (สพฐ., สพม., โรงเรียน/อตั ลกั ษณ)
มงุ ม่นั ในการศกึ ษาและการทาํ งาน
แสวงหาความรเู พือ่ การแกปญหา
มที กั ษะการคดิ ข้ันสูง
4. สาระสาํ คญั :
ปรากฏการณทางเสียง ไดแก คลื่นน่ิง การส่ันพอง บีต (beats) ปรากฏการณดอปเพลอร (Doppler
effect)
คล่ืนน่ิงของเสียงเกิดจากการแทรกสอดของคล่ืนเสียงอาพันธสองขบวนเคล่ือนท่ีสวนทางกัน ทําใหได
ยินเสียงดัง-คอยตลอดเวลา ตามตําแหนงปฏบิ ัพความดัน-บพั ความดัน ตามลําดับ โดยสองตําแหนงที่มีเสียงดงั
ถัดกนั หรือมีเสยี งคอ ยถดั กัน มีระยะหา งเทา กบั คร่ึงหน่งึ ของความยาวคลืน่
การส่ันพองของเสียงเกิดจากลําอากาศในทอถูกทําใหสั่นดวยเสียงที่มีความถ่ีเทากับความถ่ีธรรมชาติ
ของลํา อากาศในทอลําอากาศจะส่ันมากท่ีสุด และไดยินเสียงดังท่ีสุด ความถี่ที่ทําใหเกิดการสั่นพอง เรียกวา
ความถี่สั่นพอง หรือ ความถี่เรโซแนนซ (resonant frequency) สําหรับทอปลายปดหนึ่งดาน ความถี่สั่น
พองมีความสมั พนั ธกับความยาวของลําอากาศในทอ ตามสมการ
บีตของเสียงเกิดจากการรวมกันของคลื่นเสียงจากแหลงกําเนิดเสียง 2 แหลงท่ีมีความถี่ตางกัน
เล็กนอยใหไดยินเสียงดังคอยสลับกันไปเปนจังหวะคงตัว โดยหูจะไดยินเสียงของการบีต เม่ือเสียงท้ังสองมี
ความถ่ีตางกันไมเกิน 7 เฮิรตซ จํานวนครั้งท่ีไดยินเสียงดังในหนึ่งวินาทีเรียกวา ความถี่บีต (beat
frequency) ซ่งึ หาไดจาก =
ปรากฏการณดอปเพลอรของเสียงเปนปรากฏการณท่ีผูฟงไดยินเสียงมีความถ่ีเปลี่ยนไปจากความถ่ี
ของแหลง กําเนิดเสยี ง ซึง่ เกดิ จากแหลงกําเนดิ เสียงหรอื ผฟู ง เคล่ือนที่สมั พทั ธกัน
เมื่อแหลงกําเนิดคล่ืนเสียงมีอัตราเร็วมากกวาอัตราเร็วเสียง ทําใหหนาคลื่นเสียงอัดตัวกัน เกิดคลื่น
กระแทก (shock wave) และเรียกหนาคล่ืนวา หนาคลื่นกระแทก โดยหนาคล่ืนกระแทกมีพลังงานสูง ทําให
ผูท่ีอยู ณ ตําแหนงขณะหนาคลื่นกระแทกเคล่ือนท่ีผานไดยินเสียงดังมาก เรียกวา ซอนิกบูม (sonic boom)
โดยแนวหนาคลนื่ กระแทกทํามุมกบั แนวการเคลอื่ นท่ีของแหลง กาํ เนิด เรียกวา มุมมคั (Mach angle)
ความรูเกี่ยวกับเสียงนํา ไปอธิบายและประยุกตใชในดานตาง ๆ เชน การเปลงเสียงของมนุษย การ
ทํางานของเครื่องดนตรี การปรับเทยี บเสยี งเครื่องดนตรี การประมง การแพทยธ รณีวทิ ยา อุตสาหกรรม
5. จุดประสงคการเรยี นรู
5.1 ดานความรู (Knowledge; K)
1) อธบิ ายการเกิดคล่ืนนง่ิ ของเสียง
5.2 ดา นทกั ษะกระบวนการ (Process; P)
1) ทดลองการเกิดคลนื่ นิง่ ของเสยี งได
5.3 ดานคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค (Attitude; A)
1) เปนผมู ีความรบั ผิดชอบและเปนผูมีความมุงมน่ั ในการทํางาน
6. สมรรถนะสาํ คัญ :
สมรรถนะสําคัญของผูเรียนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน มุง ใหผเู รียนเกดิ สมรรถนะสําคญั 5 ประการ ดังนี้
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกป ญ หา
4. ความสามารถในการใชท ักษะชวี ิต
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
7. บูรณาการ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง อาเซียน ทอ งถน่ิ
สงเสริมใหนักเรียนเรียนรูคําศัพทเฉพาะภาษาอังกฤษท่ีเก่ียวกับเสียง และเสริมแนวทางการนําความรูเร่ือง
เสยี ง ไปใชอธบิ ายปรากฏการณที่เกิดข้ึนและแกป ญหาในทอ งถ่ิน
8. สือ่ /แหลงเรยี นรู :
8.1 ใบกิจกรรม เรื่อง คลื่นน่ิงของเสยี ง
8.2 หนงั สอื เรียนรายวิชาเพม่ิ เติมวทิ ยาศาสตร (ฟส ิกส) ช้นั มัธยมศกึ ษาปท่ี 5 เลม 4 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.
