ด้านการอนบรักษ์และฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทย ด้านการละครและการละเล่นโขน การละเล่นโขนในสมัยรัชกาลที่4 พระราชกรณียกิจที่ส าคัญอันควรจะกล่าวถึงในเรื่องการอนบรักษ์ และฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทยอย่างหนึ่ง คือการพระราชทานพระบรมรา ชานบญาตให้หัดละครผู้หญิงกันได้ทั่วไป และพระราชทานพระบรมรา ชานบญาตให้น าบทประพนธ์ไปเล่นได้ เป็นเหตบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการ เล่นละครซึ่งเดิมผู้ชายเล่นมาก่อนเป็นผู้หญิงเล่นกันทั่วไปไม่จ าเป็นต้อง เป็นเงพาะละครหลวงเท่านั้น ครั้นละครผู้หญิงแพร่หลายขึ้นเป็นที่ถูกอก ถูกใจคนดู เจ้าของงานที่ประสงค์ให้งานของตนครึกครื้นหรือแม้กระทั่ง เจ้าของโรงบ่อนที่ต้องการให้คนเข้าบ่อนมาก ๆ ต่างก็หาละครผู้หญิงไป แสดง ละครที่ได้รับงานบ่อย ๆ เจ้าของโรงก็ได้รับผลประโยชน์มาก จึง
ด้านจิตรกรรมไทย ขรัวอินโข่ง จิตรกรรมไทยในสมัยรัชกาลนี้ได้น าวิธีเขียนภาพแบบตะวันตกมา ผสมผสานโดยใช้ กฎ เกณฑ์ทัศนียวิทยามีระยะใกล้ - ไกลแสดงความลึก ในแบบ 3 มิติ ตลอดจนการจัดองค์ประกอบให้ บรรยากาศและสีสัน ประสานสัมพันธ์กับรูปแบบตัวภาพเป็นจิตรกรรมไทยแนวใหม่แสดง สักษณะศิลปะแบบอบดมคติและศิลปะแบบเรียลลิสท์ จิตรกรเอกในสมัย รัชกาลนี้คือ พระอาจารย์อินโข่งหรือขรัวอินโข่ง ผู้น าเอาจิตรกรรมแบบ ตะวันตกที่เกี่ยวกับการจัดองค์ประกอบ ผู้คนการแต่งกาย ตึก บ้านเมือง ทิวทัศน์ การใช้สี แสงเงาบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกในระยะและความลึก มาใช้อย่างสอดคล้องกับเรื่องที่ใช้แสดงออกเกี่ยวกับคติและปริศนาธรรม
บาทหลวง” ในภาพปริศนาธรรมฝีมือขรัวอินโข่ง จิตรกรรมฝาผนัง ภายในพระอบโบสถวัดบวรนิเวศวรวิหาร งานจิตรกรรมลักษณะนี้ศึกษาได้ที่พระ อบโบสถวัดบวรนิเวศน์วิหาร หอราชกรมานบสรณ์ หอราชพงศานบสร นอกจากนี้ยังมีงานจิตกรรมอื่น ๆ เช่น ภาพช้าง ตระกูล ต่าง ๆ ในหิมพานต์ที่หอไตรวัดพระเชตบพนวิมลมัง คลาราม ภาพชีวิตชาวบ้านที่พระอบโบสถวัดมัชฌิมาวาส จังหวัดสงขลา ภาพสาวมอญ จิตรกรรมบนบานหน้าต่างอบโบสถวัดบางน้ าผึ้งนอก พระ ประแดง
ใช้ “สยาม” เป็นชื่อประเทศ พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง พระราชด าริเห็นว่าการที่ใช้ค าว่า “กรบงศรีอยบธยา” นั้นเป็นพระนามของ ราชธานีเก่า ไม่ตรงกับนามของประเทศเวลานี้ อนึ่ง พระเจ้ากรบงสยามใน รัชกาลก่อนนิยมออกชื่อประเทศเป็นทางราชการที่ติดต่อกับต่างประเทศก็ ว่า “กรบงศรีอยบธยา” ส่วนบรรดานานาประเทศเวลานี้นิยมเรียกอยู่ว่า ประเทศสยามทั่วกันแล้ว ดูเป็นการลักลั่น มีชื่อไม่เป็นระเบียบที่แน่นอน และสิ้นสบดลงได้ ประจวบกับเวลานี้อังกฤษได้ส่งทูตเข้ามาท าสัญญาทาง พระราชไมตรีด้วย ครั้นจะใช้นามเดิมเป็นการไม่เหมาะสม จึงเห็นควรใช้ นามของประเทศว่า “ประเทศสยาม” ตามนามที่ต่างประเทศเรียกกัน จึง ได้มีประกาศให้ใช้ค าว่า “สยาม” เป็นนามทางราชการตั้งแต่ พ.ศ. 2398 สืบไป
ด้านการเงิน เงินพดด้วงสมัยรัชกาลที่ 4 ส่วนทางด้านเงินตราซึ่งเป็นของคู่กันกับเรื่องการค้านั้น แต่เดิมไทย ใช้เงินเบี้ยซึ่งเป็นเปลือกหอย และเงินพดด้วงที่เรียกว่าเงินบาท เมื่อ ประกาศเปิดการค้าเสรี การค้าขายในพระนครเจริญรวดเร็วเกินคาดหมาย เงินตราชาวต่างประเทศและทองค าก็เข้าประเทศมากขึ้นทบกปี เรื่องนี้ นับว่ามีปัญหาในการค้าขาย กล่าวคือ จะรับเงินไทย ชาวต่างประเทศต้อง ให้กงสบลไปแลกเงินพดด้วงจากพระคลังหลวง เมื่อราษฎรได้เงินพดด้วง มาแล้ว แทนที่จะใช้สอยหมบนเวียนกลับเก็บฝังดินไว้ ใช้เงินเหรียญ ต่างประเทศจ่ายภาษีอากร ท้องพระคลังจึงมีแต่เงินตราต่างประเทศและ ขาดแคลนเงินไทย ปัญหานี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ทรงแก้ด้วย การปรับปรบงระบบเงินตราของไทยให้ได้มาตรฐาน ประกาศพิกัดอัตรา
แลกเปลี่ยนเงิน ประกาศชี้แจงให้ราษฎรเข้าใจและปรับตัวให้รู้จักใช้ เงินตรา เหรียญเงินตอกตราพระแสงจักร พระมหามงกบฎ พระเต้า ราคาสลึง การเปลี่ยนแปลงเงินตรา ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว โปรดให้ท าหนังสือสัญญากับชาวยบโรปแล้ว การค้าขายในพระ นครเจริญรวดเร็วเกินความคาดหมาย แต่ก่อนมีเรือก าปั่นชาวยบโรปเข้ามา ค้าขายในพระนครเพียงปีละ 12 ล า แต่เมื่อท าหนังสือสัญญาแล้ว มีเรือ ก าปั่นเข้ามาค้าขายถึงปีละ 200 ล า พ่อค้าชาวยบโรปเอาเงินเหรียญ ดอลลาร์ ซึ่งใช้ซื้อขายทางเมืองจีน เข้ามาซื้อสินค้าราษฎรไทยไม่ ยอมรับ ฝรั่งจึงต้องเอาเงินเหรียญดอลลาร์ มาขอแลกกับรัฐบาลเงินพด ด้วงนั้นช่างหลวงท าที่พระคลังมหาสมบัติ เตาหนึ่งท าได้ราววันละ 140 บาท เพราะท าด้วยเครื่องมือมิใช่เครื่องจักร เตาหลวงมี 10 เตา ระดมกัน ท าแต่เงินพดด้วง ได้แค่วันละ 1,400 บาท เป็นอย่างมากไม่พอให้ฝรั่งแลก
