พระราชประวัติ สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช
มหาราชพระองคท์ ่ี 5 (ฉบบั ปรบั ปรงุ )
ผเู้ รยี บเรยี งนายประสาร ธาราพรรค์
สมเดจ็ พระนารายณฯ์ พระนามเดมิ เจา้ ฟา้ นรนิ ทร์
เจา้ ปถพนิ ทร์ อยุธยา นรงั สรรค์
เม่ือยังเยาว์ พระญาตเิ หน็ องคจ์ กั รพรรด์ิ
พระกรนน้ั ธ ทรงมี ถึงส่ีกร
พระราชบดิ า จงึ ประทาน นามมาใหม่
เรยี กนามไท้ พระนารายณ์ เปน็ อนสุ รณ์
พระชนมายุ หา้ และเกา้ พรรษา องคภ์ มู ธิ ร
พระเกียรตขิ จร ถูกอสนบี าต ทรงปลอดภยั
ทรงสรา้ งเมือง ลพบรุ ี ราชธานี
องคจ์ กั รี พระราโชบาย ทนั สมยั
ทรงเปดิ รบั ความรู้ โลกยุคใหม่
ทรงทาให้ ชาตพิ น้ ภยั ฮอลนั ดา
ทรงสง่ ราชทตู ไปฝรงั่ เศส เจรญิ ไมตรี
พระเจา้ หลยุ สท์ ี่ 14 ทรงต้อนรบั ดีหนกั หนา
ผกู สมั พนั ธ์ ต่างประเทศ เตม็ อตั รา
อยธุ ยา พฒั นา ทว่ั แผน่ ดิน
นา้ พระทัย ของพระองค์ ทรงกลา้ หาญ
ทรงเช่ยี วชาญ การสงคราม วรรณศลิ ป์
ทรงอัญเชญิ พระพทุ ธสิหงิ ค์ สมใจจนิ ต์
องคธ์ รณนิ ทร์ ทรงอปุ ถัมภ์ บารงุ กวี
จนั ทรปุ ราคา สรุ ยิ ปุ ราคา เกดิ ในรชั สมยั
พระองคใ์ ช้ กลอ้ งดดู าว ส่องวถิ ี
การคา้ ขาย ตา่ งประเทศ รงุ่ เรืองดี
สุขเปรมปรดี ิ์ มที ว่ั ไป ในอยุธยา
ปวงชาวไทย ลว้ นยกยอ่ ง สรรเสรญิ
ชาตเิ จริญ ลดเภทภยั สขุ หรรษา
รัฐมนั่ คง ราษฎรม์ งั่ คง่ั ม่นั ศรัทธา
องคร์ าชา ทรงพทิ กั ษ์ รักษแ์ ผน่ ดนิ
....................................................................
ดว้ ยเกล้าดว้ ยกระหมอ่ ม
ขา้ พระพทุ ธเจา้ นายประสาร ธาราพรรค์ ผปู้ ระพนั ธ์
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในรัชสมัยของพระองค์เจริญรุ่งเรือง
ในทางวรรณคดีและการต่างประเทศ พระราชกรณียกิจนานัปการท่ีทรง
กระทานาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศชาติ อาทิ ทรงเจริญสัมพันธไมตรี
กับตะวันตก ทาให้ไทยรอดพน้ จากการเป็นเมอื งข้นึ ทรงสรา้ งเมืองลพบุรีเป็น
ราชธานแี หง่ ท่ี 2
พระราชกรณียกจิ อนั ยง่ิ ใหญ่ของพระองค์ จงึ สมควรเป็นอย่างย่ิงในการ
เทิดพระเกียรติและระลึกถึงพระปรีชาสามารถ ตลอดจนพระอัจฉริยภาพอัน
เปี่ยมล้นของพระองค์ประชาชาติไทยจึงถวายพระนามเทิดพระเกียรติอัน
สูงสง่ ของพระองคว์ ่า “สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช”
พระราชประวัตสิ มเดจ็ พระนารายณม์ หาราช
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นกษัตริย์องค์ท่ี 28 แห่งอาณาจักร
อยธุ ยา พระองคท์ รงได้รับยกย่องให้เป็นมหาราช ทงั้ น้เี พราะถอื วา่ รชั สมยั ของ
พระองค์เจริญรุ่งเรืองในทางวรรณคดีและการต่างประเทศ แต่สมัยของ
พระองค์เป็นสมัยที่ปัญหายุ่งยากทางการเมืองภายในอย่างสูง และเข้าไป
เกีย่ วข้องกับการเมืองต่างประเทศในลักษณะท่ีล่อแหลมจนเกือบทาให้สยาม
ตกอยู่ใต้อิทธิพลของฝรั่งเศส สมัยของพระองค์เป็นสมัยท่ีมีข้อมูลทาง
ประวัตศิ าสตรม์ ากท่ีสุดของอยุธยา
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีบทบาทสาคัญ
แตกต่างจากวีรกษัตริย์พระองค์อื่น พระองค์ทรงมีความเฉลียวฉลาด
ปราดเปร่ือง เป็นที่ยกย่องสรรเสริญ พระปรีชาสามารถแผ่ไปไกลถึง
ตา่ งประเทศ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงทานุบารุงให้บ้านเมืองรุ่งเรืองยิ่งกว่า
สมัยใดในกรุงศรีอยุธยา มีความสามารถพิเศษในการปกครอง มีข้าราชการ
และเหล่าทหารหาญตามคัมภีรพ์ ิชยั สงครามคือ หัวศึก ได้แก่เจ้าพระยาโกษา
เหล็ก มือศึก ได้แก่พระยาเดโชชัย ตีนศึก ได้แก่พลช้างม้าครบถ้วน ตาศึก
ได้แก่พระพิมลธรรม หูศึก ได้แก่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ปากศึก ได้แก่พระวิ
สตุ รสนุ ทร (โกษาปาน) กาลังศึก กค็ ือผคู้ นช้างม้า เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์
ในรชั สมยั ของพระองค์
พระราชสมภพ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จพระบรมราชสมภพ เม่ือวันจันทร์
เดือนยี่ ปีวอก พ.ศ. 2175 เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
กับพระนางศริ ธิ ดิ า ต่อมาภายหลังยกเปน็ พระราชเทวี และมีพระขนิษฐาร่วม
พระมารดาคือสมเด็จเจ้าฟ้าศรีสุพรรณ กรมหลวงโยธาทิพ หรือพระราช
กัลยาณี
พระราชบิดาและพระราชมารดาเป็นเครือญาติกัน หม่อมหลวงมานิจ
ชุมสายระบุว่า พระมารดาของพระนารายณ์เป็น "...พระขนิษฐาต่างมารดา
ของพระเจ้าปราสาททอง" แต่งานเขียนของนิโคลาส์ เดอ แซร์แวส ระบุว่า
มารดาเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ส่วนพระราชบิดาคือ
สมเด็จ พระเจ้าปราสาททอง ฟาน ฟลีต ระบุว่า เป็นลูกของน้องชาย
พระราชมารดาในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระองค์มีพระนมท่ีคอยอุปถัมภ์
อารุงมาแต่ยังทรงพระเยาว์ คือ เจ้าแม่วัดดุสิต ซ่ึงเป็นญาติห่าง ๆ ของพระ
เจ้าปราสาททองเช่นกัน กับอีกท่านหน่ึงคือพระนมเปรม ที่ฟร็องซัว อ็องรี ตุ
รแปง (François Henry Turpin) ระบุว่าเป็นเครือญาติของสมเด็จพระ
นารายณ์
พระนารายณเ์ ทพของอนิ เดยี
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นพระอนชุ าตา่ งพระมารดาในสมเดจ็ เจ้า
ฟ้าไชย และยังมีพระอนุชาต่างพระมารดาอีก ได้แก่ เจ้าฟ้าอภัยทศ (เจ้าฟ้า
งอ่ ย), เจ้าฟา้ น้อย, พระไตรภูวนาทิตยวงศ์, พระองค์ทอง และพระอินทราชา
นอกจากน้ีพระองค์ยังทรงมีพระขนิษฐาร่วมพระชนนีองค์หน่ึง คือ สมเด็จ
พระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าศรีสุวรรณ กรมหลวงโยธาทิพในพระราช
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเล่าว่าเมื่อแรกเสดจ็ พระบรมราชสมภพน้นั พระองค์
มีพระนามเดิมวา่ "เจา้ ฟา้ นรินทร์" แต่เมอื่ ข้นึ พระอู่ พระญาติเห็นพระโอรสมสี ่ี
กร พระราชบิดาจึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า "พระนารายณ์"
สว่ นในคาให้การชาวกรงุ เกา่ และคาใหก้ ารขนุ หลวงหาวดั เลา่ ว่าเมอ่ื เพลิงไหม้
พระทนี่ ่งั มงั คลาภิเษก พระโอรสเสด็จไปช่วยดับเพลงิ ผคู้ นเห็นเปน็ สีก่ ร จงึ พา
กนั ขนานพระนามว่า พระนารายณ์
พระราชวงั บางปะอนิ
พระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์นั้นเก่ียวกับเร่ืองปาฏิหาริย์อยู่
มาก แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของพราหมณ์ เมื่อเทียบกับกษัตริย์องค์ก่อนๆ
