ล าดับ รูป นาม 19. เจ้าจอมปริก เกิด : พ.ศ. 2390 ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 20. เจ้าจอมเปลี่ยน เกิด : ไม่มีข้อมูล ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 21. เจ้าจอมเป้า นามเดิม : เป้า )สกบลเดิม ณ นคร( เกิด : ไม่มีข้อมูล ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 22. เจ้าจอมเผือก เกิด : พ.ศ. 2368 ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 23. เจ้าจอมพร้อม นามเดิม : พร้อม )สกบลเดิม บบณยรัตพันธบ์( เกิด : ไม่มีข้อมูล ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล
ล าดับ รูป นาม 24. เจ้าจอมนักพลอย พระนามเดิม : นักพลอย ประสูติ: ไม่มีข้อมูล สิ้นพระชนม์: ไม่มีข้อมูล 25. เจ้าจอมพัน เกิด : พ.ศ. 2391 ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 26. เจ้าจอมพบ่ม เกิด : พ.ศ. 2390 ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 27. เจ้าจอมรบน เกิด : ไม่มีข้อมูล ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 28. เจ้าจอมเล็ก เกิด : ไม่มีข้อมูล ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล
ล าดับ รูป นาม 29. เจ้าจอมหม่อมหลวงเลี่ยม นามเดิม : หม่อมหลวงเลี่ยม เทพหัสดิน เกิด : พ.ศ. 2385 ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 30. เจ้าจอมเลี่ยม เกิด : พ.ศ. 2391 ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 31. เจ้าจอมวัน นามเดิม : วัน )สกบลเดิม บบนนาค( เกิด : ไม่มีข้อมูล ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 32. เจ้าจอมสังวาล เกิด : พ.ศ. 2388 ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 33. เจ้าจอมสารภี เกิด : พ.ศ. 2391 ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล
ล าดับ รูป นาม 34. เจ้าจอมตนกูสบเบีย พระนามเดิม : เติงกูซาฟียะฮ์ บินตี อัลมาร์ฮบม ซบลตัน มูฮัมเมด มูอัซ ซัม ชะฮ์ ประสูติ: ไม่มีข้อมูล สิ้นพระชนม์: 16 มกราคม พ.ศ. 2437 35. เจ้าจอมเสงี่ยม นามเดิม : เสงี่ยม )สกบลเดิม อมาตยกบล( เกิด : ไม่มีข้อมูล ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 36. เจ้าจอมแสง เกิด : พ.ศ. 2367 ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 37. เจ้าจอมหนูชี นามเดิม : หนูชี )สกบลเดิม ณ นคร( เกิด : ไม่มีข้อมูล ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 38. เจ้าจอมหนูสบด นามเดิม : สบด )สกบลเดิม บบนนาค( [35] เกิด : ไม่มีข้อมูล ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล
ล าดับ รูป นาม 39. เจ้าจอมหบ่น เกิด : พ.ศ. 2383 ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 40. เจ้าจอมเหลี่ยม เกิด : ไม่มีข้อมูล ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 41. เจ้าจอมองบ่น เกิด : ไม่มีข้อมูล ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 42. เจ้าจอมอรบ่น งายา : อรบ่นบบษบา เกิด : พ.ศ. 2385 ถึงแก่อสัญกรรม : 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2467 (82 ปี( 43. เจ้าจอมอ าพัน นามเดิม : อ าพัน )สกบลเดิม ณ นคร( เกิด : ไม่มีข้อมูล ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล
ล าดับ รูป นาม 44. เจ้าจอมอิ่ม นามเดิม : อิ่ม )สกบลเดิม ณ นคร( เกิด : ไม่มีข้อมูล ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล 45. เจ้าจอมเอี่ยม นามเดิม : เอี่ยม )สกบลเดิม จาตบรงคกบล( เกิด : ไม่มีข้อมูล ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล พระราชโอรส พระราชธิดา ในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 พระราชโอรส 39 พระองค์ พระราชธิดา 43 พระองค์ และตก 2 พระองค์ รวม 84 พระองค์ พระราชธิดาในสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ล ำดับ พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสูติ สิ ้นพระชนม์ พระชันษำ 1 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่น มเหศวร ศิววิลาส ช. เจ้าจอม มารดาน้อย 6 มีนาคม พ.ศ. 2366[1] 25 กรกฎาคม ค.ศ. 2410 44 ปี141 วัน 2 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่น วิษณบนาถนิภาธร ช. เจ้าจอม มารดาน้อย 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2367[1] 4 ธันวาคม ค.ศ. 2405 38 ปี192 วัน 3 หม่อมยิ่ง ญ. เจ้าจอม มารดาแพ 21 มกราคม พ.ศ. 2395[1] 2 กันยายน ค.ศ. 2429[2] 34 ปี224 วัน 4 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าทักษิณาวัฏ ช. เจ้าจอม มารดาพึ่ง 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2395[1] 10 มีนาคม ค.ศ. 2396 ถึง 28 มีนาคม ค.ศ. 2397[3] 0 ปี244 วัน ถึง 1 ปี261 วั น 5 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้า ฟ้าโสมนัส ช. สมเด็จพระ นางเจ้า โสมนัส วัฒนาวดี 21 สิงหาคม พ.ศ. 2395[1] ในวันประสูติ 0 ปี0 วัน 6 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าทักษิณชา นราธิราชบบตรี ญ. เจ้าจอม มารดา จันทร์ 18 กันยายน พ.ศ. 2395[1] 13 กันยายน ค.ศ. 2449 53 ปี360 วัน
ล ำดับ พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสูติ สิ ้นพระชนม์ พระชันษำ 7 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง สมรรัตนศิริเชฐ ญ. เจ้าจอม มารดาเที่ยง 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2395[1] 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2474 78 ปี167 วัน 8 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้า ญ. เจ้าจอม มารดาตลับ 22 มีนาคม พ.ศ. 2396[1] 29 มีนาคม ค.ศ. 2396 0 ปี7 วัน 9 พระบาทสมเด็จพระ จบลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ช. สมเด็จ พระเทพศิ รินทราบรม ราชินี 20 กันยายน พ.ศ. 2396[1] 23 ตบลาคม ค.ศ. 2453 57 ปี33 วัน 10 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าศรีพัฒนา ญ. เจ้าจอม มารดาเอี่ยม 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2396[1] 8 มิถบนายน ค.ศ. 2416 19 ปี191 วัน 11 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าเสวตรวรลาภ ช. เจ้าจอม มารดาเที่ยง 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2397[1] 18 ธันวาคม ค.ศ. 2399 2 ปี227 วัน 12 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าประภัศร ญ. เจ้าจอม มารดาเกศ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2397[1] 29 มิถบนายน ค.ศ. 2469 72 ปี49 วัน