2560)
8.3 หองสมุด
8.4 อินเทอรเ นต็
8.5 ชุดอปุ กรณการทดลอง เร่ือง คล่นื นิ่งของเสียง
9.การวดั และประเมนิ ผล : วธิ กี ารวดั เครอ่ื งมือ เกณฑก ารประเมนิ
จุดประสงคก ารเรยี นรู
ดานความรู (K) 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
1) อธิบายการเกดิ คล่ืนน่ิงของเสียง
เร่อื ง คล่นื นิ่งของเสยี ง ทาํ กิจกรรม สรุปผลการทดลองได
ดา นกระบวนการ (P)
1) ทดลองการเกดิ คล่ืนนิง่ ของเสียงได 2) ใ บ กิ จ ก ร ร ม ระดบั ดี ผา นเกณฑ
ดา นคุณลักษณะ (A) เรื่อง คลื่ นน่ิงของ
1) เปน ผูมคี วามรับผิดชอบและ
เปน ผมู ีความมงุ มัน่ ในการทํางาน เสยี ง
1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
เรอ่ื ง คล่ืนน่งิ ของเสียง ทํากจิ กรรม บั น ทึ ก ผ ล ก า ร ทํ า
2) ใ บ กิ จ ก ร ร ม กิจกรรมไดระดับดี
เร่ือง คลื่ นน่ิงของ ผานเกณฑ
เสียง
1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนทําภาระ
เร่อื ง คลื่นนิง่ ของเสียง ทาํ กิจกรรม ง า น ท่ี ไ ด รั บ
มอบหมายไดระดับดี
ผานเกณฑ
10. กิจกรรมการเรียนรู :
ขัน้ ที่ 1 ข้ันสรางความสนใจ
1.1 ครูใหตัวอยางการเกิดคลื่นนิ่งของคล่ืนในเสนเชือก โดยใชรูป 12.17 ในหนังสือเรียน ครู
เนน วา ณ ตาํ แหนงบัพการกระจัดของคลื่นนิ่งในเสน เชือก อนุภาคเสน เชือกจะอยนู ิ่ง สว น ณ ตาํ แหนง
ปฏบิ พั การกระจัด อนภุ าคเชือกจะสัน่ ดว ยแอมพลิจูดมากทีส่ ดุ และคลนื่ นิ่งไมมีการเคลื่อนท่ี
1.2 ครูอภิปรายการซอนทับของคล่ืนสองขบวนท่ีมีแอมพลิจูด ความถี่ และความยาวคล่ืน
เทากัน เคลื่อนที่ในทิศสวนทางกนั ตามรายละเอยี ดในหนังสือเรียน โดยใชรปู 12.16 ประกอบจนสรุป
ไดวา ณ ตําแหนงบัพการกระจัดของคล่ืนลัพธ อนุภาคตัวกลางอยูน่ิง และ ณ ตําแหนงปฏิบัพการ
กระจัด อนุภาคตัวกลางสั่นไปมาดวยแอมพลิจูดสูงสุด เนื่องจากคล่ืนลัพธท่ีเกิดข้ึนมีตําแหนงบัพและ
ตําแหนงปฏิบัพอยูกับท่ี คล่ืนลัพธนี้จึงไมมีการเคล่ือนท่ีไปตามการเคลื่อนท่ีของคลื่นท้ังสอง และ
เรยี กวา คล่นื นิ่ง
1.3 ครูตงั้ คาํ ถามเพ่อื นําเขาสกู ารทํากจิ กรรม
1) คล่นื นิ่งของเสยี งสามารถเกดิ ขน้ึ ไดเ ชน เดยี วกบั คลนื่ นงิ่ ในเสนเชือกหรือไม และจะ
สังเกตไดอยางไร
ขนั้ ท่ี 2 ข้ันสาํ รวจและคน หา
2.1 นักเรียนแบง กลุมๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นกั เรยี นแตล ะกลมุ ศึกษาใบกิจกรรมเร่ือง คล่นื น่งิ ของเสยี ง
2.3 ครูแจงจุดประสงคการเรียนรู อปุ กรณ และขั้นตอนการทดลองอยา งละเอยี ด
2.4 นกั เรยี นรบั อปุ กรณการทดลอง พรอมติดต้ังอุปกรณ
2.5 นักเรยี นแตล ะกลุม ทาํ การทดลอง สงั เกตและบันทกึ ผลการทดลอง
ขั้นท่ี 3 ขนั้ อธบิ ายและลงขอ สรปุ
3.1 ครสู ุมนักเรยี น 2 คน ออกมานําเสนอสรปุ ทีไ่ ดจากการศกึ ษาหนาชนั้ เรยี น