ด้วยเหตุน้ีเองพระราชประวัติของพระองค์จึงกล่าวถึงปาฏิหาริ ย์มหัศจรรย์
ตามลาดับ คือ เมื่อพระนารายณ์ทรงมีพระชนม์ได้ 5 พรรษา ขณะเล่นน้า
พระองค์ทรงถกู อสนบี าตฟ้าผา่ พวกพี่เล้ยี ง นางนม สลบหมดสนิ้ แตพ่ ระองค์
ไม่เปน็ ไรแม้แตน่ ้อย เมื่อพระนารายณ์ทรงมีพระชนม์ได้ 9 พรรษา พระองค์
ทรงถูกอสนีบาตทพ่ี ระราชวังบางปะอิน แตพ่ ระองค์กป็ ลอดภยั ดี
การศึกษา
พระโหราธบิ ดี
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงรับการศึกษาจากพระโหราธิบดี ซึ่งเปน็
ข้าราชการระดับสูงในพระราชวัง และพระอาจารย์พรหม พระพิมลธรรม
รวมท้ังสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์และพระสงฆ์ที่มีสมณศักด์ิระดับสูงในพระ
นคร
การครองราชย์
ตราพระราชลญั จกรสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช
สมเด็จพระนารายณ์เป็นโอรสของพระเจ้าปราสาททองกษัตริย์องค์ที่
25 และเมอ่ื พระราชบดิ าสวรรคตพระเชษฐาของพระองค์คือ เจา้ ฟ้าไชย ก็ขึน้
ครองราชย์ไดเ้ พียง 2 วัน พระนารายณท์ รงรว่ มสมคบกบั พระศรีสธุ รรมราชา
ซึ่งเป็นพระเจ้าอา ชิงราชสมบัติ โดยขอให้ชาวต่างชาติในอยุธยา เช่น
ฮอลันดา ญ่ีปุ่น เปอร์เซีย ช่วยให้พระศรีสุธรรมราชาข้ึนครองราชย์สมบัติ
แทน สมเด็จพระศรีสุธรรมราชาทรงแตง่ ตั้งให้พระองค์ดารงตาแหน่งพระมหา
อุปราชและให้เสด็จไปประทับท่ีพระราชวังบวรสถานมงคล หลังจากสมเด็จ
พระศรีสุธรรมราชาขึ้นครองราชย์สมบัติได้ 2 เดือนเศษ พระองค์ทรงชิงราช
สมบัตจิ ากสมเดจ็ พระศรสี ุธรรมราชาอกี ครัง้
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จขึ้นครองราชยส์ มบตั ิ เมอ่ื เวลาสอง
นาฬิกา วันพฤหัสบดี แรม 2 ค่า เดือน 12 จุลศักราช 1018 ปีวอก (ตรงกับ
วนั ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2199) มพี ระนามจารึกในพระสพุ รรณบฏั วา่
"สมเด็จพระบรมราชาธิราชธิบดีศรีสรรเพชญ บรมมหาจักรพรรดิศวร
ราชาธิราชราเมศวร ธรรมธราธิบดี ศรีสฤฎิรักษสังหารจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริ
เยนทราธิบดีดินทร หริหรินทรธาดาธิบดี ศรีวิบุลยคุณอกนิฐ จิตรรุจีตรีภูวนา
ทิตย์ ฤทธิพรหมเทพาดิเทพบดินทร์ ภูมินทราธิราช รัตนากาศมนุวงศ์องค์
เอกาทศรสรุทร์ วิสุทธยโศดม บรมอาชวาธยาศรัย สมุทัยตโรมนต์ อนนตคุณ
วบิ ลุ ยสนุ ทรบวรธรรมมกิ ราชเดโชไชย ไตรโลกนาถบดนิ ทร์ วรนิ ทราธริ าชชาติ
พิชิต ทิศพลญาณสมันตมหันตวิปผาราฤทธิวิไชย ไอศวรรยาธิบัติขัตติยวงศ์
องค์ปรมาธิบดตี รีภวู นาธิเบศร โลกเชษฐวสิ ทุ ธ มกุฎรตั นโมฬี ศรปี ทุมสรุ ิยวงศ์
องค์สรรเพชญพ์ ุทธางกูร บรมบพติ ร"
พระอคั รมเหสี พระราชโอรส พระราชธดิ า
กรมหลวงโยธาเทพ
สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช มพี ระราชธดิ าเพยี งพระองคเ์ ดยี วทเี่ กดิ กบั
พระอัครมเหสีฝ่ายขวา คือ สมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี ที่ได้รับการสถาปนาพระ
อิสริยยศเป็น "กรมหลวงโยธาเทพ" ถือเป็นเจ้าฟ้าต่างกรมคู่แรก พร้อมกับ
สมเด็จเจา้ ฟ้าศรีสพุ รรณ พระขนษิ ฐาพระราชธิดาพระองค์ดังกล่าวมีพระราช
อานาจสูงมาก พระองค์มีบทบาทด้านการค้าค่อนข้างสูงในรัชสมัยของพระ
ราชบิดา โดยจากหลักฐานของลาลูแบร์ได้กล่าวว่าเจ้าฟ้าพระองค์น้ี "...ดารง
อิสริยยศเย่ียงพระมเหสี..." และบางครั้งชาวตะวันตกก็เรียกแทนว่าเป็น
"ราชินี" และหากมีผู้ใดเสกสมรสด้วยกับเจ้าฟ้าพระองค์นี้ก็ย่อมได้รับสิทธิ
ธรรมเหนอื ราชบัลลงั กม์ ากข้นึ ด้วย
พระบรมสาทสิ ลกั ษณ์ สมเด็จพระเพทราชา ในทัศนะของชาวตะวันตก
นอกจากน้ียังมีปรากฏในพงศาวดารว่าทรงมีพระโอรสลับคือ หลวงสร
ศักด์ิ คาให้การขุนหลวงหาวัด ระบุว่า เกิดจากพระราชชายาเทวี มีนามเดิม
วา่ เจา้ จอมสมบญุ ภายหลังได้มอบราชบุตรดังกล่าวกับเจ้าพระยาสุรศรี (พระ
เพทราชา) สว่ น คาให้การชาวกรงุ เก่า ระบุว่า เกิดกบั นางนกั สนมที่ชื่อกสุ าวดี
เมือ่ นางต้งั ครรภ์กไ็ ดส้ ่งนางไปอยกู่ ับเจา้ พระยาสรุ สีห์ (คือพระเพทราชา) สว่ น
พระราชพงศาวดารฯ ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว) กลับให้ข้อมูลท่ีต่าง
ออกไปว่า มีพระนามเดิมว่า มะเดื่อ เกิดจากพระราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่
ภายหลงั ทรงใหพ้ ระเพทราชาไปดแู ล ด้วยทรงละอายพระทัยท่ีเสพสังวาสกับ
นางลาว
สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช
ในพงศาวดารของไทยปรากฏว่าพระองค์ไม่ทรงยกย่องพระโอรสลับ
พระองค์ใดที่เกิดกับพระสนมมีสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ แต่ทรงหมาย
พระทัยให้มีพระราชโอรสท่ีประสูติแต่พระอัครมเหสีสืบราชสมบัติเสีย
มากกวา่ ดงั ปรากฏใน คาให้การชาวกรุงเกา่ ว่า “ครัน้ ตอ่ มาพระนารายนท์ รง
พระปริวิตกด้วยหาพระราชโอรสสืบราชตระกูลมิได้ จึงรับส่ังให้พระอรรค
มเหษีต้ังสัตยาธิษฐานขอพระโอรส แต่นางนักสนมทั้งปวงน้ันมิได้รับส่ังขอ
ด้วยไม่วางพระไทยกลัวจะเปนขบถอย่างพระสีสิงห์ [พระศรีศิลป์] ที่สุดนาง
นักสนมคนใดมคี รรภข์ ึ้นกใ็ หร้ ดี เสีย มิไดเ้ กดิ โอรสธดิ าได้”สว่ นใน คาให้การขนุ
หลวงหาวดั ซ่ึงถ่ายมาจากคาใหก้ ารชาวกรุงเกา่ กอ็ ธิบายไวด้ จุ กัน แต่ได้ขยาย
ความดงั กลา่ ววา่ “อันพระนารายณ์นน้ั ได้ขัดเคอื งพระศรศี ลิ ปกมุ ารแตค่ รง้ั นน้ั
มาว่าเปนขบถ เพราะเหตุว่ามิใช่ลูกของพระองค์ที่เกิดกับพระมเหษี จึงจะ
ไมเ่ ปนขบถ...อนั พระมเหษนี ัน้ ก็มแี ตพ่ ระราชธิดา มิไดม้ ีเปนกุมาร พระองค์จงึ
รกั ษาศีลาจารวัตรปฏิบัตโิ ดยธรรมสุจรติ จะขอใหไ้ ดพ้ ระโอรสอนั เกิดในครรภ์
พระมเหษี ก็มไิ ดด้ ่งั พระทัยปรารถ์ นา จงึ ทรงพระโกรธ ครัน้ เม่อื ทรงพระโกรธ
ข้ึนมา จึงตรัสกับพระสนมกานัลท้ังปวงว่า ถ้าใครมีครรภ์ข้ึนมาแล้วจะให้
ทาลายเสีย กูมิให้ได้สืบสุริยวงศต่อไป ต่อเมื่อเกิดในครรภ์พระมเหษี กูจึงจะ
มอบโภคัยศวรรยทัง้ ปวงให้ตามใจกูปรารภ ครัน้ พระสนมกานัลรตู้ วั ว่ามีครรภ์
กต็ ้องทูลพระองค์ ครนั้ ทราบกใ็ ห้ทาลายเสียอย่างนนั้ เปนหนกั หนา”
นอกจากนี้บาทหลวงเดอ แบส และพระราชพงศาวดารฯ ฉบับพระ พน
รตั น์ (แกว้ ) ได้กล่าวถงึ เรอ่ื งทส่ี มเด็จพระนารายณท์ รงรบั เล้ยี งดเู ด็กเลก็ เลยี้ งดู
ในพระราชวังหลายคนโดยเลี้ยงดุจลูกหลวง แต่หากเด็กคนใดร้องไห้อยาก
กลับไปหาพอ่ แมเ่ ดิมกท็ รงอนญุ าตส่งตวั คืน