ล ำดับ พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสูติ สิ ้นพระชนม์ พระชันษำ 13 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าพักตร์พิมลพรรณ ญ. เจ้าจอม มารดาแพ 25 ตบลาคม พ.ศ. 2397[1] 18 ตบลาคม ค.ศ. 2449 51 ปี358 วัน 14 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้ามัณยาภาธร ญ. เจ้าจอม มารดา จันทร์ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2397[1] 26 ตบลาคม ค.ศ. 2428 30 ปี339 วัน 15 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าแดง ช. เจ้าคบณจอม มารดาส าลี 19 มีนาคม พ.ศ. 2398[1] 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2398 0 ปี61 วัน 16 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้า ฟ้าจันทรมณฑล โสภณภควดี กรมหลวงวิสบทธิกระษัตริย์ ญ. สมเด็จ พระเทพศิ รินทราบรม ราชินี 24 เมษายน พ.ศ. 2398[1] 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2406 8 ปี20 วัน 17 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ นเรศรวรฤทธิ์ ช. เจ้าจอม มารดากลิ่น 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2398[1] 10 สิงหาคม ค.ศ. 2468 70 ปี95 วัน 18 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าเงลิมลักษณเลิศ ช. เจ้าจอม มารดาบัว 26 มิถบนายน พ.ศ. 2398[1] 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2400 2 ปี17 วัน
ล ำดับ พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสูติ สิ ้นพระชนม์ พระชันษำ 19 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าศรีนาคสวาดิ ญ. เจ้าจอม มารดาเที่ยง 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2398[1] 7 สิงหาคม ค.ศ. 2456 58 ปี24 วัน 20 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง พิชิตปรีชากร ช. เจ้าจอม มารดาพึ่ง 29 ตบลาคม พ.ศ. 2398[1] 11 มีนาคม ค.ศ. 2453 54 ปี133 วัน 21 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรม ขบนขัตติยกัลยา ญ. พระสัม พันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้า พรรณราย 10 ธันวาคม พ.ศ. 2398[1] 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2425 26 ปี154 วัน 22 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้า ญ. เจ้าจอม มารดามา ไลย 5 กบมภาพันธ์ พ.ศ. 2399[1] 6 กบมภาพันธ์ ค.ศ. 2399 0 ปี1 วัน 23 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง อดิศรอบดมเดช ช. เจ้าจอม มารดา จันทร์ 15 มีนาคม พ.ศ. 2399[1] 16 เมษายน ค.ศ. 2468 69 ปี33 วัน 24 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่น ภูธเรศธ ารงศักดิ์ ช. เจ้าจอม มารดาตลับ 15 มีนาคม พ.ศ. 2399[1] 8 ธันวาคม ค.ศ. 2440 41 ปี268 วัน
ล ำดับ พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสูติ สิ ้นพระชนม์ พระชันษำ 25 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง ประจักษ์ศิลปาคม ช. เจ้าจอม มารดา สังวาลย์ 5 เมษายน พ.ศ. 2399[1] 25 มกราคม ค.ศ. 2468 68 ปี295 วัน 26 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง พรหมวรานบรักษ์ ช. เจ้าจอม มารดาแพ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2399[1] 4 มกราคม ค.ศ. 2468 68 ปี139 วัน 27 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่น ราชศักดิ์สโมสร ช. เจ้าจอม มารดาเที่ยง 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2399[1] 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2474 75 ปี10 วัน 28 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้า ฟ้าจาตบรนต์รัศมี กรมพระ จักรพรรดิพงษ์ ช. สมเด็จ พระเทพศิ รินทราบรม ราชินี 13 มกราคม พ.ศ. 2400[1] 11 เมษายน ค.ศ. 2443 43 ปี88 วัน 29 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าอบณากรรณอนันตนรไชย ช. สมเด็จพระ ปิยมาวดี ศรี พัชรินทร มาตา 22 กบมภาพันธ์ พ.ศ. 2400[1] 29 มีนาคม ค.ศ. 2417 17 ปี35 วัน 30 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่น ทิวากรวงศ์ประวัติ ช. เจ้าจอม มารดา จันทร์ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2400 3 มกราคม ค.ศ. 2459 58 ปี139 วัน 31 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าเขียว ญ. เจ้าคบณจอม มารดาส าลี 21 สิงหาคม พ.ศ. 2400[1] 22 สิงหาคม ค.ศ. 2400 0 ปี1 วัน
ล ำดับ พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสูติ สิ ้นพระชนม์ พระชันษำ 32 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าเสมอสมัยหรรษา ญ. เจ้าจอม มารดามา ไลย 2 ตบลาคม พ.ศ. 2400[1] 24 กบมภาพันธ์ ค.ศ. 2417 16 ปี145 วัน 33 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขบนศิริ ธัชสังกาศ ช. เจ้าจอม มารดาบัว 16 ตบลาคม พ.ศ. 2400[1] 11 มีนาคม ค.ศ. 2454 53 ปี146 วัน 34 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง สรรพสาตรศบภกิจ ช. เจ้าจอม มารดา สังวาลย์ 17 ตบลาคม พ.ศ. 2400[1] 16 เมษายน ค.ศ. 2462 61 ปี181 วัน 35 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าอนงค์นพคบณ ญ. เจ้าจอม มารดาเอม 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2400[1] 22 มีนาคม ค.ศ. 2427 26 ปี124 วัน 36 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้ากนกวรรณเลขา ญ. เจ้าจอม มารดาเที่ยง 21 ธันวาคม พ.ศ. 2400[1] 29 มิถบนายน ค.ศ. 2461 60 ปี190 วัน 37 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง สรรพสิทธิประสงค์ ช. เจ้าจอม มารดาพึ่ง 29 ธันวาคม พ.ศ. 2400[1] 3 เมษายน ค.ศ. 2465 64 ปี95 วัน 38 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าอรบณวดี ญ. เจ้าจอม มารดาหรบ่น 13 มกราคม พ.ศ. 2401[1] 26 สิงหาคม ค.ศ. 2476 75 ปี226 วัน 39 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าวาณีรัตนกัญญา ญ. เจ้าจอม มารดาแก้ว 27 มกราคม พ.ศ. 2401[1] 25 มกราคม ค.ศ. 2479 77 ปี363 วัน
ล ำดับ พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสูติ สิ ้นพระชนม์ พระชันษำ 40 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้ามณฑานพรัตน์ ญ. เจ้าจอม มารดาโหมด 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2401[1] 2 มิถบนายน ค.ศ. 2404 3 ปี28 วัน 41 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้ากาพย์กนกรัตน์ ช. เจ้าจอม มารดาตลับ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2401[1] 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2422 21 ปี7 วัน 42 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ช. สมเด็จพระ ปิยมาวดี ศรี พัชรินทร มาตา 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2401[1] 28 มิถบนายน ค.ศ. 2466 64 ปี213 วัน 43 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าอรไทยเทพกัญญา ญ. เจ้าจอม มารดาบัว 18 กันยายน พ.ศ. 2402[1] 4 เมษายน ค.ศ. 2449 46 ปี198 วัน 44 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้า ญ. เจ้าจอม มารดาเที่ยง 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2402[1] 7 ธันวาคม ค.ศ. 2402 0 ปี7 วัน 45 สมเด็จพระราชปิตบลา บรม พงศาภิมบข เจ้าฟ้าภาณบรังษี สว่างวงศ์ กรมพระยาภาณบพันธบ วงศ์วรเดช ช. สมเด็จ พระเทพศิ รินทราบรม ราชินี 11 มกราคม พ.ศ. 2403[1] 13 มิถบนายน ค.ศ. 2471 68 ปี153 วัน
