The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระราชประวัติ รัชกาลที่ 2 พัฒนา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tharaphan.prasan, 2023-07-17 09:08:49

พระราชประวัติ รัชกาลที่ 2 พัฒนา

พระราชประวัติ รัชกาลที่ 2 พัฒนา

พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี )ับับพัันา( ผู้เรียบเรียงนายประสาร ธาราพรรค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ปวงชาวไทย เทิดองค์ไท้ สมศักดิ์ศรี พระราชโอรส รัชกาลที่ 1 พระองค์ที่ 4 องค์จักรี พระนามเดิมัิม ทรงเกริกไกร 24 กุมภาพันธ์ 2310 พระราชสมภพ ไทยน้อมนบ เทิดทูนองค์ นิรัติศัย 7 กันยายน 2352 ขึ้นครองราชย์ เพื่อปวงไทย ในรัชสมัย ทรงยิ่งใหญ่ นิจนิรันดร์


ทรงบริหาร บ้านเมือง ให้เรืองรุ่ง ทรงผดุง เอกลักษณ์ไทย ใจสุขสันต์ เศรษฐกิจไทย พััน์ก้าวไกล น่าอัศจรรย์ การค้านั้น สร้างรายได้ ไทยมั่นคง เกิดอหิวา ระบาดทั่ว พระนคร ทรงผันผ่อน ทรงแก้ไข ผลสูงส่ง พระราชพิธี อาพาธพินาศ ความมั่นคง ไทยด ารง ทรงแก้ไข โดยทันใด ทรงฟื้นฟู พุทธศาสนา หลากหลายด้าน สร้างผลงาน ประติมากรรม อันยิ่งใหญ่ พระพุทธธรรม มิศรราชฯ งามวิไล ประตูไม้ พระวิหารวัดสุทัศน์ สวยงามจริง พระปรีชา สามารถ มีหลากหลาย ซอสามสาย ดนตรีไทย ยอดเยี่ยมยิ่ง เพลงบุหลัน ลอยเลื่อน เพราะเพริศพริ้ง ไม่ทอดทิ้ง ทรงท าให้ ไทยรุ่งเรือง ในรัชสมัย เป็นยุคทอง วรรณคดี ทรงเป็นกวี สร้างผลงาน อย่างต่อเนื่อง พระราชนิพนธ์ วรรณกรรม ให้ประเทือง ทรงปราดเปรื่อง งานประพันธ์ น่าชื่นชม


ในรัชสมัย ใครเป็นกวี ธ ทรงโปรด ล้วนรุ่งโรจน์ เจริญไกล ได้สุขสม กรมพระปรมานุชิต สุนทรภู่ฯลฯ ชนนิยม ไทยรื่นรมย์ ละครนอก ละครใน ธงชาติไทย ปรับเปลี่ยนใหม่ ธงช้างเผือก ธ ทรงเลือก พระราโชบาย ไร้เงื่อนไข ความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ เจริญไกล ชาติศิวิไลซ์ การค้าขาย ไทยมั่งมี 21 กรกฎาคม 2367 องค์ราชันย์ เสด็จสวรรคต ไทยก าสรด ล้วนโศกเศร้า ไร้สุขี ปวงชาวไทย ล้วนส านึก องค์จักรี ทั่วปฐพี ซ้องสรรเสริญ นิรันดร์กาล ...................................................... ประสาร ธาราพรรค์ ร้อยกรอง


ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้รับการยกย่อง ว่า เป็นยุคทองของวรรณคดี จนมีค ากล่าวว่า "ในรัชกาลที่ 2 นั้น ใครเป็นกวีก็ เป็นคนโปรด" ละครร ารุ่งเรืองถึงขีดสุด ด้วยพระองค์ทรงกวีเอก ด้านการแต่ง บทละครทั้งละครในและละครนอก และในรัชสมัยของพระองค์มีกวีที่มีชื่อเสียง หลายท่าน อาทิ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สุนทร ภู่ พระยาตรัง และนายนรินทรธิเบศร์ )อิน( พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงด าเนินนโยบายการบริหาร ประเทศแบบผ่อนสั้นผ่อนยาว เป็นมิตรไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านต่าง ๆ ให้ใน รัชสมัยของพระองค์การสงครามมีไม่มาก ประชาชนสามารถประกอบอาชีพได้ อย่างสุขสงบ


พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 ในราชวงศ์จักรี พระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราชและสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่า ัิม พระราชสมภพเมื่อ วันพุธ ขึ้น 7 ค่ า เดือน 4 ปีกุน เวลาเช้า 5 ยาม ซึ่งตรงกับ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 ณ ต าบลอัมพวา เมืองสมุทรสาคร เมื่อเจริญ วัยได้ทรงศึกษาเล่าเรียน ณ วัดบางหว้าใหญ่ ครั้นทรงพระเจริญวัยมีพระชันษา สมควรแก่การศึกษาเล่าเรียน สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็ได้น าไปฝากเข้า รับการศึกษาที่วัดระฆังโฆสิตาราม โดยฝากตัวเป็นศิษย์กับพระวันรัต )ทองอยู่( อีกทั้งเมื่อเจริญวัยในขณะที่มีพระชนมายุ 8 ชันษาก็ได้ตามเสด็จ พระราชบิดา ในราชการสงครามตลอดรัชสมัยกรุงธนบุรี หลายครั้ง อาทิ สงครามที่เชียงใหม่ ราชบุรี พิษณุโลก นครจ าปาศักดิ์ กรุงศรีสัตนาคนหุตและกรุงกัมพูชา และเมื่อ พระชนมายุได้ 16 พรรษา สมเด็จพระบรมชนกนาถก็ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น พระมหากษัตริย์พระนามว่าพระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระองค์ จึงได้รับการสถาปนาพระยศขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศร สุนทร


พระราชวังเดิมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯเสด็จไปประทับ ณ พระราชวังเดิมของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ปากคลองบางกอกใหญ่และเมื่อถึงปี พ .ศ . 2331 พระองค์ทรงมีพระชนมายุครบ 22 พรรษา ก็ได้ทรงผนวช ณ วัดพระศรี รัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง และเสด็จจ าพรรษาที่วัดสมอราย )วัด ราชาธิวาส( 1 พรรษา จึงทรงลาผนวชกลับเข้ารับราชการ เมื่อสมเด็จกรม พระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทิวงคตลง ในปี พ .ศ .2349 เจ้าฟ้ากรมหลวง อิศรสุนทร จึงได้รับการสถาปนาขึ้นด ารงต าแหน่ง กรมพระราชวังบวรสถาน มงคล) วังหน้า )ทรงพระนามว่ากรมพระราชวังบวรมหาอิศรสุนทรขณะนั้น มี พระชนมายุได้ 40 พรรษา หลังจากนั้นอีกเพียง 2 ปี เมื่อถึงวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 ขณะมีพระชนมายุ 42 พรรษา


พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคตด้วยพระ โรคชรา ขณะมีพระชนมายุได้ 73 พรรษา นับเวลาในการเสด็จครองราชย์ได้ นานถึง 27 ปี สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร กรม พระราชวังบวรสถานมงคล จึงได้เสด็จขึ้นทรงราชย์สืบพระราชสันตติวงศ์เป็น พระมหากษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี ใช้พระนามเต็มว่า พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยแต่เนื่องจากในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อที่เสด็จขึ้นทรงราชย์ มีเหตุการณ์ไม่ปกติ มีผู้ทิ้งหนังสือกล่าวหาพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ กรมขุนกษัตรานุชิต พระราชโอรสสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ประสูติแต่ พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ร่วมกับพรรค พวกคบคิดกันจะแย่งราชสมบัติ จึงมีการจับกุม เมื่อช าระได้ความแล้วเป็นสัตย์ จริง จึงให้น ากรมขุนกษัตรานุชิตไปประหารด้วยท่อนจันท์ที่วัดปทุมคงคา และ บรรดาสมัครพรรคพวกก็ให้ประหารชีวิตสิ้น ดังนั้นจึงไม่เรียกพิธีเสด็จขึ้นทรง ราชย์ตามราชประเพณีว่าพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่เรียกว่าปราบดาภิเษก ทั้งๆที่เนื้อหาแห่งพระราชพิธีก็คือพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราช ประเพณี


พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลที่ 2 ได้ย้ายมาท าพิธีที่หมู่พระที่ นั่งจักรพรรดิพิมาน เนื่องจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทซึ่งสร้างขึ้นแทนพระที่ นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาทอันเป็นสถานที่ท าพิธีปราบดาภิเษกของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้นใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรม ศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกอยู่ ในรัชกาลต่อ ๆ มาจึงใช้หมู่พระ ที่นั่งจักรพรรดิพิมานเป็นสถานที่จัดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและใช้พระที่ นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นสถานที่ตั้งพระบรมศพ หลังจากเสร็จพระราชพิธีบรม ราชาภิเษก พระองค์จึงเสด็จเลียบพระนครโดยกระบวนพยุหยาตราตามโบราณ ราชประเพณี


พระนามเต็ม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระนามเต็มเมื่อขึ้นครองราชย์ ว่า พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิ ราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศ ตรีภูว เนตรวรนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์ สากลจักรวาฬาธิ เบนทร สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรา ธาดาธิบดี ศรีวิบูลยคุณอกนิษฐ ฤทธิ ราเมศวรมหันต บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชชัย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภู มิทรปรมาธิเบศ โลกเชษฐวิสุทธิ รัตนมกุฎประกาศ คตามหาพุทธางกูรบรม บพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว


พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ออกพระนามรัชกาลที่ 2 ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าสุลาลัย ตามนามของพระพุทธรูปที่ทรง โปรดให้สร้างอุทิศถวาย และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ เัลิมพระปรมาภิไธยใหม่เป็นพระบาทสมเด็จพระบรมราชพงษเชษฐ มเหศวร สุนทร ไตรเสวตรคชาดิศรมหาสวามินทร์ สยารัษฎินทรวโรดม บรมจักรพรรดิ ราช พิลาศธาดาราชาธิราช บรมนารถบพิตร พระพุทธเลิศหล้านภาไลย ในรัช สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เัลิมพระนามใหม่เป็น พระบาทสมเด็จพระรามาธิดีศรีสินทรมหาอิศรสุนทร พระพุทธเลิศหล้านภาลัย


พระนามที่ปรากฏ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั้น เพิ่งถวาย พระนามเรียกเมื่อสมัยรัชกาลที่ 3 เนื่องจากพระปรมาภิไธยที่จารึกในพระ สุพรรณบัฏ ของรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 จะเหมือนกันทุกตัวอักษร เพราะใน เวลานั้นยังไม่มีธรรมเนียมที่จะต้องมีพระปรมาภิไธยแตกต่างกันในแต่ละ พระองค์ จนถึงรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา จึงทรงได้พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ บัญญัติไว้ว่า ในแต่ละรัชกาลจะต้องมีพระปรมาภิไธยแตกต่างกัน เว้นแต่สร้อย พระปรมาภิไธยเท่านั้นที่อณุโลมให้ซ้ ากันได้บ้าง ส่วนค าน าหน้าพระนาม รัชกาล ที่ 4 ก็ได้ทรงบัญญัติให้ใช้ค าว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทร์ หรือ ปรเมนทร์ เป็นค าน าทั้งนี้ขึ้นอยู่กับล าดับรัชกาลว่าจะเป็นเลขคี่หรือเลขคู่ เดิมทีเดียวคนสมัยก่อนมักเรียกรัชกาลที่ 1 ว่า แผ่นดินต้น และเรียก รัชกาลที่ 2 ว่า แผ่นดินกลาง เหตุเพราะพระนามในพระสุพรรณบัฎเหมือนกัน รัชกาลที่ 3 จึงไม่โปรดให้ใช้ตามอย่างรัชกาลที่ 1 และ 2 เพราะเหตุเช่นนั้นจะ ท าให้ประชาชนสมัยนั้นเรียกว่าแผ่นดินปลาย ซึ่งดูไม่เป็นมงคล


พระอัครมเหสี เจ้าจอมมารดา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรง มีพระอัครมเหสีพระนามว่า สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่าบุญรอด เป็นพระธิดาใน พระเจ้าพี่นางเธอ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ โดยประสูติในพระอัคร มเหสี 3 พระองค์ ได้แก่ 1. เจ้าฟ้าชายราชกุมาร สิ้นพระชนม์ในวันประสูติ 2. สมเด็จเจ้ าฟ้ าช ายมงกุฎ ต่อม าได้รับก า รสถ าปน าขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 3. สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฑามณี ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ล าดับที่ 2 ในสมัย รัชกาลที่ 4 ประสูติในเจ้าจอมมารดาเรียม พระสนมเอก 3 พระองค์ ได้แก่ 1. พระองค์เจ้าชายทับ ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 2. พระองค์เจ้าชายป้อม สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ 3. พระองค์เจ้าชายหนูด า สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชโอรสพระราชธิดารวม ทั้งสิ้น 73 พระองค์ โดยประสูติเมื่อครั้งยังด ารงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงอิศรสุนทร 47 พระองค์ ประสูติเมื่อด ารงพระอิสริยยศเป็นกรม พระราชวังบวรสถานมงคล 4 พระองค์ และประสูติภายหลังบรมราชาภิเษกแล้ว 22 พระองค์


รายพระนามและรายนาม 1. เจ้าฟ้าบุญรอด พระราชบุตร เจ้าฟ้าชายไม่ปรากฏพระนาม เจ้าฟ้าชายมงกุฎ เจ้าชายจุฑามณี 2. เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระราชบุตรเจ้าฟ้าชายอาภรณ์เจ้าฟ้าชาย กลาง (เจ้าฟ้าชายมหามาลา( เจ้าฟ้าหญิงไม่ปรากฏพระนาม เจ้าฟ้าชายปิ๋ว 3. เจ้าจอมมารดาเรียมพระราชบุตรพระองค์เจ้าชายทับ พระองค์เจ้าหญิง ป้อมพระองค์เจ้าชายหนูด า 4. เจ้าจอมมารดาสี หรือ เจ้าคุณพี พระราชบุตรพระองค์เจ้าหญิงจักรจั่น พระองค์เจ้าหญิงบุบผา 5. เจ้าจอมมารดาสวน พระราชบุตร พระองค์เจ้าชาย พระองค์เจ้าหญิงล า ภู พระองค์เจ้าชายกล้วยไม้ พระองค์เจ้าหญิงหรุ่น พระองค์เจ้าหญิงพลับ พระองค์เจ้าหญิงน้อย 6. เจ้าจอมมารดาแจ่มใหญ่ พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิงทับทิม 7. เจ้าจอมมารดาเหมใหญ่ พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิงยี่สุ่น พระองค์เจ้าชายเนียม 8. เจ้าจอมมารดาศิลาพระองค์เจ้าหญิงวงศ์ พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายพนมวัน พระองค์เจ้าชายกุญชร พระองค์เจ้าชายทินกร พระองค์เจ้าหญิงอินทนิล 9. เจ้าจอมมารดาสั้นพระองค์เจ้าหญิงปุก พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิงสุกรม 10. เจ้าจอมมารดา พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายกุสุมา


11. เจ้าจอมมารดาม่วงใหญ่ พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิงไม่มี พระ นาม 12. เจ้าจอมมารดานิ่ม พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายมั่ง (นิ่ม บุญ-หลง( 13. เจ้าจอมมารดาเกด พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิงส้มจีน 14. เจ้าจอมมารดาอิน พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิงใย 15. เจ้าจอมมารดาเหมเล็ก พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายไม่ปรากฏพระ นามพระองค์เจ้าชายโคมเพชร พระองค์เจ้าชายไม่ปรากฏพระนาม 16. เจ้าจอมมารดาทรัพย์ พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิงสังวาล พระองค์เจ้าหญิงรสคนธ์ 17. เจ้าจอมมารดาปราง พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายเนตร 18. เจ้าจอมมารดาบุนนาค พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายเรณู 19. เจ้าจอมมารดาทองอยู่ พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายอ าไพ 20. เจ้าจอมมารดาม่วงซอ พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายอัมพร 21. เจ้าจอมมารดาอ้น พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายไม่ปรากฏ พระนาม 22. เจ้าจอมมารดาบุญมา พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิงประภา 23. เจ้าจอมมารดาน้อย พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายขัตติยวงศ์ 24. เจ้าจอมมารดาทับทิม พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายไพฑูรย์ พระองค์เจ้าชายชุมแสง (ทับทิม ณ บางช้าง( 25. เจ้าจอมมารดาน้อยระนาด พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายกลาง 26. เจ้าจอมมารดาเลี้ยง พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายโต พระองค์เจ้า หญิงสายสมร 27. เจ้าจอมมารดาปรางใหญ่ พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิงไม่ปรากฏ


พระนาม พระองค์เจ้าชายนวม 28. เจ้าจอมมารดาพะวา พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิง พระองค์เจ้าชายขัตติยา 29. เจ้าจอมมารดาทองดี พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายมรกฎ 30. เจ้าจอมมารดากล้ า พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิงดวงจันทร์ 31. เจ้าจอมมารดาลูกจันทน์ใหญ่ พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิง นิ่ม นวล 32. เจ้าจอมมารดาหนูจีน พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิง )แฝด( พระองค์เจ้าหญิง )แฝด( 33. เจ้าจอมมารดาพิม พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายนิลรัตน 34. เจ้าจอมมารดา พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายอรุณวงศ์ เอม หรือ เอมบุษบา (เอม สุรคุปต์( 35. เจ้าจอมมารดา พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายกปิตถา พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายปราโมช พระองค์เจ้าชายเกยูร พระองค์เจ้าหญิงกัณฐา พระองค์เจ้าหญิงกัลยาณี พระองค์เจ้าหญิงกนิษฐน้อยนารี 36. เจ้าจอมมารดานวล พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิงพันแสง 37. เจ้าจอมมารดาพุ่ม พระราชบุตร พระองค์เจ้าชายเน่า 38. เจ้าจอมมารดาลูกจันทน์ พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิงโสภา 39. เจ้าจอมมารดาแย้ม พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิงมารยาตร 40. เจ้าจอมมารดาลูกจันทน์ พระราชบุตร พระองค์เจ้าหญิงแม้นเขียน เล็ก 41. เจ้าจอมอ าพัน (อ าพัน สนธิรัตน์(


42. เจ้าจอมยี่สุ่น (ยี่สุ่น ไกรฤกษ์( 43. เจ้าจอมเพ็ง หรือ เพ็งบาหยัน (เพ็ง สุรคุปต์( 44. เจ้าจอมแสง (แสง สุรคุปต์( 45. เจ้าจอมนิ่ม 46. เจ้าจอมพุ่ม (พุ่ม บุญ-หลง( 47. เจ้าจอมทองค า 48. เจ้าจอมทัพ 49. เจ้าจอมน้อย 50. เจ้าจอมน้อยพระแสง 51. เจ้าจอมน้อยใหญ่ (น้อยใหญ่ ณ นคร( 52. เจ้าจอมพลับ 53. เจ้าจอมหงษ์ 54. เจ้าจอมอิ่ม (อิ่มย่าหรัน( 55. เจ้าจอมจีบ หรือ จิตร (จีบ อหะหมัดจุฬา( 56. เจ้าจอมสาหร่าย 57. เจ้าจอมบัวทอง 58. เจ้าจอมปราง


พระราชลัญจกรประจ าพระองค์ เป็นรูปครุฑยุดนาค พระราชสัญลักษณ์ ประจ าพระองค์ รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธ เลิศหล้านภาลัย เป็นรูปครุฑยุดนาค เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรม นามาภิไธยว่า "ัิม" ตามความหมายของวรรณคดีไทย คือ พญาครุฑซึ่งในเทพ นิยายเทวก าเนิด เป็นเทพองค์หนึ่งที่ทรงมหิทธานุภาพยิ่ง แต่ยอมเป็นเทพ พาหนะส าหรับพระนารายณ์ ปกติอยู่ที่วิมานัิมพลี ดังนั้นทรงพระกรุณาให้ใช้ รูปครุฑยุดนาค เป็นพระราชสัญลักษณ์ ประจ าพระองค์ แทนพระบรม นามาภิไธย


พระราชกรณียกิจ พระราชกรณียกิจที่ส าคัญ พ.ศ. 2317 ขณะที่เพิ่งมีพระชนมายุได้ 8 พรรษา ได้ติดตามไปสงคราม เชียงใหม่ อยู่ในเหตุการณ์ครั้งที่บิดามีราชการไปปราบปรามเมืองนางรอง นคร จ าปาศักดิ์ และบางแก้ว ราชบุรี จนถึงอายุ 11 พรรษา พ.ศ. 2322 พระราชบิดาไปราชการสงครามกรุงศรีสัตนาคนหุต ก็ติดตาม ไป พ.ศ. 2323 พระชนมายุ 13 พรรษา ได้เข้าเป็นศิษย์สมเด็จพระวันรัต )ทองอยู่ ( พ.ศ. 2324 พระราชบิดาได้เลื่อนเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ ไปร่วมปราบปรามเขมรกับพระบิดา พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ปราบดาภิเษก แล้วได้ทรงสถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศร สุนทร" พ.ศ. 2329 พระชนมายุ 19 พรรษา ได้โดยเสด็จสมเด็จพระบรมชนกนาถ ไปสงครามต าบลลาดหญ้า และทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ พ.ศ. 2330 ได้โดยเสด็จพระบรมชนกนาถ ไปสงครามที่ต าบลท่าดินแดง และตีเมืองทวาย พ.ศ. 2331 ทรงผนวชเป็นพระภิกษุในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดา ราม ซึ่งเป็นพระองค์แรกที่อุปสมบทในวัดนี้ เสด็จไปจ าพรรษา เมื่อครบสาม เดือน ณ วัดสมอราย ปัจจุบันคือวัดราชาธิราช ครั้นทรงลาผนวชในปีนั้น ทรง


อภิเษกสมรสกับสมเด็จเจ้าหญิงบุญรอด พระธิดาในพระพี่นางเธอ สมเด็จ เจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์ พ.ศ. 2336 โดยเสด็จพระราชบิดาไปตีเมืองทวาย ครั้งที่ ๒ พ.ศ. 2349 ) วันอาทิตย์ เดือน 8 ขึ้น 7 ค ่า ปีขาล ( ทรงพระชนมายุได้ 40 พรรษาได้รับสถาปนาเป็น "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" ซึ่งด ารง ต าแหน่งพระมหาอุปราชขึ้นแทน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ที่ได้ สวรรคตแล้วเมื่อ พ.ศ. 2346 พระราชกรณียกิจด้านการป้องกันประเทศ พระเจ้าปดุง


ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พม่าได้ยกทัพเข้า มาตีไทยอยู่หลายครั้งด้วยกันตั้งแต่พระองค์ครองราชย์ได้ เพียง 2 เดือน พระ เจ้าปดุง กษัตริย์พม่าก็ได้ทรงแต่งตั้งแม่ทัพพม่า 2 นาย คืออะเติ้งหงุ่นและสุ เรียงสาระกะยอ โดยให้แม่ทัพอะเติ้งหงุ่นยกทัพเรือเข้ามาตีทางหัวเมือง ชายทะเลตะวันตก และสามารถตีเมืองตะกั่วทุ่งตะกั่วป่า รวมถึงล้อมเมืองถลาง ไว้ ก่อนที่กอง ทัพไทยจะยกลงไปช่วยและตีทัพพม่าจนแตกพ่ายไป ส่วนแม่ทัพสุ เรียงสาระกะยอได้ยกก าลังมาทางบกเพื่อเข้าตีหัวเมืองด้านทิศใต้ ของไทย และ สามารถตีได้เมืองมะลิวัน ระนอง และกระบี่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัยจึงทรงส่งกองทัพลงไปช่วยเหลือ พม่าสู้ก าลังฝ่ายไทยไม่ได้ก็ถอยทัพหนี กลับไป การศึกสมัยรัชกาลที่ 2


ต่อมาในปี พ.ศ. 2363 พระเจ้าปดุงเสด็จสวรรคต พระเจ้าจักกายแมง ได้สืบราชสมบัติต่อจากพระเจ้าปดุง และคิดจะยกทัพมาตีไทยอีก โดยสมคบกับ พระยาไทรบุรีซึ่งเปลี่ยนใจไปเข้ากับฝ่ายพม่า แต่เมื่อทราบว่าฝ่ายไทยจัดก าลัง ทัพเตรียมรับศึกอย่างเข้มแข็ง พม่าก็เกิดเกรงกลัวว่าจะรบแพ้ไทยอีก จึงยุติไม่ ยกทัพเข้ามา จนอีก 3 ปีต่อมา พระเจ้าจักกายแมงก็ทรงชักชวนพระเจ้า เวียดนาม มินมางกษัตริย์ญวนให้มาช่วยตีไทย แต่ฝ่ายญวนไม่ยอมร่วมด้วย พอดีกับที่ขณะนั้นเกิดสงครามกับอังกฤษจึงหมดโอกาสที่จะมาตีไทยอีกต่อไป พระราชกรณียกิจด้านการปกครอง ภาพวาดสภาพบ้านเมืองในสมัยรัชกาลที่ 2


ลักษณะการปกครองในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ยังคงมีรูปแบบเหมือนสมัยกรุงธนบุรีและรัชกาลที่ 1 ทรงบริหาร บ้านเมืองโดยให้เจ้านายรับหน้าที่ในการบริหารงานราชการในกรมกองต่างๆ เท่ากับเป็นการให้เสนาบดีได้มีการปรึกษาข้อราชการก่อนจะน าความขึ้นกราบ บังคมทูล โปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ด ารงต าแหน่งกรมพระวังบวรสถานมงคลจตราราชการต่างท าหน้าที่ก ากับตรว พระเนตรพระกรรณ หลังจากกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ทิวงคตแล้ว ก็ โปรดให้ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี รับหน้าที่ต่อ ส าหรับหน่วยงานอื่น ๆ ก็ โปรดให้เจ้านายทรงก ากับราชการดังนี้ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ทรงก ากับ ราชการกรมมหาดไทยและ กรมวัง กรมหมื่นศักดิพลเสพ ทรงก ากับ ราชการกลาโหม ในระยะแรกมีเจ้า ฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ทรงก ากับอยู่ด้วย กรมหมื่นพิพิธภูเบนทร ทรงก ากับ ราชการกรมเมือง กรมหมี่นเจษฎาบดินทร์ ทรงก ากับ ราชการกรมคลัง ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้ผ่อนผันการเข้ารับราชการของพลเมืองชายเหลือ เพียงปีละ 3 เดือน )เข้ารับราชการ 1 เดือน แล้วไปพักประกอบอาชีพส่วนตัวอีก 3 เดือน สลับกันไป( นอกจากนี้ยังทรงรวบรวมพลเมืองให้เป็นปึกแผ่นมีหน่วย ราชการสังกัดแน่นอน โดยพระราชทานโอกาสให้ประชาชนสามารถเลือกหน่วย ราชการที่สังกัดได้และด้วยความที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมี พ ระ ร าชป ระสงค์ให้พลเ รือนของพ ระองค์เป็นคนดี จึงได้ท รงออก พระราชบัญญัติเรื่อง ห้ามเลี้ยงไก่ นก ปลากัด ไว้ชน กัด หรือท าการอื่นๆ เพื่อ


การพนัน และออกพระราชก าหนดห้ามสูบฝิ่น ขายฝิ่น ซื้อฝิ่น พร้อมทรงก าหนด บทลงโทษส าหรับผู้ฝ่าฝืน ท าให้ประเทศไทยไม่เกิดสงครามฝิ่นแบบต่างชาติ พระราชกรณียกิจด้านการท านุบ ารุงประเทศ และป้อมปราการ กรุงรัตนโกสินทร์ยุคแรก ระยะแรก ของ การก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ พม่าก็ยังคงรุกรานประเทศ ไทยอย่างต่อเนื่อง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงโปรดเกล้า ให้สร้างเมืองและป้อมปราการต่างๆ ขึ้นเพื่อให้เป็นเมืองหน้าด่านคอยป้อม ป้องกันข้าศึกที่จะยกเข้ามาทางทะเลที่เมืองสมุทรปราการ และที่เมือง ปาก ลัด )ปัจจุบันคือ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ( โดยมีพระราชบัญชาให้กรม พระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ เป็นแม่กองก่อสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์ขึ้นที่


ปากลัด พร้อมป้อมปีศาจผีสิง ป้อมราหู และป้อมศัตรูพินาศแล้วโปรดเกล้าฯให้ อพยพครอบครัวชาวมอญจากปทุมธานีมาอยู่ที่นครเขื่อนขันธ์ ป้อมผีเสื้อสมุทร นอกจากนี้ พระองค์ ยังทรงให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เป็นแม่กอง จัดสร้างป้อมผีเสื้อสมุทร ป้อมประโคนชัย ป้อมนารายณ์ปราบศึก ป้อมปราการ ป้อมกายสิทธ์ ขึ้นที่เมืองสมุทรปราการ และโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยา เธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพย์ไปคุมงานก่อสร้างป้อมเพชรหึงส์เพิ่มเติมที่เมือง นคร เขื่อนขันธ์ การสร้างเมืองหน้าด่านและป้อมปราการต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย เพื่อ ป้องกันไม่ให้ข้าศึกเข้ามาถึงพระนครได้โดยง่าย ถือว่าพระองค์มีสายพระเนตรที่ ยาวไกลยิ่งนัก


พระราชกรณียกิจด้านเศรษฐกิจ การค้าส าเภาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ไปถึงเมืองท่า ต่างๆได้แก่ กึงตั๋ง ไหหล า ฮกเกี้ยน ปเตเวีย มะละกา เกาะหมาก สิงคโปร์ และเมืองญวน สมัยรัชกาลที่ 2 บ้านเมืองว่างจากการศึกสงคราม จึงมีการค้าขาย เจริญรุ่งเรืองกว่าแต่ก่อนกล่าวคือ มีการติดต่อค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน มากมาย เช่น จีน อินเดีย มะละกา สิงคโปร์ ญวน และเขมร เป็นต้น ส าหรับ ประเทศทางตะวันตก ได้แก่ โปรตุเกส อังกฤษ อเมริกาโดยวิธีด าเนินการค้าขาย ของหลวงยังคงให้พระคลังสินค้าจัดการ ตามที่เคย ปฎิบัติมา มีเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เป็นหัวแรง ในการแต่งส าเภาหลวงติดต่อค้าขายกับจีน และประเทศอื่น ๆ จนได้รับพระราชทานสมญาว่า“เจ้าสัว” ใน รัชการนี้มีเรือก า ปันหลวงที่ใช้ในการค้าขายที่ส าคัญ 2 ล า คือ เรือมาลาพระนครและเรือเหรา ข้ามสมุทร สินค้าที่ผูกขาย ในสมัยนี้ ที่เป็นสินค้าขาออกมี 10 ชนิด คือ รังนก ฝาง ดีบุก พริกไทย เนื้อไม้ ผลเร่ว ตะกั่ว งาช้าง รงและช้าง สินค้า ที่ห้าม