ลา ลแู บร์ ราชทตู คนสาคญั ทเ่ี ขา้ มาในราชอาณาจักรอยธุ ยา
สมยั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช
ลาลูแบร์ได้อธิบายเพ่ิมเติมว่า "...พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะเล้ียงไว้
จนกระท่ังเด็กนั้นมีอายุได้ 7 ถึง 8 ขวบ พ้นน้ันไปเม่ือเด็กส้ินความเป็นทารก
แล้วก็จะไม่โปรดอีกต่อไป..." แต่มีเพียงคนเดียวท่ีโปรดปรานคือ พระปีย์ ทั้ง
ยังโจษจันกันว่าน่ีอาจเป็นพระโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์ก็มี ขณะที่
สมเดจ็ พระนารายณ์เองก็ทรงวางเฉยกับเรื่องพระปีย์เป็นโอรสลับเสียด้วยใน
พระราชพงศาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา กลา่ วว่า พระองค์มพี ระราชโอรส
หน่ึงพระองค์พระนามวา่ เจา้ ฟ้านอ้ ย เมอ่ื โสกนั ตแ์ ล้วพระราชทานนามว่า เจา้
ฟ้าอไภยทศ แต่ในจดหมายเหตุและคาให้การขุนหลวงหาวัดกล่าวต้องกันว่า
สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชไม่มีพระราชโอรส เจา้ ฟา้ อไภยทศพระองคน์ เ้ี ปน็
พระราชอนชุ าของพระองค์
พระราชกรณยี กิจของสมเด็จพระนารายณม์ หาราช
ภาพพมิ พส์ มเดจ็ พระนารายณม์ หาราช พมิ พท์ ฝ่ี รงั่ เศส เม่อื 300 ปมี าแลว้
วัดพระศรสี รรเพชญ์
ถวายพระเพลิงสมเด็จพระพทุ ธเจ้าหลวง (สมเดจ็ พระศรีสธุ รรมราชา)
สมเด็จพระนารายณ์ทรงมีทศพิธราชธรรมอันประเสริฐ แก่อาณา
ประชาราษฎร์ท้ังปวง ให้มีการลดส่วยสาอากรแก่ราษฎร 3 ปี ทรงบาเพ็ญ
กุศลหลายประการ ทั้งยังสั่งให้จัดการถวายพระเพลิงสมเด็จพระพุทธเจ้า
หลวง (สมเดจ็ พระศรสี ุธรรมราชา) ส่วนพระเมรสุ ูงสองเนน้ สบิ เอด็ วา ประดับ
ประดาด้วย ฉตั รทอง ฉัตรนาค ฉตั รเงนิ ฉตั รเบญจรงค์และธงทิวโอ่อ่าโอฬาร
สมพระเกยี รตเิ สร็จสรรพทกุ ประการ หลงั ถวายพระเพลิงแลว้ พระอฐั ธิ าตุกไ็ ด้
อันเชญิ ไปประจุไว้ทีว่ ดั พระศรีสรรเพชญ์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช แม้ว่า
จะไมต่ อ้ งทาศกึ มากมายอยา่ งพระนเรศวร แตน่ ้าพระทัยของพระองค์มีความ
กล้าหาญเดด็ เดย่ี วเช่นเดยี วกัน พระองคท์ รงมคี วามคิดรอบคอบใช้พระสติตริ
ตรองปญั หาท่ีเผชิญหนา้ อยา่ งดีท่ีสุด
มีเหตุการณ์ในรัชสมัยของพระองค์ท่ีจะยกมากล่าวไว้เร่ืองหนึ่ง คือใน
ราวเดอื นยี่ ปีเดียวกับการพระราชทานถวายเพลิงศพนั่นเอง มีอาแดงแก่นซึ่ง
เป็นข้าบาทของพระไตรภูวนาทติยวงศ์ ได้นาเอาความเท็จทูลยุแหย่แก่พระ
ไตรภูวนาทติยวงศ์ ทานองว่าข้าหลวงของพระนารายณ์กล่าวหาว่า พระไตร
ภูวนาทติยวงศ์เข้าข้างสมเด็จพระศรีสุธรรมราชามาก่อน คร้ันส้ินพระชนม์
พระศรีสุธรรมราชาแล้วก็หันมาประจบพวกข้าหลวงเหล่าน้ัน อาแดงแก่นทูล
ยยุ งุ พระไตรภูวนาทตยิ วงศ์หลายครั้ง จนกระทั่งพระไตภวู นาทตยิ วงศ์คิดซ่อง
สุมผู้คนไว้นอกพระนคร เมื่อข้าหลวงเอาเน้ือความมากราบทูลสมเด็จพระ
นารายณต์ ามความจริงทุกประการ พระองค์ทรงทราบโดยตลอดว่าบัดน้ีพระ
ไตรภูวนาทติยวงศ์ทาการซ่องสุมผุ้คนแน่นอนแล้ว จึงส่ังให้มหาดเล็กเอาเงิน
หลวงรอ้ ยช่ังใหแ้ ก่พระไตรภูวนาทตยิ วงศ์ โดยบอกวา่ ให้เอาไปแจกราษฎรทั้ง
ปวงท่วั กัน ต่อมาพระยาพิชัยสงคราม พระมหามนตรี มากราบทูลอีกว่าพระ
ยาพัทลงุ และพระศรภี รู ิปรชี า คดิ อา่ นกบั พระไตรภวู นาทตยิ วงศจ์ ะคิดร้ายกับ
แผ่นดิน สมเด็จพระนารายณ์ก็ทรงตรัสว่าจะฟังเนื้อความนี้ดูจงม่ันแม่น
เสียก่อน สมเด็จพระนารายณ์ทรงเป็นกษัตริย์ที่พระสติรอบคอบคือ ไม่ยอม
ปักใจชื่อฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง คร้ันความจริงปรากฏว่าพระไตรภูวนาทติยวงศ์
คิดร้ายกับพระองค์จริง ดังคาของเสนาบดีและข้าหลวงผู้จงรักภักดีและ
ซื่อสัตย์ และทูลขอให้พระนารายณ์สาเร็จโทษตามพระราชประเพณี แต่
พระองค์ทรงมีน้าพระทยั กวา้ งขวาง จึงตรัสแก่เสนาบดีและข้าหลวงผู้ซ่ือสัตย์
ว่า “เราจะสาเร็จโทษที่น้ีหาได้ไม่ แต่เราจะไปพระนครหลวงแล้วเราจะทรง
มา้ ต้น ให้องค์ไตรภวู นาท ตยิ วงศ์ขี่ม้าออกไปกลางทุ่งพระนคร ถ้าองค์
ไตรภูวนาทติยวงศ์จะคิดทาร้ายแก่เรา ๆ ก็มิเข็ดขาม จะยุทธด้วยองค์ไตรภูว
นาทติยวงศ์ที่นั่นและเอาบุญญาธิการแห่งเราเป็นที่พึ่ง” พระนารายณ์ทรงมี
น้าพระทัยล้าเลิศเช่นนี้และพระองค์ก็ทรงปฏิบัติดังที่ตรัสไว้ น้าพระทัยอัน
กว้างขวางเช่นน้ีเปน็ ท่ีประจักษช์ ัดหลายครงั้ หลายคราว บรรดาขา้ ราชบริพาร
เสนาบดีและมุขมนตรีทงั้ หลายตา่ งกพ็ ากันชนื่ ชมในบารมีของพระองค์โดยทั่ว
หน้ากัน
อญั เชิญพระพทุ ธสิหงิ คม์ ายังกรุงศรีอยุธยา
พระพุทธสิหงิ ค์
สมเดจ็ พระนารายณท์ รงเป็นกษัตรยิ ์นกั รบดว้ ยพระองค์หนึ่ง แม้อาจจะ
ไม่เหมือนพระมหากษัตริย์นักรบองค์สาคัญอื่น ๆ แต่พระองค์ก็ทรงเป็น
ผู้จัดการด้านกองทัพและปฏิบัติภารกิจในการสงครามอย่างได้ผลดีย่ิง เมือง
เชียงใหม่ซึ่งเสียไปคร้ังพระเจ้าปราสาททอง ได้มีหนังสือแจ้งมายังกรุงศรี
อยุธยาว่า พวกฮ่อยกเข้าล้อมจะตีเอาเมืองเชียงใหม่ ชาวเชียงใหม่หมดท่ีพ่ึง
จึงเส่ียงทายต่อหน้าพระพุทธรูปที่มีช่ือว่า “พระพุทธสิหิงค์” คือเส่ียงทายว่า
ถ้าเมืองใดจะเป็นที่พึ่งพิงได้ขอให้สาแดงนิมิตมาให้เห็น และปรากฏว่า พระ
พุทธสิหิงค์หนั พระพกั ตรม์ าทางกรุงศรอี ยธุ ยา ต่อมาพระนารายณ์ก็ยกทัพข้ึน
ไปตเี มอื งเชียงใหม่กลับคืนมาได้ เม่ือปี พ.ศ. 2205 ทั้งยังได้อัญเชิญพระพุทธ
สิหิงค์กลบั คนื มายงั กรุงศรอี ยธุ ยาอีกด้วย
การสงครามกับพม่า
ดา่ นเจดยี ส์ ามองค์
เมื่อปี พ.ศ. 2206 มีพวกมอญอพยพมาจากพม่า เข้ามาทางด่านเจดีย์
สามองค์จานวนประมาณ 5000 คน ซึ่งเคยยกไปเผ่าเมืองเมาะตะมะ ต่างพา
กันหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระนารายณ์ พระองค์ก็ทรงโปรด
เกล้าให้ครอบครัวมอญเหลา่ น้ันตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณ ตาบลสามโคกบ้าง ที่
คลองดจู ามบัง ทใ่ี กล้วดั ตองปูบงั ทั้งยังได้พระราชทานส่ิงที่จาเป็นอื่น ๆ ด้วย
ต่อมา เจ้าเมืองอังวะ ได้ยกทัพตามพวกมอญที่หนีเข้ามารับราชการและตั้ง
หลักแหล่งในกรุงศรีอยุธยาคืน กองทัพของพระเจ้าอังวะยกมาทางด่านเจดีย์
สามองค์ สมเด็จพระนารายณ์จึงให้พระยาศรีหาราชเดโชกับพระยาโกษา
เหล็กยกทัพไปและตีทัพเมอื งอังวะแตกพา่ ยกลบั ไป ทงั้ ไดก้ วาดตอ้ นเชลยกลบั
เขา้ มายังกรุงศรอี ยธุ ยาเป็นจานวนมาก
ด่านเจดยี ส์ ามองค์
ในปี พ.ศ. 2207 พระเจ้าแผ่นดินเมืองอังวะถูกลอบปลงพระชนม์
