พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี (ฉบับพัฒนา) ผู้เรียบเรียงนายประสาร ธาราพรรค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระองค์เสด็จขึ้นทรงราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 ขณะที่มีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์มีน้้าพระราชหฤทัย เปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณาในพสกนิกร ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ นานัปการ ทั้งงานพระราชพิธี งานรัฐพิธี งานด้านการศาสนาและการศึกษา เสด็จพระราชทานปริญญาบัตรที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสด็จเยี่ยม โรงพยาบาล หน่วยทหาร สถานที่ส้าคัญต่างๆ และทรงริเริ่มประเพณีการเสด็จ พระราชด้าเนินเยี่ยมราษฎรในชนบท
พระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ทรงเปี่ยมล้น ความสามารถ ทันสมัย ทรงส่งเสริม การแพทย์ไทย เลิศเกินใคร ทรงท้าให้ การศึกษาไทย มุ่งพัฒนา พระปกเกล้าฯ ทรงสละ ราชสมบัติ เพื่อราษฎร์รัฐ ประชาธิปไตย ไทยก้าวหน้า รัฐบาล ได้ทูลเชิญ องค์ราชา พระชนม์ได้ 9 พรรษา ขึ้นครองเมือง
กรมหลวงสงขลานครินทร์ พระราชบิดา พระศรีนครินทรา พระราชมารดา นามกระเดื่อง พระพี่นาง เจ้าฟ้ากัลยาฯ ทรงรุ่งเรือง ทรงลือเลื่อง พระอนุชา องค์ภูมิพลฯ ธ สถิต อยู่ประจ้า ประเทศสวิส ฯ พระทรงฤทธิ์ เสด็จนิวัติไทย หลากหลายหน ทรงหมายมั่น เรียนนิติศาสตร์ เพื่อทุกคน ทรงเปี่ยมล้น พระเมตตา ทั่วธานี 9 มิถุนา วันอานันทมหิดล เวียนบรรจบ สวรรคตครบ 77 ปี ตามดิถี ปวงชาวไทย น้อมระลึก องค์จักรี ทั่วธาตรี ส้านึกใน พระมหากรุณาธิคุณ .................................... ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า นายประสาร ธาราพรรค์ ผู้ประพันธ์
พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 3 ค่้า เดือน 11 ปีฉลู ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 ณ เมืองไฮเดลแบร์ก สาธารณรัฐไวมาร์ ประเทศเยอรมนี พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดล อดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ กับ หม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา ขณะที่สมเด็จพระราชบิดาทรงศึกษาการแพทย์ที่ประเทศเยอรมัน โดยได้รับ พระราชทานพระนามจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า หม่อม เจ้าอานันทมหิดล มหิดล หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาขึ้นเป็น พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระมารดา ออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการล้าลองว่า “นันท”
ทรงมีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระชนกชนนีอีก 2 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราช นครินทร์ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เมื่อทรงพระ เยาว์ได้ตามเสด็จสมเด็จพระราชบิดาและสมเด็จพระราชชนนีไปยังประเทศ ต่าง ๆ ได้แก่ ประเทศฝรั่งเศส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา ซึ่ง สมเด็จพระราชบิดาทรงเข้าศึกษาวิชาแพทย์ ณ มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐอเมริกา ในระหว่างปี พ.ศ. 2469 - 2471 แล้วจึงเสด็จกลับประเทศไทย เป็นครั้งแรกเมื่อพระชนมายุได้ 3 พรรษา ประทับ ณ วังสระปทุม ในระหว่าง นั้นสมเด็จพระราชบิดาทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ ดังนั้น พระองค์จึง อยู่ในความดูแลของสมเด็จพระราชชนนีเพียงพระองค์เดียวพระองค์ทรงเริ่ม การศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนมาแตร์เดอี
รัชกาลที่ 8 ฉลองพระองค์ชุดนักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ ต่อมาได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ (พ.ศ.2329) หลังจาก เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 นั้น สมเด็จพระราช ชนนีได้ขอพระราชทานพระราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว ในการที่จะทรงน้าพระโอรส และพระธิดาไปประทับที่เมือง โลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยซึ่งรวมไปถึงหม่อมเจ้าอานันทมหิดลพระองค์หนึ่ง ด้วย
ต่อมาย้ายไปศึกษาที่โรงเรียนนูแวลเดอลา ซูวิสโรมองต์ และ ทรงศึกษา ภาษาไทย ณ ที่ประทับ โดยมีพระอาจารย์ตามเสด็จไปจากกรุงเทพฯพระองค์ ได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมีเรมองต์ ในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้มีพระบรมราชโองการประกาศสถาปนา ให้พระโอรสธิดาใน สมเด็จเจ้าฟ้า ซึ่งมีพระราชชนนีเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีในพระมหากษัตริย์ แต่พระมารดาในพระโอรสธิดาเป็นสามัญชน ตามธรรมเนียมราชสกุล พระโอรสธิดาจะต้องมีพระยศเป็นหม่อมเจ้า ให้ยกขึ้นเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทั้งหมด ดังนั้น พระโอรสพระธิดาในสมเด็จพระพี่ยาเธอเจ้าฟ้า มหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ จึงได้ด้ารง พระยศเป็น พระว รวงศ์เธอพระองค์ เจ้าตั้งแต่นั้น