(https://random.thaiware.com/) หรือ โปรแกรม Super Soomm And Goomm
3.2 ครนู ํานักเรียนอภิปรายเพือ่ นําไปสกู ารสรุปโดยใชค าํ ถามตอ ไปนี้
1) นักเรยี นแตละกลุมไดผ ลการทํากิจกรรมเหมือนหรือแตกตางกันอยา งไร (แนวการ
ตอบ ไดผ ลเหมอื นกัน)
2) เสียงท่ีไดยินจากการรับฟงเสียง ณ ตําแหนงตาง ๆ ระหวางลําโพงกับพื้นโตะมี
ความดังเทากันหรือไม อยางไร (แนวการตอบ เสียงท่ีไดยินมีความดังไมเทากัน โดยไดยิน
เสียงดงั และคอ ยสลับกันไป)
3) เสียงดังและเสียงคอยที่ตําแหนงตางๆ ระหวางพื้นโตะกับลําโพงนั้นเกิดจาก
หลกั การใด (แนวการตอบ หลักการการซอนทับของเสยี ง)
4) เสียงท่ีออกจากลําโพงกับเสียงที่สะทอนจากพื้นโตะ ทําใหเกิดปรากฏการณใด
และมลี ักษณะอยางไร (แนวการตอบ ปรากฏการณก ารแทรกสอด มลี ักษณะเปน คลนื่ น่งิ )
3.3 นักเรียนและครรู วมกันอภปิ รายและสรุปผลการทาํ การทดลอง จนสรปุ ได ดังนี้
1. เสียงดังและเสียงคอยท่ีตําแหนงตางๆ ระหวางพ้ืนโตะกับลําโพงนั้นเกิดจากการ
ซอนทับ ของเสียงท่ีออกจากลําโพงกับเสียงท่ีสะทอนจากพ้ืนโตะ ทําใหเกิดปรากฏการณ
แทรกสอดมลี ักษณะเปน คลืน่ น่งิ
2. ตําแหนงที่ไดยินเสียงดังมีการแทรกสอดแบบเสริมและตําแหนงน้ันจะเปนปฏิบัพ
ของ ความดัน สวนตําแหนงที่เสียงคอยจะมีการแทรกสอดแบบหักลางและตําแหนงนั้นจะ
เปน บพั ของความดัน
3. ขณะท่ีเกิดคล่ืนน่ิงของเสียง ระยะระหวางบัพของความดันคูหน่ึงท่ีอยูถัดกันมีคา
เทากบั ครึง่ หนง่ึ ของความยาวคลืน่ เสียง
ขน้ั ท่ี 4 ข้ันขยายความรู
4.1 ครอู ธบิ ายใหความรูชวนคดิ
1) ขณะท่ีเกดิ คล่นื น่ิงของเสยี ง ระยะระหวา งบพั ความดันคูห น่ึงทอ่ี ยถู ัดกนั มีคาเทาใด
เมอ่ื เทยี บกับความยาวคล่นื ของคลนื่ เสยี ง (ขณะท่ีเกิดคล่นื นง่ิ ของเสยี ง ระยะระหวา งบัพความ
ดนั คู
หน่งึ ท่อี ยถู ัดกนั มคี า เปน ครงึ่ หนงึ่ ของความยาวคลนื่ เสยี ง เชน เดยี วกบั การเกดิ คล่ืนนิ่งทั่วไป)
2) วางลําโพงหันหนาเขาหากําแพง ขณะที่ลําโพงใหเสียงออกมาอยางตอเน่ืองและ
สม่ําเสมอผูที่เดินในแนวระหวางลําโพงกับกําแพงจะไดยินเสียงที่มีความดังไมสม่ําเสมอ
ปรากฏการณนี้เกิดจากพฤติกรรมใดของเสียง (การแทรกสอดของเสียงระหวางคลื่นที่ออก
จากลาํ โพง และคล่นื ทีส่ ะทอ นจากกําแพง)
ขนั้ ที่ 5 ขัน้ ประเมินผล
5.1 นกั เรียนสงใบกิจกรรม เร่อื ง คล่นื นงิ่ ของเสียง
11. บนั ทึกหลังสอน : ม. 5/2 ม.5/5
หวั ขอ
ช้ัน
ผลการจัดการเรียนการสอน
ความรูความสามารถ
ทักษะกระบวนการ
คณุ ลกั ษณะอันพงึ
ประสงค
ปญ หา/อุปสรรค
ความรูความสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ
คณุ ลักษณะอนั พงึ
ประสงค
หัวขอ ม. 5/2 ม.5/5
ชน้ั
แนวทางแกไ ข
ความรคู วามสามารถ
ทักษะกระบวนการ
คุณลกั ษณะอนั พึง
ประสงค
ลงช่อื …………………………………………………
(……………………………………………………..)