บ้านเมืองระส่าระสาย สมเด็จพระนารายณ์ทรงเห็นว่า พม่าเคยยกทัพโจมตี
ไทยและรบกวนพวกมอญที่เข้ามาพึ่งพิงพระบรมโพธิสมภารอยู่บ่อย ๆ
พระองค์เหน็ เป็นโอกาสดีจงึ จัดทพั ไทยและทพั มอญยกไปทางเมอื งยาปนู ดา่ น
แมล่ ะเมาะทางด่านเจดีย์สามองคแ์ ละทางเมืองทะวาย กองทัพกรุงศรีอยุธยา
ยกไปรวมพลท่เี มอื งเมาะตะมะ จากนน้ั ก็บกุ โจมตเี มอื งหงสาวดแี ละเมอื งแปร
ฝ่ายพม่ายกทัพหนีจากเมืองอังวะลงมาต้ังรับที่เมืองพุกาม ทัพไทยได้ล้อม
เมอื งพุกามไว้จนกระทัง่ ถงึ ปี พ.ศ. 2208 จึงได้ยกทัพกลับกรงุ ศรีอยุธยา
ดา้ นการติดตอ่ คา้ ขายกบั ตา่ งประเทศ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เป็นท่ีเลื่องลือพระ
เกียรติยศในพระราโชบายทางคบค้าสมาคมกับชาวต่างประเทศ รักษาเอก
ราชของชาติให้พน้ จากการเบยี ดเบยี นของชาวตา่ งชาตแิ ละรบั ผลประโยชนท์ ง้ั
ทางวิทยาการและเศรษฐกิจที่ชนต่างชาตินาเข้ามา นอกจากน้ี ยังได้ทรง
อุปถัมภ์บารุงกวีและงานด้านวรรณคดีอันเป็นศิลปะท่ีรุ่งเรืองที่สุดในยุคน้ัน
เม่ือสมเด็จพระนารายณ์เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ณ ราชอาณาจักรศรี
อยุธยาแล้ว ปัญหากิจการบ้านเมืองในรัชสมัยของพระองค์เป็นไปในทาง
เกยี่ วข้องกับชาวต่างประเทศเป็นสว่ นใหญ่ ดว้ ยในขณะน้ัน มีชาวต่างประเทศ
เข้ามาคา้ ขาย และอยใู่ นราชอาณาจกั รไทยมากว่าท่ีเคยเป็นมาในกาลก่อน ท่ี
สาคัญมาก คือ ชาวยุโรปซึ่งเป็นชาติใหญ่มีกาลังทรัพย์ กาลังอาวุธ และผู้คน
ตลอดจน มีความเจริญรุ่งเรืองทางวิทยาการต่าง ๆ เหนือกว่าชาวเอเซียมาก
และชาวยุโรปเหล่านี้กาลังอยู่ในสมัยขยายการค้า คริสต์ศาสนา และอานาจ
ทางการเมอื งของพวกตนมาสู่ดนิ แดนตะวนั ออก
เจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนตนิ ฟอลคอน)
ฝรั่งเศสเป็นชาตทิ ีเ่ ขา้ มาสกู่ รงุ ศรอี ยุธยาเป็นชาติแรกคร้ัง “หลวง วิช
เยนทร์” เม่ือครัง้ ท่มี เี จา้ ของเรือกาปน้ั ของฝร่ังเศสได้บรรทุกสินค้าเข้ามาขาย
ในกรงุ ศรีอยุธยา ขณะน้ันสมเด็จพระนารายณจ์ ึงใหม้ กี ารตอ่ เรอื กาปน้ั ใหญข่ นึ้
ลาหน่ึง เม่ือเรอื ลานั้นต่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะนาลงจากอู่ต่อเรือ
สมเด็จพระนารายณ์บอกให้ล่ามถามชาวฝร่ังเศสคนน้ันว่า เมืองฝรั่งเศสเอา
เรือกาป้ันลงจากอ่เู ขาทาอยา่ งไรจงึ เอาลงได้งา่ ย ฝรั่งเศสพ่อคา้ รายนัน้ เปน็ คน
ฉลาด มีสติปัญญามากรู้และชานาญด้านการรอกกว้าน จึงบอกให้ล่ามกราบ
ทูลสมเด็จพระนารายณ์ว่า เขารับอาสาที่จะนาเรือลานี้ออกจากอู่ด้วยตัวเอง
พ่อค้าฝร่ังเศสนายนั้นจัดการผูกรอกกว้าน และ จักรมัดผันชักกาปั้นลานั้น
ออกจากอู่ลงมาสู่ท่าโดยสะดวก จึงให้พระราชทานรางวัลมากมายทั้งยัง
แต่งตั้งให้เป็น “หลวงวิชเยนทร์” หลวงวิชเยนทร์ ได้รับพระราชทานท่ี
บ้านเรือนและเคร่ืองยศ ให้อยู่ทาราชการในพระนคร และน่ันเป็นการแสดง
ถึงพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่จาก
ชาวตา่ งประเทศและสร้างความสมั พันธอ์ ันดีกับชนชาติอนื่ เป็นการเปดิ ประตู
รับความรู้ใหม่จากโลกภายนอก โดยไม่จากัดขอบเขตอยู่เฉพาะ
ภายในประเทศเท่านั้น หลวงวิชเยนทร์รับราชการสนองพระเจ้าอยู่หัวด้วย
ความจงรักภักดี มีวิริยะอุตสาหในราชกิจต่าง ๆ ของบ้านเมือง มีความชอบ
จนได้เลือ่ นตาแหนง่ เป็น“พระยาวชิ เยนทร์”
พระนารายณ์ราชนเิ วศ
ในปี พ.ศ. 2230 (ค.ศ. 1687) ออกญาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี พระยา
พระคลัง และออกพระศรีพิพัทธ์รัตนราชโกษาได้ลงนามในสนธิสัญญาทาง
การค้ากับประเทศฝรั่งเศสในรัชสมัยของพระองค์น้ัน ชาวฮอลันดาได้กีดกัน
การเดินเรือค้าขายของไทย ครั้งหน่ึงถึงกับส่งเรือรบมาปิดปากแม่น้า
เจ้าพระยา ขู่จะระดมยิงไทย จนไทยต้องผ่อนผันยอมทาสัญญายกประโยชน์
การค้าให้ตามที่ต้องการ แต่เพ่ือป้องกันมิให้ฮอลันดาข่มเหงไทยอีก สมเด็จ
พระนารายณ์จึงทรงสร้างเมืองลพบุรีไว้เป็นเมืองหลวงสารอง อยู่เหนือข้ึนไป
จากกรุงศรอี ยธุ ยา และเตรียมสร้างป้อมปราการไวค้ อยตอ่ ต้านข้าศกึ
ราชทูตสยามนาโดยโกษาปานเขา้ เฝา้ พระเจา้ หลยุ สท์ ี่ 14
ท่ีพระราชวงั แวรซ์ าย
ฝ่ายสมเด็จพระนารายณ์กาลังมีพระทัยระแวงเกรงฮอลันดายกมาย่ายี
และได้ทรงทราบถึงพระเดชานุภาพของพระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 ในยุโรปมาแล้ว
จึงเต็มพระทัยเจริญทางพระราชไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 ไว้ เพื่อให้
ฮอลนั ดาเกรงขาม วันหน่งึ สมเด็จพระนารายณ์มพี ระราชโองการตรสั ถามพระ
ยาวิชเยนทร์ว่า ในเมืองฝร่ังเศสมีของวิเศษประหลาดประการใดบ้าง พระยา
วิชเยนทร์จึงกราบทูลว่า “ในเมอื งฝรั่งเศสมชี า่ งทานาฬิกายนต์ ปนื ลม ปนื ไฟ
กล้องสอ่ งทางไกลเปน็ ใกล้ กระทาของวิเศษอื่น ๆ ก็ได้ทุกอย่าง มีท้ังเงินทอง
ภายในวังของพระเจ้าแผ่นดินฝร่ังเศส ให้มีการหลอมเงินเป็นท่อน 8 เหลี่ยม
ใหญ่ประมาณ 3 ลา ยาว 7 ศอก ถึง 8 ศอก กองอยู่บนริมถนนเป็นอันมาก
เหมือนดุจเสาอันกองไว้ กาลังคนแต่ 13 คน หรือ 14 คนจะยกท่อนเงินน้ัน
ขึ้นไม่ไหว ภายในท้องพระโรงช้ันในนั้นคาดพื้นด้วยแผ่นศิลา มีสีต่าง ๆ
จาหลักลายฝังด้วยเงินทองและแก้ต่าง ๆ สีเป็นลดาวัลย์ และต้นไม้ดอกไม้
ภเู ขาและรูปสัตวต์ า่ ง ๆ พน้ื ผนงั กป็ ระดับด้วยกระจกภาพกระจกเงาอันวิจิตร
น่าพิศวง เบื้องบนเพดานน้ันใช้แผ่นทองบ้างดุจแผ่นทองอังกฤษ ตัดเป็นเส้น
น้อย ๆ แล้วผู้เข้าเป็นพวกพู่ห้อยย้อยและแขวนโคมแก้วมีสันฐานต่าง ๆ มีสี
แก้วและสีทองรุ่งเรืองโอภาสงดงามยิ่งนัก” สมเด็จพระนารายณ์ทรงฟังคา
สรรค์เสริญยกย่องความวิเศษของเมอื งฝร่งั เศสอยา่ งยืดยาวแลว้ พระองคก์ ห็ า
ไดเ้ ชื่อทนั ทีทนั ใดไม่ พระองค์ทรงดาหริขนึ้ ว่าใครจะเห็นความจริง จึงดารสั แก
พระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) “เราจะแต่งกาปั้นไปเมืองฝร่ังเศส จะให้ผู้ใดเป็น
นายกาปนั้ ออกไปสบื ดูของวิเศษยังจะมีสมจริงเหมอื นคาของพระยาวิชเยนทร์
หรือประการใด” พระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) จึงกราบทูลว่าผู้ที่จะเป็นนาย
กาปัน้ นั้นไมม่ ใี ครนอกจากนายปาน ซ่งึ เปน็ น้อยชายตนสามารถที่จะไปสืบข้อ
ราชการ ในเมืองฝรั่งเศสตามพระประสงค์ของสมเด็จพระนารายณ์ ดังนั้น
