2) ระยะระหวางตําแหนงของลูกสูบขณะไดยินเสยี งดังท่ีสุดสองครั้ง โดยตําแหนงทั้ง
สองอยถู ัดกันจะเปลยี่ นไปหรอื ไม เมื่อความถ่ีของเสียงเปลีย่ นไป (แนวการตอบ ระยะระหวางตําแหนง
ของลูกสูบเปลี่ยนไป)
3) ระยะเฉล่ียระหวางตําแหนงของลูกสูบ ขณะไดยินเสียงดังท่ีสุดสองคร้ังถัดกันกับ
คร่ึงหนึ่งของความยาวคลื่นเสียงที่คํานวณไดจากตอนท่ี 1 มีคาเทากันหรือไม (แนวการตอบ มีคา
เทากนั (โดยประมาณ))
3.3 นกั เรยี นและครูรว มกนั อภปิ รายและสรุปผลการทาํ การทดลอง จนสรปุ ได ดงั นี้
1. ระยะระหวางตําแหนงของลูกสูบท่ีอยูถัดกัน เมื่อไดยินเสียงดังที่สุดจะมีคา
เปล่ยี นไป ถา ความถเ่ี ปล่ียนไป
2. เปรียบเทียบความยาวคล่นื ท่ีไดจากการคํานวณในตอนท่ี 1 กับการหาโดยการสนั่
พองของเสียงเมื่อความถี่เทากันจะไดวา ระยะระหวางลูกสูบท่ีอยูถัดกันเม่ือไดยินเสียงดังเทากับ
ครงึ่ หน่งึ ของความยาวคลน่ื เสียง
ขนั้ ท่ี 4 ขั้นขยายความรู
4.1 ครูอธิบายใหความรูเพิ่มเติมเก่ียวกับการเกิดการส่ันพองคร้ังแรกในทอปลายปดหน่ึงดาน
และการเกิดการสัน่ พอ งคร้งั ท่สี องในทอปลายปดหน่ึงดาน ในหนังส่ือเรียน หนา 43 - 44
ขนั้ ท่ี 5 ขัน้ ประเมินผล
5.1 นกั เรยี นสง ใบกิจกรรม 12.2 เรือ่ ง การทดลองการสน่ั พองของอากาศในหลอดเรโซแนนซ
5.1 นกั เรยี นสงใบกจิ กรรม 12.3 เรือ่ ง การทดลองการวดั ความยาวคลน่ื เสียง
11. บันทกึ หลังสอน : ม. 5/2 ม.5/5
หวั ขอ
ชนั้
ผลการจัดการเรียนการสอน
ความรคู วามสามารถ
ทักษะกระบวนการ
หวั ขอ ม. 5/2 ม.5/5
ชั้น
คณุ ลักษณะอนั พงึ
ประสงค
ปญหา/อุปสรรค
ความรคู วามสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ
คุณลักษณะอันพงึ
ประสงค
แนวทางแกไข
ความรูความสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ
หวั ขอ ม. 5/2 ม.5/5
ช้ัน
ลงชื่อ…………………………………………………
คุณลักษณะอันพึง (……………………………………………………..)
ประสงค
ครูผูสอน
ความคิดเหน็ ของหัวหนา กลุมสาระการเรยี นรู
ลงชอ่ื …………………………………………………
(……………………………………………………..)
หัวหนา กลุมสาระการเรยี นรู
ความเหน็ ของรองผูอํานวยการกลุมบรหิ ารวิชาการ/ผูบ รหิ าร หรือผูทไ่ี ดรบั มอบหมาย
ลงชือ่ …………………………………………………
(……………………………………………………..)
ตําแหนง …………………………………………..
ใบกิจกรรม 12.2 เร่อื ง การทดลองการสั่นพอ งของอากาศในหลอดเรโซแนนซ
1. รายช่ือสมาชิกที่ …………………………………………………….. ช้ัน …………………………………
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
2. จุดประสงคก ารทํากจิ กรรม
ศึกษาความสัมพันธร ะหวา งความถกี่ บั ตาํ แหนงของการสนั่ พองกับเสียงทเี่ กิดจากทอปลายเปด หนง่ึ ดาน
3. วสั ดุ-อปุ กรณ
1) เคร่อื งกาํ เนดิ สัญญาณเสียง 1 เครื่อง
2) ลาํ โพง 1 ตวั
3) หลอดเรโซแนนซ 1 ชดุ
(ทอปลายปดหนงึ่ ดานท่ีปรบั ความยาวของลําอากาศในทอ)
4) สายไฟ 4 เสน
4. วธิ ีทาํ กจิ กรรม
1) ตอ ลาํ โพงกับเคร่ืองกําเนิดสญั ญาณเสียง และนาํ ลาํ โพงไปวางใกลก ับปลายหลอด ดานทเี่ ปดของหลอดเรโซแนนซ
ดงั รูป
2) ปรับความถข่ี องเสียงเปน 1 กโิ ลเฮริ ตซ พรอมทั้งปรับความดงั ของเสยี งใหพอเหมาะ
3) เลือ่ นลูกสบู ของหลอดเรโซแนนซมาชิดปลายหลอดดานท่ีวางลําโพงเสียงแลว เลื่อนลูกสูบออกจากลําโพงชาๆ จน
ไดย ินเสยี งดังท่สี ดุ และบนั ทึกตําแหนงท่ีไดยินเสียงดังทีส่ ุดน้ัน
4) ทําซํ้าขอ 2-3 แตเปล่ียนความถีข่ องเสียงเปน 2 และ 3 กิโลเฮิรตซ ตามลําดับ
5. ผลการทาํ การทดลอง
ตารางบันทกึ ผลการทําการทดลองการสัน่ พองของอากาศในทอเรโซแนนซ
ความถี่เสยี ง (kHz) ตาํ แหนงจากปากหลอดที่ไดยินเสยี งดงั (cm)
1 ตาํ แหนง ท่ี 1 ตําแหนงท่ี 2 ตําแหนงที่ 3
2
3
6. คาํ ถามทา ยการทดลอง
1) ความดงั ของเสียงทไ่ี ดย ินเม่ือเลอ่ื นลูกสูบไปอยูทีต่ าํ แหนงตา ง ๆ แตกตางกนั หรือไม อยางไร
ตอบ ความดังของเสยี งท่ตี ําแหนงตา ง ๆ แตกตางกนั โดยจะไดย นิ เสยี งดังคอยสลบั กนั ม
ตาํ แหนงที่ไดยนิ เสยี งดงั จะใกลป ากหลอดยิ่งขึน้ และระยะหา งท่ีไดยินเสยี งดังถดั กันจะลดลง)
2) เมอื่ ความถี่ของเสียงเปล่ยี นไปตาํ แหนงที่ไดยนิ เสียงดังมีความสัมพนั ธก ับความถี่อยางไร
ตอบ ความถขี่ องเสยี งเปลีย่ นไป ตําแหนง ทไ่ี ดย นิ เสยี งดังเปลยี่ นไป มคี วามสมั พนั ธก ับความถีโ่ ดยความถีข่ องเสยี ง
เพิ่มขึน้ ตําแหนง ที่ไดย นิ เสียงดงั จะใกลปากหลอดย่ิงขึน้ และระยะหางที่ไดยินเสยี งดังถใั …………………..ดกันจะลดลง)
ตาํ แหนงที่ไดยินเสยี งดงั จะใกลป ากหลอดยงิ่ ขน้ึ และระยะหางที่ไดยินเสียงดังถัดกันใ………………………………จะลดลง)
7. สรปุ ผลการทดลอง
จากการทดลองพบวา ความดังของเสียงที่ไดยินเม่ือเล่ือนลูกสูบไปตําแหนงตาง ๆ จะแตกตางกันบาง
ตําแหนงเสียงคอย บางตําแหนงเสียงดัง ตําแหนงของลูกสูบที่ทําใหไดยินเสียงดังที่สุดมีหลายตําแหนงข้ึนอยูกับ
ความถี่ของแหลงกําเนิดเสียงที่ใช เมื่อลูกสูบอยูที่ตําแหนงหน่ึง จะไดยินเสียงดังที่สุดนั้น เนื่องจากความถ่ีของเสียง
จากลําโพง มีคาเทากับความถ่ีธรรมชาติของลําอากาศในหลอดพอดีเปนผลใหอนุภาคอากาศสั่นแรงท่ีสุด
ปรากฏการณท ่ปี รากฏการณที่เกิดขน้ึ นเี้ รียกวา การสน่ั พองของเสียง
ใบกจิ กรรม 12.3 เรื่อง การทดลองการวัดความยาวคลน่ื เสยี ง
1. รายชื่อสมาชิกที่ …………………………………………………….. ช้ัน …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
2. จุดประสงคการทํากจิ กรรม
ศึกษาวิธกี ารวดั ความยาวคลน่ื เสยี งโดยอาศยั ปรากฏการณการส่ันพอ งของเสยี ง
3. วัสดุ-อุปกรณ 1 เคร่ือง 4) สายไฟ 4 เสน
1) เครอ่ื งกําเนดิ สญั ญาณเสียง 1 ตัว 5) เทอรมอมเิ ตอร 1 อัน
2) ลําโพง 1 ชดุ
3) หลอดเรโซแนนซ
4. วิธีทาํ กจิ กรรม
ตอนท่ี 1
1) ใชเ ทอรมอมเิ ตอรวัดอุณหภูมขิ องอากาศขณะนน้ั คาํ นวณอัตราเรว็ เสียงในอากาศโดยใชความสัมพันธ
= 331 + 0.6
2) นาํ อตั ราเรว็ เสยี งที่ไดมาคํานวณหาความยาวคลน่ื เสยี งในอากาศ เม่ือความถี่ของเสียงเทา กบั ความถีเ่ สียงจาก
เครอ่ื ง กําเนดิ สญั ญาณเสยี ง คือ 1,2 และ 3 กโิ ลเฮิรตซ ตามลําดบั บันทกึ ความยาวคลืน่ เสียงเมอื่ ความถ่ีของเสยี งมี
คา ตางๆ กนั
ตอนที่ 1
1) ตอ เครื่องกําเนดิ สัญญาณเสยี งเขา กับลําโพง นาํ ลําโพงไปวางชิดกับปลายขางหนง่ึ
ของหลอดเรโซแนนซ ดงั รปู
2) หมนุ ปมุ ปรับความถ่ีของเครอื่ งกําเนิดสญั ญาณเสยี งไปท่ี 1 กิโลเฮิรตซ พรอมทง้ั ปรบั ความดงั ใหเ หมาะสม
3) เลอ่ื นลกู สูบมาชดิ กับปลายหลอดเรโชแนนซดา นท่ีอยูใกลกบั ลําโพง แลวเล่อื นลูกสูบออกชา ๆ จนกระทั่งไดยิน
เสยี งดัง เพิม่ ขน้ึ มากทส่ี ดุ บันทึกตาํ แหนง x1 ของลูกสูบท่ีหา งจากปลายหลอดเรโชแนนซ
4) คอยๆ เลอ่ื นลูกสูบออกไปอีก จนกระทง่ั ไดยนิ เสียงดงั เพิ่มขนึ้ มากทีส่ ุดเปน ครั้งท่ี 2 บันทึกตาํ แหนง คอยๆ เลอื่ นลูกสูบ
ออกไปอกี จนกระทัง่ ไดยินเสยี งดงั เพ่ิมขึ้นมากท่ีสดุ เปน ครัง้ ที่ 3,4....บันทึกตาํ แหนง x3, x4, ...