ครผู สู อน
ความคดิ เหน็ ของหัวหนา กลุมสาระการเรยี นรู
ลงช่ือ…………………………………………………
(……………………………………………………..)
หวั หนา กลมุ สาระการเรยี นรู
ความเห็นของรองผูอาํ นวยการกลมุ บรหิ ารวิชาการ/ผูบรหิ าร หรอื ผทู ีไ่ ดรับมอบหมาย
ลงชอื่ …………………………………………………
(……………………………………………………..)
ตาํ แหนง…………………………………………..
ใบกิจกรรม เรอ่ื ง คล่ืนน่งิ ของเสยี ง
1. รายช่ือสมาชิกท่ี …………………………………………………….. ชัน้ …………………………………
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
2. จดุ ประสงคก ารทํากิจกรรม
ศึกษาคล่ืนนง่ิ ของเสียง
3. วสั ดุ-อุปกรณ 1 เคร่อื ง
1) เครื่องกาํ เนดิ สญั ญาณเสยี ง 1 ชดุ
2) ชุดขาตง้ั พรอมตวั ยึด 1 ชุด
3) ชดุ ทอ รบั ฟงเสียง 1 ตวั
4) ลาํ โพง 4 เสน
3) สายไฟ
4. วิธที าํ กจิ กรรม
1) ตอสายไฟจากเคร่ืองกาํ เนิดสญั ญาณเสยี งกับลาํ โพงทาํ ใหเกดิ เสยี งความถ่ี 3 กิโลเฮิรตซ ปรับความดงั ของเสยี ง
ใหด ังชัดเจน
2) ยดึ ลาํ โพงกบั ขาตั้งโดยปรับใหลาํ โพงอยูเหนือพ้ืนโตะประมาณ 60 เซนตเิ มตร ดังรปู
3) จากน้ันใชชุดทอรบั ฟง เสยี งสงั เกตเสยี ง ณ ตาํ แหนง ตา งๆ ในแนวดง่ิ ระหวางลําโพงกบั พน้ื โตะ
5. ผลการทาํ การทดลอง
ผลการไดยินเสยี ง ณ ตาํ แหนงตา งๆ ระหวางลําโพงกับพน้ื โตะ ดงั รูป เสียงทไี่ ดย ินมคี วามดังไมเทากัน โดยไดย ินเสยี ง
ดงั และคอ ยสลับกันไป .
6. คําถามทา ยการทดลอง
1) เสียงทไี่ ดยนิ จากการรับฟงเสียง ณ ตําแหนง ตาง ๆ ระหวา งลาํ โพงกับพ้นื โตะมีความดงั เทา กันหรือไม อยางไร
ตอบ เสียงท่ีไดยนิ มคี วามดงั ไมเทากนั โดยไดยนิ เสียงดังและคอยสลับกนั ไป มี
7. สรุปผลการทดลอง
จากการทดลองพบวา เสียงดังและเสียงคอยท่ีตําแหนงตางๆ ระหวางพ้ืนโตะกับลําโพงน้ันเกิดจากการ
ซอนทับ ของเสียงที่ออกจากลําโพงกับเสียงท่ีสะทอนจากพื้นโตะ ทําใหเกิดปรากฏการณแทรกสอด มีลักษณะเปน
คล่ืนน่ิง ตําแหนงท่ีไดยินเสยี งดังมีการแทรกสอดแบบเสริมและตําแหนงน้ันจะเปนปฏบิ ัพ
ของความดัน สวนตาํ แหนง ที่เสียงคอยจะมีการแทรกสอดแบบหักลา งและตาํ แหนงน้นั จะเปน บพั ของความดัน และ
ขณะทเ่ี กิดคล่นื นงิ่ ของเสียง ระยะระหวางบพั ของความดันคูหนึ่งทีอ่ ยูถัดกันมีคา เทากับ คร่ึงหนึ่งของความยาวคล่ืน
เฉลยใบกจิ กรรม เรอื่ ง คลื่นนงิ่ ของเสียง
1. รายชอ่ื สมาชิกที่ …………………………………………………….. ชัน้ …………………………………
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
2. จุดประสงคก ารทาํ กจิ กรรม
ศึกษาคลื่นนงิ่ ของเสยี ง
3. วัสดุ-อปุ กรณ 1 เคร่ือง
1) เคร่ืองกาํ เนิดสัญญาณเสียง 1 ชุด
2) ชดุ ขาต้งั พรอมตัวยดึ 1 ชดุ
3) ชดุ ทอรับฟง เสยี ง 1 ตวั
4) ลําโพง 4 เสน
3) สายไฟ
4. วิธีทาํ กจิ กรรม
1) ตอสายไฟจากเคร่ืองกําเนิดสญั ญาณเสียงกับลําโพงทาํ ใหเกดิ เสียงความถี่ 3 กิโลเฮิรตซ ปรบั ความดังของเสียง
ใหดงั ชดั เจน
2) ยึดลาํ โพงกับขาตัง้ โดยปรับใหลาํ โพงอยูเหนือพน้ื โตะประมาณ 60 เซนตเิ มตร ดังรปู
3) จากน้ันใชช ุดทอรับฟง เสยี งสังเกตเสียง ณ ตาํ แหนง ตางๆ ในแนวดง่ิ ระหวางลําโพงกบั พื้นโตะ
5. ผลการทาํ การทดลอง
ผลการไดย ินเสยี ง ณ ตําแหนง ตางๆ ระหวา งลําโพงกับพนื้ โตะ ดงั รปู เสยี งทไ่ี ดยนิ มคี วามดังไมเ ทากัน โดยไดย ินเสียง
ดังและคอยสลับกนั ไป .