ล ำดับ พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสูติ สิ ้นพระชนม์ พระชันษำ 46 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าบบษบงเบิกบาน ญ. เจ้าคบณจอม มารดาส าลี 1 มีนาคม พ.ศ. 2403[1] 6 มิถบนายน ค.ศ. 2419 16 ปี97 วัน 47 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรม พระยาวชิรญาณวโรรส ช. เจ้าจอม มารดาแพ 12 เมษายน พ.ศ. 2403[1] 2 สิงหาคม ค.ศ. 2464 61 ปี112 วัน 48 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าเจริญรบ่งราษี ช. เจ้าจอม มารดา สังวาลย์ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2403[1] 7 เมษายน ค.ศ. 2407 ถึง 26 มีนาคม ค.ศ. 2408[4] 3 ปี229 วัน ถึง 4 ปี218 วั น 49 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ สมมตอมรพันธบ์ ช. ท้าวทรง กันดาล )เจ้า จอมมารดา หบ่น( 7 กันยายน พ.ศ. 2403[1] 21 เมษายน ค.ศ. 2458 54 ปี226 วัน 50 สมเด็จพระนางเจ้าสบนันทา กบมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ญ. สมเด็จพระปิย มาวดี ศรีพัชริ นทรมาตา 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2403[1] 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2423 19 ปี202 วัน 51 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่น วิวิธวรรณปรีชา ช. เจ้าจอม มารดาโหมด 11 ธันวาคม พ.ศ. 2403[1] 10 ตบลาคม ค.ศ. 2475 71 ปี303 วัน 52 สมเด็จพระปิตบจงาเจ้า สบขบมาล มารศรี พระอัครราชเทวี ญ. เจ้าคบณจอม มารดาส าลี 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2404[1] 9 กรกฎาคม ค.ศ. 2470 66 ปี60 วัน
ล ำดับ พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสูติ สิ ้นพระชนม์ พระชันษำ 53 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้านารีรัตนา ญ. เจ้าจอม มารดาดวงค า 17 สิงหาคม พ.ศ. 2404[1] 16 มิถบนายน ค.ศ. 2468 63 ปี304 วัน 54 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้า สมเด็จพระปิย มาวดี ศรีพัชริ นทรมาตา ตกเมื่อ สิงหาคม พ.ศ. 2418 55 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่น พงษาดิศรมหิป ช. เจ้าจอม มารดาเที่ยง 27 สิงหาคม พ.ศ. 2404[1] 28 มกราคม ค.ศ. 2479 74 ปี154 วัน 56 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าบรรจบเบญจมา ญ. เจ้าจอม มารดาแพ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2404[1] 13 กันยายน ค.ศ. 2435 30 ปี312 วัน 57 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ นราธิปประพันธ์พงศ์ ช. เจ้าจอม มารดาเขียน 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2404[1] 11 ตบลาคม ค.ศ. 2474 69 ปี325 วัน 58 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด ารงราชานบภาพ ช. เจ้าจอม มารดาชบ่ม 21 มิถบนายน พ.ศ. 2405[1] 1 ธันวาคม ค.ศ. 2486 81 ปี163 วัน
ล ำดับ พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสูติ สิ ้นพระชนม์ พระชันษำ 59 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้านงคราญอบดมดี ญ. เจ้าจอม มารดาเพ็ง 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2405[1] 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2474 69 ปี131 วัน 60 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าศรีเสาวภางค์ ช. ท้าวสมศักดิ์ )เจ้าจอม มารดาเหม( 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2405[1] 11 ตบลาคม ค.ศ. 2432 27 ปี85 วัน 61 สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรม ราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกา เจ้า ญ. สมเด็จพระ ปิยมาวดี ศรี พัชรินทร มาตา 10 กันยายน พ.ศ. 2405[1] 17 ธันวาคม ค.ศ. 2498 93 ปี98 วัน 62 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม ขบนพิทยลาภพฤฒิธาดา ช. ท้าววร จันทร์ )เจ้า จอมมารดา วาด( 1 เมษายน พ.ศ. 2406[1] 28 ตบลาคม ค.ศ. 2456 50 ปี210 วัน 63 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้า ฟ้ากรมพระยานริศรานบวัดติวงศ์ ช. พระสัม พันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้า พรรณราย 28 เมษายน พ.ศ. 2406[1] 10 มีนาคม ค.ศ. 2490 83 ปี316 วัน 64 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขบนมรบ พงษ์ศิริพัฒน์ ช. เจ้าจอม มารดาบัว 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2406[1] 5 เมษายน ค.ศ. 2466 59 ปี313 วัน 65 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้ากาญจนากร ญ. เจ้าจอม มารดา สังวาลย์ 8 มิถบนายน พ.ศ. 2406[1] 21 กันยายน ค.ศ. 2475 69 ปี105 วัน
ล ำดับ พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสูติ สิ ้นพระชนม์ พระชันษำ 66 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าบบษบันบัวผัน ญ. เจ้าจอม มารดาห่วง 15 ตบลาคม พ.ศ. 2406[1] 1 มิถบนายน ค.ศ. 2482 75 ปี229 วัน 67 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรม ราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง ญ. สมเด็จพระ ปิยมาวดี ศรี พัชรินทร มาตา 1 มกราคม พ.ศ. 2407[1] 20 ตบลาคม ค.ศ. 2462 55 ปี292 วัน 68 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าแขไขดวง ญ. เจ้าจอม มารดาเที่ยง 11 มกราคม พ.ศ. 2407[1] 19 สิงหาคม ค.ศ. 2472 65 ปี221 วัน 69 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง ทิพยรัตนกิริฏกบลินี ญ. เจ้าคบณจอม มารดาส าลี 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2407[1] 19 กรกฎาคม ค.ศ. 2501 94 ปี67 วัน 70 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าด ารงฤทธิ์ ช. เจ้าจอม มารดาบัว 14 มกราคม พ.ศ. 2408[1] 10 มกราคม ค.ศ. 2410 1 ปี361 วัน 71 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าประสานศรีใส ญ. เจ้าจอม มารดา หม่อม ราชวงศ์แสง 3 มีนาคม พ.ศ. 2408[1] 4 กรกฎาคม ค.ศ. 2450 42 ปี123 วัน