5) หาระยะระหวา งตาํ แหนงของลกู สบู ทีไ่ ดยินเสยี งดังที่สดุ สองตําแหนง ทอ่ี ยูถดั กัน แลว หาคาเฉลี่ยของระยะดงั กลา ว
บนั ทกึ ผลทําการทดลองซ้าํ โดยเปลย่ี นความถี่ของเคร่ืองกําเนดิ สัญญาณเสยี งเปน 2 และ 3 กโิ ลเฮิรตซ ตามลาํ ดบั แลวบันทกึ ผล
5. ผลการทาํ การทดลอง
ตอนท่ี 1 ความยาวคล่นื ของเสียงจากการคาํ นวณ
อณุ หภูมขิ องอากาศขณะท่ีทํา การทดลอง 28 oC
อตั ราเร็วของเสียงในอากาศ = 331 + 0.6
= 331 + 0.6(28) = 331 + 16.8 = 348 /
ตารางบันทกึ ผลการทาํ การทดลองการวดั ความยาวคลื่นเสียง ตอนที่ 1
ความถี่เสียง (kHz) ความยาวคลน่ื เสียง = (cm) (cm)
17.4
1000 34.8 8.7
2000 17.4 5.8
3000 11.6
ตอนท่ี 2 ความยาวคล่นื ของเสียงจากการสั่นพอ ง
ตารางบนั ทกึ ผลการทาํ การทดลองการวัดความยาวคลนื่ เสยี ง ตอนท่ี 2
ตาํ แหนงของลูกสบู ขณะเกิดการสน่ั ระยะหางของลกู สูบขณะเกดิ
ความถี่ พอ ง การส่ันพอ ง 2 คร้ังถัดกนั คา เฉล่ีย
(cm)
(Hz) x1 (cm) x2 (cm) x3 (cm) x2 - x1 x3 - x2 (cm)
(cm) 18.0
8.3
1000 8.5 26.5 - 18.0 - 5.6
2000 4.5 13.5 22.0 9.0 8.5
3000 2.9 8.5 14.0 5.6 5.5
6. คําถามทา ยการทดลอง
1) ระยะระหวา งตาํ แหนงของลูกสบู ขณะไดยนิ เสยี งดังทสี่ ดุ สองคร้งั โดยตําแหนงทง้ั สองอยูถัดกนั จะเปลย่ี นไป
หรือไม
เม่ือความถขี่ องเสียงเปลี่ยนไป
ตอบ ระยะระหวา งตําแหนงของลูกสบู เปล่ียนไป มี
2) ระยะเฉลีย่ ระหวา งตาํ แหนงของลูกสูบ ขณะไดย ินเสียงดังท่ีสดุ สองครั้งถดั กันกับครงึ่ หนง่ึ ของความยาวคลื่นเสียงที่
คํานวณไดจากตอนท่ี 1 มีคาเทากันหรือไม
ตอบ มีคา เทากัน (โดยประมาณ) มี
7. สรปุ ผลการทดลอง
จากการทดลองพบวา ระยะระหวางตําแหนงของลูกสูบท่ีอยูถัดกัน เม่ือไดยินเสียงดังท่ีสุดจะมี คาใ
ใ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ถา ความถ่ีเปลย่ี นไป เปรียบเทียบความยาวคล่นื ท่ีไดจากการคาํ นวณในตอนที่ 1 กบั การหาโดยการสนั่ พอ งของเสีย..ใ
งเมอื่ ความถเ่ี ทากนั จะไดวา ระยะระหวางลูกสูบที่อยถู ัดกันเมื่อไดยินเสียงดงั เทา กบั ครึ่งหนึ่งของความยาวคลื่นใ…..สี
ยง ความถเ่ี ทา กนั จะไดว า ระยะระหวา งลูกสูบท่อี ยูถัดกนั เม่อื ไ….ด
เฉลยใบกิจกรรม 12.2 เรื่อง การทดลองการสนั่ พองของอากาศในหลอดเรโซแนนซ
1. รายชือ่ สมาชิกที่ …………………………………………………….. ช้นั …………………………………
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
2. จดุ ประสงคการทํากจิ กรรม
ศกึ ษาความสัมพันธร ะหวา งความถก่ี ับตําแหนง ของการสั่นพองกับเสยี ง ท่ีเกดิ จากทอปลายเปดหนง่ึ ดา น
3. วสั ดุ-อุปกรณ
1) เคร่อื งกําเนดิ สญั ญาณเสยี ง 1 เครือ่ ง
2) ลําโพง 1 ตัว
3) หลอดเรโซแนนซ 1 ชุด
(ทอปลายปดหนง่ึ ดา นท่ีปรับความยาวของลาํ อากาศในทอ)
4) สายไฟ 4 เสน
4. วธิ ที าํ กจิ กรรม
1) ตอ ลําโพงกับเครื่องกาํ เนดิ สัญญาณเสยี ง และนาํ ลาํ โพงไปวางใกลกบั ปลายหลอด ดานทเี่ ปดของหลอดเรโซแนนซ
ดังรปู
2) ปรับความถข่ี องเสยี งเปน 1 กิโลเฮิรตซ พรอมท้ังปรับความดังของเสียงใหพอเหมาะ
3) เลอื่ นลูกสูบของหลอดเรโซแนนซม าชดิ ปลายหลอดดานท่วี างลาํ โพงเสียงแลวเลือ่ นลกู สูบออกจากลําโพงชาๆ จน
ไดยินเสียงดังท่สี ุด และบันทึกตาํ แหนง ที่ไดย ินเสยี งดังท่สี ดุ นั้น
4) ทําซาํ้ ขอ 2-3 แตเปลย่ี นความถ่ขี องเสียงเปน 2 และ 3 กิโลเฮิรตซ ตามลําดบั
5. ผลการทําการทดลอง
ตารางบันทึกผลการทําการทดลองการสน่ั พองของอากาศในทอ เรโซแนนซ
ความถ่ีเสยี ง (kHz) ตาํ แหนง จากปากหลอดทีไ่ ดย นิ เสยี งดงั (cm)
1
2 ตําแหนงท่ี 1 ตําแหนงท่ี 2 ตําแหนง ท่ี 3
3
8.62 26.01 43.15
4.30 13.00 21.63
2.86 8.70 14.30
6. คําถามทา ยการทดลอง มี
1) ความดงั ของเสยี งทีไ่ ดย ินเม่ือเลื่อนลกู สูบไปอยูท่ีตาํ แหนง ตา ง ๆ แตกตางกันหรือไม อยางไร
ตอบ ความดงั ของเสียงทต่ี าํ แหนง ตา ง ๆ แตกตางกัน โดยจะไดยินเสียงดังคอยสลับกัน
2) เมอื่ ความถี่ของเสียงเปลีย่ นไปตาํ แหนงที่ไดย นิ เสยี งดงั มีความสมั พันธก ับความถ่ีอยางไร
ตอบ ความถี่ของเสียงเปลย่ี นไป ตาํ แหนง ทไ่ี ดย ินเสียงดังเปลย่ี นไป มคี วามสัมพันธกบั ความถโี่ ดยความถี่ของเสยี ง
เพ่ิมขนึ้ ตําแหนง ที่ไดย ินเสยี งดังจะใกลป ากหลอดยิ่งข้นึ และระยะหางที่ไดยินเสยี งดังถัดกันจะลดลง)
7. สรุปผลการทดลอง
จากการทดลองพบวา ความดังของเสียงที่ไดยินเมื่อเลื่อนลูกสูบไปตําแหนงตาง ๆ จะแตกตางกันบาง
ตําแหนงเสียงคอย บางตําแหนงเสียงดัง ตําแหนงของลูกสูบท่ีทําใหไดยินเสียงดังท่ีสุดมีหลายตําแหนงขึ้นอยูกับ
ความถี่ของแหลงกําเนิดเสียงท่ีใช เม่ือลูกสูบอยูท่ีตําแหนงหน่ึง จะไดยินเสียงดังท่ีสุดน้ัน เน่ืองจากความถ่ีของเสียง
จากลําโพง มีคาเทากับความถี่ธรรมชาติของลําอากาศในหลอดพอดีเปนผลใหอนุภาคอากาศส่ันแรงท่ีสุด
ปรากฏการณท ่เี กดิ ข้นึ นี้เรยี กวา การส่นั พองของเสียง
เฉลยใบกจิ กรรม 12.3 เรอ่ื ง การทดลองการวดั ความยาวคล่นื เสียง
1. รายช่ือสมาชิกท่ี …………………………………………………….. ชน้ั …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
2. จดุ ประสงคก ารทาํ กิจกรรม
ศึกษาวธิ ีการวัดความยาวคลน่ื เสยี งโดยอาศัยปรากฏการณการส่นั พอ งของเสยี ง
3. วสั ดุ-อุปกรณ 1 เคร่ือง 4) สายไฟ 4 เสน
1) เครอ่ื งกําเนดิ สัญญาณเสยี ง 1 ตวั 5) เทอรม อมเิ ตอร 1 อนั
2) ลาํ โพง 1 ชดุ
3) หลอดเรโซแนนซ
4. วธิ ีทํากิจกรรม
ตอนที่ 1
1) ใชเ ทอรมอมิเตอรวดั อณุ หภูมขิ องอากาศขณะนัน้ คาํ นวณอัตราเร็วเสยี งในอากาศโดยใชค วามสัมพันธ
= 331 + 0.6
2) นาํ อัตราเร็วเสียงทไ่ี ดมาคํานวณหาความยาวคลน่ื เสยี งในอากาศ เมื่อความถขี่ องเสียงเทากับความถเ่ี สียงจาก
เครือ่ ง
กําเนดิ สัญญาณเสียง คอื 1,2 และ 3 กิโลเฮริ ตซ ตามลําดบั บนั ทกึ ความยาวคลน่ื เสยี งเม่อื ความถ่ีของเสียงมคี า ตางๆ
กนั
ตอนท่ี 1
1) ตอเครื่องกําเนิดสัญญาณเสียงเขา กับลําโพง นาํ ลาํ โพงไปวางชิดกับปลายขางหนง่ึ ของหลอดเรโซแนนซ ดังรูป
2) หมนุ ปุม ปรบั ความถี่ของเครอื่ งกาํ เนดิ สัญญาณเสียงไปท่ี 1 กโิ ลเฮิรตซ พรอมทั้งปรับความดังใหเหมาะสม
3) เลือ่ นลกู สูบมาชดิ กับปลายหลอดเรโชแนนซดานท่อี ยูใกลก ับลาํ โพง แลว เล่อื นลูกสูบออกชา ๆจนกระท่ังไดย นิ
เสยี งดัง
เพมิ่ ขนึ้ มากท่ีสุดบนั ทึกตาํ แหนง x1 ของลูกสูบที่หางจากปลายหลอดเรโชแนนซ
4) คอยๆ เลอ่ื นลูกสบู ออกไปอีก จนกระทั่งไดย นิ เสยี งดังเพ่ิมขนึ้ มากทสี่ ุดเปน ครัง้ ที่ 2 บนั ทึกตําแหนง คอยๆ เลอ่ื นลกู สูบ
ออกไปอีกจนกระทง่ั ไดยินเสียงดังเพ่มิ ขึ้นมากทส่ี ดุ เปนคร้ังท่ี 3,4....บนั ทึกตําแหนง x3, x4, ...