ตามความประสงค์ พวกชาวกรบงพากันร้องทบกข์ว่า เป็นการเสีย ผลประโยชน์ชาวต่างประเทศที่เข้ามาท าการค้าขาย พระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชด าริจะเปลี่ยนเงินตราสยามเป็น เหรียญให้ท าด้วยเครื่องจักร ในขณะที่ก าลังรอเครื่องจักรอยู่นั้นโปรดให้ ประกาศพระบรมราชานบญาตพระราชทานให้ราษฎรรับเหรียญชาว ต่างประเทศแล้วเอามาแลกเงินบาทที่พระคลังมหาสมบัติได้โดยอัตรา 3 เหรียญ ต่อ 5 บาท ราษฎรก็ยังไม่พอใจจะรับเงินดอลลาร์ จึงโปรดให้เอา ตรามงกฎและตราจักร ซึ่งส าหรับตีเงินพดด้วง ตีลงเป็นส าคัญในเหรียญ ดอลล่าร์ให้ใช้ไปพลางก่อน ก็ยังไม่มีใครพอใจ ครั้นถึงปี พ.ศ. 2403 การ สร้างโรงกษาปณ์ส าเร็จ ท าเงินตราสยามเป็นเหรียญตรามงกบฎกับงัตรทั้ง สองข้างด้านหนึ่ง ตามช้างเผือกอยู่ในวงจักรด้านหนึ่ง เป็นเหรียญ 4 ขนาด คือ บาทหนึ่ง กึ่งหนึ่ง สลึงหนึ่งเฟื้องหนึ่ง และท าเหรียญทองค า ราคาอันละ 10 สลึงด้วย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อประกาศใช้เงินตราอย่าง เหรียญแล้ว เงินพดด้วงก็ยังโปรดอนบญาตให้ใช้อยู่แต่ไม่ท าเพิ่ม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชด าริในการ แก้ปัญหาวิกฤตการณ์เงินตราขาดแคลนในครั้งนี้ ด้วยการโปรดเกล้าฯ ให้ จัดพิมพ์ “เงินกระดาษ” น าออกใช้หมบนเวียนในระบบเงินตราของ ประเทศสยามเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2396 เรียกว่า “หมาย” หรือ “หมาย แทนเงิน” โดยมีพระราชประสงค์ให้ราษฎรใช้หมายแทนการใช้เงินพดด้วง แต่กลับไม่เป็นที่นิยมในหมู่ราษฎร ผู้ที่มีหมายในครอบครองมักรีบน าไป ขึ้นเงินที่พระคลังมหาสมบัติในชั่วระยะเวลาเพียงไม่นานนัก เนื่องจาก ราษฎรยังไม่คบ้นเคยและไม่แลเห็นประโยชน์อันใดในการใช้เงินกระดาษ แทนเงินพดด้วงที่เป็นเงินตราหลักของประเทศสยามมาแต่กาลก่อน
ด้านการตัดถนน ถนนเจริญกรบง การตัดถนน การค้าขายในรัชการนี้มีกิจการกว้างขวางกว่าเดิม และ ผู้มาติดต่อค้าขายส่วนมากเป็นชาวยบโรป พวกนี้ได้เข้าชื่อกันท าเรื่องราว ถวายว่า “ชาวยบโรปเคยขี่รถขี่ม้าเดินทางตามท้องถนน เมืองไทยไม่มีถนน ให้ใช้รถใช้ม้า” จึงโปรดสร้างถนนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2404 มีถนนเจริญกรบง เป็นสายแรก และต่อ ๆ มา ก็โปรดให้สร้างถนนบ ารบงเมือง เฟื่องนคร และ ถนนพระราม 4
ด้านการขบดคลอง คลองด าเนินสะดวก ขบดคลองในสมัยรัชกาลที่ 4 การขบดคลอง โปรดให้ขบดคลองเพิ่มขึ้นอีก ทั้งในกรบงและหัว เมือง ซึ่งก็มีคลองผดบงกรบงเกษม คลองหัวล าโพง คลองภาษีเจริญ คลอง ด าเนินสะดวก ฯลฯ
ออกราชกิจจานบเบกษา ก่อนหน้าที่ออกหนังสือราชกิจจานบเบกษานั้นได้มีการเขียนข่าว ทางราชการประกาศ (Coust) ประกาศก่อนแล้วโดยแจกจ่ายไปตาม กระทรวงกรมต่าง ๆ แต่ยังไม่ทั่วถึงกันได้ ตามกระทรวงกรมต่าง ๆ ที่ใบ แถลงข่าวราชการมีไปไม่ถึงต้องไปลอกคัดเอาเอง ณ หอหลวง ภายหลังได้ โปรด ฯ ให้สร้างโรงพิมพ์หลวงขึ้นในพระราชวัง (อยู่ตรงราวพระที่นั่งภานบ มาศจ ารูญ( เรียกโรงพิมพ์นั้นว่า “โรงอักษรพิมพการ” ตั้งแต่นั้นไม่ต้องไป คอยลอกคัดอย่างแต่ก่อน หนังสือราชกิจจานบเบกษา ที่ออกครั้ง นั้น พ.ศ. 2400 โดยมากเป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวฯ และมีการประกาศข่าว ต่าง ๆ ของราชการด้วย
การทูตติดต่อต่างประเทศ เซอร์ จอห์น บาวริ่ง เข้ามาท าสัญญาให้อังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เซอร์จอห์น เบาริ่ง อัครราชทูตอังกฤษ เข้าเฝ้า )ภาพจิตรกรรมเทิดพระเกียรติกษัตริย์ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ วาดโดย นคร หบราพันธ์ ปัจจบบันแขวนอยู่ภายในอาคารรัฐสภา( ฝ่ายอังกฤษเมื่อได้ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบซึ้งและสัดทัดภาษาอังกฤษมาแล้วเป็นอย่างดี อนึ่ง พระองค์ทรงมีพระทัยนิยมต่อการที่จะสมาคมกับฝรั่งอยู่แล้ว เข้าใจว่า รัฐบาลไทยคงไม่ถือคติอย่างจีนเหมือนแต่ก่อน จึงเลือกได้เซอร์ ยอห์น บาวริง (Sir John Bowring) เจ้าเมืองฮ่องกงให้เป็นอัครราชทูต
เชิญพระราชสาสน์ของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียพร้อมด้วยเครื่องราช บรรณาการเข้ามาเสร็จขอท าหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีด้วย อังกฤษมาท าสัญญาครั้งนี้มีทั้งผลดีและผลร้ายกล่าวคือถ้าไทยขัด ขืนไม่ยอมอนบโลมแก้สัญญาให้ จะท าอย่างเมื่อเซอร์ เจมส์ บรบก เข้ามา คราวที่แล้วไทยจะต้องรบกับอังกฤษ แต่ถ้าหากหวาดเกรงอังกฤษแล้วก็คง จะเสียเปรียบในกระบวนสัญญาเป็นผลร้ายต่อไป ทางที่จะได้ผลดีจึงต้อง ให้เป็นการปรึกษาหารือปรองดองมีไมตรีต่อกันทั้ง 2 ฝ่าย งะนั้นการ ที่ เซอร์ ยอห์น บาวริง มาครั้งนี้เห็นว่าทางฝ่ายรัฐบาลอังกฤษเลือกได้คน ที่เหมาะสมแล้ว เพราะท่านเซอร์ผู้นี้ก็เป็นคนที่งลาดมีไหวพริบทั้งทาง ปฏิภาณและพูด ฟังค าพูดคนอื่นได้ตั้ง 100 กว่าภาษา ส่วนตัวท่าน เซอร์ เองพูดได้กว่า 50 ภาษา และเป็นราชทูตอังกฤษคนแรกที่เข้ามา เมืองไทย ครั้งนี้ผิดกับ ดร.ยอห์น ครอว์เฟอรดหรือกับตันเฮนรี เบอร เนย์ ซึ่งเป็นเพียงทูตของขบนนางผู้ส าเร็จราชการอินเดียวส่งมา ส่วน เซอร์ เจมส์ บรบกนั้นเป็นแต่ผู้ถือหนังสือของเสนาบดีกว่ากระทรวงการ ต่างประเทศเท่านั้น หาใช่ราชทูตที่มาจากราชส านักของพระเจ้าแผ่นดิน อังกฤษไม่ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเจ้าของเมือง จะต้องใช้ความระมัดระวัง ให้มากเพราะถือกันว่าทูต ก็คือ ผู้แทนพระเจ้าแผ่นดินต่างประเทศ ถ้า เจ้าของเมืองไม่รับรองหรือประพฤติไม่สมแก่เกียรติยศแล้ว จะเป็นการ หมิ่นประมาท ไม่นับถือพระเจ้าแผ่นดินของเขา ทางพระราชไมตรีอาจจะ หมองหมางกันได้