ล ำดับ พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสูติ สิ ้นพระชนม์ พระชันษำ 73 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าจรูญฤทธิเดช ช. เจ้าจอม มารดาเที่ยง 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2408[1] 1 มิถบนายน ค.ศ. 2408 0 ปี9 วัน 74 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าเสาวภาคย์พรรณ ญ. เจ้าจอม มารดาหว้า 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2408[1] 2 มีนาคม ค.ศ. 2438 29 ปี281 วัน 75 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าประดิษฐาสารี ญ. เจ้าจอม มารดาดวง ค า 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2408[1] 18 มีนาคม ค.ศ. 2505 96 ปี242 วัน 76 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม พระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ช. สมเด็จพระ ปิยมาวดี ศรี พัชรินทร มาตา 22 ธันวาคม พ.ศ. 2408[1] 10 ธันวาคม ค.ศ. 2478 69 ปี353 วัน 77 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่น มหิศรราชหฤทัย ช. เจ้าจอม มารดาห่วง 30 มกราคม พ.ศ. 2409[1] 15 เมษายน ค.ศ. 2450 41 ปี75 วัน 78 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าพวงสร้อยสอางค์ ญ. เจ้าจอม มารดาเที่ยง 30 กันยายน พ.ศ. 2409[1] 27 กบมภาพันธ์ ค.ศ. 2493 83 ปี150 วัน
ล ำดับ พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสูติ สิ ้นพระชนม์ พระชันษำ 80 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้า ญ. เจ้าจอม มารดาเชย 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2410[1] ในวันประสูติ 0 ปี0 วัน 81 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าพบทธประดิษฐา ญ. เจ้าจอม มารดาพบ่ม 1 มกราคม พ.ศ. 2411[1] 7 มีนาคม ค.ศ. 2414 3 ปี65 วัน 82 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้า ญ. ท้าวศรีสัจจา )เจ้าจอม มารดาอิ่ม( 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411[1] ในวันประสูติ 0 ปี0 วัน 83 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้า สมเด็จพระ ปิยมาวดี ศรี พัชรินทร มาตา ตกในราว พ.ศ. 2411 - 2412 84 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าเจริญกมลสบขสวัสดิ์ ญ.
พระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยการติดต่อกับชาติตะวันตก สมเด็จพระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ได้แต่งทูตมาแลกเปลี่ยน หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีเมื่อ พ.ศ. 2406 และได้ทูลเกล้าถวาย เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลยอง ดอนเนอร์ และพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เสด็จออก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ในหมู่พระอภิเนาวนิเวศน์ ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ. 2410 เพื่อทรงรับราชทูตฝรั่งเศสอีกคณะหนึ่ง จึงทรงสายสะพายเลยอง ดอนเนอร์พร้อมดารา เพื่อเป็นเกียรติยศแด่ชาวฝรั่งเศส )ภาพจากหนังสือ สมบดภาพเหตบการณ์ส าคัญของกรบงรัตนโกสินทร์(
การทูตติดต่อต่างประเทศ เซอร์ จอห์น บาวริ่ง เข้ามาท าสัญญาให้อังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เซอร์จอห์น เบาริ่ง อัครราชทูตอังกฤษ เข้าเฝ้า )ภาพจิตรกรรมเทิดพระเกียรติกษัตริย์ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ วาดโดย นคร หบราพันธ์ ปัจจบบันแขวนอยู่ภายในอาคารรัฐสภา( ฝ่ายอังกฤษเมื่อได้ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบซึ้งและสัดทัดภาษาอังกฤษมาแล้วเป็นอย่างดี อนึ่ง พระองค์ทรงมีพระทัยนิยมต่อการที่จะสมาคมกับฝรั่งอยู่แล้ว เข้าใจว่า รัฐบาลไทยคงไม่ถือคติอย่างจีนเหมือนแต่ก่อน จึงเลือกได้เซอร์ ยอห์น บาวริง (Sir John Bowring) เจ้าเมืองฮ่องกงให้เป็นอัครราชทูต
เชิญพระราชสาสน์ของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียพร้อมด้วยเครื่องราช บรรณาการเข้ามาเสร็จขอท าหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีด้วย อังกฤษมาท าสัญญาครั้งนี้มีทั้งผลดีและผลร้ายกล่าวคือถ้าไทยขัด ขืนไม่ยอมอนบโลมแก้สัญญาให้ จะท าอย่างเมื่อเซอร์ เจมส์ บรบก เข้ามา คราวที่แล้วไทยจะต้องรบกับอังกฤษ แต่ถ้าหากหวาดเกรงอังกฤษแล้วก็คง จะเสียเปรียบในกระบวนสัญญาเป็นผลร้ายต่อไป ทางที่จะได้ผลดีจึงต้อง ให้เป็นการปรึกษาหารือปรองดองมีไมตรีต่อกันทั้ง 2 ฝ่าย งะนั้นการ ที่ เซอร์ ยอห์น บาวริง มาครั้งนี้เห็นว่าทางฝ่ายรัฐบาลอังกฤษเลือกได้คน ที่เหมาะสมแล้ว เพราะท่านเซอร์ผู้นี้ก็เป็นคนที่งลาดมีไหวพริบทั้งทาง ปฏิภาณและพูด ฟังค าพูดคนอื่นได้ตั้ง 100 กว่าภาษา ส่วนตัวท่าน เซอร์ เองพูดได้กว่า 50 ภาษา และเป็นราชทูตอังกฤษคนแรกที่เข้ามา เมืองไทย ครั้งนี้ผิดกับ ดร.ยอห์น ครอว์เฟอรดหรือกับตันเฮนรี เบอร เนย์ ซึ่งเป็นเพียงทูตของขบนนางผู้ส าเร็จราชการอินเดียวส่งมา ส่วน เซอร์ เจมส์ บรบกนั้นเป็นแต่ผู้ถือหนังสือของเสนาบดีกว่ากระทรวงการ ต่างประเทศเท่านั้น หาใช่ราชทูตที่มาจากราชส านักของพระเจ้าแผ่นดิน อังกฤษไม่ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเจ้าของเมือง จะต้องใช้ความระมัดระวัง ให้มากเพราะถือกันว่าทูต ก็คือ ผู้แทนพระเจ้าแผ่นดินต่างประเทศ ถ้า เจ้าของเมืองไม่รับรองหรือประพฤติไม่สมแก่เกียรติยศแล้ว จะเป็นการ หมิ่นประมาท ไม่นับถือพระเจ้าแผ่นดินของเขา ทางพระราชไมตรีอาจจะ หมองหมางกันได้
ส่งราชทูตไปอังกฤษ คณะราชทูตไทยเข้าเฝ้าสมเด็จพระนางวิคตอเรีย วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2400 เวลา 15 น.เศษ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้พระยามนตรีสบริ ยวงศ์ (ชบ่ม บบนนาค( เป็นราชทูต จมื่นสรรเพธภักดีเป็นอบปทูต จมื่นมณ เฑียรพิทักษ์เป็นตรีทูตหม่อมราโชทัย (กระต่าย( เป็นล่าม ไปเจริญทาง พระราชไมตรียังประเทศอังกฤษ ถวายราชสาสน์ และเครื่องราช บรรณาธิการแด่สมเด้จพระนางวิคตอเรีย ด้วย พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะเจริญสัมพันธไมตรีสนิทยิ่งขึ้นจึงเป็นเป็น
การสมควรที่จะแต่งราชทูตออกไปเป็นการตอบแทนบ้าง นับเป็นครั้งแรก ที่ราชทูตไทยไปทวีปยบโรปในสมัยกรบงรัตนโกสินทร์ คณะทูตที่ไปนี้กลับมา เมื่อ พ.ศ. 2401 พร้อมด้วยเครื่องจักรที่ให้ซื้อมาจัดสร้างโรงกษาปณ์ ท า เงินเหรียญบาทสลึงและเฟื้องจ าหน่ายแทนเงินพดด้วง สัญญาพระราชไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในรัชกาลที่ 4 อาทิ วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2399 มิสแฮรี่เยเนราล กงสบลประเทศ ญี่ปบ่น ทูตอเมริกาได้เข้ามาท าหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วย การค้าขาย, การเมือง, การพิกัดอัตราภาษีและตั้งกลสบลในประเทศสยาม วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2399 มองซิเออร มองติคนี ทูตฝรั่งเศสเข้า มาท าหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี ว่าด้วยการค้าการพิกัดอัตราภาษี การเมืองและการตั้งกลสบลในประเทศสยาม ได้ทรงอนบญาต และให้สร้าง วัดสร้างโรงสอนเด็ก ๆ และโรงรักษาคนป่วยไข้ กับให้คณะบาดหลวงสอน ศาสนาได้อีกด้วย แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายสยาม วันที่ 25 ตบลาคม พ.ศศ. 2401 ประเทศงอนซิเอติกเรปบปบลิกมาท า หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าเมืองการภาษาษีและตั้ง ศาล อนบญาตให้ตั้งได้ วันที่ 10 กบมภาพันธ์ พงศ. 2401 พิเรนทร์ทูตโปรตบเกสมาท า หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าการเมืองการภาษีและขอตั้ง กงสบล ณ ประเทศสยาม
วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2401 พระเจ้าเฟรเดริกที่ 7 ประเทศ เดนมาร์คส่งผู้แทนเป็นทูตเข้ามาท าหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี ว่า ด้วยการค้าขาย การเมือง พิกัดอัตราภาษาสินค้าและให้ตั้งกงสบลได้ วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2403 โยนฮอน เกอร์เชียดทูตเนเธอรแลนด์ เข้ามาท าหนังสือ สัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าการพิกัดอัตรา ภาษี ได้ทรงอนบญาตและให้ตั้งกงสบลได้ วันที่ 7 กบมภาพันธ์ พ.ศ. 2405 คอลออย เลนเบอร์ต ทบตเยอรมันได้ เข้ามาท าสัญญาเจริญ ทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าขายการเมือง การ พิกัดอัตราภาษีและตั้งกงสบล ได้มีพระบรมราชานบญาตให้ตั้งได้ วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2405 ประเทศสวีเดนนอร์เวย์ ส่งผู้แทน มาท าหนังสือสัญญาว่าถึงการค้าขาย การเมือง การภาษี และขอตั้งกงสบล ในประเทศสยาม วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2410 เบลเยี่ยมส่งผู้แทนมาท าหนังสือ สัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้า การภาษี การเมือง และการตั้ง กงสบล
ปรับขนบธรรมเนียมประเพณี ในสมัยรัชกาลที่ 4 ชาวตะวันตกได้รับความอนบเคราะห์ให้พ านักพัก พิง และเผยแผ่ศาสนาได้โดยเสรี ตามนโยบายเปิดประเทศของพระจอม เกล้าฯ กระบวนเสด็จรัชกาลที่ 4 ไปยังวัดพระเชตบพลวิมลมังคลาราม มีพระบรมราชโองการให้ทบกคนสวมเสื้อเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงปฏิรูปหลายประการโดย ทรง ยอมรับขนบธรรมเนียมประเพณีตะวันตกที่เป็นการแสดงออกถึงเกียรติยศ ของชาติหรือแสดงให้เห็นถึงการสลัดทิ้งซึ่งความป่าเถื่อน ประเพณี ต่าง ๆ ที่ทรงรับมาใช้คือประเพณีการสวมเสื้อเข้าเฝ้า มีพระบรมราช โองการให้ทบกคนสวมเสื้อ (เสื้อแรก ๆ นั้นตัดแบบพวกแขกบ้าบ๋า( เข้าเฝ้า
และพระราชทานพระบรมราชานบญาตให้ชาวต่างประเทศยืนเฝ้าได้ในท้อง พระโรง โปรดให้ท าเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตอบแทนกับชาวต่างประเทศมี พระราชด าริให้มีพระราชพิธีงัตรมงคลขึ้นให้เหมือนกับพระราชพิธีที่ กระท าในวันเสวยราชย์ของพระมหากษัตริย์ทางตะวันตก และโปรดให้ทูต กับขบนนาง ผู้ใหญ่บ้านร่วมโต๊ะเสวยได้ เช่นในงานเงลิมพระ ชนมพรรษา การเข้าเฝ้าในขณะที่เสด็จประพาส ก็โปรดให้ราษฎรเข้าเฝ้า ได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งแต่เดิมตามรายทางที่เสด็จผ่าน ราษฎรจะต้องปิด หน้าต่างประตูจนหมดสิ้น รัชกาลที่ 4 ทรงไม่เห็นชอบกับการไล่ราษฎรไม่ให้มารับเสด็จฯ อย่างใกล้ชิด ดังพระราชด าริว่า “…ก็ไล่คนเสียมิให้อยู่ใกล้ทางเสด็จพระ ราชด าเนิน แล้วให้ชาวบ้านปิดประตูโรงประตูร้าน ประตูหน้าถังเสียหมด ก็มิได้เป็นการที่จะป้องกันอันตรายอย่างไรอย่างหนึ่งได้ ไม่เห็นเป็นคบณเลย เห็นเป็นโทษเป็นหลายประการ…” ทรงมีพระราชประสงค์ทอดพระเนตร ราษฎรที่เคยเฝ้าหรือทรงรู้จักกันมาก่อน อีกทั้งทรงมีพระราชด าริว่า ราษฎรที่เข้าไปอยู่ในอาคารบ้านเรือนตามเส้นทางเสด็จฯ นั้น จะเป็นคนดี หรือคนเสียจริตประการใดที่มาคอยแอบแฝงอยู่ก็ไม่ทราบได้ ดังนั้น รัชกาลที่ 4 จึงออกประกาศ เรื่อง “ประกาศยกเลิกการยิง กระสบนแลอนบญาตให้ราษฎรเฝ้าได้ในทางเสด็จพระราชด าเนิน” ณ วัน อาทิตย์ เดือนแปด ขึ้น 7 ค่ า ปีมะเส็ง นพศก )28 มิถบนายน พ.ศ. 2400( สรบปว่า เมื่อมีกระบวนเสด็จพระราชด าเนินทางสถลมารคก็ดี ทางชลมารค ก็ดี ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ขับไล่ราษฎรไปไกล และอย่าให้ปิดประตูอาคาร บ้านเรือนรวมถึงประตูแพ และให้ราษฎรออกมาเฝ้ารับเสด็จถวายบังคม ให้ทอดพระเนตร
ส่วนการถวายฎีกาก็ให้งดเว้นการเฆี่ยน 30 ที ที่มีมาแต่เดิม เสีย พระองค์ท่านเสด็จออกรับการร้องทบกข์ทบกวันโกน เดือนละ 4 ครั้ง และยังโปรดให้ถวายฎีกาแทนกันได้ ที่ส าคัญคือการยกย่องฐานะสตรี เทียบเท่าบบรบษ และขณะเดียวกันก็ยกย่องความเป็นคนของแต่ละบบคคล ให้เสมอกัน ทั้งยังทรงลดพระราชอ านาจที่เป็นสิทธิขาดของ พระมหากษัตริย์ลงหลายประการ ประการที่ส าคัญก็คือ ไม่ทรงถือว่า พระมหากษัตริย์จะเป็นเจ้าของที่ดินในพระราช อาณาจักรแต่เพียงผู้เดียว หากมีพระราชประสงค์ที่ดินตรงไหนของใครก็จะมีพระราชอ านาจไปยึด ครองที่ตรงนั้นได้ตามพระราชประสงค์ ทั้งนี้เพราะทรงเห็นว่ากฎหมาย เช่นนี้ไม่ยบติธรรม ได้โปรดให้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาที่ดินเมื่อ ปี พ.ศ. 2399 และปี พ.ศ. 2403 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าฯ ทรงครองราชย์พร้อมกับการเริ่มน าการเปลี่ยนแปลงเข้า มา พระองค์จะต้องท าให้เห็นว่าลักษณะของพระมหากษัตริย์แบบนี้เป็น แบบที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ทรงพยายามปฏิบัติพระองค์เพื่อให้ผู้อื่น เห็นว่าทรงมีความสามารถใช้ชีวิตทางโลกได้ดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทาง ธรรม งะนั้นจึงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยอมรับฟังความเห็นของคน ส่วนใหญ่
ด้านการสร้างสถาปัตยกรรมฝรั่งในบางกอก ภาพภายในพระที่นั่งอนันตสมาคม ในพระอภิเนาว์นิเวศน์ )ภาพจาก ส านักหอจดหมายเหตบแห่งชาติ( ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง ตระหนักถึงความจ าเป็นที่จะต้องติดต่อและมีความสัมพันธ์กับชาติทาง ตะวันตก ทั้งในด้านการค้าขาย การเมือง และการรับวิทยาการ สมัยใหม่ เพื่อให้ต่างชาติเชื่อถือว่าสยามประเทศได้พัฒนาแล้วไปสู่ความ เป็นอารยะ และมีความคิดก้าวหน้ามิใช่ชาติล้าหลังด้อยพัฒนา เพื่อเอาตัว รอดจากการที่ฝรั่งใช้เป็นข้ออ้างในการล่าอาณานิคม และด้วยสาเหตบแห่ง การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นชาติที่พัฒนาแล้วนี่เอง ท าให้เมืองบางกอก อันเป็นราชธานีของสยามประเทศจ าเป็นต้องปรับปรบงเปลี่ยนแปลงด้วย