6. คําถามทายการทดลอง
1) เสยี งที่ไดยิน จากการรับฟงเสยี ง ณ ตําแหนง ตาง ๆ ระหวา งลาํ โพงกบั พนื้ โตะมีความดังเทากนั หรือไม อยางไร
ตอบ เสียงท่ีไดย นิ มีความดงั ไมเ ทา กัน โดยไดยินเสียงดงั และคอยสลบั กนั ไป มี
7. สรุปผลการทดลอง
จากการทดลองพบวา เสียงดังและเสียงคอยท่ีตําแหนงตางๆ ระหวางพ้ืนโตะกับลําโพงน้ันเกิดจากการ
ซอนทับ ของเสียงท่ีออกจากลําโพงกับเสียงที่สะทอนจากพ้ืนโตะ ทําใหเกิดปรากฏการณแทรกสอด มีลักษณะเปน
คลื่นน่ิง ตําแหนงท่ไี ดยนิ เสียงดังมีการแทรกสอดแบบเสริมและตําแหนง น้ันจะเปน ปฏิบัพของความดัน สว นตาํ แหนง
ที่เสียงคอยจะมีการแทรกสอดแบบหักลางและตาํ แหนงนั้นจะเปน บัพของความดัน และขณะท่ีเกดิ คล่ืนน่ิงของเสียง
ระยะระหวางบพั ของความดันคูหนึ่งท่ีอยถู ัดกันมีคา เทา กับ ครงึ่ หนง่ึ ของความยาวคลน่ื เสยี ง
แผนการจดั การเรยี นรูที่ 32 รายวิชา ว32201 วิชาฟสิกสเ พิม่ เตมิ
กลมุ สาระการเรยี นรูวิทยาศาสตร ช้ัน ม.5 เวลาเรียน 2 คาบ
หนว ยการเรียนรู 12 เรือ่ ง เสียง(การสน่ั พองของอากาศในทอ )
ครูผสู อน นศ.ปส.นศั รูน การนี า ครพู ี่เลีย้ ง ครูจาตุรงค พรหมสถติ ย
โรงเรียนคณะราษฎรบํารุง จงั หวดั ยะลา สพม.15
1. มาตรฐานการเรยี นรู :
ว 5.2 เขาใจการเคล่ือนที่แบบฮารมอนิกสอยางงาย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการไดยิน
ปรากฏการณท เี่ กย่ี วขอ งกับเสยี ง แสงและการมองเหน็ ปรากฏการณทเี่ กี่ยวขอ งกบั แสง รวมทั้งนาํ ความรไู ป
ใชป ระโยชน
2. ผลการเรียนรู :
1. อธิบายการเกิดเสียง การเคลื่อนท่ีของเสียง ความสัมพันธระหวางคลื่นการกระจัดของอนุภาคกับ
คล่ืนความดัน ความสัมพันธระหวางอัตราเร็วของเสียงในอากาศท่ีขึ้นกับอุณหภูมิในหนวยองศาเซลเซียส
การสะทอน การหักเห การแทรกสอด การเล้ียวเบน ของคล่ืนเสียง รวมทั้งคํานวณปริมาณตาง ๆ ท่ี
เกี่ยวขอ ง
3. จุดเนน (สพฐ., สพม., โรงเรยี น/อัตลกั ษณ)
มุงมัน่ ในการศึกษาและการทาํ งาน
แสวงหาความรูเพ่อื การแกปญหา
มที ักษะการคดิ ขน้ั สงู
4. สาระสาํ คัญ :
ปรากฏการณทางเสียง ไดแก คล่ืนนิ่ง การส่ันพอง บีต (beats) ปรากฏการณดอปเพลอร (Doppler
effect)
คลื่นนิ่งของเสียงเกิดจากการแทรกสอดของคล่ืนเสียงอาพันธสองขบวนเคลื่อนท่ีสวนทางกัน ทําใหได
ยินเสียงดัง-คอยตลอดเวลา ตามตําแหนงปฏิบัพความดัน-บัพความดัน ตามลําดับ โดยสองตําแหนงที่มีเสียงดัง
ถัดกันหรอื มีเสียงคอยถัดกนั มรี ะยะหางเทากบั ครึ่งหนึ่งของความยาวคลืน่
การสั่นพองของเสียงเกิดจากลําอากาศในทอถูกทําใหส่ันดวยเสียงที่มีความถ่ีเทากับความถี่ธรรมชาติ
ของลํา อากาศในทอลําอากาศจะส่ันมากท่ีสุด และไดยินเสียงดังที่สุด ความถี่ท่ีทําใหเกิดการสั่นพอง เรียกวา
ความถี่สั่นพอง หรือ ความถ่ีเรโซแนนซ (resonant frequency) สําหรับทอปลายปดหนึ่งดาน ความถี่สั่น