พระองค์จึงเรียกนายปานเข้าเฝ้าเพื่อสอบถามความสมัครใจอีกคร้ังหนึ่ง
“อ้ายปานมึงมีสติปัญญาอยู่ กูจะให้เป็นนายกาปั้นไป ณ เมืองฝร่ังเศส สืบดู
สมบัติพระเจ้าฝร่ังเศส ยังจะสมดังคาพระยาวิชเยนทร์กล่าว หรือ จะมิสม
ประการใด จะใคร่เหน็ เท็จและจรงิ จะได้หรอื มิได้” นายปานน้องชายพระยา
โกษาธิบดี (เหล็ก) กราบทูลพระกรุณารับอาสาจะไปเมืองฝร่ังเศสตาม
พระราชดาริของสมเด็จพระนารายณ์ ได้จัดแจงเตรียมหาคนดีมีวิชามาคน
หน่งึ ซง่ึ เคยเรียนพระกรรมฐานชานาญในการเพง่ กระสิณมคี วามรวู้ ิชามากแต่
เป็นนักเลงสุรา พระนารายณ์ก็ยินยอมให้ไปด้วย นายปานก็มีความยินดี
จากนั้นก็จัดหาพวกฝรั่งเศสมาเป็นต้นหนถือท้ายและกลาสีเรือ พระยา
โกษาธิบดนี าคณะเดินทางเจรญิ สัมพันธไมตรีที่จะไปยัง ประเทศฝรั่งเศส เข้า
เฝ้าพระนารายณ์ก็ทรงแต่งพระราชสาสน์ให้นายปานเป็นราชฑูตแห่งกรุงศรี
อยุธยา และประกอบด้วยข้าหลวงอื่นเป็นอุปฑูต ให้จาทูลพระราชสาสน์นา
เครือ่ งราชบรรณาการออกไปเจริญทางพระราชไมตรีท่ีเมอื งฝรัง่ เศส ตามพระ
ราชประเพณี พระราชทานรางวัลและเครื่องยศแก่ทูตานุฑูต โดยควรแก่ฐานุ
ศักด์ิ นบั ต้งั แตน่ ้ัน นายปานจงึ ได้รับแต่งต้งั เปน็ พระยาโกษาปาน ราชฑตู ของ
กรุงศรีอยธุ ยาก็กราบบงั คมลาสมเดจ็ พระนารายณ์ พาพรรคพวกลงเรือกาป่ัน
ใหญ่ ใช้เวลา 4 เดือน ก็ถึงบริเวณใกล้ปากน้าเมืองฝรั่งเศส บังเอิญขณะน้ัน
เกิดพายุใหญ่เรือถูกซัดเข้าไปในกระแสน้าวน ต้องแล่นเรือเวียนอยู่ 3 วัน จึง
แล่นถึงปากน้าฝรั่งเศสจากน้ันจึงได้ขึ้นฝ่ังได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุง
ฝรง่ั เศส พระยาโกษาปาน กไ็ ปปฏิบัติหน้าท่ีฑูตไทยเป็นอย่างดีและได้รับการ
ยกย่องจากฝร่ังเศสรวมทั้งชาวต่างประเทศอื่น ๆ พระยาโกษาปานเปนราช
ฑูตไทยคนแรก และประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเซียที่ส่งราชฑูตเจริญ
สมั พนั ธไมตรีกับฝรัง่ เศส
ราชทูตไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากซ้าย "ออกพระวิสุทธ
สุนธร" ซ่ึงรู้จักกันต่อมาในนาม "พระยาโกษาธิบดี" (ปาน) ราชทูต,
ออกหลวงกัลยาราชไมตรี" อุปทูต และ "ออกขุนศรีวสิ ารวาจา" ตรที ูต
ในรัชสมัยของพระองค์นั้น กรุงศรีอยุธยา ได้ส่งคณะทูตไปเข้าเฝ้าพระ
เจา้ หลยุ ส์ท่ี 14 ยังประเทศฝร่ังเศส รวมทั้งสิ้น 4 ชุดด้วยกัน คณะทูตชุดแรก
ทไ่ี ปเจริญสัมพันธไมตรี กับประเทศฝรั่งเศส ใน พ.ศ.2223 มีพระพิพัฒนารา
ชไมตรี เป็นราชทูต หลวงวิสารสุนทรเป็นอุปทูต และขุนนครศรีวิชัย เป็นตรี
ทูต โดยมีบาทหลวงเกม (Gayme) บาทหลวงชาวฝร่ังเศส ที่เข้ามาเผยแผ่
ศาสนาคริสต์ในอยุธยา และสามารถพูดภาษาไทยได้ดีทาหน้าที่เป็น
ล่าม
คณะทูตชดุ นอี้ อกเดินทางจากอยุธยาโดยเรือสนิ คา้ ของฝรง่ั เศสทช่ี อ่ื “โว
ดูส์” ถึงเมืองบันตัมในหมู่เกาะชวา และได้พักอยู่ท่ีนั่นเป็นเวลา 6 เดือน
จากนั้นจึงโดยสารเรือฝร่ังเศส อีกลาหน่ึงช่ือ “โซเลย์ดอริอองต์” (Soleil d’
Orient) ออกเดินทางจากเมืองบันตัม ใน พ.ศ.2225 หลังจากนั้นเรือลาน้ีได้
หายสาบสูญไปในมหาสมุทรอนิ เดียโดยไม่ทราบสาเหตุ ในเวลาต่อมา สมเด็จ
พระนารายณ์ โปรดให้ตั้งคณะทตู ขนึ้ อกี ชดุ หนึ่งซ่ึงเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย มี
ขุนพิไชยวาณชิ กบั ขุนพชิ ิตไมตรีเดนิ ทางออกไปสืบขา่ วยงั ประเทศฝรง่ั เศส ใน
การไปครั้งนี้ โปรดฯ ให้นานักเรยี นไทยไปดว้ ย 4 คน เพ่อื ศึกษาวิชาการต่างๆ
และฝึกหัดขนบธรรมเนียมตามแบบอย่างของชาวฝรั่งเศส อีกทั้งทรงขอให้
ทางฝรง่ั เศส แตง่ ทูตผมู้ อี านาจเต็มเข้ามาทาสัญญาพระราชไมตรอี ีกดว้ ย คณะ
ทตู ชุดนม้ี ิได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลยุ สท์ ี่ 14 อยา่ งเปน็ ทางการ เพราะมิได้อัญเชิญ
พระราชสาส์นของสมเด็จพระนารายณ์ไปด้วยเป็นแต่เพียงถือศุภอักษรของ
เสนาบดไี ป
ข่าวคณะทูตไทย ชุดก่อนท่ีได้หายสาบสูญไปมิทราบข่าวคราว และ
ไดแ้ จง้ พระราชประสงค์ของสมเด็จพระนารายณ์ว่าทรงใคร่ขอให้ทางฝร่ังเศส
ส่งคณะทูตมายังอยุธยาเพ่ือทาสัญญาค้าขายด้วยคณะบาทหลวงฝรั่งเศส ที่
เคยเขา้ มาสอนศาสนาในอยุธยาได้กราบทูลพระเจา้ หลุยส์ที่ 14 ว่าหากมีพระ
ราชสาส์นเชื้อเชิญให้สมเด็จพระนารายณ์ทรงเข้ารีต นับถือศาสนาคริสต์
โรมันคาทอลิกแล้ว สมเด็จพระนารายณ์ ก็คงไม่ขัดพระราชอัธยาศัย อีกท้ัง
ประชาชนอยุธยาท้ังหมดก็จะหันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
ตามด้วยอยา่ งแน่นอน
ภาพเชอวาลเิ ยร์ เดอ โชมงตเ์ ขา้ เฝา้ สมเดจ็ พระนารายณ์
เพื่อถวายพระราชสาสน์ ของพระเจา้ หลยุ สท์ ่ี 14
พระเจ้าหลยุ สท์ ่ี 14
พระเจา้ หลยุ สท์ ี่ 14 ทรงมคี วามมุ่งมัน่ ในการเผยแผค่ รสิ ต์ศาสนาอยู่แลว้
จึงทรงเหน็ ชอบตามคากราบทลู ของบาทหลวง และทรงแต่งตั้งให้เชอวาลิเอร์
เดอ โชมองต์ เป็นเอกอัครราชทูต และมีบาทหลวงเดอชัวซีย์เป็นผู้ช่วยทูต
เชิญพระราชสาส์นของพระองค์มาถวายสมเด็จพระนารายณ์ คณะทูตของ
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้เดินทางโดยเรือรบฝรั่งเศส 2 ลา ออกจากท่าเมืองเบ
รสต์เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2228 และเข้ามาถึงปากน้าเจ้าพระยาในวันท่ี
23 กนั ยายน ปเี ดยี วกนั
สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ครง้ั เสดจ็ ออกรบั คณะฑูต ฝมี อื วาดชา่ งฝรงั่ เศส
จากหนังสอื นวนยิ ายเรอื่ ง รกุ สยามในนามของพระเจ้า
โดย มอรก์ าน สปอรแ์ ตช
สมเดจ็ พระนารายณ์โปรดให้ประกอบพธิ ีต้อนรบั อย่างมโหฬาร ในการท่ี
คณะทูตฝร่ังเศสเข้าเฝ้าครั้งน้ี สมเด็จพระนารายณ์โปรดให้สิทธิพิเศษไม่ต้อง
ถอดรองเท้าและหมอบคลานเหมือนกับ ทูตของประเทศอ่ืน และหลังจากที่
เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ เขา้ เฝ้าถวายพระราชสาส์นของพระเจา้ หลยุ ส์ท่ี 14
แล้ว สมเด็จพระนารายณ์ ยังโปรดฯ ให้คณะทูตเข้าเฝ้าเป็นพิเศษอีก หลาย
ครั้ง โดยมฟี อลคอนหรือเจ้าพระยาวิชาเยนทร์รอรบั อยู่ด้วย
เจ้าพระวิชาเยนทร์ก็สนับสนุนให้อยุธยาและฝร่ังเศส ทาสนธิสัญญา
เป็นพันธมิตรกัน แต่เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ มิได้ให้ความสนใจในเร่ือง
ดงั กล่าว คงมงุ่ แต่จะเกลี้ยกล่อมใหส้ มเด็จพระนารายณเ์ ปล่ียนไปนับถอื ครสิ ต์
ศาสนาตามพระราชดาริ ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สมเด็จพระนารายณ์ กลับ