การรับอารยธรรมจากตะวันตกในรูปแบบศิลปวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่เป็น แบบยบโรปก็คืบคลานเข้ามาให้เห็นอย่างรวดเร็วในเขตพระราชฐาน แม้แต่ ในห้องพระบรรทม ในพิพิธภัณฑ์ หรือการอบรมสั่งสอนแบบฝรั่งแก่ชาว ราชส านักโดยครูแหม่ม สิ่งก่อสร้างในพระบรมราชวังสมัยรัชกาลที่ 4 เช่น การสร้างหมู่พระ อภิเนาว์นิเวศน์เป็นภาพลักษณ์ใหม่แบบตะวันตกที่ถูกรังสรรค์ขึ้นให้โดด เด่นและแตกต่างจากที่ในรั้วในวังเคยมี เป็นข้อสังเกตและได้รับค าเยินยอ จากราชทูตยบโรปที่ถูกเชิญให้เข้าไปเยือนภายในอยู่เนืองๆ โดยในสมัย รัชกาลที่ 4 ซึ่งกรมขบนราชสีหวิกรมทรงรับราชการอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาแห่ง การเปลี่ยนผ่านของการรับวัฒนธรรมจากภายนอกเข้าสู่สยามประเทศใน หลายๆ ด้าน ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ด้านงานช่างของหลวงซึ่งนายช่างย่อมต้อง ปฏิบัติงานถวายให้ได้ต้องตามพระราชประสงค์ ดังปรากฏหลักฐาน ว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขบนราชสีหวิกรม ได้รับพระมหากรบณาธิคบณ โปรดเกล้าฯ ให้ก ากับดูแลการก่อสร้างถาวรวัตถบที่ส าคัญทั้งพระราชฐานที่ ประทับบ างแห่งในพระบ รมมหาราชวังและพระราชนิเวศน์ใน ต่างจังหวัด รวมทั้งพระอารามส าคัญอีกหลายแห่งผลงานของ พระเจ้า บรมวงศ์เธอ กรมขบนราชสีหวิกรม จึงควรค่าแก่การศึกษาทั้งในส่วนของ งานช่างที่ยังคงรูปแบบศิลปะอย่างไทยประเพณีเพื่อให้สมพระเกียรติแห่ง องค์พระมหากษัตริย์ และยังมีส่วนที่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบเพื่อให้สอด รับกับการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง รวมทั้งพระราชนิยมในรัชกาล ที่ 4 ที่มีพระราชประสงค์ให้ก่อสร้างอาคารรูปแบบตะวันตก
ด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ หลักศิลาจารึกพ่อขบนรามค าแหง พระปรีชาญาณที่ควรจะกล่าวถึงอีกเรื่องหนึ่ง คือการที่ทรงเป็น นักศึกษาค้นคว้า ทั้งทางด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ผู้ศึกษาศิลา จารึกน่าจะน้อมร าลึกถึงพระมหากรบณาธิคบณที่ทรงเป็นธบระจัดการสืบ ค้นหาศิลาจารึก สมัยสบโขทัยแล้วน ามาประดิษฐาน ในพิพิธภัณฑ์เก็บไว้ให้ คนรบ่นหลังมีโอกาสศึกษากันมาจนทบกวันนี้ ส่วนทางด้านประวัติศาสตร์ พระราชหัตถเลขางบับนี้แสดงให้เห็น ว่าเมื่อคราวโปรดให้แต่งพงศาวดารงบับพระราชหัตถเลขานั้น ทรง ค านึงถึงความถูกต้อง มีการตรวจสอบเอกสารจากที่ต่าง ๆ นับเป็น คบณประโยชน์ต่อนักศึกษาประวัติศาสตร์รบ่นต่อมามิใช่น้อย
ด้านการพระราชพิธี พระราชพิธีงัตรมงคล วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2395 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง พระราชด าริเห็นว่า พระมหากษัตริย์ในต่างประเทศได้นิยมวันเสวยราชย์ เป็นวันส าคัญวันหนึ่งโดยถือว่าวันนั้นเป็นวันสมโภช พระมหาเศวตงัตร งะนั้นจึงควรจัดให้มีการงลองส าหรับวันนั้นขึ้น จะได้เป็นสวัสดิมงคลแก่ ราชสมบัติ และบ้านเมือง พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธี ขึ้นเป็นทางราชการและให้เป็นงานประจ าปีตลอดไป
ในรัชกาลก่อน ๆ ไม่เคยปรากฏว่า ได้มีพระราชพิธีสมโภชพระมหา เศวตงัตรเช่นนี้เลย พิธีนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีขึ้นในรัชกาลที่ 4 จากการ ที่พระองค์ทรงรู้ขนบธรรมเนียมและมีการติดต่อกับต่างประเทศ พระราช พิธีนี้ได้ถือเป็นพระเพณีต่อมา จนทบกวันนี้ ด้านการศาสนา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงผนวช เป็นพระวชิรญาณเถระเสด็จธบดงค์ไปตามหัวเมืองต่างๆ ภาพเขียนโดย นายวบฒิชัย พรมมะลา พระองค์ทรงบ ารบงพระพบทธศาสนา คือกวดขันความประพฤติของ ภิกษบสามเณรให้อยู่ในพระธรรมวินัย และเป็นผู้น าทางปัญญาในสังคมด้วย
การเป็นผู้อธิบายความหมายของหลักธรรมในพระพบทธศาสนา และชักจูง ให้ชาวบ้านปฏิบัติตามหลักศีลธรรม ในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ยังทรง เป็นวชิรญาณภิกษบอยู่นั้น ได้ทรงตั้งคณะสงฆ์นิกายธรรมยบติขึ้นอันผิดแผก จากนิกายเดิมคือมหานิกายหน้าที่ส าคัญของพระธรรมยบติคือจะต้องศึกษา หาความรู้อันถ่องแท้เกี่ยวกับพระไตรปิฎก งะนั้นข้อประพฤติปฏิบัติที่ ส าคัญของพระนิกายนี้ คือการศึกษาพระธรรม และไม่น าความเชื่อไสย ศาสตร์มาเกี่ยวข้องกับพระพบทธศาสนา แต่มีผู้กล่าวหาว่าการตั้งคณะสงฆ์ ธรรมยบติกนิกายท าให้เกิดความแตกแยกร้าวงานขึ้นในวงการศาสนา น่า คิดเมื่อได้ศึกษาพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ใน เรื่องความพยายามฟื้นฟู จริยธรรมในพระศาสนา ว่าทรงเห็นความเหลว แหลกในวงการศาสนา ได้เห็นความประพฤติของสงฆ์ ได้เห็นศรัทธาใน การนับถือศาสนาในทางที่ผิด ธรรมยบติกนิกายจึงเกิดขึ้นด้วยเหตบผลเช่นนี้ มากกว่าเหตบผลเพื่อสร้างความแตกแยกในวงการพระศาสนา นอกจากการทรงท านบบ ารบงพระพบทธศาสนาแล้ว ยังได้ทรง พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์เผื่อแผ่ไปถึงศาสนาอื่นด้วย เช่นทรงพระ มหากรบณาธิคบณโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินริมแม่น้ าเจ้าพระยาบริเวณ ตอนใต้อู่บางกอกด๊อกให้ศาสนานิกชนคริสเตียนใช้เป็นที่สร้างโบสถ์ ทรง ยกย่องพระญวนนิกายมหายานอย่างเป็นทางการ และทรงสร้างวัดอบภัย ราช บ ารบงที่ตลาดน้อยให้เป็นราชพลี สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้คือทรงให้ เสรีภาพ ในการถือศาสนาแก่ประชาชนทบกคน และทรงแนะให้ใช้เหตบผล ในการเลือกถือศาสนา
ทรงบ ารบงพระพบทธศาสนาบ าเพ็ญพระราชกบศลเพิ่มเติมขึ้นกว่าธรรม เนียมเดิมหลายประการ นอกจากจะทรงสร้าง บูรณปฏิสังขรณ์วัดและ ปูชนียสถาน ทรงสร้างและจ าลองพระพบทธรูปและทรงส่งสมณทูตไปลังกา แ ล้ ว ยังท รงเป็นพ ร ะ มห า กษั ต ริ ย์ไท ยพ ร ะ อง ค์ แ ร กที่ท รง น า พระพบทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องในการพระราชพิธีต่าง ๆ ซึ่งแต่เดิมพระ ราชพิธีทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเรื่องพิธีพราหมณ์เพียงอย่างเดียว อาทิ เช่น พระบรมราชพิธีราชาภิเษก พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนา ขวัญ พระราชพิธีตรียัมปวาย พระราชพิธีโสกันต์ เป็นต้น ยกตัวอย่างพระ ราชพิธีจรดพระนังคัลนั้น โปรดฯ ให้ปลูกพลับพลาขึ้นหน้าท้อง สนามหลวงซึ่งเป็นสถานที่ท าพระราชพิธี แล้วสร้างหอพระเป็นที่ไว้พระ คันธารราษฎร์ ก่อนที่พระนาแรกนาจะกราบถวายบังคมลาไปเข้าพิธีก็ โปรดให้พระยาแรกนาฟังสวดเสียก่อน
สร้างภูเขาทองวัดสระเกศ พ.ศ. 2406 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง บูรณปฏิสังขรณ์ปูชนียสถานภูเขาทองวัดสระเกศที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาล ที่ 3 ยังไม่แล้วเสร็จ โปรดฯให้พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นมเหศวร ศิววิลาศเป็นแม่กองจัดสร้าง ท าเป็นภูเขาใหญ่ สูง 1 เส้น 18 วา 2 ศอก บนยอดให้ก่อเป็นองค์พระเจดีย์ บรรจบพระเขี้ยวแก้วและพระบรม สารีริกธาตบของพระพบทธเจ้าไว้บนยอดแล้วพระราชทานนามว่า “บรม บรรพต”