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง สละราชสมบัติ และมิได้ทรงสมมติเจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นรัช ทายาท ดังนั้น คณะรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรจึงได้ อัญเชิญเสด็จพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันมหิดลซึ่งเป็นเจ้านายเชื้อพระ บรมวงศ์พระองค์ที่ 1 ในล้าดับพระราชสันตติวงศ์แห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วย การสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ขึ้นทรงราชย์สืบพระราชสันตติวงศ์ต่อไป ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 โดยได้รับการเฉลิมพระนามเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2477 ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในขณะนั้น พระองค์มีพระชนมายุ 8 พรรษา และยังคงประทับอยู่ ณ ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ จึงต้องมีผู้ส้าเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อบริหารราชการ แผ่นดินแทนจนกว่าจะทรงบรรลุนิติภาวะ
คณะผู้ส้าเร็จราชการแทนพระองค์ คณะผู้ส้าเร็จราชการแทนพระองค์ได้แก่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุ วัตรจาตุรนต์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และ เจ้าพระยา ยมราช (ปั้น สุขุม)
นายปรีดี พนมยงค์ วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2478 พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตร จาตุรนต์สิ้นพระชนม์ สภาผู้แทนราษฎรจึงได้แต่งตั้งให้นายพลเอก เจ้าพระยา พิชเยนทรโยธิน (อุ่ม อินทรโยธิน) เป็นผู้ส้าเร็จราชการแทนพระองค์ และเมื่อ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ถึงแก่อสัญญกรรม จึงมีการแต่งตั้งให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ส้าเร็จราชการแทนพระองค์แทน หลังจากนั้น เมื่อเจ้าพระยา พิชเยนทรโยธิน (อุ่ม อินทรโยธิน) ถึงแก่อสัญญกรรม รวมทั้ง พระเจ้าวรวงศ์ เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาได้กราบถวายบังคมลาออกจากต้าแหน่ง นาย ปรีดี พนมยงค์ จึงด้ารงต้าแหน่งผู้ส้าเร็จราชการแทนพระองค์เพียงผู้เดียว จนกว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จกลับสู่พระนคร
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จ นิวัติพระนคร เมื่อปลายปี พ.ศ. 2477 เพื่อประกอบพระราชพิธีบรม ราชาภิเษก แต่เนื่องจากพระพลานามัยของพระองค์ไม่สมบูรณ์จึงได้เลื่อน ก้าหนดออกไปก่อน และได้กราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จฯ อีกครั้งในปี พ.ศ. 2478 แต่ก็ทรงติดขัดเรื่องพระพลานามัยอีกเช่นกัน หลังจากนั้น รัฐบาลได้ส่ง พลโท พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (ม.ร.ว.สิทธิ์ สุทัศน์) ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระราช ชนนีที่โลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทูลอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดลเสด็จนิวัติพระนครอีกครั้งในปี พ.ศ. 2479 อย่างไรก็ตาม ใน ระหว่างเตรียมการเสด็จนิวัติพระนครนั้น ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ คณะรัฐบาลใหม่จึงขอเลื่อนการรับเสด็จออกไปอย่างไม่มีก้าหนด
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ ในฉลองพระองค์เต็มยศ เมื่อเสด็จนิวัตพระนครครั้งที่ 1 พ.ศ. 2481-2482 หลังจากนั้น รัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จนิวัติพระนครอีกครั้ง ใน ครั้งนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พร้อมด้วยสมเด็จพระราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เสด็จพระราชด้าเนิน จากเมืองโลซานที่ประทับโดยทางรถไฟมายังเมืองมาเชลล์ เพื่อประทับเรือเม โอเนีย ในการเสด็จพระราชด้าเนินกลับสู่ประเทศไทย และเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 เรือพระที่นั่งได้เทียบจอดทอดสมอที่เกาะสีชัง รัฐบาล ได้จัดเรือหลวงศรีอยุธยาออกไปรับเสด็จมายังจังหวัดสมุทรปราการ ณ ที่นั้น สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ได้เสด็จไปคอย รับพระราชนัดดาและพระสุนิสาด้วย
เรือหลวงศรีอยุธยา หลังจากนั้น จึงได้เสด็จโดยเรือหลวงศรีอยุธยาเข้าสู่กรุงเทพมหานคร และประทับที่พระต้าหนักจิตรลดารโหฐาน ซึ่งนับเป็นการเสด็จนิวัติประเทศ ไทยเป็นครั้งแรกหลังจากเสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ทรงใช้เวลา อยู่ในประเทศไทยเป็นระยะเวลาประมาณ 2 เดือน จึงได้เสด็จพระราชด้าเนิน กลับไปศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง พระองค์จึงเสด็จนิวัติพระนครอีกครั้ง พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอ ดุลยเดช เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 ซึ่งการเสด็จนิวัติประเทศในครั้งนี้ ทางราชการได้จัดพระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวังเป็นที่ ประทับ และเนื่องจากพระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว จึงสามารถบริหาร ราชการแผ่นดินโดยไม่ต้องมีผู้ส้าเร็จราชการแผ่นดินอีกต่อไป