พองมคี วามสมั พนั ธกบั ความยาวของลาํ อากาศในทอ ตามสมการ
บีตของเสียงเกิดจากการรวมกันของคล่ืนเสียงจากแหลงกําเนิดเสียง 2 แหลงที่มีความถี่ตางกัน
เล็กนอยใหไดยินเสียงดังคอยสลับกันไปเปนจังหวะคงตัว โดยหูจะไดยินเสียงของการบีต เมื่อเสียงทั้งสองมี
ความถ่ีตางกันไมเกิน 7 เฮิรตซ จํานวนคร้ังที่ไดยินเสียงดังในหน่ึงวินาทีเรียกวา ความถ่ีบีต (beat
frequency) ซ่ึงหาไดจ าก =
ปรากฏการณดอปเพลอรของเสียงเปนปรากฏการณท่ีผูฟงไดยินเสียงมีความถ่ีเปล่ียนไปจากความถี่
ของแหลงกาํ เนดิ เสยี ง ซ่ึงเกดิ จากแหลง กาํ เนิดเสียงหรอื ผฟู ง เคลอื่ นที่สัมพัทธกัน
เม่ือแหลงกําเนิดคลื่นเสียงมีอัตราเร็วมากกวาอัตราเร็วเสียง ทําใหหนาคลื่นเสียงอัดตัวกัน เกิดคล่ืน
กระแทก (shock wave) และเรียกหนาคลื่นวา หนาคลื่นกระแทก โดยหนาคล่ืนกระแทกมีพลงั งานสูง ทําให
ผูที่อยู ณ ตําแหนงขณะหนาคล่ืนกระแทกเคล่ือนท่ีผานไดยินเสียงดังมาก เรียกวา ซอนิกบูม (sonic boom)
โดยแนวหนาคล่นื กระแทกทาํ มุมกับแนวการเคลอ่ื นท่ีของแหลง กาํ เนดิ เรยี กวา มุมมคั (Mach angle)
ความรูเกี่ยวกับเสียงนํา ไปอธิบายและประยุกตใชในดานตาง ๆ เชน การเปลงเสียงของมนุษย การ
ทํางานของเคร่ืองดนตรี การปรับเทยี บเสยี งเครอ่ื งดนตรี การประมง การแพทยธ รณวี ทิ ยา อตุ สาหกรรม
5. จุดประสงคการเรียนรู
5.1 ดานความรู (Knowledge; K)
1) อธบิ ายการเกดิ การสัน่ พองของอากาศในทอปลายปด หนึ่งดาน
5.2 ดานทักษะกระบวนการ (Process; P)
1) ทดลองการสัน่ พองของอากาศในทอ ปลายปดหน่ึงดา นและการวัดความยาวคลืน่ ของเสยี ง
ในอากาศ
5.3 ดานคุณลักษณะอันพงึ ประสงค (Attitude; A)
1) เปนผมู ีความรบั ผดิ ชอบและเปนผมู คี วามมุงม่นั ในการทํางาน
6. สมรรถนะสําคัญ :
สมรรถนะสําคัญของผูเรียนหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้นั พื้นฐาน มงุ ใหผ เู รยี นเกิดสมรรถนะสาํ คัญ 5 ประการ ดงั น้ี
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแกปญ หา
4. ความสามารถในการใชท ักษะชวี ติ
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
7. บรู ณาการ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน ทอ งถน่ิ
สงเสริมใหนักเรียนเรียนรูคําศัพทเฉพาะภาษาอังกฤษท่ีเก่ียวกับเสียง และเสริมแนวทางการนําความรูเรื่อง
เสยี ง ไปใชอธิบายปรากฏการณท ีเ่ กดิ ขนึ้ และแกปญ หาในทอ งถิ่น
8. ส่ือ/แหลง เรียนรู :
8.1 ใบกจิ กรรม 12.2 เรอื่ ง การทดลองการสัน่ พองของอากาศในหลอดเรโซแนนซ
8.2 ใบกิจกรรม 12.3 เร่อื ง การทดลองการวดั ความยาวคลื่นเสยี ง
8.3 หนงั สอื เรยี นรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร (ฟสิกส) ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 เลม 4 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.