ส่งราชทูตไปอังกฤษ คณะราชทูตไทยเข้าเฝ้าสมเด็จพระนางวิคตอเรีย วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2400 เวลา 15 น.เศษ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้พระยามนตรีสบริ ยวงศ์ (ชบ่ม บบนนาค( เป็นราชทูต จมื่นสรรเพธภักดีเป็นอบปทูต จมื่นมณ เฑียรพิทักษ์เป็นตรีทูตหม่อมราโชทัย (กระต่าย( เป็นล่าม ไปเจริญทาง พระราชไมตรียังประเทศอังกฤษ ถวายราชสาสน์ และเครื่องราช บรรณาธิการแด่สมเด้จพระนางวิคตอเรีย ด้วย พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะเจริญสัมพันธไมตรีสนิทยิ่งขึ้นจึงเป็นเป็น
การสมควรที่จะแต่งราชทูตออกไปเป็นการตอบแทนบ้าง นับเป็นครั้งแรก ที่ราชทูตไทยไปทวีปยบโรปในสมัยกรบงรัตนโกสินทร์ คณะทูตที่ไปนี้กลับมา เมื่อ พ.ศ. 2401 พร้อมด้วยเครื่องจักรที่ให้ซื้อมาจัดสร้างโรงกษาปณ์ ท า เงินเหรียญบาทสลึงและเฟื้องจ าหน่ายแทนเงินพดด้วง สัญญาพระราชไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในรัชกาลที่ 4 อาทิ วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2399 มิสแฮรี่เยเนราล กงสบลประเทศ ญี่ปบ่น ทูตอเมริกาได้เข้ามาท าหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วย การค้าขาย, การเมือง, การพิกัดอัตราภาษีและตั้งกลสบลในประเทศสยาม วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2399 มองซิเออร มองติคนี ทูตฝรั่งเศสเข้า มาท าหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี ว่าด้วยการค้าการพิกัดอัตราภาษี การเมืองและการตั้งกลสบลในประเทศสยาม ได้ทรงอนบญาต และให้สร้าง วัดสร้างโรงสอนเด็ก ๆ และโรงรักษาคนป่วยไข้ กับให้คณะบาดหลวงสอน ศาสนาได้อีกด้วย แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายสยาม วันที่ 25 ตบลาคม พ.ศศ. 2401 ประเทศงอนซิเอติกเรปบปบลิกมาท า หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าเมืองการภาษาษีและตั้ง ศาล อนบญาตให้ตั้งได้ วันที่ 10 กบมภาพันธ์ พงศ. 2401 พิเรนทร์ทูตโปรตบเกสมาท า หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าการเมืองการภาษีและขอตั้ง กงสบล ณ ประเทศสยาม
วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2401 พระเจ้าเฟรเดริกที่ 7 ประเทศ เดนมาร์คส่งผู้แทนเป็นทูตเข้ามาท าหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี ว่า ด้วยการค้าขาย การเมือง พิกัดอัตราภาษาสินค้าและให้ตั้งกงสบลได้ วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2403 โยนฮอน เกอร์เชียดทูตเนเธอรแลนด์ เข้ามาท าหนังสือ สัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าการพิกัดอัตรา ภาษี ได้ทรงอนบญาตและให้ตั้งกงสบลได้ วันที่ 7 กบมภาพันธ์ พ.ศ. 2405 คอลออย เลนเบอร์ต ทบตเยอรมันได้ เข้ามาท าสัญญาเจริญ ทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าขายการเมือง การ พิกัดอัตราภาษีและตั้งกงสบล ได้มีพระบรมราชานบญาตให้ตั้งได้ วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2405 ประเทศสวีเดนนอร์เวย์ ส่งผู้แทน มาท าหนังสือสัญญาว่าถึงการค้าขาย การเมือง การภาษี และขอตั้งกงสบล ในประเทศสยาม วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2410 เบลเยี่ยมส่งผู้แทนมาท าหนังสือ สัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้า การภาษี การเมือง และการตั้ง กงสบล
ส่งคณะทูตไปฝรั่งเศส คณะทูตไทยเฝ้าพระเจ้านโปเลียนที่ 3 เวลานั้นรัฐบาลฝรั่งเศสได้น าเรือกลไฟเข้ามาในประเทศสยาม มี ความประสงค์จะรับราชทูตไทยไปประเทศฝรั่งเศส ได้ให้เจ้าพนักงานไทย น าความเข้ากราบทูลพระกรบณาให้ทรงทราบพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวทรงพอพระทัยในทางพระราชไมตรีอยู่แล้ว จึงได้มีพระบรม ราชานบมัติโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์รัตน์ราชโกษาธิบดีเป็น ราชทูต จมื่นไวยวรนารถเป็นอบปทูต พระณรงค์วิชิตเป็นตรีทูต เชิญพระ ราชสาสน์คบมเครื่องราชบรรณาธิการออกไปประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 7