การเฉลิมพระปรมาภิไธย เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ไม่ได้ทรง ประกอบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี ดังนั้น เพื่อ เป็นการเฉลิมพระบรมขัติยราชอิสสริยยศ รวมทั้ง ยังได้ถวายเครื่องราช กกุธภัณฑ์บางองค์ เช่น นพปฎลเศวตฉัตร ซึ่งใช้ในการกางกั้นพระบรมศพและ พระบรมอัฐิ จึงได้มีการประกาศเฉลิมพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดลขึ้นเป็น "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล อดุลยเดชวิมล รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สยามินทราธิราช" โดยประกาศเมื่อ วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2489
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2539 ในวโรกาสพระราชพิธี ฉลองทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เป็นพระปรมาภิไธยอันวิเศษตามแบบแผน โบราณราชประเพณีว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล อดุลยเดชวิมล รามาธิบดี จุฬาลงกรณราชปรียวรนัดดา มหิตลานเรศวรางกูร ไอศูรยสันตติ วงศวิสุทธ์ วรุตมขัตติยศักตอรรคอุดม จักรีบรมราชวงศนิวิฐ ทศพิธราชธรรม อุกฤษฎนิบุณ อดุลยกฤษฎาภินิหารรังสฤษฎ์ สุสาธิตบูรพาธิการ ไพศาลเกียรติ คุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ ธัญอรรคลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมงคประณตบาทบงกชยุคล อเนกนิกรชนสโมสรสมมต ประสิทธิวร ยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร สรรพรัฐทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถ ชาติอาชาวไศรย พุทธาทิไตรรัตน สรณารักษ์วิศิษฎศักตอัครนเรศรามาธิบดี พระอัฐมรามาธิบดินทร สยามินทราธิราชบรมนาถบพิตร" นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขานพระปรมาภิไธยอย่าง มัธยมว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล สกลไพศาล มหารัษฎธิบดี พระอัฐมรามาธิบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร" และอย่างสังเขปว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระ อัฐมรามาธิบดินทร"
ชีวิตส่วนพระองค์ แมรีลีน เฟอร์รารี ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ เขียนว่า พระองค์ทรงคบกับหญิงชาวสวิส ชื่อ แมรีลีน เฟอร์รารี เป็นคนรัก แต่ทรงถูกพระราชชนนีตักเตือน“มาริลีนไม่ใช่คน โนเนมเสียทีเดียว เป็นคนที่อยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูงของเมืองโลซานน์เพราะว่า เป็นลูกสาวของอาร์คบิชอปของอาสนะวิหารแห่งเมืองโลซานน์ การที่มาริลีนได้ เรียนต่อปริญญาตรีในช่วงทศวรรษ 1940 ถือว่าค่อนข้างพิเศษเพราะว่าในสมัย นั้นผู้หญิงยังไม่ได้รับการส่งเสริมให้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ที่ส้าคัญกว่านั้น คือวิชาที่มาริลีนเลือกเรียนคือวิชากฎหมาย ในคลาสมีแค่ 16 คน เธอเป็น ผู้หญิงคนเดียวในคลาส”จากการวิจัยของปวินพบว่าเมื่อรัชกาลที่ 8 เจอมาริลีน ในนคลาสเรียนวันแรก รัชกาลที่ 8 ก็ชอบมาริลีนทันที คบกันเป็นเพื่อนสนิท เริ่มออกไปเที่ยวด้วยกัน ใช้เวลาด้วยกัน กระทั่งรู้ถึงหูแม่หรือสมเด็จพระศรีนค รินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่าที่คนไทยคุ้นเคยดี เป็นเหตุให้เกิดความ พยายามไม่ให้ทั้งคู่คบกัน
ตราประจ้าพระองค์ ธงประจ้าพระอิสริยยศ
พระราชลัญจกรประจ้าพระองค์ ในปี พ.ศ. 2481 คณะผู้ส้าเร็จราชการแทนพระองค์ได้ให้ส้านักพระราชวัง จัดสร้างพระราชลัญจกรประจ้าพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันท มหิดลขึ้น ซึ่งเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี สมุหพระราชวัง ได้ปรับปรุงพระ ราชลัญจกรรูปพระโพธิสัตว์สวนดุสิต ที่เคยใช้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มาใช้เป็นพระราชลัญจกรประจ้าพระองค์ โดยการสร้าง พระราชลัญจกรนั้น ใช้แนวคิดจากพระบรมนามาภิไธยก่อนทรงราชย์ นั่นคือ "อานันทมหิดล" ซึ่งหมายถึง เป็นที่ยินดีแก่แผ่นดิน ดังนั้น จึงได้ใช้รูปพระ โพธิสัตว์ ซึ่งมีหมายความเดียวกันว่า เป็นความยินดีและเป็นเดชยิ่งในพื้นพิภพ มาเป็นพระราชลัญจกรประจ้าพระองค์ พระราชลัญจกรประจ้ารัชกาลที่ 8 นั้น เป็นตรางา ลักษณะกลมศูนย์กลางกว้าง 7 เซนติเมตร มีรูปพระโพธิสัตว์ ประทับอยู่เหนือบัลลังก์ดอกบัว พระบาทขวาห้อยอยู่เหนือบัวบาน ซึ่งหมายถึง แผ่นดิน พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัวตูม มีเรือนแก้วอยู่ด้านหลังแถบรัศมี ซึ่งมีข้อ แตกต่างจากพระราชลัญจกรที่ใช้ในรัชกาลที่ 5 คือ มีการเพิ่มรูปฉัตรตั้งไว้ข้าง แท่นที่ประทับของพระโพธิสัตว์