5) หาระยะระหวางตําแหนงของลูกสูบที่ไดยนิ เสยี งดงั ท่สี ุดสองตําแหนงทีอ่ ยูถัดกัน แลวหาคาเฉลี่ยของระยะดงั กลา ว
บันทกึ ผลทาํ การทดลองซํา้ โดยเปลยี่ นความถ่ีของเคร่ืองกําเนิดสัญญาณเสยี งเปน 2 และ 3 กโิ ลเฮิรตซ ตามลาํ ดบั
บันทึกผล
5. ผลการทาํ การทดลอง
ตอนท่ี 1 ความยาวคลื่นของเสยี งจากการคาํ นวณ
อณุ หภมู ขิ องอากาศขณะทีท่ าํ การทดลอง 28 oC
อตั ราเร็วของเสยี งในอากาศ = 331 + 0.6
= 331 + 0.6(28) = 331 + 16.8 = 348 /
ตารางบนั ทกึ ผลการทําการทดลองการวัดความยาวคลืน่ เสียง ตอนที่ 1
ความถเ่ี สยี ง (kHz) ความยาวคลน่ื เสียง = (cm) (cm)
17.4
1000 34.8 8.7
2000 17.4 5.8
3000 11.6
ตอนท่ี 2 ความยาวคลืน่ ของเสยี งจากการสน่ั พอ ง
ตารางบันทึกผลการทําการทดลองการวดั ความยาวคลื่นเสียง ตอนท่ี 2
ตาํ แหนงของลูกสูบขณะเกดิ การสัน่ ระยะหา งของลูกสูบขณะเกดิ
ความถี่ พอง การสั่นพอ ง 2 ครั้งถัดกัน คาเฉล่ยี
(cm)
(Hz) x1 (cm) x2 (cm) x3 (cm) x2 - x1 x3 - x2 (cm)
(cm) 18.0
8.3
1000 8.5 26.5 - 18.0 - 5.6
2000 4.5 13.5 22.0 9.0 8.5
3000 2.9 8.5 14.0 5.6 5.5
6. คําถามทายการทดลอง
1) ระยะระหวา งตําแหนง ของลกู สบู ขณะไดยินเสียงดังทสี่ ุดสองคร้ัง โดยตาํ แหนงทง้ั สองอยูถดั กนั จะเปลี่ยนไป
หรือไม
เมอื่ ความถีข่ องเสียงเปลยี่ นไป
ตอบ ระยะระหวางตําแหนงของลูกสบู เปลย่ี นไป ม
2) ระยะเฉลีย่ ระหวางตาํ แหนงของลูกสูบ ขณะไดยินเสยี งดังท่สี ุดสองครั้งถดั กันกบั คร่ึงหน่งึ ของความยาวคล่นื เสยี งที่
คํานวณไดจ ากตอนที่ 1 มีคา เทา กันหรอื ไม
ตอบ มีคา เทา กนั (โดยประมาณ) ม
7. สรุปผลการทดลอง
จากการทดลองพบวา ระยะระหวางตําแหนงของลูกสูบท่ีอยูถัดกัน เมื่อไดยินเสียงดังท่ีสุดจะมีคา
เปลยี่ นไป
ถาความถี่เปล่ียนไป เปรียบเทียบความยาวคล่ืนที่ไดจากการคํานวณในตอนที่ 1 กับการหาโดยการสั่นพองของเสียง
เม่ือความถเ่ี ทากันจะไดว า ระยะระหวา งลกู สูบท่ีอยถู ัดกนั เมอ่ื ไดย นิ เสียงดังเทา กบั คร่งึ หนงึ่ ของความยาวคลื่นเสยี ง
แผนการจดั การเรยี นรูที่ 33 รายวิชา ว32201 วิชาฟสิกสเ พิม่ เตมิ
กลมุ สาระการเรยี นรูวิทยาศาสตร ช้ัน ม.5 เวลาเรียน 1 คาบ
หนว ยการเรียนรู 12 เรือ่ ง เสียง(การสน่ั พองของอากาศในทอ )
ครูผสู อน นศ.ปส.นศั รูน การนี า ครพู ี่เลีย้ ง ครูจาตุรงค พรหมสถติ ย
โรงเรียนคณะราษฎรบํารุง จงั หวดั ยะลา สพม.15
1. มาตรฐานการเรยี นรู :
ว 5.2 เขาใจการเคล่ือนที่แบบฮารมอนิกสอยางงาย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการไดยิน
ปรากฏการณท เี่ กย่ี วขอ งกับเสยี ง แสงและการมองเหน็ ปรากฏการณทเี่ กี่ยวขอ งกบั แสง รวมทั้งนาํ ความรไู ป
ใชป ระโยชน
2. ผลการเรียนรู :
1. อธิบายการเกิดเสียง การเคลื่อนท่ีของเสียง ความสัมพันธระหวางคลื่นการกระจัดของอนุภาคกับ
คล่ืนความดัน ความสัมพันธระหวางอัตราเร็วของเสียงในอากาศท่ีขึ้นกับอุณหภูมิในหนวยองศาเซลเซียส
การสะทอน การหักเห การแทรกสอด การเล้ียวเบน ของคล่ืนเสียง รวมทั้งคํานวณปริมาณตาง ๆ ท่ี
เกี่ยวขอ ง
3. จุดเนน (สพฐ., สพม., โรงเรยี น/อัตลกั ษณ)
มุงมัน่ ในการศึกษาและการทาํ งาน
แสวงหาความรูเพ่อื การแกปญหา
มที ักษะการคดิ ขน้ั สงู
4. สาระสาํ คัญ :
ปรากฏการณทางเสียง ไดแก คล่ืนนิ่ง การส่ันพอง บีต (beats) ปรากฏการณดอปเพลอร (Doppler
effect)
คลื่นนิ่งของเสียงเกิดจากการแทรกสอดของคล่ืนเสียงอาพันธสองขบวนเคลื่อนท่ีสวนทางกัน ทําใหได
ยินเสียงดัง-คอยตลอดเวลา ตามตําแหนงปฏิบัพความดัน-บัพความดัน ตามลําดับ โดยสองตําแหนงที่มีเสียงดัง
ถัดกันหรอื มีเสียงคอยถัดกนั มรี ะยะหางเทากบั ครึ่งหนึ่งของความยาวคลืน่
การสั่นพองของเสียงเกิดจากลําอากาศในทอถูกทําใหส่ันดวยเสียงที่มีความถ่ีเทากับความถี่ธรรมชาติ
ของลํา อากาศในทอลําอากาศจะส่ันมากท่ีสุด และไดยินเสียงดังที่สุด ความถี่ท่ีทําใหเกิดการสั่นพอง เรียกวา
ความถี่สั่นพอง หรือ ความถ่ีเรโซแนนซ (resonant frequency) สําหรับทอปลายปดหนึ่งดาน ความถี่สั่น
พองมคี วามสมั พนั ธกบั ความยาวของลาํ อากาศในทอ ตามสมการ
บีตของเสียงเกิดจากการรวมกันของคล่ืนเสียงจากแหลงกําเนิดเสียง 2 แหลงที่มีความถี่ตางกัน
เล็กนอยใหไดยินเสียงดังคอยสลับกันไปเปนจังหวะคงตัว โดยหูจะไดยินเสียงของการบีต เมื่อเสียงทั้งสองมี
ความถ่ีตางกันไมเกิน 7 เฮิรตซ จํานวนคร้ังที่ไดยินเสียงดังในหน่ึงวินาทีเรียกวา ความถ่ีบีต (beat
frequency) ซ่ึงหาไดจ าก =
ปรากฏการณดอปเพลอรของเสียงเปนปรากฏการณท่ีผูฟงไดยินเสียงมีความถ่ีเปล่ียนไปจากความถี่
ของแหลงกาํ เนดิ เสยี ง ซ่ึงเกดิ จากแหลง กาํ เนิดเสียงหรอื ผฟู ง เคลอื่ นที่สัมพัทธกัน
เม่ือแหลงกําเนิดคลื่นเสียงมีอัตราเร็วมากกวาอัตราเร็วเสียง ทําใหหนาคลื่นเสียงอัดตัวกัน เกิดคล่ืน
กระแทก (shock wave) และเรียกหนาคลื่นวา หนาคลื่นกระแทก โดยหนาคล่ืนกระแทกมีพลงั งานสูง ทําให
ผูที่อยู ณ ตําแหนงขณะหนาคล่ืนกระแทกเคล่ือนท่ีผานไดยินเสียงดังมาก เรียกวา ซอนิกบูม (sonic boom)
โดยแนวหนาคล่นื กระแทกทาํ มุมกับแนวการเคลอ่ื นท่ีของแหลง กาํ เนดิ เรยี กวา มุมมคั (Mach angle)
ความรูเกี่ยวกับเสียงนํา ไปอธิบายและประยุกตใชในดานตาง ๆ เชน การเปลงเสียงของมนุษย การ
ทํางานของเคร่ืองดนตรี การปรับเทยี บเสยี งเครอ่ื งดนตรี การประมง การแพทยธ รณวี ทิ ยา อตุ สาหกรรม
5. จุดประสงคการเรียนรู
5.1 ดานความรู (Knowledge; K)
1) อธบิ ายการเกดิ การสัน่ พองของอากาศในทอปลายปด หนึ่งดาน
5.2 ดานทักษะกระบวนการ (Process; P)
1) ทดลองการสัน่ พองของอากาศในทอ ปลายปดหน่ึงดา นและการวัดความยาวคลืน่ ของเสยี ง
ในอากาศ
5.3 ดานคุณลักษณะอันพงึ ประสงค (Attitude; A)
1) เปนผมู ีความรบั ผดิ ชอบและเปนผมู คี วามมุงม่นั ในการทํางาน
6. สมรรถนะสําคัญ :
สมรรถนะสําคัญของผูเรียนหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้นั พื้นฐาน มงุ ใหผ เู รยี นเกิดสมรรถนะสาํ คัญ 5 ประการ ดงั น้ี
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแกปญ หา
4. ความสามารถในการใชท ักษะชวี ติ
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
7. บรู ณาการ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน ทอ งถน่ิ
สงเสริมใหนักเรียนเรียนรูคําศัพทเฉพาะภาษาอังกฤษท่ีเก่ียวกับเสียง และเสริมแนวทางการนําความรูเรื่อง
เสยี ง ไปใชอธิบายปรากฏการณท ีเ่ กดิ ขนึ้ และแกปญ หาในทอ งถิ่น
8. สื่อ/แหลงเรียนรู :
8.1 หนงั สือเรียนรายวชิ าเพิ่มเติมวทิ ยาศาสตร (ฟสิกส) ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 5 เลม 4 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.