กบมภาพันธ์ เพื่อถวายแก่พระเจ้านโปเลียนที่ 3 คณะทูตที่ไปนี้กลับถึง กรบงเทพฯ วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2404 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เซอร์ จอห์น บาวริงกงสบลอังกฤษในราชส านักกรบงเทพฯ เป็นทูตไทย ท าสัญญาพระราชไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ที่จะมาท ากับกรบงสยาม เมื่อ โปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็นทูตแล้วก็มีประเทศเยอรมัน, สวีเดน, นอรเวย์, เบล เยี่ยมอิตาลี และสเปน ต่างขอท าหนังสือสัญญาพระราชไมตรี ซึ่งท่าน เซอร์ได้รับหน้าที่ทูลถวายพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ใน พ.ศ. 2401 ปีนี้เริ่มมีพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ได้ ประกาศให้ถือเป็นประเพณีนิยมตลอดไปทบกปีธรรมเนียมจับมืออย่างชาติ ตะวันตกครั้งแรก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มใช้ธรรมเนียม ฝรั่ง โดยพระราชทานพระหัตถ์ ให้แก่ข้าทูลละอองธบลีพระบาทจับมือสั่น เป็นครั้งแรก พ.ศ. 2409 และครั้งนั้นได้พระราชทานพระหัตถ์ให้เจ้ากา วิโลรส เจ้าประเทศราชแห่งพระนครเชียงใหม่จับเป็นคนแรก ซึ่งขณะที่ได้ ลงมาเฝ้าทูลละออกธบลีพระบาท ภายหลังพระองค์จึงได้พระราชทานให้ โอกาสแก่ผู้อื่นจับพระหัตถ์สั่นเป็นล าดับไป ถือเป็นขนบธรรมเนียม สืบเนื่องใช้มาจนทบกวันนี้
ส่งคณะทูตไปกรบงปักกิ่ง วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวรับสั่งให้แต่งทูตไปกรบงปักกิ่งแจ้งข่าวที่สมเด็จเชษฐาธิราชเสด็จ สวรรคตพร้อมกับบ้านเมืองได้ผลัดแผ่นดินใหม่ เมื่อคณะทูตไปเมือง กวางตบ้งได้มีหนังสือบอกเข้าไปที่เมืองปักกิ่ง และได้รับหนังสือตอบจาก เมืองจีนความว่า เป็นเวลาที่พระเจ้าเตากวางสวรรคตเช่นกัน พระเจ้าฮ า ฮองราชบบตรก าลังไว้ทบกข์จะออกมารับทูตไทยนั้นไม่ได้ คณะทูตที่ไปถือ โอกาสค านับพระศพพระเจ้าเตากวาง จบดธูปเทียนของหอมที่มีอยู่นั้นที่ เมืองกวางตบ้งส าเร็จแล้วจึงกลับ
พระเจ้าฮ าฮองได้มีราชสาสน์ตอบเข้ามาถวายพระเจ้ากรบงสยาม ด้วย ขณะที่ทูตเดินทางถึงเมืองเอียงเชียงกบยได้ถูกผู้ร้ายปล้นเก็บขนสิ่งของ ไปจนสิ้น เมื่อถึงเมืองกว้างตบ้ง เรื่องราวทราบถึงเจ้าเมืองกรมการ ๆ จึง จัดการช าระให้สืบหาตัวผู้รายแต่ไม่ได้ เมื่อคณะทูตถึงกรบงเทพฯ แล้ว ตั้งแต่นั้นมาไทยมิได้ส่งทูตไปเมืองจีนอีกเลย ส่งสมณทูตไทยไปลังกา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพบทธเลิศหล้าฯ และแผ่นดิน พระนั่ง เกล้าฯ รวมทั้ง 2 ครั้งด้วยกันที่กรบงสยามได้ยืมหนังสือบาลีเก่าทาง พระพบทธศาสนามาจากลังกา และทั้ง 2 ครั้งนั้นชาวลังกาก็ได้ฝากสิ่งของ มาทูลเกล้าฯ ถวายเป็นหลายอย่าง ทางกรบงสยามมิได้พระราชทานสิ่งของ ให้ไปเป็นการตอบแทนเลย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง เห็นว่าเวลานี้สมควรจะมีไปพระราชทานเป็นการตอบแทนบ้าง ดังนั้น พ.ศ. 2395 จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้สมณทูตไทยไปลังกาคืนหนังสือบาลีเก่าที่ ยืมมาทั้ง 2 คราวพร้อมกับฝากสิ่งของไปพระราชทานแก่ชาวลังกา ด้วย จนถึงพ.ศ. 2396 คณะสมณทูตไทยจึงได้เดินทางกลับ
ด้านตบลาการ ด้านการตบลาการก็ทรงแก้ไขให้เป็นแบบตะวันตกโดยพระราชทาน พระบรมราชานบญาตให้เจ้านายและขบนนางสามารถเลือกสรรคนดีมีความรู้ มาเป็นตบลาการชั้นสูงตามแบบอารยธรรมตะวันตกทั้งโปรดให้พิจารณาคดี ความได้เป็นไปอย่างยบติธรรมจริง ๆ แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นไปตาม แบบเดิม คือศาลต่าง ๆ กระจัดกระจายอยู่ตามกรมกองต่าง ๆ มิได้ รวบรวมเป็นกระทรวงเดียวกัน อีกทั้งโปรดให้ตั้งศาลต่างประเทศ และใน รัชกาลนี้อีกเช่นกัน ที่มีศาลกงสบลเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อพิพากษา คดีอาญาที่เกิดขึ้นระหว่างคนไทยกับคนในบังคับของต่างประเทศ ด้าน กฎหมาย มีกฎหมายตราออกใช้ในรัชกาลนี้มาก ซึ่งมีทั้งกฎหมายว่าด้วย อาญาหลวง ครอบครัวผัวเมีย มรดกทรัพย์สิน วิธีพิจารณาคดีความและมี การประกาศต่าง ๆ ที่โปรดฯประกาศออกมาเพื่อความสงบเรียบร้อยของ ประชาชน เช่น ประกาศว่าด้วยอนบญาตให้ใช้ชาวกรบงรับจ้างฝรั่ง ได้ ประกาศว่าด้วยละครผู้หญิงและอื่น ๆ ในด้านเศรษฐกิจพระองค์ก็ ทรงปรับปรบงหลายด้าน ด้วยการเลิกระบบการค้าแบบผูกขาด ซึ่งเป็น ระบบการค้าแบบดั้งเดิมของไทย มีการผูกขาดสินค้าต้องห้ามหลาย ชนิด โดยเงพาะอย่างยิ่งข้าว ระบบการค้าแบบใหม่นี้เรียกว่าระบบการค้า เสรี เพิ่มปริมาณผลผลิตข้าวที่ส่งออก พระองค์ทรงท าหน้าที่ควบคบม การผลิตและการค้าให้เป็นไปด้วยดี ทรงยึดหลักให้ประเทศมีข้าวบริโภค อย่างเพียงพอเสียก่อนจึงจะเปิดขายต่างประเทศ และทรงตักเตือนราษฎร ล่วงหน้าถึงสภาพดินฟ้าอากาศโดยผ่านประกาศต่าง ๆ และทรงแนะน าให้ ราษฎรท านาตามช่วงระยะเวลาที่ก าหนดให้