ส่งออกโดยเด็ดขาด คือ ข้าวเปลือกและข้าวสาร ส่วนสินค้าขาเข้าก็มี ปืนและ ดินปืนการปรับปรุงภาษีอากร ลักษณะการเก็บภาษีอากรยังคงเหมือนสมัยรัชกาลที่1 มีการปรับปรุง เพิ่มเติมดังนี้ 1 . การเดินสวน คือการแต่งเจ้าพนักงานออกไปส ารวจสวนของราษฎร์ใน การเก็บอากรสวนตามชนิดของ ผลไม้ ดังนี้ 1.1 อากรสวนใหญ่ เป็นการเก็บภาษีจากผลไม้ยืนต้นชั้นดี มี 7 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด มะม่วง มะปราง ลางสาด หมากและพลูค้างทองหลาง 1.2 อากรพลากร เป็นภาษีที่เก็บจากผลไม้ชั้นรอง มี 8 ชนิด ได้แก่ ขนุน สะท้อน เงาะ ส้ม มะไฟ ฝรั่ง สับปะรดและสาเก 1.3 อากรสมพัตสร เป็นภาษีที่เก็บจากผลไม้ล้มลุก เช่น กล้วย อ้อย เป็นต้น


2 . การเดินนา คล้ายกับการเดินสวน การเก็บอากรค่านา เรียกว่า “หาง ข้าว” โดยแบ่งนาออกเป็น 2 ประเภท คือ นาน้ าท่า และนางฟางลอย 2.1 นาน้ าท่า หรือ นาคู่โค หมายถึงนาที่สามารถปลูกข้าวได้หลาย ครั้งในหนึ่งปีโดยอาศัยน้ าฝนหรือน้ าท่า วิธีการเก็บภาษี หรือหางข้าวของนา ประเภทนี้ เก็บด้วยวิธีดูคู่โคคือการนับโคหรือกระบือที่ใช้ไถนาโดยการค านวณ ว่าโคหนึ่งคู่จะสามารถใช้ท านาในผืนดินที่นานั้น ๆ ได้ปีละเท่าใดแล้วเอาเกณฑ์ จ านวนโคขึ้นจั้งเป็นอัตราหางข้าวที่จะต้องเสียภาษี นาประเภทนี้จึงเรียกอีกนัย หนึ่งว่า "นาคู่โค" ัะนั้นนาคู่โคนี้ราษฎรจะท านาหรือไม่ก็ตามก็จะต้องเสียภาษี )หางข้าว(ตลอดไป เมื่อทางราชการ จัดพนักงานหรือข้าหลวงเดินนามาส ารวจ แล้วรัฐบาลจะออกหนังสือให้เจ้าของที่นาถือไว้เป็นหลักฐานในการเรียกเก็บหาง ข้าวหรืออากรค่านาต่อไป หนังสือสัญญานี้เรียกว่า "ตราแดง" 2.2 นาฟางลอย หรือ นาดอน หมายถึงนาที่สามารถปลูกข้าวโดย อาศัยน้ าฝนเพียงอย่างเดียว เป็นนาในที่ดอนน้ าท่าขึ้นไม่ถึง วิธีเก็บภาษีหางข้าว ส าหรับนาประเภทนี้เก็บจากนาที่สามารถปลูกข้าวได้จริง ถ้าปีใดไม่ได้ท าหรือ ท าไม่ได้ ก็ไม่ต้องเสียอากรค่านาและถือเอาตอฟางที่เก็บเกี่ยวแล้ว เป็นเกณฑ์ใน การเก็บค่านา เมื่อทางราชการ จัดพนักงานหรือข้าหลวงเดินนา มาส ารวจแล้ว รัฐบาลจะออกหนังสือให้เจ้าของที่นาถือไว้เป็นหลักฐานในการเรียกเก็บหางข้าว หรืออากรค่านาต่อไป หนังสือสัญญานี้ เรียกว่า "ใบจอง"หางข้าว หมายถึงภาษี หรืออากรค่านา ที่รัฐบาลเก็บเป็นข้าวเปลือกในสมัยรัชกาลที่ 2 คิดอากรค่านา ในอัตราไร่ละ สองสัดครึ่ง


พระราชกรณียกิจด้านการท านุบ ารุงพระศาสนาและพระราชพิธี การแต่งสมณทูตไปลังกา ในสมัยนี้ได้มีพระสงฆ์ชาวลังการูปหนึ่ง ชื่อ พระสาสนวงศ์ ได้อัญเชิญพระ บรมสารีริกธาตุกับต้นโพธิ์ลังกาเข้ามาถวาย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย โดยบอกว่า สมเด็จพระสังฆราชโปรดให้น ามา รัชกาลที่ 2 ทรงมี พระราชด าริว่า พระสงฆ์ในลังกาก็เป็นสมณวงศ์แบบเดียวกับพระสงฆ์ไทย เคยมี สัมพันธไมตรีติดต่อกันมาช้านาน ประกอบกับพระพุทธศาสนา ในลังกาเริ่มเศร้า หมอง เพราะลังกาตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ รัชกาลที่ 2 จึงโปรดแต่งสมณ ทูตคณะหนึ่ง ประกอบด้วยพระสงฆ์จ านวน 9 รูป มีพระอาจารย์ดีและ พระอาจารย์เทพเป็นหัวหน้าเมื่อกลับมาถึงไทย พระอาจารย์ดี ได้รับการ แต่งตั้งให้เป็น พระคัมภีรปรีชา และพระอาจารย์เทพได้รับการแต่งตั้งให้ เป็น พระปัญญาวิสารเถร นับเป็นสมณทูตไทยคณะแรก สมัยรัตนโกสินทร์ (เริ่ม


เดินทาง พ.ศ. 2357 กลับมาถึงประเทศไทย พ.ศ. 2361) ได้น าหน่อพระศรีมหา โพธิ์ จากเมืองอนุราธบุรี กลับมาโดยเชื่อกันว่าเป็นต้นโพธิ์เชื้อสายของพระศรี มหาโพธิ์ ที่พระพุทธเจ้านั่งตรัสรู้ จ านวน 6 ต้น โดยปลูกไว้ที่ รัฐกลันตัน 1 ต้น จังหวัดนครศรีธรรมราช 2 ต้น จังหวัดกรุงเทพฯ 3 ต้น โดยปลูกที่วัดสุทัศน์ วัด มหาธาตุฯ วัดสระเกศฯ แห่งละต้น วัดอรุณราชวราราม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ ทรงฟื้นฟู พระพุทธศาสนา อย่างมากมายหลายด้าน โดยเัพาะด้านการก่อสร้างศาสนสถาน ทรงโปรดฯให้ สร้างวัดขึ้นใหม่หลายวัด ได้แก่ วัดสุทัศนเทพวราราม วัดชัยพฤกษมาลา วัดโมลี โลกยาราม วัดหงสาราม และวัดพระพุทธบาทที่ สระบุรี ซึ่งสร้างค้างไว้ตั้งแต่ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รวมทั้งโปรดเกล้าให้ท า


การบูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชวราราม โดยสร้างพระอุโบสถพระปรางค์ พร้อม ทั้งพระวิหารขึ้นใหม่ เพื่อเป็นพระอารามประจ ารัชกาล การบ ารุงพระสงฆ์และการส่งเสริมให้ราษฎรได้เข้าใจหลักธรรมค าสอนได้ ดีขึ้น ได้ทรงพระราชด าริให้แก้ไขการศึกษาพระปริยัติธรรมจาก 3 ประโยค เพิ่ม เป็น 9 ประโยค ท าให้พระภิกษุ สามเณร มีความรู้ภาษาบาลีแตกัานยิ่งขึ้นและ ทรงริเริ่มให้แปลบทสวดมนต์จากภาษาบาลีเป็นภาษาไทยโดยสวดเป็นท านอง เสนาะด้วย นอกจากนี้พระองค์ยังทรงออกพระราชก าหนดให้มีการฟื้นฟูการประกอบ พิธีวันวิสาขบูชา ซึ่งวันวิสาขบูชาเป็นวันส าคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็น วันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ าเดือน 6 ซึ่งไทยเราเคยจัดท ากันตั้งแต่สมัยสุโขทัย และเสื่อมหายไปใน สมัยอยุธยา ธนบุรี ล่วงเลยมาถึงสมัยรัชกาลที่ 2 จึงมีการฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง โดย


พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้โปรดฯ ให้จัดพระราชพิธีอย่าง ยิ่งใหญ่ เริ่มตั้งแต่ วันขึ้น 14-15 ค่ าถึงวันแรม 1 ค่ า รวม 3 วัน พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงรักษาพระอุโบสถศีล ปล่อยนก ปล่อยปลา ห้าม เสพสุรา ห้ามฆ่าสัตว์ ให้ถวายประทีป ตั้งโคม แขวนเครื่องสักการะบูชา เวียน เทียน ให้มีพระธรรมเทศนาในพระอารามหลวงและวัดราษฎร์ ถวายไทยทาน ตลอด 3 วันโดยห้ามล่าสัตว์ 3วัน และรักษาศีล ถวายอาหารบิณฑบาต ท าทาน ปล่อยสัตว์ สดับฟังพระธรรมเทศนาเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ ประเทศไทยประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา พระราชพิธีอาพาธพินาศ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เนื่องจากมีโรคอหิวาตกโรคระบาดจึงได้ประกอบพิธีนี้ขึ้น และมีการตั้ง โรงทาน เพื่อพระราชทานเลี้ยงอาหารแก่ราษฎรโดยในปีพุทธศักราช 2363 ได้


เกิดอหิวาตกโรคระบาด ในพระนคร นานประมาณ 15 วัน ท าให้ราษฎร ล้ม ตายเป็นจ านวนมาก( ประมาณ 30,000คน(มีศพลอยอยู่ตามล าน้ าคูคลองอยู่ กลาดเกลื่อน ซากศพทับถมเป็นกอง ทางวัดไม่สามารถเผาได้หมดจนพระสงฆ์ ต้องหนีออกจากวัด ชาวบ้านต้องหนีออกจากบ้าน สร้างความวุ่นวายอย่างมาก ภายในพระนคร รัชกาลที่ 2 จึงโปรดให้ประกอบพระราชพิธีอาพาธพินาศขึ้น เมื่อวันจันทร์ขึ้น 7 ค่ าเดือน 10 พ .ศ.2363 พระราชพิธีนี้จัดท าขึ้น ณ พระที่ นั่งดุสิตมหาปราสาท ลักษณะของพระราชพิธีนี้คล้ายกับพิธีตรุษ กล่าวคือมีการ ยิ่งปืนใหญ่รอบพระนครตลอดรุ่งคืน แล้วอัญเชิญพระแก้วมรกตออกแห่มี พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ออกร่วมขบวนแห่ด้วย โดยท าหน้าที่โปรยทรายและประพรม น้ าพระปริตร เพื่อขับไล่โรคร้ายทั้งทางบกและทางน้ า พร้อมทั้งพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง หยุดงาน เพื่อรักษาศีลท าบุญท าทานตามใจสมัคร ประกาศห้ามราษฎรฆ่าสัตว์ ให้ราษฎรอยู่แต่ในบ้านเรือน ถ้ามีธุระจ าเป็นจริง ๆ จึงให้ออกจากบ้านได้ พระราชทานทรัพย์ให้เผาศพที่ไร้ญาติ และโปรดให้ปล่อย นักโทษออกจากที่คุมขังจนหมดสิ้น นอกจากนี้ได้โปรดให้ตั้งโรงทานขึ้น ณ ริมประตูศรีสุนทร พระราชทาน อาหารเลี้ยงราษฎรที่มีความปรารถนามารับพระราชทาน การรับประทาน อาหารที่ถูกหลักอนามัย บ้านเมืองสะอาด ท าให้โรคอหิวาตกโรคหมดไป


พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก พระราชกรณียกิจด้านประติมากรรม นอกจากจะทรงส่งเสริมงานช่างด้านหล่อพระพุทธรูปแล้ว พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยยังได้ทรงพระราชอุตสาหะปั้นหุ่นพระพักตร์ของพระ พุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก พระประธานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวรา ราม อันเป็นพระพุทธรูปที่ส าคัญยิ่งองค์หนึ่งไทยด้วยพระองค์เอง ซึ่งลักษณะ และทรวดทรงของพระพุทธรูปองค์นี้เป็นแบบอย่างที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นใหม่ใน รัชกาลที่ 2 นี้เอง ส่วนด้านการช่างฝีมือและการแกะสลักลวดลายในรัชกาลของ พระองค์ได้มีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก และพระองค์เองก็ทรงเป็นช่างทั้ง การปั้นและการแกะสลักที่เชี่ยวชาญยิ่งพระองค์หนึ่งอย่างยากที่จะหาผู้ใด ทัดเทียมได้ นอกจากฝีพระหัตถ์ในการปั้นพระพักตร์พระพุทธธรรมิศรราช โลกธาตุดิลกแล้ว


ลายแกะสลักไม้บานประตู พระวิหารหลวง วัดสุทัศน์ฯ ฝีพระหัตถ์รัชกาลที่ 2 ทรงแกะสลักบานประตูพระวิหารพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม คู่ หน้าด้วยพระองค์เองร่วมกับกรมหมื่นจิตรภักดี และทรงแกะหน้าหุ่นหน้าพระ ใหญ่และพระน้อยที่ท าจากไม้รักคู่หนึ่งที่เรียกว่าพระยารักใหญ่ และพระยา รักน้อยไว้ด้วย


พระราชกรณียกิจด้านดนตรี ซอสามสาย กล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระปรีชาสามารถ ในด้านการดนตรีไม่น้อยไปกว่าด้านละครและฟ้อนร า เครื่องดนตรีที่ทรงถนัด และโปรดปรานคือ ซอสามสาย ซึ่งซอคู่พระหัตถ์ที่ส าคัญได้พระราชทานนามว่า "ซอสายฟ้าฟาด" และเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีคือ "เพลง บุหลันลอยเลื่อน" หรือ "บุหลัน )เลื่อน( ลอยฟ้า" แต่ต่อมามักจะเรียกว่า "เพลง ทรงพระสุบิน" เพราะเพลงมีนี้มีก าเนิดมาจากพระสุบิน )ฝัน( ของพระองค์เอง โดยเล่ากันว่าคืนหนึ่งหลังจากได้ทรงซอสามสายจนดึก ก็เสด็จเข้าที่บรรทมแล้ว ทรงพระสุบินว่า ได้เสด็จไปยังดินแดนที่สวยงามดุจสวรรค์ ณ ที่นั่น มีพระจันทร์