2560)
8.2 อนิ เทอรเน็ต
9.การวัดและประเมินผล :
จุดประสงคการเรยี นรู วธิ ีการวดั เคร่อื งมือ เกณฑการประเมนิ
ดานความรู (K)
1) อธิบายการเกิดการส่ันพองของอากาศใน 1) ตรวจสมุดบันทกึ 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
ทอ ปลายปดหน่งึ ดา น ทํากจิ กรรม ต อ บ คํ า ถ า ม ใ น ใ บ
กิ จ ก ร ร ม ไ ด ร ะ ดั บ ดี
ผา นเกณฑ
ดา นกระบวนการ (P)
1) คํานวณปริมาณที่เก่ียวของกับการเกิด 1) ตรวจแบบฝก หดั 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
การสั่นพองของอากาศในทอปลายปดหนึ่ง ทํากจิ กรรม ทํ า แ บ บ ฝ ก หั ด ไ ด
ดา น 2) แ บ บ ฝ ก หั ด ใ น ระดบั ดี ผานเกณฑ
หนงั สือเรยี น
ดา นคุณลกั ษณะ (A)
1) เปนผมู ีความรับผิดชอบและ 1) ตรวจสมุดบนั ทึก 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนทําภาระ
เปน ผมู คี วามมุงม่ันในการทาํ งาน 2) ตรวจแบบฝก หัด ทํากจิ กรรม ง า น ที่ ไ ด รั บ
มอบหมายไดระดับดี
ผานเกณฑ
10. กิจกรรมการเรยี นรู :
ขนั้ ท่ี 1 ขั้นสรางความสนใจ
1.1 ครูและนกั เรยี นรว มกันทบทวนผลการทดลองในกิจกรรม 12.2 และ 12.3 ท่ผี านมา
ขน้ั ท่ี 2 ขน้ั สาํ รวจและคน หา
2.1 นกั เรยี นแตล ะคนศึกษาคนควาและทาํ ความเขาใจเนือ้ หา เรอื่ ง การสนั่ พองครงั้ แรก และ
การสั่นพองครง้ั ทสี่ อง ในหนังสือเรยี น หนา 46 แลวสรุปความรูท ไ่ี ดลงในสมุดบนั ทึก
ขัน้ ที่ 3 ขั้นอธิบายและลงขอสรปุ
3.1 ครสู มุ นกั เรียน 1 คน ออกมานาํ เสนอผลการสืบคน ของกลุม ตนเองหนาช้นั เรียน
3.2 ครูนาํ นกั เรียนอภปิ รายเพือ่ นําไปสูการสรุปโดยใชค าํ ถามตอไปนี้
1) การส่ันพองครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อลําอากาศในทอมีความยาวเปนเทาใด (แนวการ
ตอบ = )
2) การส่ันพองคร้ังท่ีสองเกิดขึ้นเม่ือลําอากาศในทอมีความยาว (แนวการตอบ
=)
3) การสัน่ พองครัง้ แรกเกิดข้ึนเมื่อลําอากาศในทอมีความยาว =
อยากทราบวา ความถี่เปน เทาใด (แนวการตอบ = = )
4) การสั่นพองครัง้ ทส่ี องเกดิ ขึ้นเมื่อลาํ อากาศในทอมีความยาว =
อยากทราบวา ความถี่เปน เทาใด (แนวการ = = )
5) สมการความสมั พนั ธระหวางความถี่การสัน่ พองกบั ความยาวของลาํ อากาศในทอ
ปลายปดหน่ึงดา น (แนวการตอบ = )
ขัน้ ท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู
4.1 ครูอธบิ ายตัวอยา งโจทยป ญ หา ในหนังสอื เรยี น หนา 46 - 47
ข้ันท่ี 5 ขน้ั ประเมินผล
5.1 นกั เรยี นสง สมดุ บันทกึ เรือ่ ง การสัน่ พอ งคร้งั แรก และการสน่ั พองคร้ังทสี่ อง
5.2 นักเรียนทําแบบฝกหัด 12.3 ขอ 1, 6
5.3 นักเรยี นทาํ แบบฝกหดั ทายบท ขอ 10
11. บันทึกหลงั สอน : ม. 5/2 ม.5/5
หัวขอ
ชัน้
ผลการจัดการเรียนการสอน
ความรูความสามารถ
ทักษะกระบวนการ
หวั ขอ ม. 5/2 ม.5/5
ชั้น
คณุ ลักษณะอนั พงึ
ประสงค
ปญหา/อุปสรรค
ความรคู วามสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ
คุณลักษณะอันพงึ
ประสงค
แนวทางแกไข
ความรูความสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ
หวั ขอ ม. 5/2 ม.5/5
ช้ัน
ลงชื่อ…………………………………………………
คุณลักษณะอันพึง (……………………………………………………..)
ประสงค
ครูผูสอน
ความคิดเหน็ ของหัวหนา กลุมสาระการเรยี นรู
ลงชอ่ื …………………………………………………
(……………………………………………………..)
หัวหนา กลุมสาระการเรยี นรู
ความเหน็ ของรองผูอํานวยการกลุมบรหิ ารวิชาการ/ผูบ รหิ าร หรือผูทไ่ี ดรบั มอบหมาย
ลงชือ่ …………………………………………………
(……………………………………………………..)
ตําแหนง …………………………………………..
แผนการจดั การเรยี นรทู ี่ 34 รายวชิ า ว32201 วิชาฟสกิ สเ พม่ิ เตมิ
กลุมสาระการเรยี นรูวทิ ยาศาสตร ช้ัน ม.5 เวลาเรียน 2 คาบ
หนว ยการเรยี นรู 12 เรอ่ื ง เสียง(การบตี ของเสียง)
ครูผูสอน นศ.ปส.นศั รนู การนี า ครพู ี่เลีย้ ง ครจู าตุรงค พรหมสถิตย
โรงเรยี นคณะราษฎรบาํ รงุ จังหวัดยะลา สพม.15
1. มาตรฐานการเรียนรู :
ว 5.2 เขาใจการเคล่ือนที่แบบฮารมอนิกสอยางงาย ธรรมชาติของคล่ืน เสียงและการไดยิน
ปรากฏการณทเี่ ก่ยี วของกับเสยี ง แสงและการมองเห็น ปรากฏการณท ีเ่ กย่ี วขอ งกบั แสง รวมทั้งนาํ ความรไู ป
ใชป ระโยชน
2. ผลการเรยี นรู :
1. อธิบายการเกิดเสียง การเคลื่อนที่ของเสียง ความสัมพันธระหวางคลื่นการกระจัดของอนุภาคกับ
คลื่นความดัน ความสัมพันธระหวางอัตราเร็วของเสียงในอากาศท่ีข้ึนกับอุณหภูมิในหนวยองศาเซลเซียส
การสะทอน การหักเห การแทรกสอด การเล้ียวเบน ของคลื่นเสียง รวมทั้งคํานวณปริมาณตาง ๆ ท่ี
เก่ียวขอ ง
3. จุดเนน (สพฐ., สพม., โรงเรียน/อตั ลกั ษณ)
มุงม่ันในการศึกษาและการทาํ งาน
แสวงหาความรูเ พื่อการแกป ญ หา
มที กั ษะการคิดขั้นสงู
4. สาระสําคัญ :
ปรากฏการณทางเสียง ไดแก คลื่นน่ิง การส่ันพอง บีต (beats) ปรากฏการณดอปเพลอร (Doppler
effect)
คล่ืนน่ิงของเสียงเกิดจากการแทรกสอดของคล่ืนเสียงอาพันธสองขบวนเคล่ือนท่ีสวนทางกัน ทําใหได
ยินเสียงดัง-คอยตลอดเวลา ตามตําแหนงปฏิบัพความดัน-บพั ความดัน ตามลําดับ โดยสองตําแหนงที่มีเสียงดงั
ถัดกนั หรอื มีเสียงคอยถัดกนั มรี ะยะหา งเทา กบั ครงึ่ หนงึ่ ของความยาวคลืน่
การส่ันพองของเสียงเกิดจากลําอากาศในทอถูกทําใหสั่นดวยเสียงที่มีความถ่ีเทากับความถ่ีธรรมชาติ
ของลํา อากาศในทอลําอากาศจะสั่นมากท่ีสุด และไดยินเสียงดังท่ีสุด ความถี่ที่ทําใหเกิดการสั่นพอง เรียกวา
ความถี่สั่นพอง หรือ ความถ่ีเรโซแนนซ (resonant frequency) สําหรับทอปลายปดหนึ่งดาน ความถี่สั่น
พอ งมีความสัมพันธกับความยาวของลําอากาศในทอ ตามสมการ
บีตของเสียงเกิดจากการรวมกันของคลื่นเสียงจากแหลงกําเนิดเสียง 2 แหลงท่ีมีความถี่ตางกัน
เล็กนอยใหไดยินเสียงดังคอยสลับกันไปเปนจังหวะคงตัว โดยหูจะไดยินเสียงของการบีต เม่ือเสียงท้ังสองมี
ความถ่ีตางกันไมเกิน 7 เฮิรตซ จํานวนคร้ังที่ไดยินเสียงดังในหน่ึงวินาทีเรียกวา ความถ่ีบีต (beat
frequency) ซ่ึงหาไดจ าก =
ปรากฏการณดอปเพลอรของเสียงเปนปรากฏการณท่ีผูฟงไดยินเสียงมีความถ่ีเปล่ียนไปจากความถี่
ของแหลงกาํ เนดิ เสยี ง ซ่ึงเกดิ จากแหลง กาํ เนิดเสียงหรอื ผฟู ง เคลอื่ นที่สัมพัทธกัน
เม่ือแหลงกําเนิดคลื่นเสียงมีอัตราเร็วมากกวาอัตราเร็วเสียง ทําใหหนาคลื่นเสียงอัดตัวกัน เกิดคล่ืน
กระแทก (shock wave) และเรียกหนาคลื่นวา หนาคลื่นกระแทก โดยหนาคล่ืนกระแทกมีพลงั งานสูง ทําให
ผูที่อยู ณ ตําแหนงขณะหนาคล่ืนกระแทกเคล่ือนท่ีผานไดยินเสียงดังมาก เรียกวา ซอนิกบูม (sonic boom)
โดยแนวหนาคล่นื กระแทกทาํ มุมกับแนวการเคลอ่ื นท่ีของแหลง กาํ เนดิ เรยี กวา มุมมคั (Mach angle)
ความรูเกี่ยวกับเสียงนํา ไปอธิบายและประยุกตใชในดานตาง ๆ เชน การเปลงเสียงของมนุษย การ
ทํางานของเคร่ืองดนตรี การปรับเทยี บเสยี งเครอ่ื งดนตรี การประมง การแพทยธ รณวี ทิ ยา อตุ สาหกรรม
5. จุดประสงคการเรียนรู
5.1 ดานความรู (Knowledge; K)
1) อธบิ ายการเกดิ การสัน่ พองของอากาศในทอปลายปด หนึ่งดาน
5.2 ดานทักษะกระบวนการ (Process; P)
1) ทดลองการสัน่ พองของอากาศในทอ ปลายปดหน่ึงดา นและการวัดความยาวคลืน่ ของเสยี ง
ในอากาศ
5.3 ดานคุณลักษณะอันพงึ ประสงค (Attitude; A)
1) เปนผมู ีความรบั ผดิ ชอบและเปนผมู คี วามมุงม่นั ในการทํางาน
6. สมรรถนะสําคัญ :
สมรรถนะสําคัญของผูเรียนหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้นั พื้นฐาน มงุ ใหผ เู รยี นเกิดสมรรถนะสาํ คัญ 5 ประการ ดงั น้ี
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแกปญ หา
4. ความสามารถในการใชท ักษะชวี ติ
5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี
7. บรู ณาการ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน ทอ งถน่ิ
สงเสริมใหนักเรียนเรียนรูคําศัพทเฉพาะภาษาอังกฤษท่ีเก่ียวกับเสียง และเสริมแนวทางการนําความรูเรื่อง
เสยี ง ไปใชอธิบายปรากฏการณท ีเ่ กดิ ขนึ้ และแกปญ หาในทอ งถิ่น
8. สื่อ/แหลงเรียนรู :
8.1 หนงั สือเรียนรายวชิ าเพิ่มเติมวทิ ยาศาสตร (ฟสิกส) ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 5 เลม 4 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.