ด้านการทหาร โป รดให้มีก ารฝึกหัดแบบทห ารยบโ รป โดยจ้ าง ร้อยเอกอิม เปย์ นายทหารนอกราชการของกองทัพบกอังกฤษ ประเทศอินเดียมาเป็น ครูฝึกเมื่อปี พ.ศ. 2394 และจัดกองทหารประจ าพระองค์ ออกเป็น 2 กอง ได้แก่ “กองทหารรักษาพระองค์ปืนปลายหอกข้าหลวงเดิม” และ กองทหารหน้า” มีการแบ่งชั้นบังคับบัญชา เช่นเดียวกับทหารในปัจจบบัน ทบกอย่าง ในปี พ.ศ. 2395 ร้อยเอก โทมัส ยอร์ช นอกส์ นายทหารนอก ราชการชาวอังกฤษอีกคนหนึ่ง ก็เดินทางเข้ามาเมืองไทยเพื่อสมัครเป็นครู หัดทหารบ้าง จึงโปรดฯให้ไปฝึกทหารวังหน้า
อย่างไรก็ดี ทหารที่ฝึกไว้ครั้งนั้น ก็เป็นแต่เพียงทหารรักษา พระองค์ ส่วนทหารรบเป็นการป้องกันพระราชอาณาจักร ยังคงเป็นไป ตามแบบโบราณอยู่ ทหารเรือ ทรงท านบบ ารบงกองทัพเรือ โดยสร้างเรือ ชนิดที่ใช้เครื่องจักรกล โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2401 ทรงตั้งกรมอรสบม พล เพื่ออ านวยการต่อเรือก าปั่น และบังคับบัญชาเรือกลไฟของหลวง เรือ ที่ต่อในรัชกาลนี้ ที่ส าคัญ ๆ มีเรือสยามอรสบมพล เรือสงคราม ครรชิต เรือ ศักดิ์สิทธาวบธ เรือราญรบกไพรี เรือศรีอยบธยาเดช เรือสยามูปสดัมภ์ ทรงตั้ง กรมเรือกลไฟ เมื่อ พ.ศ. 2411 ส าหรับลูกเรือก็ได้พวกพ้องอาสาจาม และ เกณฑ์มอญไพร่หลวงมาฝึกหัดเป็นทหารบรีน ส่วนกัปตันต้นหนก็ต้องจ้าง ชาวต่างประเทศ ต ารวจ ต ารวจนครบาล มีขึ้นครั้งแรกเมือปี พ.ศ. 2404 จบดประสงค์ก็เพื่อฝึกคนไว้ป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของชาวยบโรป และมลายู สถานที่ต ารวจออกไปปฏิบัติงานเป็นครั้งแรกนั้น ได้แก่ ตลาด
ท้องส าเพ็ง ส่วนครูฝึกก็เป็นชาวยบโรป และชาวมลายูที่เคยเป็นต ารวจมา ก่อนนั่นเอง ต่อเรือกลไฟหลวง เรือสยามอรสบมพล พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ เจ้าพระยาศรีสบริยวงศ์ )ช่วง บบนนาค( จัดการต่อเรือกลไฟหลวง ส าหรับใช้เป็นประโยชน์แก่ประเทศ เรือที่ต่อส าเร็จเวลานั้น ชื่อสยาม อรสบมพล มีจักรข้างยาว 75 ฟบต เงพาะเครื่องจักร และกลไกนั้นสั่งมาแต่ ประเทศอังกฤษ ส่วนล าเรือนั้นต่อที่กรบงเทพฯ เมื่อได้เรือสยามอรสบมพลใช้ ในทางราชการเป็นที่สบพระราชหฤทัยแล้ว จึงได้โปรดฯ ให้เจ้าพระยาศรี
สบริยวงศ์จัดการสร้างต่อไปอีกหลายล า ส่วนเรือใบที่เคยต่อและใช้อยู่แต่ ก่อนทรงมีพระราชด าริจะเลิกเสียส่งคณะราชทูตไปอังกฤษครั้งแรก สงครามกับพม่าครั้งสบดท้าย เมืองเชียงรบ้ง เมืองเชียงรบ้งได้มาเป็นเมืองขึ้นของไทยอีกและได้ทูลขออาสาจะตี เมืองเชียงตบงมาถวายให้ด้วย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ทรง ปรึกษาเหล่าเสนาข้าราชการต่างก็กราบทูลถวายความเห็นว่าเป็นการ สมควรที่จะตีเมืองเชียงตบงให้ได้ต่อไป แต่พระบาทสมเด็จพระจอม เกล้ า ท รงเห็นข้อบกพ ร่องของกองทัพท างเมืองเหนือค ร า วที่ แล้ว งะนั้น คราวนี้ พ.ศ. 2395 พระองค์จึงได้โปรดฯ ให้พระเจ้าน้องยา เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเป็นแม่ทัพใหญ่ พร้อมด้วยเจ้าพระยายม ราช (นบช( เสนาบดีแผนกกรมเมือคบมพลทางเมืองเหนือ ในภาคใต้และภาค
กลางมีไพร่พลในกรบงเทพฯ ยกไปด้วยราว 6,488 คน และเกณฑ์ทัพใน เมืองภาคพายัพอีก ได้ถึง 20,000 คน ให้เมืองหลวงพระบางเป็นกอง ล าเลียงยกไปด้วย 3,000 คน ไปสมทบกับกองทัพเมืองเชียงใหม่และเมือง เชียงแสนมีไพร่พลทั้งหมดราว 30,000 คน เมืองเชียงตบงในอดีต ครั้นยกไปถึงเมืองเชียงตบงแล้ว จึงตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ทบก ด้าน กองทัพเมืองเชียงตบงยกออกประจันบานกับไทยเป็นสามารถ ตี กองทัพไทยอยู่หลายครั้งหาไม่ แม้กองทัพไทยที่ล้อมอยู่ได้พยายามตีเมือง เชียงตบงหลายครั้ง ก็ไม่แตกเช่นเดียวกัน ทัพหลวงวงศาธิราชสนิทยกไปถึงเมืองเชียงตบงนั้นเป็นเวลาฤดูมีฝน ชบก ทัพเมืองเชียงตบงยกออกตีหลายคราวแต่ก็แตกกลับเข้าเมืองทบก คราว ไทยตั้งล้อมเมืองอยู่ 21 วัน ก็ขาดเสบียงอาหารลงอีก สัตว์
พาหนะ เป็นโรคระบาด เห็นว่าท าการไม่ส าเร็จแน่แล้วจะเสียทีแก่ ข้าศึก จึงได้สั่งให้เลิกทัพ ส่วนทัพเจ้าพระยายมราชยกไปยังไม่ทันถึงเมืองเชียงตบง ทราบ ข่าวว่าทัพกรมหลวงวงศาธิราชสนิทกลับแล้ว เจ้าพระยายมราชจึงได้ยก ทัพกลับมาทีหลัง การตีเมืองเชียงตบงครั้งนี้เมื่อไม่ส าเร็จแล้วเมืองเชียงตบงก็ ต้องเสียให้แก่พม่าเข้ามีอ านาจปกครองได้อีก แต่ถึงเช่นนั้นพวกพม่าและ ชาวเมืองเชียงตบง ก็หวาดเกรงไทยอยู่มิใช่น้อย นับว่าเป็นการรบพม่าครั้ง สบดท้ายของไทยด้วยต่อมาพม่าเสียเอกราชให้แก่อังกฤษ สร้างป้อมป้องกันพระนคร พ.ศ. 2397 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรด เก ล้าฯ ให้สร้างป้อมขึ้นไว้ 8ป้อมไว้ระยะห่างกันประมาณ 12 เส้น ดังนี้ ป้อมป้องปัจจามิตร อยู่ฝั่งตะวันตกที่ปากคลองสาน ป้อมปิดปัจจนึก อยู่ที่ ปากคลองผดบงกรบงเกษมด้านใต้ ป้อมฮึกเหี้ยมหาญ? (ยังหาที่ตั้งไม่ได้( ป้อมผลาญไพรีราบ อยู่ตรงตลาด หัวล าโพง ป้อมปราบศัตรูพ่าย อยู่ริมวัด โศก (พลับพลาชัย( ป้อมท าลายแรงปรปักษ์ อยู่มบมถนนหลานหลวงป้อม หักก าลังดัสกร อยู่ตรงเชิงสะพานผ่านฟ้าฯ ถนนราชด าเนิน ป้อมพระนคร รักษา อยู่ริมวัดนรนาถ ต่อมาในรัชการที่ 5 ทรงพิจารณาเห็นว่าป้อมเหล่านี้ไม่ได้ประโยชน์ มากนัก จึงโปรดฯ ให้รื้อและสร้างเป็นสถานที่ต่าง ๆ ด้วยมีพระราช ประสงค์จะขยายเขตพระนครให้กว้างออกไปอีก จึงเหลืออยู่เพียง 3 ป้อม คือ ป้อมป้องปัจจามิตร, ป้อมปิดปัจจนึก, และป้อมหักก าลังดัสกร