มิได้ทรงตอบตกลงแต่อย่างใด ในขณะเดียวกันทรงมีพระประสงค์ท่ีจะผูก
สมั พนั ธก์ ับฝรงั่ เศส จึงทรงยอมใหบ้ าทหลวงฝร่งั เศสสอนศาสนา สอนหนังสือ
และตงั้ โรงพยาบาล ตามแบบยโุ รปไดโ้ ดยเสรี
กระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารคในปี พ.ศ. 2228
สมยั ทคี่ ณะราชทตู ฝรง่ั เศสอยใู่ นอยธุ ยา
เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ กับคณะทูตฝรั่งเศสได้พานักอยู่ในกรุงศรี
อยธุ ยาประมาณ 2 เดอื นเศษ จงึ ไดเ้ ดนิ ทางกลับประเทศฝร่ังเศส สมเด็จพระ
นารายณ์ทรงฝากฝังคณะราชทูตชุดที่สามของพระองค์ที่มีพระวิสุทธสุนทร
หรือโกษาปาน หลวงกัลยาณราชไมตรี และขุนศรีวิสารวาจา ซึ่งทรงแต่งตั้ง
เมือ่ วนั ท่ี 28 ตุลาคม พ.ศ.2228 ให้เปน็ ราชทูต อุปทูต และตรีทูต ตามลาดับ
ไปกบั เรอื ท่ีจะนาคณะทูตฝร่ังเศสกลับด้วย คณะทูตไทยชุดน้ี ได้เดินทางออก
จากกรุงศรีอยุธยาโดยเรือลัวโซและมาลิน เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2228
พร้อมกับคณะทูตของพระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 ไปถึงท่าเมืองเบรสต์ เมื่อวันที่ 18
มิถนุ ายน พ.ศ.2229 เนือ่ งดว้ ยขณะนั้น พระเจา้ หลุยส์ที่ 14 ทรงพระประชวร
อยู่ ทางฝรั่งเศสจึงยังมิได้กาหนดวันเข้าเฝ้า และเจ้าพนักงานได้นาคณะ
ราชทูตไทย ชมเมืองต่างๆ แล้วจึงเดินทางมายังกรุงปารีส เมื่อวันที่ 12
สิงหาคม พ.ศ.2229 ก่อนถึงกาหนดเข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์ แด่พระเจ้า
หลุยส์ท่ี 14 เพียงไม่ก่ีวัน คณะทูตไทย ซึ่งมีพระวิสุทธสุนทร เป็นราชทูต ได้
พานกั อยู่ในประเทศฝรงั่ เศสเป็นเวลา 8 เดือนกับ 12 วัน จึงได้ทูลลาพระเจ้า
หลุยส์ท่ี 14 กลับอยุธยา พระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 ได้โปรดฯ ให้เดินทางกลับไป
พร้อมราชทูตของพระองค์อีกชุดหนึ่ง ประกอบด้วย โกลด เซเบเรต์ เดอ บุล
เล (Claude Ceberert de Boullay) ผู้อานวยการผู้หน่ึงของบริษัทอินเดีย
ตะวันออกของฝรงั่ เศสเป็นราชทูตคนที่หนงึ่ และซิมอง เดอ ลา ลูแบร์ ซึ่งเปน็
เนตบิ ณั ฑิตฝรัง่ เศส นกั คณิตศาสตร์ นกั ปรัชญา และนักแตง่ เพลง เป็นราชทตู
คนที่สอง คณะทูตชุดนี้ เดินทางมาถึงอยุธยาเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.
2230
เรอื นรบั รองคณะราชทูตฝรง่ั เศสรมิ แมน่ า้ เจ้าพระยา
สรา้ งขน้ึ เปน็ การชว่ั คราวกย็ งั เปน็ เรอื นก็ยกใตถ้ นุ สงู เพอื่ กนั น้าทว่ ม
เม่ือเซเบเรต์ ซึ่งเป็นอัครราชทูตคนที่หน่ึงของคณะทูต ฝรั่งเศสทา
สนธิสญั ญาเกี่ยวกับสิทธพิ ิเศษของบรษิ ัทอินเดียตะวันออกของฝร่ังเศสและลง
นามกันเรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินทางกลับฝรั่งเศส เม่ือช่วงปลาย พ.ศ.2230
ส่วนลาลูแบร์ น้ันยังคงพานักอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ต่อไปอีกหน่ึงเดือน เพื่อ
รวบรวมข้อมลู ต่างๆ ท่เี กีย่ วกับอยุธยา เม่ือได้หลกั ฐานตามต้องการแล้ว จึงได้
เดินทางกลับประเทศฝร่ังเศสเม่ือวันท่ี 3 มกราคม พ.ศ.2231 สมเด็จพระ
นารายณ์ โปรดฯ ให้บาทหลวงตาชาร์ด อัญเชิญพระราชสาส์น ของพระองค์
ไปถวายพระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 และสันตะปาปาอินโนเซนต์ท่ี 11 ที่กรุงโรม
พร้อมทั้งมีข้าราชการชั้นผู้น้อยกากับเครื่องราชบรรณการ ไปด้วย 3 คน คือ
ขุนวิเศษ ขุนชานาญ และขุนภูเบนทร์ ร่วมด้วยนักเรียนไทยติดตามไปเพ่ือ
ศึกษาวิชาการต่างๆ อีกหลายคน เรือของคณะทูตชุดลาลูแบร์เดินทางออก
จากปากแม่น้าเจ้าพระยาในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2231 และถึงฝร่ังเศสใน
เดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอยุธยา และ
ฝร่ังเศสถอื วา่ รุ่งเรืองอยา่ งย่งิ ในสมยั ของสมเดจ็ พระนารายณ์
ศาสนาคริสตังในยุคนั้นดูเหมือนจะเป็นที่รังเกียจของชนชาติต่าง ๆ ใน
แถบตะวันออก ตัวอย่างของเรื่องน้ีได้แก่ การท่ีทางการญ่ีปุ่นทาการขัดขวาง
การสอนศาสนาคริสตังในประเทศนัน้ ซึง่ ทาให้ผู้ท่นี ับถอื ศาสนาคริสตังตา่ งพา
กันเดินทางมายังเมืองไทยเป็นจานวนมาก สมเด็จพระนารายณ์ทรงเปิด
โอกาสให้ราษฎรเลือกนับถือศาสนา โดยอิสระ คนไทยก็ไม่มีความรังเกียจต่อ
ศาสนาใด ๆ พวกศาสนานน้ั ๆ ก็ยึดเอาเมอื งไทยเป็นศูนย์กลางสาหรับกจิ การ
เผยแพร่คริสต์ศาสนา นอกจากน้ีแล้วชาวฝร่ังเศสก็พยายามหาทางตอบแทน
คุณความดขี องคนไทยด้วยเช่นกัน
สมเด็จพระนารายณ์ทรงสร้างความสัมพันธไมตรีกับประเทศฝรั่งเศส
ดาเนินไปด้วยดี มีการแลกเปลี่ยนด้านความรู้ต่าง ๆ หลายสาขา โดยเฉพาะ
ด้านศาสนา ฝรั่งเศสได้ส่งบาทหลวงที่มีความรู้ทางวิชาการอย่างสูงมาสอน
ศาสนาคริสตังในกรงุ ศรอี ยุธยา สาหรบั ประโยชน์ท่ีได้จากนักสอนศาสนาน้ัน
นับว่ามีอยู่หลายประการ คือทาให้เกิดผลดีในสังคมเช่นการตั้งโรงเรียนให้
การศกึ ษา การตงั้ โรงพยาบาล หรอื การสงเคราะหช์ ุมชนที่ขาดแคลนและเด็ก
กาพร้าแต่ต่อมาพระเพทราชาพระมหากษัตริย์รัชกาลถัดมาทรงระแวงว่า
ฝรั่งเศสมีแผนการท่ีจะยึดกรุงศรีอยุธยา จึงมีพระราชประสงค์ที่จะขับไล่
ฝรงั่ เศสออกไปจากพระราชอาณาจักรและหันไปแสวงหาความช่วยเหลือจาก
ฮอลันดา การณค์ ร้ังนี้ทาให้ความสัมพันธท์ างการทตู กบั ฝรงั่ เศสตอ้ งหยดุ ชะงกั
ลงในที่สดุ
สมเดจ็ พระนารายณเ์ ปน็ ผสู้ รา้ งเมืองลพบุรขี นึ้ เปน็ ราชธานแี หง่ ทสี่ อง
พระบรมราชานสุ าวรีย์สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช
ณ นารายณร์ าชนเิ วศน์
สมเด็จพระนารายณ์เป็นพระมหากษัตริย์ท่ีมีความคิดก้าวหน้า มอง
การณ์ไกลได้ว่ากรุงศรีอยุธยาอยู่ในชัยภูมิท่ีล่อแหลมต่ออันตราย เพราะเม่ือ
คราวท่ีเรือรบ ฮอลันดาปิดอ่าวไทย บทเรียนครั้งนั้นทาให้พระองค์คิดย้าย
เมืองหลวงของกรุงศรีอยุธยาไปอยู่ท่ีลพบุรี ทรงสร้างเมืองลพบุรี สร้าง
นารายณ์ราชนิเวศน์เป็นพระราชวังประทับของพระองค์ จัดสร้างการประปา
และชลประทานทอี่ านวยความสะดวกขึ้น นอกจากเมืองลพบุรีแล้วพระองค์ก็
ทรงสร้างเมืองนครราชสีมาและปอ้ มค่ายตา่ ง ๆ อีกมากมาย
พระราชวงั สมเด็จพระนารายณม์ หาราชทล่ี ะโว้
การที่พระองค์โปรดให้สร้างเมืองลพบุรีเป็นราชธานีที่สอง และโปรด
ประทับทเ่ี มอื งลพบุรีปีละ 8 - 9 เดือนน้ันเป็นการนาความเจริญ รุ่งเรืองมาสู่