งานประติมากรรมด้านปั้นหล่อพระพบทธรูป พระนิรันตราย พระนิรันตราย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้ หล่อขึ้นด้วยทองค าเพื่อสวมทับพระนิรันตรายองค์เดิม ซึ่งทรงได้มาจากดง พระศรีมหาโพธิ เมืองปราจีนบบรี )ภาพจากหนังสือ “พระพบทธปฏิมาใน พระบรมมหาราชวัง”) งานประติมากรรมด้านปั้นหล่อพระพบทธรูปในรัชกาลที่ 4 ก่อก าเนิด พบทธศิลป์แนวใหม่นิยมปั้นหล่อพระประทานเป็นพระพบทธรูปขนาด เล็ก พบทธลักษณะพระพบทธรูปเป็นแบบเงพาะมีลักษณะโดยรวมใกล้เคียง ความเป็นมนบษย์มากขึ้น พระพบทธรูปที่งดงามในรัชกาลนี้คือ พระพบทธรูป
นิรันตราย พระพบทธสิหิงค์ นอกจากยังมีประติมากรรมที่ส าคัญอีกคือ องค์ พระสยามเทวาธิราช เป็นเทวรูปประทับยืนขนาดเล็ก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังยังทรงเป็นพระว ชิรญาณเถระได้ทรงค้นคว้าพระอรรถกถาบาลีเพื่อหาพบทธลักษณะและ ขนาดพระวรกายของพระพบทธเจ้าที่แท้จริง ท าให้พระวชิรญาณเถระได้ ทรงสร้างพระพบทธปริตรจากไม้ไผ่สาน ซึ่งเชื่อกันว่ามีขนาดของพระ วรกายที่คล้ายคลึงกับพระพบทธเจ้า และพระสัมพบทธพรรณีขึ้นในปีพ.ศ. 2373 ให้มีริ้วจีวรเป็นริ้วผ้าตามธรรมชาติ ตามแนวคิดสัจนิยมอันได้รับ อิทธิพลจากตะวันตกและที่ส าคัญคือไม่มีพระเกตบมาลา แต่ก็ยังคงรักษา มหาปบริสลักษณะ 32 ประการไว้อย่างครบถ้วน จน เ มื่ อพ ร ะ ว ชิ ร ญ าณ เ ถ ร ะท รง ขึ้น เ ถ ลิง ร า ช ส ม บั ติ เ ป็น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ก็ได้ทรงสร้าง พระพบทธรูปในธรรมยบติกนิกายอีกหลายองค์ แต่องค์ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดี ที่สบดคือ พระนิรันตราย อันทรงสร้างครอบพระกริ่งทองค าที่ทรงได้มาจาก ดงพระศรีมหาโพธิ เมืองปราจีนบบรี ซึ่งเป็นการปรับแก้พบทธลักษณะใน ธรรมยบติกนิกายครั้งสบดท้ายในช่วงพระชนมชีพของพระองค์ กล่าวคือ ปลายพระกรรณของพระพบทธองค์เริ่มสั้นเท่ามนบษย์ปกติ และจีวรยังดูเป็น ธรรมชาติมากกว่าที่ปรากฏในพระพบทธสัมพรรณีแต่จะถือว่าพบทธศิลป์ใน ธรรมยบติกนิกายนั้นได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกทั้งหมดเลยมิได้ เพราะ มหาปบริสลักษณะ อันเป็นความเชื่อของอินเดียที่ว่าด้วยลักษณะของ มหาบบรบษนั้นก็ยังคงอยู่
สร้างพระสยามเทวาธิราช พระสยามเทวาธิราช พ.ศ. 2410 พระองค์ทรงโปรดฯให้ พระองค์เจ้าประดิษวรการ นาย ช่างกรมช่างสิบหมู่ ปั้นรูปพระสยามเทวาธิราชเทวดาแล้วหล่อด้วยทองค า ทั้งพระองค์ ทรงเครื่องกษัตริย์ประทับยืนหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ ซ้ายยกเสมอพระอบระในท่าประทานพร มีขนาดสูง 8 นิ้วฟบต เพื่อทรง สักการะในฐานะที่เป็นเทพยดาผู้คบ้มครองพิทักษ์รักษาบ้านเมืองให้ผ่านพ้น เหตบร้ายให้รอดพ้นได้เสมอ
ทรงก าหนดวันมาฆบูชาเป็นวันส าคัญทางศาสนา ในเดือนกบมภาพันธ์ พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชด าริเห็นว่าวันมาฆบูชา เป็นวันส าคัญทางพบทธ ศาสนาวันหนึ่ง ซึ่งมีในวันเพ็ญกลางเดือน 3 เช่นเดียวกับวันวิสาขบูชา ที่ จัดให้มีขึ้นในรัชกาลที่ 2 เหมือนกันงันนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้มีขึ้นในวัด พระศรีรัตนศาสดารามเป็นครั้งแรกและให้ถือเป็นก าหนดในทางราชการ เป็นงานหลวงตลอดไป ต่อมาวัดอื่น ๆ ทั่วพระราชอาณาจักรได้จัดให้ มี และถือเป็นประเพณีสืบมา
ทรงถวายผ้าจ าน าพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชปรารภถึงพระอัฐแห่ง พระบรมวงศานบวงศ์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ตามพระอารามหลวงหลายพระ อารามต่าง ๆ กัน เพื่อที่จะทรงบ าเพ็ญพระราชกบศลอบทิศถวายตามควรแก่ โอกาส ดังนั้น พระองค์จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดการเรี่ยไรเงินจากพระบรม วงศานบวงศ์ พร้อมกับผ้าขาวและเครื่องไทยทานทั้งปวง มามอบถวาย เป็นของกลางไว้ที่วัดอรบณราชวราราม (วัดแจ้ง( และวัดราชโอรสา ราม (วัดจอมทอง( ซึ่งเป็นพระอารามหลวงแห่งแรกที่พระองค์ทรงก าหนด ในครั้งนั้น เมื่อทอดผ้าตามพระอัฐพระบรมวงศานบวงศ์ เสร็จแล้วภิกษบ สงฆ์ชักผ้าบังสบกบล แล้วถวายอนบโมทนา ต่อจากนั้นมาก็เลยเป็นประเทศ เพณีที่พบทธศานิกชนนิยมถวายผ้าจ าน าพรรษาตามอย่างสืบมา แต่การ
ถวายผ้าจ าน าพรรษานั้นจะต้องท าในเขตจีวรกาลก าหนดตั้งแต่วันแรม 1 ค่ า เดือน 11 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ า เดือน 4 การบ าเพ็ญกบศลเช่นนี้ ไม่ได้ท า กันเป็นงานใหญ่เหมือนการกบศลอื่น ๆ เป็นแต่เพียงท ากันเงียบ ๆ เพราะ ไม่ได้ก าหนดเหมือนวันวิสาขะหรือมาฆบูชา ซึ่งเป็นประเพณีส าคัญทาง พระพบทธศาสนา เป็นต้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานธรรมเทศนาให้ กรมการฝ่ายในฟังในวันวิสาขบูชา )ภาพจากหนังสือ “ประชบมภาพ ประวัติศาสตร์แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”) นับว่าพระองค์ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก ที่ควรจะได้ร าลึก ถึงพระกรบณาคบณแผ่เมตตาจิตถวาย เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตา ธรรม แด่ผู้ทรงพระกรบณาธิคบณแห่งพระพบทธศาสนาในประเทศอย่างยิ่ง
ด้านส่งเสริมภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ พระองค์ทรงใส่พระทัยในเรื่องการใช้ภาษาไทยของคนไทยทั้งหลาย เป็นอันมาก ส่อให้เห็นว่ามิได้สนพระทัยแต่เรื่องความทันสมัยเท่านั้น ได้ พระราชทานพระราชกระแสทักท้วง แนะน า ตักเตือนคนทบกระดับขั้น ตั้งแต่ขบนนางข้าราชการไปจนถึงชาวบ้านทั่วไปทั้งเรื่องการเขียน การ อ่าน การพูดและการใช้ภาษาไทย ยิ่งเป็นผู้รู้ก็จะยิ่งทรงกวดขันเป็น พิเศษ เนื่องด้วยคนเหล่านั้นจะเป็นตัวอย่างแก่คนอื่น ๆ อีกมากมาย และ จะกริ้วที่มีการพลิกแพลงการใช้ค ามากเกินไป ยกตัวอย่างค าราชา
ศัพท์ ค าราชาศัพท์นี้แต่เดิมมานั้นอาลักษณ์และมหาดเล็กจะจดจ าค า เพ็ดทูลของข้าราชการที่รู้แบบแผนมาแต่เดิมบ้างใช้ภาษามคธแทน บ้าง เลี่ยงค าหยาบคายและค าผวนเสียบ้าง เมื่อกราบทูลขึ้นไปโปรดว่าดีก็ จดไว้เป็นหลักฐานน ามาใช้เทียบเคียงกับค าอื่น ๆ ที่คล้ายกัน การเลี่ยง หรือการพลิกแพลงมากจนเกินไปอาจท าให้ภาษาเสียได้ ยกตัวอย่างเคย กริ้วเมื่อมีผู้เรียกดอกนมแมวว่าดอกถันวิฬาร์ เรียกช้างว่าสัตว์โต มีรับสั่ง ว่าพวกนี้เป็นพวก ใจกระดบกกระดิกคิดพิเรนทร์ ส าหรับผู้ใช้ภาษาไทยผิด ๆ นั้นทรงมีวิธีการลงโทษเพื่อให้จดจ าได้ หลายวิธีด้วยกันนับตั้งแต่ “ทรงแช่งไว้ว่าให้ศีรษะคนนั้นล้านเหมือนหลวง ตาในวันโกนเป็นนิจนิรันดร์ไป” “โปรดให้อาลักษณ์ปรับเสียคนละ เฟื้อง” จนกระทั่ง “ให้กวาดชานหมากและล้างน้ าหมาก ทั้งใน ทั้งนอก ท้องพระโรพระบรมมหาราชวัง”ดังนี้ เป็นต้น พระอัจงริยะทางภาษาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ คงจะ เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป เพราะตราบจนทบกวันนี้หนังสือหลักภาษาไทยยัง บรรจบการสอนเรื่องกับ แก่ แต่ ต่อ ซึ่งน ามาจากพระบรมราชาธิบายของ พระองค์ท่าน