ด้านโหราศาสตร์ เศษพระจอมเกล้า หรือ การพยากรณ์ต ารา ตรีภพ เป็นแขนงหนึ่ง ของวิชาโหราศาสตร์ไทยซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ ๔ ทรงคิดค้นขึ้น และบรรดานักโหราศาสตร์ได้ใช้ในการพยากรณ์ เรื่อยมา จนถึงปัจจบบัน เพราะมีความแม่นย าและเป็นที่ยอมรับของผู้รับ การพยากรณ์ จบดเด่นของวิชานี้ คือ ไม่ต้องรู้เวลาตกฟาก ของผู้ที่มารับ การพยากรณ์ ก็สามารถพยากรณ์ได้ การพยากรณ์ต ารา ตรีภพ เป็นวิชาที่ มีประวัติความเป็นมาชัดเจน มีอายบเป็นร้อยปี เรียกได้ว่า บบคคลที่ศึกษา โหราศาสตร์ ไม่มีใครไม่รู้จักวิชานี้ "เศษพระจอมเกล้า" ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง ต าราที่ได้รับการยอมรับว่าแม่นย า และทรงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ ว่าทรงเป็น "พระบิดาแห่งโหราศาสตร์ไทย"
ด้านดาราศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยใน วิชาดาราศาสตร์มาก ทรงมีความเชี่ยวชาญทางด้านดาราศาสตร์เทียบเท่า กับนักดาราศาสตร์สากล หนังสือของชาวต่างประเทศที่เขียนเกี่ยวกับ พระองค์ท่านในสมัยนั้น มักจะต้องเขียนเกี่ยวกับเรื่องการทดลองและการ ค านวณทางวิทยาศาสตร์ของพระองค์ท่านด้วย เช่นเขียนเกี่ยวกับเรื่องที่ ทรงวัดดาว ทรงวัดพระอาทิตย์ และทรงศึกษาแผนที่ ตลอดจนเขียน บรรยายสภาพภายในเขตพระราชฐาน ว่าเต็มไปด้วยเครื่องมือ วิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องวัดความกดอากาศ กล้องส่องทางไกล กล้อง จบลทรรศน์ แม้กระทั่งนาฬิกาตั้ง และนาฬิกาแขวน ซึ่งคนไทยในสมัยนั้น ยังไม่ค่อยรู้จักกัน
อบทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การค านวณทางวิทยาศาสตร์ที่ท าให้มีพระราชหฤทัยยินดี และเป็น เรื่องที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในทางวิทยาศาสตร์ ก็คือเรื่องการ ที่ทรงค านวณสบริยบปราคาเต็มดวงในปี พ.ศ. 2411 ได้อย่างถูกต้อง แม่นย า ก่อนที่จะมีการเล่าลือกันทั้งในหมู่คนไทยและคนต่างชาติ ใ น ส มั ย นั้ น ค น ไ ท ย ส่ ว น ใ ห ญ่ มี ค ว า ม เ ชื่ อ ใ น เ รื่ อ ง สบริยบปราคา จันทรบปราคาว่าเกิดขึ้นได้เพราะมียักษ์ใหญ่ชื่อพระราหู อม พระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้ คนที่พบเห็นสบริยบปราคาและจันทรบปราคา จะต้องช่วยตีฆ้อง ตีกลอง จบดประทัด หรือยิงปืนให้เกิดเสียงดัง เพื่อให้ พระราหูตกใจ จะได้คายพระอาทิตย์และพระจันทร์ออกมา โลกจะได้ สว่างไสวเหมือนเดิม ยังไม่มีคนไทยคนใดแสดงตนว่ารู้สาเหตบการเกิด
สบริยบปราคาและจันทรบปราคาในทางวิทยาศาสตร์ และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็ คือ ในเรื่องการค านวณสบริยบปราคาหมด ดวงเต็มดวงนั้น ต าราโหราศาสตร์ ไทยไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับ ณ เกยหน้าพลับพลา ที่ประทับ โปรดให้งายพระรูปกับคณะแขกเมือง ณ ค่ายหลวงบ้านหว้ากอ
สบริยบปราคาเต็มดวง เกิดอาเพศเหมือนจะบอกเหตบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะ สวรรคต คือเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2410 เลา 1.00 น. มีฝนตกหนัก อสบนีบาตตกที่กรบงเทพฯ รวม 12 แห่ง แต่ละแห่งล้วนเป็นที่ส าคัญ เช่น พระอบโบสถ พระที่นั่งในพระบรมมหาราชวัง เป็นต้น ต่อมาวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ได้เกิดสบริยบปราคาเต็มคราสเป็น ครั้งแรก จะเป็นสบริยบปราคานี้ได้ที่ต าบลหว้ากออยู่ใต้ต าบลคลอง วาฬ เมืองประจวบคีรีขันธ์ ประเทศสยามไม่เคยมีสบริยบปราคาเต็มคราสมาตั้งแต่โบราณกาล แล้ว มีแต่จันทรบปราคาเต็มคราสหลายครั้งตามประกาศดังนี้
ประกาศสบริยบปราคาหมดดวง ณ วันพฤหัสบดี เดือน 9 แรม 3 ค่ า ปีมะโรง สัมฤทธิศก มีพระ บรมราชโองการมานพระบัณฑูรสบรสิงหนาท ให้ประกาศแก่ข้าราชการ ผู้ใหญ่ ผู้น้อยแลพระสงฆ์สามเณร แลทวยราษฎร์ทั้งปวงในกรบงเทพฯ แล หัวเมืองให้ทราบทั่วกันว่าสบริยบปราคาครั้งนี้ จะมีในวันอังคาร เดือน 10 ขึ้นค่ า 1 ปีมะโรงสัมฤทธิศก จะจับในเวลาเช้า 4 โมงเศษไปจนเวลา บ่ายโมงเศษ สบริยบปราคาครั้งนี้ในกรบงเทพฯ นี้จะไม่ได้เห็นจับหมดดวง จะ เห็นดวงอาทิตย์เหลืออยู่น้อยข้างเหนือแรกจับจะจับทิศพายัพค่อนอบดร ใน เวลาเช้า 4 โมงกับบาทหนึ่ง แล้วหันคราธไปข้างใต้ จนถึงเวลา 5 โมง 7 บาท จะสิ้นดวงข้างทิศอาคเณ ครั้นเวลา 5 โมง 8 บาทแล้วพระอาทิตย์จะ ออกจากที่บังข้างทิศพายัพ ครั้นบ่ายโมงกับ 6 บาท จะโมกษบริสบทธิ์หลบด ข้างทิศอาคเนย์ ค าทายนี้ว่าที่ต าบลหัววาน แลการค านวณสบริยบปราคาที่ว่าจะเป็นเช่นนี้ ได้ทรงด้วยพระองค์ ทราบเป็นแน่มานานก่อนความเล่าลือกันอื้ออึงในคนต่างประเทศจะ ทราบ เพราะคนต่างประเทศอื้ออึงในเร็ว ๆ นี้ก็หาไม่ ได้ทรงก าหนดไว้ว่า จะเสด็จพระราชด าเนินลงไปทอดพระเนตร บัดนี้ก าหนดนั้นถึงแล้วจึงจะ เสด็จพระราชด าเนินออกไปเมืองประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยพระราช วงศานบวงศ์บางพระองค์แลเสนาบดีบางท่าน ทอดพระเนตรสบริยบปราคาที่ ในอ่าวทะเลชื่ออ่าวแม่ร าพึง แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์