เมืองลพบุรี เพราะมีการนาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าสู่เมืองลพบุรี อาทิ ระบบ
ประปา หอดูดาว สร้างกาแพงเมือง ประตูเมือง และป้อมปืนเมืองลพบุรี จึง
คึกคักมีชีวิตชีวา ตลอดรัชกาลของพระองค์ มีการคล้องช้าง มีชาวต่างชาติ
คณะทูตเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี มีบาทหลวงเข้ามาส่องกล้องดูดาว ดู
สุริยุปราคา จันทรุปราคา เม่ือพระองค์สวรรคต เมืองลพบุรีก็ถูกทิ้งร้างอยู่
ระยะหนึ่ง แต่ยังมีอนุสรณ์สถาน ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ณ เมือง
ลพบุรี เปน็ มรดกตกทอด ให้ชาวเมืองลพบรุ ี ได้ภาคภูมิใจ
ดา้ นวรรณกรรม
สมเด็จพระนารายณ์มิใช่เพียงทรงพระปรีชาสามารถทางด้านการทูต
เท่าน้ัน หากทรงเป็นกวีและทรงอุปถัมภ์กวีในยุคของพระองค์อย่างมากมาย
กวีลือนามแห่งรัชสมัยของพระองค์ก็ได้แก่ พระโหราธิบดี หรือพระมหาราช
ครู ผู้ประพันธ์หนังสือจินดามณี ซึ่งเป็นตาราเรียนภาษาไทยเล่มแรก และ
ตอนหน่ึงของเร่ืองสมุทรโฆษคาฉันท์ (อีกตอนหนึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของ
สมเด็จพระนารายณ์) กวีอีกผู้หน่ึงคือ ศรีปราชญ์ ผู้เป็นปฏิภาณกวี เป็นบุตร
ของพระโหราธิบดี งานชิ้นสาคัญของศรีปราชญ์ คือ หนังสือกาศรวลศรี
ปราชญ์ และอนุรุทรคาฉันท์ด้วยพระปรีชาสามารถดังได้บรรยายมาแล้ว
สมเด็จพระนารายณ์จึงได้รับการถวายพระเกียรติเป็น มหาราชพระองค์หนึ่ง
ว ร ร ณ ก ร ร ม ท่ี ป ร า ก ฏ ห ลั ก ฐ า น ว่ า แ ต่ ง ข้ึ น ใ น รั ช ก า ล ส ม เ ด็ จ พ ร ะ
นารายณ์ พระราชนิพนธ์โคลง เรื่องทศรถสอนพระราม พระราชนิพนธ์โคลง
เรือ่ ง พาลีสอนน้อง พระราชนิพนธ์โคลง เรื่องราชสวัสดิ์ สมุทรโฆษคาฉันท์
ส่วนตอนต้นเชื่อกันว่าพระมหาราชครูเป็นผู้แต่งแต่ถึงแก่อนิจกรรมเสียก่อน
สมเด็จพระนารายณ์จึงพระราชนิพนธ์ต่อ โดยเริ่มท่ีตอน พิศพระกุฎีอาศรม
สถานตระกาลกล ไปจนถงึ ตนกตู ายก็จะตายผูเ้ ดยี วใครจะแลดู โอแ้ ก้วกบั ตน
กู ฤเห็น และบทพระราชนิพนธ?โคลงโต้ตอบกับศรีปราชญ์และกวีมีช่ือคา
ฉันท์กล่อมช้าง (ของเก่า) เป็นผลงานของขุนเทพกวี สันนิษฐานว่าแต่งใน
คราวสมโภชข้ึนระวางเจ้าพระยาบรมคเชนทรฉัททันต์ เม่ือ พ.ศ. 2203 เป็น
ต้น ท้ังยังส่งเสริมงานงานกวี ทาให้มีหนังสื่อเร่ืองสาคัญ ๆ ในรัชสมัยนี้เป็น
จานวนไม่น้อย เช่น โคลงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ของ
หลวงศรีมโหสถ หนังสือจินดามณีของพระโหราธิบดี (จัดเป็นตาราเรียนเล่ม
แรกของประเทศไทย) และอนริ ทุ ธคาฉนั ท์ เป็นตน้
ภาพเหตกุ ารณ์สมเด็จพระนารายณม์ หาราชทรงเสดจ็ ทอดพระเนตร
จนั ทรปุ ราคา ณ พระทนี่ งั่ เยน็ ทะเลชบุ ศร เมอื งลพบรุ ี
เมือ่ วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2228
ในคณะราชทูตท่ีมาเจริญสัมพันธไมตรีในคร้ังแรกเม่ือปีพ.ศ. 2228
ฝร่ังเศสได้ส่งบาทหลวงคณะเจซูอิตจานวน 6 ท่านเดินทางร่วมมาด้วย โดย
คณะบาทหลวงดังกล่าวเป็นนักวิชาการที่มีความรู้ด้านภูมิศาสตร์ และดารา
ศาสตร์ โดยในช่วงเวลาท่ีอยู่ในราชอาณาจกั รสยาม คณะบาทหลวงเจซูอิตได้
สงั เกตการณ์และบนั ทึกจันทรปุ ราคาไว้ถึง 2 ครั้ง ซ่ึงเกิดข้ึนในเดือนธันวาคม
พ.ศ. 2228 และเดือนพฤศจกิ ายน พ.ศ. 2229 ตามลาดับโดยในคร้งั แรกนน้ั มี
ภ า พ เ ขี ย น บั น ทึ ก เ ห ตุ ก า ร ณ์ ส ม เ ด็ จ พ ร ะ น า ร า ย ณ์ ม ห า ร า ช ท ร ง เ ส ด็ จ
ทอดพระเนตรจนั ทรปุ ราคาเต็มดวง ณ พระท่ีน่งั เยน็ ทะเลชบุ ศร เมืองลพบุรี
เมื่อวันท่ี 11 ธันวาคม พ.ศ. 2228 เวลา 03.00 นาฬิกา โดยในคร้ังน้ัน
บาทหลวงคณะเจซูอิตได้เตรียมกล้องโทรทรรศน์ยาว 5 ฟุตไว้ให้สมเด็จพระ
นารายณ์มหาราชทรงทอดพระเนตรท่ีช่องพระบัญชรท่ีเปิดออกสู่ลานพระ
ระเบียง นอกจากน้ีมีผู้คนราว 46,000 ถึง 47,000 คนซ่ึงทาการล้อมป่าและ
ภูเขาในการล่าช้าง ได้ชมจันทรุปราคาเต็มดวงด้วย โดยคราสจับเต็มดวงเมื่อ
เวลา 4:22:45 นาฬิกา นอกจากนี้ พระองค์ยงั ทรงไดท้ อดพระเนตรด้วยกล้อง
ส่องดาวขนาด 12 ฟุตอีกด้วย สมเด็จพระนารายณ์มหาราชแสดงความพระ
ราชหฤทัยเป็นพิเศษเม่ือได้ทอดพระเนตรเห็นจุดจ่างๆ บนดวงจันทร์จาก
กล้องส่องดาว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประจักษ์ว่าแผนท่ีอุปราคาที่หอดู
ดาวท่ีกรงุ ปารีสทาขึน้ นั้นความถูกตอ้ งตามท่ีเป็นจรงิ ทุกประการ
พระทน่ี ง่ั ไกรสรสหี ราช (พระทนี่ ง่ั เยน็ )
พระทน่ี งั่ ไกรสรสหี ราช (พระทน่ี ง่ั เยน็ หรอื ตาหนักทะเลชบุ ศร) ตงั้ อยทู่ ี่
ตาบลทะเลชบุ ศร อาเภอเมอื งลพบรุ ี ถือเปน็ สถานทซี่ งึ่ มคี วามสาคญั ทาง
ประวัตศิ าสตรเ์ ปน็ อยา่ งมาก เนอื่ งจากในอดตี พระทนี่ ง่ั แหง่ นเี้ คยเปน็ ท่ี
ประทบั อกี แหง่ หนงึ่ ของ สมเด็จพระนารายณม์ หาราช ณ เมอื งลพบุรี องค์
พระทนี่ ง่ั ตงั้ อยบู่ นเกาะกลางทะเลชบุ ศร
หอดดู าวแห่งแรกของประเทศไทย
วดั สนั เปาโล ในปัจจบุ ัน
การเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสน้ัน เกิดข้ึนในช่วงห้าปีสุดท้ายของ
การครองราชย์ โดยในช่วงเวลาดังกล่าวสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดที่
จะประทับท่ีเมืองลพบุรี โดยจะเสด็จประทับนาน 8 ถึง 9 เดือนต่อปี ดังน้ัน
ในชว่ งพ.ศ. 2228 ถงึ 2230 ท่ีบาทคณะหลวงจซูอิตได้เข้ามาดาเนินกิจกรรม
และเผยแพร่ศาสนาและความรู้ด้านดาราศาสตร์ในราชอาณาจักรสยาม
พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าพระราชทานสร้างหอดูดาว (พร้อมกับโบสถ์และที่
พัก) ให้แก่บาทคณะหลวงจซูอิต ณ วัดสันเปาโล เมืองลพบุรี ซึ่งถือได้ว่า
สถานที่ดงั กลา่ วเปน็ หอดูดาวแห่งแรกของประเทศไทย
ภาพสเกตของหอดดู าวทรง 8 เหลยี่ ม ณ วัดสันเปาโล ลพบรุ ี
การเกดิ สรุ ยิ ปุ ราคาในสมยั พระนารายณ์ เส้นทางสรุ ยิ ปราคาเตม็ ดวง
30 เมษายน 2231
ภาพเหตกุ ารณ์สมเด็จพระนารายณม์ หาราช
ทรงเสด็จทอดพระเนตรสรุ ยิ ปุ ราคา ณ พระทนี่ ง่ั เยน็ ทะเลชบุ ศร เมอื ง
ลพบรุ ี เมอ่ื วนั ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2231
นอกจากจะเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาถึงสองคร้ังในรัชสมัยของ
พระองค์แลว้ ในปีค.ศ. 1688 (พ.ศ. 2231) ยงั ได้เกดิ ปรากฏการณส์ รุ ิยปุ ราคา
ขึ้นในวันท่ี 30 เมษายน สุริยุปราคาเต็มดวงในครั้งนั้น สังเกตเห็นได้ใน
ประเทศอินเดีย จีน ไซบีเรีย และทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ
ในขณะที่ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเส้นทางเงามืด จึงสังเกตเห็นได้เป็น
สุริยุปราคามืดบางส่วนสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเสด็จทอดพระเนตร
สุริยุปราคา ณ พระที่นั่งเย็น ทะเลชุบศร เมืองลพบุรี โดยมีภาพวาดบันทึก
เหตุการณ์ดังกล่าว โดยปัจจุบันภาพต้นฉบับน้ีเก็บรักษาอยู่ในพิพพธภัณฑ
สถานแห่งชาติ ณ กรุงปารีส โดยในภาพจะเห็นบาทหลวงใช้เทคนิครับภาพ
ดวงอาทิตย์มาปรากฏบนฉากสีขาวนอกกล้อง เพ่ือให้สังเกตภาพดวงอาทิตย์
ได้ โดยไม่เป็นอนั ตรายแกน่ ัยนต์ า และจากภาพจะเหน็ ขุนนางไทยทีน่ งั่ ในแถว
ซา้ ยมือคนแรกน้ันกล่าวกันว่าเป็นพระเพทราชา และสันนิษฐานได้ว่าขุนนาง
ไทยแต่งกายชุดขาวท่ีกาลังหมอบสังเกตคราสอย่างใกล้ชิดท่ามกลางคณะ
บาทหลวงฝรั่งเศสกค็ อื ออกญาวชิ าเยนทร์
การทหาร
ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ทรงปราบปรามเมืองน้อย
ใหญใ่ หเ้ ป็นมาสวามิภกั ด์ิ ทัง้ หวั เมืองทางเหนือ เช่น เชียงใหม่ ลาพูน ส่วนศึก
กับพม่าแมจ้ ะมอี ย่ใู นเวลานี้ แต่ก็ทรงจัดทัพตพี ่ายกลับไปอย่เู นือง กิจการของ
กองทัพนบั วา่ ร่งุ เรอื งและย่งิ ใหญ่ สมเด็จพระนารายณเ์ องกท็ รงชานาญในการ
ศกึ คล้องชา้ ง และทรงซื้ออาวุธจากต่างชาตสิ าหรับกจิ การของกองทพั ดว้ ย
เสนาบดบี คุ คลสาคญั สมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช
เจา้ พระยาโกษาธบิ ดี(ปาน)
โกษาปาน หรือ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) (พ.ศ. 2176–2242) เป็น
ข้าราชการในอาณาจกั รอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เป็นเอกอัครราชทูต
คนสาคัญทเี่ ดนิ ทางไปเจริญสมั พันธไมตรีกับราชสานกั ฝรง่ั เศสเมอ่ื พ.ศ. 2229
ปานเป็นบุตรของเจ้าแม่วัดดุสิต (บัว) ซ่ึงเป็นพระนมในสมเด็จพระนารายณ์
กับขนุ นางเชอ้ื สายมอญ เชื้อสายของพระยาเกยี รดิ์ พระยาราม เกิดในรัชสมัย
สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และเป็นพระนัดดาในสมเด็จพระเอกาทศรถ
นอกจากนี้ เขายงั เป็นปูข่ องพระยาราชนิกูล (ทองคา) ซึ่งเป็นบิดาของสมเด็จ
พระปฐมบรมมหาชนก พระราชบิดาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จุฬาโลก ปานได้บรรดาศักด์ิ ออกพระวิสุทธิสุนทร และได้รับแต่งตั้งเป็นทูต
ออกไปเจรญิ สมั พันธไมตรีกบั ฝรง่ั เศส
เจา้ พระยาโกษาธบิ ดี (เหลก็ )
โกษาเหล็ก หรือเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) นิยมเรียกสั้นๆ ว่า “โกษา
เหล็ก” เป็นหน่ึงในเสนาบดีคนสาคัญท่ีสุดของสมเด็จพระนารายณ์ มีความ
ใกลช้ ิดกับพระองค์มาตงั้ แต่ทรงพระเยาว์ เน่ืองจากมารดาของท่านคือเจ้าแม่
วดั ดสุ ติ พระนมของสมเด็จพระนารายณ์ ท่านได้ดารงตาแหน่ง “โกษาธิบดี”
จตุ สดมภ์กรมพระคลัง ทาหนา้ ทด่ี แู ลการคลังและกจิ การต่างประเทศของราช
สานกั รบั ผิดชอบหัวเมืองชายทะเลตั้งแต่เพชรบุรีไปถึงตะนาวศรี นอกจากนี้
ยังเป็นขุนศึกคู่พระทัย ได้เป็นแม่ทัพใหญ่ในสงครามหลายครั้ง ท้ังสงครามตี
เมืองเชียงใหม่ (พ.ศ.2205) สงครามกับพม่า (พ.ศ. 2207) และสงครามกับ
ล้านช้าง (พ.ศ.2213 – 2216) หลักฐานร่วมสมัยของต่างประเทศหลายช้ิน
ระบวุ ่าเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) เป็นอัครมหาเสนาบดีที่ทรงอิทธิพลท่ีสุด
ในราชสานัก มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมีความสามารถ และเน่ืองจากรัชกาล
สมเดจ็ พระนารายณไ์ มท่ รงต้งั ตาแหน่งจักรีหรือสมุหนายก เนื่องจากทรงเห็น
ว่ามีอิทธิพลมากเกินไป โปรดตั้งเสนาบดีให้ว่าที่ไปเป็นครั้งคราวเท่านั้น ก็
ปรากฏว่าโปรดให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหลก็ ) วา่ ทจ่ี กั รใี นบางคร้งั ดว้ ย
ขนุ ศรวี สิ ารวาจา
ขุนศรีวิสารวาจา หรือ หม่ืนสุนทรเทวา ถือว่าเป็นบุคคลสาคัญทางการ
ทูต และได้ร่วมอยู่ในคณะทูตที่ไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับฝร่ังเศส เม่ือปี พ.ศ.
2229 โดยเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ท่ี 14 ณ พระราชวังแวร์ซายส์ เหตุท่ีออกขุน
ศรวี สิ ารวาจาได้รบั แต่งต้งั เปน็ ตรีทตู ไปฝร่งั เศส เดอ วีเซ ได้บรรยายไว้ว่า “ที่
จรงิ ท่านยงั หนมุ่ มากอยู่ ความสามารถยงั มิได้ปรากฏขนึ้ ทไ่ี หน แต่อาศัยเหตทุ ี่
บดิ าของทา่ นเคยเป็นราชทตู ไปเจรญิ ทางพระราชไมตรีทีพ่ ระราชสานักปอร์ตุ
คาลมาแล้ว จงึ นับเหมอื นว่าท่านเปน็ เชือ้ ชาติราชทูต พระเจ้ากรุงสยามจงึ ทรง
แต่งตงั้ ใหเ้ ป็นตรีทูตมาเพอ่ื ดแู ลการงานเมือง คล้ายๆ กบั ให้มาฝกึ ซอ้ มมอื ซอ้ ม
ใจใหเ้ ป็นราชทตู ตามตระกลู ตอ่ ไปขา้ งหน้า” จึงสันนิษฐานว่าออกขุนศรีวิสาร
วาจาและบิดาน่าจะรับราชการอยู่ในกรมพระคลังหรือกรมท่า ซึ่งรับผิดชอบ
เร่ืองการต่างประเทศเหมือนกัน ตามปกติของขุนนางไทยสมัยโบราณท่ีบิดา
มักถา่ ยทอดความรู้ราชการในกรมท่ีรับผิดชอบให้บุตร เม่ือบุตรเติบใหญ่ก็มัก
ได้รับราชการในกรมเดียวกับบิดา จึงได้ทาหน้าท่ีเป็นทูตไปต่างประเทศ
เหมอื นบดิ า
พระโหราธบิ ดี
ออกญาโหราธิบดี เป็นบุคคลสาคัญทา่ นหนง่ึ ในแวดวงวรรณกรรมในรัช
สมยั สมเด็จพระนารายณม์ หาราช แต่ท้งั น้ี "พระโหราธิบดี" มิใช่ช่ือบุคคล แต่
เปน็ ตาแหน่งและบรรดาศักด์ิ พระโหราธบิ ดี เปน็ ตาแหนง่ อธบิ ดแี หง่ โหร หรือ
โหรหลวงประจาราชสานัก อีกท้ังยังเป็นผู้ควบคุมหรือเป็นหัวหน้าการ
ประกอบพธิ ีการต่าง ๆ ที่เก่ียวกับศาสนาพราหมณ์อีกด้วย ซ่ึงต้องเป็นบุคคล
ที่เปน็ ผู้รหู้ นังสอื รวมถงึ รอบรสู้ รรพวทิ ยาตา่ งๆ สมเดจ็ กรมพระยาดารงราชานุ
ภาพทรงสันนิษฐานว่า พระโหราธิบดีท่านนี้เป็นชาวเมืองพิจิตร นับถือกันว่า
ทานายแมน่ ยา
เจา้ พระยาวิชาเยนทร์
คอนสแตนติน ฟอลคอน หรือ เจา้ พระยาวิชาเยนทร์ เช้อื สายกรีก และเว
นิสเริ่มเข้าทางานให้กับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ออกเดินเรือ
สินค้าไปค้าขายยังแดนต่างๆ จนกระท่ังถึงกรุงศรีอยุธยา ด้วยความสามารถ
พิเศษทางด้านภาษาต่างประเทศทาให้ฟอลคอนเข้ารับราชการในตาแหน่ง
ลา่ มซึง่ ถือเปน็ ชาวตะวันตกคนแรกทเ่ี ขา้ มารบั ราชการในสมยั อยธุ ยา ภายหลงั
สมเด็จพระนารายณ์ทรงโปรดใหเ้ ป็นหลวงวิชาเยนทรแ์ ละมบี รรดาศักดิ์ต่อมา
จนได้เป็นเจ้าพระยาวชิ าเยนทร์