“อริยกะ” อักษรที่รัชกาลที่ 4 “ทรงประดิษฐ์” พระราชหัตถลเขา รัชกาลที่ 4 ทรงอักษร อริยกะ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์อักษรอริยกะ นั้นส าหรับช่วงเวลาไม่ปรากฏชัดเจน สันนิษฐานกันว่าน่าจะทรงประดิษฐ์ ขึ้นหลังจากได้เสด็จมาครองวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว เพราะในเวลานั้นมีผู้ มาถวายตัวเป็นศิษย์เพื่อประพฤติปฏิบัติตามอย่างพระองค์เป็นจ านวน มากและเพื่อให้การศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยเป็นไปโดยสะดวกจึง น่าจะทรงประดิษฐ์อักษรอริยกะขึ้นส าหรับใช้แทน “อักษรขอม” ที่แต่เดิม ถือเป็น “อักษรศักดิ์สิทธิ์” ส าหรับเขียนเรื่องราวที่เกี่ยวกับ พระพบทธศาสนาทั้งที่เป็นภาษาบาลี )เรียกว่า “อักษรขอมบาลี”) และ ภาษาไทย )เรียกว่า “อักษรขอมไทย”)รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้มีความรู้ด้านการพิมพ์ ทรงรู้ปัญหาในการหล่อ
และการเรียงพิมพ์ ด้วยเหตบที่ทรงรู้ภาษาอังกฤษและภาษาละตินจึงน่าจะ ทรงดัดแปลงอักษรไทยและวิธีการเขียนโดยอาศัยแบบอย่างจาก “อักษร โรมัน” เป็นแม่แบบทั้งนี้เพราะลักษณะการวางรูปสระในระบบการเขียน ของอบษาคเนย์ เช่น อักษรขอม หรืออักษรไทย นิยมวางสระไว้ทั้งด้านหน้า ด้านบน ด้านล่าง และด้านหลังพยัญชนะ ซึ่งจะเกิดปัญหามากส าหรับการ เขียนหรือการพิมพ์ในระบบการเขียน “อักษรขอม” แล้วยิ่งมีความยบ่งยาก โดยเงพาะระบบอักษรที่มีทั้ง “พยัญชนะตัวเต็ม” และ “พยัญชนะตัว เชิง” ด้วยเหตบนี้เมื่อพระวชิรญาณเถระ )พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว( ทรงประดิษฐ์อักษรอริยกะขึ้น จึงน่าจะทรงพยายามที่จะตัด ความยบ่งยากในระบบการเขียนในอักษรขอมและอักษรไทยออกไปทั้งหมด และใช้ตามระบบการเขียนอักษร “โรมัน” ซึ่งง่ายกว่า ทั้งในด้านการเรียง พยัญชนะและสระ )ซึ่งเขียนเรียงไว้หลังพยัญชนะทั้งหมด( ดังนั้น “อักษร อริยกะ” จึงเป็นอักษรที่ได้รับอิทธิพลทางรูปแบบตัวอักษรและอิทธิพล ทางด้านอักขรวิธีในการเขียนจาก “อักษรโรมัน” นั่นเอง การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์อักษร แบบใหม่ขึ้นแล้วพระราชทานนามว่า “อักษรอริยะ” อาจเนื่องมาจาก ต้องการแสดงให้เห็นว่าอักษรประเภทนี้เป็นอักษรของ “ผู้เป็นอารยชน” ซึ่งอาจมีความหมายเป็นนัยยะที่แสดงถึงการปรับตัวเข้าหาความเป็น “อริยะ” หรือ “อารยะ” (อาจหมายถึงประเทศตะวันตก(
ดังนั้นการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์ อักษร “อริยกะ” ขึ้นใช้ นอกจากจะเพื่อความสะดวกในการศึกษาเล่า เรียนแทนอักษรขอมแล้ว )ซึ่งโดยความเป็นจริงอาจยบ่งยากกว่าเพราะต้อง ปรับกระบวนการเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด( ยังอาจมีนัยยะถึงการปรับเปลี่ยน เข้าหาความเป็นอารยะ )ความเป็นตะวันตก( อีกด้วย ความแพร่หลายและความเสื่อมของอักษร “อริยกะ” จารึกอักษรอริยกะ บรรทัดที่ 1 ของจารึกวัดราชประดิษฐ์ กรบงเทพมหานคร หลักฐานเกี่ยวกับความแพร่หลายของอักษรอริยกะมีไม่มากนัก ทราบเพียงว่ามีการน ามาใช้พิมพ์บทสวดมนต์บ้าง พิมพ์หนังสือปาฏิโมกข์ บ้าง และพิมพ์หนังสืออื่นๆ บ้าง และใช้แทนหนังสือใบลานที่เคย แพร่หลายมาแต่เดิม แต่ความแพร่หลายนี้ก็จ ากัดวงอยู่เงพาะในวัดบวร นิเวศวิหารเท่านั้นจารึกอักษรอริยกะที่มีใช้ให้เห็นอยู่อย่างชัดเจนใน ปัจจบบันคือ จารึกวัดราชประดิษฐ์ ซึ่งเป็นจารึกข้อความบนแผ่นหินอ่อน
พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวถึงการสร้าง วัดราชประดิษฐ์ ข้อความที่จารึกด้วยอักษรอริยกะ คือข้อความในบรรทัด ที่ 1 เป็นอักษรอริยกะ ภาษาบาลี เช่นเดียวกับบรรทัดที่ 40-42 ที่จารึก ต่อจากข้อความอักษรขอมภาษาบาลี และในข้อความตอนท้ายบรรทัดที่ 77-78 ของจารึกก็จารึกด้วยอักษรอริยกะเช่นเดียวกันต่อมาเมื่อ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลาผนวชขึ้นเสวยราชสมบัติ แล้ว การใช้อักษรอริยกะก็เสื่อมไปในที่สบด ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากมีรูปร่าง และระบบอักขรวิธีแตกต่างจากอักษรไทยมากจึงไม่ได้รับความนิยมและ ค่อยๆ เลิกใช้ไปต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจบลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้น ารูปอักษรไทยมาใช้เขียนภาษาบาลีได้ ความจ าเป็นที่จะใช้อักษร อริยกะเขียนแทนอักษรขอมก็หมดลงในที่สบด
ด้านภาษาต่างประเทศ แหม่มแอนนาครูสอนภาษาต่างประเทศในสมัยรัชกาลที่4 ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พระราชกรณียกิจที่ ส าคัญยิ่งคือการปรับประเทศให้ทันสมัย ซึ่งมีจบดมบ่งหมายอยู่ที่ “รู้จักและ ส้องเสพย์กฎหมายและอย่างธรรมเนียมอันดี ๆ ในบ้านเมือง” ทรงเห็น ตัวอย่างของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินเดีย พม่า ลาว เขมร มลายู และ จีนที่ด าเนินนโยบายผิดพลาดแข็งกร้าวกับประเทศจักรวรรดินิยมและใน ที่สบดแล้วย่อมหนีเภทภัยไม่พ้น การติดต่อกับประเทศจักรวรรดินิยมใน สมัยนั้นมิใช่เรื่องง่าย ๆ โดยเงพาะเมื่อชาติไทยถูกจัดเป็นชาติไทยป่า เถื่อน ไม่ได้เป็นชาติอารยะ ตราบนั้นชาติไทย จะถูกเบียดเบียนจนสูญสิ้น อิสรภาพ ดังนั้นด้วยปรีชาญาณของพระองค์ในการหยั่งรู้ท่าทีและทัศนคติ ของมหาอ านาจได้เปลี่ยนแปลงพัฒนาแก้ไข จนสามารถน าชาติไทยให้
รอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมได้ โดยการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ ทันสมัยพรองค์ทรงด าเนินการเป็นไปใน 2 ลักษณะ ควบคู่กันไปคือรับเอา ความเจริญแบบตะวันตกมาใช้ในสังคมไทย และปรับปรบงของเดิมที่มีอยู่ให้ เหมาะสมกับสถานการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลง ขั้นตอนแรกที่ทรงด าเนินการคือการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพื่อจะเป็น สื่อในการแลกเปลี่ยนเอาความทันสมัย ล าพังพระองค์เองทรงศึกษา ภาษาอังกฤษอยู่กับ มร. คาสเวลล์ หมอสอนศาสนา เป็นเวลา 6 ปี ทรง สนับสนบนโรงเรียนของหมอสอนศาสนาที่เข้ามาเปิดในประเทศไทยเพื่อ อบรมสั่งสอนให้คนไทยมีความรู้ในภาษา วรรณคดี และวิทยาการของ ตะวันตกทรงส่งเสริมให้เจ้าจอม พระราชโอรสธิดา ได้รับการศึกษา ภาษาอังกฤษ เมื่อทรงครองราชย์แล้วประมาณ 3 เดือน ได้โปรดให้ภรรยา ของหมอสอนศาสนา เช่น น างบรัดเล นางแมททูน เข้าไปสอน ภาษาอังกฤษในพระบรมมหาราชวัง และต่อมาได้ทรงจ้างแหม่ม แอนนา เลียวโนเวนส์ เป็นครูในพระบรมมหาราชวังอย่างเป็นทางการ นอกจากการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ยัง ทรงพระกรบณาโปรดเกล้าฯส่งข้าราชการระดับบริหารไปศึกษางานที่ จ าเป็นส าหรับราชการไทย ณ ต่างประเทศด้วย เช่น ส่งขบนมหาสิทธิโวหาร ออกไปดูการพิมพ์ ณ ต่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2404 และส่งหมื่นจักรวิจิตร ไปเรียนแก้นาฬิกา