2560)
8.2 อนิ เทอรเน็ต
9.การวัดและประเมินผล :
จุดประสงคการเรยี นรู วธิ ีการวดั เคร่อื งมือ เกณฑการประเมนิ
ดานความรู (K)
1) อธิบายการเกิดการส่ันพองของอากาศใน 1) ตรวจสมุดบันทกึ 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
ทอ ปลายปดหน่งึ ดา น ทํากจิ กรรม ต อ บ คํ า ถ า ม ใ น ใ บ
กิ จ ก ร ร ม ไ ด ร ะ ดั บ ดี
ผา นเกณฑ
ดา นกระบวนการ (P)
1) คํานวณปริมาณที่เก่ียวของกับการเกิด 1) ตรวจแบบฝก หดั 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
การสั่นพองของอากาศในทอปลายปดหนึ่ง ทํากจิ กรรม ทํ า แ บ บ ฝ ก หั ด ไ ด
ดา น 2) แ บ บ ฝ ก หั ด ใ น ระดบั ดี ผานเกณฑ
หนงั สือเรยี น
ดา นคุณลกั ษณะ (A)
1) เปนผมู ีความรับผิดชอบและ 1) ตรวจสมุดบนั ทึก 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนทําภาระ
เปน ผมู คี วามมุงม่ันในการทาํ งาน 2) ตรวจแบบฝก หัด ทํากจิ กรรม ง า น ที่ ไ ด รั บ
มอบหมายไดระดับดี
ผานเกณฑ
10. กิจกรรมการเรยี นรู :
ขนั้ ท่ี 1 ขั้นสรางความสนใจ
1.1 ครูและนกั เรยี นรว มกันทบทวนผลการทดลองในกิจกรรม 12.2 และ 12.3 ท่ผี านมา
ขน้ั ท่ี 2 ขน้ั สาํ รวจและคน หา
2.1 นกั เรยี นแตล ะคนศึกษาคนควาและทาํ ความเขาใจเนือ้ หา เรอื่ ง การสนั่ พองครงั้ แรก และ
การสั่นพองครง้ั ทสี่ อง ในหนังสือเรยี น หนา 46 แลวสรุปความรูท ไ่ี ดลงในสมุดบนั ทึก
ขัน้ ที่ 3 ขั้นอธิบายและลงขอสรปุ
3.1 ครสู มุ นกั เรียน 1 คน ออกมานาํ เสนอผลการสืบคน ของกลุม ตนเองหนาช้นั เรียน
3.2 ครูนาํ นกั เรียนอภปิ รายเพือ่ นําไปสูการสรุปโดยใชค าํ ถามตอไปนี้
1) การส่ันพองครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อลําอากาศในทอมีความยาวเปนเทาใด (แนวการ
ตอบ = )
2) การส่ันพองคร้ังท่ีสองเกิดขึ้นเม่ือลําอากาศในทอมีความยาว (แนวการตอบ
=)
3) การสัน่ พองครัง้ แรกเกิดข้ึนเมื่อลําอากาศในทอมีความยาว =
อยากทราบวา ความถี่เปน เทาใด (แนวการตอบ = = )
4) การสั่นพองครัง้ ทส่ี องเกดิ ขึ้นเมื่อลาํ อากาศในทอมีความยาว =
อยากทราบวา ความถี่เปน เทาใด (แนวการ = = )
5) สมการความสมั พนั ธระหวางความถี่การสัน่ พองกบั ความยาวของลาํ อากาศในทอ
ปลายปดหน่ึงดา น (แนวการตอบ = )
ขัน้ ท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู
4.1 ครูอธบิ ายตัวอยา งโจทยป ญ หา ในหนังสอื เรยี น หนา 46 - 47
ข้ันท่ี 5 ขน้ั ประเมินผล
5.1 นกั เรยี นสง สมดุ บันทกึ เรือ่ ง การสัน่ พอ งคร้งั แรก และการสน่ั พองคร้ังทสี่ อง
5.2 นักเรียนทําแบบฝกหัด 12.3 ขอ 1, 6
5.3 นักเรยี นทาํ แบบฝกหดั ทายบท ขอ 10
11. บันทึกหลงั สอน : ม. 5/2 ม.5/5
หัวขอ
ชัน้
ผลการจัดการเรียนการสอน
ความรูความสามารถ
ทักษะกระบวนการ
หวั ขอ ม. 5/2 ม.5/5
ชั้น
คณุ ลักษณะอนั พงึ
ประสงค
ปญหา/อุปสรรค
ความรคู วามสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ
คุณลักษณะอันพงึ
ประสงค
แนวทางแกไข
ความรูความสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ
หวั ขอ ม. 5/2 ม.5/5
ช้ัน
ลงชื่อ…………………………………………………
คุณลักษณะอันพึง (……………………………………………………..)
ประสงค
ครูผูสอน
ความคิดเหน็ ของหัวหนา กลุมสาระการเรยี นรู
ลงชอ่ื …………………………………………………
(……………………………………………………..)
หัวหนา กลุมสาระการเรยี นรู
ความเหน็ ของรองผูอํานวยการกลุมบรหิ ารวิชาการ/ผูบ รหิ าร หรือผูทไ่ี ดรบั มอบหมาย
ลงชือ่ …………………………………………………
(……………………………………………………..)
ตําแหนง …………………………………………..
แผนการจัดการเรียนรทู ่ี 35
กลุมสาระการเรยี นรวู ิทยาศาสตร รายวชิ า ว32201 วชิ าฟส กิ สเพม่ิ เติม
หนว ยการเรียนรู 12 เรอื่ ง เสียง(ปรากฏการณดอปเพลอรและคลน่ื กระแทกของเสยี ง)
ช้ัน ม.5 เวลาเรยี น 2 คาบ
ครูผสู อน นศ.ปส.นศั รนู การนี า ครพู ่ีเล้ียง ครจู าตรุ งค พรหมสถิตย
โรงเรยี นคณะราษฎรบํารุง จงั หวัดยะลา สพม.15
1. มาตรฐานการเรยี นรู :
ว 5.2 เขาใจการเคล่ือนท่ีแบบฮารมอนิกสอยางงาย ธรรมชาติของคล่ืน เสียงและการไดยิน
ปรากฏการณที่เกี่ยวของกับเสยี ง แสงและการมองเหน็ ปรากฏการณท่เี ก่ยี วขอ งกับแสง รวมทงั้ นาํ ความรไู ป
ใชป ระโยชน
2. ผลการเรียนรู :
1. อธิบายการเกิดเสียง การเคล่ือนท่ีของเสียง ความสัมพันธระหวางคลื่นการกระจัดของอนุภาคกับ
คล่ืนความดัน ความสัมพันธระหวางอัตราเร็วของเสียงในอากาศท่ีข้ึนกับอุณหภูมิในหนวยองศาเซลเซียส
การสะทอน การหักเห การแทรกสอด การเลี้ยวเบน ของคล่ืนเสียง รวมทั้งคํานวณปริมาณตาง ๆ ท่ี
เกยี่ วขอ ง
3. จดุ เนน (สพฐ., สพม., โรงเรียน/อัตลักษณ)
มงุ มน่ั ในการศกึ ษาและการทาํ งาน
แสวงหาความรูเพื่อการแกปญ หา
มีทักษะการคดิ ขั้นสูง
4. สาระสําคัญ :
ปรากฏการณทางเสียง ไดแก คล่ืนน่ิง การส่ันพอง บีต (beats) ปรากฏการณดอปเพลอร (Doppler
effect)
คล่ืนน่ิงของเสียงเกิดจากการแทรกสอดของคลื่นเสียงอาพันธสองขบวนเคลื่อนท่ีสวนทางกัน ทําใหได
ยินเสียงดัง-คอยตลอดเวลา ตามตําแหนงปฏิบัพความดัน-บพั ความดัน ตามลําดับ โดยสองตําแหนงท่ีมีเสียงดงั
ถดั กันหรอื มีเสียงคอยถัดกนั มีระยะหา งเทากับครง่ึ หน่งึ ของความยาวคลน่ื
การสั่นพองของเสียงเกิดจากลําอากาศในทอถูกทําใหส่ันดวยเสียงที่มีความถ่ีเทากับความถ่ีธรรมชาติ
ของลํา อากาศในทอลําอากาศจะสั่นมากท่ีสุด และไดยินเสียงดังท่ีสุด ความถี่ที่ทําใหเกิดการส่ันพอง เรียกวา
ความถ่ีสั่นพอง หรือ ความถ่ีเรโซแนนซ (resonant frequency) สําหรับทอปลายปดหนึ่งดาน ความถ่ีสั่น
พองมีความสมั พนั ธก บั ความยาวของลําอากาศในทอ ตามสมการ
บีตของเสียงเกิดจากการรวมกันของคลื่นเสียงจากแหลงกําเนิดเสียง 2 แหลงที่มีความถ่ีตางกัน
เล็กนอยใหไดยินเสียงดังคอยสลับกันไปเปนจังหวะคงตัว โดยหูจะไดยินเสียงของการบีต เมื่อเสียงท้ังสองมี
ความถี่ตางกันไมเกิน 7 เฮิรตซ จํานวนคร้ังที่ไดยินเสียงดังในหนึ่งวินาทีเรียกวา ความถี่บีต (beat
frequency) ซงึ่ หาไดจ าก =
ปรากฏการณดอปเพลอรของเสียงเปนปรากฏการณท่ีผูฟงไดยินเสียงมีความถี่เปล่ียนไปจากความถ่ี
ของแหลงกาํ เนิดเสียง ซ่งึ เกดิ จากแหลง กาํ เนดิ เสยี งหรอื ผฟู ง เคลอ่ื นท่สี มั พทั ธกนั
เมื่อแหลงกําเนิดคลื่นเสียงมีอัตราเร็วมากกวาอัตราเร็วเสียง ทําใหหนาคล่ืนเสียงอัดตัวกัน เกิดคล่ืน
กระแทก (shock wave) และเรียกหนาคลื่นวา หนาคล่ืนกระแทก โดยหนาคล่ืนกระแทกมีพลังงานสูง ทําให
ผูท่ีอยู ณ ตําแหนงขณะหนาคล่ืนกระแทกเคล่ือนท่ีผานไดยินเสียงดังมาก เรียกวา ซอนิกบูม (sonic boom)
โดยแนวหนา คลืน่ กระแทกทาํ มุมกบั แนวการเคล่อื นที่ของแหลงกําเนดิ เรยี กวา มุมมคั (Mach angle)
ความรูเก่ียวกับเสียงนํา ไปอธิบายและประยุกตใชในดานตาง ๆ เชน การเปลงเสียงของมนุษย การ
ทาํ งานของเคร่ืองดนตรี การปรับเทียบเสยี งเครอ่ื งดนตรี การประมง การแพทยธรณวี ทิ ยา อุตสาหกรรม
5. จดุ ประสงคการเรียนรู
5.1 ดา นความรู (Knowledge; K)
1) อธิบายปรากฏการณด อปเพลอรและคล่นื กระแทกของเสียงได
5.2 ดานทักษะกระบวนการ (Process; P)
1) คํานวณหาปริมาณตางๆ ที่เกย่ี วขอ งกบั คล่นื กระแทกเม่ือกาํ หนดสถานการณมาใหได
5.3 ดา นคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค (Attitude; A)
1) เปน ผูมคี วามรับผิดชอบและเปน ผมู ีความมงุ มัน่ ในการทํางาน
6. สมรรถนะสําคัญ :
สมรรถนะสําคัญของผูเรียนหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน มุงใหผูเรยี นเกดิ สมรรถนะสาํ คัญ 5 ประการ ดังน้ี
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกป ญ หา
4. ความสามารถในการใชท กั ษะชีวติ
5. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี
7. บรู ณาการ อาเซยี น ทอ งถิ่น
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
สงเสริมใหนักเรียนเรียนรูคําศัพทเฉพาะภาษาอังกฤษที่เก่ียวกับเสียง และเสริมแนวทางการนําความรูเรื่อง
เสียง ไปใชอธบิ ายปรากฏการณท ่เี กิดขน้ึ และแกป ญ หาในทอ งถนิ่
8. สอื่ /แหลงเรยี นรู :
8.1 หนงั สอื เรียนรายวิชาเพิ่มเตมิ วิทยาศาสตร (ฟส ิกส) ชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 5 เลม 4 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.