วัดประจ้ารัชกาลที่ 8 พระบรมราชานุสาวรีย์ ณ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ถือเป็นวัดประจ้ารัชกาลของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ประดิษฐานพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ ดังนั้น จึงมีการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ขึ้น ณ บริเวณลานประทักษิณ ชั้นล่าง มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พระวิหารหลวง พระบรมรูปหล่อด้วยส้าริด ขนาด เท่าพระองค์จริง ทรงฉลองพระองค์ชุดจอมทัพ ประทับยืน ประดิษฐานบน แท่นหินอ่อนยกพื้นสูง มีแผ่นทองเหลืองจารึกเกี่ยวกับก้าหนดการสร้างพระ บรมราชานุสาวรีย์ เบื้องหลังเป็นแผ่นหินอ่อนวงโค้ง ประดิษฐานพระ ปรมาภิไธยย่อ "อปร" ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ
พระพุทธรูปประจ้ารัชกาลที่ 8 พระพุทธรูปประจ้ารัชกาลที่ 8 และพระพุทธรูปประจ้าพระชนมวาร รัชกาลที่ 8 พระอัฐมรามาธิบดิทร์ ปางถวายเนตร
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับพระราชทาน ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์สมบัติมีดังนี้ เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรี บรมราชวงศ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวรา ภรณ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้า วิเศษ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหา ปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิร มงกุฎ (ม.ว.ม.) เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1 (ป.ป.ร.1) เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 8 ชั้นที่ 1 (อ.ป.ร.1)
พระบรมราชอิสริยยศ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 - 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 : หม่อมเจ้าอานันทมหิดล 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 - 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 : พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 - 25 มีนาคม พ.ศ. 2478 : สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล 25 มีนาคม พ.ศ. 2478 - 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 : สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล 11 สิงหาคม พ.ศ. 2489 : พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันท มหิดล อดุลยเดชวิมลรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย 8 มิถุนายน พ.ศ. 2539 : พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานัน ทมหิดล อดุลยเดชวิมลรามาธิบดี จุฬาลงกรณราชปรียวรนัดดา มหิตลานเรศ วรางกูร ไอศูรยสันตติวงศวิสุทธ์ วรุตมขัตติยศักตอรรคอุดม จักรีบรมราชวงศนิ วิฐ ทศพิธราชธรรมอุกฤษฎนิบุณ อดุลยกฤษฎาภินิหารรังสฤษฎ์ สุสาธิต บูรพาธิการ ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ ธัญอรรค ลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณตบาทบงกชยุคล อเนก นิกรชนสโมสรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัต ราดิฉัตร สรรพรัฐทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร มเหศวรมหินท
รมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวไศรย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ วิศิษฏศักตอัครนเรศรามาธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการ สกล ไพศาลมหารัษฎาธิบดี พระอัฐมรามาธิบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถ บพิตร พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจ ส้าคัญน้อยใหญ่เป็นจ้านวนมาก ดังนั้น จึงมีการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ขึ้น เพื่อเป็นการร้าลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ เช่น พระบรมราชานุสาวรีย์ ณ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
พระบรมราชานุสาวรีย์ ณ โรงเรียนเทพศิรินทร์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระองค์ทรงเข้ารับการศึกษา ณ โรงเรียนเทพศิรินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2475 เลข ประจ้าพระองค์ 2329 หลังจากนั้นอีกเพียง 2 ปี พระองค์เจ้าอานันทมหิดลก็ ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ครองสิริราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์ องค์ที่ 8 แห่ง ราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรา มาธิบดินทร ทรงมีความผูกพันกับโรงเรียนเทพศิรินทร์มาโดยตลอด มีพระมหา กรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแก่ โรงเรียนเทพศิรินทร์ สมาคมนักเรียนเก่า ฯ ตลอดจนมวลหมู่ลูกแม่ร้าเพยทุกคน ซึ่ง พระบรมราชานุสาวรีย์ ณ โรงเรียน เทพศิรินทร์ มีขนาดเท่าพระองค์จริง ทรงฉลองพระองค์ชุดจอมทัพ ประทับยืน