2560)
8.4 หองสมดุ
8.5 อินเทอรเน็ต
8.6 ชดุ อุปกรณการทดลอง เรื่อง การส่นั พองของอากาศในหลอดเรโซแนนซ
8.7 ชุดอุปกรณการทดลอง เรื่อง การทดลองการวดั ความยาวคลืน่ เสยี ง
9.การวัดและประเมนิ ผล : วธิ ีการวดั เครื่องมือ เกณฑการประเมนิ
จุดประสงคการเรยี นรู
ดานความรู (K) 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
1) อธิบายการเกดิ คล่นื น่ิงของเสียง
เรอ่ื ง คลื่นนิง่ ของเสียง ทาํ กจิ กรรม สรุปผลการทดลองได
ดา นกระบวนการ (P)
1) ทดลองการเกดิ คลนื่ น่งิ ของเสียงได 2) ใ บ กิ จ ก ร ร ม ระดับดี ผานเกณฑ
ดานคณุ ลักษณะ (A) เรื่อง คลื่ นน่ิงของ
1) เปนผูมีความรบั ผดิ ชอบและ
เปนผูมีความมงุ มั่นในการทาํ งาน เสยี ง
1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
เรือ่ ง คลื่นนิ่งของเสียง ทํากจิ กรรม บั น ทึ ก ผ ล ก า ร ทํ า
2) ใ บ กิ จ ก ร ร ม กิจกรรมไดระดับดี
เร่ือง คล่ื นน่ิงของ ผา นเกณฑ
เสยี ง
1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนทําภาระ
เรอื่ ง คลน่ื นง่ิ ของเสยี ง ทํากจิ กรรม ง า น ที่ ไ ด รั บ
มอบหมายไดระดับดี
ผา นเกณฑ
10. กจิ กรรมการเรียนรู :
ขน้ั ที่ 1 ขัน้ สรางความสนใจ
1.1 ครทู บทวนความรทู ี่เรียนในคาบทแ่ี ลว เร่อื ง คล่นื น่งิ ของเสียง
1.2 ครูทบทวนความรูเดิม เรื่อง ความถี่ธรรมชาติและการส่ันพอง และกิจกรรม 8.3 ความถ่ี
ธรรมชาติและการส่ันพองของวัตถุ ที่ไดศึกษามาแลวในบทที่ 8 โดยใชรูปการจัดวางอุปกรณประกอบ
ดังรปู 12.7 พรอ มตง้ั คําถามใหนักเรียนตอบ
1) เม่ือแกวงลูกตุมขนาดใหญ การแกวงของลูกตุมขนาดเล็กเปนอยางไร โดยให
นกั เรียนอภิปรายรวมกนั จนสรุปไดว า
ลูกตุมขนาดเล็กทุกลูกมีการแกวง โดยลูกตุมขนาดเล็กที่ผูกดวยเชือกที่มีความยาว
เทากับความยาวของเชือกท่ีผูกลกู ตุมขนาดใหญ มีแอมพลิจูดกวางกวาลกู ตุมลูกอื่น ๆ ปรากฏการณน้ี
เรยี กวา การส่ันพอ ง ซง่ึ เกดิ ขนึ้ เมื่อวัตถุถูกกระตุนใหสัน่ หรือแกวง ดวยความถ่ีทเี่ ทากับความถธ่ี รรมชาติ
ของวัตถนุ นั้ ความถีน่ ้ีเรียกวา ความถ่ีสั่นพอ ง
1.3 ครตู ัง้ คาํ ถามเพอื่ นาํ เขา สกู ารทํากจิ กรรม
1) หากวัตถุถูกกระตุนดวยความถ่ีเทากับหรือใกลเคียงกับความถ่ีธรรมชาติของวัตถุ
วัตถุก็จะเกิดการสั่นพอง ปรากฏการณเดียวกันน้ีสามารถเกิดข้ึนกับลําอากาศในทอท่ีถูกกระตุนดวย
คลื่นเสียงไดหรือไม (โดยเปดโอกาสใหนักเรียนแสดงความคิดเห็นอยางอิสระ ไมคาดหวังคําตอบที่
ถกู ตอง)
2) จากความรูท่ีวาวัตถุตาง ๆ มีความถี่ธรรมชาติและเกิดการส่ันพองได อากาศซึ่ง
เปนตัวกลางของคล่ืนเสียงจะมีความถี่ธรรมชาติและเกิดการสั่นพองไดหรือไม และการสั่นพองของ