2560)
8.2 อนิ เทอรเ น็ต
9.การวัดและประเมนิ ผล :
จุดประสงคการเรยี นรู วิธกี ารวัด เครอ่ื งมือ เกณฑก ารประเมิน
ดา นความรู (K)
1) อธบิ ายปรากฏการณดอปเพลอรและ 1) สังเกตบทบาท 1) แบบประเมินกจิ กรรม 1) นกั เรยี นสามารถ
คลืน่ กระแทกของเสยี งได สมมติ เรือ่ ง 2) ใบกิจกรรม เรอ่ื ง ตอบคาํ ถามในใบ
ปรากฏการณ ปรากฏการณดอปเพลอร กิจกรรมไดร ะดบั ดี
ดอปเพลอร และคล่นื กระแทก ผา นเกณฑ
2) ตรวจใบกจิ กรรม
เร่ือง ปรากฏการณ
ดอปเพลอรแ ละคลน่ื
กระแทก
ดา นกระบวนการ (P)
1) คาํ นวณหาปริมาณตา งๆ ที่เกีย่ วของ 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินกิจกรรม 1) นักเรยี นสามารถ
กบั คลน่ื กระแทกเมื่อกําหนดสถานการณ เรอื่ ง ปรากฏการณ 2) ใบกิจกรรม เรอ่ื ง ทาํ แบบฝก หัดได
มาใหได ดอปเพลอรและคลื่น ปรากฏการณดอปเพลอร ระดบั ดี ผานเกณฑ
กระแทก และคลืน่ กระแทก
ดานคุณลกั ษณะ (A) 1) ตรวจใบกิจกรรม เรือ่ ง 1) แบบประเมนิ 1) นกั เรียนทําภาระ
1) เปน ผูม ีความมุงม่นั ในการทาํ งาน ปรากฏการณ กจิ กรรม งานทไ่ี ดร บั มอบหมาย
ดอปเพลอรแ ละคลืน่ ไดร ะดับดี ผา นเกณฑ
กระแทก
10. กิจกรรมการเรียนรู :
ขนั้ ท่ี 1 ขน้ั สรางความสนใจ
1.1 ครูต้ังปญหาเกี่ยวกับการไดยินเสียงจากแหลงกําเนิดเสียงที่อยูน่ิงและกําลังเคลือ่ นที่ เชน
หวูดรถไฟขณะเลน เขา สูสถานี เสียงรถไซเรนท่ีแลน ผานนกั เรียน
1.2 ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายถึงความแตกตางของเสียงท่ีไดยิน เพื่อนําไปสูขอสรุปวา
เสียงที่ไดยินจากแหลงกําเนิดเสียงที่กําลังเคล่ือนที่จะมีระดับเสียงเปลี่ยนไปจากเสียงที่ไดยินจาก
แหลง กําเนิดเสยี งทีอ่ ยนู ิ่ง
1.3 ครตู ง้ั ปญ หาใหนกั เรียนคดิ วา เหตใุ ดจึงเปน เชนน้ัน เพอ่ื นําเขาสกู ิจกรรม
ขนั้ ที่ 2 ขนั้ สาํ รวจและคน หา
2.1 จัดกลุม นักเรียน จํานวน 8 กลุม โดยใหส มาชิกแตล ะกลมุ มคี วามรคู วามสามารถท่ีคละกนั
กลุมนีจ้ ะเปน กลุม ประจาํ
2.2 ครูจดั แบงเนื้อหาทีจ่ ะเรยี นเปน เน้ือหายอย ๆ เทา กบั จาํ นวนกลุมของนักเรียน
2.3 ใหแ ตล ะกลมุ จับฉลากหมายเลขของเน้ือหา กลุมละ 1 ฉลาก เพอื่ รบั ผิดชอบในการศึกษา
หัวขอ ยอย
2.4 ใหนกั เรยี นแตล ะกลุม ศกึ ษาและทําความเขา ใจเนื้อหาตามหมายเลขท่ีตวั เองได ซึง่ ครแู บง
เนือ้ หาใหตามหนงั สือเรียน
กลุมท่ี 1 แหลงกาํ เนดิ เสยี งเคลอ่ื นทีเ่ ขา หาผูส ังเกตทอ่ี ยนู ่งิ
กลุมที่ 2 แหลง กําเนดิ เสยี งเคลือ่ นที่ออกหาผสู งั เกตท่ีอยูน่งิ
กลุมท่ี 3 ผูสังเกตเคลอ่ื นทเ่ี ขาหาแหลง กาํ เนิดเสยี งท่ีอยูน่ิง
กลุม ท่ี 4 ผูส งั เกตเคลือ่ นที่ออกจากแหลง กําเนดิ เสียงท่ีอยนู งิ่
กลุม ที่ 5 แหลงกาํ เนดิ เสียงและผูสังเกตเคลอ่ื นทเ่ี ขา หากนั
กลมุ ที่ 6 แหลง กําเนดิ เสยี งและผสู ังเกตเคลอ่ื นท่ีออกจากกนั
กลุมที่ 7 แหลงกาํ เนดิ เสยี งเคลอื่ นทตี่ ามผสู ังเกต
กลุมท่ี 8 ผูสังเกตเคลอื่ นที่ตามแหลง กําเนิดเสียง
2.5 นกั เรียนแตล ะกลุม ทศี่ กึ ษาและทาํ ความเขาใจเนื้อหา (ใชเวลา 10 นาที)
2.6 นักเรียนแตละกลุมชวยกันสรุปความรูที่ไดโดยออกมาแสดงบทบาทสมมติ พรอมเขียน
สมการหาความถีผ่ ูสงั เกตใหถกู ตอง
ขนั้ ที่ 3 ข้ันอธิบายและลงขอสรุป
3.1 ครนู ํานักเรียนอภปิ รายเพอื่ นาํ ไปสูการสรุปโดยใชคําถามตอ ไปน้ี
1) จงอธิบายความหมายของปรากฏการณดอปเพลอร (Doppler effect) (แนวการ
ตอบการที่เราไดยินเสียงจากแหลงกําเนิดเสียงมีความถ่ีเปล่ียนไปจากเดิมเนื่องจากการเคลื่อนที่
สมั พทั ธระหวางแหลงกําเนิดเสียงและผสู ังเกต)
2) อธบิ ายปรากฏการณด อปเพลอร ในกรณที แ่ี หลง กําเนดิ เสียงเคลื่อนที่เขาหรือออก
ผูสังเกตอยูนิ่ง ผูสังเกตจะไดยินเสียงที่มีความถ่ีเปนอยางไร (แนวการตอบ เม่ือแหลงกําเนิดเสียง
เคลอ่ื นทีเ่ ขา หาผูส ังเกต ผูสังเกตจะไดย ินเสยี งท่ีมคี วามถี่มากขึ้น แตเ มื่อแหลง กําเนิดเสียงเคลอื่ นท่ีออก
จากผูสงั เกตผสู งั เกตจะไดย ินเสียงทม่ี คี วามถี่นอยลง)
3) อธิบายปรากฏการณดอปเพลอร ในกรณีท่ีแหลงกําเนิดเสียงอยูน่ิง ผูสังเกต
เคล่ือนที่เขาหรือออก ผูสังเกตจะไดยินเสียงที่มีความถี่เปนอยางไร (แนวการตอบ เมื่อแหลงกําเนิด
เสียงอยูนิ่ง ผูสังเกตที่เคล่ือนท่ีเขาหาแหลงกําเนิดเสียงจะไดยินเสียงที่มีความถี่มากขึ้น แตผูสังเกตท่ี
เคลอื่ นท่อี อกจากแหลงกําเนิดเสียงจะไดย นิ เสียงท่มี ีความถีน่ อยลง)
4) อธิบายปรากฏการณดอปเพลอร ในกรณที แ่ี หลง กําเนิดเสยี งและผสู ังเกตเคลื่อนท่ี
ผสู งั เกตจะไดย ินเสยี งที่มีความถ่ีเปนอยางไร (แนวการตอบ แหลงกาํ เนิดเสยี งและผูส ังเกตเคล่ือนท่ีเขา
หากนั ผสู งั เกตจะไดย ินสยี งท่ีมคี วามถี่มากขึ้น แตถ า แหลง กํานิดเสียงและผูส ังเกตเคล่ือนท่ีออกจากกัน
ผสู ังเกตจะไดยินเสียงท่มี ีความถนี่ อ ยลง)
3.2 ครูและนักเรียนรว มกันสรปุ ความรู เรอ่ื ง ปรากฏการณด อปเพลอร และสมการท่เี กยี่ วของ
ขัน้ ที่ 4 ขั้นขยายความรู
4.1 ครูถามตอไปวา เวลาเรือหางยาววิ่งในน้ําดวยความเร็วสูง ลักษณะของคลื่นน้ําจะเปน
อยางไร (ทง้ิ ชวงใหนักเรียนคดิ ) (นกั เรยี นอาจจะตอบไดวา ลักษณะของหนา คลน่ื เปนรปู ทรงกรวย)
4.2 เม่ือเคร่ืองบินไอพนบินผานเราไป เราจะไดยินเสียงเปนอยางไร (ท้ิงชวงใหนักเรียนคิด)
(นกั เรียนอาจจะตอบไดว า เสียงดังมาก บางทไี ดย นิ แตเสียง มองไมเ ห็นเครอื่ งบิน)
4.3 ครูอธบิ ายความรเู พม่ิ เติม เรอื่ ง เรดาร (radar : radio detection and ranging)
4.4 ครอู ธิบายความรูเพม่ิ เติม เรื่อง เลขมัค (Mach number)
ขนั้ ที่ 5 ข้นั ประเมนิ ผล
5.1 นักเรียนแตละกลุมนําเสนอบทบาทสมมติ
5.2 นักเรียนทําใบกิจกรรม เรอื่ ง ปรากฏการณดอปเพลอรแ ละคลืน่ กระแทก
11. บนั ทึกหลังสอน :
หวั ขอ ม. 5/2 ม.5/5
ชั้น
ผลการจัดการเรยี นการสอน
หวั ขอ ม. 5/2 ม.5/5
ช้นั
ความรคู วามสามารถ
ทักษะกระบวนการ
คณุ ลักษณะอนั พงึ
ประสงค
ปญหา/อุปสรรค
ความรคู วามสามารถ
ทักษะกระบวนการ
คณุ ลกั ษณะอันพงึ
ประสงค
แนวทางแกไข
ความรคู วามสามารถ
หวั ขอ ม. 5/2 ม.5/5
ชน้ั
ลงชอื่ …………………………………………………
ทักษะกระบวนการ (……………………………………………………..)