เช่นเดียวกับ พระบรมราชานุสาวรีย์ ณ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จพระราชด้าเนินทรงเปิดพระบรม ราชานุสาวรีย์ ด้วยพระองค์เอง พระบรมราชานุสาวรีย์ ณ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระราชทานพระ ราชทรัพย์ส่วนพระองค์จ้านวนหนึ่งแสนบาท สร้างอาคารเรียน 2 ชั้น 1 หลัง หอประชุม 1 หลังพร้อมบ้านพักครูอีก 20 หลัง และในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนาง เจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์เสด็จ มาเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 8
พระบรมราชานุสาวรีย์ ณ โรงพยาบาลอานันทมหิดล พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลทรงบริจาคพระราช ทรัพย์ส่วนพระองค์ในการสร้างโรงพยาบาลในจังหวัดลพบุรี และพระราชทาน นามโรงพยาบาลแห่งนี้ว่า โรงพยาบาลอานันทมหิดล หลังจากการสร้างแล้ว เสร็จ พระองค์เสด็จพระราชด้าเนินมาทรงเปิดโรงพยาบาลแห่งนี้เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2481 ดังนั้น คณะกรรมการโรงพยาบาลจึงได้สร้างพระบรมรา ชานุสาวรีย์ประดิษฐาน ณ หน้าตึกอ้านวยการของโรงพยาบาล
พระบรมราชานุสาวรีย์ ณ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลมีพระราช ปรารภต่อรัฐบาลในสมัยนั้น เรื่องการผลิตแพทย์เพิ่มให้เพียงพอต่อประชาชน อันเป็นจุดก้าเนิดโรงเรียนแพทย์แห่งที่ 2 ของประเทศ ซึ่งปัจจุบัน คือ คณะ แพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นการน้อมร้าลึกถึงพระมหา กรุณาธิคุณ คณะกรรมการบริหารสมาคมศิษย์เก่าแพทย์จุฬาลงกรณ์ ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จึงได้ติดต่อให้ คุณไข่มุกด์ ชูโต เป็นผู้ออกแบบปั้นพระบรมรา ชานุสาวรีย์ โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชด้าเนินทรงวางศิลาฤกษ์แท่นประดิษฐาน พระบรมราชานุสาวรีย์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2528 และ พระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชด้าเนินทรงเปิดพระบรมรา ชานุสาวรีย์ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 พระบรมรูปหล่อด้วย ส่วนผสมของทองเหลืองและทองแดง มีขนาดหนึ่งเท่าครึ่งของพระองค์จริง ประทับนั่งเหนือพระเก้าอี้ ผินพระพักตร์ไปทางเบื้องขวาเล็กน้อย ประดิษฐาน ณ ลานหน้าอาคาร อานันทมหิดล ภายในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พระบรมราชานุสาวรีย์ ณ สวนหลวงพระราม 8
สวนหลวงพระราม 8 เป็นสวนสาธารณะเนื้อที่ประมาณ 35 ไร่ ติดแม่น้้า เจ้าพระยา บริเวณเชิงสะพานพระราม 8 เขตบางพลัด ฝั่งธนบุรี ได้รับ พระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชว่า "สวนหลวงพระราม 8" ณ สวนแห่งนี้ มีพระบรมราชานุสาวรีย์ที่ทาง กรุงเทพมหานคร สร้างร่วมกับกรมศิลปากร ความสูงขนาด 3 เท่าของพระองค์ จริง คือ ประมาณ 5.4 เมตร พระอิริยาบถทรงยืน ประดิษฐานบนแท่นที่ความ สูงระดับเดียวกันกับราวสะพานพระราม 8 เพื่อเป็นสิริมงคลแก่สวนแห่งนี้ด้วย นอกจากนั้น บริเวณอาคารเฉลิมพระเกียรติข้างใต้พระบรมราชานุสาวรีย์ยังจัด ให้มีห้องรวบรวมพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจขององค์รัชกาลที่ 8 เพื่อให้ประชาชนที่สนใจพระราชประวัติเข้าไปทรงศึกษาค้นคว้าเรื่องราว พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ บพิตร พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราช ชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชด้าเนิน ทรงเปิดพระบรมรา ชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรา มาธิบดินทร และสวนหลวงพระราม 8 อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555
พระราชกรณียกิจ การปกครอง พระองค์ได้เสด็จพระราชด้าเนินไปในพระราชพิธีพระราชทาน รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 และเปิดประชุมสภา ผู้แทนในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2489
นอกจากนี้ ยังเสด็จพระราชด้าเนินทรงเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่าง ๆ และ ทรงเยี่ยมชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นครั้งแรก ณ ส้าเพ็ง พระนคร พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดความขัดแย้งกันระหว่างชาวไทยและชาวไทยเชื้อสาย จีนจนเกือบเกิดสงครามกลางเมือง เมื่อพระองค์ทรงทราบเรื่อง มีพระราชด้าริ ว่า หากปล่อยความขุ่นข้องบาดหมางไว้เช่นนี้ จะเป็นผลร้ายตลอดไป จึงทรง ตัดสินพระทัยเสด็จพระราชด้าเนินส้าเพ็ง ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง และพระองค์ทรงพระราชด้าเนินด้วยพระบาทเป็นระยะประมาณ 3 กิโลเมตร การเสด็จพระราชด้าเนินส้าเพ็งในครั้งนี้จึงเป็นการประสานรอยร้าวที่เกิดขึ้นให้ หมดไป