ประสาร ธาราพรรค์ ร้อยกรอง 18 สิงหา วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ทั้งรัฐราษฎร์ เงลิมพระเกียรติ ทั่วแหล่งหล้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ องค์ราชา พระบิดา แห่งวิทยาศาสตร์ไทย ทรงค านวณ พยากรณ์ สบริยคราส ธ ชาญงลาด แสนแม่นย า สิ้นสงสัย ที่หว้ากอ เมืองประจวบ ถิ่นแดนไพร เหตบการณ์ได้ บังเกิดตรง ทรงพยากรณ์
พระอัจงริยภาพ วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ทั้งรัฐราษฎร์ ล้วนยกย่อง องค์มหิศร ทรงน าชาติ พัฒน์ก้าวหน้า มีขั้นตอน ธ ทรงสอน ปวงชาวไทย ปรับเปลี่ยนตน วิทยาศาสตร์ คือความรู้ ตรงความจริง ล้วนเป็นสิ่ง พิสูจน์ได้ ทบกแห่งหน มีกฎเกณฑ์ สรบปได้ เป็นสากล มีเหตบผล แก้ปัญหา ตามหลักการ วิทยาศาสตร์ ส าคัญยิ่ง ด ารงชีวิต สิ่งประดิษฐ์ มีมากมาย เกินกล่าวขาน เสริมชีวิต มีประสิทธิภาพ สบขสราญ แทบทบกงาน วิทยาศาสตร์ มักเกี่ยวพัน ปัจจบบัน โลกวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ช่วยให้มี สิ่งประดิษฐ์ คิดสร้างสรรค์ ประยบกต์ใช้ ก่อประโยชน์ สบดร าพัน คบณอนันต์ โลกก้าวล้ า สบขยืนยง ..........................................................
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์ องค์เดียวของไทยที่มีความรู้ภาษาบาลีแตกงานถึงขนาดสามารถพระราช นิพนธ์ผลงานด้วยภาษานี้ไว้เป็นจ านวนมาก เท่าที่ประมวลได้มีดังนี้
1. จารึกที่ศาลาเล็กวัดบวรนิเวศวิหาร กล่าวถึงการซ่อมแซมศาลาใน วัดบวรนิเวศฯ ให้เป็นที่พักของพระภิกษบที่เดินทางมาจากที่ไกล เพื่ออบทิศ ส่วนกบศลให้พระราชเทวี บบญรอด พระพันปีหลวง 2. จารึกวัดราชประดิษฐ์ 10 หลัก เป็นประกาศก าหนดเขตสีมาของ วัดราชประดิษฐ์แก่พระสงฆ์ฝ่ายธรรมยบติ 3. พระราชพงศาวดารกรบงรัตนโกสินทร์สังเขป ว่าด้วยพระราช ประวัติ และพระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ 1 จนถึง สมัยของพระองค์ เนื้อหาส่วนใหญ่เน้นพิสูจน์สิทธิอันชอบธรรมของการเสด็จเถลิงถวัลยราช สมบัติของพระองค์ภายหลักสมัยรัชกาลที่ 3 และหน้าที่ที่พระองค์ทรง กระท าโดยธรรมเพื่อความผาสบกร่มเย็นของบ้านเมือง 4. ต านานพระแก้วมรกต
5. ต านานพระสายน์ แสดงประวัติพระพบทธรูปที่ส าคัญในสมัยนั้น มี วิธีการเสนอด้วยการใช้หลักฐานและวิธีการวิเคราะห์วิจารณ์ ตามลักษณะ การศึกษาสมัยใหม่ มิได้เป็นผลงานเชิงศรัทธา เหมือนอย่างต านานบาลีรบ่น ก่อน ๆ 6. อบตตรทิสาคมนมคโค บันทึกการเสด็จประพาสเหนือ เป็นบันทึก สั้น ๆ ว่า วันใดเสด็จไปที่ใดบ้าง ความเด่นอยู่ที่การณ์สร้างศัพย์ภาษา บาลีเรียกชื่อสถานที่ต่าง ๆ 7. จดหมายเหตบการณ์ปฏิบัติชอบและไม่ชอบของพระโสภิตะ ทรง วิจารณ์ความประพฤติของพระโสภิตะ ส่งออกไปให้พระภิกษบสงฆ์ที่ เกี่ยวข้องพิจารณา เพื่อจะได้มีมีผู้ท าตามอย่างผิด ๆ นั้นต่อไป 8. คาถาพระราชทานนามพระราชโอรสธิดา ทรงพระราชนิพนธ์เพื่อ ความเป็นสิริมงคลแก่พระราชโอรสธิดาทบกพระองค์มีหลักฐานเหลือมาถึง ปัจจบบัน 42 งบับ จากที่ควรจะมี 80 งบับ
9. สาส์นติดต่อกับพระสงฆ์ในลังกาและพม่า เท่าที่พบต้นงบับใน เวลานี้ 12 งบับ 10. คาถาสวดพระราชพิธีพืชมงคล 11. วิสาขบูชาคาถา 12. อัฎฐมีบูชาคาถา เป็นบทสวดในพระราชพิธีและวันส าคัญทาง ศาสนา
13. บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนพระรามเดินดง เป็นพระบรมราช นิพนธ์ในรัชกาลที่ 4 เพื่อเล่นละครใน
คาถาขอขมาลาพระสงฆ์ นอกจากผลงาน 13 ชบด ข้างต้น ยังมีผลงานอีกชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นพระ ราชนิพนธ์ชิ้นสบดท้ายพระองค์ของ คือ “คาถาขอขมาลาพระสงฆ์” ทรง พระราชนิพนธ์ในเวลาเย็นของวันพบธที่ 30 กันยายน 2411 (วันพบธ เดือน 11 ขึ้น 14 ค่ า( ก า ร เ ต รี ย ม พ ร ะ อง ค์ เ องใ น ช่ วง ที่ ท รง รู้ ว่ า พ ร ะ อง ค์ใ ก ล้ สิ้นพระชนม์ เป็นสิ่งที่มีคบณค่ามาก ทรงมีความทบกข์ทรมานพระวรกาย กระสับกระส่ายตามแรงแห่งอาการโรค แต่ทรงยืนยันว่า จิตใจของ พระองค์มิได้หวั่นไหวกระสับกระส่ายตาม ทรงตั้งเจตนาสังวรใจกายให้ ด ารงมั่นในศีล 5 แล้ว กระท ากรรมฐาน เฝ้าตามรู้พิจารณาธรรมชาติแห่ง ชีวิตของพระองค์เอง ทรงมีความเข้าใจชัดเจนว่า ภาวะชีวิตเป็น อนัตตา “ใช่ตัวใช่ตน ย่อมเป็นไปตามปัจจัย ของนั้นใช่ของเรา ส่วนนั้นใช่ เรา ไม่เป็นเรา ส่วนนั้นไม่เป็นแก่นสาร ใช่ตัวใช่ตน” และเพราะพระ ปัญญาญาณเช่นนั้น จึงทรงเผชิญมรณภาวะด้วยพระอาการสงบ ทรงมี ปัญญาว่า “ความตายใด ๆ ของสัตว์ทั้งหลายไม่เป็นของอัศจรรย์” พระราชนิพนธ์ชิ้นนี้จึงมีคบณค่ามาก โดยเงพาะในฐานะที่เป็นบันทึก ของคนที่ใกล้จะตาย และมีสติสัมปชัญญะรู้ทันต่อภาวะชีวิตตามความเป็น จริง ใช้เวลาช่วยสบดท้ายของชีวิตพัฒนาจิตให้ด ารงอยู่ในศีลธรรม และ พยายามกระท าสิ่งที่เห็นว่าพึงกระท าเพื่อการลด ละ กรรมที่จักมีผล ภายหลังความตาย การด ารงอยู่ในสมณเพศเป็นเวลา 27 ปี ของ พระองค์ จะด้วยเหตบใดก็ตามย่อมคบ้มค่าส าหรับชีวิตของพระองค์เอง และ เกินกว่าความคบ้มใด ๆ ที่บบคคลพึงหาได้ในโลก