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ครผู ูสอน
ประสงค
ความคดิ เหน็ ของหัวหนา กลุมสาระการเรยี นรู
ลงช่ือ…………………………………………………
(……………………………………………………..)
หวั หนา กลมุ สาระการเรยี นรู
ความเห็นของรองผูอาํ นวยการกลมุ บรหิ ารวิชาการ/ผูบรหิ าร หรอื ผทู ีไ่ ดรับมอบหมาย
ลงชอื่ …………………………………………………
(……………………………………………………..)
ตาํ แหนง…………………………………………..
ชอ่ื ช้ัน เลขที่ ‘
ใบกจิ กรรม เรือ่ ง ปรากฏการณด อปเพลอรและคลื่นกระแทก
จงคาํ ตอบคําถามใหถกู ตองสมบูรณ
1) จงอธบิ ายความหมายของปรากฏการณด อปเพลอร (Doppler effect)
ตอบ แนวการตอบการที่เราไดยินเสียงจากแหลงกําเนิดเสียงมีความถี่เปล่ียนไปจากเดิมเนื่องจากการเคล่ือนท่ี
สัมพทั ธระหวา งแหลงกําเนดิ เสียงและผสู ังเกต ท
แนวการตอบการทเ่ี ราไดยนิ เสียงจากแหลง กําเนิดเสยี งมีความถเ่ี ปลี่ยนไปจากเดมิ เน่ืองจากการเคลือ่ นท่ี
2) อธิบายปรากฏการณดอปเพลอร ในกรณีที่แหลงกําเนิดเสียงเคลื่อนที่เขาหรือออก ผูสังเกตอยูน่ิง ผูสังเกตจะไดยิน
เสยี งทีม่ ีความถเี่ ปนอยา งไร
ตอบ เมื่อแหลงกําเนิดเสียงเคล่ือนที่เขาหาผูสังเกต ผูสังเกตจะไดยินเสียงที่มีความถี่มากขึ้น แตเมื่อแหลแนวการ
ตอบการท่ีเราไดยินเสียงจากแหลงกําเนิดเสียงมีความถ่ีเปล่ียนไปจากเดิมเน่ืองจากการเคลื่อนท่ีงกําเนิดเสียง
เคลื่อนทอี่ อกจากผูสงั เกต ผูส ังเกตจะไดย ินเสยี งทีม่ คี วามถี่นอยลง
3) อธิบายปรากฏการณดอปเพลอร ในกรณีที่แหลงกําเนิดเสียงอยูน่ิง ผูสังเกตเคลื่อนที่เขาหรือออก ผูสังเกตจะไดยิน
เสียงทีม่ ีความถเ่ี ปน อยา งไร
ตอบ เม่ือแหลงกําเนิดเสียงอยูน่ิง ผูสังเกตท่ีเคลื่อนท่ีเขาหาแหลงกําเนิดเสียงจะไดยินเสียงที่มีความถ่ีมากขึ้น แตผู
สังเกตทีเ่ คลือ่ นท่ีออกจากแหลง กาํ เนดิ เสียงจะไดย นิ เสียงทมี่ ีความถน่ี อยลง ท
4) อธิบายปรากฏการณดอปเพลอร ในกรณีที่แหลงกําเนิดเสียงและผูสังเกตเคล่ือนท่ีผูสังเกตจะไดยินเสียงท่ีมีความถี่
เปน อยางไร
ตอบ แหลงกําเนิดเสียงและผูสังเกตเคล่ือนท่ีเขาหากัน ผูสังเกตจะไดยินสียงท่ีมีความถ่ีมากขึ้น แตถาแหลงกํานิด
เสยี งและผูสังเกตเคล่ือนท่ีออกจากกนั ผูสงั เกตจะไดยินเสยี งทม่ี คี วามถ่ีนอ ยลง ท
5) จงอธิบายความหมายของคล่นื กระแทก
ตอบ การเคล่ือนท่ีของแหลงกําเนิดเสียงท่ีมีอั แนวการตอบการท่ีเราไดยินเสียงจากแหลงกําเนิดเสียงมีความถ่ี
เปล่ียนไปจากเดิมเนื่องจากการเคล่ือนท่ีตราเร็วนอยกวาอัตราเร็วเสียงในอากาศ จะเกิดอะไรข้ึนถาแหลงกําเนิด
เสยี งเคลอ่ื นที่ดว ยอัตราเร็ว ( ) ท่ีมากกวา อตั ราเรว็ เสียงในอากาศ ( )
6) เคร่ืองบินลําหนึ่งบินดวยความเร็ว 510 m/s ในแนวระดับเหนือพ้ืนดิน ถาอัตราเร็วเสียงในอากาศขณะน้ันเทากับ 340
m/s มมุ ระหวา งหนา คลน่ื กระแทกกับแนวการเคลอื่ นทีข่ องเครื่องบนิ มคี า เทาไร
วิธีทํา sin = = = 0.66 ท
= sin 0.66 แนวการตอบการท่ีเราไดยินเสียงจากแหลงกําเนิดเสียงมี
ความถี่เปล่ยี นไปจากเดมิ เนอื่ งจากการเคลือ่ นที่ ท
7) เครื่องบินลําหน่ึงบินดวยความเร็ว 540 m/s ในแนวระดับเหนือพื้นดิน ถาอัตราเร็วเสียงในอากาศขณะนั้นเทากับ 300
m/s มุมระหวา งหนา คลนื่ กระแทกกบั แนวการเคลือ่ นท่ขี องเคร่ืองบนิ มคี าเทาไร
วิธที ํา sin = = = 0.56 ท
= sin 0.66 ท
ชอ่ื ชน้ั เลขท่ี ‘
เฉลยใบกิจกรรม เร่ือง ปรากฏการณดอปเพลอรและคลน่ื กระแทก
จงคาํ ตอบคาํ ถามใหถกู ตอ งสมบูรณ
1) จงอธบิ ายความหมายของปรากฏการณด อปเพลอร (Doppler effect)
ตอบ แนวการตอบการที่เราไดยินเสียงจากแหลงกําเนิดเสียงมีความถ่ีเปล่ียนไปจากเดิมเน่ืองจากการเคลื่อนที่
สมั พัทธระหวา งแหลงกําเนิดเสยี งและผสู ังเกต ท
2) อธิบายปรากฏการณดอปเพลอร ในกรณีท่ีแหลงกําเนิดเสียงเคล่ือนท่ีเขาหรือออก ผูสังเกตอยูนิ่ง ผูสังเกตจะไดยนิ
เสียงที่มคี วามถี่เปน อยางไร
ตอบ เมื่อแหลงกําเนิดเสียงเคล่ือนที่เขาหาผูสังเกต ผูสังเกตจะไดยินเสียงท่ีมีความถี่มากข้ึน แตเม่ือแหลงกําเนิด
เสยี งเคล่ือนท่อี อกจากผูสงั เกต ผสู งั เกตจะไดย ินเสียงทม่ี คี วามถ่ีนอยลง ท
3) อธิบายปรากฏการณดอปเพลอร ในกรณีท่ีแหลงกําเนิดเสียงอยูน่ิง ผูสังเกตเคล่ือนที่เขาหรือออก ผูสังเกตจะไดยนิ
เสียงทม่ี คี วามถี่เปนอยางไร
ตอบ เม่ือแหลงกําเนิดเสียงอยูนิ่ง ผูสังเกตท่ีเคล่ือนท่ีเขาหาแหลงกําเนิดเสียงจะไดยินเสียงที่มีความถี่มากข้ึน แตผู
สงั เกตทเ่ี คลื่อนทอ่ี อกจากแหลงกําเนิดเสยี งจะไดยินเสยี งทมี่ ีความถ่ีนอยลง ท
4) อธิบายปรากฏการณดอปเพลอร ในกรณีท่ีแหลงกําเนิดเสียงและผูสังเกตเคล่ือนที่ผูสังเกตจะไดยินเสียงที่มีความถี่
เปนอยางไร
ตอบ แหลงกําเนิดเสียงและผูสังเกตเคล่ือนท่ีเขาหากัน ผูสังเกตจะไดยินสียงท่ีมีความถี่มากข้ึน แตถาแหลงกํานิด
เสียงและผสู ังเกตเคล่อื นทอี่ อกจากกนั ผสู ังเกตจะไดย ินเสยี งทมี่ คี วามถี่นอยลง ท
5) จงอธิบายความหมายของคล่ืนกระแทก
ตอบ การเคล่ือนท่ีของแหลงกําเนิดเสียงท่ีมีอัตราเร็วนอยกวาอัตราเร็วเสียงในอากาศ จะเกิดอะไรข้ึนถา
แหลงกาํ เนดิ เสียงเคลอื่ นท่ีดว ยอัตราเรว็ ( ) ท่มี ากกวา อตั ราเร็วเสยี งในอากาศ ( )
6) เครื่องบินลําหนึ่งบินดวยความเร็ว 510 m/s ในแนวระดับเหนือพื้นดิน ถาอัตราเร็วเสียงในอากาศขณะนั้นเทากับ 340
m/s
มุมระหวา งหนา คลน่ื กระแทกกับแนวการเคลอ่ื นที่ของเคร่ืองบนิ มีคาเทา ไร
วิธีทาํ sin = = = 0.66 ท
= sin 0.66 ท
7) เครื่องบินลําหนึ่งบินดวยความเร็ว 540 m/s ในแนวระดับเหนือพ้ืนดิน ถาอัตราเร็วเสียงในอากาศขณะนั้นเทากับ 300
m/s
มุมระหวางหนา คลื่นกระแทกกบั แนวการเคลื่อนทข่ี องเคร่ืองบนิ มีคา เทา ไร
วิธีทาํ sin = = = 0.56 ท
= sin 0.56 ท
แผนการจัดการเรียนรทู ี่ 36 รายวิชา ว32201 วิชาฟส ิกสเ พ่ิมเตมิ
กลมุ สาระการเรียนรูวทิ ยาศาสตร ชนั้ ม.5 เวลาเรียน 1 คาบ
หนวยการเรียนรู 12 เรอ่ื ง เสียง(การประยุกตใ ชความรเู รือ่ งเสยี ง)
ครูผสู อน นศ.ปส.นศั รนู การนี า ครพู เ่ี ล้ยี ง ครจู าตรุ งค พรหมสถิตย
โรงเรยี นคณะราษฎรบาํ รงุ จงั หวดั ยะลา สพม.15
1. มาตรฐานการเรยี นรู :
ว 5.2 เขาใจการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกสอยางงาย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการไดยิน
ปรากฏการณท ีเ่ กีย่ วขอ งกบั เสยี ง แสงและการมองเหน็ ปรากฏการณทีเ่ กีย่ วขอ งกบั แสง รวมทั้งนาํ ความรไู ป
ใชประโยชน
2. ผลการเรียนรู :
1. อธิบายการเกิดเสียง การเคล่ือนที่ของเสียง ความสัมพันธระหวางคลื่นการกระจัดของอนุภาคกับ
คล่ืนความดัน ความสัมพันธระหวางอัตราเร็วของเสียงในอากาศท่ีข้ึนกับอุณหภูมิในหนวยองศาเซลเซียส