การศาสนา ภาพขบวนเสด็จของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เมื่อคราวเสด็จนิวัติพระนครเป็นครั้งแรก เมื่อ15 พฤศจิกายน 2481 ในการเสด็จนิวัติพระนครครั้งแรกนั้น พระองค์ได้ประกอบพิธีทรง ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ท่ามกลางมณฑลสงฆ์ในพระอุโบสถวัดพระศรี รัตนศาสดารามเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 นอกจากนี้ ยังเสด็จพระ ราชด้าเนินไปทรงนมัสการพระพุทธรูปในพระอารามที่ส้าคัญ เช่น วัดพระเชตุ พนวิมลมังคลาราม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร วัดสระเกศราช วรมหาวิหาร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดบวรนิเวศวิหารราช วรวิหาร และวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร
วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร โดยเฉพาะที่วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหารนั้น พระองค์เคยมี พระราชด้ารัสกล่าวว่า "ที่นี่สงบเงียบน่าอยู่จริง" ดังนั้น เมื่อพระองค์เสด็จ สวรรคต จึงได้น้าพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์มาประดิษฐาน ณ วัด แห่งนี้พระองค์ยังทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะผนวชในพระพุทธศาสนา โดยได้มี พระราชหัตเลขาถึงสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2489 ทรงขอสังฆราชานุเคราะห์ในการศึกษาต้าราทาง พระพุทธศาสนาเพื่อใช้ในการเตรียมพระองค์ในการที่จะอุปสมบท แต่ก็มิได้ ผนวชตามที่ตั้งพระราชหฤทัยไว้นอกจากนี้ยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ บ้ารุงวัดวาอาราม กับพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่ศาสนาอื่นตาม สมควร
การศึกษา รัชกาลที่ 8 ทรงพระราชทานปริญญาบัตร ณ ศิริราชพยาบาล ในการเสด็จนิวัติพระนครในครั้งที่ 2 พระองค์ทรงได้ประกอบพระราช กรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของประเทศ โดยเสด็จพระราชด้าเนิน ทอดพระเนตรกิจการของหอสมุดแห่งชาติ รวมทั้ง เสด็จพระราชด้าเนินไปทรง เยี่ยมสถานศึกษาหลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนเทพศิริ นทร์ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ทรงศึกษาขณะทรงพระเยาว์ นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ เสด็จพระราชด้าเนินพระราชทานปริญญาบัตรเป็นครั้งแรกของพระองค์ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2489 และอีก ครั้งที่ หอประชุมราชแพทยาลัยศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2489 โดยในการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งนี้ มีพระราชปรารภให้มีการผลิตแพทย์เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอที่จะช่วยเหลือ
ประชาชน โรงเรียนแพทย์แห่งที่ 2 จึงได้ถือก้าเนิดขึ้นที่โรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์ ซึ่งในปัจจุบัน คือ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การเกษตร ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระองค์ทรงหว่านข้าว ณ แปลงสาธิต ของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งถือเป็นพระราชกรณียกิจสุดท้าย ก่อนเสด็จสวรรคต
วันที่ 5 มิถุนายน 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันท มหิดล ได้เสด็จพระราชด้าเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิ พลอดุลยเดช เสด็จทอดพระเนตรกิจการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ใน วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เพื่อพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้อาจารย์ ข้าราชการ และนิสิตเฝ้าฯ และพระราชทานพระบรมราโชวาท แล้วเสด็จฯ ต่อไปยังสโมสรข้าราชการ จากนั้นประทับรถยนต์พระที่นั่งไปยังตึกขาว และ เสวยพระกระยาหารที่นั่น หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 เสด็จลงยังชั้นล่างเพื่อทอดพระเนตรการแสดงเกี่ยวกับการเกษตร แล้วเสด็จ ไปยังนาทดลองซึ่งอยู่หลังตึก ทรงหว่านข้าว และพระราชทานพระบรมรา ชานุญาตให้ราษฎรทูลเกล้าฯถวายของ แล้วเสด็จฯกลับ
เหตุการณ์ส้าคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลถึงแม้จะเป็น ระยะเวลาอันสั้น แต่ก็มีเหตุการณ์ส้าคัญเกิดขึ้น ดังนี้
เปลี่ยนชื่อจากประเทศสยามมาเป็นประเทศไทย จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2482 รัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศ เปลี่ยนชื่อจากประเทศสยามมาเป็นประเทศ ไทย โดยให้เหตุผลว่าค้าว่าสยามมักใช้กันแต่ในวงราชการและในหมู่ ชาวต่างชาติ ส่วนคนไทยโดยเฉพาะชาวบ้านไม่ค่อยใช้ค้าว่าสยาม แต่ใช้ค้าว่า ไทยอีกประการหนึ่งคือ การขนานนามประเทศส่วนมากมักเรียกตามเชื้อชาติ ของคนผู้เป็นเจ้าของประเทศนั้น ดังนั้นในเมื่อคนไทยมีเชื้อสายไทยก็ควรมีชื่อ ประเทศให้ตรงกับเชื้อชาติ
เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ ก้าหนดให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ โดยมีประกาศเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2483 ให้ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ โดยมีเหตุผลว่า ชาติไทยแต่โบราณมาได้ก้าหนดวันขึ้นปีใหม่ในเดือนอ้ายต่อมาคตินิยมแบบ พราหมณ์แพร่หลายเข้ามาด้วยการก้าหนดเอาวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปี ใหม่ทางจันทรคติ ในขณะที่ประเทศที่เจริญแล้วทางตะวันตกถือเอาวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ฉะนั้นเพื่อความสะดวกในการติดต่อกับต่าง ประทศ จึงเริ่มใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่นับแต่นั้นเป็นต้นมา