อากาศแสดงใหเราทราบในรูปแบบอยางไร (โดยเปดโอกาสใหนักเรียนแสดงความคิดเห็นอยางอิสระ
ไมคาดหวังคาํ ตอบที่ถกู ตอ ง)
ขน้ั ที่ 2 ขนั้ สํารวจและคน หา
2.1 นกั เรยี นแบง กลุมๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นกั เรยี นแตละกลมุ ศึกษาใบกิจกรรม 12.2 เรือ่ ง การทดลองการสั่นพอ งของอากาศใน
หลอด
เรโซแนนซ และใบกิจกรรม 12.3 เรื่อง การทดลองการวัดความยาวคลืน่ เสียง
2.3 ครแู จง จุดประสงคการเรียนรู อุปกรณ และขน้ั ตอนการทดลองอยางละเอียด
2.4 นักเรยี นรับอปุ กรณการทดลอง พรอมตดิ ตั้งอปุ กรณ
2.5 นักเรยี นแตละกลุม ทําการทดลอง สังเกตและบันทกึ ผลการทดลอง
ข้นั ที่ 3 ข้ันอธิบายและลงขอสรุป
3.1 ครสู ุมนกั เรียน 2 คน ออกมานาํ เสนอสรุปท่ไี ดจ ากการศึกษาหนาชน้ั เรียน
3.2 ครูนํานักเรียนอภิปราย กิจกรรม 12.2 เร่ือง การทดลองการส่ันพองของอากาศในหลอด
เรโซแนนซ เพ่ือนําไปสูการสรปุ โดยใชคําถามตอ ไปน้ี
1) นกั เรยี นแตล ะกลุมไดผลการทาํ กจิ กรรมเหมือนหรือแตกตางกนั อยา งไร (แนวการ
ตอบไดผ ลเหมอื นกัน)
2) ความดังของเสียงท่ีไดยินเมื่อเลื่อนลูกสูบไปอยูท่ีตําแหนงตาง ๆ แตกตางกัน
หรือไม อยางไร (แนวการตอบ ความดังของเสียงที่ตําแหนงตาง ๆ แตกตางกัน โดยจะไดยินเสียงดัง
คอ ยสลบั กัน)
3) เมื่อความถี่ของเสียงเปลี่ยนไปตําแหนงที่ไดยินเสียงดังมีความสัมพันธกับความถ่ี
อยางไร (แนวการตอบ ความถี่ของเสียงเปล่ียนไป ตําแหนงท่ีไดยินเสียงดังเปล่ียนไป มีความสัมพันธ
กับความถ่ีโดยความถี่ของเสียงเพิม่ ขนึ้ ตําแหนง ทไ่ี ดยนิ เสียงดงั จะใกลป ากหลอดยง่ิ ขึน้ และระยะหางที่
ไดย ินเสียงดังถัดกนั จะลดลง)
3.3 นักเรียนและครูรว มกนั อภปิ รายและสรุปผลการทาํ การทดลอง จนสรุปได ดงั นี้
1. ความดังของเสียงท่ีไดยินเมื่อเล่ือนลูกสูบไปตําแหนงตาง ๆ จะแตกตางกันบาง
ตําแหนงเสียงคอย บางตําแหนงเสียงดัง ตําแหนงของลูกสูบที่ทําใหไดยินเสียงดังท่ีสุดมีหลายตาํ แหนง
ข้นึ อยูก ับความถีข่ องแหลง กาํ เนิดเสียงทใี่ ช
2. เมื่อลูกสูบอยูท่ีตําแหนงหนึ่ง จะไดยินเสียงดังท่ีสุดน้ัน เนื่องจากความถี่ของเสียง
จากลําโพง มีคาเทากับความถี่ธรรมชาติของลําอากาศในหลอดพอดีเปนผลใหอนุภาคอากาศสั่นแรง
ท่สี ุด ปรากฏการณท ่เี กดิ ขึ้นนเี้ รียกวา การส่นั พองของเสยี ง
3.4 ครูนํานักเรียนอภิปราย กิจกรรม 12.3 เร่ือง การทดลองการวัดความยาวคล่ืนเสียง เพื่อ
นําไปสูก ารสรปุ โดยใชคาํ ถามตอ ไปนี้
1) นักเรยี นแตล ะกลุมไดผ ลการทาํ กิจกรรมเหมือนหรือแตกตางกันอยา งไร (แนวการ
ตอบ ไดผลเหมือนกนั )