การสะทอน การหักเห การแทรกสอด การเลี้ยวเบน ของคล่ืนเสียง รวมท้ังคํานวณปริมาณตาง ๆ ที่
เกย่ี วขอ ง
3. จุดเนน (สพฐ., สพม., โรงเรยี น/อัตลักษณ)
มงุ มนั่ ในการศกึ ษาและการทํางาน
แสวงหาความรเู พ่ือการแกป ญ หา
มที กั ษะการคิดขัน้ สูง
4. สาระสําคัญ :
ปรากฏการณทางเสียง ไดแก คล่ืนนิ่ง การสั่นพอง บีต (beats) ปรากฏการณดอปเพลอร (Doppler
effect)
คล่ืนนิ่งของเสียงเกิดจากการแทรกสอดของคลื่นเสียงอาพันธสองขบวนเคล่ือนท่ีสวนทางกัน ทําใหได
ยินเสียงดัง-คอยตลอดเวลา ตามตําแหนงปฏบิ ัพความดัน-บัพความดัน ตามลําดับ โดยสองตําแหนงที่มีเสียงดงั
ถดั กนั หรือมีเสยี งคอยถัดกนั มรี ะยะหา งเทา กับคร่ึงหนง่ึ ของความยาวคลน่ื
การส่ันพองของเสียงเกิดจากลําอากาศในทอถูกทําใหสั่นดวยเสียงท่ีมีความถ่ีเทากับความถ่ีธรรมชาติ
ของลํา อากาศในทอลําอากาศจะส่ันมากท่ีสุด และไดยินเสียงดังที่สุด ความถี่ที่ทําใหเกิดการสั่นพอง เรียกวา
ความถี่ส่ันพอง หรือ ความถ่ีเรโซแนนซ (resonant frequency) สําหรับทอปลายปดหน่ึงดาน ความถี่ส่ัน
พองมคี วามสัมพนั ธกบั ความยาวของลําอากาศในทอ ตามสมการ
บีตของเสียงเกิดจากการรวมกันของคลื่นเสียงจากแหลงกําเนิดเสียง 2 แหลงท่ีมีความถี่ตางกัน
เล็กนอยใหไดยินเสียงดังคอยสลับกันไปเปนจังหวะคงตัว โดยหูจะไดยินเสียงของการบีต เมื่อเสียงทั้งสองมี
ความถ่ีตางกันไมเกิน 7 เฮิรตซ จํานวนครั้งท่ีไดยินเสียงดังในหนึ่งวินาทีเรียกวา ความถ่ีบีต (beat
frequency) ซ่งึ หาไดจ าก =
ปรากฏการณดอปเพลอรของเสียงเปนปรากฏการณท่ีผูฟงไดยินเสียงมีความถ่ีเปล่ียนไปจากความถี่
ของแหลงกาํ เนดิ เสยี ง ซึ่งเกดิ จากแหลง กําเนดิ เสียงหรือผูฟงเคลื่อนท่ีสัมพทั ธกัน
เม่ือแหลงกําเนิดคลื่นเสียงมีอัตราเร็วมากกวาอัตราเร็วเสียง ทําใหหนาคล่ืนเสียงอัดตัวกัน เกิดคล่ืน
กระแทก (shock wave) และเรียกหนาคล่ืนวา หนาคลื่นกระแทก โดยหนาคลื่นกระแทกมีพลังงานสูง ทําให
ผูที่อยู ณ ตําแหนงขณะหนาคล่ืนกระแทกเคลื่อนที่ผานไดยินเสียงดังมาก เรียกวา ซอนิกบูม (sonic boom)
โดยแนวหนาคลื่นกระแทกทาํ มุมกับแนวการเคล่อื นที่ของแหลงกาํ เนดิ เรียกวา มมุ มัค (Mach angle)
ความรูเก่ียวกับเสียงนํา ไปอธิบายและประยุกตใชในดานตาง ๆ เชน การเปลงเสียงของมนุษย การ
ทํางานของเคร่ืองดนตรี การปรับเทียบเสียงเครอื่ งดนตรี การประมง การแพทยธ รณวี ทิ ยา อุตสาหกรรม
5. จุดประสงคการเรียนรู
5.1 ดานความรู (Knowledge; K)
1) อธิบายความรูเกีย่ วกับเสียงนําไปอธิบายและประยกุ ตใชในดา นตา งๆ ได
5.2 ดานทกั ษะกระบวนการ (Process; P)
1) นกั เรียนสามารถจัดกระทาํ และสื่อความหมายของขอมูลทศี่ กึ ษาคน ควาได
5.3 ดา นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค (Attitude; A)
1) เปน ผมู ีความรบั ผิดชอบและเปน ผูม คี วามมุงมนั่ ในการทํางาน
6. สมรรถนะสาํ คญั :
สมรรถนะสําคัญของผูเรียนหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน มุงใหผูเรยี นเกิดสมรรถนะสําคญั 5 ประการ ดงั นี้
1. ความสามารถในการส่อื สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแกปญ หา
4. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวติ
5. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี
7. บรู ณาการ
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง อาเซียน ทองถ่ิน
สงเสริมใหนักเรียนเรียนรูคําศัพทเฉพาะภาษาอังกฤษท่ีเกี่ยวกับเสียง และเสริมแนวทางการนําความรูเรื่อง
เสยี ง ไปใชอธิบายปรากฏการณท ่เี กดิ ขนึ้ และแกป ญหาในทอ งถิ่น
8. ส่ือ/แหลง เรยี นรู :
8.1 หนังสอื เรียนรายวิชาเพิม่ เตมิ วิทยาศาสตร (ฟสิกส) ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 5 เลม 4 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.
2560)
8.2 อินเทอรเ นต็
9.การวัดและประเมินผล :
จุดประสงคการเรียนรู วธิ ีการวัด เคร่ืองมือ เกณฑก ารประเมนิ
ดานความรู (K)
1) อธบิ ายความรูเ กย่ี วกับเสียงนําไปอธิบาย 1) ตรวจใบสรปุ องค 1) แบบประเมิน 1) นักเรยี นสามารถ
สรปุ เนอ้ื หาทศี่ ึกษา
และประยุกตใ ชใ นดา นตา งๆ ได ความรจู ากการศึกษา กิจกรรม และทาํ ความเขาใจได
ระดบั ดี ผา นเกณฑ
คน ควา
ดานกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนสามารถจดั กระทาํ และสือ่ 1) ตรวจใบสรุปองค 1) แบบประเมิน 1) นกั เรียนสามารถ
ความหมายของขอ มลู ที่ศึกษาคนควา ได ความรจู ากการศกึ ษา กจิ กรรม สรุปเน้อื หาท่ศี ึกษา
คน ควา และทาํ ความเขาใจได
ดา นคณุ ลักษณะ (A) ระดบั ดี ผา นเกณฑ
1) เปนผูม คี วามรับผิดชอบและ 1) ตรวจใบสรุปองค 1) แบบประเมิน 1) นักเรียนทาํ ภาระ
เปนผูม คี วามมุง มั่นในการทาํ งาน ความรจู ากการศึกษา กจิ กรรม งานที่ไดร ับมอบหมาย
คนควา ไดร ะดบั ดี ผานเกณฑ
10. กิจกรรมการเรยี นรู :
ขนั้ ที่ 1 ขน้ั สรา งความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรูเดิม เรื่อง ธรรมชาติของเสียง การไดยินเสียง และปรากฏการณ
เกี่ยวกบั เสยี ง
ข้นั ท่ี 2 ข้ันสํารวจและคน หา
2.1 นักเรยี นทุกคนศึกษาคนควาและทําความเขาใจเนื้อหา เรื่อง การประยุกตใชค วามรเู ร่ือง
เสียง
ในหนงั สือเรียน หนา 59-63 แลวสรปุ องคค วามรจู ากการศึกษาคนควาลงใน กระดาษ A4 ท่คี รูแจกให
ขน้ั ที่ 3 ข้ันอธบิ ายและลงขอสรปุ
3.1 ครูสมุ นกั เรยี น 2 คน ออกมานาํ เสนอผลงานของตนเองหนา ช้นั เรยี น
3.2 นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายและสรุปการศึกษาคนควาจนไดขอสรุป เรื่อง การ
ประยุกตใ ชค วามรเู ร่อื งเสียง
ขนั้ ที่ 4 ขั้นขยายความรู
4.1 ครอู ธบิ ายความรเู พ่ิมเตมิ เกย่ี วกบั คําถามทา ยบท หนา 67 - 69
ขัน้ ที่ 5 ข้นั ประเมินผล
5.1 นักเรียนสง สรปุ องคค วามรูจากการศึกษาคน ควา
11. บนั ทกึ หลงั สอน : ม. 5/2 ม.5/5
หัวขอ
ชัน้
ผลการจัดการเรียนการสอน
ความรคู วามสามารถ
ทักษะกระบวนการ
คณุ ลักษณะอันพงึ
ประสงค
ปญ หา/อุปสรรค
ความรคู วามสามารถ
ทักษะกระบวนการ
หวั ขอ ม.5/5
ม. 5/2
ชน้ั
คณุ ลักษณะอันพึง
ประสงค
แนวทางแกไ ข
ความรูความสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ
คณุ ลักษณะอนั พงึ
ประสงค
ลงชอ่ื …………………………………………………
(……………………………………………………..)
ครูผสู อน
ความคดิ เหน็ ของหัวหนา กลุมสาระการเรยี นรู
ลงช่ือ…………………………………………………
(……………………………………………………..)
หวั หนา กลมุ สาระการเรยี นรู
ความเห็นของรองผูอาํ นวยการกลมุ บรหิ ารวิชาการ/ผูบรหิ าร หรอื ผทู ีไ่ ดรับมอบหมาย
ลงชอื่ …………………………………………………
(……………………………………………………..)
ตาํ แหนง…………………………………………..