สร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บริเวณถนนราชด้าเนินกลาง อนุสาวรีย์นี้ รัฐบาลได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีการปกครองตาม ระบอบประชาธิปไตย โดยได้มีการวางศิลาฤกษ์ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2489
สร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ บริเวณถนนพญาไทต่อกับถนนราชวิถี สร้างขึ้น เพื่อเชิดชูเกียรติของทหาร ต้ารวจ พลเรือน ที่ได้สละชีพเพื่อชาติ มีพิธีเปิด เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2485 เดิมทีจารึกชื่อผู้เสียชีวิตในสมรภูมิอินโด จีนจ้านวน 59 นาย ต่อมาภายหลังได้จารึกชื่อทหารที่เสียชีวิตในสงคราม เกาหลีเพิ่มเติมด้วย
สร้างสะพานข้ามแม่น้้าแควใหญ่และทางรถไฟสายมรณะ สะพานข้ามแม่น้้าแควและทางรถไฟสายมรณะ
สะพานข้ามแม่น้้าแควใหญ่ ที่ชื่อว่า สะพานข้ามแม่น้้าแควและทาง รถไฟสายมรณะ เนื่องจากระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นที่ประกาศ สงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ได้ขอเดินทัพผ่านประเทศไทยในการท้าสงคราม กับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา และได้ยกพลขึ้นบกอย่างกะทันหันตามจังหวัด ชายทะเลของไทย ไทยจึงจ้าต้องยอมให้ญี่ปุ่นผ่าน ญี่ปุ่นสร้างทางรถไฟจาก ชุมทางหนองปลาดุก จ. ราชบุรี ผ่าน จ. กาญจนบุรี ต่อ ไปยังพม่า เพื่อใช้ เป็นเส้นทางล้าเลียงยุทธสัมภาระไปพม่าและอินเดียในการสร้างทางรถไฟ สาย นี้ญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร และว่าจ้างกรรมกรสร้างอย่าง เร่งด่วนแต่เนื่องจากทางรถไฟจะต้องผ่านเทือกเขา และป่าทึบ อากาศร้อนจัด และหนาวจัด อีกทั้งมีไข้ป่าชุกชุม เชลยศึกและกรรมกรขาดแคลนอาหาร และยา เจ็บป่วยล้มตายเป็นจ้านวนมากทุกวัน ทางรถไฟเส้นนี้จึงถูกขนาน นามว่าทางรถไฟสายมรณะ ในการสร้างทางรถไฟสายนี้ ได้สร้างสะพานเพื่อ ใช้ข้ามแม่น้้าด้วย ชื่อว่าสะพานข้ามแม่น้้าแคว สะพานนี้สร้างเสร็จเมื่อเดือน กันยายน พ.ศ. 2486 ต่อมาเมื่อฝ่ายญี่ปุ่นแพ้สงคราม ไทยจึงได้ซื้อทางรถไฟ สายนี้จากฝ่ายสัมพันธมิตร
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลสวรรคต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงตั้งพระทัยจะทรงศึกษาปริญญา เอก สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยโลซาน ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์จน เรียบร้อยแล้วจึงจะเสด็จนิวัติพระนครเป็นการถาวรและทรงเข้ารับการ บรมราชาภิเษกในภายหลัง
ณ ห้องพระบรรทมพระที่นั่งบรมพิมาน พระองค์ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อนด้วยพระแสงปืนในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เวลาประมาณ 9 นาฬิกา ณ ห้องพระบรรทมพระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง ก่อนก้าหนดการเสด็จพระราชด้าเนินไปทรงศึกษา ต่อที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์เพียง 4 วัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) สิ้นพระชนม์ด้วยต้องพระแสงปืนในวันนี้ ณ ในห้องพระบรรทม ณ พระที่นั่ง บรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง เหตุการณ์เกิดขึ้นเวลาประมาณ 9.30 น. ได้ เกิดเสียงปืนดังขึ้นในห้องบรรทมของรัชกาลที่ 8 พบพระวรกายของพระองค์ ทรงทอดอยู่บนพระแท่นบรรทม โดยมีแผลกระสุนที่พระนลาฏ (หน้าผาก) พระกรทั้งสองวางอยู่ข้างพระวรกาย พระวิสูตร (มุ้ง) ถูกตลบขึ้นเหนือพระ แท่น บนพระแท่นบรรทมบริเวณใกล้พระหัตถ์ซ้าย มีพระแสงปืนสั้นวางอยู่ใน ลักษณะชิดพระกัประ (ข้อศอก) ด้ามพระแสงปืนหันออกจากพระวรกาย
ปากกระบอกชี้ไปที่ปลายพระแท่นบรรทมในชั้นต้นทางราชการได้มีการแถลง ข่าวสาเหตุการสววรคตว่าเป็นอุบัติเหตุจากพระแสงปืนลั่น แต่การสอบสวนใน ภายหลังกลับพบสาเหตุว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ นายชิด สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน นายเฉลียว ปทุมรส ขึ้นศาลฟังการพิจารณาคดีลอบปลงพระชนม์ จากการสอบสวนพบว่า ณ ที่ห้องบรรทมไม่พบร่องรอยการปีนป่ายจาก ภายนอก และทางเข้าออกห้องบรรทมมีแค่ทางเดียวซึ่งมหาดเล็กได้เฝ้าอยู่ ตลอดเวลา ส่งผลให้ศาลฏีกาตัดสินให้จ้าเลยทั้งสาม คือ นายชิต และนายบุศย์ ผู้เป็นมหาดเล็กประจ้าห้องบรรทม และนายเฉลียว อดีตสมาชิกคณะราษฎร และอดีตราชเลขาธิการส่วนพระองค์ มีความผิดต้องโทษประหารชีวิต