อันกระจ่างได้ลอยมาใกล้พระองค์ พร้อมกับมีเสียงทิพยดนตรีอันไพเราะยิ่ง ประทับแน่นในพระราชหฤทัย ครั้นทรงตื่นบรรทมก็ยังทรงจดจ าเพลงนั้นได้ จึง ได้เรียกพนักงานดนตรีมาต่อเพลงนั้นไว้ และทรงอนุญาตให้น าออกเผยแพร่ได้ เพลงนี้จึงเป็นที่แพร่หลายและรู้จักกันกว้างขวางมาจนทุกวันนี้ เพลงพระสุบิน กิดาหยันหมอบกรานอยู่งานพัด พระบรรทมโสมนัสอยู่ในที่ บุหลันเลื่อนลอยฟ้าไม่ราคี รัศมีส่องสว่างดังกลางวัน พระนิ่งนึกตรึกไตรไปมา ที่จะแต่งคูหาสตาหมัน ป่านนี้พระองค์ทรงธรรม จะนับวันเคร่าคอยทุกเวลา


พระราชกรณียกิจด้านวรรณคดี ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้รับการยกย่อง ว่า เป็นยุคทองของวรรณคดีสมัยหนึ่งเลยทีเดียว ด้านกาพย์กลอนเจริญสูงสุด พระองค์ทรงเป็นกวีเอก และทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีไว้หลายเล่มด้วยกัน 1. บทละครเรื่องอิเหนา 2. บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนหนุมานถวายแหวนจนถึงทศกัณฐ์ ล้ม และตอนฆ่านางสีดาจนถึงอภิเษกที่เขาไกรลาส 3. บทพากย์รามเกียรติ์ ตอนนางลอย นาคบาศ พรหมาสตร์ และ เอราวัณ 4. บทจับระบ าเรื่องรามเกียรติ์ ตอนพระนารายณ์อวตาร พิราพ และ นารายณ์ปราบนนทุก )พิมพ์รวมอยู่ใน บทละครเบ็ดเตล็ดเรื่องรามเกียรติ์(


5. บทละครเรื่องไชยเชษฐ์ ตอนนางสุวิญชาถูกขับไล่ พระไชยเชษฐ์ตาม นางสุวิญชา พระไชยเชษฐ์เข้าเฝ้าท้าวสิงหล และตอนอภิเษกพระไชยเชษฐ์ 6. บทละครเรื่องคาวี ตอนท้าวสันนุราชหานางผมหอม ท้าวสันนุราช ชุบตัว นางคันธมาลีขึ้นเฝ้า และตอนพระคาวีรบไวยทัต 7. บทละครเรื่องมณีพิชัย ตอนพราหมณ์ยอพระกลิ่นขอพระมณีพิชัยไป เป็นทาส 8. บทละครเรื่องสังข์ทอง ตอนพระสังข์หนีนางพันธุรัต ท้าวสามนต์ให้ นางทั้งเจ็ดเลือกคู่ พระสังข์ได้นางรจนา ท้าวสามนต์ให้ลูกเขยหาเนื้อหา ปลา พระสังข์ตีคลี และตอนท้าวยศวิมลตามพระสังข์ 9. บทละครเรื่องไกรทอง ตอนนางวิมาลาตามไกรทองมาจากถ้ า และ ตอนไกรทองตามนางวิมาลากลับไปถ้ า 10. กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน 11. เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม นางวัน ทองหึงนางลาวทอง และตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้างได้นางแก้วกิริยา


โดยเรื่องอิเหนานี้ เรื่องเดิมมีความยาวมาก ได้ทรงพระราชนิพนธ์ใหม่ ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเรื่องยาวที่สุดของพระองค์ วรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่ 6 ได้ยกย่องให้เป็นยอดบทละครร าที่แต่งดี ยอดเยี่ยมทั้งเนื้อความ ท านองกลอน และกระบวนการเล่นทั้งร้องและร า พระองค์ยังได้ทรงพระราชนิพนธ์บทเห่ เรือ เรื่องกาพย์เห่ชมเครื่องคาว หวานซึ่งมีความไพเราะและแปลกใหม่ไม่ซ้ า แบบกวีท่านใด เนื้อเรื่องแบ่งออกเป็น 5 ตอน คือ เห่ชมเครื่องคาว เห่ชมผลไม้ เห่ชมเครื่องคาวหวาน เห่ครวญเข้ากับนักขัตฤกษ์ และบทเจ้าเซ็น ซึ่งบทเห่นี้ เข้าใจกันว่าเป็นการชมฝีพระหัตถ์ในด้านการท าอาหารของสมเด็จพระศรีสุริเยน ทราบรมราชินีนั่นเอง นอกจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยที่ทรง เป็นยอดกวีเอกแล้วในยุคสมัยนี้ยังมียอดกวีที่มี ชื่อเสียงอีกหลายคน


กวีที่ส าคัญ ในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้แก่ 1 . รัชกาลที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์ อิเหนา รามเกียรติ์ บทเสภาเรื่องขุน ช้างขุนแผน ไกรทอง คาวี มณีพิชัย สังข์ทอง 2. กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ )รัชกาลที่ 3( ทรงพระราชนิพนธ์เสภาเรื่องขุน ช้างขุนแผน ตอนขุนช้างขอนางพิม และขุนช้างตามนางวันทอง โคลงยอพระ เกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย บทละครเรื่องสังข์ศิลป์ชัย 3.สมเด็จพระสมณเจ้ากรมพระปรมานิชิตชิโนรส พระนิพนธ์ ลิลิตตะเลง พ่าย สมุทรโฆษค าัันท์ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก สรรพสิทธิ์ค าัันท์ กฤษณา สอนน้องค าัันท์ ปฐมสมโพธิกถา ฯลฯ


2 . สุนทรภู่ หรือพระสุนทรโวหาร แต่งเรื่อง พระอภัยมณี ลักษณะวงศ์ สิงหไตรภพ โคบุตร พระไชยสุริยา นอกจากนี้ ยังมีนิราศ เช่น นิราศเมืองแกลง นิราศเมืองสุพรรณ นิราศพระบาท นิราศภูเขาทอง นิราศวัดเจ้าฟ้า นิราศ อิเหนา นิราศเมืองเพชรบุรี นิราศพระประธม นิราศทั้งหมดล้วนเป็นค ากลอน ยกเว้นนิราศเมืองสุพรรณเป็นโคลงสี่สุภาพ 4 . พระยาตรัง แต่ง โคลงนิราศตามเสด็จล าน้ าน้อย 5 . นายนรินทร์ธิเบศร์ )อินทร์( แต่งโคลงนิราศนรินทร์


ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ จอห์น ครอฟอร์ด 1. ความสัมพันธ์กับประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2365 จอห์น ครอฟอร์ด คนไทยเรียก การะฟัด น าเครื่องราชบรรณาการมาถวายเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี โดยที่อังกฤษต้องการ 1. ขยายการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออก 2. เพื่อแก้ปัญหาเมืองไทรบุรี 3. เพื่อท าแผนที่ของภูมิภาคนี้


ผลของการเจรจาล้มเหลวเพราะ 1. ทั้งสองฝ่ายพูดไม่เข้าใจภาษากัน 2. ล่ามเป็นคนชั้นต่ า ขุนนางไทยตั้งข้อรังเกียจ 3. ชาวต่างชาติที่เข้ามาติดต่อส่วนมากเป็นชาวจีนซึ่งมีกิริยาอ่อน น้อม 4. อังกฤษต้องการให้ไทยคืนเมืองไทรบุรีให้กับปะแงรัน 5. ประเพณีไทย ขุนนางเข้าเฝ้าไม่สวมเสื้อ ท าให้ฝรั่งดูหมิ่นเหยียด หยาม 2. ความสัมพันธ์กับประเทศโปรตุเกส โปรตุเกส เจ้าเมืองมาเก๊า ได้ส่ง คาร์โลส มานูเอล ซิลเวลา เป็นทูตมาเจริญสัมพันธ์ไมตรี ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ให้ ความสะดวกแก่กันมากในการค้าขายต่อมา คาร์โลส มานูเอล ซิลเวลา ได้มา เป็นกงสุลประจ าประเทศไทย นับเป็นกงสุลชาติแรกในสมัยรัตนโกสินทร์และซิล เวลาได้รับพระราชทานยศเป็น “หลวงอภัยวานิช” 3. ความสัมพันธ์กับประเทศสหรัฐอเมริกา อเมริกา มีความสัมพันธ์กับไทย ครั้งแรกในสมัยนี้ พ่อค้าชาวอเมริกัน ชื่อ กัปตันแฮน ได้มอบปืนคาบศิลา จ านวน 500 กระบอก รัชกาลที่ 2 จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น “หลวง ภักดีราช”


ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน พระเจ้าจักกายแมง 1. ความสัมพันธ์กับประเทศพม่า พม่า พระเจ้าจักกายแมง กษัตริย์พม่าได้ เกลี้ยกล่อมพระยาไทรบุรียกทัพมาตีไทย ไทยทราบข่าวก็จัดกองทัพไป ขัดตา ทัพไว้ทางพม่าเกิดจลาจลจึงไม่ได้ยกทัพมา 2. ความสัมพันธ์กับประเทศเวียดนาม ญวน พระเจ้าญาลอง มีพระราช สาสน์มาขอเมืองบันทายมาศโดยอ้างว่าเมืองนี้เป็นเมืองขึ้นของญวน ไทยต้อง ยอมยกให้ เพราะไม่ต้องการมีศึกสองทาง ซึ่งในช่วงนั้นห่วงการศึกกับพม่า 3. ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมลายู พระยาไทรบุรี มาช่วยไทยรบกับพม่า เมื่อครั้งพม่าตีถลางไทยจึงได้เลื่อนยศให้เจ้าพระยาไทรบุรี


4.ความสัมพันธ์กับประเทศกัมพูชาพระอุทัยราชา ไม่ซื่อตรงต่อไทยหันไป ฝักใฝ่กับญวนสาเหตุมีหลายประการ - พระอุทัยราชา มาเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 1 พระองค์ไม่ยอมให้เสนาบดีเบิกตัว พระอุทัยราชาเข้าเฝ้า ท าให้พระอุทัยราชาได้ รับความอัปยศ และอาฆาต คิดร้ายต่อไทย - พระอุทัยราชา ทะเลาะกับพระยาเดโช )เม็ง( พระยาเดโชหนีมาไทย พระอุทัยราชา มีหนังสือมาขอตัวพระยาเดโช แต่ทางไทยไม่ยอมส่งตัวไปให้ พระอุทัยราชาจึงไม่พอพระทัย - พระอุทัยราชา แสดงอาการเป็นกบฎ ไทยจึงยกทัพเข้าเขมร พระอุทัย ราชาหนีไปพึ่งญวน ไทยจึงเผาเมืองพนมเปญ เมืองบันทายเพชร พระเจ้าญา ลองมีหนังสือมาถึงไทย ขอให้พระอุทัยราชากลับครองบ้านเมืองตามเดิม ทาง ไทยไม่ปรารถนาที่จะท าสงครามกับญวน ดังนั้นพระอุทัยราชาจึงได้กลับมา ครองกัมพูชาตามเดิม แต่ขออยู่ที่พนมเปญ และส่งเครื่องราชบรรณาการ ตามเดิมส่วนการบังคับบัญชาชั้นเด็ดขาดตกอยู่แก่ฝ่ายญวน โดยญวนได้ส่ง ข้าหลวงมาดูแลก ากับด้วย ในสมัย ร.2 ไทยต้องเสียเขมรให้กับญวน 5. ความสัมพันธ์กับประเทศจีน จีน การติดต่อค้าขายกับจีน หลายชาติ ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงจีนเพื่ออาศัยเป็น “ใบเบิกทาง” ในการอ านวยความสะดวกในการค้าขาย ทางจีน รียก ว่า “จิ้มก้อง” โดยที่จีนถือว่าประเทศที่น าเครื่องราชบรรณาการ มาถวาย เป็น ประเทศราช ทางไทยหลงเข้าใจผิด เพิ่งจะทราบความจริงในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่ง ทางประเทศจีนคิดว่า ไทยเป็นประเทศราชของจีนจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดสง ประเทศไทยกับจีน จึงได้มี สัมพันธไมตรีกันใหม่ ตั้งแต่ปี พ .ศ.2489 เป็นต้นมา


ธงชาติไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้โปรดให้สร้าง ส าเภาหลวงขึ้นเพื่อท าการค้ากับต่างประเทศ ขณะนั้นชาวอังกฤษได้ตั้งสถานี การขึ้นที่สิงคโปร์ ได้แจ้งว่าเรือสินค้าที่เข้ามาค้าขายต่างก็ชักธงแดงทั้งหมดยาก แก่การต้อนรับ ขอให้ทางไทยเปลี่ยนการใช้ธงเสีย จะได้จัดการรับรองเรือหลวง ของไทยให้สมพระเกียรติ ขณะนั้นพระองค์ได้ช้างเผือกเข้ามาสู่พระบารมีถึง 3 ช้าง จึงมีพระราชด าริให้แก้ไขธงชาติไทยจากที่เคยใช้ธงแดงมาตั้งแต่รัชสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มาเป็นรูปช้างเผือกอยู่ในวงจักรติดในธงพื้น แดง เป็นธงประจ าเรือในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ ซึ่งหมายความว่า เป็นเรือของ พระเจ้าช้างเผือกส่วนเรือของราษฎรยังคงใช้พื้นธงสีแดงและใช้เป็น ธงชาติสืบต่อกันมาจนถึงรัชกาลที่ 6


ล าดับเหตุการณ์ส าคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ. 2310 24 กุมภาพันธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระราช สมภพ ณ ต าบลอัมพวา เมืองสมุทรสงคราม พระนามเดิม ัิม พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษก ขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงได้รับการสถาปนาพระยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้า กรมหลวงอิศรสุนทร


พ.ศ. 2352 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนางกราบบังคมทูลอัญเชิญพระองค์ขึ้น ครองราชย์สมบัติเป็นรัชกาลที่ 2 แห่งพระราชวงศ์จักรี เัลิมพระนาม ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิตกับพวก คิดกบฏ โปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่น เจษฎาบดินทร์ช าระความ สงครามกับพม่าที่เมืองถลาง


พ.ศ. 2353 โปรดเกล้าฯ ให้ส่งคณะทูตอัญเชิญพระราชสาส์นไปถวายจักรพรรดิ เกียเข้งแห่งอาณาจักรจีน ราชทูตญวนเข้ามาถวายราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการ พร้อม ทั้งทูลขอเมืองบันทายมาศคืน ซึ่งพระองค์ก็พระราชทานคืนให้ พ.ศ. 2354 อิน-จัน แฝดสยามคู่แรกของโลกถือก าเนิดขึ้น โปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายไปก ากับราชการตามกระทรวงต่างๆ โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานออก "เดินสวนเดินนา" ออกพระราชก าหนดห้ามสูบและซื้อขายฝิ่น จัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เกิดอหิวาตกโรคครั้งใหญ่ โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธี "อาพาธพินาศ" โปรดเกล้าฯ ให้กองทัพไทย ไประงับความวุ่นวายในกัมพูชา


พ.ศ. 2355 พระพุทธบุษยรัตน์ โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระแก้วผลึก )พระพุทธบุษยรัตน์( จากเมือง จ าปาศักดิ์มายังกรุงเทพฯ พ.ศ. 2356 พม่าให้ชาวกรุงเก่าน าสาส์นจากเจ้าเมืองเมาะตะมะมาขอท าไมตรีกับ สยาม พระองค์เจ้าชายทับ )พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว( ได้รับ การสถาปนาเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์


Click to View FlipBook Version