เหตบการณ์ส าคัญในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2394 โปรดเกล้าฯ ให้ขบนนางสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า ร้อยเอกอิมเปญ์ เข้ามาฝึกทหารแบบยบโรป คณะมิชชันนารี สอนภาษาอังกฤษ ในพระบรมมหาราชวัง ร้อยเอกน๊อกซ์ เข้ามาเป็นครูฝึกทหารวังหน้า คณะมิชชันนารีอเมริกัน เข้ามาสอนภาษา กองทัพไทยไปตีเมืองเชียงตบง ทรงพระราชศรัทธาปฏิสังขรวัดใหม่ขึ้นหลายวัด เช่น วัดปทบมวนา ราม วัดโสมนัสวิหาร วัดมกบฎกษัตริยาราม วัดราชประดิษฐสถิตมหา
สีมาราม และวัดราชบพิตร เป็นต้น ตลอดจนบูรณะวัดต่าง ๆ อีกมาก โปรดเกล้าฯให้มีพระราชพิธี "มาฆบูชา" ขึ้นเป็นครั้งแรก ใน พ.ศ. 2394 ณ ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนได้ถือปฏิบัติสืบมาจนถึงทบกวันนี้ โปรดเกล้าฯให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ทรงตั้งคณะธรรมยบตินิกายและวางรากฐานพระวินัย ท าให้พบทธ ศาสนาหยั่งยืนทบกวันนี้ โปรดเกล้าฯให้ขยายพระนคร โดยขบดคลองผดบงกรบงเกษมเป็นคูพระ นครชั้นนอก โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนธงชาติเป็นรูปช้างเผือกอยู่กลางธงพื้นสีแดง พ.ศ. 2395
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างป้อมตามแนวคลองผดบงกรบงเกษมขึ้น 8 ป้อม ส่งราชทูตอัญเชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระ เจ้าฮ าฮอง จักรพรรดิจีน ส่งคณะสงฆ์ไปลังกา พระปฐมเจดีย์ พ.ศ. 2396 โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ โปรดเกล้าฯ ให้ราษฎรที่ได้รับเดือดร้อนถวายฎีกาแก่พระองค์ได้ โปรดเกล้าฯ ให้ใช้ "หมาย" แทนเงินตรา ไทยรบพม่าที่เมืองเชียงตบง )เป็นสงครามครั้งสบดท้ายระหว่าง ไทยพม่า(
พ.ศ. 2398 เซอร์ จอห์น เบาริง ขอเข้ามาเจริญพระราชไมตรี ท าสนธิสัญญา ใหม่กับอังกฤษ พ.ศ. 2399 ไทยท าสนธิสัญญาทางการทูตกับอเมริกาและฝรั่งเศส พ.ศ. 2400 โปรดเกล้าฯ ให้ส่งคณะทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับสมเด็จพระ ราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย ขึ้นเป็นครั้งแรก โปรดเกล้าฯ ให้ขบดคลองมหาสวัสดิ์และคลองถนนตรง เริ่มสร้างก าปั่นเรือกลไฟ
ทรงประกาศให้พสกนิกรเข้าเฝ้าข้างทางขบวนเสด็จพระราชด าเนิน ได้ พ.ศ. 2401 ท าสนธิสัญญาทางการค้ากับโปรตบเกส โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์พระนารายณ์ราชนิเวศน์ ลพบบรี โปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศราชการที่เรียกว่า หนังสือราชกิจจา นบเบกษา พ.ศ. 2402 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระนครคีรี )เขาวัง( ขึ้นบนยอดเขาที่เพชรบบรี โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์
พ.ศ. 2403 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงกษาปณ์ผลิตเหรียญ พ.ศ. 2404 โปรดเกล้าฯ ให้ส่งทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศฝรั่งเศส เริ่มมีต ารวจนครบาลเป็นครั้งแรก เริ่มสร้างถนนเจริญกรบง พ.ศ. 2405 นางแอนนา ลีโอโนเวนส์ เข้ามารับราชการเป็นครูสอนภาษาอังกฤษใน พระราชส านัก พ.ศ. 2406 สร้างถนนบ ารบงเมือง ถนนเฟื่องนคร สร้างพระบรมบรรพต )ภูเขาทอง(
พ.ศ. 2407 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดราชประดิษฐ์ พ.ศ. 2408 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พ.ศ. 2411 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมเรือกลไฟ ทรงค านวณว่าจะเกิดสบริยบปราคาเต็มดวงที่ต าบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้อย่างถูกต้องแม่นย า
เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์เป็น ระยะเวลา 18 ปีทรงสถาปนาสมเด็จเจ้าฟ้าชายจบฬาลงกรณ์ บดินทรเทพ มหามงกบฎ บบรบษยรัตนราชรวิวงศ์ วรบตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกบมาร ใน สมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์เป็นองค์รัชทายาท รวมสมเด็จพระเจ้าลูก เธอ พระเจ้าลูกเธอ ในรัชการที่ 4 รวมทั้งสิ้น 82 องค์ซึ่งประสูติจากอัคร ชายาและเจ้าจอมมารดา 36 พระองค์ โดย ประสูติก่อนบรมราชาภิเษก 2 พระองค์ ประสูติเมื่อบรมราชาภิเษกแล้ว 80 พระองค์ เป็นพระราชโอรส 39 องค์ พระราชธิดา 42 องค์ ตกพระโลหิตเสียองค์หนึ่ง รวมพระอัคร มเหสี พระมเหสี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอมในพระองค์ทั้งสิ้น 47 องค์