9 มิถุนายน 2489 (วันเกิดเหตุ) พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง (สถานที่เกิดเหตุ) ประมวลจากหนังสือ กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน 2489หน้า 7-20 และ คดี ประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.8 หน้า 17-19 เวลาประมาณ 5.00 น. สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงปลุกบรรทม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เพื่อถวายพระโอสถให้เสวย จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมต่อ เวลาประมาณ 6.00 น. ทรงพระประชวรพระนาภี สมเด็จพระราชชนี เสด็จไปถวายน้้ามันละหุ่ง นม และบรั่นดีแต่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา อานันทมหิดลแล้วเสด็จกลับ
เวลาประมาณ 6.20 น. นายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเข้าเวรถวายงานที่พระที่นั่งบรมพิมาน ซึ่งเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้รินน้้าส้มคั้นที่ห้อง เสวยเพื่อคอยทูลเกล้าฯ ถวาย เวลาประมาณ 7.00 น. - 8.00 น. มหาดเล็กรับใช้ขึ้นไปบนพระที่เตรียม จัดตั้งโต๊ะเสวย เวลาประมาณ 8 นาฬิกาเศษ นายบุศย์เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตื่นพระบรรทมจึงน้าน้้าส้มคั้นไปถวาย แต่พระองค์โบกพระหัตถ์ไม่เสวย แล้ว เสด็จขึ้นพระแท่นบรรทมตามเดิม นายบุศย์จึงกลับมาประจ้าหน้าที่ ที่หน้าห้อง พระบรรทมตามเดิม เวลาประมาณ 8.30 พระบาทสมเด็จพระปรเมทรมหาอานันมหิดลทรง ตื่นบรรทมเข้าห้องสรง ยื่นประทับในห้องแต่งพระองค์ นายบุศย์ถวายน้้าส้ม พระองค์ไม่ทรงรับเสด็จเข้าห้องพระบรรทมนายบุศย์ถือน้้าส้มเดินตามเสด็จ พระองค์เสด็จขึ้นพระแท่นบรรทม โบกพระหัตถ์ให้นายบุศย์ออกไป นายบุศย์ ถือน้้าส้มออกไป มานั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าพระทวารเข้าห้องแต่งพระองค์ เวลา 8.55 นายชิต สิงหเสนี ขึ้นไปบนพระที่นั่ง(บางหนังสือเล่าว่านาย ชิดมากับพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร) เพื่อวัดขนาดดวงพระตราเพื่อเอาไปให้ ช่างท้าหีบดวงพระตรา นายชิตกับนายบุศย์นั่งคอยอยู่หน้าห้องแต่งพระองค์ เวลา 9.00 น. พระพี่เลื้ยงเนื่อง (นางสาวเนื่อง จิตตดุลย์) ขึ้นไปบนพระที่ นั่ง เข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมราชชนีจัดห้องแล้วเก็บฟิล์มหนังในห้อง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เวลาประมาณ 9 นาฬิกาเศษ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชทรงเสวยพระกระยาหารเช้าพระองค์เดียว ณ มุขพระที่นั่งด้านหน้ามี มหาดเล็กรับใช้ 2 -3 คนเสด็จออกจากโต๊ะเสวยไปทางห้องพระบรรทมของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลพบนายชิด สิงหเสนี บุศย์ ปัทมศริน ที่หน้าห้องแต่งพระองค์ทรงถวายพระอาการของพระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล แล้วเสด็จกลับห้องของพระองค์ เวลาประมาณ 9.20 น. เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ภายในห้องพระบรรทม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล นายชิตสะดุ้งอยู่มองหน้านาย บุศย์และคิดหาที่มาของเสียงปืนอยู่ประมาณ 2 นาที จึงเข้าไปในห้องพระ บรรทม พบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมหลับอยู่เป็นปกติ แต่ ปรากฏว่ามีพระโลหิต (เลือด) ไหลเปื้อนพระศอ (คอ) และพระอังสะ (ไหล่) ด้านซ้าย
นายชิตจึงวิ่งไปที่ห้องบรรทมของสมเด็จพระบรมราชชนนีแล้วกราบทูล ว่า “ในหลวงถูกยิง” สมเด็จพระบรมราชชนนีตกพระทัย ทรงร้องขึ้นได้เพียง ค้าเดียวและรีบวิ่งไปที่ห้องพระบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดลทันที นายชิต, พระพี่เลี้ยงเนื่อง, สมเด็จพระอนุชาธิราช, และ นางสาวจรูญได้วิ่งตามเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนนีไปติด ๆ ขณะที่เสียงปืนดังขึ้น ชิต สิงหเสนี และบุศย์ ปัทมศริน นั่งอยู่ที่พื้นระเบียงหน้า พระทวารห้องแต่งพระองค์เป็นทางเดียวจะเข้าสู่ห้องพระบรรทมของสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวอานันมหิดล เมื่อไปถึงที่ห้องพระบรรทมนั้น ปรากฏว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ สวรรคตเสียแล้ว ในลักษณะของคนที่นอนหลับธรรมดา มีผ้าคลุมพระองค์ ตั้งแต่ข้อพระบาทมาจนถึงพระอุระ ที่พระบรมศพมีบาดแผลกลางพระนลาฎ (หน้าผาก) บริเวณระหว่างพระขนง (คิ้ว) ข้างพระศพบริเวณข้อพระกรซ้ายมี ปืนพกกองทัพบกสหรัฐ ผลิตโดยบริษัทโคลต์ ขนาดกระสุน 11 มม. ซึ่งนาย ฉันท์ หุ้มแพร มหาดเล็กเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวายวางอยู่ในลักษณะชิดข้อศอก ด้ามปืนหันออกจากตัว ปากกระบอกปืนชี้ไปที่ปลายพระแท่นบรรทม สมเด็จ พระราชชนนีได้โถมพระองค์เข้ากอดพระบรมศพของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอต้องพยุงสมเด็จพระราชชนนีไปประทับที่พระเก้าอี้ ปลายแท่นพระบรรทม จากนั้นสมเด็จพระราชชนนีจึงมีรับสั่งให้ตามพันตรี นายแพทย์ หลวง นิตย์เวชชวิศิษฏ์ (นิตย์ เปาเวทย์) แพทย์ประจ้าพระองค์ มาตรวจพระอาการ ของในหลวง ส่วนพระพี่เลี้ยงเนื่องได้จับพระชีพจรของในหลวงที่ข้อพระหัตถ์ ซ้าย พบว่าพระชีพจรเต้นอยู่เล็กน้อยแล้วหยุด พระวรกายยังอุ่นอยู่ จึงเอาผ้า